More Related Content More from กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ โรงเรียนอุตรดิตถ์ More from กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ โรงเรียนอุตรดิตถ์ (20) Add m4-2-chapter21. คูมือครูสาระการเรียนรูเพิ่มเติม
คณิตศาสตร เลม ๒
กลุมสาระการเรียนรูคณิตศาสตร
ชั้นมัธยมศึกษาปที่ ๔
ตามหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๔๔
จัดทําโดย
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
กระทรวงศึกษาธิการ
ISBN 974-01-3820-9
พิมพครั้งที่หนึ่ง ๑๐,๐๐๐ เลม
พ.ศ. ๒๕๔๗
องคการคาของคุรุสภาจัดพิมพจําหนาย
พิมพที่โรงพิมพคุรุสภาลาดพราว
๒๒๔๙ ถนนลาดพราว วังทองหลาง กรุงเทพมหานคร
มีลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติ
บทที่ 2
ฟงกชัน
( 18 ชั่วโมง )
ฟงกชันเปนสาระการเรียนรูหนึ่งที่มีความสําคัญมาก และเปนประโยชนในการเรียนคณิตศาสตร
ระดับสูงขึ้นไป เชน วิชาแคลคูลัส พีชคณิตนามธรรม นอกจากนี้ฟงกชันยังเปนประโยชนในการแกโจทย
ปญหาตาง ๆ ที่ตองใชตัวแปร สําหรับบทเรียนนี้จะเริ่มตนดวยการแนะนําใหผูเรียนรูจักความสัมพันธ โดเมน
และเรนจของความสัมพันธ ตัวผกผันของความสัมพันธ จากนั้นจึงแนะนําใหผูเรียนรูถึงความหมายของ
ฟงกชันแลวพิจารณาวา ความสัมพันธนั้นเปนฟงกชันหรือไม สําหรับความสัมพันธที่ไมเปนฟงกชัน
จะสามารถหาสับเซตของความสัมพันธโดยที่สับเซตนั้นเปนฟงกชันได แลวจึงเริ่มกลาวถึงฟงกชันโพลิโนเมียล
ฟงกชันคอมโพสิท ฟงกชันผกผันและพีชคณิตของฟงกชันตามลําดับ
ผลการเรียนรูที่คาดหวัง
1. มีความคิดรวบยอดเกี่ยวกับฟงกชัน เขียนกราฟของฟงกชันและสรางฟงกชันจากโจทยปญหาที่
กําหนดใหได
2. นําความรูเรื่องฟงกชันไปใชแกปญหาได
ผลการเรียนรูที่คาดหวังเปนผลการเรียนรูที่สอดคลองกับมาตรฐานการเรียนรูชวงชั้นทางดาน
ความรู ดังนั้นในการจัดการเรียนรู ผูสอนตองคํานึงถึงมาตรฐานการเรียนรูดานทักษะ/กระบวนการทาง
คณิตศาสตรดวยการสอดแทรกกิจกรรมหรือโจทยปญหาที่จะสงเสริมใหผูเรียนเกิดทักษะ/กระบวนการ
ทางคณิตศาสตรที่จําเปน อันไดแก ความสามารถในการแกปญหา การใหเหตุผล การสื่อสาร การสื่อ
ความหมายทางคณิตศาสตรและการนําเสนอ การเชื่อมโยงความรูตาง ๆ ทางคณิตศาสตรและเชื่อมโยง
คณิตศาสตรกับศาสตรอื่น และการคิดริเริ่มสรางสรรค นอกจากนั้นกิจกรรมการเรียนรู ควรสงเสริม
ใหผูเรียนตระหนักในคุณคาและมีเจตคติที่ดีตอวิชาคณิตศาสตร ตลอดจนฝกใหนักเรียนทํางานอยาง
เปนระบบ มีระเบียบวินัย รอบคอบ มีความรับผิดชอบ มีวิจารณญาณ และมีความเชื่อมั่นในตนเอง
2. คูมือครูสาระการเรียนรูเพิ่มเติม
คณิตศาสตร เลม ๒
กลุมสาระการเรียนรูคณิตศาสตร
ชั้นมัธยมศึกษาปที่ ๔
ตามหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๔๔
จัดทําโดย
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
กระทรวงศึกษาธิการ
ISBN 974-01-3820-9
พิมพครั้งที่หนึ่ง ๑๐,๐๐๐ เลม
พ.ศ. ๒๕๔๗
องคการคาของคุรุสภาจัดพิมพจําหนาย
พิมพที่โรงพิมพคุรุสภาลาดพราว
๒๒๔๙ ถนนลาดพราว วังทองหลาง กรุงเทพมหานคร
มีลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติ
86
สําหรับเรื่องฟงกชันในหนังสือเรียนเพิ่มเติม เลม 2 หัวขอใดที่ผูสอนคิดวา ผูเรียนมีความรูแลว
ผูสอนอาจจะขามไปสอนหัวขออื่นไดเลย โดยอาจจะชี้ใหผูเรียนเห็นเพียงประเด็นหรือกรณีที่ควร
ระมัดระวังหรือตั้งขอสังเกตก็ได
ขอเสนอแนะ
1. ในการพิจารณาวา ความสัมพันธที่เขียนแบบแจกแจงสมาชิกเปนฟงกชันหรือไม ผูสอน
อาจใหผูเรียนพิจารณาคูอันดับทั้งหมดของความสัมพันธวา มีสมาชิกตัวหนาซ้ํากันหรือไม ถาไมมีจะสรุป
ไดวาเปนฟงกชัน แตถามีสมาชิกตัวหนาของคูอันดับซ้ํากันโดยที่สมาชิกตัวหลังของคูอันดับ (ที่มีสมาชิก
ตัวหนาซ้ํากัน) นั้นตางกันสรุปไดวา ความสัมพันธนั้นไมเปนฟงกชัน เนื่องจากความสัมพันธเปนเซต
และเซตที่เขียนแบบแจกแจงสมาชิกไมนิยมเขียนสมาชิกซ้ํากัน เชน ไมนิยมเขียน {(1, a), (2, b), (2, b)}
แตเขียนเปน {(1, a), (2, b)} ดังนั้น ในการพิจารณาวา ความสัมพันธที่เขียนแบบแจกแจงสมาชิกนั้นเปน
ฟงกชันหรือไม สามารถทําไดโดยวิธีการดังกลาวมาแลวขางตน
2. ถา f : A → B แลว สามารถหา g ⊂ f โดยที่ g เปนฟงกชันหนึ่งตอหนึ่ง และ Rg = Rf
ไดเสมอ ดังตัวอยางตอไปนี้
1) ถา f = {(1, a), (2, a), (3, b), (4, c)} สามารถหา g ⊂ f โดยที่ g เปนฟงกชันหนึ่ง
ตอหนึ่ง และ Rg = Rf ได เชน g = {(1, a), (3, b), (4, c)}
2) ถา f = {(x, y)⏐y = x2
} สามารถหา g ⊂ f โดยที่ g เปนฟงกชันหนึ่งตอหนึ่ง
และ Rg = Rf ได เชน g = {(x, y)⏐y = x2
และ x ≥ 0}
3. สําหรับฟงกชันหนึ่งตอหนึ่งนั้น ในหนังสือเรียนไดยกตัวอยางการพิจารณาวาฟงกชันที่
เขียนแบบแจกแจงสมาชิกเปนฟงกชันหนึ่งตอหนึ่งหรือไมโดยใชแผนภาพแสดงการจับคูระหวางสมาชิก
ของเซต A กับสมาชิกของเซต B และอธิบายลักษณะการจับคูที่เปนสมบัติของฟงกชัน 1 – 1 ไววา สมาชิก
แตละตัวของ B ที่ถูกจับคูจะจับคูกับสมาชิกของ A เพียงตัวเดียวเทานั้น สวนการพิจารณาวาฟงกชันที่เขียน
แบบบอกเงื่อนไขเปนฟงกชัน 1 – 1 หรือไมนั้นใหพิจารณาจากกราฟของฟงกชัน หรือพิจารณาโดยอาศัย
บทนิยาม “f เปนฟงกชัน 1 – 1 ก็ตอเมื่อ สําหรับทุก ๆ x1, x2 ในโดเมนของ f ถา f(x1) = f(x2) แลว
x1 = x2”
ขอสังเกต ในการพิจารณาฟงกชัน 1 – 1 โดยการลากเสนตรงขนานกับแกน X แลวพิจารณาวา จุดตัด
กราฟมีเพียงจุดเดียวเทานั้นหรือไม ขอควรระวังในการลากเสนตรง ไมใชวาลากเสนตรงขนานกับแกน X
เพียงเสนเดียวผลปรากฏวามีจุดตัดกราฟเพียงจุดเดียว แลวสรุปวาฟงกชันที่กําหนดใหนั้นเปนฟงกชัน 1 – 1
แตตองพิจารณาวาไมวาจะลากเสนตรงใดใหขนานกับแกน X ก็ตาม เสนตรงแตละเสนจะตองมีจุดตัด
กราฟเพียงจุดเดียวเทานั้น จึงจะสามารถสรุปไดวาฟงกชันที่กําหนดใหนั้นเปนฟงกชัน 1-1
3. คูมือครูสาระการเรียนรูเพิ่มเติม
คณิตศาสตร เลม ๒
กลุมสาระการเรียนรูคณิตศาสตร
ชั้นมัธยมศึกษาปที่ ๔
ตามหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๔๔
จัดทําโดย
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
กระทรวงศึกษาธิการ
ISBN 974-01-3820-9
พิมพครั้งที่หนึ่ง ๑๐,๐๐๐ เลม
พ.ศ. ๒๕๔๗
องคการคาของคุรุสภาจัดพิมพจําหนาย
พิมพที่โรงพิมพคุรุสภาลาดพราว
๒๒๔๙ ถนนลาดพราว วังทองหลาง กรุงเทพมหานคร
มีลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติ
87
4. การพิจารณาวาฟงกชันใดเปนฟงกชันเพิ่มหรือฟงกชันลดจากบทนิยามที่กลาววา
f เปนฟงกชันเพิ่มใน A ก็ตอเมื่อ สําหรับสมาชิก x1, x2 ใด ๆ ใน A
“ถา x1 < x2 แลว f(x1) < f(x2)”
f เปนฟงกชันลดใน A ก็ตอเมื่อ สําหรับสมาชิก x1, x2 ใด ๆ ใน A
“ถา x1 < x2 แลว f(x1) > f(x2)” อาจพิจารณาไดยากผูสอนจึงอาจใหผูเรียนพิจารณาได
จากกราฟโดยเริ่มจากซายไปขวา ถาลักษณะของเสนกราฟสูงขึ้นเรื่อย ๆ จะเปนฟงกชันเพิ่ม ถาลักษณะ
ของเสนกราฟลดต่ําลงเรื่อย ๆ จะเปนฟงกชันลด ถาลักษณะเสนกราฟสูงบางต่ําบาง หรือคงที่ ไมเปน
ฟงกชันเพิ่มและไมเปนฟงกชันลด
ผลสรุปตอเนื่องจากการที่เราทราบวา ฟงกชันใดเปนฟงกชันเพิ่ม ฟงกชันใดเปนฟงกชันลด
ก็คือ ฟงกชันนั้นจะเปนฟงกชัน 1 – 1 ดวย ซึ่งพิสูจนไดดังนี้
จากบทนิยาม f เปนฟงกชัน 1 – 1 ก็ตอเมื่อ สําหรับทุก ๆ x1, x2 ในโดเมนของ f
“ถา f(x1) = f(x2) แลว x1 = x2” ซึ่งสมมูลกับประโยค
“ถา x1 ≠ x2 แลว f(x1) ≠ f(x2)” เราจะใชขอความขางตน
พิสูจนวา ถา f เปนฟงกชันเพิ่มแลว f เปนฟงกชัน 1 – 1 ดังนี้
สิ่งที่กําหนดให f เปนฟงกชันเพิ่ม
จะพิสูจนวา f เปนฟงกชัน 1 – 1
พิสูจน ถา x1 ≠ x2 จะไดวา x1 < x2 หรือ x2 < x1
กรณีที่ 1 ถา x1 < x2 จะไดวา f(x1) < f(x2) เพราะ f เปนฟงกชันเพิ่ม
ดังนั้น f(x1) ≠ f(x2)
กรณีที่ 2 ถา x2 < x1 จะไดวา f(x2) < f(x1) เพราะ f เปนฟงกชันเพิ่ม
ดังนั้น f(x2) ≠ f(x1)
จากทั้งสองกรณี สรุปไดวา ถา x1 ≠ x2 แลว f(x1) ≠ f(x2)
ดังนั้น f เปนฟงกชัน 1 – 1
ในทํานองเดียวกัน เราจะพิสูจนไดวา ถา f เปนฟงกชันลดแลว f จะเปนฟงกชัน 1 – 1
หมายเหตุ ในหนังสือเรียนไดกลาววา ในการพิจารณาฟงกชันที่กําหนดใหวาเปนฟงกชันเพิ่มหรือ
ฟงกชันลดในเซตที่กําหนดให ถาพบวา ไมใชฟงกชันเพิ่ม จะสรุปเอาวาเปนฟงกชันลด
หรือพบวาไมใชฟงกชันลดจะสรุปเอาวาเปนฟงกชันเพิ่มในเซตที่กําหนดใหไมได เพราะมี
บางฟงกชันที่ไมเปนทั้งฟงกชันเพิ่มและฟงกชันลด
4. คูมือครูสาระการเรียนรูเพิ่มเติม
คณิตศาสตร เลม ๒
กลุมสาระการเรียนรูคณิตศาสตร
ชั้นมัธยมศึกษาปที่ ๔
ตามหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๔๔
จัดทําโดย
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
กระทรวงศึกษาธิการ
ISBN 974-01-3820-9
พิมพครั้งที่หนึ่ง ๑๐,๐๐๐ เลม
พ.ศ. ๒๕๔๗
องคการคาของคุรุสภาจัดพิมพจําหนาย
พิมพที่โรงพิมพคุรุสภาลาดพราว
๒๒๔๙ ถนนลาดพราว วังทองหลาง กรุงเทพมหานคร
มีลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติ
88
ในการเรียนการสอน ถามีผูเรียนสงสัยวา
1) f เปนฟงกชันเพิ่มใน A
2) f ไมเปนฟงกชันเพิ่มใน A
3) f เปนฟงกชันไมเพิ่มใน A
ทั้ง 3 กรณีนี้ มีความแตกตางหรือเหมือนกันอยางไร ผูสอนอาจใหนิยามดังนี้
f เปนฟงกชันเพิ่มใน A (f is increasing function in A) ก็ตอเมื่อ
“สําหรับทุก ๆ x1, x2 ใน A ถา x1 < x2 แลว f(x1) < f(x2)”
f ไมเปนฟงกชันเพิ่มใน A (f is not increasing function in A) ก็ตอเมื่อ
“มี x1, x2 บางตัวใน A ซึ่ง x1 < x2 แต f(x1) < f(x2)”
f เปนฟงกชันไมเพิ่มใน A (f is nonincreasing function in A) ก็ตอเมื่อ
“สําหรับทุก ๆ x1, x2 ใน A ถา x1 < x2 แลว f(x1) ≥ f(x2)”
ตัวอยางพิจารณากราฟตอไปนี้
Y
X
s
x1 x20
Y
X
gx1 x20
Y
X
h
x1 x20
Y
X
fx1 x20
Y
X
k
x1 x20
5. คูมือครูสาระการเรียนรูเพิ่มเติม
คณิตศาสตร เลม ๒
กลุมสาระการเรียนรูคณิตศาสตร
ชั้นมัธยมศึกษาปที่ ๔
ตามหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๔๔
จัดทําโดย
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
กระทรวงศึกษาธิการ
ISBN 974-01-3820-9
พิมพครั้งที่หนึ่ง ๑๐,๐๐๐ เลม
พ.ศ. ๒๕๔๗
องคการคาของคุรุสภาจัดพิมพจําหนาย
พิมพที่โรงพิมพคุรุสภาลาดพราว
๒๒๔๙ ถนนลาดพราว วังทองหลาง กรุงเทพมหานคร
มีลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติ
89
พิจารณาจากกราฟ จะเห็นวา
เปนฟงกชันเพิ่ม ไมเปนฟงกชันเพิ่ม เปนฟงกชันไมเพิ่ม
ฟงกชัน
ใน R ใน [x1, x2] ใน R ใน [x1, x2] ใน R ใน [x1, x2]
s – – – –
g – –
h – – – –
f – –
k – –
สําหรับฟงกชันลดใน A ฟงกชันไมลดใน A และไมเปนฟงกชันลดใน A
มีบทนิยามที่แตกตางกันดังนี้
f เปนฟงกชันลดใน A ก็ตอเมื่อ
“สําหรับทุก x1, x2 ใน A ถา x1 < x2 แลว f(x1) > f(x2)”
f ไมเปนฟงกชันลดใน A ก็ตอเมื่อ
“มี x1, x2 บางตัวใน A ซึ่ง x1 < x2 แต f(x1) > f(x2)”
f เปนฟงกชันไมลดใน A ก็ตอเมื่อ
“สําหรับทุก ๆ x1, x2 ใน A ถา x1 < x2 แลว f(x1) ≤ f(x2)”
ตัวอยางจากกราฟของฟงกชัน s, g, h, f และ k ที่กลาวมาจะเห็นวา
เปนฟงกชันลด ไมเปนฟงกชันลด เปนฟงกชันไมลด
ฟงกชัน
ใน R ใน [x1, x2] ใน R ใน [x1, x2] ใน R ใน [x1, x2]
s – –
g – – – –
h – –
f – – –
k – –
6. คูมือครูสาระการเรียนรูเพิ่มเติม
คณิตศาสตร เลม ๒
กลุมสาระการเรียนรูคณิตศาสตร
ชั้นมัธยมศึกษาปที่ ๔
ตามหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๔๔
จัดทําโดย
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
กระทรวงศึกษาธิการ
ISBN 974-01-3820-9
พิมพครั้งที่หนึ่ง ๑๐,๐๐๐ เลม
พ.ศ. ๒๕๔๗
องคการคาของคุรุสภาจัดพิมพจําหนาย
พิมพที่โรงพิมพคุรุสภาลาดพราว
๒๒๔๙ ถนนลาดพราว วังทองหลาง กรุงเทพมหานคร
มีลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติ
90
หมายเหตุ การศึกษาเกี่ยวกับฟงกชันเพิ่ม ฟงกชันลดนี้ ไดประโยชนประการหนึ่งคือ การนําความรู
ไปชวยในการเขียนกราฟของฟงกชันไดใกลเคียงกับความเปนจริง เมื่อทราบจุดบนกราฟ
เพียงบางจุด และทราบวา กราฟในชวงใดเปนกราฟฟงกชันเพิ่มหรือลด เชน กราฟตอไปนี้
ถากําหนดจุดบนกราฟให 4 จุด คือ A, B, C และ D โดยไมทราบวาฟงกชันที่มีกราฟ
ผานจุดดังกลาวเปนฟงกชันเพิ่มหรือลดในชวงใด อาจเขียนกราฟของฟงกชันเดียวกันนี้
ไดหลายแบบ เชน
แตถาทราบวา ฟงกชันที่กําหนดใหเปนฟงกชันลดในชวง [x1, x3] และเพิ่มในชวง [x3, x4] กราฟ h
จะใกลเคียงกวากราฟของฟงกชัน f และฟงกชัน g
5. สําหรับฟงกชันที่ควรรูจักในบทนี้มิไดมุงเนนการจําแนกประเภทของฟงกชันแตจะมุงเนน
ใหเห็นตัวอยางของฟงกชันที่อาจพบบอย อันจะเปนพื้นฐานสําหรับนําไปประยุกตใชแกปญหาในวิชา
แคลคูลัส วิชาวิทยาศาสตร และวิชาเศรษฐศาสตรหรือแมแตในชีวิตประจําวัน
6. สําหรับหนังสือเรียนนี้ไดใหนิยามของฟงกชันคอมโพสิทกวางขึ้นเพื่อประโยชนในการหา
ฟงกชันคอมโพสิท ที่เกิดจากฟงกชันเอกซโพเนนเชียล ฟงกชันลอการิทึม ฟงกชันตรีโกณมิติ หรือ
ฟงกชันอื่น ๆ ซึ่งในบทนิยามกลาววา ถา f และ g เปนฟงกชัน จะมีฟงกชันคอมโพสิทของ f และ g
เมื่อ Rf ∩ Dg ≠ ∅
•
•
•
•
Y
Xx1 x20 x3 x4
D
A
B
f •
•
Y
Xx1 x20 x3 x4
D
A
B
g
• •
C
•
•
Y
Xx1 x20 x3 x4
D
A
B
h
•
•
C
Y
Xx1 x20 x3 x4
• • • •
A B C D
l
7. คูมือครูสาระการเรียนรูเพิ่มเติม
คณิตศาสตร เลม ๒
กลุมสาระการเรียนรูคณิตศาสตร
ชั้นมัธยมศึกษาปที่ ๔
ตามหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๔๔
จัดทําโดย
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
กระทรวงศึกษาธิการ
ISBN 974-01-3820-9
พิมพครั้งที่หนึ่ง ๑๐,๐๐๐ เลม
พ.ศ. ๒๕๔๗
องคการคาของคุรุสภาจัดพิมพจําหนาย
พิมพที่โรงพิมพคุรุสภาลาดพราว
๒๒๔๙ ถนนลาดพราว วังทองหลาง กรุงเทพมหานคร
มีลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติ
91
7. การหาโดเมนของฟงกชัน g°f จะพิจารณาจากโดเมนของฟงกชัน f อยางเดียวไมได
แตจะตองพิจารณาจากโดเมนของฟงกชัน g ประกอบดวย โดยพิจารณา x ∈ Df ที่ทําให f(x) ∈ Dg ดวย
ซึ่งอาจเปนเรื่องยากสําหรับผูเรียนในระดับนี้ แตถาตองการใหผูเรียนที่มีความสามารถพิเศษสามารถหา
โดเมนและเรนจของ g°f ได อาจยกตัวอยางเพิ่มเติมดังตอไปนี้
ตัวอยางที่ 1 กําหนดให f(x) = 12x +− และ g(x) = x5−−
จงหา (g°f)(x) พรอมทั้งบอกโดเมนของ g°f
วิธีทํา Df = [2, ∞) และ Rf = [1, ∞)
Dg = (–∞, 5] และ Rg = (–∞, 0]
จะได Rf ∩ Dg ≠ ∅
ดังนั้น มี g°f เปนฟงกชันจากโดเมนของ f ไปยังเรนจของ g โดยที่
(g°f)(x) = g(f(x)) และ f(x) ∈ Dg
g(f(x)) = )12x(5 +−−− เมื่อ 512x ≤+−
= 2x4 −−− เมื่อ 42x ≤−
Dgof = }42xx{ ≤−
= {x⏐x ≥ 2 ∧ x ≤ 18}
= [2, 18]
ตัวอยางที่ 2 กําหนดให f(x) = 2x+− , g(x) = –x2
+ 3 จะมี g°f และ f°g หรือไม
ถามี จงหา g°f(x) และ f°g(x) พรอมทั้งบอกโดเมน
วิธีทํา 1) หา (g°f)(x)
Df = [–2, ∞) Rf = (–∞, 0]
Dg = R Rg = (–∞, 3]
เนื่องจาก Rf ∩ Dg ≠ ∅ ดังนั้น มี g°f
และเนื่องจาก Rf ⊂ Dg จะได Dg°f = Df = [–2, ∞)
g°f(x) = g(f(x)) เมื่อ f(x) ∈ Dg
= –(f(x))2
+ 3
= 3)2x( 2
++−− เมื่อ x ∈ [–2, ∞)
= –(x + 2) + 3 เมื่อ x ∈ [–2, ∞)
= –x + 1 เมื่อ x ∈ [–2, ∞)
8. คูมือครูสาระการเรียนรูเพิ่มเติม
คณิตศาสตร เลม ๒
กลุมสาระการเรียนรูคณิตศาสตร
ชั้นมัธยมศึกษาปที่ ๔
ตามหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๔๔
จัดทําโดย
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
กระทรวงศึกษาธิการ
ISBN 974-01-3820-9
พิมพครั้งที่หนึ่ง ๑๐,๐๐๐ เลม
พ.ศ. ๒๕๔๗
องคการคาของคุรุสภาจัดพิมพจําหนาย
พิมพที่โรงพิมพคุรุสภาลาดพราว
๒๒๔๙ ถนนลาดพราว วังทองหลาง กรุงเทพมหานคร
มีลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติ
92
2) หา (f°g)(x)
เนื่องจาก Rg ∩ Df ≠ ∅ ดังนั้น f°g
(f°g)(x) = f(g(x)) เมื่อ g(x) ∈ Df
= 2)x(g +−
= 2)3x( 2
++−− เมื่อ –x2
+ 3 + 2 ≥ 0
= 5x2
+−− เมื่อ –x2
≥ –5
นั่นคือ (f°g)(x) = 5x2
+−− เมื่อ 5− ≤ x ≤ 5
แตเนื่องจาก Rg ⊄ Df จะหา Df°g ไดโดยพิจารณาคา x ซึ่ง g(x) เปนสมาชิกของ Df
จะได Df°g = ]5,5[−
8. ในกรณีที่ f เปนฟงกชันที่ไมใชฟงกชันหนึ่งตอหนึ่ง จะมี h ⊂ f ซึ่ง h เปนฟงกชัน
หนึ่งตอหนึ่ง และจะได h–1
เปนฟงกชันหนึ่งตอหนึ่งดวย
เชน กําหนดให f = {(x, y)⏐y = x2
} f เปนฟงกชันที่ไมใชฟงกชันหนึ่งตอหนึ่ง
แตมี h = {(x, y)⏐y = x2
และ x ≥ 0} ซึ่ง h ⊂ f และ h เปนฟงกชันหนึ่งตอหนึ่ง และจะได
h–1
= {(x, y)⏐y = x } เปนฟงกชันหนึ่งตอหนึ่งดวย
การหาสับเซต h ของ f โดยที่ h เปนฟงกชันหนึ่งตอหนึ่ง แต f ไมเปนฟงกชันหนึ่งตอ
หนึ่งนี้ จะนําไปใชในเรื่องฟงกชันอินเวอรสของฟงกชันตรีโกณมิติ และฟงกชันลอการิทึม
9. เมื่อมีฟงกชัน f และอินเวอรสของฟงกชัน f ซึ่งเขียนแทนดวยสัญลักษณ f–1
ซึ่งอาจจะ
เปนฟงกชันหรือไมเปนฟงกชันก็ได
สําหรับสัญลักษณ f–1
(x) จะใชในกรณีที่ f–1
เปนฟงกชันเทานั้น และ f–1
(x) หมายถึง
คาของฟงกชัน f–1
ที่ x
10. ถา f เปนฟงกชันหนึ่งตอหนึ่ง จะไดผลสรุปดังตอไปนี้
1) f–1
เปนฟงกชัน
2) (f–1
° f)(x) = x สําหรับ x ∈ fD
3) (f ° f–1
)(x) = x สําหรับ x ∈ 1
f
D −
เชน f(x) = 3x – 2
จะได f–1
(x) = 3
2x+
9. คูมือครูสาระการเรียนรูเพิ่มเติม
คณิตศาสตร เลม ๒
กลุมสาระการเรียนรูคณิตศาสตร
ชั้นมัธยมศึกษาปที่ ๔
ตามหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๔๔
จัดทําโดย
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
กระทรวงศึกษาธิการ
ISBN 974-01-3820-9
พิมพครั้งที่หนึ่ง ๑๐,๐๐๐ เลม
พ.ศ. ๒๕๔๗
องคการคาของคุรุสภาจัดพิมพจําหนาย
พิมพที่โรงพิมพคุรุสภาลาดพราว
๒๒๔๙ ถนนลาดพราว วังทองหลาง กรุงเทพมหานคร
มีลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติ
93
ดังนั้น (f–1
° f)(x) = f–1
(f(x))
= f–1
(3x – 2)
= 3
2)2x3( +−
= x, x ∈ Df
ซึ่งแสดง f–1
°f เปนฟงกชันที่สมาชิกตัวหนาและสมาชิกตัวหลังของคูอันดับแตละคู
มีคาเทากันและเปนสมาชิกของโดเมน f
และ (f ° f–1
)(x) = f(f–1
(x))
= )
3
2x
(f
+
= 2)
3
2x
(3 −
+
= x, x ∈ Df–1
ซึ่งแสดงวา f ° f–1
เปนฟงกชันที่สมาชิกตัวหนาและสมาชิกตัวหลังของคูอันดับแตละคู
มีคาเทากันและเปนสมาชิกของโดเมน f–1
หรือเปนสมาชิกของเรนจ f
หมายเหตุ สําหรับ f ที่เปนฟงกชันหนึ่งตอหนึ่งไมจําเปนที่ f ° f–1
จะตองเทากับ f–1
° f เชน
ให f = {(1, a), (2, b), (3, c)}
จะได f–1
= {(a, 1), (b, 2), (c, 3)}
และ f ° f–1
= {(a, a), (b, b), (c, c)}
f–1
° f = {(1, 1), (2, 2), (3, 3)}
จะเห็นวา f ° f–1
≠ f–1
° f
11. จากสมบัติของฟงกชันหนึ่งตอหนึ่ง (f–1
° f)(x) = x
เมื่อ f เปนฟงกชันหนึ่งตอหนึ่ง กําหนด (g ° f)(x) และ g(x)
ให โดยที่ g เปนฟงกชันหนึ่งตอหนึ่ง จะหา f(x) ไดโดยอาศัยสมการ f(x) = g–1
(g(f(x))) ทั้งนี้เพราะ
g–1
(g(f(x)) = (g–1
° g)(f(x)) = f(x)
ตัวอยาง กําหนดให (g ° f)(x) = 2x2
และ g(x) = 2x จงหา f(x)
วิธีทํา เนื่องจาก g(x) = 2x จะได g เปนฟงกชันหนึ่งตอหนึ่ง
และ g–1
(x) = 2
x
จาก f(x) = (g–1
° g)(f(x))
จะได f(x) = g–1
(g(f(x))
= g–1
((g°f)(x))
= g–1
(2x2
)
= x2
= 2
x2 2
10. คูมือครูสาระการเรียนรูเพิ่มเติม
คณิตศาสตร เลม ๒
กลุมสาระการเรียนรูคณิตศาสตร
ชั้นมัธยมศึกษาปที่ ๔
ตามหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๔๔
จัดทําโดย
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
กระทรวงศึกษาธิการ
ISBN 974-01-3820-9
พิมพครั้งที่หนึ่ง ๑๐,๐๐๐ เลม
พ.ศ. ๒๕๔๗
องคการคาของคุรุสภาจัดพิมพจําหนาย
พิมพที่โรงพิมพคุรุสภาลาดพราว
๒๒๔๙ ถนนลาดพราว วังทองหลาง กรุงเทพมหานคร
มีลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติ
94
กิจกรรมเสนอแนะ
สําหรับความหมายของฟงกชันไดมีการกลาวไวแลวในคูมือครูคณิตศาสตรพื้นฐาน เลม 2
จึงขออนุญาตไมกลาวถึงอีกในคูมือครูเลมนี้
1. วิธีตรวจสอบวา ความสัมพันธ r ใด ๆ ที่เขียนแบบบอกเงื่อนไขนั้นเปนฟงกชันหรือไม
มีดังนี้
ให (x, y) ∈ r และ (x, z) ∈ r ถาสรุปไดวา y = z แสดงวา ความสัมพันธ r เปน ฟงกชัน
ตัวอยางเชน จากความสัมพันธ r1 = {(x, y)⏐y = x2
– 1}
ให (x, y) ∈ r1 และ (x, z) ∈ r2 จะได y = x2
– 1 และ z = x2
– 1
ดังนั้น y = z จึงสรุปไดวา ความสัมพันธ r1 เปนฟงกชัน
แตถาสรุปไดวา มีกรณีที่ y ≠ z แสดงวา ความสัมพันธ r ไมเปนฟงกชัน
ตัวอยางเชน จากความสัมพันธ r2 = {(x, y)⏐y2
= x + 1}
ให (x, y) ∈ r2 และ (x, z) ∈ r2 จะได y2
= x + 1 และ z2
= x + 1
ดังนั้น y2
= z2
จะเห็นวามีกรณีที่ y ≠ z เชน y = 2 และ z = –2 จึงสรุปวา ความสัมพันธ
r2 ไมเปนฟงกชัน
สําหรับกรณี r2 นี้อาจใชเหตุผลวา เนื่องจาก (3, 2) ∈ r2 และ (3, –2) ∈ r2 ดังนั้น r2 ไมเปน
ฟงกชัน ไมจําเปนตองตรวจสอบโดยวิธีให (x, y) ∈ r2 และ (x, z) ∈ r2 แลวดูวา y กับ z เทากัน
ในการพิจารณาวา ความสัมพันธที่กําหนดใหจะเปนฟงกชันหรือไม นอกจากจะอาศัยบทนิยาม
ของฟงกชันแลว ยังสามารถพิจารณาไดจากการหาคา y เมื่อกําหนดคา x ให ซึ่งมีวิธีการโดยสรุปดังนี้
กําหนดให (x, y) ∈ r
ใหผูเรียนเขียน y ในรูปของ x แลวพิจารณาวา สําหรับแตละคาของ x จะหาคา y ไดเพียง
คาเดียวหรือไม
ถาแตละคาของ x หาคา y ไดคาเดียว สรุปวา ความสัมพันธนี้เปนฟงกชันแตถาเมื่อกําหนด
x ใหคาเดียว แลวสามารถหาคา y ไดหลายคา สรุปวา ความสัมพันธดังกลาวไมเปนฟงกชัน เชน
กําหนดให r3 = {(x, y)⏐y = x3
– 1}
11. คูมือครูสาระการเรียนรูเพิ่มเติม
คณิตศาสตร เลม ๒
กลุมสาระการเรียนรูคณิตศาสตร
ชั้นมัธยมศึกษาปที่ ๔
ตามหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๔๔
จัดทําโดย
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
กระทรวงศึกษาธิการ
ISBN 974-01-3820-9
พิมพครั้งที่หนึ่ง ๑๐,๐๐๐ เลม
พ.ศ. ๒๕๔๗
องคการคาของคุรุสภาจัดพิมพจําหนาย
พิมพที่โรงพิมพคุรุสภาลาดพราว
๒๒๔๙ ถนนลาดพราว วังทองหลาง กรุงเทพมหานคร
มีลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติ
95
ให (x, y) ∈ r3 จะเห็นวา สําหรับแตละคาของ x จะไดคา x3
– 1
เพียงคาเดียว นั่นคือ เมื่อกําหนดคา x ให จะหา y ไดจาก y = x3
– 1 เพียงคาเดียว
ดังนั้น r3 เปนฟงกชัน
พิจารณา r4 = {(x, y)⏐y2
= x – 1}
จะเห็นวา แตละคาของ x จะหาคา y ไดจาก y = 1x−± ซึ่งทําใหไดคา y เปนสองคา
คือ y = 1x−− และ y = 1x− เชน เมื่อ x = 2 จะได y มีคาเปน –1 และ 1
ดังนั้น (2, –1) ∈ r4 และ (2, 1) ∈ r4 นั่นคือ r4 ไมเปนฟงกชัน
2. ผูสอนยกตัวอยางกราฟของความสัมพันธทั้งที่เปนฟงกชันและไมเปนฟงกชัน แลวรวมกัน
หาหลักเกณฑในการพิจารณาจากกราฟ วาความสัมพันธใดเปนฟงกชัน ซึ่งจะสรุปไดวา เมื่อลากเสนขนาน
กับแกน Y แลว ถามีเสนขนานอยางนอยหนึ่งเสนที่ตัดกราฟของความสัมพันธมากกวาหนึ่งจุด ความสัมพันธ
นั้นไมเปนฟงกชัน ทั้งนี้เพราะจุดตัดเหลานั้นมีพิกัดที่หนึ่งเหมือนกัน แตพิกัดที่สองตางกัน กลาวคือมี
(x, y) และ (x, z) ที่เปนสมาชิกของความสัมพันธโดยที่ y ≠ z แตถาไมมีเสนขนานกับแกน Y
เสนใดเลยที่ตัดกราฟมากกวาหนึ่งจุด สรุปไดวาความสัมพันธนั้นเปนฟงกชัน
ฟงกชันจาก A ไป B ฟงกชันจาก A ไปทั่วถึง B และฟงกชันหนึ่งตอหนึ่ง
1. ผูสอนกําหนดเซต A และ B เชน
A = {1, 2, 3}
B = {4, 5}
และกําหนดความสัมพันธจาก A ไป B (เฉพาะที่เปนฟงกชัน) เชน
r1 = {(1, 4), (2, 5), (3, 4)}
r2 = {(1, 5), (2, 4), (3, 5)}
r3 = {(1, 5), (2, 4), (3, 4)}
r4 = {(1, 5), (3, 5)}
ใหผูเรียนตอบคําถามตอไปนี้
1) r1, r2, r3, r4 เปนฟงกชันหรือไม (เปน)
2) โดเมนของความสัมพันธใดเทากับเซต A (โดเมนของ r1, r2, r3)
ผูสอนบอกวา ความสัมพันธจาก A ไป B ที่เปนฟงกชันและมีโดเมนเทากับเซต A
เรียกวาฟงกชันจาก A ไป B เขียนแทนดวยสัญลักษณ f : A → B
ดังนั้น r1, r2, r3 เปนฟงกชันจาก A ไป B
สวน r4 ไมเปนฟงกชันจาก A ไป B เพราะโดเมนของ r4 ไมเทากับเซต A
12. คูมือครูสาระการเรียนรูเพิ่มเติม
คณิตศาสตร เลม ๒
กลุมสาระการเรียนรูคณิตศาสตร
ชั้นมัธยมศึกษาปที่ ๔
ตามหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๔๔
จัดทําโดย
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
กระทรวงศึกษาธิการ
ISBN 974-01-3820-9
พิมพครั้งที่หนึ่ง ๑๐,๐๐๐ เลม
พ.ศ. ๒๕๔๗
องคการคาของคุรุสภาจัดพิมพจําหนาย
พิมพที่โรงพิมพคุรุสภาลาดพราว
๒๒๔๙ ถนนลาดพราว วังทองหลาง กรุงเทพมหานคร
มีลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติ
96
2. ผูสอนกําหนดเซต A และ B เชน
A = {1, 3, 5}
B = {2, 4}
และกําหนดความสัมพันธ (เฉพาะที่เปนฟงกชันจาก A ไป B) เชน
r1 = {(1, 2), (3, 4), (5, 4)}
r2 = {(1, 4), (3, 2), (5, 2)}
r3 = {(1, 2), (3, 2), (5, 2)}
ใหผูเรียนตอบคําถามตอไปนี้
1) r1, r2, r3 เปนฟงกชันหรือไม (เปน)
2) r1, r2, r3 เปนฟงกชันจาก A ไป B หรือไม (เปน)
3) เรนจของความสัมพันธใดเทากับเซต B (เรนจของ r1, r2)
ผูสอนบอกวา ฟงกชันจาก A ไป B ที่มีเรนจเทากับเซต B เรียกวา ฟงกชันจาก A
ไปทั่วถึง B เขียนแทนดวยสัญลักษณ f : A → B
ดังนั้น r1, r2 เปนฟงกชันจาก A ไปทั่วถึง B
สวน r3 ไมเปนฟงกชันจาก A ไปทั่วถึง B เพราะเรนจของ r3 ไมเทากับเซต B
3. ผูสอนยกตัวอยางฟงกชันที่เขียนแบบแจกแจงสมาชิกทั้งที่เปนฟงกชันหนึ่งตอหนึ่งและ
ไมเปนฟงกชันหนึ่งตอหนึ่ง เชน
f1 = {(2, b), (4, a), (6, a)}
f2 = {(2, c), (4, a), (6, b)}
ผูสอนอาจแสดงแผนภาพของการจับคูระหวางสมาชิกของโดเมนกับสมาชิกของเรนจของ
f1 และ f2 ดังนี้
ทั่วถึง
2
4
6
b
a
f1 2
4
6
a
b
c
f2
13. คูมือครูสาระการเรียนรูเพิ่มเติม
คณิตศาสตร เลม ๒
กลุมสาระการเรียนรูคณิตศาสตร
ชั้นมัธยมศึกษาปที่ ๔
ตามหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๔๔
จัดทําโดย
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
กระทรวงศึกษาธิการ
ISBN 974-01-3820-9
พิมพครั้งที่หนึ่ง ๑๐,๐๐๐ เลม
พ.ศ. ๒๕๔๗
องคการคาของคุรุสภาจัดพิมพจําหนาย
พิมพที่โรงพิมพคุรุสภาลาดพราว
๒๒๔๙ ถนนลาดพราว วังทองหลาง กรุงเทพมหานคร
มีลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติ
97
ใหผูเรียนพิจารณาคูอันดับในฟงกชันที่กําหนดให โดยผูสอนใชคําถามประกอบเพื่อให
ผูเรียนสรุปไดวา
ใน f2 สมาชิกตัวหลังของแตละคูอันดับไมซ้ํากัน
สวนใน f1 มีบางคูอันดับที่มีสมาชิกตัวหลังซ้ํากัน
ผูสอนบอกวา ฟงกชัน f2 เปนฟงกชันหนึ่งตอหนึ่ง
ฟงกชัน f1 ไมเปนฟงกชันหนึ่งตอหนึ่ง
ผูสอนยกตัวอยางฟงกชันที่เขียนแบบแจกแจงสมาชิกอีกหลาย ๆ ตัวอยาง แลวใหผูเรียน
พิจารณาวา ฟงกชันใดบางเปนฟงกชันหนึ่งตอหนึ่ง
ผูสอนและผูเรียนชวยกันสรุปความหมายของฟงกชันหนึ่งตอหนึ่ง และผูสอนบอกวา
ฟงกชันหนึ่งตอหนึ่งที่เปนฟงกชันจาก A ไปทั่วถึง B นั้นเรียกวา ฟงกชันหนึ่งตอหนึ่ง (one-to-one
correspondence)
4. เมื่อกําหนดความสัมพันธ f ซึ่ง f ⊂ A × B มาให
ก. การพิจารณาวา f เปนฟงกชันหรือไม จะพิจารณาแตเพียงวา คูอันดับ (x, y) ใน f
ตองไมมีสมาชิกตัวหนาซ้ํากันก็เพียงพอแลว สวน Df จะเทาหรือไมเทากับ A ก็ได และ Rf จะเทาหรือ
ไมเทากับ B ก็ได
ข. การพิจารณาวา f เปนฟงกชันจาก A ไป B หรือไม ตองพิจารณา
1) f เปนฟงกชัน
2) Df = A
ค. การพิจารณาวา f เปนฟงกชันจาก A ไปทั่วถึง B หรือไม ตองพิจารณา
1) f เปนฟงกชัน
2) Df = A
3) Rf = B
ตัวอยาง A = {1, 2, 3, 4}
B = {a, b, c}
f = {(1, a), (2, b), (3, c)}
g = {(1, a), (2, b), (3, b), (4, a)}
h = {(1, a), (2, a), (3, b), (4, c)}
14. คูมือครูสาระการเรียนรูเพิ่มเติม
คณิตศาสตร เลม ๒
กลุมสาระการเรียนรูคณิตศาสตร
ชั้นมัธยมศึกษาปที่ ๔
ตามหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๔๔
จัดทําโดย
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
กระทรวงศึกษาธิการ
ISBN 974-01-3820-9
พิมพครั้งที่หนึ่ง ๑๐,๐๐๐ เลม
พ.ศ. ๒๕๔๗
องคการคาของคุรุสภาจัดพิมพจําหนาย
พิมพที่โรงพิมพคุรุสภาลาดพราว
๒๒๔๙ ถนนลาดพราว วังทองหลาง กรุงเทพมหานคร
มีลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติ
98
เชน f เปนฟงกชัน แตไมเปนฟงกชันจาก A ไป B และไมเปนฟงกชันจาก A ไปทั่วถึง B
g เปนฟงกชัน และเปนฟงกชันจาก A ไป B แตไมเปนฟงกชันจาก A ไปทั่วถึง B
h เปนฟงกชัน และเปนฟงกชันจาก A ไป B และเปนฟงกชันจาก A ไปทั่วถึง B
ฟงกชันคอมโพสิท
กอนสอนเรื่องฟงกชันคอมโพสิท ใหผูสอนทบทวนเรื่องคาของฟงกชันดังนี้
1. กําหนด f(x) = 2x + 1 ใหผูเรียนหา f(3), f(a) และ f(x + 4)
จะได f(3) = 2(3) + 1 = 7
f(a) = 2a + 1
f(x + 4) = 2(x + 4) + 1 = 2x + 9
2. กําหนด f(x) = x + 3, g(x) = 4x – 1 ใหผูเรียนหา f(1), f(–3), f(a), g(f(1)),
g(f(–3)), g(f(a)) และ g(f(x))
จะได f(1) = 4
f(–3) = 0
f(a) = a + 3
g(f(1)) = g(4) = 16 – 1 = 15
g(f(–3)) = g(0) = 0 – 1 = –1
g(f(a)) = g(a + 3) = 4(a + 3) – 1 = 4a + 11
g(f(x)) = g(x + 3) = 4(x + 3) – 1 = 4x + 11
ผูสอนบอกวา g(f(x)) คือคาของฟงกชัน g ที่ f(x)
3. ผูสอนกําหนดฟงกชัน f และ g ดังแสดงในรูป
a
b
c
2
3
4
5
f
2
3
4
r
s
t
g
15. คูมือครูสาระการเรียนรูเพิ่มเติม
คณิตศาสตร เลม ๒
กลุมสาระการเรียนรูคณิตศาสตร
ชั้นมัธยมศึกษาปที่ ๔
ตามหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๔๔
จัดทําโดย
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
กระทรวงศึกษาธิการ
ISBN 974-01-3820-9
พิมพครั้งที่หนึ่ง ๑๐,๐๐๐ เลม
พ.ศ. ๒๕๔๗
องคการคาของคุรุสภาจัดพิมพจําหนาย
พิมพที่โรงพิมพคุรุสภาลาดพราว
๒๒๔๙ ถนนลาดพราว วังทองหลาง กรุงเทพมหานคร
มีลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติ
99
ผูสอนใหผูเรียนหา g(f(a)), g(f(b)), g(f(c))
จากแผนภาพของฟงกชัน f และ g ขางตน จะเห็นวา Rf ∩ Dg ≠ ∅
และเขียนแผนภาพใหมดังนี้
จากแผนภาพที่ได ใหผูเรียนแจกแจงสมาชิกของเซตของคูอันดับ (x, z) โดยที่ x ∈ Df
และมี y ที่ทําให (x, y) ∈ f และ (y, z) ∈ g ผูเรียนควรจะหาไดวาเซตดังกลาว คือ {(a, t), (b, s),
(c, s)} และผูเรียนควรจะบอกไดวา เซตนี้เปนฟงกชันจากโดเมนของ f ไปเรนจของ g ผูสอนบอกวา
จะเขียนแทนฟงกชันนี้ดวย g°f
นั่นคือ g°f = {(a, t), (b, s), (c, s)}
ผูสอนควรเนนใหผูเรียนเห็นวา ถา (x, z) ∈ g°f จะได
z = (g°f)(x) = g(f(x))
4. ผูสอนยกตัวอยางแผนภาพของฟงกชัน f และ g ซึ่ง Rf ∩ Dg ≠ ∅ ดังนี้
ใหผูเรียนหาคูอันดับ (x, z) ซึ่ง x ∈ Df, (x, y) ∈ f และ (y, z) ∈ g
จะได เซตของคูอันดับที่มีสมบัติดังกลาวคือ {(2, ก), (3, ก)} ผูสอนบอกผูเรียนวา
เซตนี้เปนฟงกชันที่มี x ∈ Df และ f(x) ∈ Dg เขียนแทนฟงกชันดวย g°f และ Dg°f = {2, 3}
a
b
c
f 2
3
4
5
r
s
t
g
1
2
3
f a
b
c
d
ก
ข
ค
g
16. คูมือครูสาระการเรียนรูเพิ่มเติม
คณิตศาสตร เลม ๒
กลุมสาระการเรียนรูคณิตศาสตร
ชั้นมัธยมศึกษาปที่ ๔
ตามหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๔๔
จัดทําโดย
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
กระทรวงศึกษาธิการ
ISBN 974-01-3820-9
พิมพครั้งที่หนึ่ง ๑๐,๐๐๐ เลม
พ.ศ. ๒๕๔๗
องคการคาของคุรุสภาจัดพิมพจําหนาย
พิมพที่โรงพิมพคุรุสภาลาดพราว
๒๒๔๙ ถนนลาดพราว วังทองหลาง กรุงเทพมหานคร
มีลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติ
100
ผูสอนยกตัวอยางแผนภาพของฟงกชันอื่น ๆ เพื่อใหผูเรียนเกิดความเขาใจความหมายของ
g°f ไดดีขึ้น เชน
จากแผนภาพผูเรียนควรบอกไดวา g°f = {(3, ก), (4, ข)}
และ Dg°f = {3, 4}
5. ผูสอนสรุปบทนิยามของฟงกชันคอมโพสิท และเนนใหผูเรียนเห็นวา ถากําหนดฟงกชัน
f และ g มาให จะหาฟงกชัน g°f ไดก็ตอเมื่อ มีสมาชิก x ในโดเมนของฟงกชัน f ที่ทําใหเกิด f(x)
ในโดเมนของฟงกชัน g หรือกลาวไดวา Rf ∩ Dg ≠ ∅ ดังนั้น ในการพิจารณาวา มีฟงกชันคอมโพสิท
g°f จากฟงกชัน f และ g ที่กําหนดใหหรือไมนั้น จะตองพิจารณากอนวา Rf ∩ Dg เปนเซตวางหรือไม
6. ผูสอนอาจใหผูเรียนพิจารณาแผนภาพขางลางวา จาก f และ g ที่กําหนดใหจะสามารถ
หา g°f ไดหรือไม
ซึ่งผูเรียนควรตอบไดวา Rf = {a, b}
Dg = {d, e, f}
และ Rf ∩ Dg = ∅ จึงทําใหไมสามารถหา g°f ได
7. ผูสอนยกตัวอยางฟงกชัน f, g และ h ที่เขียนแบบแจกแจงสมาชิกแลว ใหผูเรียนหาวา
จะมีฟงกชัน g°f หรือไม เพราะเหตุใด ถามีใหหาฟงกชัน g°f นั้น และผูสอนใชคําถามทํานองเดียวกัน
สําหรับฟงกชัน f°g, f°h, h°f, h°g และ g°h
1
2
3
4
f a
b
c
d
ก
ข
g
1
2
3
f g
ก
ข
ค
a
b
d
e
f
17. คูมือครูสาระการเรียนรูเพิ่มเติม
คณิตศาสตร เลม ๒
กลุมสาระการเรียนรูคณิตศาสตร
ชั้นมัธยมศึกษาปที่ ๔
ตามหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๔๔
จัดทําโดย
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
กระทรวงศึกษาธิการ
ISBN 974-01-3820-9
พิมพครั้งที่หนึ่ง ๑๐,๐๐๐ เลม
พ.ศ. ๒๕๔๗
องคการคาของคุรุสภาจัดพิมพจําหนาย
พิมพที่โรงพิมพคุรุสภาลาดพราว
๒๒๔๙ ถนนลาดพราว วังทองหลาง กรุงเทพมหานคร
มีลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติ
101
8. ผูสอนยกตัวอยางการหาฟงกชันคอมโพสิทเมื่อกําหนดฟงกชันแบบบอกเงื่อนไขของ
สมาชิก เชน
f(x) = x2
+ 2x – 2 และ g(x) = 1x3 − ใหผูเรียนหา Df , Rf , Dg และ Rg
จากนั้นใหพิจารณาวา มี g°f, f°g หรือไม ถามีใหหา (g°f)(x), (f°g)(x), (g°f)(–1) และ (f°g)( 3
1
)
พรอมทั้งบอกโดเมนของ g°f และ f°g
ผูสอนควรยกตัวอยางหลาย ๆ ตัวอยาง เพื่อใหผูเรียนเกิดความเขาใจ
9. ผูสอนควรกําหนดฟงกชัน f, g และ h เพื่อใหผูเรียนหาฟงกชันคอมโพสิท (f°g)°h และ
f°(g°h) แลวพิจารณาวาฟงกชันทั้งสองเทากันหรือไม
ฟงกชันผกผัน
1. ผูสอนทบทวนเรื่องตัวผกผันของความสัมพันธและเนื่องจากฟงกชันคือ ความสัมพันธ
ดังนั้นการหาตัวผกผันของฟงกชันจึงใชวิธีเดียวกันกับการหาตัวผกผันของความสัมพันธ
ผูสอนยกตัวอยางความสัมพันธ เชน
f1 = {(1, a), (2, c)}
f2 = {(1, a), (2, a)}
f3 = {(x, y)⏐y = 3x + 1}
f4 = {(x, y)⏐y = x2
}
ผูสอนถามผูเรียนวาความสัมพันธใดเปนฟงกชัน (f1, f2, f3, f4)
ผูสอนใหผูเรียนหาตัวผกผันของฟงกชันเหลานั้น
ผูสอนถามผูเรียนวา ตัวผกผันของฟงกชันเปนฟงกชันเสมอไปหรือไม (ไม) และตัวผกผัน
ของฟงกชันใดบางเปนฟงกชัน (ตัวผกผันของ f1, f3)
ผูสอนบอกผูเรียนวา ตัวผกผันของฟงกชันที่เปนฟงกชันเรียกวา “ฟงกชันผกผัน”
ผูสอนถามผูเรียนวา ฟงกชันที่มีฟงกชันผกผันเปนฟงกชัน 1 – 1 หรือไม (เปน)
ผูสอนถามผูเรียนวา ฟงกชันที่ไมมีฟงกชันผกผันเปนฟงกชัน 1 – 1 หรือไม (ไมเปน)
ผูสอนและผูเรียนชวยกันสรุปวา ฟงกชันที่จะมีฟงกชันผกผันตองเปนฟงกชัน 1 – 1
2. ผูสอนบอกวา สัญลักษณ f–1
ใชแทนตัวผกผันของฟงกชัน ซึ่ง f–1
อาจจะเปนหรือไมเปน
ฟงกชันก็ได
เชน ถา f(x) = 3x จะได f–1
เปนฟงกชัน
แต ถา f(x) = x2
จะได f–1
ไมเปนฟงกชัน
18. คูมือครูสาระการเรียนรูเพิ่มเติม
คณิตศาสตร เลม ๒
กลุมสาระการเรียนรูคณิตศาสตร
ชั้นมัธยมศึกษาปที่ ๔
ตามหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๔๔
จัดทําโดย
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
กระทรวงศึกษาธิการ
ISBN 974-01-3820-9
พิมพครั้งที่หนึ่ง ๑๐,๐๐๐ เลม
พ.ศ. ๒๕๔๗
องคการคาของคุรุสภาจัดพิมพจําหนาย
พิมพที่โรงพิมพคุรุสภาลาดพราว
๒๒๔๙ ถนนลาดพราว วังทองหลาง กรุงเทพมหานคร
มีลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติ
102
ตัวอยางกิจกรรม
กิจกรรมเปนสื่อการเรียนการสอนประเภทหนึ่ง ซึ่งการจัดกิจกรรมก็มีไดหลากหลายวิธีดวยกัน
เชน การศึกษานอกสถานที่ การเลาเรื่อง การแสดงบทบาทสมมติ การรองเพลง การใชคําประพันธ
ประเภทรอยกรอง การใชเกม เปนตน
ดังนั้น ในการจัดกิจกรรมเรื่องฟงกชัน ผูสอนสามารถทําไดหลายวิธีเชนเดียวกัน เชน เกมโดมิโน
ซึ่งผูสอนอาจจะเปนผูสรางโจทยขึ้นเองหรือใหผูเรียนชวยกันสรางโจทยก็ได โดยดานหนึ่งของตัวโดมิโน
เปนโจทย และอีกดานหนึ่งเปนคําตอบวิธีเลนก็อาศัยหลักการเดียวกันกับการเลนเกมโดมิโน
นอกจากนี้แลว ผูสอนสามารถหาแนวทางการจัดกิจกรรมไดจากหนังสือหรือเว็บไซตที่เกี่ยวกับ
เกมคณิตศาสตรตางๆ โดยนํามาผสมผสานและประยุกตใชใหเหมาะสมกับผูเรียนของตนเอง
19. คูมือครูสาระการเรียนรูเพิ่มเติม
คณิตศาสตร เลม ๒
กลุมสาระการเรียนรูคณิตศาสตร
ชั้นมัธยมศึกษาปที่ ๔
ตามหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๔๔
จัดทําโดย
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
กระทรวงศึกษาธิการ
ISBN 974-01-3820-9
พิมพครั้งที่หนึ่ง ๑๐,๐๐๐ เลม
พ.ศ. ๒๕๔๗
องคการคาของคุรุสภาจัดพิมพจําหนาย
พิมพที่โรงพิมพคุรุสภาลาดพราว
๒๒๔๙ ถนนลาดพราว วังทองหลาง กรุงเทพมหานคร
มีลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติ
103
เฉลยแบบฝกหัด 2.1
1. (1) A × B = {(1, 3), (1, 6), (1, 7), (2, 3), (2, 6), (2, 7)}
(2) A × B = {(–1, 0), (–1, 1), (–1, 2), (0, 0), (0, 1), (0, 2), (1, 0), (1, 1), (1, 2)}
(3) A × B = {(a, e), (a, f), (b, e), (b, f), (c, e), (c, f)}
(4) A × B = {(–3, 1), (–3, 2), (–3, 3), (–2, 1), (–2, 2), (–2, 3), (–1, 1), (–1, 2), (–1, 3)}
2. จํานวนสมาชิกของเซต A เทากับ n และจํานวนสมาชิกของเซต B เทากับ m ดังนั้น
จํานวนสมาชิกของ A × B เทากับ n⋅m = nm
จํานวนสมาชิกของ B × A เทากับ m⋅n = mn
จํานวนสมาชิกของ A × A เทากับ n⋅n = n2
จํานวนสมาชิกของ B × B เทากับ m⋅m = m2
3. (1) (M × N) ∪ (M × P) = {(1, 2), (1, 3), (2, 2), (2, 3), (1, 4), (1, 5), (2, 4), (2, 5)}
(2) M × (N ∪ P) = {(1, 2), (1, 3), (1, 4), (1, 5), (2, 2), (2, 3), (2, 4), (2, 5)}
(3) M × (N ∩ P) = M × ∅ = ∅
(4) (M × N) ∩ (M × P) = ∅
4. เปน
5. (1) r = {(2, 0), (2, 1), (4, 0), (4, 1), (4, 2)}
(2) r = {(x, y) ∈ A × B⏐x > y}
6. r1 = {(1, 5), (2, 4), (3, 3), (4, 2), (5, 1)}
Dr1
= {1, 2, 3, 4, 5}
Rr1
= {1, 2, 3, 4, 5}
r2 = {(3, 3), (4, 3), (5, 3)}
Dr2
= {3, 4, 5}
Rr2
= {3}
r3 = ∅
Dr3
= ∅
Rr3
= ∅
20. คูมือครูสาระการเรียนรูเพิ่มเติม
คณิตศาสตร เลม ๒
กลุมสาระการเรียนรูคณิตศาสตร
ชั้นมัธยมศึกษาปที่ ๔
ตามหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๔๔
จัดทําโดย
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
กระทรวงศึกษาธิการ
ISBN 974-01-3820-9
พิมพครั้งที่หนึ่ง ๑๐,๐๐๐ เลม
พ.ศ. ๒๕๔๗
องคการคาของคุรุสภาจัดพิมพจําหนาย
พิมพที่โรงพิมพคุรุสภาลาดพราว
๒๒๔๙ ถนนลาดพราว วังทองหลาง กรุงเทพมหานคร
มีลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติ
104
7. (1) Dr = {–3, –2, –1, 0, 1, 2, 3} Rr = {0, 1, 4, 9}
(2) Dr = {–2, –1, 0, 1, 2} Rr = {0, 1, 2 }
(3) Dr = {x⏐x ∈ R} Rr = {x⏐x ∈ R}
(4) Dr = {x⏐x ∈ I} Rr = {x⏐x ∈ I}
(5) Dr = {x⏐x ∈ R} Rr = {x⏐x ≥ 0}
(6) Dr = {x⏐x ∈ R, x ≥ 0} Rr = {x⏐x ∈ R}
(7) Dr = {x⏐x ∈ R} Rr = {x⏐x = 2 }
(8) Dr = {x⏐x ∈ R} Rr = {x⏐x ∈ R}
(9) Dr = {x⏐x ∈ R}
จาก y = x2
+ 1 เมื่อ x เปนจํานวนจริงใด ๆ x2
มีคานอยที่สุดเมื่อ x = 0
ดังนั้น y มีคานอยที่สุดเมื่อ x = 0 นั่นคือ y ≥ 1
จะได Rr = {x⏐x ≥ 1}
(10) Dr = {x⏐x ≥ 0} Rr = {x⏐x ≤ 0}
(11) Dr = {x⏐x ∈ I} Rr = {x⏐x ≥ 0, x ∈ I}
(12) Dr = {x⏐x ∈ R} Rr = {x⏐x ≥ 0}
(13) จากสมการ y = 2x2
+ จะเห็นวา x2
+ 2 ≥ 2 เสมอไมวา x จะเปนจํานวนจริงใด ๆ
ดังนั้น Dr = {x⏐x ∈ R}
เพราะวา x2
+ 2 ≥ 2 จะได y ≥ 2
ดังนั้น Rr = {x⏐x ≥ 2 }
(14) จากสมการ y = 1x2
− จะเห็นวา x2
– 1 ตองไมนอยกวาศูนย
นั่นคือ x2
– 1 ≥ 0
(x + 1)(x – 1) ≥ 0
จะได x ≥ 1 หรือ x ≤ –1
ดังนั้น Dr = {x⏐x ∈ R ยกเวน –1 < x < 1}
จาก y = 1x2
− เมื่อ x เปนจํานวนจริงยกเวน –1 < x < 1
จะได y ≥ 0
ดังนั้น Rr = {x⏐x ≥ 0}
21. คูมือครูสาระการเรียนรูเพิ่มเติม
คณิตศาสตร เลม ๒
กลุมสาระการเรียนรูคณิตศาสตร
ชั้นมัธยมศึกษาปที่ ๔
ตามหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๔๔
จัดทําโดย
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
กระทรวงศึกษาธิการ
ISBN 974-01-3820-9
พิมพครั้งที่หนึ่ง ๑๐,๐๐๐ เลม
พ.ศ. ๒๕๔๗
องคการคาของคุรุสภาจัดพิมพจําหนาย
พิมพที่โรงพิมพคุรุสภาลาดพราว
๒๒๔๙ ถนนลาดพราว วังทองหลาง กรุงเทพมหานคร
มีลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติ
105
(15) จากสมการ y = 2
x1− จะเห็นวา 1 – x2
ตองไมนอยกวาศูนย
นั่นคือ 1 – x2
≥ 0
x2
– 1 ≤ 0
(x – 1)(x + 1) ≤ 0
จะได –1 ≤ x ≤ 1
ดังนั้น Dr = {x⏐–1 ≤ x ≤ 1}
จาก y = 2
x1− เมื่อ –1 ≤ x ≤ 1 จะได 0 ≤ y ≤ 1
ดังนั้น Rr = {x⏐0 ≤ x ≤ 1}
(16) จากสมการ y =
x1
1
−
จะเห็นวา x เปนจํานวนจริงใด ๆ ก็ไดยกเวน 1
ดังนั้น Dr = {x⏐x ≠ 1}
จาก y =
x1
1
−
เพราะวา ⏐1 – x⏐ > 0 เสมอจะได y > 0 เสมอ
ดังนั้น Rr = {x⏐x > 0}
(17) Dr = {x⏐x ≠ 2}
การหาเรนจของความสัมพันธนั้นอาจหาไดจากการจัดสมการใหมโดยหาคาของ x
ในรูปของ y
จาก y = 2x
1
−
จะได x = y
y21+
จะเห็นวา y มีคาใด ๆ ก็ไดยกเวนศูนย
ดังนั้น Rr = {x⏐x ≠ 0}
(18) จากสมการ y = 5x
x3
+
จะเห็นวา x เปนจํานวนจริงใด ๆ ก็ไดยกเวน –5
ดังนั้น Dr = {x⏐x ≠ –5}
จาก y = 5x
x3
+
จะได x = y3
y5
−
จะเห็นวา y มีคาใด ๆ ก็ไดยกเวน 3
ดังนั้น Rr = {x⏐x ≠ 3}
22. คูมือครูสาระการเรียนรูเพิ่มเติม
คณิตศาสตร เลม ๒
กลุมสาระการเรียนรูคณิตศาสตร
ชั้นมัธยมศึกษาปที่ ๔
ตามหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๔๔
จัดทําโดย
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
กระทรวงศึกษาธิการ
ISBN 974-01-3820-9
พิมพครั้งที่หนึ่ง ๑๐,๐๐๐ เลม
พ.ศ. ๒๕๔๗
องคการคาของคุรุสภาจัดพิมพจําหนาย
พิมพที่โรงพิมพคุรุสภาลาดพราว
๒๒๔๙ ถนนลาดพราว วังทองหลาง กรุงเทพมหานคร
มีลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติ
106
(19) จากสมการ y = 2
x9
1
−
จะเห็นวา 9 – x2
ตองมากกวาศูนย
นั่นคือ x2
– 9 < 0
(x – 3)(x + 3) < 0
จะได –3 < x < 3
ดังนั้น Dr = {x⏐–3 < x < 3}
จาก y = 2
x9
1
−
จะเห็นวา 2
x9− มีคามากที่สุดเมื่อ x = 0
นั่นคือ y จะมีคานอยที่สุด เมื่อ x = 0 จะได y ≥
3
1
ดังนั้น Rr = {x⏐x ≥
3
1
}
เฉลยแบบฝกหัด 2.2
1. (1) Dr = {1, 2, 3, 4} Rr = {1, 2, 3}
r–1
= {(2, 1), (3, 4), (2, 2), (1, 2), (1, 3)}
(2) Dr = {1, 2, 3} Rr = {2, 3, 4}
r–1
= {(2, 2), (3, 2), (4, 1), (2, 3), (3, 3)}
(3) Dr = {x⏐x ∈ R} Rr = {x⏐x ∈ R}
r–1
= {(x, y) ∈ R × R⏐y = 2
x1−
}
(4) Dr = {x⏐x ∈ R} Rr = {x⏐x ∈ R}
r–1
= {(x, y) ∈ R × R⏐y =
3
x2−
}
(5) Dr = {x ∈ R⏐x ≥ 0} Rr = {x ∈ R⏐x ≥ 0}
r–1
= {(x, y) ∈ R × R⏐y = x2
, x ≥ 0}
23. คูมือครูสาระการเรียนรูเพิ่มเติม
คณิตศาสตร เลม ๒
กลุมสาระการเรียนรูคณิตศาสตร
ชั้นมัธยมศึกษาปที่ ๔
ตามหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๔๔
จัดทําโดย
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
กระทรวงศึกษาธิการ
ISBN 974-01-3820-9
พิมพครั้งที่หนึ่ง ๑๐,๐๐๐ เลม
พ.ศ. ๒๕๔๗
องคการคาของคุรุสภาจัดพิมพจําหนาย
พิมพที่โรงพิมพคุรุสภาลาดพราว
๒๒๔๙ ถนนลาดพราว วังทองหลาง กรุงเทพมหานคร
มีลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติ
107
2. (1) r–1
= {(3, 1), (4, 2), (7, 3), (7, 6), (10, 6)}
โดเมนของ r–1
= {3, 4, 7, 10} เรนจของ r–1
= {1, 2, 3, 6}
(2) s–1
= { ..., (4, –5), (2, –3), (0, –1), (2, 1), (4, 3), (6, 5), ...}
โดเมนของ s–1
= {0, 2, 4, 6, ...}
เรนจของ s–1
= {..., –5, –3, –1, 1, 3, 5, ...}
(3) t–1
= {(x, y) ∈ R × R⏐y = x – 2}
โดเมนของ t–1
= {x⏐x ∈ R} เรนจของ t–1
= {x⏐x ∈ R}
(4) u–1
= {(x, y) ∈ R × R⏐xy = 1}
โดเมนของ u–1
= {x⏐x ≠ 0} เรนจของ u–1
= {x⏐x ≠ 0}
(5) v–1
= {(x, y) ∈ R × R⏐y < x}
โดเมนของ v–1
= {x⏐x ∈ R} เรนจของ v–1
= {x⏐x ∈ R}
3. (1) r = {(1, 2), (1, 3), (1, 4), (2, 3), (2, 4), (3, 4)}
ดังนั้น r–1
= {(2, 1), (3, 1), (4, 1), (3, 2), (4, 2), (4, 3)}
หมายเหตุ สําหรับการเขียนแจกแจงสมาชิกของ r และ r–1
(ในกรณีที่เขียนแจกแจงได)
จะชวยใหไมสับสน และเขียนกราฟของ r และ r–1
ไดงายขึ้น
2 4 6
2
4
6
Y
X
r
r–1
0
24. คูมือครูสาระการเรียนรูเพิ่มเติม
คณิตศาสตร เลม ๒
กลุมสาระการเรียนรูคณิตศาสตร
ชั้นมัธยมศึกษาปที่ ๔
ตามหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๔๔
จัดทําโดย
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
กระทรวงศึกษาธิการ
ISBN 974-01-3820-9
พิมพครั้งที่หนึ่ง ๑๐,๐๐๐ เลม
พ.ศ. ๒๕๔๗
องคการคาของคุรุสภาจัดพิมพจําหนาย
พิมพที่โรงพิมพคุรุสภาลาดพราว
๒๒๔๙ ถนนลาดพราว วังทองหลาง กรุงเทพมหานคร
มีลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติ
108
(2) r = {(–1, –3), (0, –2), (1, –1), (2, 0), (3, 1)}
r–1
= {(–3, –1), (–2, 0), (–1, 1), (0, 2), (1, 3)}
(3) ถา r = {(x, y) ∈ I × I⏐y2
= x}
r–1
= {(x, y) ∈ I × I⏐y = x2
}
หมายเหตุ สําหรับขอนี้ยังมีสมาชิกของ r และ r–1
อีกมาก แตเฉลยเฉพาะสมาชิกใน
โดเมนของ r เมื่อ x ∈ I และ x ≤ 9 และสมาชิกในโดเมนของ r–1
เมื่อ
x ∈ I และ x ≤ 3 เทานั้น
42
Y
X
–2– 4
–2
– 4
2
4
r
r–1
0
4 8 12
4
8
12
Y
X
– 4
– 4
r–1
r
0
25. คูมือครูสาระการเรียนรูเพิ่มเติม
คณิตศาสตร เลม ๒
กลุมสาระการเรียนรูคณิตศาสตร
ชั้นมัธยมศึกษาปที่ ๔
ตามหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๔๔
จัดทําโดย
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
กระทรวงศึกษาธิการ
ISBN 974-01-3820-9
พิมพครั้งที่หนึ่ง ๑๐,๐๐๐ เลม
พ.ศ. ๒๕๔๗
องคการคาของคุรุสภาจัดพิมพจําหนาย
พิมพที่โรงพิมพคุรุสภาลาดพราว
๒๒๔๙ ถนนลาดพราว วังทองหลาง กรุงเทพมหานคร
มีลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติ
109
(4) ถา r = {(x, y) ∈ R × R⏐y = 2x}
r–1
= {(x, y) ∈ R × R⏐y = 2
x
}
(5) ถา r = {(x, y) ∈ R × R⏐y < x – 1}
r–1
= {(x, y) ∈ R × R⏐y > x + 1}
Y
X
–2 0 2
r–1
r
2
–2
Y
X
– 4 0 4
r–1
r
4
– 4
26. คูมือครูสาระการเรียนรูเพิ่มเติม
คณิตศาสตร เลม ๒
กลุมสาระการเรียนรูคณิตศาสตร
ชั้นมัธยมศึกษาปที่ ๔
ตามหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๔๔
จัดทําโดย
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
กระทรวงศึกษาธิการ
ISBN 974-01-3820-9
พิมพครั้งที่หนึ่ง ๑๐,๐๐๐ เลม
พ.ศ. ๒๕๔๗
องคการคาของคุรุสภาจัดพิมพจําหนาย
พิมพที่โรงพิมพคุรุสภาลาดพราว
๒๒๔๙ ถนนลาดพราว วังทองหลาง กรุงเทพมหานคร
มีลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติ
110
เฉลยแบบฝกหัด 2.3.1 (ก)
1. (1) {(1, a), (2, b), (3, b), (5, c)}
เปนฟงกชัน เพราะไมมีคูอันดับที่มีสมาชิกตัวหนาซ้ํากันเลย
(2) {(1, a), (2, b), (3, c), (4, d), (4, e)}
ไมเปนฟงกชัน เพราะมีคูอันดับ (4, d), (4, e) ที่มีสมาชิกตัวหนาซ้ํากัน แตสมาชิกตัวหลังตางกัน
(3) {(1, a), (2, a), (3, a), (4, a)}
เปนฟงกชัน เพราะไมมีคูอันดับใดที่สมาชิกตัวหนาซ้ํากันเลย
(4) ให r = {(x, y) ∈ A × A⏐y ≥ x} ; A = {1, 2, 3}
A × A = {(1, 1), (1, 2), (1, 3), (2, 1), (2, 2), (2, 3), (3, 1), (3, 2), (3, 3)}
ดังนั้น r = {(1, 1), (1, 2), (1, 3), (2, 2), (2, 3), (3, 3)}
ไมเปนฟงกชัน เพราะมีคูอันดับ (2, 2), (2, 3) ที่มีสมาชิกตัวหนาซ้ํากัน แตสมาชิกตัวหลังตางกัน
(5) {(x, y) ∈ B × B⏐y = x – 2} ; B = {–2, –1, 0, 1, 2}
เปนฟงกชัน เพราะไมมีคูอันดับที่มีสมาชิกตัวหนาซ้ํากันเลย
(6) {(x, y)⏐x = 3}
ไมเปนฟงกชัน เพราะมีคูอันดับ เชน (3, 1), (3, 2) ที่มีสมาชิกตัวหนาซ้ํากัน แตสมาชิกตัวหลังตางกัน
(7) {(x, y)⏐y = –2}
เปนฟงกชัน เพราะไมมีคูอันดับที่มีสมาชิกตัวหนาซ้ํากันเลย
(8) {(x, y)⏐y = x }
เปนฟงกชัน เพราะไมมีคูอันดับที่มีสมาชิกตัวหนาซ้ํากันเลย
(9) ให r = {(x, y) ∈ A × B⏐y < x} ; A = {0, 1}, B = {–1, 1}
A × B = {(0, –1), (0, 1), (1, –1), (1, 1)}
ดังนั้น r = {(0, –1), (1, –1)} เปนฟงกชันเพราะไมมีคูอันดับใดที่มีสมาชิกตัวหนา
ซ้ํากันเลย
(10) {(x, y)⏐y = }
ไมเปนฟงกชัน เพราะมีคูอันดับ (0, 1) และ (0, –1) ที่มีสมาชิกตัวหนาซ้ํากัน แตสมาชิก
ตัวหลังตางกัน
1 เมื่อ x ≥ 0
–1 เมื่อ x ≤ 0
27. คูมือครูสาระการเรียนรูเพิ่มเติม
คณิตศาสตร เลม ๒
กลุมสาระการเรียนรูคณิตศาสตร
ชั้นมัธยมศึกษาปที่ ๔
ตามหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๔๔
จัดทําโดย
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
กระทรวงศึกษาธิการ
ISBN 974-01-3820-9
พิมพครั้งที่หนึ่ง ๑๐,๐๐๐ เลม
พ.ศ. ๒๕๔๗
องคการคาของคุรุสภาจัดพิมพจําหนาย
พิมพที่โรงพิมพคุรุสภาลาดพราว
๒๒๔๙ ถนนลาดพราว วังทองหลาง กรุงเทพมหานคร
มีลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติ
111
2. f1 = {(x, 1), (y, 1), (z, 1)} f2 = {(x, 0), (y, 0), (z, 0)}
f3 = {(x, 1), (y, 0), (z, 1)} f4 = {(x, 1), (y, 0), (z, 0)}
f5 = {(x, 1), (y, 1), (z, 0)} f6 = {(x, 0), (y, 1), (z, 1)}
f7 = {(x, 0), (y, 0), (z, 1)} f8 = {(x, 0), (y, 1), (z, 0)}
3. (1) เปนฟงกชัน
(2) เปนฟงกชัน
(3) (a) ไมเปนฟงกชัน (b) เปนฟงกชัน
(4) (a) เปนฟงกชัน (b) ไมเปนฟงกชัน
(5) (a) เปนฟงกชัน (b) ไมเปนฟงกชัน
4. –5, –7, 13, a2
+ 3a – 5, a2
+ 2ab + b2
+ 3a + 3b – 5, x2
+ 2xb + b2
+ 3x + 3b – 5, 2x + 3 + h
5. 1, 1, 1, 1, 3 , 2, h
1
− เมื่อ h > 0
6. (1) ไมเทากัน (2) ไมเทากัน