SlideShare a Scribd company logo
คูมือครูสาระการเรียนรูเพิ่มเติม
คณิตศาสตร เลม ๒
กลุมสาระการเรียนรูคณิตศาสตร
ชั้นมัธยมศึกษาปที่ ๔
ตามหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๔๔
จัดทําโดย
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
กระทรวงศึกษาธิการ
ISBN 974-01-3820-9
พิมพครั้งที่หนึ่ง ๑๐,๐๐๐ เลม
พ.ศ. ๒๕๔๗
องคการคาของคุรุสภาจัดพิมพจําหนาย
พิมพที่โรงพิมพคุรุสภาลาดพราว
๒๒๔๙ ถนนลาดพราว วังทองหลาง กรุงเทพมหานคร
มีลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติ
บทที่ 3
เรขาคณิตวิเคราะห
( 42 ชั่วโมง )
สําหรับบทเรียนนี้จะกลาวถึง เรขาคณิตวิเคราะห โดยแบงเปนสองหัวขอใหญ ๆ คือ ความรู
เบื้องตนเกี่ยวกับเรขาคณิตวิเคราะห และภาคตัดกรวย โดยจะเนนการนําความรูไปใชในการแกปญหา แต
ถึงอยางไรก็ตามผูสอนควรใหผูเรียนสามารถหาสูตรไดบาง เพราะถาผูเรียนรูที่มาอันแนนอนของสูตร
ก็ยอมใชสูตรนั้นดวยความเขาใจดีขึ้น สําหรับหัวขอความรูเบื้องตนเกี่ยวกับเรขาคณิตวิเคราะหที่จะกลาวถึง
เปนการแสดงถึงความเกี่ยวของระหวางเสนตรงและสมการกําลังหนึ่ง โดยมีสาระการเรียนรูดังตอไปนี้
ระยะระหวางจุดสองจุด จุดกึ่งกลางระหวางจุดสองจุด ความชันของเสนตรง เสนขนาน เสนตั้งฉาก
ความสัมพันธซึ่งมีกราฟเปนเสนตรง และระยะหางระหวางเสนตรงกับจุด สวนหัวขอภาคตัดกรวยจะกลาว
ถึงวงกลม พาราโบลา วงรี และไฮเพอรโบลา ตามลําดับ ในชีวิตจริงไดมีการนําสมบัติของภาคตัดกรวย
ไปใชกันอยางกวางขวาง เชน ในการศึกษาเกี่ยวกับโครงสรางของอะตอม การประดิษฐเลนสที่ใชใน
กลองสองทางไกล เลนสกลองจุลทรรศน เลนสแวนสายตาการประดิษฐโคมไฟรถยนต เรดาร และ
จานดาวเทียม ซึ่งพื้นผิวดานในเกิดจากการหมุนพาราโบลารอบแกนพาราโบลา
นอกจากนี้ในการหาตนกําเนิดเสียง เชน ในการหาที่ตั้งปนใหญ อาจอาศัยสมบัติของไฮเพอร-โบลา
โดยใชทหารสองคนยืนอยูคนละแหงจดเวลาที่ไดยินเสียงปน จากผลตางของเวลาทั้งสองนี้ ทําใหสามารถ
หาผลตางของระยะทางจากที่ตั้งปนใหญไปยังจุดที่ทหารยืนอยูโดยที่ตั้งปนใหญจะอยูบนไฮเพอรโบลา
ซึ่งมีโฟกัสทั้งสองเปนจุดที่ทหารยืนอยู จุดฟงจุดที่สามจะชวยทําใหหาตําแหนงที่ตั้งของปนไดสําหรับ
การหาตําแหนงของเครื่องบิน ก็ใชวิธีการทํานองเดียวกัน โดยสถานีจากภาคพื้นดินสามแหงคอยรับ
สัญญาณจากเครื่องบินแลวนําผลตางของเวลาที่ไดรับสัญญาณมาคํานวณหาตําแหนงของเครื่องบินดังนั้น
ในบทเรียนนี้ผูเรียนจะไดเรียนรูการนําคณิตศาสตรไปประยุกตใชในชีวิต
ผลการเรียนรูที่คาดหวัง
1. หาระยะทางระหวางจุดสองจุด จุดกึ่งกลาง ระยะหางระหวางเสนตรงกับจุดได
2. หาความชันของเสนตรง สมการเสนตรง เสนขนาน เสนตั้งฉาก และนําไปใชได
3. เขียนความสัมพันธที่มีกราฟเปนภาคตัดกรวย เมื่อกําหนดสวนตาง ๆ ของภาคตัดกรวยใหและเขียน
กราฟของความสัมพันธนั้นได
4. นําความรูเรื่องการเลื่อนแกนทางขนานไปใชในการเขียนกราฟได
5. นําความรูเรื่องเรขาคณิตวิเคราะหไปใชแกปญหาได
คูมือครูสาระการเรียนรูเพิ่มเติม
คณิตศาสตร เลม ๒
กลุมสาระการเรียนรูคณิตศาสตร
ชั้นมัธยมศึกษาปที่ ๔
ตามหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๔๔
จัดทําโดย
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
กระทรวงศึกษาธิการ
ISBN 974-01-3820-9
พิมพครั้งที่หนึ่ง ๑๐,๐๐๐ เลม
พ.ศ. ๒๕๔๗
องคการคาของคุรุสภาจัดพิมพจําหนาย
พิมพที่โรงพิมพคุรุสภาลาดพราว
๒๒๔๙ ถนนลาดพราว วังทองหลาง กรุงเทพมหานคร
มีลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติ
157
ผลการเรียนรูที่คาดหวังเปนผลการเรียนรูที่สอดคลองกับมาตรฐานการเรียนรูชวงชั้นทางดาน
ความรู ดังนั้นในการจัดการเรียนรู ผูสอนตองคํานึงถึงมาตรฐานการเรียนรูดานทักษะ/กระบวนการทาง
คณิตศาสตรดวยการสอดแทรกกิจกรรมหรือโจทยปญหาที่จะสงเสริมใหผูเรียนเกิดทักษะ/กระบวนการ
ทางคณิตศาสตรที่จําเปน อันไดแก ความสามารถในการแกปญหา การใหเหตุผล การสื่อสาร การสื่อ
ความหมายทางคณิตศาสตรและการนําเสนอ การเชื่อมโยงความรูตาง ๆ ทางคณิตศาสตรและเชื่อมโยง
คณิตศาสตรกับศาสตรอื่น และการคิดริเริ่มสรางสรรค นอกจากนั้นกิจกรรมการเรียนรู ควรสงเสริม
ใหผูเรียนตระหนักในคุณคาและมีเจตคติที่ดีตอวิชาคณิตศาสตร ตลอดจนฝกใหนักเรียนทํางานอยาง
เปนระบบ มีระเบียบวินัย รอบคอบ มีความรับผิดชอบ มีวิจารณญาณ และมีความเชื่อมั่นในตนเอง
ในการเรียนการสอนแตละสาระการเรียนรูของวิชาคณิตศาสตรนั้น ผูสอนควรแสดงหรือยก
ตัวอยางใหผูเรียนเห็นถึงประโยชนและการนําคณิตศาสตรไปใช ดังเชนสองหัวขอในบทเรียนนี้ เพื่อให
ผูเรียนตระหนักถึงคุณคาอันเกิดจากการศึกษาวิชาคณิตศาสตร ซึ่งจะโยงไปถึงเจตคติตอวิชาคณิตศาสตร
ในการจัดกิจกรรมการเรียนรูสําหรับบทเรียนนี้ ผูสอนควรใหผูเรียนไดทดลอง และคนควาหา
ขอสรุปดวยตนเอง
ขอเสนอแนะ
1. ในการสอนเรื่องระยะทางระหวางจุด 2 จุด ผูสอนทบทวนความรูของผูเรียนเรื่องระยะ
ระหวางจุด 2 จุดบนเสนจํานวนที่แทนดวยจํานวนจริง a และ b วาเทากับ ⏐a – b⏐ ซึ่งผูเรียนไดเคย
ศึกษามาแลวในเรื่องจํานวนจริง ถาผูเรียนจําไมได ใหผูสอนยกตัวอยางจุดบนเสนจํานวนที่แทนดวย
จํานวนจริง ใหผูเรียนหาระยะหางระหวางจุดเหลานั้น เชน
ก. ระยะหางระหวางจุดที่แทน 2 และจุดที่แทน 10
ข. ระยะหางระหวางจุดที่แทน –10 และจุดที่แทน 5
ค. ระยะหางระหวางจุดที่แทน –15 และจุดที่แทน –5
ซึ่งผูเรียนควรตอบไดวา เทากับ ⏐10 – 2⏐, ⏐5 – (–10)⏐ และ ⏐–5 – (–15)⏐ ตามลําดับ โดยผูสอน
อาจใชเสนจํานวนแสดงประกอบดวย
2. สัญลักษณที่ใชแทนความยาวของสวนของเสนตรง AB จะเขียนแทนดวย AB หรือ AB
ซึ่งผูเรียนไดเคยใชมาแลวในระดับมัธยมศึกษาตอนตน แตบางครั้งบางคนยังสับสนอยูบาง ใหผูสอนชี้แจง
เรื่องสัญลักษณอีกครั้งหนึ่ง เนื่องจากเปนสัญลักษณที่นักเรียนจะใชตอไปอีกมาก
3. การนิยามความชันของเสนตรงในบทนี้นิยามโดยอาศัยโคอออรดิเนตของจุดสองจุดที่
เสนตรงผาน กลาวคือ ความชันของเสนตรงที่ผานจุด P1(x1, y1) และ P2(x2, y2) จะเทากับ
12
12
xx
yy
−
−
คูมือครูสาระการเรียนรูเพิ่มเติม
คณิตศาสตร เลม ๒
กลุมสาระการเรียนรูคณิตศาสตร
ชั้นมัธยมศึกษาปที่ ๔
ตามหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๔๔
จัดทําโดย
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
กระทรวงศึกษาธิการ
ISBN 974-01-3820-9
พิมพครั้งที่หนึ่ง ๑๐,๐๐๐ เลม
พ.ศ. ๒๕๔๗
องคการคาของคุรุสภาจัดพิมพจําหนาย
พิมพที่โรงพิมพคุรุสภาลาดพราว
๒๒๔๙ ถนนลาดพราว วังทองหลาง กรุงเทพมหานคร
มีลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติ
158
นอกจากนี้อาจนิยามความชันของเสนตรงโดยอาศัยฟงกชันตรีโกณมิติ กลาวคือความชันของเสนตรงที่
ทํามุม θ กับแกน X เทากับ tan θ (มุม θ เปนมุมที่วัดทวนเข็มนาฬิกา จากแกน X ดานที่เปนบวก ไป
จนถึงเสนตรงมุม θ นี้เรียกวา “มุมเอียง” ของเสนตรง และ 0° ≤ θ < 180°)
4. ในหนังสือเรียนที่กลาววา “ความชันของเสนตรงเสนหนึ่ง (ที่ไมขนานกับแกน Y) มีเพียง
คาเดียวเทานั้น” ซึ่งในหนังสือเรียนไมไดแสดงวิธีพิสูจนไว ผูสอนอาจแสดงใหผูเรียนเห็นโดยวิธีการดังนี้
ให L เปนเสนตรงที่ไมขนานกับแกน Y และทํามุมแหลมกับแกน X จุด P1(x1, y1) และ
P2(x2, y2) อยูบนเสนตรง L
จากนิยามของความชัน จะไดวา ความชันของเสนตรง L เทากับ
21
21
xx
yy
−
−
ถา P3(x3, y3) และ P4(x4, y4) เปนจุดอีกสองจุดบนเสนตรง L
ดังนั้น ความชันของเสนตรง L เทากับ
43
43
xx
yy
−
−
จากรูป จะเห็นวา ∆ P1P2Q ∼ ∆ P3P4R
ดังนั้น RP
QP
3
1
= RP
QP
4
2
QP
QP
2
1
= RP
RP
4
3
21
21
xx
yy
−
−
=
43
43
xx
yy
−
−
นั่นคือ ความชันของเสนตรงเดียวกันยอมเทากัน
สําหรับเสนตรงที่ทํามุมปานกับแกน X ผูสอนอาจใชวิธีการแสดงในทํานองเดียวกัน
•
•
•
•
0
(x4, y4) x3 – x4
y3 – y4
P4
P3
P2
P1
(x3, y3)
(x2, y2)
(x1, y1)
x1 – x2
y1 – y2
Q
R
LY
X
คูมือครูสาระการเรียนรูเพิ่มเติม
คณิตศาสตร เลม ๒
กลุมสาระการเรียนรูคณิตศาสตร
ชั้นมัธยมศึกษาปที่ ๔
ตามหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๔๔
จัดทําโดย
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
กระทรวงศึกษาธิการ
ISBN 974-01-3820-9
พิมพครั้งที่หนึ่ง ๑๐,๐๐๐ เลม
พ.ศ. ๒๕๔๗
องคการคาของคุรุสภาจัดพิมพจําหนาย
พิมพที่โรงพิมพคุรุสภาลาดพราว
๒๒๔๙ ถนนลาดพราว วังทองหลาง กรุงเทพมหานคร
มีลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติ
159
5. ในหนังสือเรียน ไดกลาววา เสนตรงสองเสนใด ๆ (ที่ไมขนานกับแกน Y) จะขนานกัน
ก็ตอเมื่อ ความชันของเสนตรงทั้งสองเทากันและในหนังสือเรียนไดแสดงใหเห็นเฉพาะสวนที่กลาววา
ถาเสนตรงสองเสนขนานกันแลวความชันยอมเทากัน แตไมไดแสดงวา ถาความชันของเสนตรงสองเสน
ใดเทากันแลว เสนตรงทั้งสองจะขนานกัน ซึ่งอาจแสดงวาถาเสนตรงสองเสนมีความชันเทากันแลว
เสนตรงทั้งสองจะขนานกัน ไดดังนี้
ให L1 และ L2 เปนเสนตรงที่มีความชัน m1 และ m2 ตามลําดับ และ m1 = m2 จะแสดงวา
L1 และ L2 ขนานกัน
สมมุติวา L1 ไมขนานกับ L2 ให L1 ตัดกับ L2 ที่จุด P1(x1, y1)
ให P2(x2, y3) และ P3(x2, y2) เปนจุดบน L1 และ L2 ตามลําดับ
จะได m1 =
12
13
xx
yy
−
−
และ m2 =
12
12
xx
yy
−
−
เนื่องจาก y3 ≠ y2 ดังนั้น
12
13
xx
yy
−
−
≠
12
12
xx
yy
−
−
จึงทําให m1 ≠ m2 ซึ่งขัดแยงกับที่กําหนดให
ดังนั้น ที่สมมุติวา L1 ไมขนานกับ L2 จึงเปนไปไมได
นั่นคือ L1 ขนานกับ L2
0
P3 (x2, y2)
P2 (x2, y3)
P1 (x1, y1)
L1
Y
X
y1
y2
y3
x1 x2
L2
คูมือครูสาระการเรียนรูเพิ่มเติม
คณิตศาสตร เลม ๒
กลุมสาระการเรียนรูคณิตศาสตร
ชั้นมัธยมศึกษาปที่ ๔
ตามหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๔๔
จัดทําโดย
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
กระทรวงศึกษาธิการ
ISBN 974-01-3820-9
พิมพครั้งที่หนึ่ง ๑๐,๐๐๐ เลม
พ.ศ. ๒๕๔๗
องคการคาของคุรุสภาจัดพิมพจําหนาย
พิมพที่โรงพิมพคุรุสภาลาดพราว
๒๒๔๙ ถนนลาดพราว วังทองหลาง กรุงเทพมหานคร
มีลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติ
160
6. ในหนังสือเรียนไมไดแสดงการพิสูจนวา ถาเสนตรงสองเสนมีผลคูณของความชันเทากับ
–1 แลว เสนตรงทั้งสองจะตั้งฉากซึ่งกันและกัน ซึ่งหากผูเรียนสนใจการพิสูจนผูสอนอาจแสดงไดดังนี้
ให L1 และ L2 เปนเสนตรงสองเสนที่ไมขนานกับแกน Y มีความชัน m1 และ m2 ตามลําดับ
และ m1m2 = –1 จะแสดงใหเห็นวา L1 ตั้งฉากกับ L2
เนื่องจาก m1m2 = –1 จะได m1 ≠ 0 และ m2 ≠ 0 และ m1 ≠ m2
(เพราะถา m1 = m2 จะได m1
2
= –1 ซึ่งเปนไปไมได)
ดังนั้น L1 ไมขนานกับ L2 ให L1 และ L2 ตัดกันที่จุด R (a, b)
เนื่องจาก L1 และ L2 มีความชันเปน m1 และ m2 ตามลําดับ
ดังนั้น สมการของเสนตรง L1 ซึ่งผานจุด (a, b) และมีความชัน m1 คือ y = m1(x – a) + b
ดังนั้น เสนตรง L1 ตัดแกน Y ที่จุด P(0, b – am1)
และ สมการของเสนตรง L2 ที่ผานจุด (a, b) และมีความชัน m2 คือ y = m2(x – a) + b
ดังนั้น เสนตรง L2 ตัดแกน Y ที่จุด Q(0, b – am2)
จะแสดงวา ∆ PRQ เปนสามเหลี่ยมมุมฉาก
เนื่องจาก PQ2
= [(b – am2) – (b – am1)]2
= a2
m1
2
– 2a2
m1m2 + a2
m2
2
= a2
m1
2
+ 2a2
+ a2
m2
2
(m1m2 = –1)
PR2
= a2
+ [b – (b – am1)]2
= a2
+ a2
m1
2
0
(0, b – am1)
(0, b – am2)
L1
Y
X
P
Q
L2
(a, b)
R
•
คูมือครูสาระการเรียนรูเพิ่มเติม
คณิตศาสตร เลม ๒
กลุมสาระการเรียนรูคณิตศาสตร
ชั้นมัธยมศึกษาปที่ ๔
ตามหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๔๔
จัดทําโดย
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
กระทรวงศึกษาธิการ
ISBN 974-01-3820-9
พิมพครั้งที่หนึ่ง ๑๐,๐๐๐ เลม
พ.ศ. ๒๕๔๗
องคการคาของคุรุสภาจัดพิมพจําหนาย
พิมพที่โรงพิมพคุรุสภาลาดพราว
๒๒๔๙ ถนนลาดพราว วังทองหลาง กรุงเทพมหานคร
มีลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติ
161
และ QR2
= a2
+ [b – (b – am2)]2
= a2
+ a2
m2
2
จะได PR2
+ QR2
= a2
m1
2
+ 2a2
+ a2
m2
2
= PQ2
แสดงวา สามเหลี่ยม PRQ เปนสามเหลี่ยมที่มี PRQ เปนมุมฉาก
และเนื่องจากสวนของเสนตรงPRและสวนของเสนตรงQRเปนสวนหนึ่งของเสนตรงL1และL2ตามลําดับ
นั่นคือ L1 ตั้งฉากกับ L2
7. ในการสอนเรื่องสมการเสนตรง ควรชี้ใหเห็นวา กําลังของตัวแปรแตละตัวในสมการ
เสนตรงนั้นเปนหนึ่งเสมอ และเนื่องจากเสนตรงที่ผานจุดสองจุดที่กําหนดใหมีไดเพียงเสนเดียวเทานั้น
ดังนั้น เพื่อความสะดวกในการเขียนกราฟเสนตรงใดก็ตามเราหาจุดที่เสนตรงนั้นผานเพียงสองจุดก็พอ
แตเพื่อปองกันความผิดพลาดเรานิยมพิจารณาจุดที่เสนตรงผานสามจุด ถาพบวาจุดทั้งสามจุดไมอยูในแนว
เสนตรงเดียวกันแสดงวามีความผิดพลาดเกิดขึ้นตองตรวจสอบใหมอีกครั้ง
8. ในการหาระยะระหวางเสนตรงกับจุด นอกจากจะใชวิธีการในหนังสือเรียนแลวยังมีวิธีอื่น
อีก เชน วิธีหาสมการเสนตรงที่ผานจุดที่กําหนดใหและตั้งฉากกับเสนตรงที่กําหนดให เพื่อหาจุดตัดของ
เสนตรงทั้งสอง แลวจึงหาระยะระหวางจุดที่กําหนดใหกับจุดตัด
9. ถา L เปนเสนตรงที่ขนานกับแกน X และอยูหางจากแกน X เปนระยะ ⏐b⏐ หนวย
ความสัมพันธที่มีกราฟเปนเสนตรง L คือ
{(x, y) ∈ R × R⏐y = b}
หรือ {(x, y) ∈ R × R⏐y = –b}
ทํานองเดียวกัน ถา L เปนเสนตรงที่ขนานกับแกน Y และอยูหางแกน Y เปนระยะ ⏐a⏐
หนวย ความสัมพันธที่มีกราฟเปนเสนตรง L คือ
{(x, y) ∈ R × R⏐x = a}
หรือ {(x, y) ∈ R × R⏐x = –a}
10. ในการหาความสัมพันธที่มีกราฟเปนเสนตรง เมื่อทราบวา เสนตรงผานจุด (x1, y1) และ
มีความชันเปน m แลว ถานักเรียนเขียนความสัมพันธที่ไดเปน
⎭
⎬
⎫
⎩
⎨
⎧
=
−
−
m
xx
yy
)y,x(
1
1
ใหผูสอนชี้แจง
ผูเรียนทราบวา ไมถูกตอง เนื่องจากกราฟของความสัมพันธดังกลาวไมรวมจุด (x1, y1) ซึ่งผูเรียนควรเขียนให
ถูกตองเปน {(x, y)⏐y – y1 = m(x – x1)} ซึ่งกราฟของความสัมพันธนี้จะเปนเสนตรงที่ผานจุด (x1, y1)
ดวย
คูมือครูสาระการเรียนรูเพิ่มเติม
คณิตศาสตร เลม ๒
กลุมสาระการเรียนรูคณิตศาสตร
ชั้นมัธยมศึกษาปที่ ๔
ตามหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๔๔
จัดทําโดย
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
กระทรวงศึกษาธิการ
ISBN 974-01-3820-9
พิมพครั้งที่หนึ่ง ๑๐,๐๐๐ เลม
พ.ศ. ๒๕๔๗
องคการคาของคุรุสภาจัดพิมพจําหนาย
พิมพที่โรงพิมพคุรุสภาลาดพราว
๒๒๔๙ ถนนลาดพราว วังทองหลาง กรุงเทพมหานคร
มีลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติ
162
11. พื้นฐานสําคัญในการศึกษาเรื่อง ภาคตัดกรวย คือ เรื่องการจัดพหุนามตัวแปรเดียวดีกรีสอง
ใหสวนที่มีตัวแปรอยูในรูปกําลังสองสมบูรณ ซึ่งจะใชมากเมื่อกําหนดความสัมพันธที่มีกราฟเปน
ภาคตัดกรวยมาให แลวใหหาสวนตาง ๆ ของภาคตัดกรวยนั้น ๆ เชน จุดยอด โฟกัส ความยาวแกนเอก
แกนโท ฯลฯ ในกรณีทั่ว ๆ ไป การจัดพหุนามตัวแปรเดียวดีกรีสอง ใหสวนที่มีตัวแปรอยูในรูปกําลังสองสมบูรณ
ผูสอนอาจเสนอทางเลือกใหผูเรียนไดสองทาง คือ
ก. การจัดโดยใชสูตร
ข. การจัดโดยใชขั้นตอนวิธี
การจัดพหุนามตัวแปรเดียวดีกรีสองใหสวนที่มีตัวแปรอยูในรูปกําลังสองสมบูรณโดยใชสูตร
ผูสอนอาจดําเนินการพิสูจน ดังนี้
จากพหุนามตัวแปรเดียวดีกรีสองรูปทั่วไป ax2
+ bx + c
เมื่อ a, b และ c เปนคาคงตัวที่ a ≠ 0 ใหดําเนินการตามขั้นตอนวิธีดังนี้
ax2
+ bx + c = c)x
a
b
x(a 2
++
= c))
a2
b
()
a2
b
(x
a
b
x(a 222
+−++
= c)
a4
b
)
a2
b
x((a 2
2
2
+−+
= c
a4
b
)
a2
b
x(a
2
2
+−+
= a4
ac4b
)
a2
b
x(a
2
2 −
−+
สูตรที่ตองจําไวใช คือ
จากพหุนาม ax2
+ bx + c เมื่อ a, b, c เปนคาคงตัวที่ a ≠ 0 จัดใหสวนที่มีตัวแปร
เปนรูปกําลังสองสมบูรณไดเปน
a4
ac4b
)
a2
b
x(a
2
2 −
−+
คูมือครูสาระการเรียนรูเพิ่มเติม
คณิตศาสตร เลม ๒
กลุมสาระการเรียนรูคณิตศาสตร
ชั้นมัธยมศึกษาปที่ ๔
ตามหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๔๔
จัดทําโดย
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
กระทรวงศึกษาธิการ
ISBN 974-01-3820-9
พิมพครั้งที่หนึ่ง ๑๐,๐๐๐ เลม
พ.ศ. ๒๕๔๗
องคการคาของคุรุสภาจัดพิมพจําหนาย
พิมพที่โรงพิมพคุรุสภาลาดพราว
๒๒๔๙ ถนนลาดพราว วังทองหลาง กรุงเทพมหานคร
มีลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติ
163
สวนการจัดโดยใชขั้นตอนวิธี ผูสอนจะฝกใหผูเรียนดําเนินขั้นตอนตามขั้นตอนในการพิสูจนขางตน
ทั้งสองวิธีการมีจุดเดนและจุดดอยอยูในตัว ขอใหสังเกตขอดีขอเสียจากตัวอยางตอไปนี้
ตัวอยาง จงเขียนสวนที่มีตัวแปรของพหุนามตอไปนี้ใหอยูในรูปกําลังสองสมบูรณ
5x2
– 7x + 9
วิธีทํา
ทําโดยใชสูตร ทําโดยใชขั้นตอนวิธี
จากพหุนาม ax2
+ bx + c จัดใหสวนที่มีตัวแปร
อยูในรูปกําลังสองสมบูรณไดเปน
a4
ac4b
)
a2
b
x(a
2
2 −
−+
ดังนั้น จาก 5x2
– 7x + 9 จะจัดไดเปน
54
)()(
)
)(
x(
2
2
×
××−−
−
−
+
9547
10
75
=
20
18049
10
75 −
−− 2
)x(
=
20
131
10
75 +− 2
)x(
5x2
– 7x + 9 = 9
5
75 +− )xx( 2
= 9
100
49
10
7
5
75 +−+− ))(xx( 22
= 9
20
49
10
75 +−− 2
)x(
=
20
49180
10
75 −
+− 2
)x(
=
20
131
10
75 +− 2
)x(
จากตัวอยางจะเห็นไดวา วิธีจําสูตรนั้นขอเสียคือ ถาจําสูตรผิดผลที่ไดจะผิดไปดวย สวนการคิด
คํานวณนั้นตองมีความแมนยําทั้งสองวิธี วิธีการทําตามขั้นตอนวิธีอาจตองระวังมากหนอย ตอนที่คิดหา
พจนคงตัวอาจลืมตัวคูณซึ่งในตัวอยางขางตน คือ 5
12. การใชความรูเรื่องการเลื่อนแกนทางขนานเพื่อหาความสัมพันธของตัวแปร x และ y ที่มี
กราฟเปนภาคตัดกรวย เปนวิธีที่ชวยใหหาความสัมพันธในรูปมาตรฐานไดรวดเร็วขึ้น แตตองอาศัย
ความรูสองเรื่อง คือ
ก. ความสัมพันธของพิกัดของจุด เมื่อใชแกนชุดเดิมและแกนชุดใหมที่เกิดจากการเลื่อนทาง
ขนาน (x′ = x – h และ y′ = y – k)
ข. ความสัมพันธที่มีกราฟเปนภาคตัดกรวย เมื่อจุดยอดหรือจุดศูนยกลางอยูที่จุดกําเนิด เชน
x2
+ y2
= r2
, x2
= 4py, y2
= 4px ฯลฯ
คูมือครูสาระการเรียนรูเพิ่มเติม
คณิตศาสตร เลม ๒
กลุมสาระการเรียนรูคณิตศาสตร
ชั้นมัธยมศึกษาปที่ ๔
ตามหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๔๔
จัดทําโดย
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
กระทรวงศึกษาธิการ
ISBN 974-01-3820-9
พิมพครั้งที่หนึ่ง ๑๐,๐๐๐ เลม
พ.ศ. ๒๕๔๗
องคการคาของคุรุสภาจัดพิมพจําหนาย
พิมพที่โรงพิมพคุรุสภาลาดพราว
๒๒๔๙ ถนนลาดพราว วังทองหลาง กรุงเทพมหานคร
มีลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติ
164
ผูสอนควรดําเนินการในเรื่องทั้งสองนี้ใหชัดเจน และถาจะใหการสอนสมบูรณยิ่งขึ้นควรให
ผูเรียนลองหาความสัมพันธที่มีกราฟเปนภาคตัดกรวย โดยใชวิธีที่แตกตางจากในหนังสือเรียน กลาวคือ
สําหรับพาราโบลา วงรี และไฮเพอรโบลา ผูสอนควรลองใหผูเรียนใชวิธีหาความสัมพันธจากบทนิยาม
โดยอาศัยสูตรการหาระยะทางระหวางจุดกับจุดและจุดกับเสนตรง เชน การหาสมการของพาราโบลา
ที่มีจุดยอดอยูที่จุด (h, k) และมีแกนของพาราโบลาขนานกับแกน X หาไดดังนี้
ให (h, k) เปนจุดยอดและระยะจากจุดยอดไปยังโฟกัส คือ ⏐p⏐ จะไดวา ถาโฟกัสมีพิกัด
เปน (h + p, k) แลวไดเรกตริกซ คือ กราฟของสมการ x = h – p (แตถาโฟกัสมีพิกัดเปน (h – p, k)
แลวไดเรกตริกซ คือ กราฟของสมการ x = h + p)
เมื่อ P(x, y) เปนจุดใด ๆ บนพาราโบลา จากบทนิยามของพาราโบลาจะไดวา
PF = PD
นั่นคือ 2)(2))(( kyphx −++− = )( phx −−
(x – (h + p))2
+ (y – k)2
= (x – (h – p))2
(y – k)2
= 4px – 4ph
(y – k)2
= 4p (x – h)
หมายเหตุ 1. รูปที่ใชในการพิสูจนเปนรูปที่สมมุติขึ้นในกรณีที่p เปนจํานวนจริงลบรูปจะไมใชรูปนี้
2. ควรทดลองคิดในกรณีที่พิกัดของโฟกัสเปน (h – p, k) และไดเรกตริกซคือ กราฟของ
สมการ x = h + p แลวดูวาจะไดผลเหมือนกันหรือไม
•
•
Y Y′
X′
X
x = h – p
D P (x, y)
V (h, k) F (h + p, k)
0
คูมือครูสาระการเรียนรูเพิ่มเติม
คณิตศาสตร เลม ๒
กลุมสาระการเรียนรูคณิตศาสตร
ชั้นมัธยมศึกษาปที่ ๔
ตามหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๔๔
จัดทําโดย
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
กระทรวงศึกษาธิการ
ISBN 974-01-3820-9
พิมพครั้งที่หนึ่ง ๑๐,๐๐๐ เลม
พ.ศ. ๒๕๔๗
องคการคาของคุรุสภาจัดพิมพจําหนาย
พิมพที่โรงพิมพคุรุสภาลาดพราว
๒๒๔๙ ถนนลาดพราว วังทองหลาง กรุงเทพมหานคร
มีลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติ
165
13. ผูสอนอาจขยายความรูของผูเรียนโดยใหเขียนกราฟของอสมการที่เกิดจากการเปลี่ยน
เครื่องหมายเทากับในสมการที่มีกราฟเปนภาคตัดกรวย เปนเครื่องหมาย ≠, >, <, ≥, ≤ เชน
x2
+ y2
> 4 เปนตน
14. การกําหนดมาตราสวนบนแกน X และแกน Y ตองเหมือนกัน เพราะถากําหนดตางกัน
กราฟที่ไดจะไมสมจริง เชน สมการที่กราฟควรเปนวงกลม อาจมีกราฟเปนวงรีได
15. หลังจบบทเรียนแลวผูสอนควรใหแบบฝกทักษะเกี่ยวกับเรื่องภาคตัดกรวยเพิ่มเติม
อยางสม่ําเสมอ เพราะถาละเลยผูเรียนจะลืมวิธีการตาง ๆ ไดงาย
16. ในบทนี้มีการกลาวถึงแกนสมมาตรของภาคตัดกรวย ซึ่งเปนความรูที่ผูเรียนเคยศึกษา
มาแลวตั้งแตระดับประถมศึกษา บทนิยามทั่วไปที่ผูเรียนทราบคือ เมื่อพับรูปตามแกนสมมาตรแลวรูปที่
อยูคนละขางของแกนสมมาตรจะทับกันสนิท แตในหนังสือเรียนนี้กลาววา พาราโบลาที่มาจากสมการ
y2
= 12x มีแกน X เปนแกนสมมาตร เพราะเมื่อแทน y ในสมการดวย –y แลว ไดสมการคงเดิม
แสดงวา กราฟของสมการ y2
= 12x มีแกน X เปนแกนสมมาตรโดยไมไดใหเหตุผลประกอบไววา
เมื่อแทน y ในสมการดวย –y ไดสมการคงเดิมแลว เหตุใดแกน X จึงเปนแกนสมมาตร การที่สามารถ
สรุปเชนนี้ได เพราะจุดที่มีพิกัด (x, y) กับ (x, –y) อยูหางแกน X เปนระยะเทากันคือ y เมื่อแทน y
ในสมการ ดวย –y แลวไดสมการเดิมก็แสดงวาทั้งจุด (x, y) และ (x, –y) ตางอยูบนกราฟของสมการ
โดยมีคา x ที่เหมือนกันตางกันเฉพาะคา y และเนื่องจากการแทนคาดังกลาวไมไดเจาะจงแสดงวาทุก ๆ
จุด (x, y) จะมีจุด (x, –y) ที่อยูบนกราฟคูกันเสมอ ดังนั้น เมื่อพับรูปตามแกน X จุดแตละคูดังกลาว
จะทับกันเสมอ แสดงวาแกน X เปนแกนสมมาตร
ในทํานองเดียวกัน เมื่อมีสมการแสดงความสัมพันธระหวาง x กับ y และถาแทน x
ในสมการดวย –x แลว สมการคงเดิมก็แสดงวากราฟของสมการนั้นมีแกน Y เปนแกนสมมาตร
การสมมาตรที่กลาวถึงในบทนี้กลาวเฉพาะการสมมาตรเมื่อเทียบกับแกน X หรือแกน Y
หรือเสนตรงอื่น ซึ่งนอกจากเสนตรงแลว การสมมาตรอาจเทียบกับจุดหรือระนาบก็ได
17. สมการภาคตัดกรวยในรูปตอไปนี้
(x – h)2
+ (y – k)2
= r2
(y – k)2
= 4c (x – h)
(x – h)2
= 4c (y – k)
2
2
2
2
b
)ky(
a
)hx( −
+
−
= 1
2
2
2
2
b
)hx(
a
)ky( −
+
−
= 1
2
2
2
2
b
)ky(
a
)hx( −
−
−
= 1
2
2
2
2
b
)hx(
a
)ky( −
−
−
= 1
คูมือครูสาระการเรียนรูเพิ่มเติม
คณิตศาสตร เลม ๒
กลุมสาระการเรียนรูคณิตศาสตร
ชั้นมัธยมศึกษาปที่ ๔
ตามหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๔๔
จัดทําโดย
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
กระทรวงศึกษาธิการ
ISBN 974-01-3820-9
พิมพครั้งที่หนึ่ง ๑๐,๐๐๐ เลม
พ.ศ. ๒๕๔๗
องคการคาของคุรุสภาจัดพิมพจําหนาย
พิมพที่โรงพิมพคุรุสภาลาดพราว
๒๒๔๙ ถนนลาดพราว วังทองหลาง กรุงเทพมหานคร
มีลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติ
166
เปนรูปสมการที่ชวยใหหาสวนสําคัญเกี่ยวกับภาคตัดกรวย เชน จุดศูนยกลาง จุดยอด ฯลฯ
ไดงายเรียกรวม ๆ กันวา สมการในรูปมาตรฐาน (Standard form) เมื่อกระจายพจนกําลังสองแลวจัดเรียง
พจนใหม จะอยูในรูปสมการกําลังสองสองตัวแปร ซึ่งมีรูปทั่วไปดังนี้
Ax2
+ Bxy + Cy2
+ Dx + Ey + F = 0
เมื่อ A, B, C, D, E และ F คือคาคงตัว เชน จากสมการวงกลมมาตรฐาน
เมื่อกระจายใหอยูในรูปทั่วไปจะได x2
+ y2
– 2hx – 2ky + h2
+ k2
– r2
= 0
ซึ่งเมื่อเทียบกับรูปสมการทั่วไปสองตัวแปรจะไดวา
A = 1, B = 0, C = 1, D = –2h, E = –2k, F = h2
+ k2
– r2
ฉะนั้น อาจกลาวไดวาสมการวงกลมในรูปมาตรฐานทุกสมการ สามารถเขียนอยูในรูปทั่วไปไดเปน
x2
+ y2
+ Dx + Ey + F = 0 เมื่อ D, E และ F คือ คาคงตัว
ในทางกลับกันจากสมการในรูปทั่วไปขางตน ถาพิจารณากลับวา กราฟของสมการดังกลาว
เปนวงกลมหรือไม จะพบวามีบางคาของคาคงตัว D, E และ F ทําใหกราฟไมใชวงกลม ขั้นตอนวิธี
ตอไปนี้เปนขั้นตอนวิธีคอนขางสําคัญในการเขียนกราฟของรูปทั่วไปของสมการวงกลม ซึ่งตองฝกฝน
ผูเรียนใหมีความคลองตัว ขั้นตอนวิธีที่ใชคือ การจัดพจนที่มีตัวแปรใหอยูในรูปกําลังสองสมบูรณ เพื่อ
ใหสมการอยูในรูปมาตรฐาน
จากสมการ x2
+ y2
+ Dx + Ey + F = 0
จะได x2
+ Dx + 2
)
2
D
( – 2
)
2
D
( + y2
+ Ey + 2
)
2
E
( – 2
)
2
E
( + F = 0
22
)
2
E
y()
2
D
x( +++ = 4
E
4
D 22
+ – F
= 4
F4ED 22
−+
จากสมการสุดทาย จะเห็นไดชัดเจนวา กราฟของสมการรูปทั่วไปจะเปนวงกลมหรือไมขึ้นอยู
กับคาของ D2
+ E2
– 4F ซึ่งสามารถแยกกรณีพิจารณาไดดังนี้
กรณีที่ 1 D2
+ E2
– 4F > 0
กรณีนี้จะไดวา กราฟของสมการที่กําหนดเปนวงกลมมี )
2
E
,
2
D
( −− เปนจุดศูนยกลาง
รัศมียาว 2
F4ED 22
−+
หนวย
คูมือครูสาระการเรียนรูเพิ่มเติม
คณิตศาสตร เลม ๒
กลุมสาระการเรียนรูคณิตศาสตร
ชั้นมัธยมศึกษาปที่ ๔
ตามหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๔๔
จัดทําโดย
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
กระทรวงศึกษาธิการ
ISBN 974-01-3820-9
พิมพครั้งที่หนึ่ง ๑๐,๐๐๐ เลม
พ.ศ. ๒๕๔๗
องคการคาของคุรุสภาจัดพิมพจําหนาย
พิมพที่โรงพิมพคุรุสภาลาดพราว
๒๒๔๙ ถนนลาดพราว วังทองหลาง กรุงเทพมหานคร
มีลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติ
167
กรณีที่ 2 D2
+ E2
– 4F = 0
กรณีนี้กราฟของสมการที่กําหนดคือจุด )
2
E
,
2
D
( −− เรียกชื่อจุดที่เปนกราฟในกรณีนี้วา
วงกลมลดรูป (degenerate circle)
กรณีที่ 3 ถา D2
+ E2
– 4F < 0
กรณีนี้สมการที่กําหนดไมมีกราฟ หรือกลาวอีกนัยหนึ่ง คือ ไมมีคูอันดับของจํานวนจริงใด ๆ
เปนคําตอบหรือสอดคลองสมการที่กําหนดให(เพราะไมมีจํานวนจริงใดยกกําลังสองแลวไดจํานวนจริงลบ)
ในทํานองเดียวกัน เมื่อกระจายพจนกําลังสองของภาคตัดกรวยอื่น ๆ จะไดรูปพหุนามทั่วไปของ
ภาคตัดกรวยแตละชนิด เชน
จากสมการ (y – k)2
= 4 c(x – h)
จะได y2
– 2ky + k2
= 4cx – 4ch
หรือ y2
– 4cx – 2ky + k2
+ 4ch = 0
ซึ่งเมื่อเทียบกับรูปทั่วไปของสมการกําลังสอง สองตัวแปรจะอยูในรูป
y2
+ Dx + Ey + F = 0
จากสมการทั่วไปในรูปดังกลาวขางตนจะสามารถใชวิธีการทํานองเดียวกันกับเรื่องวงกลม
พิจารณากรณีตาง ๆ วา สมการทั่วไปดังกลาวจะมีกราฟเปนพาราโบลาเมื่อใด
ในทํานองเดียวกันจากสมการในรูปมาตรฐานของภาคตัดกรวยสมการอื่น ๆ สามารถจัดอยูในรูป
ทั่วไปได และจากสมการในรูปทั่วไปจะมีทั้งกรณีที่มีกราฟเปนภาคตัดกรวยและไมเปนภาคตัดกรวย ควร
ลองใหผูเรียนไดพิจารณาดวยตนเอง
18. สําหรับผูเรียนที่มีความสนใจและความสามารถพิเศษ อาจใหศึกษาเรื่องการหมุนแกน และ
การใชการเลื่อนแกนและหมุนแกนในการพิจารณากราฟของสมการกําลังสองสองตัวแปร รูปทั่วไปคือ
สมการ
Ax2
+ Bxy + Cy2
+ Dx + Ey + F = 0 ในกรณีที่ B ≠ 0 บางสมการที่สามารถใชวิธี
หมุนแกน ทําใหเปลี่ยนรูปสมการใหพจน xy มีสัมประสิทธิ์เปนศูนย ซึ่งจะทําใหไดสมการรูปทั่วไป
เปนกรณีใดกรณีหนึ่งตามขอ 8 ทําใหสามารถเขียนกราฟของสมการไดโดยใชขั้นตอนวิธีจัดตัวแปรใหอยู
ในรูปกําลังสองสมบูรณ ตอไปนี้เปนความรูเรื่องการหมุนแกนอยางงาย
สมมุติหมุนแกนทํามุม θ กับแกนชุดเดิมโดยหมุนในทิศทวนเข็มนาฬิกาไดแนวแกน
ชุดใหมเรียกวา แกน X′ และแกน Y′ ดังรูป
คูมือครูสาระการเรียนรูเพิ่มเติม
คณิตศาสตร เลม ๒
กลุมสาระการเรียนรูคณิตศาสตร
ชั้นมัธยมศึกษาปที่ ๔
ตามหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๔๔
จัดทําโดย
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
กระทรวงศึกษาธิการ
ISBN 974-01-3820-9
พิมพครั้งที่หนึ่ง ๑๐,๐๐๐ เลม
พ.ศ. ๒๕๔๗
องคการคาของคุรุสภาจัดพิมพจําหนาย
พิมพที่โรงพิมพคุรุสภาลาดพราว
๒๒๔๙ ถนนลาดพราว วังทองหลาง กรุงเทพมหานคร
มีลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติ
168
ถา P เปนจุดใด ๆ บนระนาบมีพิกัดเปน (x, y) และ (x′, y′) เมื่อเทียบกับแกนชุดเดิมและ
แกนชุดใหมตามลําดับ
เนื่องจากแกน X′ ทํามุม θ กับแกน X และผานจุดกําเนิด ดังนั้นแกน X′ ซึ่งเปนเสนตรง
มีความชัน tan θ ผานจุด (0, 0) จะมีสมการเมื่อเทียบกับแกนชุดเดิมเปน
y = (tan θ)x
หรือ (tan θ) x – y = 0 ----------- (1)
และเนื่องจากแกน Y′ ตั้งฉากกับแกน X′ และผานจุดกําเนิด จึงมีสมการเมื่อเทียบกับแกนชุดเดิมเปน
y = x
tan
1
θ
−
หรือ x + (tan θ) y = 0 ----------- (2)
จาก (1) และ (2) เมื่อหาระยะจากจุด (x, y) ถึงแกน X′ และ Y′ โดยใชสูตรหาระยะจากจุด
ไปยังเสนตรงจะไดวา
x′ =
θ+
θ+
2
tan1
y)(tanx
y′ =
θ+
θ−
2
tan1
x)(tany
(จากสูตรหาระยะจากจุดไปยังเสนตรงตองเลือกใชคาที่เมื่อแทนตัวแปร x, y ในสมการแลวได
คามากกวาศูนย แตในที่นี้แทนตัวแปร x, y ดวยคาใด ๆ x, y และคา x′, y′ ก็ยังเปนไดทั้งจํานวนบวก
และจํานวนลบ การเลือกคาถาจะทําใหละเอียดจึงตองพิจารณาเปนกรณี ๆ ไป แตทุกกรณีจะออกมาตรงกัน
ดังที่เขียนไว)
จากคาของ x′, y′ ที่สัมพันธกับ x, y ขางตน จัดสมการใหมโดยเขียน tan θ ในรูป θ
θ
cos
sin
จะได
x′ = x cos θ + y sin θ
y′ = y cos θ – x sin θ
•
Y
X
X′Y′
x′
P (x, y)
(x′, y′)
y′
θ
คูมือครูสาระการเรียนรูเพิ่มเติม
คณิตศาสตร เลม ๒
กลุมสาระการเรียนรูคณิตศาสตร
ชั้นมัธยมศึกษาปที่ ๔
ตามหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๔๔
จัดทําโดย
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
กระทรวงศึกษาธิการ
ISBN 974-01-3820-9
พิมพครั้งที่หนึ่ง ๑๐,๐๐๐ เลม
พ.ศ. ๒๕๔๗
องคการคาของคุรุสภาจัดพิมพจําหนาย
พิมพที่โรงพิมพคุรุสภาลาดพราว
๒๒๔๙ ถนนลาดพราว วังทองหลาง กรุงเทพมหานคร
มีลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติ
169
หรือ
x = x′ cos θ – y′ sin θ
y = x′ sin θ + y′ cos θ
ประโยชนประการหนึ่งของการหมุนแกนคือ เพื่อจัดรูปทั่วไปของสมการกําลังสองสองตัวแปร
Ax2
+ Bxy + Cy2
+ Dx + Ey + F = 0
ใหอยูในรูปที่อางถึงแกนชุดใหมเปน
A′x′2
+ B′x′y′ + C′y2
+ D′x′ + E′y′ + F′ = 0
โดยพยายามหมุนแกนใหคาของ B′ = 0 ซึ่งจะทําใหสมการอยูในรูปทั่วไปที่ไมมีพจน xy
เชนจากเรื่องไฮเพอรโบลามุมฉาก ซึ่งเห็นไดชัดเจนวา แกนหมุนไป 45° ในกรณีนี้อยูในรูป xy = k, k > 0
จะใชความสัมพันธเปน
x = x
2
2
′ – y
2
2
′
y = x
2
2
′ + y
2
2
′
แทนคา x และ y ในสมการ xy = k จะได
22
y
2
1
x
2
1
′−′ = k
ดังนั้น จะจัดสมการในรูปมาตรฐาน เปน
2
2
)k2(
x′
– 2
2
)k2(
y′
= 1
กรณีทั่ว ๆ ไป การจะทําใหคา B′ เปนศูนยจะใชสูตร
tan 2 θ = CA
B
−
เชนจากสมการ
4x2
– 4xy + y2
+ 2x – 6y + 17 = 0
จะตองให
tan 2 θ = 14
4
−
−
= 3
4
−
นั่นคือ
θ−
θ
2
tan1
tan2
= 3
4
−
หรือ 2 tan2
θ – 3 tan θ – 2 = 0
(2 tan θ + 1) (tan θ – 2) = 0
tan θ = 2
1
− หรือ tan θ = 2
คูมือครูสาระการเรียนรูเพิ่มเติม
คณิตศาสตร เลม ๒
กลุมสาระการเรียนรูคณิตศาสตร
ชั้นมัธยมศึกษาปที่ ๔
ตามหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๔๔
จัดทําโดย
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
กระทรวงศึกษาธิการ
ISBN 974-01-3820-9
พิมพครั้งที่หนึ่ง ๑๐,๐๐๐ เลม
พ.ศ. ๒๕๔๗
องคการคาของคุรุสภาจัดพิมพจําหนาย
พิมพที่โรงพิมพคุรุสภาลาดพราว
๒๒๔๙ ถนนลาดพราว วังทองหลาง กรุงเทพมหานคร
มีลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติ
170
ใชเฉพาะคา tan θ ที่เปนบวก หาคา sin θ และ cos θ จะได
sin θ =
5
2
cos θ =
5
1
แทนคา x และ y ในสมการโดยให
x = x
5
1
′ – y
5
2
′
y = x
5
2
′ + y
5
1
′
จะได
22
)y
5
1
x
5
2
()y
5
1
x
5
2
)(y
5
2
x
5
1
(4)y
5
2
x
5
1
(4 ′+′+′+′′−′−′−′
+ 17)y
5
1
x
5
2
(6)y
5
2
x
5
1
(2 +′+′−′−′ = 0
)y
5
2
yx
5
3
x
5
2
(4)
5
y4
5
yx4
5
x
(4 22
22
′−′′−′−
′
+
′′
−
′
+ y
5
4
x
5
2
y
5
1
yx
5
4
x
5
4 22
′−′+′+′′+′
– 17y
5
6
x
5
12
+′−′ = 0
17x52y52y5 2
+′−′−′ = 0
2
)1y5( −′ = x52 ′ – 16
2
)
5
1
y( −′ =
5
8
x(
5
52
−′ )
เห็นไดวา สมการดังกลาวมีกราฟ เมื่อเทียบกับแกนที่หมุนไปเปนพาราโบลามีจุด )
5
1
,
5
8
(
เปนจุดยอด อยางไรก็ตามเรื่องนี้เปนเรื่องที่คอนขางยุงยาก ในกรณีที่ตองการใชเสริมใหผูเรียนควรทําภายหลัง
จากเรียนตรีโกณมิติจนจบแลว และกรณีการจําสูตรคาของ tan 2θ อาจไมตองจําแตใชขั้นตอนวิธีแทนได
ทั้งนี้ ผูสอนอาจตองเลือกโจทยที่ไมยากนักดวย และในการใชหลังจากหมุนแกนแลวจะตองเลื่อนแกนทาง
ขนานกับแกนที่หมุนไปดวย
โดยการใชความรูดังกลาว จะสามารถพิจารณาสรุปเปนทฤษฎีวา จากสมการกําลังสองสองตัวแปร
รูปทั่วไป
Ax2
+ Bxy + Cy2
+ Dx + Ey + F = 0
เมื่อพิจารณาจากคา B2
– 4AC จะมีขอสรุปเกี่ยวกับกราฟดังนี้
1. ถาเปนจํานวนจริงลบ กราฟจะเปนวงรี จุด หรืออาจไมมีกราฟ
2. ถาเปนศูนย กราฟจะเปนพาราโบลา หรือเสนตรง 2 เสนที่ขนานกัน หรือเสนตรงเสนเดียว
หรือไมมีกราฟ
3. ถาเปนจํานวนจริงบวก กราฟจะเปนไฮเพอรโบลา หรือเสนตรงสองเสนตัดกัน
คูมือครูสาระการเรียนรูเพิ่มเติม
คณิตศาสตร เลม ๒
กลุมสาระการเรียนรูคณิตศาสตร
ชั้นมัธยมศึกษาปที่ ๔
ตามหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๔๔
จัดทําโดย
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
กระทรวงศึกษาธิการ
ISBN 974-01-3820-9
พิมพครั้งที่หนึ่ง ๑๐,๐๐๐ เลม
พ.ศ. ๒๕๔๗
องคการคาของคุรุสภาจัดพิมพจําหนาย
พิมพที่โรงพิมพคุรุสภาลาดพราว
๒๒๔๙ ถนนลาดพราว วังทองหลาง กรุงเทพมหานคร
มีลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติ
171
กิจกรรมเสนอแนะ
ระยะระหวางจุดสองจุด
กอนสอนบอกใหผูเรียนทราบวาระยะระหวางจุด A ถึงจุด B เขียนแทนดวย AB หรือ ⏐AB⏐
1. ผูสอนควรใหผูเรียนหาระยะระหวางจุด 2 จุดบนแกน X หรือแกน Y กอนและหาระยะ
ระหวางจุด 2 จุดในแนวเสนตรงที่ขนานกับแกน X หรือแกน Y แลวจึงใหหาระยะระหวางจุด 2 จุดใด ๆ
บนระนาบ ดังวิธีการแตละขั้นดังตอไปนี้
(1) กําหนดตัวอยางของจุด 2 จุดบนแกน X ใหผูเรียนหาระยะระหวางจุด 2 จุดนี้หลาย ๆ
ตัวอยาง เชน A(0, 0), B(4, 0) และ P(–3, 0), Q(2, 0) ฯลฯ ดังรูป
ผูเรียนควรตอบไดวา AB = 4 หนวย ไดจาก ⏐4 – 0⏐ หรือ ⏐0 – 4⏐
และ PQ = 5 หนวย ไดจาก ⏐–3 –2⏐ หรือ ⏐2 – (–3)⏐
จากกิจกรรมนี้ผูเรียนจะสรุปไดวา ระยะหางระหวางจุด A(a, 0) และจุด B(b, 0) คือ
AB = ⏐a – b⏐ = ⏐b – a⏐
(2) ในทํานองเดียวกันจะหาระยะระหวางจุด 2 จุดบนแกน Y ไดโดยใชวิธีการเดียวกับ
ขอ (1) ซึ่งผูเรียนจะสรุปไดวา ระยะระหวางจุด C(0, c) และ D(0, d) คือ CD = ⏐c – d⏐ = ⏐d – c⏐
(3) กําหนดจุดสองจุดที่อยูในแนวเสนตรงเดียวกันกับเสนตรงที่ขนานกับแกน X หรือ
แกน Y ใหผูเรียนหาระยะทางระหวางจุดสองจุดนั้น โดยวิธีเดียวกับการหาระยะระหวางจุดสองจุดใด ๆ
บนแกน X และแกน Y ผูเรียนควรสรุปไดวา
ระยะระหวางจุด A(a, b) กับจุด B(a, c) คือ AB = ⏐b – c⏐ = ⏐c – b⏐
และ ระยะระหวางจุด C(d, e) กับจุด D(f, e) คือ CD = ⏐d – f⏐ = ⏐f – d⏐
โดยผูสอนยกตัวอยางที่เปนตัวเลขประกอบดวย
X
Y
A (0, 0) B (4, 0)
•• X
Y
P (–3, 0) Q (2, 0)
•• •
คูมือครูสาระการเรียนรูเพิ่มเติม
คณิตศาสตร เลม ๒
กลุมสาระการเรียนรูคณิตศาสตร
ชั้นมัธยมศึกษาปที่ ๔
ตามหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๔๔
จัดทําโดย
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
กระทรวงศึกษาธิการ
ISBN 974-01-3820-9
พิมพครั้งที่หนึ่ง ๑๐,๐๐๐ เลม
พ.ศ. ๒๕๔๗
องคการคาของคุรุสภาจัดพิมพจําหนาย
พิมพที่โรงพิมพคุรุสภาลาดพราว
๒๒๔๙ ถนนลาดพราว วังทองหลาง กรุงเทพมหานคร
มีลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติ
172
2. ในการหาระยะระหวางจุดสองจุดใด ๆ บนระนาบนั้นตองอาศัยทฤษฎีบทปทาโกรัส ดังนั้น
เพื่อใหผูเรียนเกิดแนวความคิดที่จะนําทฤษฎีบทดังกลาวมาใช ผูสอนอาจใชวิธีการดังตอไปนี้
(1) กําหนดจุด A(0, a) และ B(b, 0) เปนจุดบนแกน Y และแกน X ตามลําดับ ใหผูเรียน
หาระยะระหวางจุด A กับจุด B ผูสอนอาจยกตัวอยางจุดที่มีพิกัดเปนจํานวนจริง เชน A(0, 3) และ
B(4, 0) หรือ A(0, –3) และ B(–4, 0) เปนตน
ซึ่งจากรูป ผูเรียนจะเห็นไดวา AB คือดานตรงขาม
ของรูปสามเหลี่ยมมุมฉาก
ผูสอนใหผูเรียนหา AB (ผูเรียนควรหาไดดวยตนเอง
โดยใชทฤษฎีบทปทาโกรัส)
(2) กําหนดจุด A อยูที่จุด (0, 0) และจุด B เปนจุดใด ๆ เชน B(3, 4) ฯลฯ ใหผูเรียนหา
AB (ผูเรียนควรหาไดโดยเสนอวาควรลากเสนตรงขนานกับแกน X หรือแกน Y โดยใหเสนตรงนั้นผาน
จุด B จะไดรูปสามเหลี่ยมมุมฉาก แลวใชทฤษฎีบทปทาโกรัส)
ถาผูเรียนยังเสนอแนะเพิ่มเติมจากสิ่งที่กําหนดใหไมได
ผูสอนควรพยายามตั้งคําถามเพื่อใหผูเรียนนําความคิด
เกี่ยวกับการหาระยะ AB ในขอ (1) มาใช ซึ่งผูเรียน
จะทราบวาจําเปนตองลากเสนตรงขนานกับแกน X หรือ
แกน Y โดยใหเสนตรงนั้นผานจุด B จะไดรูปสามเหลี่ยม
มุมฉากแลวใชทฤษฎีบทปทาโกรัสผูสอนอาจฝกให
ผูเรียนหา AB เมื่อ A เปนจุดบนแกน X (หรือแกน Y)
แตไมใชจุด (0, 0)
X
Y
A (0, a)
B (b, 0)
•
•
0
X
Y
B (a, b)
(0, 0)
•
•
A
คูมือครูสาระการเรียนรูเพิ่มเติม
คณิตศาสตร เลม ๒
กลุมสาระการเรียนรูคณิตศาสตร
ชั้นมัธยมศึกษาปที่ ๔
ตามหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๔๔
จัดทําโดย
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
กระทรวงศึกษาธิการ
ISBN 974-01-3820-9
พิมพครั้งที่หนึ่ง ๑๐,๐๐๐ เลม
พ.ศ. ๒๕๔๗
องคการคาของคุรุสภาจัดพิมพจําหนาย
พิมพที่โรงพิมพคุรุสภาลาดพราว
๒๒๔๙ ถนนลาดพราว วังทองหลาง กรุงเทพมหานคร
มีลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติ
173
(3) กําหนดจุด A(x1, y1) และ B(x2, y2) เปนจุดในระนาบที่ไมอยูบนแกน X หรือแกน Y
ใหผูเรียนหา AB จากความรูในขอ (1) และ (2) ผูเรียนจะทราบวาตองลากเสนตรงผานจุด A และ B
โดยที่เสนตรงดังกลาวตองขนานกับแกน X หรือแกน Y
เพื่อทําใหเกิดรูปสามเหลี่ยมมุมฉาก แลวใชทฤษฎีบท
ปทาโกรัสสรุปไดวา ระยะทางระหวางจุด A(x1, y1) กับ
B(x2, y2) คือ
AB = 2
21
2
21 )yy()xx( −+−
หรือ AB = 2
12
2
12 )yy()xx( −+−
หมายเหตุ เสนประในรูป ผูสอนควรจะใชชอลกสีลากเปนเสนทึบเพื่อใหผูเรียนเห็นเปนรูปสามเหลี่ยม
มุมฉากไดชัดเจน
จุดกึ่งกลางระหวางจุด 2 จุด
1. ผูสอนกําหนดจุด 2 จุดใด ๆ บนระนาบใหผูเรียนหาจุดกึ่งกลางระหวางจุดทั้ง 2 นั้น ผูเรียน
อาจจะหาตําแหนงโดยการใชวงเวียนหรือการวัดแตไมสามารถหาพิกัดของจุดกึ่งกลางไดทุกกรณี กิจกรรมนี้
ทําเพื่อชักจูงใหผูเรียนเกิดความตองการทราบวิธีหาพิกัดของจุดกึ่งกลางระหวางจุด 2 จุดใด ๆ
2. ผูสอนกําหนดจุด 2 จุด ซึ่งอยูบนแกน X ให เชน A(0, 0) กับ B(8, 0) หรือ A(0, 0) กับ
B(15, 0) ใหผูเรียนหาจุดกึ่งกลางระหวางจุด A และ B
ผูสอนกําหนดจุด 2 จุด เชน A(0, 0), B(– 4, 0) หรือ A(0, 0), B(–7, 0) ฯลฯ ใหผูเรียนหา
จุดกึ่งกลางระหวางจุด A และ B
ผูสอนกําหนดจุด 2 จุด เชน A(8, 0), B(12, 0) หรือ A(9, 0), B(12, 0) หรือ A(– 4, 0),
B(–8, 0) หรือ A(– 4, 0), B(12, 0) ฯลฯ ใหผูเรียนหาจุดกึ่งกลางระหวางจุด A และ B
ผูเรียนควรสรุปไดวา จุดกึ่งกลางระหวางจุด (x1, 0) กับ (x2, 0) คือ จุด )0,
2
xx
( 21 +
ผูสอนควรพยายามหลีกเลี่ยงใหผูเรียนคิดโดยการเขียนรูป ซึ่งอาจใชตัวอยางที่เปนตัวเลขงาย ๆ
(ในขั้นแรก ๆ ผูสอนอาจใชรูปบางเพื่อใหเกิดแนวความคิด แตหลังจากสอนจบแลวผูเรียนควรสรุปขอความ
ขางตนไดโดยไมตองอาศัยรูป)
3. ผูสอนยกตัวอยางจุดซึ่งอยูบนแกน Y แลวทําในทํานองเดียวกับขอ 2 ซึ่งผูเรียนควรสรุปไดวา
จุดกึ่งกลางระหวางจุด (0, y1) กับ (0, y2) คือ )
2
yy
,0( 21 +
X
Y
•
•
A
B
0
คูมือครูสาระการเรียนรูเพิ่มเติม
คณิตศาสตร เลม ๒
กลุมสาระการเรียนรูคณิตศาสตร
ชั้นมัธยมศึกษาปที่ ๔
ตามหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๔๔
จัดทําโดย
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
กระทรวงศึกษาธิการ
ISBN 974-01-3820-9
พิมพครั้งที่หนึ่ง ๑๐,๐๐๐ เลม
พ.ศ. ๒๕๔๗
องคการคาของคุรุสภาจัดพิมพจําหนาย
พิมพที่โรงพิมพคุรุสภาลาดพราว
๒๒๔๙ ถนนลาดพราว วังทองหลาง กรุงเทพมหานคร
มีลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติ
174
4. ผูสอนกําหนดจุด 2 จุด ซึ่งอยูในแนวเสนตรงเดียวกันที่ขนานกับแกน X เชน จุด A(3, 2)
กับ B(7, 2) หรือ A(4, –3) กับ B(6, –3) ฯลฯ ใหผูเรียนหาจุดกึ่งกลาง
ผูเรียนควรสรุปไดวา จุดกึ่งกลางระหวางจุด (x1, y1) กับ (x2, y1) คือจุด )y,
2
xx
( 1
21 +
5. ผูสอนกําหนดจุด 2 จุด ซึ่งอยูในแนวเสนตรงเดียวกันกับเสนที่ขนานกับแกน Y เชน
A(3, 8) กับ B(3, 6) หรือ A(–3, 6) กับ B(–3, 8) ฯลฯ แลวทําในทํานองเดียวกับขอ 4
ผูเรียนควรสรุปไดวาจุดกึ่งกลางระหวางจุด (x1, y1) กับ (x1, y2) คือจุด )
2
yy
,x( 21
1
+
6. การหาจุดกึ่งกลางของสวนของเสนตรง AB ในกรณีที่สวนของเสนตรงไมอยูในแนวขนาน
กับแกน X หรือแกน Y
ผูสอนกําหนดสวนของเสนตรง ซึ่งมีจุดเริ่มตนจุดหนึ่งอยูที่จุด (0, 0) เชน สวนของเสนตรงที่
เชื่อมจุด A(0, 0) และจุด B(4, 8) แลวใหผูเรียนหาพิกัดของจุด (x, y) ซึ่งเปนจุดกึ่งกลางของ AB
ถาผูเรียนหาคา x ไมได ใหผูสอนแนะโดยการลาก
เสนตรงผานจุด B(4, 8) ตัดและตั้งฉากกับแกน X
ถาผูเรียนยังหาไมไดอีก ใหผูสอนแนะอีกขั้น โดยการลาก
เสนตรงผานจุดกึ่งกลางตัดและตั้งฉากกับแกน X และใช
ความรูเกี่ยวกับสมบัติของสามเหลี่ยมคลาย (ซึ่งผูเรียนควร
หาคา x ได ในทํานองเดียวกันใหผูเรียนหาคา y)
7. ผูสอนกําหนดสวนของเสนตรงซึ่งจุดปลายทั้งสองไมอยูบนแกน X หรือแกน Y ใหผูเรียน
หาจุดกึ่งกลาง โดยผูสอนใชวิธีการถามเปนขั้น ๆ ดังวิธีที่ผานมา
ถาผูเรียนหาคา x ไมได ผูสอนควรแนะใหผูเรียนลากสวน
ของเสนตรง AE ใหขนานกับแกน X ตั้งฉากกับ CD
และ BE ซึ่งเปนสวนของเสนตรงที่ขนานกับแกน Y ที่
จุด D และ E ตามลําดับ แลวใหผูเรียนใชความรูเกี่ยวกับ
สมบัติของสามเหลี่ยมคลาย (∆ ACD ∼ ∆ABE) หาคา
x, y ซึ่งผูเรียนควรสรุปไดวา จุดกึ่งกลางของสวนของ
เสนตรงที่มีจุดปลายที่จุด A(x1, y1) และจุด B(x2, y2)
คือจุด )
2
yy
,
2
xx
( 2121 ++
X
Y
B (x2, y2)
A (x1, y1) D (x, y1) E (x2, y1)•
•
0
C (x, y)
X
Y
•
•
A (0, 0)
B (4, 8)
(x, y) •
คูมือครูสาระการเรียนรูเพิ่มเติม
คณิตศาสตร เลม ๒
กลุมสาระการเรียนรูคณิตศาสตร
ชั้นมัธยมศึกษาปที่ ๔
ตามหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๔๔
จัดทําโดย
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
กระทรวงศึกษาธิการ
ISBN 974-01-3820-9
พิมพครั้งที่หนึ่ง ๑๐,๐๐๐ เลม
พ.ศ. ๒๕๔๗
องคการคาของคุรุสภาจัดพิมพจําหนาย
พิมพที่โรงพิมพคุรุสภาลาดพราว
๒๒๔๙ ถนนลาดพราว วังทองหลาง กรุงเทพมหานคร
มีลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติ
175
ความชันของเสนตรง
ในการนําเขาสูบทเรียนในเรื่องนี้ ผูสอนอาจยกตัวอยางเรื่องที่ผูเรียนคุนเคยในชีวิตประจําวัน
เชน การพาดบันไดกับกําแพง ดังรูป
ผูสอนอาจใหผูเรียนดูรูปขางตนแลวใหชวยกันตอบคําถามวา บันไดที่พาดในลักษณะไหนมี
ความชันมากกวากัน หลังจากที่ผูเรียนไดรวมกันอภิปรายแลวควรจะสรุปไดวา ความชันของบันไดขึ้นอยู
กับระยะในแนวราบระหวางโคนบันไดกับกําแพง โดยบันไดที่โคนบันไดอยูหางจากกําแพงนอยกวา
จะมีความชันมากกวา
ผูสอนยกตัวอยางใหม โดยสมมุติใหมีบันไดพาดขึ้นไปบนตึกในลักษณะตาง ๆ กัน แตมีระยะ
ในแนวราบระหวางโคนบันไดกับตัวตึกคงเดิม ดังรูป
ผูสอนตั้งคําถามในทํานองเดียวกัน ผูเรียนควรจะสรุปไดวา ความชันของบันไดขึ้นอยูกับระยะ
ในแนวดิ่ง โดยบันไดที่พาดขึ้นไปยังตึกชั้นที่สูงกวาจะมีความชันมากกวาบันไดอันที่พาดขึ้นไปบนตึก
ชั้นที่ต่ํากวา
คูมือครูสาระการเรียนรูเพิ่มเติม
คณิตศาสตร เลม ๒
กลุมสาระการเรียนรูคณิตศาสตร
ชั้นมัธยมศึกษาปที่ ๔
ตามหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๔๔
จัดทําโดย
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
กระทรวงศึกษาธิการ
ISBN 974-01-3820-9
พิมพครั้งที่หนึ่ง ๑๐,๐๐๐ เลม
พ.ศ. ๒๕๔๗
องคการคาของคุรุสภาจัดพิมพจําหนาย
พิมพที่โรงพิมพคุรุสภาลาดพราว
๒๒๔๙ ถนนลาดพราว วังทองหลาง กรุงเทพมหานคร
มีลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติ
176
ผูสอนลากสวนของเสนตรงในลักษณะตาง ๆ กัน บนกระดานกราฟ ดังรูป
จากรูปผูสอนใหผูเรียนรวมกันพิจารณาความชันของเสนตรง
ผูเรียนควรจะสรุปไดวา ความชันขึ้นอยูกับระยะในแนวดิ่งและแนวระดับ และผูสอนบอกผูเรียน
วา จะนิยามความชันของเสนตรงใด ๆ ไดดังนี้
บทนิยาม ให L เปนเสนตรงที่ผานจุด P1(x1, y1) และ
P2(x2, y2) โดยที่ x1 ≠ x2, m เปนความชันของเสนตรง L ก็ตอเมื่อ
m =
21
21
xx
yy
−
−
จากนั้น ใหผูเรียนฝกหาความชันของเสนตรงโดยอาศัยบทนิยามขางตน เพื่อใหผูเรียนเขาใจ
ขอสรุปตอไปนี้ คือ
1. ถาความชันเปนจํานวนบวก เสนตรงจะทํามุมแหลมกับแกน X (วัดมุมทวนเข็มนาฬิกาจาก
แกน X)
2. ถาความชันเปนจํานวนลบ เสนตรงจะทํามุมปานกับแกน X (วัดมุมทวนเข็มนาฬิกา
จากแกน X)
3. ถาเสนตรงขนานกับแกน X ความชันจะเปนศูนย
4. เสนตรงที่ขนานกับแกน Y นั้น ไมอาจหาความชันได
คูมือครูสาระการเรียนรูเพิ่มเติม
คณิตศาสตร เลม ๒
กลุมสาระการเรียนรูคณิตศาสตร
ชั้นมัธยมศึกษาปที่ ๔
ตามหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๔๔
จัดทําโดย
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
กระทรวงศึกษาธิการ
ISBN 974-01-3820-9
พิมพครั้งที่หนึ่ง ๑๐,๐๐๐ เลม
พ.ศ. ๒๕๔๗
องคการคาของคุรุสภาจัดพิมพจําหนาย
พิมพที่โรงพิมพคุรุสภาลาดพราว
๒๒๔๙ ถนนลาดพราว วังทองหลาง กรุงเทพมหานคร
มีลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติ
177
เสนตั้งฉาก
ผูสอนกําหนดพิกัดของจุดยอดของรูปสามเหลี่ยมมุมฉาก (ดานประกอบมุมฉากดานหนึ่ง
ไมขนานกับแกน Y) ให 3 จุด เชน
ใหผูเรียนทดสอบวา เปนรูปสามเหลี่ยมมุมฉากหรือไมโดยใชบทกลับของ ทฤษฎีบทของ
ปทาโกรัสที่กลาววา “ถารูปสามเหลี่ยม ABC มีดานยาว a, b และ c หนวย ตามลําดับ และ c2
= a2
+ b2
แลว ∆ ABC เปนรูปสามเหลี่ยมมุมฉากและมีดานที่ยาว c หนวย เปนดานตรงขามมุมฉาก”
ใหผูเรียนหาความชันของดานประกอบมุมฉาก และผลคูณของความชันของดานประกอบมุมฉาก
ซึ่งจะไดเทากับ –1
ผูสอนอาจยกตัวอยางอื่น ๆ ในทํานองเดียวกัน
ผูสอนกําหนดเสนตรง 2 เสนที่ตั้งฉากกัน โดยอาศัยการกําหนดจุดบนเสนตรงแตละเสนใหบน
กระดานกราฟ ใหผูเรียนชวยกันแสดงวาผลคูณของความชันของเสนตรงทั้งสองเทากับ –1
ผูสอนยกตัวอยางในทํานองเดียวกัน เพื่อใหผูเรียนมีแนวความคิดวา
“ผลคูณของความชันของเสนตรง 2 เสนที่ตั้งฉากกันมีคาเทากับ –1”
ผูสอนและผูเรียนชวยกันพิสูจนขอความดังกลาวตามวิธีการในหนังสือเรียน
Y
X
(– 4, 2)
(1, 1)
(–1, –1)
0
Add m4-2-chapter3
Add m4-2-chapter3
Add m4-2-chapter3
Add m4-2-chapter3
Add m4-2-chapter3
Add m4-2-chapter3
Add m4-2-chapter3
Add m4-2-chapter3
Add m4-2-chapter3
Add m4-2-chapter3
Add m4-2-chapter3
Add m4-2-chapter3
Add m4-2-chapter3
Add m4-2-chapter3
Add m4-2-chapter3
Add m4-2-chapter3
Add m4-2-chapter3
Add m4-2-chapter3
Add m4-2-chapter3
Add m4-2-chapter3
Add m4-2-chapter3
Add m4-2-chapter3
Add m4-2-chapter3
Add m4-2-chapter3
Add m4-2-chapter3
Add m4-2-chapter3
Add m4-2-chapter3
Add m4-2-chapter3
Add m4-2-chapter3
Add m4-2-chapter3
Add m4-2-chapter3
Add m4-2-chapter3
Add m4-2-chapter3
Add m4-2-chapter3
Add m4-2-chapter3
Add m4-2-chapter3
Add m4-2-chapter3
Add m4-2-chapter3
Add m4-2-chapter3
Add m4-2-chapter3
Add m4-2-chapter3
Add m4-2-chapter3
Add m4-2-chapter3
Add m4-2-chapter3
Add m4-2-chapter3
Add m4-2-chapter3
Add m4-2-chapter3
Add m4-2-chapter3
Add m4-2-chapter3
Add m4-2-chapter3
Add m4-2-chapter3
Add m4-2-chapter3
Add m4-2-chapter3
Add m4-2-chapter3
Add m4-2-chapter3
Add m4-2-chapter3
Add m4-2-chapter3
Add m4-2-chapter3
Add m4-2-chapter3
Add m4-2-chapter3
Add m4-2-chapter3
Add m4-2-chapter3
Add m4-2-chapter3
Add m4-2-chapter3
Add m4-2-chapter3
Add m4-2-chapter3
Add m4-2-chapter3
Add m4-2-chapter3
Add m4-2-chapter3
Add m4-2-chapter3
Add m4-2-chapter3
Add m4-2-chapter3
Add m4-2-chapter3
Add m4-2-chapter3
Add m4-2-chapter3
Add m4-2-chapter3
Add m4-2-chapter3
Add m4-2-chapter3
Add m4-2-chapter3
Add m4-2-chapter3
Add m4-2-chapter3
Add m4-2-chapter3
Add m4-2-chapter3
Add m4-2-chapter3
Add m4-2-chapter3
Add m4-2-chapter3
Add m4-2-chapter3
Add m4-2-chapter3
Add m4-2-chapter3
Add m4-2-chapter3
Add m4-2-chapter3
Add m4-2-chapter3
Add m4-2-chapter3
Add m4-2-chapter3
Add m4-2-chapter3
Add m4-2-chapter3
Add m4-2-chapter3
Add m4-2-chapter3
Add m4-2-chapter3
Add m4-2-chapter3
Add m4-2-chapter3
Add m4-2-chapter3
Add m4-2-chapter3
Add m4-2-chapter3
Add m4-2-chapter3
Add m4-2-chapter3
Add m4-2-chapter3
Add m4-2-chapter3
Add m4-2-chapter3
Add m4-2-chapter3
Add m4-2-chapter3
Add m4-2-chapter3
Add m4-2-chapter3
Add m4-2-chapter3
Add m4-2-chapter3
Add m4-2-chapter3
Add m4-2-chapter3
Add m4-2-chapter3
Add m4-2-chapter3
Add m4-2-chapter3
Add m4-2-chapter3
Add m4-2-chapter3
Add m4-2-chapter3
Add m4-2-chapter3
Add m4-2-chapter3
Add m4-2-chapter3
Add m4-2-chapter3
Add m4-2-chapter3
Add m4-2-chapter3

More Related Content

What's hot

สารสนเทศโรงเรียนกระแชงวิทยา ปีการศึกษา2558
สารสนเทศโรงเรียนกระแชงวิทยา ปีการศึกษา2558สารสนเทศโรงเรียนกระแชงวิทยา ปีการศึกษา2558
สารสนเทศโรงเรียนกระแชงวิทยา ปีการศึกษา2558
Miss.Yupawan Triratwitcha
 

What's hot (15)

67 การนับและความน่าจะเป็น ตอนที่2_การเรียงสับเปลี่ยน
67 การนับและความน่าจะเป็น ตอนที่2_การเรียงสับเปลี่ยน67 การนับและความน่าจะเป็น ตอนที่2_การเรียงสับเปลี่ยน
67 การนับและความน่าจะเป็น ตอนที่2_การเรียงสับเปลี่ยน
 
57 กำหนดการเชิงเส้น ตอนที่2_การหาค่าสุดขีด
57 กำหนดการเชิงเส้น ตอนที่2_การหาค่าสุดขีด57 กำหนดการเชิงเส้น ตอนที่2_การหาค่าสุดขีด
57 กำหนดการเชิงเส้น ตอนที่2_การหาค่าสุดขีด
 
58 ลำดับและอนุกรม บทนำ
58 ลำดับและอนุกรม บทนำ58 ลำดับและอนุกรม บทนำ
58 ลำดับและอนุกรม บทนำ
 
26 ทฤษฎีจำนวนเบื้องต้น บทนำ
26 ทฤษฎีจำนวนเบื้องต้น บทนำ26 ทฤษฎีจำนวนเบื้องต้น บทนำ
26 ทฤษฎีจำนวนเบื้องต้น บทนำ
 
66 การนับและความน่าจะเป็น ตอนที่1_การนับเบื้องต้น
66 การนับและความน่าจะเป็น ตอนที่1_การนับเบื้องต้น66 การนับและความน่าจะเป็น ตอนที่1_การนับเบื้องต้น
66 การนับและความน่าจะเป็น ตอนที่1_การนับเบื้องต้น
 
71 การนับและความน่าจะเป็น ตอนที่6_ความน่าจะเป็น1
71 การนับและความน่าจะเป็น ตอนที่6_ความน่าจะเป็น171 การนับและความน่าจะเป็น ตอนที่6_ความน่าจะเป็น1
71 การนับและความน่าจะเป็น ตอนที่6_ความน่าจะเป็น1
 
64 ลำดับและอนุกรม ตอนที่6_ทฤษฏีบทการลู่เข้าของอนุกรม
64 ลำดับและอนุกรม ตอนที่6_ทฤษฏีบทการลู่เข้าของอนุกรม64 ลำดับและอนุกรม ตอนที่6_ทฤษฏีบทการลู่เข้าของอนุกรม
64 ลำดับและอนุกรม ตอนที่6_ทฤษฏีบทการลู่เข้าของอนุกรม
 
69 การนับและความน่าจะเป็น ตอนที่4_ทฤษฎีบททวินาม
69 การนับและความน่าจะเป็น ตอนที่4_ทฤษฎีบททวินาม69 การนับและความน่าจะเป็น ตอนที่4_ทฤษฎีบททวินาม
69 การนับและความน่าจะเป็น ตอนที่4_ทฤษฎีบททวินาม
 
03 เซต ตอนที่2_เซตกำลังและการดำเนินการบนเซต
03 เซต ตอนที่2_เซตกำลังและการดำเนินการบนเซต03 เซต ตอนที่2_เซตกำลังและการดำเนินการบนเซต
03 เซต ตอนที่2_เซตกำลังและการดำเนินการบนเซต
 
สารสนเทศโรงเรียนกระแชงวิทยา ปีการศึกษา2558
สารสนเทศโรงเรียนกระแชงวิทยา ปีการศึกษา2558สารสนเทศโรงเรียนกระแชงวิทยา ปีการศึกษา2558
สารสนเทศโรงเรียนกระแชงวิทยา ปีการศึกษา2558
 
70 การนับและความน่าจะเป็น ตอนที่5_การทดลองสุ่ม
70 การนับและความน่าจะเป็น ตอนที่5_การทดลองสุ่ม70 การนับและความน่าจะเป็น ตอนที่5_การทดลองสุ่ม
70 การนับและความน่าจะเป็น ตอนที่5_การทดลองสุ่ม
 
08 การให้เหตุผลและตรรกศาสตร์ ตอนที่2_ประพจน์และกาสมมูล
08 การให้เหตุผลและตรรกศาสตร์ ตอนที่2_ประพจน์และกาสมมูล08 การให้เหตุผลและตรรกศาสตร์ ตอนที่2_ประพจน์และกาสมมูล
08 การให้เหตุผลและตรรกศาสตร์ ตอนที่2_ประพจน์และกาสมมูล
 
Limit
LimitLimit
Limit
 
21 จำนวนจริง ตอนที่8_การแก้อสมการค่าสัมบูรณ์
21 จำนวนจริง ตอนที่8_การแก้อสมการค่าสัมบูรณ์21 จำนวนจริง ตอนที่8_การแก้อสมการค่าสัมบูรณ์
21 จำนวนจริง ตอนที่8_การแก้อสมการค่าสัมบูรณ์
 
27 ทฤษฎีจำนวนเบื้องต้น ตอนที่1_การหารลงตัวและจำนวนเฉพาะ
27 ทฤษฎีจำนวนเบื้องต้น ตอนที่1_การหารลงตัวและจำนวนเฉพาะ27 ทฤษฎีจำนวนเบื้องต้น ตอนที่1_การหารลงตัวและจำนวนเฉพาะ
27 ทฤษฎีจำนวนเบื้องต้น ตอนที่1_การหารลงตัวและจำนวนเฉพาะ
 

Similar to Add m4-2-chapter3

บทที่ 1 ลำดับและอนุกรม
บทที่ 1 ลำดับและอนุกรมบทที่ 1 ลำดับและอนุกรม
บทที่ 1 ลำดับและอนุกรมsawed kodnara
 
เซต เล่ม 1
เซต เล่ม 1เซต เล่ม 1
เซต เล่ม 1
คุณครูพี่อั๋น
 
1-2
1-21-2
Pat1 ปี 52
Pat1 ปี 52Pat1 ปี 52
Pat1 ปี 52
thunnattapat
 
Pat15203
Pat15203Pat15203
Pat15203
Tippatai
 
แผนรายบท
แผนรายบทแผนรายบท
แผนรายบท
Toongneung SP
 
หน่วย 1
หน่วย 1หน่วย 1
หน่วย 1
Toongneung SP
 
แผนที่
แผนที่แผนที่
แผนที่Cha Rat
 

Similar to Add m4-2-chapter3 (19)

บทที่ 1 ลำดับและอนุกรม
บทที่ 1 ลำดับและอนุกรมบทที่ 1 ลำดับและอนุกรม
บทที่ 1 ลำดับและอนุกรม
 
เซต เล่ม 1
เซต เล่ม 1เซต เล่ม 1
เซต เล่ม 1
 
1-2
1-21-2
1-2
 
Geomety
GeometyGeomety
Geomety
 
Add m5-1-chapter2
Add m5-1-chapter2Add m5-1-chapter2
Add m5-1-chapter2
 
Add m2-1-chapter3
Add m2-1-chapter3Add m2-1-chapter3
Add m2-1-chapter3
 
Calculus
CalculusCalculus
Calculus
 
Add m6-2-chapter1
Add m6-2-chapter1Add m6-2-chapter1
Add m6-2-chapter1
 
Pat1 ปี 52
Pat1 ปี 52Pat1 ปี 52
Pat1 ปี 52
 
Pat15203
Pat15203Pat15203
Pat15203
 
แผนรายบท
แผนรายบทแผนรายบท
แผนรายบท
 
Add m5-1-chapter3
Add m5-1-chapter3Add m5-1-chapter3
Add m5-1-chapter3
 
72 การนับและความน่าจะเป็น ตอนที่7_ความน่าจะเป็น2
72 การนับและความน่าจะเป็น ตอนที่7_ความน่าจะเป็น272 การนับและความน่าจะเป็น ตอนที่7_ความน่าจะเป็น2
72 การนับและความน่าจะเป็น ตอนที่7_ความน่าจะเป็น2
 
30 ความสัมพันธ์และฟังก์ชัน ตอนที่1_ความสัมพันธ์
30 ความสัมพันธ์และฟังก์ชัน ตอนที่1_ความสัมพันธ์30 ความสัมพันธ์และฟังก์ชัน ตอนที่1_ความสัมพันธ์
30 ความสัมพันธ์และฟังก์ชัน ตอนที่1_ความสัมพันธ์
 
หน่วย 1
หน่วย 1หน่วย 1
หน่วย 1
 
Add m5-1-chapter1
Add m5-1-chapter1Add m5-1-chapter1
Add m5-1-chapter1
 
44 ตรีโกณมิติ ตอนที่1_อัตราส่วนตรีโกณมิติ
44 ตรีโกณมิติ ตอนที่1_อัตราส่วนตรีโกณมิติ44 ตรีโกณมิติ ตอนที่1_อัตราส่วนตรีโกณมิติ
44 ตรีโกณมิติ ตอนที่1_อัตราส่วนตรีโกณมิติ
 
10 การให้เหตุผลและตรรกศาสตร์ ตอนที่4_ประโยคเปิดและวลีบ่งปริมาณ
10 การให้เหตุผลและตรรกศาสตร์ ตอนที่4_ประโยคเปิดและวลีบ่งปริมาณ10 การให้เหตุผลและตรรกศาสตร์ ตอนที่4_ประโยคเปิดและวลีบ่งปริมาณ
10 การให้เหตุผลและตรรกศาสตร์ ตอนที่4_ประโยคเปิดและวลีบ่งปริมาณ
 
แผนที่
แผนที่แผนที่
แผนที่
 

More from กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ โรงเรียนอุตรดิตถ์

More from กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ โรงเรียนอุตรดิตถ์ (20)

Basic m2-2-chapter1
Basic m2-2-chapter1Basic m2-2-chapter1
Basic m2-2-chapter1
 
Basic m5-2-chapter3
Basic m5-2-chapter3Basic m5-2-chapter3
Basic m5-2-chapter3
 
Basic m5-2-chapter2
Basic m5-2-chapter2Basic m5-2-chapter2
Basic m5-2-chapter2
 
Basic m5-2-link
Basic m5-2-linkBasic m5-2-link
Basic m5-2-link
 
Basic m5-1-link
Basic m5-1-linkBasic m5-1-link
Basic m5-1-link
 
Basic m5-1-chapter1
Basic m5-1-chapter1Basic m5-1-chapter1
Basic m5-1-chapter1
 
Basic m5-1-chapter2
Basic m5-1-chapter2Basic m5-1-chapter2
Basic m5-1-chapter2
 
Basic m5-2-chapter1
Basic m5-2-chapter1Basic m5-2-chapter1
Basic m5-2-chapter1
 
Basic m4-2-link
Basic m4-2-linkBasic m4-2-link
Basic m4-2-link
 
Basic m4-2-chapter2
Basic m4-2-chapter2Basic m4-2-chapter2
Basic m4-2-chapter2
 
Basic m4-1-link
Basic m4-1-linkBasic m4-1-link
Basic m4-1-link
 
Basic m4-2-chapter1
Basic m4-2-chapter1Basic m4-2-chapter1
Basic m4-2-chapter1
 
Basic m4-1-chapter2
Basic m4-1-chapter2Basic m4-1-chapter2
Basic m4-1-chapter2
 
Basic m4-1-chapter3
Basic m4-1-chapter3Basic m4-1-chapter3
Basic m4-1-chapter3
 
Basic m4-1-chapter4
Basic m4-1-chapter4Basic m4-1-chapter4
Basic m4-1-chapter4
 
Basic m3-2-chapter2
Basic m3-2-chapter2Basic m3-2-chapter2
Basic m3-2-chapter2
 
Basic m3-2-link
Basic m3-2-linkBasic m3-2-link
Basic m3-2-link
 
Basic m4-1-chapter1
Basic m4-1-chapter1Basic m4-1-chapter1
Basic m4-1-chapter1
 
Basic m3-2-chapter4
Basic m3-2-chapter4Basic m3-2-chapter4
Basic m3-2-chapter4
 
Basic m3-2-chapter3
Basic m3-2-chapter3Basic m3-2-chapter3
Basic m3-2-chapter3
 

Recently uploaded

1-2_ปัญหาและเฉลยข้อสอบบาลีสนามหลวง วิชา บาลีไวยากรณ์ ประโยค 1-2 (2511-2567).pdf
1-2_ปัญหาและเฉลยข้อสอบบาลีสนามหลวง วิชา บาลีไวยากรณ์ ประโยค 1-2 (2511-2567).pdf1-2_ปัญหาและเฉลยข้อสอบบาลีสนามหลวง วิชา บาลีไวยากรณ์ ประโยค 1-2 (2511-2567).pdf
1-2_ปัญหาและเฉลยข้อสอบบาลีสนามหลวง วิชา บาลีไวยากรณ์ ประโยค 1-2 (2511-2567).pdf
สุเมธี​​​​ ตี่พนมโอรัล / សុមេធី ទីភ្នំឱរ៉ាល់ (Sumedhi TyPhnomAoral)
 
3_ปัญหาและเฉลยข้อสอบบาลีสนามหลวง วิชา แปลมคธเป็นไทย ประโยค ป.ธ.3 (2500-2567).pdf
3_ปัญหาและเฉลยข้อสอบบาลีสนามหลวง วิชา แปลมคธเป็นไทย ประโยค ป.ธ.3 (2500-2567).pdf3_ปัญหาและเฉลยข้อสอบบาลีสนามหลวง วิชา แปลมคธเป็นไทย ประโยค ป.ธ.3 (2500-2567).pdf
3_ปัญหาและเฉลยข้อสอบบาลีสนามหลวง วิชา แปลมคธเป็นไทย ประโยค ป.ธ.3 (2500-2567).pdf
สุเมธี​​​​ ตี่พนมโอรัล / សុមេធី ទីភ្នំឱរ៉ាល់ (Sumedhi TyPhnomAoral)
 
3_ปัญหาและเฉลยข้อสอบบาลีสนามหลวง วิชา สัมพันธ์ไทย ประโยค ป.ธ.3 (2500-2567).pdf
3_ปัญหาและเฉลยข้อสอบบาลีสนามหลวง วิชา สัมพันธ์ไทย ประโยค ป.ธ.3 (2500-2567).pdf3_ปัญหาและเฉลยข้อสอบบาลีสนามหลวง วิชา สัมพันธ์ไทย ประโยค ป.ธ.3 (2500-2567).pdf
3_ปัญหาและเฉลยข้อสอบบาลีสนามหลวง วิชา สัมพันธ์ไทย ประโยค ป.ธ.3 (2500-2567).pdf
สุเมธี​​​​ ตี่พนมโอรัล / សុមេធី ទីភ្នំឱរ៉ាល់ (Sumedhi TyPhnomAoral)
 
4_ปัญหาและเฉลยข้อสอบบาลีสนามหลวง วิชา แปลไทยเป็นมคธ ประโยค ป.ธ.4 (2505-2567).pdf
4_ปัญหาและเฉลยข้อสอบบาลีสนามหลวง วิชา แปลไทยเป็นมคธ ประโยค ป.ธ.4 (2505-2567).pdf4_ปัญหาและเฉลยข้อสอบบาลีสนามหลวง วิชา แปลไทยเป็นมคธ ประโยค ป.ธ.4 (2505-2567).pdf
4_ปัญหาและเฉลยข้อสอบบาลีสนามหลวง วิชา แปลไทยเป็นมคธ ประโยค ป.ธ.4 (2505-2567).pdf
สุเมธี​​​​ ตี่พนมโอรัล / សុមេធី ទីភ្នំឱរ៉ាល់ (Sumedhi TyPhnomAoral)
 
งานนำเสนอ ภาษากับการสื่อสาร เพื่อการพัฒนา.pdf
งานนำเสนอ ภาษากับการสื่อสาร เพื่อการพัฒนา.pdfงานนำเสนอ ภาษากับการสื่อสาร เพื่อการพัฒนา.pdf
งานนำเสนอ ภาษากับการสื่อสาร เพื่อการพัฒนา.pdf
Faculty of BuddhismMahachulalongkornrajavidyalaya Roi Et Buddhist College
 
แนวความเชื่อ วิธีการปฎิบัติ พระพุทธศาสนามหายาน.pdf
แนวความเชื่อ วิธีการปฎิบัติ พระพุทธศาสนามหายาน.pdfแนวความเชื่อ วิธีการปฎิบัติ พระพุทธศาสนามหายาน.pdf
แนวความเชื่อ วิธีการปฎิบัติ พระพุทธศาสนามหายาน.pdf
Faculty of BuddhismMahachulalongkornrajavidyalaya Roi Et Buddhist College
 
การเขียนข้อเสนอโครงการวิจัย (Research Proposal)
การเขียนข้อเสนอโครงการวิจัย (Research Proposal)การเขียนข้อเสนอโครงการวิจัย (Research Proposal)
การเขียนข้อเสนอโครงการวิจัย (Research Proposal)
Prachyanun Nilsook
 
1-2_ปัญหาและเฉลยข้อสอบบาลีสนามหลวง วิชา แปลมคธเป็นไทย ประโยค 1-2 (2510-2567).pdf
1-2_ปัญหาและเฉลยข้อสอบบาลีสนามหลวง วิชา แปลมคธเป็นไทย ประโยค 1-2 (2510-2567).pdf1-2_ปัญหาและเฉลยข้อสอบบาลีสนามหลวง วิชา แปลมคธเป็นไทย ประโยค 1-2 (2510-2567).pdf
1-2_ปัญหาและเฉลยข้อสอบบาลีสนามหลวง วิชา แปลมคธเป็นไทย ประโยค 1-2 (2510-2567).pdf
สุเมธี​​​​ ตี่พนมโอรัล / សុមេធី ទីភ្នំឱរ៉ាល់ (Sumedhi TyPhnomAoral)
 
ภาษาอังกฤษเพื่อการปฏิบัติกรรมฐานในพระพุทธศาสนา
ภาษาอังกฤษเพื่อการปฏิบัติกรรมฐานในพระพุทธศาสนาภาษาอังกฤษเพื่อการปฏิบัติกรรมฐานในพระพุทธศาสนา
ภาษาอังกฤษเพื่อการปฏิบัติกรรมฐานในพระพุทธศาสนา
Faculty of BuddhismMahachulalongkornrajavidyalaya Roi Et Buddhist College
 
atwordfamily words with Thai translationtx
atwordfamily words with Thai translationtxatwordfamily words with Thai translationtx
atwordfamily words with Thai translationtx
Bangkok, Thailand
 

Recently uploaded (10)

1-2_ปัญหาและเฉลยข้อสอบบาลีสนามหลวง วิชา บาลีไวยากรณ์ ประโยค 1-2 (2511-2567).pdf
1-2_ปัญหาและเฉลยข้อสอบบาลีสนามหลวง วิชา บาลีไวยากรณ์ ประโยค 1-2 (2511-2567).pdf1-2_ปัญหาและเฉลยข้อสอบบาลีสนามหลวง วิชา บาลีไวยากรณ์ ประโยค 1-2 (2511-2567).pdf
1-2_ปัญหาและเฉลยข้อสอบบาลีสนามหลวง วิชา บาลีไวยากรณ์ ประโยค 1-2 (2511-2567).pdf
 
3_ปัญหาและเฉลยข้อสอบบาลีสนามหลวง วิชา แปลมคธเป็นไทย ประโยค ป.ธ.3 (2500-2567).pdf
3_ปัญหาและเฉลยข้อสอบบาลีสนามหลวง วิชา แปลมคธเป็นไทย ประโยค ป.ธ.3 (2500-2567).pdf3_ปัญหาและเฉลยข้อสอบบาลีสนามหลวง วิชา แปลมคธเป็นไทย ประโยค ป.ธ.3 (2500-2567).pdf
3_ปัญหาและเฉลยข้อสอบบาลีสนามหลวง วิชา แปลมคธเป็นไทย ประโยค ป.ธ.3 (2500-2567).pdf
 
3_ปัญหาและเฉลยข้อสอบบาลีสนามหลวง วิชา สัมพันธ์ไทย ประโยค ป.ธ.3 (2500-2567).pdf
3_ปัญหาและเฉลยข้อสอบบาลีสนามหลวง วิชา สัมพันธ์ไทย ประโยค ป.ธ.3 (2500-2567).pdf3_ปัญหาและเฉลยข้อสอบบาลีสนามหลวง วิชา สัมพันธ์ไทย ประโยค ป.ธ.3 (2500-2567).pdf
3_ปัญหาและเฉลยข้อสอบบาลีสนามหลวง วิชา สัมพันธ์ไทย ประโยค ป.ธ.3 (2500-2567).pdf
 
4_ปัญหาและเฉลยข้อสอบบาลีสนามหลวง วิชา แปลไทยเป็นมคธ ประโยค ป.ธ.4 (2505-2567).pdf
4_ปัญหาและเฉลยข้อสอบบาลีสนามหลวง วิชา แปลไทยเป็นมคธ ประโยค ป.ธ.4 (2505-2567).pdf4_ปัญหาและเฉลยข้อสอบบาลีสนามหลวง วิชา แปลไทยเป็นมคธ ประโยค ป.ธ.4 (2505-2567).pdf
4_ปัญหาและเฉลยข้อสอบบาลีสนามหลวง วิชา แปลไทยเป็นมคธ ประโยค ป.ธ.4 (2505-2567).pdf
 
งานนำเสนอ ภาษากับการสื่อสาร เพื่อการพัฒนา.pdf
งานนำเสนอ ภาษากับการสื่อสาร เพื่อการพัฒนา.pdfงานนำเสนอ ภาษากับการสื่อสาร เพื่อการพัฒนา.pdf
งานนำเสนอ ภาษากับการสื่อสาร เพื่อการพัฒนา.pdf
 
แนวความเชื่อ วิธีการปฎิบัติ พระพุทธศาสนามหายาน.pdf
แนวความเชื่อ วิธีการปฎิบัติ พระพุทธศาสนามหายาน.pdfแนวความเชื่อ วิธีการปฎิบัติ พระพุทธศาสนามหายาน.pdf
แนวความเชื่อ วิธีการปฎิบัติ พระพุทธศาสนามหายาน.pdf
 
การเขียนข้อเสนอโครงการวิจัย (Research Proposal)
การเขียนข้อเสนอโครงการวิจัย (Research Proposal)การเขียนข้อเสนอโครงการวิจัย (Research Proposal)
การเขียนข้อเสนอโครงการวิจัย (Research Proposal)
 
1-2_ปัญหาและเฉลยข้อสอบบาลีสนามหลวง วิชา แปลมคธเป็นไทย ประโยค 1-2 (2510-2567).pdf
1-2_ปัญหาและเฉลยข้อสอบบาลีสนามหลวง วิชา แปลมคธเป็นไทย ประโยค 1-2 (2510-2567).pdf1-2_ปัญหาและเฉลยข้อสอบบาลีสนามหลวง วิชา แปลมคธเป็นไทย ประโยค 1-2 (2510-2567).pdf
1-2_ปัญหาและเฉลยข้อสอบบาลีสนามหลวง วิชา แปลมคธเป็นไทย ประโยค 1-2 (2510-2567).pdf
 
ภาษาอังกฤษเพื่อการปฏิบัติกรรมฐานในพระพุทธศาสนา
ภาษาอังกฤษเพื่อการปฏิบัติกรรมฐานในพระพุทธศาสนาภาษาอังกฤษเพื่อการปฏิบัติกรรมฐานในพระพุทธศาสนา
ภาษาอังกฤษเพื่อการปฏิบัติกรรมฐานในพระพุทธศาสนา
 
atwordfamily words with Thai translationtx
atwordfamily words with Thai translationtxatwordfamily words with Thai translationtx
atwordfamily words with Thai translationtx
 

Add m4-2-chapter3

  • 1. คูมือครูสาระการเรียนรูเพิ่มเติม คณิตศาสตร เลม ๒ กลุมสาระการเรียนรูคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ ๔ ตามหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๔๔ จัดทําโดย สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี กระทรวงศึกษาธิการ ISBN 974-01-3820-9 พิมพครั้งที่หนึ่ง ๑๐,๐๐๐ เลม พ.ศ. ๒๕๔๗ องคการคาของคุรุสภาจัดพิมพจําหนาย พิมพที่โรงพิมพคุรุสภาลาดพราว ๒๒๔๙ ถนนลาดพราว วังทองหลาง กรุงเทพมหานคร มีลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติ บทที่ 3 เรขาคณิตวิเคราะห ( 42 ชั่วโมง ) สําหรับบทเรียนนี้จะกลาวถึง เรขาคณิตวิเคราะห โดยแบงเปนสองหัวขอใหญ ๆ คือ ความรู เบื้องตนเกี่ยวกับเรขาคณิตวิเคราะห และภาคตัดกรวย โดยจะเนนการนําความรูไปใชในการแกปญหา แต ถึงอยางไรก็ตามผูสอนควรใหผูเรียนสามารถหาสูตรไดบาง เพราะถาผูเรียนรูที่มาอันแนนอนของสูตร ก็ยอมใชสูตรนั้นดวยความเขาใจดีขึ้น สําหรับหัวขอความรูเบื้องตนเกี่ยวกับเรขาคณิตวิเคราะหที่จะกลาวถึง เปนการแสดงถึงความเกี่ยวของระหวางเสนตรงและสมการกําลังหนึ่ง โดยมีสาระการเรียนรูดังตอไปนี้ ระยะระหวางจุดสองจุด จุดกึ่งกลางระหวางจุดสองจุด ความชันของเสนตรง เสนขนาน เสนตั้งฉาก ความสัมพันธซึ่งมีกราฟเปนเสนตรง และระยะหางระหวางเสนตรงกับจุด สวนหัวขอภาคตัดกรวยจะกลาว ถึงวงกลม พาราโบลา วงรี และไฮเพอรโบลา ตามลําดับ ในชีวิตจริงไดมีการนําสมบัติของภาคตัดกรวย ไปใชกันอยางกวางขวาง เชน ในการศึกษาเกี่ยวกับโครงสรางของอะตอม การประดิษฐเลนสที่ใชใน กลองสองทางไกล เลนสกลองจุลทรรศน เลนสแวนสายตาการประดิษฐโคมไฟรถยนต เรดาร และ จานดาวเทียม ซึ่งพื้นผิวดานในเกิดจากการหมุนพาราโบลารอบแกนพาราโบลา นอกจากนี้ในการหาตนกําเนิดเสียง เชน ในการหาที่ตั้งปนใหญ อาจอาศัยสมบัติของไฮเพอร-โบลา โดยใชทหารสองคนยืนอยูคนละแหงจดเวลาที่ไดยินเสียงปน จากผลตางของเวลาทั้งสองนี้ ทําใหสามารถ หาผลตางของระยะทางจากที่ตั้งปนใหญไปยังจุดที่ทหารยืนอยูโดยที่ตั้งปนใหญจะอยูบนไฮเพอรโบลา ซึ่งมีโฟกัสทั้งสองเปนจุดที่ทหารยืนอยู จุดฟงจุดที่สามจะชวยทําใหหาตําแหนงที่ตั้งของปนไดสําหรับ การหาตําแหนงของเครื่องบิน ก็ใชวิธีการทํานองเดียวกัน โดยสถานีจากภาคพื้นดินสามแหงคอยรับ สัญญาณจากเครื่องบินแลวนําผลตางของเวลาที่ไดรับสัญญาณมาคํานวณหาตําแหนงของเครื่องบินดังนั้น ในบทเรียนนี้ผูเรียนจะไดเรียนรูการนําคณิตศาสตรไปประยุกตใชในชีวิต ผลการเรียนรูที่คาดหวัง 1. หาระยะทางระหวางจุดสองจุด จุดกึ่งกลาง ระยะหางระหวางเสนตรงกับจุดได 2. หาความชันของเสนตรง สมการเสนตรง เสนขนาน เสนตั้งฉาก และนําไปใชได 3. เขียนความสัมพันธที่มีกราฟเปนภาคตัดกรวย เมื่อกําหนดสวนตาง ๆ ของภาคตัดกรวยใหและเขียน กราฟของความสัมพันธนั้นได 4. นําความรูเรื่องการเลื่อนแกนทางขนานไปใชในการเขียนกราฟได 5. นําความรูเรื่องเรขาคณิตวิเคราะหไปใชแกปญหาได
  • 2. คูมือครูสาระการเรียนรูเพิ่มเติม คณิตศาสตร เลม ๒ กลุมสาระการเรียนรูคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ ๔ ตามหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๔๔ จัดทําโดย สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี กระทรวงศึกษาธิการ ISBN 974-01-3820-9 พิมพครั้งที่หนึ่ง ๑๐,๐๐๐ เลม พ.ศ. ๒๕๔๗ องคการคาของคุรุสภาจัดพิมพจําหนาย พิมพที่โรงพิมพคุรุสภาลาดพราว ๒๒๔๙ ถนนลาดพราว วังทองหลาง กรุงเทพมหานคร มีลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติ 157 ผลการเรียนรูที่คาดหวังเปนผลการเรียนรูที่สอดคลองกับมาตรฐานการเรียนรูชวงชั้นทางดาน ความรู ดังนั้นในการจัดการเรียนรู ผูสอนตองคํานึงถึงมาตรฐานการเรียนรูดานทักษะ/กระบวนการทาง คณิตศาสตรดวยการสอดแทรกกิจกรรมหรือโจทยปญหาที่จะสงเสริมใหผูเรียนเกิดทักษะ/กระบวนการ ทางคณิตศาสตรที่จําเปน อันไดแก ความสามารถในการแกปญหา การใหเหตุผล การสื่อสาร การสื่อ ความหมายทางคณิตศาสตรและการนําเสนอ การเชื่อมโยงความรูตาง ๆ ทางคณิตศาสตรและเชื่อมโยง คณิตศาสตรกับศาสตรอื่น และการคิดริเริ่มสรางสรรค นอกจากนั้นกิจกรรมการเรียนรู ควรสงเสริม ใหผูเรียนตระหนักในคุณคาและมีเจตคติที่ดีตอวิชาคณิตศาสตร ตลอดจนฝกใหนักเรียนทํางานอยาง เปนระบบ มีระเบียบวินัย รอบคอบ มีความรับผิดชอบ มีวิจารณญาณ และมีความเชื่อมั่นในตนเอง ในการเรียนการสอนแตละสาระการเรียนรูของวิชาคณิตศาสตรนั้น ผูสอนควรแสดงหรือยก ตัวอยางใหผูเรียนเห็นถึงประโยชนและการนําคณิตศาสตรไปใช ดังเชนสองหัวขอในบทเรียนนี้ เพื่อให ผูเรียนตระหนักถึงคุณคาอันเกิดจากการศึกษาวิชาคณิตศาสตร ซึ่งจะโยงไปถึงเจตคติตอวิชาคณิตศาสตร ในการจัดกิจกรรมการเรียนรูสําหรับบทเรียนนี้ ผูสอนควรใหผูเรียนไดทดลอง และคนควาหา ขอสรุปดวยตนเอง ขอเสนอแนะ 1. ในการสอนเรื่องระยะทางระหวางจุด 2 จุด ผูสอนทบทวนความรูของผูเรียนเรื่องระยะ ระหวางจุด 2 จุดบนเสนจํานวนที่แทนดวยจํานวนจริง a และ b วาเทากับ ⏐a – b⏐ ซึ่งผูเรียนไดเคย ศึกษามาแลวในเรื่องจํานวนจริง ถาผูเรียนจําไมได ใหผูสอนยกตัวอยางจุดบนเสนจํานวนที่แทนดวย จํานวนจริง ใหผูเรียนหาระยะหางระหวางจุดเหลานั้น เชน ก. ระยะหางระหวางจุดที่แทน 2 และจุดที่แทน 10 ข. ระยะหางระหวางจุดที่แทน –10 และจุดที่แทน 5 ค. ระยะหางระหวางจุดที่แทน –15 และจุดที่แทน –5 ซึ่งผูเรียนควรตอบไดวา เทากับ ⏐10 – 2⏐, ⏐5 – (–10)⏐ และ ⏐–5 – (–15)⏐ ตามลําดับ โดยผูสอน อาจใชเสนจํานวนแสดงประกอบดวย 2. สัญลักษณที่ใชแทนความยาวของสวนของเสนตรง AB จะเขียนแทนดวย AB หรือ AB ซึ่งผูเรียนไดเคยใชมาแลวในระดับมัธยมศึกษาตอนตน แตบางครั้งบางคนยังสับสนอยูบาง ใหผูสอนชี้แจง เรื่องสัญลักษณอีกครั้งหนึ่ง เนื่องจากเปนสัญลักษณที่นักเรียนจะใชตอไปอีกมาก 3. การนิยามความชันของเสนตรงในบทนี้นิยามโดยอาศัยโคอออรดิเนตของจุดสองจุดที่ เสนตรงผาน กลาวคือ ความชันของเสนตรงที่ผานจุด P1(x1, y1) และ P2(x2, y2) จะเทากับ 12 12 xx yy − −
  • 3. คูมือครูสาระการเรียนรูเพิ่มเติม คณิตศาสตร เลม ๒ กลุมสาระการเรียนรูคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ ๔ ตามหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๔๔ จัดทําโดย สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี กระทรวงศึกษาธิการ ISBN 974-01-3820-9 พิมพครั้งที่หนึ่ง ๑๐,๐๐๐ เลม พ.ศ. ๒๕๔๗ องคการคาของคุรุสภาจัดพิมพจําหนาย พิมพที่โรงพิมพคุรุสภาลาดพราว ๒๒๔๙ ถนนลาดพราว วังทองหลาง กรุงเทพมหานคร มีลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติ 158 นอกจากนี้อาจนิยามความชันของเสนตรงโดยอาศัยฟงกชันตรีโกณมิติ กลาวคือความชันของเสนตรงที่ ทํามุม θ กับแกน X เทากับ tan θ (มุม θ เปนมุมที่วัดทวนเข็มนาฬิกา จากแกน X ดานที่เปนบวก ไป จนถึงเสนตรงมุม θ นี้เรียกวา “มุมเอียง” ของเสนตรง และ 0° ≤ θ < 180°) 4. ในหนังสือเรียนที่กลาววา “ความชันของเสนตรงเสนหนึ่ง (ที่ไมขนานกับแกน Y) มีเพียง คาเดียวเทานั้น” ซึ่งในหนังสือเรียนไมไดแสดงวิธีพิสูจนไว ผูสอนอาจแสดงใหผูเรียนเห็นโดยวิธีการดังนี้ ให L เปนเสนตรงที่ไมขนานกับแกน Y และทํามุมแหลมกับแกน X จุด P1(x1, y1) และ P2(x2, y2) อยูบนเสนตรง L จากนิยามของความชัน จะไดวา ความชันของเสนตรง L เทากับ 21 21 xx yy − − ถา P3(x3, y3) และ P4(x4, y4) เปนจุดอีกสองจุดบนเสนตรง L ดังนั้น ความชันของเสนตรง L เทากับ 43 43 xx yy − − จากรูป จะเห็นวา ∆ P1P2Q ∼ ∆ P3P4R ดังนั้น RP QP 3 1 = RP QP 4 2 QP QP 2 1 = RP RP 4 3 21 21 xx yy − − = 43 43 xx yy − − นั่นคือ ความชันของเสนตรงเดียวกันยอมเทากัน สําหรับเสนตรงที่ทํามุมปานกับแกน X ผูสอนอาจใชวิธีการแสดงในทํานองเดียวกัน • • • • 0 (x4, y4) x3 – x4 y3 – y4 P4 P3 P2 P1 (x3, y3) (x2, y2) (x1, y1) x1 – x2 y1 – y2 Q R LY X
  • 4. คูมือครูสาระการเรียนรูเพิ่มเติม คณิตศาสตร เลม ๒ กลุมสาระการเรียนรูคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ ๔ ตามหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๔๔ จัดทําโดย สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี กระทรวงศึกษาธิการ ISBN 974-01-3820-9 พิมพครั้งที่หนึ่ง ๑๐,๐๐๐ เลม พ.ศ. ๒๕๔๗ องคการคาของคุรุสภาจัดพิมพจําหนาย พิมพที่โรงพิมพคุรุสภาลาดพราว ๒๒๔๙ ถนนลาดพราว วังทองหลาง กรุงเทพมหานคร มีลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติ 159 5. ในหนังสือเรียน ไดกลาววา เสนตรงสองเสนใด ๆ (ที่ไมขนานกับแกน Y) จะขนานกัน ก็ตอเมื่อ ความชันของเสนตรงทั้งสองเทากันและในหนังสือเรียนไดแสดงใหเห็นเฉพาะสวนที่กลาววา ถาเสนตรงสองเสนขนานกันแลวความชันยอมเทากัน แตไมไดแสดงวา ถาความชันของเสนตรงสองเสน ใดเทากันแลว เสนตรงทั้งสองจะขนานกัน ซึ่งอาจแสดงวาถาเสนตรงสองเสนมีความชันเทากันแลว เสนตรงทั้งสองจะขนานกัน ไดดังนี้ ให L1 และ L2 เปนเสนตรงที่มีความชัน m1 และ m2 ตามลําดับ และ m1 = m2 จะแสดงวา L1 และ L2 ขนานกัน สมมุติวา L1 ไมขนานกับ L2 ให L1 ตัดกับ L2 ที่จุด P1(x1, y1) ให P2(x2, y3) และ P3(x2, y2) เปนจุดบน L1 และ L2 ตามลําดับ จะได m1 = 12 13 xx yy − − และ m2 = 12 12 xx yy − − เนื่องจาก y3 ≠ y2 ดังนั้น 12 13 xx yy − − ≠ 12 12 xx yy − − จึงทําให m1 ≠ m2 ซึ่งขัดแยงกับที่กําหนดให ดังนั้น ที่สมมุติวา L1 ไมขนานกับ L2 จึงเปนไปไมได นั่นคือ L1 ขนานกับ L2 0 P3 (x2, y2) P2 (x2, y3) P1 (x1, y1) L1 Y X y1 y2 y3 x1 x2 L2
  • 5. คูมือครูสาระการเรียนรูเพิ่มเติม คณิตศาสตร เลม ๒ กลุมสาระการเรียนรูคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ ๔ ตามหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๔๔ จัดทําโดย สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี กระทรวงศึกษาธิการ ISBN 974-01-3820-9 พิมพครั้งที่หนึ่ง ๑๐,๐๐๐ เลม พ.ศ. ๒๕๔๗ องคการคาของคุรุสภาจัดพิมพจําหนาย พิมพที่โรงพิมพคุรุสภาลาดพราว ๒๒๔๙ ถนนลาดพราว วังทองหลาง กรุงเทพมหานคร มีลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติ 160 6. ในหนังสือเรียนไมไดแสดงการพิสูจนวา ถาเสนตรงสองเสนมีผลคูณของความชันเทากับ –1 แลว เสนตรงทั้งสองจะตั้งฉากซึ่งกันและกัน ซึ่งหากผูเรียนสนใจการพิสูจนผูสอนอาจแสดงไดดังนี้ ให L1 และ L2 เปนเสนตรงสองเสนที่ไมขนานกับแกน Y มีความชัน m1 และ m2 ตามลําดับ และ m1m2 = –1 จะแสดงใหเห็นวา L1 ตั้งฉากกับ L2 เนื่องจาก m1m2 = –1 จะได m1 ≠ 0 และ m2 ≠ 0 และ m1 ≠ m2 (เพราะถา m1 = m2 จะได m1 2 = –1 ซึ่งเปนไปไมได) ดังนั้น L1 ไมขนานกับ L2 ให L1 และ L2 ตัดกันที่จุด R (a, b) เนื่องจาก L1 และ L2 มีความชันเปน m1 และ m2 ตามลําดับ ดังนั้น สมการของเสนตรง L1 ซึ่งผานจุด (a, b) และมีความชัน m1 คือ y = m1(x – a) + b ดังนั้น เสนตรง L1 ตัดแกน Y ที่จุด P(0, b – am1) และ สมการของเสนตรง L2 ที่ผานจุด (a, b) และมีความชัน m2 คือ y = m2(x – a) + b ดังนั้น เสนตรง L2 ตัดแกน Y ที่จุด Q(0, b – am2) จะแสดงวา ∆ PRQ เปนสามเหลี่ยมมุมฉาก เนื่องจาก PQ2 = [(b – am2) – (b – am1)]2 = a2 m1 2 – 2a2 m1m2 + a2 m2 2 = a2 m1 2 + 2a2 + a2 m2 2 (m1m2 = –1) PR2 = a2 + [b – (b – am1)]2 = a2 + a2 m1 2 0 (0, b – am1) (0, b – am2) L1 Y X P Q L2 (a, b) R •
  • 6. คูมือครูสาระการเรียนรูเพิ่มเติม คณิตศาสตร เลม ๒ กลุมสาระการเรียนรูคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ ๔ ตามหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๔๔ จัดทําโดย สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี กระทรวงศึกษาธิการ ISBN 974-01-3820-9 พิมพครั้งที่หนึ่ง ๑๐,๐๐๐ เลม พ.ศ. ๒๕๔๗ องคการคาของคุรุสภาจัดพิมพจําหนาย พิมพที่โรงพิมพคุรุสภาลาดพราว ๒๒๔๙ ถนนลาดพราว วังทองหลาง กรุงเทพมหานคร มีลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติ 161 และ QR2 = a2 + [b – (b – am2)]2 = a2 + a2 m2 2 จะได PR2 + QR2 = a2 m1 2 + 2a2 + a2 m2 2 = PQ2 แสดงวา สามเหลี่ยม PRQ เปนสามเหลี่ยมที่มี PRQ เปนมุมฉาก และเนื่องจากสวนของเสนตรงPRและสวนของเสนตรงQRเปนสวนหนึ่งของเสนตรงL1และL2ตามลําดับ นั่นคือ L1 ตั้งฉากกับ L2 7. ในการสอนเรื่องสมการเสนตรง ควรชี้ใหเห็นวา กําลังของตัวแปรแตละตัวในสมการ เสนตรงนั้นเปนหนึ่งเสมอ และเนื่องจากเสนตรงที่ผานจุดสองจุดที่กําหนดใหมีไดเพียงเสนเดียวเทานั้น ดังนั้น เพื่อความสะดวกในการเขียนกราฟเสนตรงใดก็ตามเราหาจุดที่เสนตรงนั้นผานเพียงสองจุดก็พอ แตเพื่อปองกันความผิดพลาดเรานิยมพิจารณาจุดที่เสนตรงผานสามจุด ถาพบวาจุดทั้งสามจุดไมอยูในแนว เสนตรงเดียวกันแสดงวามีความผิดพลาดเกิดขึ้นตองตรวจสอบใหมอีกครั้ง 8. ในการหาระยะระหวางเสนตรงกับจุด นอกจากจะใชวิธีการในหนังสือเรียนแลวยังมีวิธีอื่น อีก เชน วิธีหาสมการเสนตรงที่ผานจุดที่กําหนดใหและตั้งฉากกับเสนตรงที่กําหนดให เพื่อหาจุดตัดของ เสนตรงทั้งสอง แลวจึงหาระยะระหวางจุดที่กําหนดใหกับจุดตัด 9. ถา L เปนเสนตรงที่ขนานกับแกน X และอยูหางจากแกน X เปนระยะ ⏐b⏐ หนวย ความสัมพันธที่มีกราฟเปนเสนตรง L คือ {(x, y) ∈ R × R⏐y = b} หรือ {(x, y) ∈ R × R⏐y = –b} ทํานองเดียวกัน ถา L เปนเสนตรงที่ขนานกับแกน Y และอยูหางแกน Y เปนระยะ ⏐a⏐ หนวย ความสัมพันธที่มีกราฟเปนเสนตรง L คือ {(x, y) ∈ R × R⏐x = a} หรือ {(x, y) ∈ R × R⏐x = –a} 10. ในการหาความสัมพันธที่มีกราฟเปนเสนตรง เมื่อทราบวา เสนตรงผานจุด (x1, y1) และ มีความชันเปน m แลว ถานักเรียนเขียนความสัมพันธที่ไดเปน ⎭ ⎬ ⎫ ⎩ ⎨ ⎧ = − − m xx yy )y,x( 1 1 ใหผูสอนชี้แจง ผูเรียนทราบวา ไมถูกตอง เนื่องจากกราฟของความสัมพันธดังกลาวไมรวมจุด (x1, y1) ซึ่งผูเรียนควรเขียนให ถูกตองเปน {(x, y)⏐y – y1 = m(x – x1)} ซึ่งกราฟของความสัมพันธนี้จะเปนเสนตรงที่ผานจุด (x1, y1) ดวย
  • 7. คูมือครูสาระการเรียนรูเพิ่มเติม คณิตศาสตร เลม ๒ กลุมสาระการเรียนรูคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ ๔ ตามหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๔๔ จัดทําโดย สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี กระทรวงศึกษาธิการ ISBN 974-01-3820-9 พิมพครั้งที่หนึ่ง ๑๐,๐๐๐ เลม พ.ศ. ๒๕๔๗ องคการคาของคุรุสภาจัดพิมพจําหนาย พิมพที่โรงพิมพคุรุสภาลาดพราว ๒๒๔๙ ถนนลาดพราว วังทองหลาง กรุงเทพมหานคร มีลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติ 162 11. พื้นฐานสําคัญในการศึกษาเรื่อง ภาคตัดกรวย คือ เรื่องการจัดพหุนามตัวแปรเดียวดีกรีสอง ใหสวนที่มีตัวแปรอยูในรูปกําลังสองสมบูรณ ซึ่งจะใชมากเมื่อกําหนดความสัมพันธที่มีกราฟเปน ภาคตัดกรวยมาให แลวใหหาสวนตาง ๆ ของภาคตัดกรวยนั้น ๆ เชน จุดยอด โฟกัส ความยาวแกนเอก แกนโท ฯลฯ ในกรณีทั่ว ๆ ไป การจัดพหุนามตัวแปรเดียวดีกรีสอง ใหสวนที่มีตัวแปรอยูในรูปกําลังสองสมบูรณ ผูสอนอาจเสนอทางเลือกใหผูเรียนไดสองทาง คือ ก. การจัดโดยใชสูตร ข. การจัดโดยใชขั้นตอนวิธี การจัดพหุนามตัวแปรเดียวดีกรีสองใหสวนที่มีตัวแปรอยูในรูปกําลังสองสมบูรณโดยใชสูตร ผูสอนอาจดําเนินการพิสูจน ดังนี้ จากพหุนามตัวแปรเดียวดีกรีสองรูปทั่วไป ax2 + bx + c เมื่อ a, b และ c เปนคาคงตัวที่ a ≠ 0 ใหดําเนินการตามขั้นตอนวิธีดังนี้ ax2 + bx + c = c)x a b x(a 2 ++ = c)) a2 b () a2 b (x a b x(a 222 +−++ = c) a4 b ) a2 b x((a 2 2 2 +−+ = c a4 b ) a2 b x(a 2 2 +−+ = a4 ac4b ) a2 b x(a 2 2 − −+ สูตรที่ตองจําไวใช คือ จากพหุนาม ax2 + bx + c เมื่อ a, b, c เปนคาคงตัวที่ a ≠ 0 จัดใหสวนที่มีตัวแปร เปนรูปกําลังสองสมบูรณไดเปน a4 ac4b ) a2 b x(a 2 2 − −+
  • 8. คูมือครูสาระการเรียนรูเพิ่มเติม คณิตศาสตร เลม ๒ กลุมสาระการเรียนรูคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ ๔ ตามหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๔๔ จัดทําโดย สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี กระทรวงศึกษาธิการ ISBN 974-01-3820-9 พิมพครั้งที่หนึ่ง ๑๐,๐๐๐ เลม พ.ศ. ๒๕๔๗ องคการคาของคุรุสภาจัดพิมพจําหนาย พิมพที่โรงพิมพคุรุสภาลาดพราว ๒๒๔๙ ถนนลาดพราว วังทองหลาง กรุงเทพมหานคร มีลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติ 163 สวนการจัดโดยใชขั้นตอนวิธี ผูสอนจะฝกใหผูเรียนดําเนินขั้นตอนตามขั้นตอนในการพิสูจนขางตน ทั้งสองวิธีการมีจุดเดนและจุดดอยอยูในตัว ขอใหสังเกตขอดีขอเสียจากตัวอยางตอไปนี้ ตัวอยาง จงเขียนสวนที่มีตัวแปรของพหุนามตอไปนี้ใหอยูในรูปกําลังสองสมบูรณ 5x2 – 7x + 9 วิธีทํา ทําโดยใชสูตร ทําโดยใชขั้นตอนวิธี จากพหุนาม ax2 + bx + c จัดใหสวนที่มีตัวแปร อยูในรูปกําลังสองสมบูรณไดเปน a4 ac4b ) a2 b x(a 2 2 − −+ ดังนั้น จาก 5x2 – 7x + 9 จะจัดไดเปน 54 )()( ) )( x( 2 2 × ××−− − − + 9547 10 75 = 20 18049 10 75 − −− 2 )x( = 20 131 10 75 +− 2 )x( 5x2 – 7x + 9 = 9 5 75 +− )xx( 2 = 9 100 49 10 7 5 75 +−+− ))(xx( 22 = 9 20 49 10 75 +−− 2 )x( = 20 49180 10 75 − +− 2 )x( = 20 131 10 75 +− 2 )x( จากตัวอยางจะเห็นไดวา วิธีจําสูตรนั้นขอเสียคือ ถาจําสูตรผิดผลที่ไดจะผิดไปดวย สวนการคิด คํานวณนั้นตองมีความแมนยําทั้งสองวิธี วิธีการทําตามขั้นตอนวิธีอาจตองระวังมากหนอย ตอนที่คิดหา พจนคงตัวอาจลืมตัวคูณซึ่งในตัวอยางขางตน คือ 5 12. การใชความรูเรื่องการเลื่อนแกนทางขนานเพื่อหาความสัมพันธของตัวแปร x และ y ที่มี กราฟเปนภาคตัดกรวย เปนวิธีที่ชวยใหหาความสัมพันธในรูปมาตรฐานไดรวดเร็วขึ้น แตตองอาศัย ความรูสองเรื่อง คือ ก. ความสัมพันธของพิกัดของจุด เมื่อใชแกนชุดเดิมและแกนชุดใหมที่เกิดจากการเลื่อนทาง ขนาน (x′ = x – h และ y′ = y – k) ข. ความสัมพันธที่มีกราฟเปนภาคตัดกรวย เมื่อจุดยอดหรือจุดศูนยกลางอยูที่จุดกําเนิด เชน x2 + y2 = r2 , x2 = 4py, y2 = 4px ฯลฯ
  • 9. คูมือครูสาระการเรียนรูเพิ่มเติม คณิตศาสตร เลม ๒ กลุมสาระการเรียนรูคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ ๔ ตามหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๔๔ จัดทําโดย สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี กระทรวงศึกษาธิการ ISBN 974-01-3820-9 พิมพครั้งที่หนึ่ง ๑๐,๐๐๐ เลม พ.ศ. ๒๕๔๗ องคการคาของคุรุสภาจัดพิมพจําหนาย พิมพที่โรงพิมพคุรุสภาลาดพราว ๒๒๔๙ ถนนลาดพราว วังทองหลาง กรุงเทพมหานคร มีลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติ 164 ผูสอนควรดําเนินการในเรื่องทั้งสองนี้ใหชัดเจน และถาจะใหการสอนสมบูรณยิ่งขึ้นควรให ผูเรียนลองหาความสัมพันธที่มีกราฟเปนภาคตัดกรวย โดยใชวิธีที่แตกตางจากในหนังสือเรียน กลาวคือ สําหรับพาราโบลา วงรี และไฮเพอรโบลา ผูสอนควรลองใหผูเรียนใชวิธีหาความสัมพันธจากบทนิยาม โดยอาศัยสูตรการหาระยะทางระหวางจุดกับจุดและจุดกับเสนตรง เชน การหาสมการของพาราโบลา ที่มีจุดยอดอยูที่จุด (h, k) และมีแกนของพาราโบลาขนานกับแกน X หาไดดังนี้ ให (h, k) เปนจุดยอดและระยะจากจุดยอดไปยังโฟกัส คือ ⏐p⏐ จะไดวา ถาโฟกัสมีพิกัด เปน (h + p, k) แลวไดเรกตริกซ คือ กราฟของสมการ x = h – p (แตถาโฟกัสมีพิกัดเปน (h – p, k) แลวไดเรกตริกซ คือ กราฟของสมการ x = h + p) เมื่อ P(x, y) เปนจุดใด ๆ บนพาราโบลา จากบทนิยามของพาราโบลาจะไดวา PF = PD นั่นคือ 2)(2))(( kyphx −++− = )( phx −− (x – (h + p))2 + (y – k)2 = (x – (h – p))2 (y – k)2 = 4px – 4ph (y – k)2 = 4p (x – h) หมายเหตุ 1. รูปที่ใชในการพิสูจนเปนรูปที่สมมุติขึ้นในกรณีที่p เปนจํานวนจริงลบรูปจะไมใชรูปนี้ 2. ควรทดลองคิดในกรณีที่พิกัดของโฟกัสเปน (h – p, k) และไดเรกตริกซคือ กราฟของ สมการ x = h + p แลวดูวาจะไดผลเหมือนกันหรือไม • • Y Y′ X′ X x = h – p D P (x, y) V (h, k) F (h + p, k) 0
  • 10. คูมือครูสาระการเรียนรูเพิ่มเติม คณิตศาสตร เลม ๒ กลุมสาระการเรียนรูคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ ๔ ตามหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๔๔ จัดทําโดย สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี กระทรวงศึกษาธิการ ISBN 974-01-3820-9 พิมพครั้งที่หนึ่ง ๑๐,๐๐๐ เลม พ.ศ. ๒๕๔๗ องคการคาของคุรุสภาจัดพิมพจําหนาย พิมพที่โรงพิมพคุรุสภาลาดพราว ๒๒๔๙ ถนนลาดพราว วังทองหลาง กรุงเทพมหานคร มีลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติ 165 13. ผูสอนอาจขยายความรูของผูเรียนโดยใหเขียนกราฟของอสมการที่เกิดจากการเปลี่ยน เครื่องหมายเทากับในสมการที่มีกราฟเปนภาคตัดกรวย เปนเครื่องหมาย ≠, >, <, ≥, ≤ เชน x2 + y2 > 4 เปนตน 14. การกําหนดมาตราสวนบนแกน X และแกน Y ตองเหมือนกัน เพราะถากําหนดตางกัน กราฟที่ไดจะไมสมจริง เชน สมการที่กราฟควรเปนวงกลม อาจมีกราฟเปนวงรีได 15. หลังจบบทเรียนแลวผูสอนควรใหแบบฝกทักษะเกี่ยวกับเรื่องภาคตัดกรวยเพิ่มเติม อยางสม่ําเสมอ เพราะถาละเลยผูเรียนจะลืมวิธีการตาง ๆ ไดงาย 16. ในบทนี้มีการกลาวถึงแกนสมมาตรของภาคตัดกรวย ซึ่งเปนความรูที่ผูเรียนเคยศึกษา มาแลวตั้งแตระดับประถมศึกษา บทนิยามทั่วไปที่ผูเรียนทราบคือ เมื่อพับรูปตามแกนสมมาตรแลวรูปที่ อยูคนละขางของแกนสมมาตรจะทับกันสนิท แตในหนังสือเรียนนี้กลาววา พาราโบลาที่มาจากสมการ y2 = 12x มีแกน X เปนแกนสมมาตร เพราะเมื่อแทน y ในสมการดวย –y แลว ไดสมการคงเดิม แสดงวา กราฟของสมการ y2 = 12x มีแกน X เปนแกนสมมาตรโดยไมไดใหเหตุผลประกอบไววา เมื่อแทน y ในสมการดวย –y ไดสมการคงเดิมแลว เหตุใดแกน X จึงเปนแกนสมมาตร การที่สามารถ สรุปเชนนี้ได เพราะจุดที่มีพิกัด (x, y) กับ (x, –y) อยูหางแกน X เปนระยะเทากันคือ y เมื่อแทน y ในสมการ ดวย –y แลวไดสมการเดิมก็แสดงวาทั้งจุด (x, y) และ (x, –y) ตางอยูบนกราฟของสมการ โดยมีคา x ที่เหมือนกันตางกันเฉพาะคา y และเนื่องจากการแทนคาดังกลาวไมไดเจาะจงแสดงวาทุก ๆ จุด (x, y) จะมีจุด (x, –y) ที่อยูบนกราฟคูกันเสมอ ดังนั้น เมื่อพับรูปตามแกน X จุดแตละคูดังกลาว จะทับกันเสมอ แสดงวาแกน X เปนแกนสมมาตร ในทํานองเดียวกัน เมื่อมีสมการแสดงความสัมพันธระหวาง x กับ y และถาแทน x ในสมการดวย –x แลว สมการคงเดิมก็แสดงวากราฟของสมการนั้นมีแกน Y เปนแกนสมมาตร การสมมาตรที่กลาวถึงในบทนี้กลาวเฉพาะการสมมาตรเมื่อเทียบกับแกน X หรือแกน Y หรือเสนตรงอื่น ซึ่งนอกจากเสนตรงแลว การสมมาตรอาจเทียบกับจุดหรือระนาบก็ได 17. สมการภาคตัดกรวยในรูปตอไปนี้ (x – h)2 + (y – k)2 = r2 (y – k)2 = 4c (x – h) (x – h)2 = 4c (y – k) 2 2 2 2 b )ky( a )hx( − + − = 1 2 2 2 2 b )hx( a )ky( − + − = 1 2 2 2 2 b )ky( a )hx( − − − = 1 2 2 2 2 b )hx( a )ky( − − − = 1
  • 11. คูมือครูสาระการเรียนรูเพิ่มเติม คณิตศาสตร เลม ๒ กลุมสาระการเรียนรูคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ ๔ ตามหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๔๔ จัดทําโดย สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี กระทรวงศึกษาธิการ ISBN 974-01-3820-9 พิมพครั้งที่หนึ่ง ๑๐,๐๐๐ เลม พ.ศ. ๒๕๔๗ องคการคาของคุรุสภาจัดพิมพจําหนาย พิมพที่โรงพิมพคุรุสภาลาดพราว ๒๒๔๙ ถนนลาดพราว วังทองหลาง กรุงเทพมหานคร มีลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติ 166 เปนรูปสมการที่ชวยใหหาสวนสําคัญเกี่ยวกับภาคตัดกรวย เชน จุดศูนยกลาง จุดยอด ฯลฯ ไดงายเรียกรวม ๆ กันวา สมการในรูปมาตรฐาน (Standard form) เมื่อกระจายพจนกําลังสองแลวจัดเรียง พจนใหม จะอยูในรูปสมการกําลังสองสองตัวแปร ซึ่งมีรูปทั่วไปดังนี้ Ax2 + Bxy + Cy2 + Dx + Ey + F = 0 เมื่อ A, B, C, D, E และ F คือคาคงตัว เชน จากสมการวงกลมมาตรฐาน เมื่อกระจายใหอยูในรูปทั่วไปจะได x2 + y2 – 2hx – 2ky + h2 + k2 – r2 = 0 ซึ่งเมื่อเทียบกับรูปสมการทั่วไปสองตัวแปรจะไดวา A = 1, B = 0, C = 1, D = –2h, E = –2k, F = h2 + k2 – r2 ฉะนั้น อาจกลาวไดวาสมการวงกลมในรูปมาตรฐานทุกสมการ สามารถเขียนอยูในรูปทั่วไปไดเปน x2 + y2 + Dx + Ey + F = 0 เมื่อ D, E และ F คือ คาคงตัว ในทางกลับกันจากสมการในรูปทั่วไปขางตน ถาพิจารณากลับวา กราฟของสมการดังกลาว เปนวงกลมหรือไม จะพบวามีบางคาของคาคงตัว D, E และ F ทําใหกราฟไมใชวงกลม ขั้นตอนวิธี ตอไปนี้เปนขั้นตอนวิธีคอนขางสําคัญในการเขียนกราฟของรูปทั่วไปของสมการวงกลม ซึ่งตองฝกฝน ผูเรียนใหมีความคลองตัว ขั้นตอนวิธีที่ใชคือ การจัดพจนที่มีตัวแปรใหอยูในรูปกําลังสองสมบูรณ เพื่อ ใหสมการอยูในรูปมาตรฐาน จากสมการ x2 + y2 + Dx + Ey + F = 0 จะได x2 + Dx + 2 ) 2 D ( – 2 ) 2 D ( + y2 + Ey + 2 ) 2 E ( – 2 ) 2 E ( + F = 0 22 ) 2 E y() 2 D x( +++ = 4 E 4 D 22 + – F = 4 F4ED 22 −+ จากสมการสุดทาย จะเห็นไดชัดเจนวา กราฟของสมการรูปทั่วไปจะเปนวงกลมหรือไมขึ้นอยู กับคาของ D2 + E2 – 4F ซึ่งสามารถแยกกรณีพิจารณาไดดังนี้ กรณีที่ 1 D2 + E2 – 4F > 0 กรณีนี้จะไดวา กราฟของสมการที่กําหนดเปนวงกลมมี ) 2 E , 2 D ( −− เปนจุดศูนยกลาง รัศมียาว 2 F4ED 22 −+ หนวย
  • 12. คูมือครูสาระการเรียนรูเพิ่มเติม คณิตศาสตร เลม ๒ กลุมสาระการเรียนรูคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ ๔ ตามหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๔๔ จัดทําโดย สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี กระทรวงศึกษาธิการ ISBN 974-01-3820-9 พิมพครั้งที่หนึ่ง ๑๐,๐๐๐ เลม พ.ศ. ๒๕๔๗ องคการคาของคุรุสภาจัดพิมพจําหนาย พิมพที่โรงพิมพคุรุสภาลาดพราว ๒๒๔๙ ถนนลาดพราว วังทองหลาง กรุงเทพมหานคร มีลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติ 167 กรณีที่ 2 D2 + E2 – 4F = 0 กรณีนี้กราฟของสมการที่กําหนดคือจุด ) 2 E , 2 D ( −− เรียกชื่อจุดที่เปนกราฟในกรณีนี้วา วงกลมลดรูป (degenerate circle) กรณีที่ 3 ถา D2 + E2 – 4F < 0 กรณีนี้สมการที่กําหนดไมมีกราฟ หรือกลาวอีกนัยหนึ่ง คือ ไมมีคูอันดับของจํานวนจริงใด ๆ เปนคําตอบหรือสอดคลองสมการที่กําหนดให(เพราะไมมีจํานวนจริงใดยกกําลังสองแลวไดจํานวนจริงลบ) ในทํานองเดียวกัน เมื่อกระจายพจนกําลังสองของภาคตัดกรวยอื่น ๆ จะไดรูปพหุนามทั่วไปของ ภาคตัดกรวยแตละชนิด เชน จากสมการ (y – k)2 = 4 c(x – h) จะได y2 – 2ky + k2 = 4cx – 4ch หรือ y2 – 4cx – 2ky + k2 + 4ch = 0 ซึ่งเมื่อเทียบกับรูปทั่วไปของสมการกําลังสอง สองตัวแปรจะอยูในรูป y2 + Dx + Ey + F = 0 จากสมการทั่วไปในรูปดังกลาวขางตนจะสามารถใชวิธีการทํานองเดียวกันกับเรื่องวงกลม พิจารณากรณีตาง ๆ วา สมการทั่วไปดังกลาวจะมีกราฟเปนพาราโบลาเมื่อใด ในทํานองเดียวกันจากสมการในรูปมาตรฐานของภาคตัดกรวยสมการอื่น ๆ สามารถจัดอยูในรูป ทั่วไปได และจากสมการในรูปทั่วไปจะมีทั้งกรณีที่มีกราฟเปนภาคตัดกรวยและไมเปนภาคตัดกรวย ควร ลองใหผูเรียนไดพิจารณาดวยตนเอง 18. สําหรับผูเรียนที่มีความสนใจและความสามารถพิเศษ อาจใหศึกษาเรื่องการหมุนแกน และ การใชการเลื่อนแกนและหมุนแกนในการพิจารณากราฟของสมการกําลังสองสองตัวแปร รูปทั่วไปคือ สมการ Ax2 + Bxy + Cy2 + Dx + Ey + F = 0 ในกรณีที่ B ≠ 0 บางสมการที่สามารถใชวิธี หมุนแกน ทําใหเปลี่ยนรูปสมการใหพจน xy มีสัมประสิทธิ์เปนศูนย ซึ่งจะทําใหไดสมการรูปทั่วไป เปนกรณีใดกรณีหนึ่งตามขอ 8 ทําใหสามารถเขียนกราฟของสมการไดโดยใชขั้นตอนวิธีจัดตัวแปรใหอยู ในรูปกําลังสองสมบูรณ ตอไปนี้เปนความรูเรื่องการหมุนแกนอยางงาย สมมุติหมุนแกนทํามุม θ กับแกนชุดเดิมโดยหมุนในทิศทวนเข็มนาฬิกาไดแนวแกน ชุดใหมเรียกวา แกน X′ และแกน Y′ ดังรูป
  • 13. คูมือครูสาระการเรียนรูเพิ่มเติม คณิตศาสตร เลม ๒ กลุมสาระการเรียนรูคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ ๔ ตามหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๔๔ จัดทําโดย สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี กระทรวงศึกษาธิการ ISBN 974-01-3820-9 พิมพครั้งที่หนึ่ง ๑๐,๐๐๐ เลม พ.ศ. ๒๕๔๗ องคการคาของคุรุสภาจัดพิมพจําหนาย พิมพที่โรงพิมพคุรุสภาลาดพราว ๒๒๔๙ ถนนลาดพราว วังทองหลาง กรุงเทพมหานคร มีลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติ 168 ถา P เปนจุดใด ๆ บนระนาบมีพิกัดเปน (x, y) และ (x′, y′) เมื่อเทียบกับแกนชุดเดิมและ แกนชุดใหมตามลําดับ เนื่องจากแกน X′ ทํามุม θ กับแกน X และผานจุดกําเนิด ดังนั้นแกน X′ ซึ่งเปนเสนตรง มีความชัน tan θ ผานจุด (0, 0) จะมีสมการเมื่อเทียบกับแกนชุดเดิมเปน y = (tan θ)x หรือ (tan θ) x – y = 0 ----------- (1) และเนื่องจากแกน Y′ ตั้งฉากกับแกน X′ และผานจุดกําเนิด จึงมีสมการเมื่อเทียบกับแกนชุดเดิมเปน y = x tan 1 θ − หรือ x + (tan θ) y = 0 ----------- (2) จาก (1) และ (2) เมื่อหาระยะจากจุด (x, y) ถึงแกน X′ และ Y′ โดยใชสูตรหาระยะจากจุด ไปยังเสนตรงจะไดวา x′ = θ+ θ+ 2 tan1 y)(tanx y′ = θ+ θ− 2 tan1 x)(tany (จากสูตรหาระยะจากจุดไปยังเสนตรงตองเลือกใชคาที่เมื่อแทนตัวแปร x, y ในสมการแลวได คามากกวาศูนย แตในที่นี้แทนตัวแปร x, y ดวยคาใด ๆ x, y และคา x′, y′ ก็ยังเปนไดทั้งจํานวนบวก และจํานวนลบ การเลือกคาถาจะทําใหละเอียดจึงตองพิจารณาเปนกรณี ๆ ไป แตทุกกรณีจะออกมาตรงกัน ดังที่เขียนไว) จากคาของ x′, y′ ที่สัมพันธกับ x, y ขางตน จัดสมการใหมโดยเขียน tan θ ในรูป θ θ cos sin จะได x′ = x cos θ + y sin θ y′ = y cos θ – x sin θ • Y X X′Y′ x′ P (x, y) (x′, y′) y′ θ
  • 14. คูมือครูสาระการเรียนรูเพิ่มเติม คณิตศาสตร เลม ๒ กลุมสาระการเรียนรูคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ ๔ ตามหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๔๔ จัดทําโดย สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี กระทรวงศึกษาธิการ ISBN 974-01-3820-9 พิมพครั้งที่หนึ่ง ๑๐,๐๐๐ เลม พ.ศ. ๒๕๔๗ องคการคาของคุรุสภาจัดพิมพจําหนาย พิมพที่โรงพิมพคุรุสภาลาดพราว ๒๒๔๙ ถนนลาดพราว วังทองหลาง กรุงเทพมหานคร มีลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติ 169 หรือ x = x′ cos θ – y′ sin θ y = x′ sin θ + y′ cos θ ประโยชนประการหนึ่งของการหมุนแกนคือ เพื่อจัดรูปทั่วไปของสมการกําลังสองสองตัวแปร Ax2 + Bxy + Cy2 + Dx + Ey + F = 0 ใหอยูในรูปที่อางถึงแกนชุดใหมเปน A′x′2 + B′x′y′ + C′y2 + D′x′ + E′y′ + F′ = 0 โดยพยายามหมุนแกนใหคาของ B′ = 0 ซึ่งจะทําใหสมการอยูในรูปทั่วไปที่ไมมีพจน xy เชนจากเรื่องไฮเพอรโบลามุมฉาก ซึ่งเห็นไดชัดเจนวา แกนหมุนไป 45° ในกรณีนี้อยูในรูป xy = k, k > 0 จะใชความสัมพันธเปน x = x 2 2 ′ – y 2 2 ′ y = x 2 2 ′ + y 2 2 ′ แทนคา x และ y ในสมการ xy = k จะได 22 y 2 1 x 2 1 ′−′ = k ดังนั้น จะจัดสมการในรูปมาตรฐาน เปน 2 2 )k2( x′ – 2 2 )k2( y′ = 1 กรณีทั่ว ๆ ไป การจะทําใหคา B′ เปนศูนยจะใชสูตร tan 2 θ = CA B − เชนจากสมการ 4x2 – 4xy + y2 + 2x – 6y + 17 = 0 จะตองให tan 2 θ = 14 4 − − = 3 4 − นั่นคือ θ− θ 2 tan1 tan2 = 3 4 − หรือ 2 tan2 θ – 3 tan θ – 2 = 0 (2 tan θ + 1) (tan θ – 2) = 0 tan θ = 2 1 − หรือ tan θ = 2
  • 15. คูมือครูสาระการเรียนรูเพิ่มเติม คณิตศาสตร เลม ๒ กลุมสาระการเรียนรูคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ ๔ ตามหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๔๔ จัดทําโดย สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี กระทรวงศึกษาธิการ ISBN 974-01-3820-9 พิมพครั้งที่หนึ่ง ๑๐,๐๐๐ เลม พ.ศ. ๒๕๔๗ องคการคาของคุรุสภาจัดพิมพจําหนาย พิมพที่โรงพิมพคุรุสภาลาดพราว ๒๒๔๙ ถนนลาดพราว วังทองหลาง กรุงเทพมหานคร มีลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติ 170 ใชเฉพาะคา tan θ ที่เปนบวก หาคา sin θ และ cos θ จะได sin θ = 5 2 cos θ = 5 1 แทนคา x และ y ในสมการโดยให x = x 5 1 ′ – y 5 2 ′ y = x 5 2 ′ + y 5 1 ′ จะได 22 )y 5 1 x 5 2 ()y 5 1 x 5 2 )(y 5 2 x 5 1 (4)y 5 2 x 5 1 (4 ′+′+′+′′−′−′−′ + 17)y 5 1 x 5 2 (6)y 5 2 x 5 1 (2 +′+′−′−′ = 0 )y 5 2 yx 5 3 x 5 2 (4) 5 y4 5 yx4 5 x (4 22 22 ′−′′−′− ′ + ′′ − ′ + y 5 4 x 5 2 y 5 1 yx 5 4 x 5 4 22 ′−′+′+′′+′ – 17y 5 6 x 5 12 +′−′ = 0 17x52y52y5 2 +′−′−′ = 0 2 )1y5( −′ = x52 ′ – 16 2 ) 5 1 y( −′ = 5 8 x( 5 52 −′ ) เห็นไดวา สมการดังกลาวมีกราฟ เมื่อเทียบกับแกนที่หมุนไปเปนพาราโบลามีจุด ) 5 1 , 5 8 ( เปนจุดยอด อยางไรก็ตามเรื่องนี้เปนเรื่องที่คอนขางยุงยาก ในกรณีที่ตองการใชเสริมใหผูเรียนควรทําภายหลัง จากเรียนตรีโกณมิติจนจบแลว และกรณีการจําสูตรคาของ tan 2θ อาจไมตองจําแตใชขั้นตอนวิธีแทนได ทั้งนี้ ผูสอนอาจตองเลือกโจทยที่ไมยากนักดวย และในการใชหลังจากหมุนแกนแลวจะตองเลื่อนแกนทาง ขนานกับแกนที่หมุนไปดวย โดยการใชความรูดังกลาว จะสามารถพิจารณาสรุปเปนทฤษฎีวา จากสมการกําลังสองสองตัวแปร รูปทั่วไป Ax2 + Bxy + Cy2 + Dx + Ey + F = 0 เมื่อพิจารณาจากคา B2 – 4AC จะมีขอสรุปเกี่ยวกับกราฟดังนี้ 1. ถาเปนจํานวนจริงลบ กราฟจะเปนวงรี จุด หรืออาจไมมีกราฟ 2. ถาเปนศูนย กราฟจะเปนพาราโบลา หรือเสนตรง 2 เสนที่ขนานกัน หรือเสนตรงเสนเดียว หรือไมมีกราฟ 3. ถาเปนจํานวนจริงบวก กราฟจะเปนไฮเพอรโบลา หรือเสนตรงสองเสนตัดกัน
  • 16. คูมือครูสาระการเรียนรูเพิ่มเติม คณิตศาสตร เลม ๒ กลุมสาระการเรียนรูคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ ๔ ตามหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๔๔ จัดทําโดย สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี กระทรวงศึกษาธิการ ISBN 974-01-3820-9 พิมพครั้งที่หนึ่ง ๑๐,๐๐๐ เลม พ.ศ. ๒๕๔๗ องคการคาของคุรุสภาจัดพิมพจําหนาย พิมพที่โรงพิมพคุรุสภาลาดพราว ๒๒๔๙ ถนนลาดพราว วังทองหลาง กรุงเทพมหานคร มีลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติ 171 กิจกรรมเสนอแนะ ระยะระหวางจุดสองจุด กอนสอนบอกใหผูเรียนทราบวาระยะระหวางจุด A ถึงจุด B เขียนแทนดวย AB หรือ ⏐AB⏐ 1. ผูสอนควรใหผูเรียนหาระยะระหวางจุด 2 จุดบนแกน X หรือแกน Y กอนและหาระยะ ระหวางจุด 2 จุดในแนวเสนตรงที่ขนานกับแกน X หรือแกน Y แลวจึงใหหาระยะระหวางจุด 2 จุดใด ๆ บนระนาบ ดังวิธีการแตละขั้นดังตอไปนี้ (1) กําหนดตัวอยางของจุด 2 จุดบนแกน X ใหผูเรียนหาระยะระหวางจุด 2 จุดนี้หลาย ๆ ตัวอยาง เชน A(0, 0), B(4, 0) และ P(–3, 0), Q(2, 0) ฯลฯ ดังรูป ผูเรียนควรตอบไดวา AB = 4 หนวย ไดจาก ⏐4 – 0⏐ หรือ ⏐0 – 4⏐ และ PQ = 5 หนวย ไดจาก ⏐–3 –2⏐ หรือ ⏐2 – (–3)⏐ จากกิจกรรมนี้ผูเรียนจะสรุปไดวา ระยะหางระหวางจุด A(a, 0) และจุด B(b, 0) คือ AB = ⏐a – b⏐ = ⏐b – a⏐ (2) ในทํานองเดียวกันจะหาระยะระหวางจุด 2 จุดบนแกน Y ไดโดยใชวิธีการเดียวกับ ขอ (1) ซึ่งผูเรียนจะสรุปไดวา ระยะระหวางจุด C(0, c) และ D(0, d) คือ CD = ⏐c – d⏐ = ⏐d – c⏐ (3) กําหนดจุดสองจุดที่อยูในแนวเสนตรงเดียวกันกับเสนตรงที่ขนานกับแกน X หรือ แกน Y ใหผูเรียนหาระยะทางระหวางจุดสองจุดนั้น โดยวิธีเดียวกับการหาระยะระหวางจุดสองจุดใด ๆ บนแกน X และแกน Y ผูเรียนควรสรุปไดวา ระยะระหวางจุด A(a, b) กับจุด B(a, c) คือ AB = ⏐b – c⏐ = ⏐c – b⏐ และ ระยะระหวางจุด C(d, e) กับจุด D(f, e) คือ CD = ⏐d – f⏐ = ⏐f – d⏐ โดยผูสอนยกตัวอยางที่เปนตัวเลขประกอบดวย X Y A (0, 0) B (4, 0) •• X Y P (–3, 0) Q (2, 0) •• •
  • 17. คูมือครูสาระการเรียนรูเพิ่มเติม คณิตศาสตร เลม ๒ กลุมสาระการเรียนรูคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ ๔ ตามหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๔๔ จัดทําโดย สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี กระทรวงศึกษาธิการ ISBN 974-01-3820-9 พิมพครั้งที่หนึ่ง ๑๐,๐๐๐ เลม พ.ศ. ๒๕๔๗ องคการคาของคุรุสภาจัดพิมพจําหนาย พิมพที่โรงพิมพคุรุสภาลาดพราว ๒๒๔๙ ถนนลาดพราว วังทองหลาง กรุงเทพมหานคร มีลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติ 172 2. ในการหาระยะระหวางจุดสองจุดใด ๆ บนระนาบนั้นตองอาศัยทฤษฎีบทปทาโกรัส ดังนั้น เพื่อใหผูเรียนเกิดแนวความคิดที่จะนําทฤษฎีบทดังกลาวมาใช ผูสอนอาจใชวิธีการดังตอไปนี้ (1) กําหนดจุด A(0, a) และ B(b, 0) เปนจุดบนแกน Y และแกน X ตามลําดับ ใหผูเรียน หาระยะระหวางจุด A กับจุด B ผูสอนอาจยกตัวอยางจุดที่มีพิกัดเปนจํานวนจริง เชน A(0, 3) และ B(4, 0) หรือ A(0, –3) และ B(–4, 0) เปนตน ซึ่งจากรูป ผูเรียนจะเห็นไดวา AB คือดานตรงขาม ของรูปสามเหลี่ยมมุมฉาก ผูสอนใหผูเรียนหา AB (ผูเรียนควรหาไดดวยตนเอง โดยใชทฤษฎีบทปทาโกรัส) (2) กําหนดจุด A อยูที่จุด (0, 0) และจุด B เปนจุดใด ๆ เชน B(3, 4) ฯลฯ ใหผูเรียนหา AB (ผูเรียนควรหาไดโดยเสนอวาควรลากเสนตรงขนานกับแกน X หรือแกน Y โดยใหเสนตรงนั้นผาน จุด B จะไดรูปสามเหลี่ยมมุมฉาก แลวใชทฤษฎีบทปทาโกรัส) ถาผูเรียนยังเสนอแนะเพิ่มเติมจากสิ่งที่กําหนดใหไมได ผูสอนควรพยายามตั้งคําถามเพื่อใหผูเรียนนําความคิด เกี่ยวกับการหาระยะ AB ในขอ (1) มาใช ซึ่งผูเรียน จะทราบวาจําเปนตองลากเสนตรงขนานกับแกน X หรือ แกน Y โดยใหเสนตรงนั้นผานจุด B จะไดรูปสามเหลี่ยม มุมฉากแลวใชทฤษฎีบทปทาโกรัสผูสอนอาจฝกให ผูเรียนหา AB เมื่อ A เปนจุดบนแกน X (หรือแกน Y) แตไมใชจุด (0, 0) X Y A (0, a) B (b, 0) • • 0 X Y B (a, b) (0, 0) • • A
  • 18. คูมือครูสาระการเรียนรูเพิ่มเติม คณิตศาสตร เลม ๒ กลุมสาระการเรียนรูคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ ๔ ตามหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๔๔ จัดทําโดย สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี กระทรวงศึกษาธิการ ISBN 974-01-3820-9 พิมพครั้งที่หนึ่ง ๑๐,๐๐๐ เลม พ.ศ. ๒๕๔๗ องคการคาของคุรุสภาจัดพิมพจําหนาย พิมพที่โรงพิมพคุรุสภาลาดพราว ๒๒๔๙ ถนนลาดพราว วังทองหลาง กรุงเทพมหานคร มีลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติ 173 (3) กําหนดจุด A(x1, y1) และ B(x2, y2) เปนจุดในระนาบที่ไมอยูบนแกน X หรือแกน Y ใหผูเรียนหา AB จากความรูในขอ (1) และ (2) ผูเรียนจะทราบวาตองลากเสนตรงผานจุด A และ B โดยที่เสนตรงดังกลาวตองขนานกับแกน X หรือแกน Y เพื่อทําใหเกิดรูปสามเหลี่ยมมุมฉาก แลวใชทฤษฎีบท ปทาโกรัสสรุปไดวา ระยะทางระหวางจุด A(x1, y1) กับ B(x2, y2) คือ AB = 2 21 2 21 )yy()xx( −+− หรือ AB = 2 12 2 12 )yy()xx( −+− หมายเหตุ เสนประในรูป ผูสอนควรจะใชชอลกสีลากเปนเสนทึบเพื่อใหผูเรียนเห็นเปนรูปสามเหลี่ยม มุมฉากไดชัดเจน จุดกึ่งกลางระหวางจุด 2 จุด 1. ผูสอนกําหนดจุด 2 จุดใด ๆ บนระนาบใหผูเรียนหาจุดกึ่งกลางระหวางจุดทั้ง 2 นั้น ผูเรียน อาจจะหาตําแหนงโดยการใชวงเวียนหรือการวัดแตไมสามารถหาพิกัดของจุดกึ่งกลางไดทุกกรณี กิจกรรมนี้ ทําเพื่อชักจูงใหผูเรียนเกิดความตองการทราบวิธีหาพิกัดของจุดกึ่งกลางระหวางจุด 2 จุดใด ๆ 2. ผูสอนกําหนดจุด 2 จุด ซึ่งอยูบนแกน X ให เชน A(0, 0) กับ B(8, 0) หรือ A(0, 0) กับ B(15, 0) ใหผูเรียนหาจุดกึ่งกลางระหวางจุด A และ B ผูสอนกําหนดจุด 2 จุด เชน A(0, 0), B(– 4, 0) หรือ A(0, 0), B(–7, 0) ฯลฯ ใหผูเรียนหา จุดกึ่งกลางระหวางจุด A และ B ผูสอนกําหนดจุด 2 จุด เชน A(8, 0), B(12, 0) หรือ A(9, 0), B(12, 0) หรือ A(– 4, 0), B(–8, 0) หรือ A(– 4, 0), B(12, 0) ฯลฯ ใหผูเรียนหาจุดกึ่งกลางระหวางจุด A และ B ผูเรียนควรสรุปไดวา จุดกึ่งกลางระหวางจุด (x1, 0) กับ (x2, 0) คือ จุด )0, 2 xx ( 21 + ผูสอนควรพยายามหลีกเลี่ยงใหผูเรียนคิดโดยการเขียนรูป ซึ่งอาจใชตัวอยางที่เปนตัวเลขงาย ๆ (ในขั้นแรก ๆ ผูสอนอาจใชรูปบางเพื่อใหเกิดแนวความคิด แตหลังจากสอนจบแลวผูเรียนควรสรุปขอความ ขางตนไดโดยไมตองอาศัยรูป) 3. ผูสอนยกตัวอยางจุดซึ่งอยูบนแกน Y แลวทําในทํานองเดียวกับขอ 2 ซึ่งผูเรียนควรสรุปไดวา จุดกึ่งกลางระหวางจุด (0, y1) กับ (0, y2) คือ ) 2 yy ,0( 21 + X Y • • A B 0
  • 19. คูมือครูสาระการเรียนรูเพิ่มเติม คณิตศาสตร เลม ๒ กลุมสาระการเรียนรูคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ ๔ ตามหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๔๔ จัดทําโดย สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี กระทรวงศึกษาธิการ ISBN 974-01-3820-9 พิมพครั้งที่หนึ่ง ๑๐,๐๐๐ เลม พ.ศ. ๒๕๔๗ องคการคาของคุรุสภาจัดพิมพจําหนาย พิมพที่โรงพิมพคุรุสภาลาดพราว ๒๒๔๙ ถนนลาดพราว วังทองหลาง กรุงเทพมหานคร มีลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติ 174 4. ผูสอนกําหนดจุด 2 จุด ซึ่งอยูในแนวเสนตรงเดียวกันที่ขนานกับแกน X เชน จุด A(3, 2) กับ B(7, 2) หรือ A(4, –3) กับ B(6, –3) ฯลฯ ใหผูเรียนหาจุดกึ่งกลาง ผูเรียนควรสรุปไดวา จุดกึ่งกลางระหวางจุด (x1, y1) กับ (x2, y1) คือจุด )y, 2 xx ( 1 21 + 5. ผูสอนกําหนดจุด 2 จุด ซึ่งอยูในแนวเสนตรงเดียวกันกับเสนที่ขนานกับแกน Y เชน A(3, 8) กับ B(3, 6) หรือ A(–3, 6) กับ B(–3, 8) ฯลฯ แลวทําในทํานองเดียวกับขอ 4 ผูเรียนควรสรุปไดวาจุดกึ่งกลางระหวางจุด (x1, y1) กับ (x1, y2) คือจุด ) 2 yy ,x( 21 1 + 6. การหาจุดกึ่งกลางของสวนของเสนตรง AB ในกรณีที่สวนของเสนตรงไมอยูในแนวขนาน กับแกน X หรือแกน Y ผูสอนกําหนดสวนของเสนตรง ซึ่งมีจุดเริ่มตนจุดหนึ่งอยูที่จุด (0, 0) เชน สวนของเสนตรงที่ เชื่อมจุด A(0, 0) และจุด B(4, 8) แลวใหผูเรียนหาพิกัดของจุด (x, y) ซึ่งเปนจุดกึ่งกลางของ AB ถาผูเรียนหาคา x ไมได ใหผูสอนแนะโดยการลาก เสนตรงผานจุด B(4, 8) ตัดและตั้งฉากกับแกน X ถาผูเรียนยังหาไมไดอีก ใหผูสอนแนะอีกขั้น โดยการลาก เสนตรงผานจุดกึ่งกลางตัดและตั้งฉากกับแกน X และใช ความรูเกี่ยวกับสมบัติของสามเหลี่ยมคลาย (ซึ่งผูเรียนควร หาคา x ได ในทํานองเดียวกันใหผูเรียนหาคา y) 7. ผูสอนกําหนดสวนของเสนตรงซึ่งจุดปลายทั้งสองไมอยูบนแกน X หรือแกน Y ใหผูเรียน หาจุดกึ่งกลาง โดยผูสอนใชวิธีการถามเปนขั้น ๆ ดังวิธีที่ผานมา ถาผูเรียนหาคา x ไมได ผูสอนควรแนะใหผูเรียนลากสวน ของเสนตรง AE ใหขนานกับแกน X ตั้งฉากกับ CD และ BE ซึ่งเปนสวนของเสนตรงที่ขนานกับแกน Y ที่ จุด D และ E ตามลําดับ แลวใหผูเรียนใชความรูเกี่ยวกับ สมบัติของสามเหลี่ยมคลาย (∆ ACD ∼ ∆ABE) หาคา x, y ซึ่งผูเรียนควรสรุปไดวา จุดกึ่งกลางของสวนของ เสนตรงที่มีจุดปลายที่จุด A(x1, y1) และจุด B(x2, y2) คือจุด ) 2 yy , 2 xx ( 2121 ++ X Y B (x2, y2) A (x1, y1) D (x, y1) E (x2, y1)• • 0 C (x, y) X Y • • A (0, 0) B (4, 8) (x, y) •
  • 20. คูมือครูสาระการเรียนรูเพิ่มเติม คณิตศาสตร เลม ๒ กลุมสาระการเรียนรูคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ ๔ ตามหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๔๔ จัดทําโดย สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี กระทรวงศึกษาธิการ ISBN 974-01-3820-9 พิมพครั้งที่หนึ่ง ๑๐,๐๐๐ เลม พ.ศ. ๒๕๔๗ องคการคาของคุรุสภาจัดพิมพจําหนาย พิมพที่โรงพิมพคุรุสภาลาดพราว ๒๒๔๙ ถนนลาดพราว วังทองหลาง กรุงเทพมหานคร มีลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติ 175 ความชันของเสนตรง ในการนําเขาสูบทเรียนในเรื่องนี้ ผูสอนอาจยกตัวอยางเรื่องที่ผูเรียนคุนเคยในชีวิตประจําวัน เชน การพาดบันไดกับกําแพง ดังรูป ผูสอนอาจใหผูเรียนดูรูปขางตนแลวใหชวยกันตอบคําถามวา บันไดที่พาดในลักษณะไหนมี ความชันมากกวากัน หลังจากที่ผูเรียนไดรวมกันอภิปรายแลวควรจะสรุปไดวา ความชันของบันไดขึ้นอยู กับระยะในแนวราบระหวางโคนบันไดกับกําแพง โดยบันไดที่โคนบันไดอยูหางจากกําแพงนอยกวา จะมีความชันมากกวา ผูสอนยกตัวอยางใหม โดยสมมุติใหมีบันไดพาดขึ้นไปบนตึกในลักษณะตาง ๆ กัน แตมีระยะ ในแนวราบระหวางโคนบันไดกับตัวตึกคงเดิม ดังรูป ผูสอนตั้งคําถามในทํานองเดียวกัน ผูเรียนควรจะสรุปไดวา ความชันของบันไดขึ้นอยูกับระยะ ในแนวดิ่ง โดยบันไดที่พาดขึ้นไปยังตึกชั้นที่สูงกวาจะมีความชันมากกวาบันไดอันที่พาดขึ้นไปบนตึก ชั้นที่ต่ํากวา
  • 21. คูมือครูสาระการเรียนรูเพิ่มเติม คณิตศาสตร เลม ๒ กลุมสาระการเรียนรูคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ ๔ ตามหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๔๔ จัดทําโดย สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี กระทรวงศึกษาธิการ ISBN 974-01-3820-9 พิมพครั้งที่หนึ่ง ๑๐,๐๐๐ เลม พ.ศ. ๒๕๔๗ องคการคาของคุรุสภาจัดพิมพจําหนาย พิมพที่โรงพิมพคุรุสภาลาดพราว ๒๒๔๙ ถนนลาดพราว วังทองหลาง กรุงเทพมหานคร มีลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติ 176 ผูสอนลากสวนของเสนตรงในลักษณะตาง ๆ กัน บนกระดานกราฟ ดังรูป จากรูปผูสอนใหผูเรียนรวมกันพิจารณาความชันของเสนตรง ผูเรียนควรจะสรุปไดวา ความชันขึ้นอยูกับระยะในแนวดิ่งและแนวระดับ และผูสอนบอกผูเรียน วา จะนิยามความชันของเสนตรงใด ๆ ไดดังนี้ บทนิยาม ให L เปนเสนตรงที่ผานจุด P1(x1, y1) และ P2(x2, y2) โดยที่ x1 ≠ x2, m เปนความชันของเสนตรง L ก็ตอเมื่อ m = 21 21 xx yy − − จากนั้น ใหผูเรียนฝกหาความชันของเสนตรงโดยอาศัยบทนิยามขางตน เพื่อใหผูเรียนเขาใจ ขอสรุปตอไปนี้ คือ 1. ถาความชันเปนจํานวนบวก เสนตรงจะทํามุมแหลมกับแกน X (วัดมุมทวนเข็มนาฬิกาจาก แกน X) 2. ถาความชันเปนจํานวนลบ เสนตรงจะทํามุมปานกับแกน X (วัดมุมทวนเข็มนาฬิกา จากแกน X) 3. ถาเสนตรงขนานกับแกน X ความชันจะเปนศูนย 4. เสนตรงที่ขนานกับแกน Y นั้น ไมอาจหาความชันได
  • 22. คูมือครูสาระการเรียนรูเพิ่มเติม คณิตศาสตร เลม ๒ กลุมสาระการเรียนรูคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ ๔ ตามหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๔๔ จัดทําโดย สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี กระทรวงศึกษาธิการ ISBN 974-01-3820-9 พิมพครั้งที่หนึ่ง ๑๐,๐๐๐ เลม พ.ศ. ๒๕๔๗ องคการคาของคุรุสภาจัดพิมพจําหนาย พิมพที่โรงพิมพคุรุสภาลาดพราว ๒๒๔๙ ถนนลาดพราว วังทองหลาง กรุงเทพมหานคร มีลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติ 177 เสนตั้งฉาก ผูสอนกําหนดพิกัดของจุดยอดของรูปสามเหลี่ยมมุมฉาก (ดานประกอบมุมฉากดานหนึ่ง ไมขนานกับแกน Y) ให 3 จุด เชน ใหผูเรียนทดสอบวา เปนรูปสามเหลี่ยมมุมฉากหรือไมโดยใชบทกลับของ ทฤษฎีบทของ ปทาโกรัสที่กลาววา “ถารูปสามเหลี่ยม ABC มีดานยาว a, b และ c หนวย ตามลําดับ และ c2 = a2 + b2 แลว ∆ ABC เปนรูปสามเหลี่ยมมุมฉากและมีดานที่ยาว c หนวย เปนดานตรงขามมุมฉาก” ใหผูเรียนหาความชันของดานประกอบมุมฉาก และผลคูณของความชันของดานประกอบมุมฉาก ซึ่งจะไดเทากับ –1 ผูสอนอาจยกตัวอยางอื่น ๆ ในทํานองเดียวกัน ผูสอนกําหนดเสนตรง 2 เสนที่ตั้งฉากกัน โดยอาศัยการกําหนดจุดบนเสนตรงแตละเสนใหบน กระดานกราฟ ใหผูเรียนชวยกันแสดงวาผลคูณของความชันของเสนตรงทั้งสองเทากับ –1 ผูสอนยกตัวอยางในทํานองเดียวกัน เพื่อใหผูเรียนมีแนวความคิดวา “ผลคูณของความชันของเสนตรง 2 เสนที่ตั้งฉากกันมีคาเทากับ –1” ผูสอนและผูเรียนชวยกันพิสูจนขอความดังกลาวตามวิธีการในหนังสือเรียน Y X (– 4, 2) (1, 1) (–1, –1) 0