More Related Content
More from maruay songtanin (20)
147 ปุปผรัตตชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
- 1. 1
ปุปผรัตตชาดก
พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]
ขุททกนิกาย ชาดก ภาค ๑
๗. ปุปผรัตตชาดก (จากพระไตรปิฎก ลาดับเรื่องที่ ๑๔๗)
ว่าด้วยผ้าที่ย้อมด้วยดอกคา
(คนเข็ญใจไม่ใส่ใจถึงความทุกข์ของตน
นึกถึงแต่หญิงคนรักนั้นอย่างเดียว จึงราพึงถึงโอกาสที่พลาดไปว่า)
[๑๔๗] การที่ถูกเสียบแทงด้วยหลาว
และการที่กาจิกข้าพเจ้านี้หาเป็ นทุกข์แก่ข้าพเจ้าไม่
การที่นางเนื้อทองจักไม่ได้นุ่งห่มผ้าที่ย้อมด้วยดอกคา
เที่ยวงานตลอดคืนกลางเดือน ๑๒ โน้นซิเป็นทุกข์ของข้าพเจ้า
ปุปผรัตตชาดกที่ ๗ จบ
------------------------
คาอธิบายเพิ่มเติมนามาจากบางส่วนของอรรถกถา
บุปผรัตตชาดก
ว่าด้วย เป็นทุกข์เพราะภรรยาไม่ได้ผ้าย้อมดอกคา
พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร
ทรงปรารภภิกษุผู้กระสันรูปหนึ่ง ตรัสพระธรรมเทศนานี้ ดังนี้.
ความโดยย่อว่า ภิกษุนั้นอันพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสถามว่า ดูก่อนภิกษุ
เขาว่า เธอกระสันจริงหรือ? กราบทูลว่า จริงพระเจ้าข้า. ตรัสถามว่า
กระสันเพราะเหตุไร? กราบทูลว่า เพราะภรรยาเก่าพระเจ้าข้า
แล้วกราบทูลต่อไปว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ หญิงนั้นมีรสมืออร่อย
ข้าพระองค์ไม่อาจจะพรากจากกันได้ พระเจ้าข้า.
ครั้งนั้น พระศาสดาตรัสกะเธอว่า ดูก่อนภิกษุ
หญิงนี้เป็ นผู้ทาความพินาศให้แก่เธอ แม้ในปางก่อน เพราะหญิงนั้นเป็นเหตุ
เธอก็ต้องถูกเสียบบนหลาว คร่าครวญถึงแต่นางเท่านั้น
ครั้นตายแล้วไปบังเกิดในนรกบัดนี้ เพราะเหตุไร เธอยังปรารถนานางอีกเล่า?
ดังนี้แล้ว ทรงนาเรื่องราวในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้ :-
ในอดีตกาล
ครั้งพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติอยู่ในพระนครพาราณสี
พระโพธิสัตว์เสวยพระชาติเป็นอากาสัฏฐเทวดา ครั้งนั้นในพระนครพาราณสี
มีมหรสพกลางคืนวันเพ็ญกลางเดือน ๑๒ ผู้คนพากันตกแต่งบ้านเมืองสวยงาม
ราวกับเทพนคร คนทั้งปวงมุ่งแต่จะเล่นมหรสพ แต่มีคนเข็ญใจผู้หนึ่ง
มีผ้าเนื้อแน่นอยู่คู่เดียวเท่านั้น เขาเอามาซักให้สะอาด
ฟาดลงเลยขาดเป็ นริ้วเป็นรอยนับร้อยนับพัน
- 2. 2
ครั้งนั้น ภรรยาพูดกะเขาว่า นาย
ฉันอยากจะนุ่งผ้าย้อมดอกคาสักผืนหนึ่ง ห่มผืนหนึ่ง
กอดคอท่านเที่ยวตลอดงานประจาราตรีเดือนกัตติกะ เขากล่าวว่า นางผู้เจริญ
เราเข็ญใจจะมีผ้าย้อมดอกคาได้ที่ไหน เธอจงนุ่งผ้าขาวเที่ยวเล่นเถิด นางกล่าวว่า
เมื่อไม่ได้ผ้าย้อมดอกคา ฉันจักไม่เล่นกีฬาในงานมหรสพละ
เธอพาหญิงอื่นเล่นกีฬาเถิด. เขากล่าวว่า นางผู้เจริญ ใยจึงคาดคั้นฉันนักเล่า
เราจักได้ผ้าย้อมดอกคามาจากไหน? นางกล่าวว่า
เมื่อความปรารถนาของลูกผู้ชายมีอยู่ มีหรือจะชื่อว่าไม่สาเร็จ
ดอกคาในไร่ดอกคาของพระราชามีมากมิใช่หรือ? เขากล่าวว่า นางผู้เจริญ
ที่นั่นมีการป้ องกันแข็งแรงเช่นเดียวกับโบกขรณีที่รากษสคุ้มครอง
เราไม่อาจเข้าไปใกล้ได้ดอก เธออย่าชอบใจมันเลย
จงยินดีตามที่ได้มาเท่านั้นเถิด. นางกล่าวว่า นาย
เมื่อความมืดในยามรัตติกาลมีอยู่ ขึ้นชื่อว่าสถานที่ที่ลูกผู้ชายจะไปไม่ได้ ไม่มีเลย.
เทวดาผู้เที่ยวไปในอากาศผู้หนึ่ง เห็นภัยในอนาคตของเขา
ช่วยห้ามเขาไว้.
เมื่อนางพูดเซ้าซี้อยู่บ่อยๆ อย่างนี้
เขาก็เชื่อถือถ้อยคาของนางด้วยอานาจกิเลส ปลอบนางว่า นิ่งเสียเถิด นางผู้เจริญ
อย่าคิดมากไปเลย ถึงเวลากลางคืน ก็เสี่ยงชีวิตออกจากพระนคร
ไปสู่ไร่ดอกดาของหลวง ปีนรั้วเข้าไปในไร่ พวกคนเฝ้ าไร่ได้ยินเสียงรั้ว
ต่างร้องว่า ขโมย ขโมย แล้วล้อมจับได้ ช่วยกันด่า รุมกันซ้อม มัดไว้
ครั้นสว่างแล้วก็พาไปมอบพระราชา.
พระราชารับสั่งว่า ไปเถิดพวกเจ้า จงเอามันไปเสียบเสียที่หลาว
คนเหล่านั้นมัดเขาไพล่หลัง พาออกจากเมือง
โดยมีคนตีกลองประกาศโทษประหารตามไปด้วย แล้วเอาไปเสียบที่หลาว
เขาเสวยเวทนาแสนสาหัส ฝูงกาพากันไปเกาะที่ศีรษะ
จิกนัยน์ตาด้วยจะงอยปากอันคมเหมือนปลายคีม
เขาไม่ได้ใส่ใจทุกข์แม้จะสาหัสเพียงนั้น คิดถึงแต่หญิงนั้นถ่ายเดียว ราพึงว่า
เราพลาดโอกาสจากงานประจาราตรีในเดือนกัตติกะ
กับนางผู้นุ่งผ้าย้อมด้วยดอกคา ใช้แขนทั้งคู่โอบกอดรอบคอ คลอเคลียกัน
แล้วกล่าวคาถานี้ความว่า :-
"ที่เราถูกหลาวเสียบนี้ ก็ไม่เป็ นทุกข์ ที่ถูกกาจิกเล่า ก็ไม่ทุกข์
เราทุกข์อยู่แต่ว่า นางผิวทองจักไม่ได้นุ่งห่มผ้าย้อมดอกคา
เที่ยวงานประจาราตรีแห่งเดือนกัตติกะ" ดังนี้.
ทุกข์ทางกายทางใจ อันมีการถูกเสียบที่หลาวเป็นปัจจัยนี้ก็ดี
ทุกข์ที่ถูกกาจิกด้วยจะงอยปากแหลมคม ประหนึ่งทาด้วยโลหะก็ดี