More Related Content
Similar to Basic m3-2-chapter4
Similar to Basic m3-2-chapter4 (20)
More from กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ โรงเรียนอุตรดิตถ์
More from กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ โรงเรียนอุตรดิตถ์ (19)
Basic m3-2-chapter4
- 1. บทที่ 4
ทักษะกระบวนการทางคณิตศาสตร (14 ชั่วโมง)
4.1 กิจกรรมพัฒนาทักษะกระบวนการทางคณิตศาสตร (10 ชั่วโมง)
4.2 ทักษะกระบวนการทางคณิตศาสตรกับตรีโกณมิติ (4 ชั่วโมง)
สาระที่นําเสนอในบทนี้สวนใหญสอดแทรกอยูในกิจกรรมที่ใหนักเรียนใชความรูคณิตศาสตรที่
เรียนมาแลว ในการแกปญหาทั้งที่คลายคลึงและแตกตางจากที่เรียนในหองเรียน โดยเจตนาใหนักเรียน
ประยุกตใชทั้งความรูและทักษะกระบวนการทางคณิตศาสตรที่หลากหลาย นอกจากนี้ยังเนนใหนักเรียน
เห็นการใชทักษะกระบวนการทางคณิตศาสตรในการแสวงหาความรูเกี่ยวกับอัตราสวนตรีโกณมิติ
ในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนคณิตศาสตรระดับมัธยมศึกษาตอนตน ตามหนังสือเรียนและ
คูมือครูของ สสวท. ไดเนนการพัฒนาทักษะกระบวนการทางคณิตศาสตร โดยสอดแทรกในเนื้อหาตาง ๆ
ตามความเหมาะสมของสาระและกิจกรรมมาอยางตอเนื่อง ในบทนี้มีเจตนาเสริมสาระเพื่อพัฒนาทักษะ
กระบวนการทางคณิตศาสตรใหมากขึ้นโดยผานกิจกรรม ครูอาจเลือกกิจกรรมที่เสนอไวเพื่อใหนักเรียน
ไดทําตามความเหมาะสมของเวลาและศักยภาพ สําหรับนักเรียนที่มีเปาหมายจะเรียนตอในดานวิทยาศาสตร
ควรจัดใหทํากิจกรรมในหัวขอ 4.2 ดวย
กิจกรรมในหนังสือเปนเพียงตัวอยางของกิจกรรมที่ใชพัฒนาทักษะกระบวนการทางคณิตศาสตร
ยังมีกิจกรรมในชีวิตจริงอีกมากที่สามารถนํามาใชได ครูอาจหากิจกรรมอื่นที่เหมาะสมและตรงกับความ
สนใจของนักเรียนในหองมาเพิ่มเติม หรืออาจนํานักเรียนออกไปทํากิจกรรมคณิตศาสตรนอกหองเรียน
เชน สวนพฤกษศาสตร สหกรณในโรงเรียน ทั้งนี้ครูควรวางแผนการจัดกิจกรรมใหรัดกุมไวลวงหนา
แนวคิดเกี่ยวกับการหาคําตอบของกิจกรรมในคูมือครูนี้เปนเพียงตัวอยางที่นักเรียนอาจใชในการทํากิจกรรม
นักเรียนอาจมีแนวคิดอื่นที่แตกตางออกไป หรืออาจไดคําตอบอยูในรูปแบบที่แตกตางกัน ครูควรให
นักเรียนไดอภิปรายถึงความหลากหลายของวิธีการไดมาของคําตอบ
ในการพัฒนาทักษะและกระบวนการทางคณิตศาสตรใหกับนักเรียน ครูควรคํานึงถึงประเด็น
ตาง ๆ ตอไปนี้
1. ครูควรตระหนักวา การพัฒนาทักษะกระบวนการทางคณิตศาสตรเปนเรื่องที่ตองฝกให
นักเรียนคิดและลงมือปฏิบัติจนเกิดเปนความสามารถและความชํานาญตามวัยและระดับของนักเรียน
การพัฒนาทักษะกระบวนการทางคณิตศาสตรจึงเปนเรื่องของการฝกใหคิดและตัดสินใจมากกวาการสอนให
รูและเขาใจ
- 2. 44
2. กิจกรรมพัฒนาทักษะกระบวนการทางคณิตศาสตร ควรเปนกิจกรรมที่พัฒนาหลายทักษะไป
ดวยกัน ครูควรตองวิเคราะหและวางแผนกอนวาปญหาสถานการณหรือกิจกรรมนั้น ในแตละขั้นตอนจะ
ใหนักเรียนใชความรูอะไร ใชอยางไรและเปนการพัฒนาทักษะกระบวนการใดบาง
3. ทักษะกระบวนการทางคณิตศาสตรเปนความสามารถและความชํานาญที่ตองใชเวลาในการ
พัฒนาใหเกิดขึ้นกับนักเรียน จึงควรใหมีการพัฒนาอยางตอเนื่องโดยบูรณาการรวมกับการสอนเนื้อหา
และอาจยกตัวอยางเกร็ดความรูแสดงถึงการมีทักษะกระบวนการทางคณิตศาสตรของนักคณิตศาสตรที่มี
ชื่อเสียง เชน อารคิมีดีส นิวตันและเกาส เพื่อชี้ใหนักเรียนเห็นลักษณะของบุคคลที่มีทักษะกระบวนการ
ทางคณิตศาสตร เชน เปนคนชางสังเกต มีความคิดสรางสรรคและมีความพยายาม
4. ในการทํากิจกรรม ครูควรฝกใหนักเรียนเริ่มตนคิดหาวิธีแกปญหาเอง เนื่องจากมีนักเรียน
จํานวนมากที่ไมทราบวาจะเริ่มตนคิดแกปญหาอยางไร จึงรอใหครูแนะและตั้งคําถามนํา ครูควรตระหนัก
วาการถามนํามากเกินไป จะทําใหนักเรียนคุนเคยกับการคิดเพื่อตอบคําถามครูทีละคําถามตอเนื่องกันจนได
คําตอบ โดยไมสามารถคิดเพื่อหาวิธีแกปญหาที่ครบขั้นตอนหรือกระบวนการไดดวยตนเอง
5. ครูอาจอภิปรายรวมกับนักเรียนเพื่อใหความรูเกี่ยวกับวิธีการตาง ๆ ที่จะชวยใหนักเรียนมี
ทักษะกระบวนการทางคณิตศาสตร เชน
ในการแกปญหาอาจใชกลยุทธตาง ๆ ประกอบการคิดแกปญหา ไดแก การทําตาราง
การวาดภาพ การหาความสัมพันธและการคิดยอนกลับ เปนตน
ในการฝกใหเหตุผลทางคณิตศาสตร อาจเริ่มจากการตั้งคําถามกับตัวเองบอย ๆ โดยเปน
คําถามที่ตองการคําอธิบาย เชน เพราะอะไร ทําไม และอยางไร
ในการสื่อสาร สื่อความหมายทางคณิตศาสตรและการนําเสนอ นักเรียนควรฝกการฟง พูด
อาน และเขียนที่เกี่ยวกับคณิตศาสตร เชน การฟงครูหรือฟงเพื่อนอธิบายคณิตศาสตร การอธิบายวิธีทํา
หรือแนวการใหเหตุผลทางคณิตศาสตรใหเพื่อนฟง การอานหนังสือหรือวารสารคณิตศาสตรใหเขาใจดวย
ตนเองและสามารถใชคณิตศาสตรเพื่อสื่อสิ่งที่ตองการบอกใหผูอื่นทราบและเขาใจได
ในการเชื่อมโยงความรูนั้น นักเรียนควรไดเห็นตัวอยางและไดฝกการเชื่อมโยงระหวางเนื้อหา
ในคณิตศาสตร การเชื่อมโยงคณิตศาสตรกับศาสตรอื่น ๆ และการเชื่อมโยงคณิตศาสตรกับชีวิตประจําวัน
ในการคิดสรางสรรคนั้น อาจเปนการคิดเพิ่มเติมหรือคิดนอกกรอบ ซึ่งในทางคณิตศาสตร
อาจเริ่มจากการคิดหลากหลาย คิดวิธีการที่แตกตางกัน คิดหาวิธีลัดที่จะทําใหการแกปญหาคณิตศาสตรมี
ประสิทธิภาพและสะดวกขึ้น
ผลการเรียนรูที่คาดหวังรายป
ใชความรูคณิตศาสตร ความรูอื่นๆ และเทคโนโลยีเพื่อเสริมทักษะกระบวนการทางคณิตศาสตรใน
ดานการแกปญหา การใหเหตุผล การสื่อสาร สื่อความหมายทางคณิตศาสตร การนําเสนอ การเชื่อมโยง
และความคิดริเริ่มสรางสรรค
- 3. 45
แนวทางในการจัดการเรียนรู
ในบทนําไดกลาวถึงประวัติคราว ๆ และผลงานเดน ๆ ของอารคิมีดิส เพื่อชี้ใหเห็นลักษณะของผูที่
มีทักษะกระบวนการทางคณิตศาสตรและการใชทักษะกระบวนการทางคณิตศาสตรในการแสวงหาเพื่อสราง
องคความรูที่เปนประโยชนกับคนรุนหลัง ทั้งนี้เพื่อเปนแรงบันดาลใจใหนักเรียนเห็นความสําคัญของทักษะ
กระบวนการทางคณิตศาสตร
4.1 กิจกรรมพัฒนาทักษะกระบวนการทางคณิตศาสตร (10 ชั่วโมง)
จุดประสงค นักเรียนสามารถใชทักษะกระบวนการทางคณิตศาสตรแกปญหาในสถานการณตาง ๆ
ที่กําหนดใหได
ขอเสนอแนะในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน
กิจกรรมชุดที่ 1
1. กิจกรรม “มีอยูเทาไร” มีเจตนาใหนักเรียนใชความรูเรื่องการหารและเทคนิคการแกปญหา
โดยใชตาราง ครูอาจใหนักเรียนคิดหาวิธีแกปญหาเองกอน อาจมีบางคนเริ่มตนจาก 6 แทง ซึ่งเปนไป
ไมได ครูควรใหนักเรียนอภิปรายวาเพราะเหตุใดจึงเปนไปไมได ผลการอภิปรายนักเรียนควรไดขอสรุปวา
ควรเริ่มตนที่ 9 แทง และคอย ๆ หาไปเรื่อย ๆ จนไดคําตอบ จากนั้นครูควรใหนักเรียนหาวิธีอื่นที่สะดวก
และรวดเร็วกวา แตไดคําตอบเชนเดียวกัน ซึ่งนักเรียนอาจใชขอมูลที่บอกวาหารดวย 5 แลวเหลือเศษ 4
เปนสําคัญ โดยเริ่มจาก 9 แทง และได 14 แทงเปนจํานวนตอไปซึ่งก็ยังไมใชจํานวนที่สอดคลองตาม
เงื่อนไข แตเมื่อเปน 19 แทง จะไดคําตอบ วิธีนี้ประหยัดเวลาไดมาก
สําหรับคําถามขอ 6 ครูอาจเตรียมอุปกรณ เชน ไมจิ้มฟน หรือใชการเขียนรอยขีดเปน
แบบจําลองแทนดินสอ เพื่อใหนักเรียนลองปฏิบัติเปนกลุมก็ได
2. กิจกรรม “มีอยูกี่จํานวน” มีเจตนาใหนักเรียนคิดหาวิธีแกปญหาที่หลากหลาย ซึ่งนอกจาก
จะใชแผนภาพตนไม เชน ในหนังสือเรียนแลว นักเรียนบางคนอาจใชวิธีคงเลขโดด 4 ในหลักพัน
เลขโดด 5 ในหลักรอย และเลขโดด 6 ในหลักสิบ จากนั้นใชเลขโดด 7, 8 และ 9 ในหลักหนวยทีละตัว
และทําเชนนี้ไปเรื่อย ๆ โดยเปลี่ยนหลักรอย หลักสิบ และหลักหนวยใหเปนไปตามเงื่อนไข ก็จะได
คําตอบเชนเดียวกัน อยางไรก็ตามนักเรียนบางคนอาจคงเลขโดด 4 ในหลักพัน และคงเลขโดด 9 ในหลัก
หนวย และหาเลขโดดในหลักรอยและหลักสิบใหสอดคลองกับเงื่อนไข จากนั้นเปลี่ยนหลักหนวยเปน
7 และ 8 ทําเชนนี้ไปเรื่อย ๆ ก็จะไดคําตอบเชนเดียวกัน
- 4. 46
กิจกรรมชุดที่ 2
1. กิจกรรม “พื้นที่เปนเทาไร” มีเจตนาใหนักเรียนใชเหตุผลในการหาพื้นที่ของรูปสี่เหลี่ยม
จัตุรัส ที่เกิดจากการลากสวนของเสนตรงเชื่อมตอจุดกึ่งกลางของดานทั้งสี่ของรูปสี่เหลี่ยมที่ใหญกวา
นักเรียนควรหาความสัมพันธระหวางพื้นที่กับจํานวนครั้งของการกระทําซ้ํากันได ครูอาจถามเพื่อขยาย
ความคิด เชน
ถาพื้นที่ของรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสเปน 100 ตารางหนวย จะตองลากสวนของเสนตรงเชื่อมตอ
จุดกึ่งกลางใหเปนรูปสี่เหลี่ยมกี่รูป จึงจะไดรูปสี่เหลี่ยมสุดทายมีพื้นที่ 6.25 ตารางหนวย และถาเปลี่ยน
เปนรูปหลายเหลี่ยมบางรูป เชน รูปสี่เหลี่ยมผืนผาความสัมพันธจะเปลี่ยนแปลงหรือไม
2. กิจกรรม “ไดเทาไร” มีเจตนาหาความสัมพันธระหวางจํานวนที่เกิดจากการแบงครึ่งสวน
ของเสนตรงไปเรื่อย ๆ กับจํานวนครั้งที่แบง ครูอาจขยายความคิดใหนักเรียนเห็นวาในทางปฏิบัติ เมื่อ
แบงชวงบนเสนจํานวนเปนจํานวนครั้งมาก ๆ เชน 100 ครั้ง อาจไมสามารถเขียนจุดแทนจํานวนที่ได
บนเสนจํานวน แมวาในทางทฤษฎีเราสามารถหาจํานวนที่แทนจุดนั้นไดเสมอ และอาจใชแบบรูปของ
ความสัมพันธมาชวยหาจํานวนที่แทนจุดนั้น การหาแบบรูปจึงมีประโยชนมากในกรณีเชนนี้
กิจกรรมชุดที่ 3
1. กิจกรรม “นับอยางไร” มีเจตนาใหนักเรียนหาความสัมพันธระหวางจํานวนรูปสี่เหลี่ยม
มุมฉากขนาดตาง ๆ ที่เกิดจากรูปสี่เหลี่ยมขนาด 1 × 1 เรียงตอกัน 7 รูป การใชตารางหาจํานวนรูป
สี่เหลี่ยมมุมฉากขนาด 1 × 1, 1 × 2 ไปจนถึง 1 × 7 ตารางหนวย จะชวยใหนักเรียนเห็นแบบรูปที่
เกิดขึ้น จากแบบรูปที่ไดครูควรถามใหนักเรียนคิดตอวา เมื่อเพิ่มรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสขนาด 1 × 1 มาเรียง
ตอกันมากขึ้น เชน 10 รูป, 20 รูป, 50 รูป และ 100 รูป จะไดรูปสี่เหลี่ยมมุมฉากเปนเทาไรบาง ครู
ควรถามคําถามนี้ใหมากพอเพื่อใหนักเรียนหาจํานวนรูปสี่เหลี่ยมมุมฉากทั้งหมดในรูป 10(10 1)2 + ,
20(20 1)2 + , 50(50 1)2 + และ 100(100 1)2 + ตามลําดับกอนที่จะถามถึง n รูป
2. กิจกรรม “นับไดเทาไร” มีเจตนาใหนักเรียนใชกระบวนการคิดคลายคลึงกับกิจกรรม
“นับอยางไร” แตอาจมีความซับซอนมากกวา ในการหารูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสขนาดตาง ๆ ครูควรฝกให
นักเรียนหาอยางเปนระบบ เชน หาจากซายไปขวา และหาจากบนลงลาง เพราะจะทําใหรูปที่เกิดขึ้นไม
ซ้ํากัน และนักเรียนเองก็จะไมสับสน สําหรับการหาจํานวนรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสขนาดตาง ๆ ที่ซอนอยูในรูป
สี่เหลี่ยมจัตุรัสขนาด n × n นั้น ครูอาจใหใชคําตอบในรูป 12
+ 22
+ 32
+ ... + n2
- 5. 47
กิจกรรมชุดที่ 4
1. กิจกรรม “กี่ตัวกันแน” และ “คิดตามจี๊ด” มีเจตนาใหนักเรียนคิดหาวิธีการที่หลากหลายใน
การแกปญหา นอกจากวิธีวาดรูปและวิธีตรวจสอบโดยใชตารางแลว นักเรียนอาจใชการแกระบบสมการ
โดยกําหนดให x แทนจํานวนมาลายและ y แทนจํานวนนกกระจอกเทศแลว จะไดระบบสมการเชิงเสน
x + y = 47 และ 4x + 2y = 118 ซึ่งเมื่อแกระบบสมการจะไดคําตอบเชนเดียวกับสองวิธีขางตน
นอกจากวิธีดังกลาวแลวนักเรียนอาจใชวิธีอื่น เชน การลองผิดลองถูกอยางเปนเหตุเปนผล โดยเมื่อทราบ
ขอมูลวามีสัตวทั้งสองชนิด 47 ตัว แตมีขารวม 118 ขา อาจสมมติใหมีสัตวอยางละเกือบครึ่งหนึ่ง
(จํานวนสัตวเทากันไมได เพราะจํานวนสัตวที่กําหนดใหเปนจํานวนคี่) สมมติใหมีนกกระจอกเทศ 23 ตัว
และมาลาย 24 ตัว จะไดขารวม (23 × 2) + (24 × 4) หรือ 142 ขา ซึ่งมากกวา 118 ขาตามที่โจทย
กําหนด จึงตองลดจํานวนขาลง แตไมสามารถลดจํานวนสัตวที่มีสองขาได เพราะจะทําใหจํานวนขา
ทั้งหมดมากขึ้นไปอีก ดังนั้นจึงตองลดจํานวนสัตวที่มีสี่ขา ในขณะเดียวกันก็ตองเพิ่มจํานวนสัตวที่มีสองขา
เพื่อใหมีสัตวทั้งสองชนิดรวมกัน 47 ตัว จึงอาจเปน (30 × 2) + (17 × 4) หรือ 128 ขา ซึ่งจํานวนขายัง
มากเกินไป การทําซ้ํากระบวนการเชนนี้ นักเรียนจะไดคําตอบเชนเดียวกัน
2. กิจกรรม “คิดไดหลายวิธี” มีเจตนาใหนักเรียนฝกการเชื่อมโยงโดยใชแนวคิดและ
ประสบการณจากการทํากิจกรรมที่ผานมาแลว มาแกปญหาที่ซับซอนขึ้น ครูควรใหนักเรียนแตละคนคิด
และเลือกวิธีแกปญหาของตนเอง นักเรียนบางคนอาจมีวิธีคิดที่แตกตางออกไป ครูควรใหนักเรียนแตละ
คนไดมีโอกาสอธิบายวิธีการใหเพื่อนฟง
กิจกรรมชุดที่ 5
กิจกรรมชุดนี้เนนใหนักเรียนเขาใจการใชความรูทางคณิตศาสตรและเทคโนโลยี เพื่อเสริมทักษะ
กระบวนการทางคณิตศาสตรในการหาคาประมาณของจํานวนอตรรกยะบางจํานวน โดยใชการหาคาเฉลี่ย
ของจํานวนสองจํานวนที่มีคาใกลเคียงกัน การเริ่มตนจาก 2 ที่เปนจํานวนอตรรกยะที่นักเรียนคุนเคยจะ
ทําใหนักเรียนเห็นกระบวนการที่ชัดเจนขึ้น ครูควรอธิบายวาหลักการดังกลาวสามารถทําลัดขั้นตอน โดย
การหาจํานวนสองจํานวนที่คูณกันแลวได 2 หรือใกลเคียงมากที่สุด โดยที่จํานวนสองจํานวนนั้นมีผลตาง
กันนอยที่สุด เมื่อครูแสดงตัวอยางการหาคาประมาณของ 2 โดยใชวิธีดังกลาวแลว ครูควรใหนักเรียน
ลองหาคาประมาณของจํานวนอตรรกยะที่กําหนดดวยตนเอง
กิจกรรมชุดที่ 6
1. กิจกรรมชุดนี้เนนใหนักเรียนใชเทคโนโลยีและเขาใจการใชกระบวนการทางคณิตศาสตรที่
เรียกวา The Method of Exhaustion แกปญหาการหาพื้นที่ของรูปเรขาคณิตสองมิติบางรูป ซึ่งไมมีสูตร
ที่ใชในการคํานวณโดยตรง
- 6. 48
2. กิจกรรม “พื้นที่ใตกราฟ” มีเจตนาใหนักเรียนฝกใช The Method of Exhaustion หา
พื้นที่ใตพาราโบลาที่กําหนดใหโดยใชการหาพื้นที่รวมของแทงรูปสี่เหลี่ยมมุมฉาก นักเรียนอาจมีปญหาใน
การหาความสูงของแทงรูปสี่เหลี่ยมมุมฉาก ในกรณีนี้ครูควรใชคําถามตอเนื่องเพื่อใหนักเรียนคํานวณได
และสามารถหาพื้นที่ใตกราฟโดยประมาณได ครูควรแนะใหนักเรียนแบงสวนบนแกน X ใหมากพอดวย
3. กิจกรรม “ใจเย็น ๆ คอย ๆ คิด” มีเจตนาใหนักเรียนใชความรูและทักษะทางคณิตศาสตรใน
การแกปญหาและตัดสินใจ วิธีคิดที่นักเรียนใชอาจแตกตางกันตามพื้นฐานความรูและประสบการณทาง
คณิตศาสตรของแตละคน ครูควรชี้ใหนักเรียนเห็นวาปญหาบางอยางในชีวิตจริงไมมีคําตอบที่ถูกหรือผิด
แตตองการทางออกหรือการแกปญหาที่มีประสิทธิภาพหรือใหประโยชนมากที่สุด เชน การซื้อของใหได
ของมีคุณภาพในราคาที่ถูกที่สุด ประหยัดที่สุด หรือคุมคาที่สุด หรือการจัดคนทํางานใหตรงกับ
ความสามารถและความถนัดมากที่สุด เปนตน การแกปญหาในกิจกรรมนี้จึงเนนการคิดที่หลากหลาย เชน
การคิดวิเคราะห สังเคราะห คิดอยางเปนเหตุเปนผล เพื่อใหนักเรียนไดประสบการณในการแกปญหาที่
สามารถใชไดกับชีวิตจริง
4.2 ทักษะกระบวนการทางคณิตศาสตรกับตรีโกณมิติ (4 ชั่วโมง)
จุดประสงค นักเรียนสามารถ
1. บอกคาของอัตราสวนตรีโกณมิติ ไซน โคไซนและแทนเจนตของมุมที่มีขนาด 30o
, 45o
และ 60o
ได
2. นําความรูเกี่ยวกับอัตราสวนตรีโกณมิติไปแกปญหาที่กําหนดใหได
ขอเสนอแนะในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน
กิจกรรมในหัวขอนี้แสดงถึงการใชทักษะกระบวนการทางคณิตศาสตรสรางสรรคความรูเกี่ยวกับ
ตรีโกณมิติ ซึ่งเปนสาขาหนึ่งของคณิตศาสตรที่เกี่ยวของเปนอยางมากกับชีวิตมนุษย
1. กิจกรรม “อัตราสวนเปนอยางไร” มีเจตนาใหนักเรียนสรางขอความคาดการณเกี่ยวกับ
อัตราสวนตรีโกณมิติที่สําคัญโดยสังเกตความสัมพันธจากแบบรูป และเมื่อตรวจสอบขอความคาดการณ
แลว นักเรียนควรสรุปไดวาขอความคาดการณนั้นเปนจริงโดยมีการใหเหตุผลที่สามารถพิสูจนยืนยันได
2. กิจกรรม “ลองทําดู” มีเจตนาฝกใหนักเรียนเชื่อมโยงความรูเรื่องอัตราสวนและทฤษฏีบท
พีทาโกรัสไปสูความรูเรื่องอัตราสวนตรีโกณมิติ ครูควรชี้ใหนักเรียนเห็นประโยชนของการใชอัตราสวน
ตรีโกณมิติในการหาความยาวของดานและขนาดของมุมของรูปสามเหลี่ยมมุมฉาก และควรฝกทักษะการ
ใชอัตราสวนตรีโกณมิติของมุมที่ใชบอย เชน 30o
45o
และ 60o
3. กิจกรรม “บอกไดไหม” เปนกิจกรรมเพื่อฝกหาคาของอัตราสวนตรีโกณมิติจากตารางและ
หาขนาดของมุมเมื่อกําหนดคาอัตราสวนตรีโกณมิติให ครูอาจใหนักเรียนตอบปากเปลาในชั้นเรียน
- 7. 49
4. กิจกรรม “ลองหาดู” เปนกิจกรรมเพื่อฝกทักษะหาความยาวของดานและขนาดของมุมของ
รูปสามเหลี่ยมมุมฉากตามที่กําหนด เพื่อเปนพื้นฐานในการทํากิจกรรม “ลองคิดดู” ซึ่งมีเจตนาให
นักเรียนฝกใชความรูเรื่องอัตราสวนตรีโกณมิติแกปญหาที่มักพบในชีวิตจริง เชน การหาความสูงของ
ตนไม ความสูงของกําแพงและความกวางของแมน้ํา ครูควรใหนักเรียนแตละคนคิดหาวิธีแกปญหาของ
ตนเอง อาจเปนรายบุคคลหรือกลุมเพื่อนักเรียนจะไดฝกฝนการสื่อสารกับผูอื่นดวย
5. กิจกรรม “คิด” มีเจตนาใหนักเรียนฝกแกปญหาเกี่ยวกับพื้นที่โดยเชื่อมโยงความรูตรีโกณมิติ
กับเรขาคณิต ครูอาจใหนักเรียนชวยกันทําและนําเสนอหนาชั้นเรียน
6. กิจกรรม “หอเอนเมืองปซา (Tower of Pisa)” มีเจตนาใหเปนความรูเพิ่มเติมสําหรับ
นักเรียนและเชื่อมโยงความรูตรีโกณมิติกับวิทยาศาสตร ครูอาจใหนักเรียนหาผลงานของกาลิเลโอเพิ่มเติม
และครูอาจชี้ใหนักเรียนเห็นคุณลักษณะของกาลิเลโอ นักวิทยาศาสตรเรืองนามของโลกไดใชทักษะ
กระบวนการทางคณิตศาสตรมาชวยในการคนควางานสําคัญตาง ๆ ทางวิทยาศาสตรที่เปนประโยชนกับ
ชาวโลก
คําตอบแบบฝกหัดและคําตอบกิจกรรม
กิจกรรมชุดที่ 1
คําตอบกิจกรรม “มีอยูเทาไร”
คําตอบปญหาหนา 154
3. ตัวอยางแนวคิดที่แตกตางจากในหนังสือเรียน
จํานวนดินสอที่แจกกลุมที่หนึ่ง อาจเปน 4, 7, 10, 13, 16, 19 , ...
จํานวนดินสอที่แจกกลุมที่สอง อาจเปน 7, 11, 15, 19 , 23, ...
จํานวนดินสอที่แจกกลุมที่สาม อาจเปน 9, 14, 19 , 24, ...
จะไดจํานวนดินสอ 19 แทง สอดคลองกับเงื่อนไขทั้งหมดของปญหา
- 8. 50
4.
1)
เศษที่ไดจากการหารจํานวนดินสอดวยตัวหาร
จํานวนดินสอ (แทง)
ตัวหาร 3 ตัวหาร 4 ตัวหาร 5
9 0 1 4
10 1 2 0
11 2 3 1
12 0 0 2
13 1 1 3
14 2 2 4
15 0 3 0
16 1 0 1
17 2 1 2
18 0 2 3
19 1 3 4
2) บวรมีดินสออยางนอย 19 แทง
3) ตรวจสอบไดโดยนําคําตอบที่ไดแทนในความสัมพันธจากโจทยซึ่งจะพบวา 19 เปนจํานวนที่
นอยที่สุดที่หารดวย 3, 4 และ 5 เหลือเศษ 1, 3 และ 4 ตามลําดับ
5.
1) จากเงื่อนไขที่วาแจกใหเด็กกลุมที่หนึ่งคนละ 3 แทงแลวเหลือเศษ 1 แทง จะไดวาจํานวน
ดินสอที่บวรมีอาจเปนไดทั้งจํานวนคูและจํานวนคี่ ดังนี้
ถาจํานวนเด็กที่ไดรับแจกกลุมนี้มีเปนจํานวนคู จะไดวาบวรมีดินสอเปนจํานวนคี่
ถาจํานวนเด็กที่ไดรับแจกกลุมนี้มีเปนจํานวนคี่ จะไดวาบวรมีดินสอเปนจํานวนคู
2) จากเงื่อนไขที่วาแจกใหเด็กกลุมที่สองคนละ 4 แทง แลวเหลือเศษ 3 แทง จะไดวาบวรมี
ดินสอเปนจํานวนคี่เทานั้น ไมวาจํานวนเด็กกลุมนี้จะเปนจํานวนคูหรือจํานวนคี่ก็ตาม
3) จากเงื่อนไขที่วาแจกใหเด็กกลุมที่สามคนละ 5 แทง แลวเหลือเศษ 4 แทง จะไดวาจํานวน
ดินสอที่บวรมีอาจเปนไดทั้งจํานวนคูและจํานวนคี่ ดังนี้
ถาจํานวนเด็กที่ไดรับแจกกลุมนี้มีเปนจํานวนคู จะไดวาบวรมีดินสอเปนจํานวนคู
ถาจํานวนเด็กที่ไดรับแจกกลุมนี้มีเปนจํานวนคี่ จะไดวาบวรมีดินสอเปนจํานวนคี่
- 9. 51
4) ใช
5)
เศษที่ไดจากการหารจํานวนดินสอดวยตัวหาร
จํานวนดินสอ (แทง)
ตัวหาร 3 ตัวหาร 4 ตัวหาร 5
9 0 1 4
11 2 3 1
13 1 1 3
15 0 3 0
17 2 1 2
19 1 3 4
6) บวรมีดินสออยางนอย 19 แทง
คําตอบกิจกรรม “มีอยูกี่จํานวน”
1. เลขโดดในหลักพันมีไดหนึ่งตัว คือ 4 เทานั้น เนื่องจากเลขโดดตัวอื่น ๆ ทําใหจํานวนนับที่เกิดขึ้น
ไมอยูระหวาง 4,000 กับ 5,000
2. เลขโดดในหลักรอยอาจเปน 5, 6, 7, 8, 9 เนื่องจากเปนเลขโดดที่มากกวา 4 ซึ่งสอดคลองตาม
เงื่อนไขในโจทย
3. ถาเลขโดดในหลักรอยเปน 5 เลขโดดในหลักสิบ อาจเปน 6, 7, 8, 9 เนื่องจากเปนเลขโดดที่
มากกวา 5 ซึ่งสอดคลองตามเงื่อนไขในโจทย
4. ถาเลขโดดในหลักสิบเปน 6 เลขโดดในหลักหนวย อาจเปน 7, 8, 9 เนื่องจากเปนเลขโดดที่
มากกวา 6 ซึ่งสอดคลองตามเงื่อนไขในโจทย
- 10. 52
D CR
S Q
A P B
5.
6. 10 จํานวน คือ 4567, 4568, 4569, 4578, 4579, 4589, 4678, 4679, 4689 และ 4789
กิจกรรมชุดที่ 2
คําตอบกิจกรรม “พื้นที่เปนเทาไร”
1.
4)
(1) PQRS เปนรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส เพราะสามารถพิสูจนไดวามีมุมทั้งสี่เปนมุมฉาก
และมีดานทั้งสี่ยาวเทากัน
หลักพัน หลักรอย หลักสิบ หลักหนวย
4
5
6
7
7
8
8
9
8
6
7
8
9
8
7
8
9
9
9
9
- 11. 53
แนวการพิสูจน
เนื่องจาก ∆ APS ≅ ∆ BPQ (ด.ม.ด.)
ดังนั้น PS = PQ (ดานคูที่สมนัยกันของรูปสามเหลี่ยมที่เทากัน
ทุกประการ จะยาวเทากัน)
และ APS
∧
= BPQ
∧
(มุมคูที่สมนัยกันของรูปสามเหลี่ยมที่เทากัน
ทุกประการ จะมีขนาดเทากัน)
เนื่องจาก ∆ APS และ ∆ BPQ แตละรูปเปนรูปสามเหลี่ยมมุมฉากและ
รูปสามเหลี่ยมหนาจั่ว (มีดานประกอบมุมยอดยาวเทากัน)
ดังนั้น APS
∧
= BPQ
∧
= 45o
(มุมที่ฐานของรูปสามเหลี่ยมหนาจั่วมีขนาด
เทากัน)
จะได SPQ
∧
= 180 – (2 × 45) = 90o
(ขนาดของมุมตรง)
ในทํานองเดียวกันจะสามารถพิสูจนไดวา PS = SR = RQ = QP
และ SPQ
∧
= PQR
∧
= QRS
∧
= RSP
∧
= 90o
นั่นคือ PQRS เปนรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส
(2) พื้นที่ของ PQRS = 1
2 × พื้นที่ของ ABCD
เนื่องจาก ถาให ABCD เปนรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสที่ยาวดานละ 2x หนวย
พิจารณาจากรูปขางลางนี้
พื้นที่ของ PQRS = ( )
2
2 x = 2x2
ตารางหนวย
พื้นที่ของ ABCD = (2x)2
= 4x2
ตารางหนวย
ดังนั้น พื้นที่ของ PQRS = 1
2 × พื้นที่ของ ABCD
(3) 2 ตารางหนวย
x x
x
x
QS
D C
A P B
R
2 x
2 x
- 12. 54
2.
1) จะตองหาพื้นที่ของรูปเรียงลําดับกันดังนี้
จากพื้นที่ของรูป 6 คูณดวย 2 จะไดพื้นที่ของรูป 5
จากพื้นที่ของรูป 5 คูณดวย 2 จะไดพื้นที่ของรูป 4
และทําเชนนี้ไปเรื่อย ๆ จนไดพื้นที่ของรูป 1 ดังแผนภาพ
2) 160 ตารางหนวย
แนวคิด พื้นที่ของ ABCD = 5 × 2 × 2 × 2 × 2 × 2
= 160 ตารางหนวย
3) 64 ตารางหนวย
แนวคิด หาจากความสัมพันธดังตอไปนี้
กําหนด ∆ DEF เกิดจากลากสวนของเสนตรงเชื่อมตอ
จุดกึ่งกลางของดานทั้งสามของ ∆ ABC จะพิสูจนไดวา
พื้นที่ของ ∆ ABC เทากับ 4 เทาของพื้นที่ของ
∆ DEF ดังนี้
เนื่องจาก ∆ ADF ≅ ∆ BDE (ด.ม.ด.)
จะได DF = DE (ดานคูที่สมนัยกันของรูปสามเหลี่ยมที่เทากัน
ทุกประการ จะยาวเทากัน)
ในทํานองเดียวกัน ∆ CEF ≅ ∆ BDE
จะได EF = DE
ดังนั้น DF = DE = EF (สมบัติของการเทากัน)
เนื่องจาก AB = BC = AC (กําหนดให)
จะได AD = AF (ตางมีความยาวเปนครึ่งหนึ่งของความยาวของ
ดานที่ยาวเทากัน)
C
F E
A D B
6
คูณดวย 2
5
คูณดวย 2
4
คูณดวย 2
3
คูณดวย 2
2
คูณดวย 2
1
- 13. 55
ดังนั้น ADF
∧
= AFD
∧
(มุมที่ฐานของรูปสามเหลี่ยมหนาจั่ว มีขนาด
เทากัน)
เนื่องจาก DAF
∧
= 60o
(มุมภายในของรูปสามเหลี่ยมดานเทา มีขนาด
เทากับ 60 องศา)
ดังนั้น ∆ ADF เปนรูปสามเหลี่ยมดานเทา
จะได DF = AD = AF
ดังนั้น ∆ ADF ≅ ∆ DEF (ด.ด.ด.)
จะได ∆ ADF, ∆ BDE, ∆ CEF และ ∆ DEF เปนรูปสามเหลี่ยมที่เทากันทุกประการทุกคู
นั่นคือ พื้นที่ของ ∆ ABC = 4 เทาของพื้นที่ของ ∆ DEF
จากเหตุผลดังกลาวขางตน จึงสามารถหาพื้นที่ของ ∆ ABC ได
จะไดพื้นที่ของ ∆ ABC = 4 × 4 × 4 × 1 = 64 ตารางหนวย
คําตอบกิจกรรม “ไดเทาไร”
หนอยจะเปนผูเขียนจุดในครั้งที่ 100 และจํานวนที่เขียนคือ 100
1
2
แนวคิด
พิจารณาจากแบบรูปดังนี้
ครั้งที่ 1 นิดเขียนจุดที่แทน 1
2
ครั้งที่ 2 หนอยเขียนจุดที่แทน 1
4 หรือ 2
1
2
ครั้งที่ 3 นิดเขียนจุดที่แทน 1
8 หรือ 3
1
2
ครั้งที่ 4 หนอยเขียนจุดที่แทน 1
16 หรือ 4
1
2
จะเห็นวานิดเขียนจุดในครั้งที่เปนจํานวนคี่ และหนอยเขียนจุดในครั้งที่เปนจํานวนคู
ดังนั้น หนอยจึงเขียนจุดในครั้งที่ 100
จากแบบรูปจะสังเกตไดวาตัวสวนของเศษสวนที่เขียนจะมีเลขชี้กําลังเปนจํานวนเดียวกัน
กับจํานวนครั้งที่เขียนจุด
ดังนั้น จํานวนที่หนอยเขียนจึงเปน 100
1
2
.
.
.
- 14. 56
กิจกรรมชุดที่ 3
คําตอบกิจกรรม “นับอยางไร”
3. รูปสี่เหลี่ยมมุมฉากที่ควรแจงนับตอไปคือ รูปสี่เหลี่ยมมุมฉากที่มีขนาด 1 × 3 ตารางหนวย
ดังแผนภาพ
4. รูปสี่เหลี่ยมมุมฉากที่ตองพิจารณาอีก คือ รูปที่มีขนาด 1 × 4, 1 × 5, 1 × 6 และ 1 × 7 ตารางหนวย
ขนาด (ตารางหนวย) จํานวนรูปสี่เหลี่ยมมุมฉาก
1 × 1 7
1 × 2 6
1 × 3 5
1 × 4 4
1 × 5 3
1 × 6 2
1 × 7 1
รวม 28
5. ใชความรูเกี่ยวกับลักษณะของรูปสี่เหลี่ยมมุมฉาก และแจงนับรูปสี่เหลี่ยมมุมฉากแตละขนาด
7. 55 รูป
8. 5050 รูป
9. 1 + 2 + 3 + … + n หรือ n(n 1)
2
+
รูป
- 15. 57
คําตอบกิจกรรม “นับไดเทาไร”
1. 16 รูป
2. แผนภาพแสดงการแจงนับรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสขนาด 2 × 2 ทั้งหมดที่ซอนอยูในรูปที่กําหนดให
3. ผลบันทึกจากการแจงนับรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสขนาดตาง ๆ
ขนาด (ตารางหนวย) จํานวนรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส
1 × 1 16
2 × 2 9
3 × 3 4
4 × 4 1
รวม 30
4. 100 + 81 + 64 + 49 + 36 + 25 + 16 + 9 + 4 + 1 = 385 รูป
5. 12
+ 22
+ 32
+ ... + n2
รูป
- 16. 58
กิจกรรมชุดที่ 4
คําตอบกิจกรรม “กี่ตัวกันแน”
เขียนคําตอบตามวิธีคิดของแจวไดดังนี้
แจวนับมาลายได 12 ตัว และนับนกกระจอกเทศได 35 ตัว
คําตอบกิจกรรม “คิดตามจี๊ด”
1. ตัวอยางคําตอบ
ถามาลายมี 30 ตัว จะไดจํานวนขาทั้งหมดของมาลายเปน 120 ขา ซึ่งมากกวาจํานวน
ที่โจทยกําหนด ทั้ง ๆ ที่ยังไมไดรวมขาของนกกระจอกเทศอีก 17 ตัว จึงเริ่มเดาใหมีมาลายลดลงเปน
20 ตัว เพื่อใหจํานวนขาที่เกินอยูลดลง
2. ได
ตัวอยางคําตอบ
อาจเดาครั้งแรกใหมีนกกระจอกเทศ 46 ตัว จะไดขาเพียง 92 ขา เมื่อรวมขาของมาลายอีก
1 ตัว จะไดขาทั้งหมด 96 ขาเทานั้น ซึ่งนอยเกินไป จึงควรเพิ่มจํานวนมาลายและลดจํานวน
นกกระจอกเทศ
มาลาย
นกกระจอกเทศ
- 17. 59
3.
เดาครั้ง
ที่
มาลาย
(ตัว)
นกกระจอกเทศ
(ตัว)
ขามาลาย ขานกกระจอกเทศ
รวมขา
ทั้งหมด
ผลสรุป
1 20 27 20× 4 = 80 27× 2 = 54 134 ×
2 15 32 15 × 4 = 60 32 × 2 = 64 124 ×
3 13 34 13 × 4 = 52 34 × 2 = 68 120 ×
4 12 35 12× 4 = 48 35 × 2 = 70 118 /
จากผลในตารางจะไดคําตอบของจี๊ดตรงกับคําตอบของแจว
จี๊ดและแจวอาจใชระบบสมการเชิงเสนสองตัวแปร หรือสมการเชิงเสนตัวแปรเดียว หาคําตอบ
ตามตัวอยางแนวคิด ดังนี้
1) ใชระบบสมการเชิงเสนสองตัวแปร
ใหจํานวนมาลายมี x ตัว
จํานวนนกกระจอกเทศมี y ตัว
จะไดระบบสมการเชิงเสนเปน
x + y = 47 --------------- 1
4x + 2y = 118 --------------- 2
เมื่อแกระบบสมการและตรวจสอบคําตอบ จะได
จํานวนมาลาย 12 ตัว และจํานวนนกกระจอกเทศ 35 ตัว
2) ใชสมการเชิงเสนตัวแปรเดียว
ใหจํานวนมาลายมี x ตัว
จะไดจํานวนนกกระจอกเทศ 47 – x ตัว
และจะไดสมการเชิงเสนตัวแปรเดียว เปน
4x + 2(47 – x) = 118
เมื่อแกสมการและตรวจสอบคําตอบ จะได
จํานวนมาลาย 12 ตัว และจํานวนนกกระจอกเทศ 35 ตัว
- 18. 60
คําตอบกิจกรรม “คิดไดหลายวิธี”
1. มีเหรียญบาท 7 เหรียญ เหรียญหาบาท 8 เหรียญ เหรียญสิบบาท 9 เหรียญ หรือ
มีเหรียญบาท 2 เหรียญ เหรียญหาบาท 17 เหรียญ เหรียญสิบบาท 5 เหรียญ
ตัวอยางแนวคิด
1. ใชการคาดเดาและตรวจสอบคําตอบโดยใชตารางวิเคราะห ดังนี้
เหรียญสิบบาท เหรียญหาบาท เหรียญบาท
จํานวน
เหรียญ
จํานวน
เงิน
จํานวน
เหรียญ
จํานวน
เงิน
จํานวน
เหรียญ
จํานวน
เงิน
รวมเงินทั้งหมด
1
10
10
9
10
100
100
90
2
4
6
8
10
20
30
40
21
10
8
7
21
10
8
7
10 + 10 + 21 = 41 นอยไป
100 + 20 + 10 = 130 นอยไป
100 + 30 + 8 = 138 มากไป
90 + 40 + 7 = 137 พอดี
8
7
6
5
80
70
60
50
10
13
15
17
50
65
75
85
6
4
3
2
6
4
3
2
80 + 50 + 6 = 136 นอยไป
70 + 65 + 4 = 139 มากไป
60 + 75 + 3 = 138 มากไป
50 + 85 + 2 = 137 พอดี
2. สรางแบบจําลองทางคณิตศาสตรโดยใชสมการ
ให x แทนจํานวนเหรียญบาท
y แทนจํานวนเหรียญหาบาท
z แทนจํานวนเหรียญสิบบาท
จะไดระบบสมการ
x + y + z = 24 -------------- 1
x + 5y + 10z = 137 -------------- 2
จากสมการ 2 พิจารณาไดวา
จาก 5y ไมวา y จะเปนจํานวนนับใด เลขโดดที่อยูในหลักหนวยของผลคูณจะตอง
เปน 5 หรือ 0 เทานั้น
และจาก 10z ไมวา z จะเปนจํานวนนับใด เลขโดดที่อยูในหลักหนวยของผลคูณจะตอง
เปน 0 เสมอ
- 19. 61
ดังนั้น ผลบวก x + 5y + 10z จะเทากับ 137 ได ก็ตอเมื่อ เหรียญบาทจะตองเปน
2 เหรียญ หรือ 7 เหรียญเทานั้น
1) จากการวิเคราะหขางตน ในกรณีมีเหรียญบาท 2 เหรียญ
เมื่อแทน x ดวย 2 ในสมการ 1 และ 2 จะไดระบบสมการเชิงเสนสองตัวแปรเปน
2 + y + z = 24 --------- 3
2 + 5y + 10z = 137 --------- 4
จาก 3 ; y + z = 22 --------- 5
จาก 4 ; 5y + 10z = 135 --------- 6
จากการแกระบบสมการที่ประกอบดวยสมการ 5 และ 6 จะได y = 17 และ z = 5
จากการตรวจสอบ จะไดคําตอบของระบบสมการเปนเหรียญบาท 2 เหรียญ
เหรียญหาบาท 17 เหรียญ และเหรียญสิบบาท 5 เหรียญ
2) จากการวิเคราะหขางตน ในกรณีมีเหรียญบาท 7 เหรียญ
เมื่อแทน x ดวย 7 ในสมการ 1 และ 2 จะไดระบบสมการเชิงเสนสองตัวแปรเปน
7 + y + z = 24 --------- 3
7 + 5y + 10z = 137 --------- 4
จาก 3 ; y + z = 17 --------- 5
จาก 4 ; 5y + 10z = 130 --------- 6
จากการแกระบบสมการที่ประกอบดวยสมการ 5 และ 6 จะได y = 8 และ z = 9
จากการตรวจสอบ จะไดคําตอบของระบบสมการเปนเหรียญบาท 7 เหรียญ
เหรียญหาบาท 8 เหรียญ และเหรียญสิบบาท 9 เหรียญ
2. เผือกฉาบราคาถุงละ 25 บาท
ทุเรียนทอดราคาถุงละ 75 บาท
ตัวอยางแนวคิด
1. สรางแบบจําลองทางคณิตศาสตรโดยใชสมการ
ให เผือกฉาบราคาถุงละ x บาท
ทุเรียนทอดราคาถุงละ y บาท
- 20. 62
จะไดระบบสมการ
5x + 10y = 875 ------------- 1
10x + 5y = 625 ------------- 2
เมื่อแกระบบสมการและตรวจสอบคําตอบจะได
เผือกฉาบราคาถุงละ 25 บาท และทุเรียนทอดราคาถุงละ 75 บาท
2. ใชการคาดเดาและตรวจสอบโดยพิจารณาจํานวนถุงและจํานวนเงินที่จารุวรรณซื้อมา
ดังนี้
เผือกฉาบ ทุเรียนทอด
จํานวน
ถุง
ราคา
ถุงละ
รวม
เงิน
จํานวน
ถุง
ราคา
ถุงละ
รวม
เงิน
รวมเงินทั้งหมด
5
5
5
5
30
30
30
25
150
150
150
125
10
10
10
10
60
70
75
75
600
700
750
750
150 + 600 = 750 นอยไป
150 + 700 = 850 นอยไป
150 + 750 = 900 มากไป
125 + 750 = 875 พอดี
ตรวจสอบคําตอบกับจํานวนถุงและจํานวนเงินที่นวลจันทรซื้อมา
จะได (10 × 25) + (5 × 75) = 250 + 375 = 625 บาท ซึ่งสอดคลองกับเงื่อนไขในโจทย
ดังนั้น ราคาเผือกฉาบถุงละ 25 บาท และทุเรียนทอดราคาถุงละ 75 บาท
กิจกรรมชุดที่ 5
คําตอบกิจกรรม “ลัดขั้นตอน”
1. 3 ≈ 1.732
2. 20 ≈ 4.472
3. 115 ≈ 10.72
- 21. 63
กิจกรรมชุดที่ 6
คําตอบกิจกรรม “พื้นที่ใตกราฟ”
7.
จํานวนสวนแบงระยะ
2 หนวยบนแกน X
พื้นที่ของแทงสี่เหลี่ยมมุมฉากทั้งหมด
(ตารางหนวย)
4 1.75
8 2.1875
16 2.422
8. ประมาณ 2.422 ตารางหนวย ( เมื่อแบงระยะ 2 หนวยบนแกน X ออกเปน 16 สวน เทา ๆ กัน)
9. ประมาณ 10.156 ตารางหนวย (เมื่อแบงระยะ 0 ถึง 2 บนแกน X ออกเปน 16 สวน เทา ๆ กัน)
แนวคิด เนื่องจากพาราโบลาที่กําหนดใหเปนรูปสมมาตรและมีแกน Y เปนแกนสมมาตร
จึงคํานวณหาพื้นที่สวนที่แรเงาเพียงครึ่งรูปทางขวาของแกนสมมาตรกอน
โดยแบงระยะ 0 ถึง 2 บนแกน X ออกเปน 16 สวน
เทา ๆ กัน จะไดจุดแบงบนระยะ 0 ถึง 2
15 จุด และไดคูอันดับ (x, y) ที่สอดคลองกับสมการ
y = -x2
+ 4 ดังนี้
x 1
8
2
8
3
8
4
8
5
8
6
8
7
8
8
8
y = 4 – x2 255
64
252
64
247
64
240
64
231
64
220
64
207
64
192
64
9
8
10
8
11
8
12
8
13
8
14
8
15
8
175
64
156
64
135
64
112
64
87
64
60
64
31
64
เนื่องจากแทงสี่เหลี่ยมมุมฉากแตละแทงมีความกวางเปน 1
8 หนวย
y = -x2
+ 4
4
2-2 X
Y
0
- 22. 64
จะไดพื้นที่สวนที่แรเงาทั้งหมดเทากับ 2 × 1
8
× 1
64 (255 + 252 + 247 + 240 + 231 + 220 +
207 + 192 + 175 + 156 + 135 + 112 + 87 + 60 + 31)
= 1
256 × 2,600
≈ 10.156 ตารางหนวย
คําตอบกิจกรรม “ใจเย็น ๆ คอย ๆ คิด”
1. ปุยขนาด 5 กิโลกรัม 3 ถุง และปุยขนาด 3 กิโลกรัม 1 ถุง
แนวคิด ใชการคาดเดาและตรวจสอบโดยใชตารางวิเคราะหดังนี้
ขนาด 5 กิโลกรัม ขนาด 3 กิโลกรัม รวม
จํานวนกิโลกรัม จํานวนเงิน จํานวนกิโลกรัม จํานวนเงิน จํานวนกิโลกรัม จํานวนเงิน
1 × 5 = 5
3 × 5 = 15
2 × 5 = 10
20
60
40
4 × 3 = 12
1 × 3 = 3
3 × 3 = 9
60
15
45
17
18
19
80
75
85
จากตาราง จะเห็นวาถาซื้อปุย 17 กิโลกรัม จะตองจายเงิน 80 บาท ซึ่งเปนเงินที่มากกวา
ซื้อปุย 18 กิโลกรัม โดยจายเงินนอยที่สุดเพียง 75 บาท
(ไดของมากกวา แตจายเงินนอยกวา)
2. 6, 9, 12, 15, 17, 20, 23, 24, 27, 28, 30, 31, 35, 38, 39, 42, 45, 46, 53 และ 60
แนวคิด โดยใชการแจงนับคะแนน ดังนี้
2 + 2 + 2 = 6
2 + 2 + 5 = 9
2 + 2 + 13 = 17
2 + 2 + 20 = 24
2 + 5 + 5 = 12
2 + 5 + 13 = 20
2 + 5 + 20 = 27
2 + 13 + 13 = 28
2 + 13 + 20 = 35
2 + 20 + 20 = 42
- 23. 65
5 + 5 + 5 = 15
5 + 5 + 13 = 23
5 + 5 + 20 = 30
5 + 13 + 13 = 31
5 + 13 + 20 = 38
5 + 20 + 20 = 45
13 + 13 + 13 = 39
13 + 13 + 20 = 46
13 + 20 + 20 = 53
20 + 20 + 20 = 60
3. 9 แบบ
แนวคิด แยกพิจารณาเปนกรณีดังนี้
1. แลกธนบัตรเปนเหรียญแบบเดียวกัน
2. แลกธนบัตรเปนเหรียญสองชนิดที่ตางกัน
3. แลกธนบัตรเปนเหรียญสามชนิดที่แตกตางกัน
ผลพิจารณาไดดังตาราง
จํานวนเหรียญสิบบาท จํานวนเหรียญหาบาท จํานวนเหรียญบาท
2 0 0
1 2 0
1 1 5
1 0 10
0 4 0
0 3 5
0 2 10
0 1 15
0 0 20
- 24. 66
4. ความยาวของริบบิ้นที่ตัดเปนสามสวนที่เปนไปได คือ
6, 3, 1 ฟุต
6, 2, 2 ฟุต
5, 4, 1 ฟุต
5, 3, 2 ฟุต
4, 4, 2 ฟุต
4, 3, 3 ฟุต
5.
1) เปนไปได
แนวคิด ผูที่วางแผนตองการชนะจะตองใหฝายตรงขามเปนผูเลนคนแรกที่หยิบกอน
โดยผูเลนคนแรกจะหยิบตุกตา 1 ตัวหรือ 2 ตัว ก็ได แตผูวางแผนจะตองหยิบ
ตุกตาใหครบเปนตัวที่สามของแตละรอบที่หยิบ
ตัวอยางการหยิบ
ตุกตาตัวที่ 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10
ผูวางแผน
ผูเลน
ในกรณีที่ผูวางแผนตองหยิบเปนคนแรก ผูวางแผนจะตองพยายามหยิบใหไดตุกตาตัวที่ 3
หรือตัวที่ 6 ซึ่งจะทําใหหยิบไดตัวที่ 9 จึงจะชนะ
2)
แนวคิด ผูวางแผนจะตองเลนเปนคนแรกโดยหยิบตุกตาเพียง 1 ตัวในครั้งแรก และ
ตองพยายามใหเหลือตุกตาเปนจํานวนที่ 3 หารลงตัว เชน หลังจากผูวางแผน
หยิบตุกตาตัวแรกแลว เมื่อฝายตรงขามหยิบตุกตา 1 ตัว ผูวางแผนตองหยิบ
2 ตัว เพื่อใหไดผลรวมของตุกตาเปน 3 ตัว และเหลือตุกตาอีก 6 ตัว
แพ
- 25. 67
ตัวอยางการหยิบ
ตุกตาตัวที่ 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10
ผูวางแผน
ผูเลน
ในกรณีที่ผูวางแผนตองหยิบเปนคนที่สอง ผูวางแผนจะตองพยายามหยิบใหไดตุกตาตัวที่ 4
หรือตัวที่ 7 ซึ่งจะทําใหหยิบไดตัวที่ 10 จึงจะ ชนะ
6. -31 กับ -21 หรือ 21 กับ 31
7. 7 ขอ
แนวคิด ใหจํานวนขอที่ทําถูกมี x ขอ ดังนั้นคะแนนที่ไดคือ 5x
จํานวนขอที่ทําผิดมี y ขอ ดังนั้นคะแนนที่ไดคือ -2y
จากโจทยจะไดระบบสมการ
x + y = 10 ---------------- 1
5x - 2y = 29 ---------------- 2
8. หมายเลข 27 ไดรับหมวก
หมายเลข 41 ไดรับเสื้อยืด
หมายเลข 62 ไดรับกระเปา
9. ปอเลนระนาด จิมเลนขิม แจคเลนจะเข ปองเลนซอ
การพิจารณาอาจใชขอมูลประกอบกับตารางวิเคราะหหาคําตอบดังนี้
ขิม ซอ จะเข ระนาด
ปอ
จิม
แจค
ปอง
ชื่อ
เครื่องดนตรี
ที่เลน
ชนะ
- 27. 69
คําตอบกิจกรรม “บอกไดไหม”
1.
1) 0.309
2) 0.866
3) 1.664
4) 0.995
5) 0.906
6) 3.078
2.
1) 35o
2) 75o
3) 60o
4) 45o
5) 37o
6) 58o
คําตอบกิจกรรม “ลองหาดู”
1. 2.5 หนวย
2. BC ยาว 3.125 หนวย และ AC ยาว 5.076 หนวย
3. X
∧
= 20o
, Z
∧
= 70o
และ XY = 9.4 หนวย
คําตอบกิจกรรม “ลองคิดดู”
1. AB ยาว 13.848 เซนติเมตร และ CE ยาว 10.152 เซนติเมตร
2. 18.64 เมตร
3. บันไดทํามุมกับพื้นดินประมาณ 52 องศา
กําแพงสูงประมาณ 5.12 เมตร
4. ประมาณ 101.43 เมตร
- 28. 70
คําตอบกิจกรรม “คิด”
ประมาณ 6.763 ตารางหนวย
แนวคิด เนื่องจาก DAF
∧
= FAE
∧
= EAB
∧
= 90
3 = 30o
จะไดวา ∆ ABE ≅ ∆ ADF (ม.ด.ม.)
ดังนั้น พื้นที่ของรูป AFCE = พื้นที่ของสี่เหลี่ยมจัตุรัส ABCD – 2 (พื้นที่ของ ∆ ABE)
เนื่องจาก BE = AB ( tan EAB
∧
)
= 4 tan 30o
= 4 ×
3
3 = 4 3
3 หนวย
ดังนั้น พื้นที่ของ ∆ ABE = 1
2 × 4 ×
4 3
3
= 8 33 ตารางหนวย
และ พื้นที่ของสี่เหลี่ยมจัตุรัส ABCD = 4 × 4 = 16 ตารางหนวย
ดังนั้น พื้นที่ของรูป AFCE = 16 – 2
8
32
= 16 – 16 33 ตารางหนวย
≈ 16 –
16
1.7323 ×
≈ 6.763 ตารางหนวย
นั่นคือ สวนที่แรเงามีพื้นที่ประมาณ 6.763 ตารางหนวย
คําตอบกิจกรรม “หอเอนเมืองปซา (Tower of Pisa)”
ประมาณ 5 องศา