Download free for 30 days
Sign in
Upload
Language (EN)
Support
Business
Mobile
Social Media
Marketing
Technology
Art & Photos
Career
Design
Education
Presentations & Public Speaking
Government & Nonprofit
Healthcare
Internet
Law
Leadership & Management
Automotive
Engineering
Software
Recruiting & HR
Retail
Sales
Services
Science
Small Business & Entrepreneurship
Food
Environment
Economy & Finance
Data & Analytics
Investor Relations
Sports
Spiritual
News & Politics
Travel
Self Improvement
Real Estate
Entertainment & Humor
Health & Medicine
Devices & Hardware
Lifestyle
Change Language
Language
English
Español
Português
Français
Deutsche
Cancel
Save
Submit search
EN
Uploaded by
กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ โรงเรียนอุตรดิตถ์
4,344 views
Basic m5-1-chapter1
Education
◦
Read more
3
Save
Share
Embed
Embed presentation
Download
Downloaded 32 times
1
/ 77
2
/ 77
3
/ 77
4
/ 77
5
/ 77
6
/ 77
7
/ 77
8
/ 77
9
/ 77
10
/ 77
11
/ 77
12
/ 77
13
/ 77
14
/ 77
15
/ 77
16
/ 77
17
/ 77
18
/ 77
19
/ 77
20
/ 77
21
/ 77
22
/ 77
23
/ 77
24
/ 77
25
/ 77
26
/ 77
27
/ 77
28
/ 77
29
/ 77
30
/ 77
31
/ 77
32
/ 77
33
/ 77
34
/ 77
35
/ 77
36
/ 77
37
/ 77
38
/ 77
39
/ 77
40
/ 77
41
/ 77
42
/ 77
43
/ 77
44
/ 77
45
/ 77
46
/ 77
47
/ 77
48
/ 77
49
/ 77
50
/ 77
51
/ 77
52
/ 77
53
/ 77
54
/ 77
55
/ 77
56
/ 77
57
/ 77
58
/ 77
59
/ 77
60
/ 77
61
/ 77
62
/ 77
63
/ 77
64
/ 77
65
/ 77
66
/ 77
67
/ 77
68
/ 77
69
/ 77
70
/ 77
71
/ 77
72
/ 77
73
/ 77
74
/ 77
75
/ 77
76
/ 77
77
/ 77
More Related Content
PDF
4. โจทย์ปัญหาการซื้อขาย กำไร ขาดทุน
by
Apirak Potpipit
PDF
ลำดับเลขคณิต (Arithmetic sequence)
by
นายสมพร เหล่าทองสาร โรงเรียนดงบังพิสัยนวการนุสรณ์ อำเภอนาดูน จังหวัดมหาสารคาม
PDF
แบบทดสอบหลังเรียน ห.ร.ม. และ ค.ร.น.
by
kanjana2536
PDF
แสงและทัศน์ปกรณ์
by
Chakkrawut Mueangkhon
PDF
แบบฝึกการแยกโจทย์ปัญหาบวกลบ ป. 4 6
by
ทับทิม เจริญตา
DOCX
ประวัติของการถนอมอาหาร
by
Nongploy Siriporn
PDF
แบบทดสอบ เรื่อง การถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม
by
Jariya Jaiyot
PDF
การหางานจากพื้นที่ใต้กราฟ
by
jirupi
4. โจทย์ปัญหาการซื้อขาย กำไร ขาดทุน
by
Apirak Potpipit
ลำดับเลขคณิต (Arithmetic sequence)
by
นายสมพร เหล่าทองสาร โรงเรียนดงบังพิสัยนวการนุสรณ์ อำเภอนาดูน จังหวัดมหาสารคาม
แบบทดสอบหลังเรียน ห.ร.ม. และ ค.ร.น.
by
kanjana2536
แสงและทัศน์ปกรณ์
by
Chakkrawut Mueangkhon
แบบฝึกการแยกโจทย์ปัญหาบวกลบ ป. 4 6
by
ทับทิม เจริญตา
ประวัติของการถนอมอาหาร
by
Nongploy Siriporn
แบบทดสอบ เรื่อง การถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม
by
Jariya Jaiyot
การหางานจากพื้นที่ใต้กราฟ
by
jirupi
What's hot
PDF
ข้อสอบคณิตศาสตร์ ม.1 เทอม 1 ชุดที่ 1
by
คุณครูพี่อั๋น
PDF
แนวข้อสอบภาค ก กทม.
by
ประพันธ์ เวารัมย์
PDF
ข้อสอบคณิตศาสตร์ ม.2 เทอม 1 ชุดที่ 2
by
คุณครูพี่อั๋น
PDF
เฉลยเอกสารประกอบสื่อสังคมออนไลน์เรื่องคลื่นกลและเสียง
by
โรงเรียนเทพลีลา
PDF
02แบบฝึกพลังงาน
by
Phanuwat Somvongs
PDF
สถิติ_9วิชาสามัญ(55-58)
by
Thanuphong Ngoapm
PDF
พันธุกรรม
by
IzmHantha
PDF
ตัวอย่างภาพการเกิดงาน และพลังงาน
by
krupornpana55
PPTX
คำไวพจน์
by
Jean Arjarasiri
PDF
แนวข้อสอบ ป.4
by
Chutima Muangmueng
PDF
การศึกษารายกรณี ครูธัญญา ซื่อตรง
by
Kru Tew Suetrong
PDF
03แบบฝึกกฎการอนุรักษ์พลังงานกล
by
Phanuwat Somvongs
PDF
ลำดับเลขคณิต
by
นายสมพร เหล่าทองสาร โรงเรียนดงบังพิสัยนวการนุสรณ์ อำเภอนาดูน จังหวัดมหาสารคาม
PDF
เอกสารประกอบ เรื่อง สภาพสมดุลและสภาพยืดหยุ่น
by
Wijitta DevilTeacher
PDF
รวมเล่มแผนการสอน ฟิสิกส์2
by
Wijitta DevilTeacher
PPT
เฉลยโจทย์
by
Pipat Chooto
PDF
ข้อสอบ O net คณิตศาสตร์ (ประถม)
by
นิรุทธิ์ อุทาทิพย์
PPT
วิถีไทย
by
maerimwittayakom school
DOC
ข้อสอบฟุตซอล ม. 4
by
preecha2001
DOC
แบบทดสอบประวัติศาสตร์
by
วิพร มาตย์นอก
ข้อสอบคณิตศาสตร์ ม.1 เทอม 1 ชุดที่ 1
by
คุณครูพี่อั๋น
แนวข้อสอบภาค ก กทม.
by
ประพันธ์ เวารัมย์
ข้อสอบคณิตศาสตร์ ม.2 เทอม 1 ชุดที่ 2
by
คุณครูพี่อั๋น
เฉลยเอกสารประกอบสื่อสังคมออนไลน์เรื่องคลื่นกลและเสียง
by
โรงเรียนเทพลีลา
02แบบฝึกพลังงาน
by
Phanuwat Somvongs
สถิติ_9วิชาสามัญ(55-58)
by
Thanuphong Ngoapm
พันธุกรรม
by
IzmHantha
ตัวอย่างภาพการเกิดงาน และพลังงาน
by
krupornpana55
คำไวพจน์
by
Jean Arjarasiri
แนวข้อสอบ ป.4
by
Chutima Muangmueng
การศึกษารายกรณี ครูธัญญา ซื่อตรง
by
Kru Tew Suetrong
03แบบฝึกกฎการอนุรักษ์พลังงานกล
by
Phanuwat Somvongs
ลำดับเลขคณิต
by
นายสมพร เหล่าทองสาร โรงเรียนดงบังพิสัยนวการนุสรณ์ อำเภอนาดูน จังหวัดมหาสารคาม
เอกสารประกอบ เรื่อง สภาพสมดุลและสภาพยืดหยุ่น
by
Wijitta DevilTeacher
รวมเล่มแผนการสอน ฟิสิกส์2
by
Wijitta DevilTeacher
เฉลยโจทย์
by
Pipat Chooto
ข้อสอบ O net คณิตศาสตร์ (ประถม)
by
นิรุทธิ์ อุทาทิพย์
วิถีไทย
by
maerimwittayakom school
ข้อสอบฟุตซอล ม. 4
by
preecha2001
แบบทดสอบประวัติศาสตร์
by
วิพร มาตย์นอก
Similar to Basic m5-1-chapter1
PDF
คณิตเพิ่ม ม6 เล่ม2 - บทที่ 1
by
บุรเศรษฐ์ อุทธา
PPT
ลำดับ
by
เนตร
PPT
ลำดับ11
by
อรุณศรี
PDF
สรุปเนื้อหา O- net ม.6
by
sensehaza
PDF
Sequence1
by
Thanuphong Ngoapm
PDF
เจาะลึกแนวข้อสอบPat1 พร้อมสรุปสูตรและทฤษฎีครบทุกบท
by
Tutor Ferry
PDF
เจาะลึกการออกข้อสอบ Pat1 คณิตศาสตร์พร้อมสรุปสูตรและทฤษฎีครบทุกบท
by
Chokchai Taveecharoenpun
PDF
9789740333005
by
CUPress
PDF
Exponential and logarithm function
by
Thanuphong Ngoapm
PDF
Pat1 54-10+key
by
Sutthi Kunwatananon
PDF
Add m5-2-chapter3
by
กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ โรงเรียนอุตรดิตถ์
PDF
Pat1 52-03+key
by
Sutthi Kunwatananon
PDF
Basic m5-1-chapter2
by
กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ โรงเรียนอุตรดิตถ์
PDF
Add m5-1-chapter1
by
กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ โรงเรียนอุตรดิตถ์
PDF
Pat1 53-03+key
by
Sutthi Kunwatananon
PPT
Real (1)
by
guest0cb30c2
PDF
Calculus1
by
eakbordin
PDF
Realnumbers
by
jariya221
PDF
9789740333005
by
CUPress
PDF
Pat1 52-07+key
by
Sutthi Kunwatananon
คณิตเพิ่ม ม6 เล่ม2 - บทที่ 1
by
บุรเศรษฐ์ อุทธา
ลำดับ
by
เนตร
ลำดับ11
by
อรุณศรี
สรุปเนื้อหา O- net ม.6
by
sensehaza
Sequence1
by
Thanuphong Ngoapm
เจาะลึกแนวข้อสอบPat1 พร้อมสรุปสูตรและทฤษฎีครบทุกบท
by
Tutor Ferry
เจาะลึกการออกข้อสอบ Pat1 คณิตศาสตร์พร้อมสรุปสูตรและทฤษฎีครบทุกบท
by
Chokchai Taveecharoenpun
9789740333005
by
CUPress
Exponential and logarithm function
by
Thanuphong Ngoapm
Pat1 54-10+key
by
Sutthi Kunwatananon
Add m5-2-chapter3
by
กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ โรงเรียนอุตรดิตถ์
Pat1 52-03+key
by
Sutthi Kunwatananon
Basic m5-1-chapter2
by
กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ โรงเรียนอุตรดิตถ์
Add m5-1-chapter1
by
กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ โรงเรียนอุตรดิตถ์
Pat1 53-03+key
by
Sutthi Kunwatananon
Real (1)
by
guest0cb30c2
Calculus1
by
eakbordin
Realnumbers
by
jariya221
9789740333005
by
CUPress
Pat1 52-07+key
by
Sutthi Kunwatananon
More from กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ โรงเรียนอุตรดิตถ์
PDF
Basic m5-2-chapter2
by
กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ โรงเรียนอุตรดิตถ์
PDF
Basic m2-2-chapter1
by
กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ โรงเรียนอุตรดิตถ์
PDF
Basic m4-2-chapter1
by
กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ โรงเรียนอุตรดิตถ์
PDF
Basic m4-1-chapter3
by
กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ โรงเรียนอุตรดิตถ์
PDF
Basic m4-2-chapter2
by
กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ โรงเรียนอุตรดิตถ์
PDF
Basic m3-1-chapter3
by
กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ โรงเรียนอุตรดิตถ์
PDF
Basic m4-1-chapter2
by
กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ โรงเรียนอุตรดิตถ์
PDF
Basic m3-2-chapter4
by
กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ โรงเรียนอุตรดิตถ์
PDF
Basic m4-1-chapter4
by
กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ โรงเรียนอุตรดิตถ์
PDF
Basic m3-1-chapter2
by
กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ โรงเรียนอุตรดิตถ์
PDF
Basic m3-2-chapter2
by
กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ โรงเรียนอุตรดิตถ์
PDF
Basic m4-1-chapter1
by
กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ โรงเรียนอุตรดิตถ์
PDF
Basic m5-2-chapter3
by
กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ โรงเรียนอุตรดิตถ์
PDF
Basic m5-2-chapter1
by
กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ โรงเรียนอุตรดิตถ์
PDF
Basic m3-2-chapter3
by
กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ โรงเรียนอุตรดิตถ์
PDF
Basic m4-1-link
by
กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ โรงเรียนอุตรดิตถ์
PDF
Basic m5-1-link
by
กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ โรงเรียนอุตรดิตถ์
PDF
Basic m3-2-link
by
กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ โรงเรียนอุตรดิตถ์
PDF
Basic m5-2-link
by
กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ โรงเรียนอุตรดิตถ์
PDF
Basic m4-2-link
by
กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ โรงเรียนอุตรดิตถ์
Basic m5-2-chapter2
by
กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ โรงเรียนอุตรดิตถ์
Basic m2-2-chapter1
by
กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ โรงเรียนอุตรดิตถ์
Basic m4-2-chapter1
by
กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ โรงเรียนอุตรดิตถ์
Basic m4-1-chapter3
by
กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ โรงเรียนอุตรดิตถ์
Basic m4-2-chapter2
by
กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ โรงเรียนอุตรดิตถ์
Basic m3-1-chapter3
by
กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ โรงเรียนอุตรดิตถ์
Basic m4-1-chapter2
by
กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ โรงเรียนอุตรดิตถ์
Basic m3-2-chapter4
by
กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ โรงเรียนอุตรดิตถ์
Basic m4-1-chapter4
by
กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ โรงเรียนอุตรดิตถ์
Basic m3-1-chapter2
by
กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ โรงเรียนอุตรดิตถ์
Basic m3-2-chapter2
by
กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ โรงเรียนอุตรดิตถ์
Basic m4-1-chapter1
by
กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ โรงเรียนอุตรดิตถ์
Basic m5-2-chapter3
by
กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ โรงเรียนอุตรดิตถ์
Basic m5-2-chapter1
by
กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ โรงเรียนอุตรดิตถ์
Basic m3-2-chapter3
by
กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ โรงเรียนอุตรดิตถ์
Basic m4-1-link
by
กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ โรงเรียนอุตรดิตถ์
Basic m5-1-link
by
กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ โรงเรียนอุตรดิตถ์
Basic m3-2-link
by
กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ โรงเรียนอุตรดิตถ์
Basic m5-2-link
by
กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ โรงเรียนอุตรดิตถ์
Basic m4-2-link
by
กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ โรงเรียนอุตรดิตถ์
Basic m5-1-chapter1
1.
บทที่ 1 ลําดับและอนุกรม ( 18
ชั่วโมง ) ลําดับและอนุกรมที่จะกลาวถึงในบทนี้ จะเปนเรื่องเกี่ยวกับการหาพจนทั่วไปของ ลําดับที่สามารถหาพจนทั่วไปไดงาย ลําดับเลขคณิต ลําดับเรขาคณิต อนุกรมเลขคณิต และอนุกรมเรขาคณิต รวมทั้งโจทยที่แสดงใหเห็นการนําความรูในเรื่องที่กลาวมาไปใช ในการแกปญหาที่เกี่ยวของกับชีวิตประจําวัน ผลการเรียนรูที่คาดหวัง 1. เขาใจความหมายของลําดับ และหาพจนทั่วไปของลําดับจํากัดที่กําหนดใหได 2. เขาใจความหมายของลําดับเลขคณิตและลําดับเรขาคณิต หาพจนตาง ๆ ของลําดับ เลขคณิตและลําดับเรขาคณิตได 3. เขาใจความหมายของผลบวก n พจนแรกของอนุกรมเลขคณิต และอนุกรมเรขาคณิต 4. หาผลบวก n พจนแรกของอนุกรมเลขคณิต และอนุกรมเรขาคณิต โดยใชสูตรและ นําไปใชได ผลการเรียนรูดังกลาวเปนผลการเรียนรูที่สอดคลองกับมาตรฐานการเรียนรู ชวงชั้นทางดานความรู ในการเรียนการสอนทุกครั้งผูสอนตองคํานึงถึงมาตรฐานการเรียนรู ทางดานทักษะและกระบวนการทางคณิตศาสตรที่จําเปนและสอดแทรกกิจกรรมปญหา หรือคําถามที่เสริมสรางทักษะกระบวนการเหลานั้นดวย นอกจากนั้นควรปลูกฝงใหผูเรียน ทํางานอยางเปนระบบ มีระเบียบวินัย รอบคอบ มีความรับผิดชอบมีวิจารณญาณและมี ความเชื่อมั่นในตัวเอง
2.
2 ขอเสนอแนะ 1. การกําหนดลําดับอาจจะกําหนดโดยพจนทั่วไปหรือกําหนดโดยการแจงพจน การกําหนดลําดับโดยการแจงพจนแลวใหหาพจนทั่วไปของลําดับนั้น อาจหาพจนทั่วไปได ตางกันและทําใหลําดับนั้นเปนลําดับที่ตางกันดวย
กลาวคือ ลําดับที่ตางกันอาจจะมีพจนตน ๆ เหมือนกัน เชน (1) 1, 2 1 , 3 1 , ..., n 1 , ... เมื่อ n = 4 จะไดพจนที่ 4 เทากับ 4 1 และ 1, 2 1 , 3 1 , ..., 6n12n6n 1 23 −+− , ... เมื่อ n = 4 จะไดพจนที่ 4 เทากับ 1 10 (2) 1 1 1 , , 2 4 8 , ..., n 1 2 , ... เมื่อ n = 4 จะไดพจนที่ 4 เทากับ 1 16 และ 1 1 1 , , 2 4 8 , ..., 2 6 (n 1)(n n 6)+ − + , ... เมื่อ n = 4 จะไดพจนที่ 4 เทากับ 1 15 ในหนังสือเรียนไดกลาวถึงการหาพจนทั่วไปของลําดับเมื่อกําหนดลําดับ โดยการแจงพจน เนื่องจากตองการใหผูเรียนไดฝกการสรุปกฎเกณฑ ดังนั้นในการออกขอสอบใหหาพจนทั่วไป ถาผูสอนกําหนดใหหาพจนทั่วไปของ ลําดับอนันตจะตองระวังวาคําตอบอาจจะตางกันแตเปนคําตอบที่ถูกตองทั้งหมด
3.
3 2. การหาพจนทั่วไปของลําดับที่กําหนดเฉพาะพจนตน ๆ
ให แลวจึงหาพจน ทั่วไปโดยการพิจารณาความสัมพันธระหวาง an กับ n แลวสรุปเปนกฎเกณฑ ผูสอนควร เริ่มจากลําดับที่สามารถสังเกตเห็นความสัมพันธระหวาง an กับ n ไดงายโดยอาจเริ่มตนจาก ตัวอยางดังนี้ (1) กําหนดลําดับ 2, 4, 8, 16, ... ให เปลี่ยนรูปแตละพจนเพื่อหาความสัมพันธระหวาง an และ n ไดดังนี้ a1 = 2 = 21 a2 = 4 = 22 a3 = 8 = 23 a4 = 16 = 24 จะได an = 2n (2) กําหนดลําดับ 1, 3, 7, 15, ... ให เปลี่ยนรูปแตละพจนเพื่อหาความสัมพันธระหวาง an กับ n ไดดังนี้ a1 = 1 = 2 – 1 = 21 – 1 a2 = 3 = 4 – 1 = 22 – 1 a3 = 7 = 8 – 1 = 23 – 1 a4 = 15 = 16 – 1 = 24 – 1 จากความสัมพันธขางตน จะได an = 2n – 1 (3) กําหนดลําดับ 1, 2 1 , 6 1 , 24 1 , ... ให เปลี่ยนรูปแตละพจนเพื่อหาความสัมพันธระหวาง an กับ n ดังนี้ a1 = 1 = 1 1 a2 = 2 1 = 21 1 ⋅ a3 = 6 1 = 321 1 ⋅⋅ a4 = 24 1 = 4321 1 ⋅⋅⋅ จากความสัมพันธขางตน จะได an = n...321 1 ⋅⋅⋅⋅
4.
4 จากตัวอยางที่กลาวมาจะเห็นวา การหาพจนทั่วไปของลําดับที่กําหนดใหจะเปน ตัวอยางที่ไมซับซอน เนื่องจากไมไดใหความสําคัญของการหาพจนทั่วไป
เพียงแตตองการ ใหผูสอนเห็นตัวอยางการสอนที่ทําใหผูเรียนสามารถหาพจนทั่วไปของลําดับที่กําหนดให ไดเทานั้น ทั้งนี้ ผูสอนไมควรเนนวิธีการที่กลาวมาโดยการหาตัวอยางที่ซับซอนมากเกินไป เพียงแตหาโจทยที่เหมาะกับความสามารถของผูเรียนเพื่อใหผูเรียนฝกการสรุปกฎเกณฑโดย อาศัยการสังเกตจากพจนในลําดับที่กําหนดใหเทานั้น สําหรับผูเรียนที่มีความถนัดในวิชาคณิตศาสตรอาจมีขอสงสัยวา ถาลําดับที่ กําหนดใหไมสามารถหาพจนทั่วไปตามวิธีการที่กลาวมาไดจะมีวิธีการหาพจนทั่วไปของ ลําดับไดอยางไร ผูสอนอาจนําเสนอความรูเพิ่มเติมเรื่องการหาฟงกชันพหุนาม เพื่อนํามา เชื่อมโยงกับการหาพจนทั่วไปของลําดับได เนื่องจากลําดับก็เปนฟงกชันเชนกัน ดังนี้ ตัวอยางที่ 1 ให f(x) = 5x + 3 พิจารณาคาของ f(x) และผลตางของ f(x) เมื่อ x = 0, 1, 2, 3, 4, 5 ดังนี้ x 0 1 2 3 4 5 f(x) 3 8 13 18 23 28 ผลตางของคา f(x) 5 5 5 5 5 จากตัวอยางขางตน จะเห็นวา f เปนฟงกชันพหุนามดีกรี 1 และมีผลตางครั้งที่ หนึ่งเปนคาคงตัวที่เทากับ 5 ซึ่งไมเทากับศูนย
5.
5 ตัวอยางที่ 2 ให
f(x) = x2 + x + 3 พิจารณาคาของ f(x) และผลตางของ f(x) เมื่อ x = -1, 0, 1, 2, 3, 4, 5 ดังนี้ x -1 0 1 2 3 4 5 f(x) 3 3 5 9 15 23 33 ผลตางครั้งที่ 1 0 2 4 6 8 10 ผลตางครั้งที่ 2 2 2 2 2 2 จากตัวอยาง จะเห็นวา ฟงกชันที่กําหนดใหเปนฟงกชันพหุนามดีกรี 2 และมี ผลตางครั้งที่สองเปนคาคงตัวซึ่งไมเทากับศูนย ตัวอยางที่ 3 ให f(x) = 2x3 + x - 10 พิจารณาคาของ f(x) และผลตางของ f(x) เมื่อ x = 0, 1, 2, 3, 4, 5, 6 ดังนี้ x 0 1 2 3 4 5 6 f(x) -10 -7 8 47 122 245 428 ผลตางครั้งที่ 1 3 15 39 75 123 183 ผลตางครั้งที่ 2 12 24 36 48 60 ผลตางครั้งที่ 3 12 12 12 12 จากตัวอยาง จะเห็นวา ฟงกชันที่กําหนดใหเปนฟงกชันพหุนามดีกรี 3 และ ผลตางครั้งที่สามเปนคาคงตัวที่เทากับ 12 ซึ่งไมเทากับศูนย ในกรณีทั่วไป เชน เมื่อ f เปนฟงกชันพหุนามดีกรี 2
6.
6 ให f(x) =
ax2 + bx + c ผลตางครั้งที่ (1) ผลตางครั้งที่ (2) จะได f(1) = a + b + c f(2) = 4a + 2b + c f(3) = 9a + 3b + c f(4) = 16a + 4b + c f(5) = 25a + 5b + c จากตัวอยางขางตน จะเห็นวา ฟงกชันพหุนามกําลังสองมีผลตางของ f(x) ครั้งที่ 2 เปนคาคงตัวที่ไมเทากับศูนย สําหรับฟงกชันพหุนามอื่นที่มีดีกรีไมเทากับสอง ก็มีสมบัติขางตนที่เกี่ยวกับผลตางของคาของฟงกชันพหุนามเชนเดียวกัน สรุปวา เมื่อ f เปนฟงกชันพหุนามดีกรี n เมื่อ n ∈ {1, 2, 3, ...} ผลตางของ คาของฟงกชัน f ครั้งที่ n จะเปนคาคงตัวและไมเทากับศูนย ขอสรุปที่กลาวมานี้มีที่มา จากทฤษฎีบทที่มีชื่อวา Polynomial Difference Theorem ซึ่งกลาววา “ฟงกชัน f จะเปน ฟงกชันพหุนามดีกรีที่ n ก็ตอเมื่อ มีคา x ที่ทําใหผลตางของคาของฟงกชันครั้งที่ n เปน คาคงตัวที่ไมเทากับศูนย ซึ่งสวนมากจะใช x ที่เปนจํานวนที่เรียงถัดกัน เชน 1, 2, 3, 4, …” ตอไปจะพิจารณาคาของ f(x) ที่กําหนดให เพื่อพิจารณาวา f เปนฟงกชัน พหุนามหรือไม โดยใชขอสรุปจากทฤษฎีที่กลาวมาขางตน ดังตัวอยางตอไปนี้ ตัวอยางที่ 4 ให f เปนฟงกชัน จากคา x และ f(x) ที่กําหนดให จงพิจารณาวา f เปนฟงกชันพหุนามหรือไม โดยหาวา มีผลตางของคาของ ฟงกชัน f ที่เปนคาคงตัวที่ไมเทากับศูนยหรือไม x 1 2 3 4 5 f(x) 3 -3 -13 -27 -45 ผลตางครั้งที่ 1 -6 -10 -14 -18 ผลตางครั้งที่ 2 -4 -4 -4 จะไดวา ผลตางครั้งที่สองของคาของฟงกชัน f เปนคาคงตัวและไมเทากับศูนย สรุปไดวา f เปนฟงกชันพหุนามดีกรี 2 3a + b 5a + b 7a + b 9a + b 2a 2a 2a
7.
7 ตัวอยางที่ 5 จากตาราง
จงพิจารณาวา y เปนคาของฟงกชันพหุนามหรือไม และ ถาเปน จงหาดีกรีของฟงกชันพหุนามนั้น x 1 2 3 4 5 6 7 8 y 2 12 36 80 150 252 392 576 วิธีทํา จากตารางพิจารณาคาของ y และผลตางคาของ y ดังนี้ x 1 2 3 4 5 6 7 8 y 2 12 36 80 150 252 392 576 ผลตางครั้งที่ 1 10 24 44 70 102 140 184 ผลตางครั้งที่ 2 14 20 26 32 38 44 ผลตางครั้งที่ 3 6 6 6 6 6 จะพบวา ผลตางครั้งที่สามของคา y เปนคาคงตัวที่ไมเทากับศูนย สรุปไดวา y เปนคาของฟงกชันพหุนามดีกรี 3 จากตัวอยางที่กลาวมา จะเห็นไดวา จากคา x และ f(x) ที่กําหนดให ถาพบวา ผลตางของคา f(x) ครั้งที่ n เปนคาคงตัวที่ไมเทากับศูนยแลว f จะเปน ฟงกชันพหุนามดีกรี n แตจะยังไมสามารถบอกไดวา f คือ ฟงกชันใด ตัวอยาง ตอไปนี้จะแสดงวิธีการหาฟงกชัน f จากคา x และ f(x) ที่กําหนดให เมื่อไดขอสรุป วา f เปนฟงกชันพหุนามดีกรี n ตัวอยางที่ 6 กําหนดคาของ x และ f(x) ดังตาราง x 1 2 3 4 5 6 f(x) 1 4 10 20 35 56
8.
8 จากคาที่กําหนดให หาผลตางของ f(x)
ไดดังนี้ x 1 2 3 4 5 6 f(x) 1 4 10 20 35 56 ผลตางครั้งที่ 1 3 6 10 15 21 ผลตางครั้งที่ 2 3 4 5 6 ผลตางครั้งที่ 3 1 1 1 จะเห็นวา ผลตางครั้งที่สามของ f(x) เปนคาคงตัวที่ไมเทากับศูนย สรุปไดวา f เปนฟงกชันพหุนามดีกรี 3 จากขอสรุปขางตน จะหาฟงกชันพหุนาม f ไดโดย ให f(x) = ax3 + bx2 + cx + d จะหาคาของ a, b, c และ d ซึ่งเปนคาคงตัวไดดังนี้ เมื่อ x = 4 จะได f(4) = 20 นั่นคือ 64a + 16b + 4c + d = 20 ------------- (1) x = 3 จะได f(3) = 10 นั่นคือ 27a + 9b + 3c + d = 10 ------------- (2) x = 2 จะได f(2) = 4 นั่นคือ 8a + 4b + 2c + d = 4 ------------- (3) x = 1 จะได f(1) = 1 นั่นคือ a + b + c + d = 1 ------------- (4) (3) - (4) 7a + 3b + c = 3 ------------- (5) (2) - (3) 19a + 5b + c = 6 ------------- (6) (1) - (2) 37a + 7b + c = 10 ------------- (7) (7) - (6) 18a + 2b = 4 ------------- (8) (6) - (5) 12a + 2b = 3 ------------- (9)
9.
9 จาก (8) -
(9) จะได 6a = 1 หรือ a = 1 6 แทนคา a = 1 6 จะไดวา b = 1 2 , c = 1 3 และ d = 0 นั่นคือ f(x) = 1 6 1 2 1 3 3 2 x x x+ + สําหรับการหาพจนทั่วไปของลําดับที่กําหนดใหอาจทําไดโดยการใชสมบัติ ของฟงกชันพหุนามที่กลาวมาโดยสมมติพจนทั่วไปในรูปฟงกชันพหุนามใหดังนี้ an + b เมื่อผลตางของคาของฟงกชันครั้งที่ 1 เปนคาคงตัวที่ไมเทากับศูนย an2 + bn + c เมื่อผลตางของคาของฟงกชันครั้งที่ 2 เปนคาคงตัวที่ไมเทากับศูนย an3 + bn2 + cn + d เมื่อผลตางของคาของฟงกชันครั้งที่ 3 เปนคาคงตัวที่ไมเทากับศูนย สําหรับการตัดสินใจวา จะใชพหุนามดีกรีเทาใดขึ้นอยูกับการหาผลตาง ระหวางพจนในลําดับดังตัวอยางตอไปนี้ ตัวอยางที่ 7 จงหาพจนทั่วไปของลําดับจํากัดตอไปนี้ 1) 2, 4, 6, 8, 10 2) 1, 3, 7, 13 วิธีทํา 1) จากลําดับที่กําหนดหาผลตางระหวางสองพจนติดกันไดดังนี้ 2 4 6 8 10 ผลตางครั้งที่ 1 2 2 2 2 ผลตางครั้งที่หนึ่งเปนคาคงตัวที่เทากับ 2 ในกรณีนี้จะหาพจนทั่วไปของ ลําดับที่กําหนดให โดยให an = an + b จากนั้นจึงหา a และ b โดยแทนคาของ n และ an ไดดังนี้ a1 = 2 = a + b ---------- (1) a2 = 4 = 2a + b ---------- (2) a3 = 6 = 3a + b ---------- (3) a4 = 8 = 4a + b ---------- (4) a5 = 10 = 5a + b ---------- (5)
10.
10 จากสมการ (1) และ
(2) จะได a = 2, b = 0 และ an = 2n เมื่อทดลองแทน a, b ดวย 2 และ 0 ตามลําดับ ในสมการ (1) ถึง (5) ตามลําดับ จะพบวา สมการดังกลาวเปนจริง จะไดพจนทั่วไปของลําดับ 2, 4, 6, 8, 10 คือ an = 2n 2) จากลําดับที่กําหนดหาผลตางระหวางสองพจนติดกันไดดังนี้ 1 3 7 13 ผลตางครั้งที่ 1 2 4 6 ผลตางครั้งที่ 2 2 2 จะไดวา ผลตางครั้งที่สองคือ 2 เปนคาคงตัวที่ไมเทากับศูนย ให an = an2 + bn + c แทน n ในพจนทั่วไปดวย 1, 2, 3, 4 ไดดังนี้ 1 = a + b + c ---------- (1) 3 = 4a + 2b + c ---------- (2) 7 = 9a + 3b + c ---------- (3) 13 = 16a + 4b + c ---------- (4) แกระบบสมการเพื่อหา a, b และ c ไดดังนี้ (2) – (1) 2 = 3a + b ---------- (5) (3) – (2) 4 = 5a + b ---------- (6) (6) – (5) 2 = 2a หรือ a = 1 แทน a = 1 ใน (5) จะได b = –1 แทน a และ b ดวย 1 และ –1 ตามลําดับ ใน (1) จะได c = 1 ดังนั้น an = n2 – n + 1 ตรวจสอบโดยแทน n ดวย 1, 2, 3 และ 4 จะได a1, a2, a3 และ a4 ตามที่กําหนด แสดงวา พจนทั่วไปที่หาไดถูกตอง
11.
11 3. ในหนังสือเรียนไดกลาวถึงรายละเอียดของลําดับที่มีชื่อเฉพาะไวสองชนิด คือ ลําดับเลขคณิตและลําดับเรขาคณิต
นอกจากลําดับทั้งสองชนิดนี้แลวยังมีลําดับอื่นที่ มีชื่อเฉพาะซึ่งอาจจะตั้งชื่อตามลักษณะของลําดับนั้น ๆ หรือตั้งตามชื่อของนักคณิตศาสตร ที่เปนผูคนพบลําดับนั้น ซึ่งนักเรียนจะไดพบในการเรียนคณิตศาสตรระดับสูงตอไป ตัวอยางของลําดับที่มีชื่อเฉพาะเหลานั้นไดแก ลําดับฮารโมนิก (Harmonic sequence) คือ ลําดับซึ่งสวนกลับของพจนทุกพจน เปนลําดับเลขคณิต เชน 1, 2 1 , 3 1 , 4 1 , ..., n 1 , ... เปนลําดับฮารโมนิก เพราะวา 1, 2, 3, 4, ..., n, ... เปนลําดับเลขคณิต ลําดับสลับ (alternating sequence) คือ ลําดับซึ่งพจนที่ n กับพจนที่ n + 1 มีเครื่องหมายตรงขามกัน เชน 1, –1, 1, –1, ..., (–1)n–1 , ... –1, 2 1 , 3 1 − , 4 1 , ..., n )1( n − , ... ลําดับฟโบนักชี (Fibonacci sequence) เปนลําดับของจํานวนเต็มบวก ซึ่งมีสมบัติ วา an = an–2 + an–1, n ≥ 3 เชน 1, 1, 2, 3, 5, ... 1, 3, 4, 7, 11, ... ลําดับโคชี (Cauchy sequence) คือ ลําดับซึ่ง an – an–1 มีคาเขาใกลหรือเทากับ ศูนย เมื่อ n มีคามากขึ้นโดยไมมีที่สิ้นสุด เชน 1, 2 1 , 4 1 , 8 1 , ..., 1n 2 1 − , ... 1, 2 1 , 3 1 , 4 1 , ..., n 1 , ... 1, 1, 1, 1 , ..., 1 , ... ผูสอนอาจยกตัวอยางของลําดับที่กลาวมาเพิ่มเติมโดยพิจารณาจากความสามารถ ของผูเรียนเปนสําคัญ
12.
12 กิจกรรมเสนอแนะ สําหรับผูเรียนที่มีความสามารถในการเรียนวิชาคณิตศาสตรนอย ผูสอนอาจตองใช กิจกรรมที่มีรูปภาพประกอบเพื่อชวยใหผูเรียนสามารถหาขอสรุปในการหาพจนทั่วไปไดงาย ขึ้นดังนี้ กิจกรรมที่ 1 เนื้อหา
การหาพจนทั่วไปของลําดับ จุดประสงค เพื่อใหผูเรียนรูจักวิธีคิดและมีทักษะในการหาพจนทั่วไปของลําดับ ลักษณะกิจกรรม ผูสอนใหผูเรียนเรียนรูและสรุปความหมายของลําดับและสามารถหาพจน ถัดไปจากลําดับที่กําหนดใหจากตัวอยางและคําถามของผูสอน โดยผูสอนใชปญหานําเขาสู เนื้อหา เพื่อใหผูเรียนหาคําตอบสุดทายได กิจกรรม 1. ผูสอนใหผูเรียนชวยกันหาจํานวนรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสจากรูปที่กําหนดใหตอไปนี้ รูปที่ (1) (2) (3) (4) (5) 2. ผูสอนอาจใหขอแนะโดยใชคําถามตอไปนี้ 1) รูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสในรูปที่กําหนดใหมีขนาดใดบาง 2) รูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสแตละขนาดมีอยางละกี่รูป 4. ผูสอนใหผูเรียนหาผลรวมของจํานวนรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสของแตละรูปโดยใช ตารางตอไปนี้
13.
13 ขนาด ตร. หนวย
จํานวนรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสแตละขนาด รูปที่ 1 4 9 16 25 จํานวนรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสทั้ง หมด 1 1 - - - - 1 2 4 1 - - - 1 + 4 = 5 3 9 4 1 - - 1 + 4 + 9 = 14 4 16 9 4 1 - 1 + 4 + 9 + 16 = 30 5 25 16 9 4 1 1 + 4 + 9 + 16 + 25 = 55 ตารางที่ 1 5. ผูสอนใหผูเรียนบอกความสัมพันธของจํานวนรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสที่มีขนาด 1 ตารางหนวย กับความยาวของดานของรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสแตละรูป ซึ่งผูเรียนควรบอกไดวา รูปที่ ความยาวของดานของ รูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส (หนวย) จํานวนรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส ที่มีขนาด 1 ตารางหนวย (ตร.หนวย) 1 2 3 4 5 1 2 3 4 5 1 หรือ 12 4 หรือ 22 9 หรือ 32 16 หรือ 42 25 หรือ 52 ตารางที่ 2 ใหผูเรียนเขียนแทนจํานวนรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสทั้งหมดของแตละรูปจากตาราง ที่ 1 ใหอยูในรูปของผลบวกที่อยูในรูปของกําลังสองสมบูรณ ดังนี้ จํานวนรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสของรูปที่ 1 เทากับ 12 = 1 จํานวนรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสของรูปที่ 2 เทากับ 12 + 22 = 5 จํานวนรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสของรูปที่ 3 เทากับ 12 + 22 + 32 = 14 จํานวนรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสของรูปที่ 4 เทากับ 12 + 22 + 32 + 42 = 30 จํานวนรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสของรูปที่ 5 เทากับ 12 + 22 + 32 + 42 + 52 = 55 จากแนวคิดในการหารูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสขางตน ผูสอนใหผูเรียนหา จํานวนรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสทั้งหมด เมื่อรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสมีขนาด 6 × 6 , 7 × 7 , 8 × 8, 9 × 9 และ 10 × 10 ตารางหนวย
14.
14 กิจกรรมเพิ่มเติม 1) ผูสอนใหผูเรียนหาจํานวนรูปสามเหลี่ยมทั้งหมดในรูปตอไปนี้ (1) (2)
(3) (4) (5) 2) ผูสอนใหผูเรียนหาจํานวนรูปสี่เหลี่ยมทั้งหมดในรูปตอไปนี้ (1) (2) (3) (4) (5) กิจกรรมที่ 2 ในการเรียนการสอนเรื่องลําดับและอนุกรม ผูสอนอาจใชใบงานในการจัดกิจกรรม เชน ในตัวอยางกิจกรรมที่จะกลาวถึงตอไปนี้จะใชใบงานสามใบ โดยที่แตละใบงานมี จุดประสงคดังนี้ ใบงานที่ 1 และ 2 เพื่อใหผูเรียนเกิดทักษะในการหาพจนทั่วไปของลําดับจํากัด ใบงานที่ 3 เพื่อใหผูเรียนรูจักเชื่อมโยงความรูในเรื่องลําดับและอนุกรม และ สามารถนํามาใชในการแกปญหาได ในการใชใบงานผูสอนควรพัฒนาทักษะกระบวนการทางคณิตศาสตรไปดวย เชน ในบางกรณีที่ผูเรียนมีคําตอบที่แตกตางกันผูสอนควรใหโอกาสผูเรียนไดนําเสนอ วิธีการคิดพรอมทั้งแสดงความสามารถในการใหเหตุผล
15.
15 ใบงานที่ 1 1. พิจารณาแบบรูปตอไปนี้
และจงเขียนรูปที่ (4), (5) และ (6) (1) (2) (3) 2. จงเติมจํานวนรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสในตารางตอไปนี้ รูปที่ จํานวน รูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส ความสัมพันธของรูปที่ (n) และจํานวนรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส ในแตละรูป 1 1 1 2 5 1 + 4 = 1 + (4 × 1) 3 9 1 + 8 = 1 + (4 × 2) 4 5 6 3. จากแบบรูปที่กําหนดให จงหาวา รูปที่ (10) และ (20) ควรจะมีจํานวนรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส เทาใดในแตละรูป 4. จงหาจํานวนรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสของรูปที่ (n)
16.
16 ใบงานที่ 2 (1) (2)
(3) ในรูปที่ (1) มีจํานวนจุด 3 จุด และมีจํานวนเสนที่เชื่อมจุดเทากับ 3 เสน 1. จงเติมจํานวนจุดและเสนในตารางที่กําหนดใหตอไปนี้ พรอมทั้งหาความสัมพันธ 2. จงหาจํานวนจุดและจํานวนเสนที่เชื่อมระหวางจุดในรูปที่ (10) และรูปที่ (25) 3. จงหาจํานวนจุดและจํานวนเสนเชื่อมระหวางจุดในรูปที่ (n) รูปที่ จน.จุด ความสัมพันธระหวางรูปที่ กําหนดและจํานวนจุด 1 3 1+2 = 1+2 (1) 2 5 1+4 = 1+2(2) 3 7 1+6 = 1+2(3) 4 5 6 รูปที่ จน. เสนเชื่อม ระหวางจุด ความสัมพันธระหวางรูปที่ กําหนดและจํานวนเสนเชื่อมจุด 1 3 3 × 1 2 6 3 × 2 3 9 3 × 3 4 5 6
17.
17 ใบงานที่ 3 (1) (2) ให
S(1) แทนผลบวกที่กําหนดใหในตารางที่ (1) S(2) แทนผลบวกที่กําหนดใหในตารางที่ (2) 1. จงหาผลบวกในตารางที่ (1) และ (2) 2. จงอธิบายวา ผลบวก S(1) และ S(2) มีความสัมพันธกันอยางไร 3. 1, 2, 3, 4, ..., 10 เปนลําดับเลขคณิตหรือไม 4. จงหาผลบวกของ 10 พจนแรกของอนุกรม 1 + 2 + 3 + 4 + ... + 10 5. จงหาผลบวกของอนุกรม 13 + 23 + 33 + 43 + ... + 103 โดยใชความสัมพันธในขอ 2 6. ถา 13 + 23 + 33 + 43 + ... + n3 = 44,100 จงหาคาของ 1 + 2 + 3 + 4 + ... + n ในการหาพจนถัดไปของลําดับที่กําหนดใหโดยใชการสังเกตความสัมพันธของพจน ผูสอนอาจใชวิธีการในกิจกรรมตอไปนี้เพื่อชวยใหผูเรียนสามารถหาพจนถัดไปของลําดับที่ กําหนดใหไดงายขึ้นดังนี้ อนุกรม S(1) 1 1 1 + 2 3 1 + 2 + 3 6 1 + 2 + 3 + 4 1 + 2 + 3 + 4 + 5 1 + 2 + 3 + 4 + 5 + 6 อนุกรม S(2) 13 1 13 + 23 9 13 + 23 + 33 36 13 + 23 + 33 + 43 13 + 23 + 33 + 43 + 53 13 + 23 + 33 + 43 + 53 + 63
18.
18 กิจกรรมที่ 3 เนื้อหา ความหมายของลําดับ
และการหาพจนทั่วไปของลําดับ จุดประสงค เพื่อใหผูเรียนเขาใจความหมายของลําดับและรูจักวิธีการหาพจนทั่วไป ของลําดับจํากัด ความหมายของลําดับ ผูสอนใหผูเรียนเขียนจํานวนตอไปนี้ 1) จํานวนนับ 1 , 2 , 3 , 4 , 5 , ... 2) จํานวนเต็มบวกที่เปนจํานวนคู 2 , 4 , 6 , 8 , 10 , ... 3) จํานวนเต็มบวกที่เปนจํานวนคี่ 1 , 3 , 5 , 7 , 9 , ... 4) จํานวนเต็มบวกที่เขียนไดในรูปกําลังสองสมบูรณ 1 , 4 , 9 , 16 , 25 , ... ผูสอนแนะนําวาจํานวนที่เขียนอยูในแบบรูปขางตนเรียกวา ลําดับของจํานวน และ แตละจํานวนในลําดับเรียกวา พจน 5) ผูสอนใหผูเรียนหาจํานวนถัดไปของลําดับตอไปนี้ พรอมทั้งบอกเหตุผลประกอบ 1) 5 , 10 , 15 , 20 คําตอบ : จํานวนถัดไปคือ 25 เหตุผล : ผลตางของแตละจํานวนเทากับ 5 และ 20 + 5 = 25 2) 1 , 8 , 27 , 64 คําตอบ : จํานวนถัดไปคือ 125 เหตุผล : แตละจํานวนเขียนอยูในรูปกําลังสามของจํานวนเต็ม จํานวนถัดไปคือ พจนที่ 5 ซึ่งมีคาเทากับ 53 ผูสอนใหผูเรียนหาจํานวนถัดไปของลําดับตอไปนี้ พรอมทั้งใหเหตุผลประกอบคําตอบ 1) 7 , 14 , 21 , 28 5) 8 , 64 , 216 , 512 2) 4 , 16 , 36 , 64 6) 4 , 9 , 25 , 49 3) 1 , 27 , 125 , 343 7) 11 , 22 , 33 , 44 4) 1 , 3 , 9 , 27 8) 1 , 9 , 36 , 100
19.
19 ในกรณีที่ผูเรียนไมสามารถหาคําตอบได ผูสอนอาจแนะนําวิธีการสังเกต โดยการ ยกตัวอยางที่หลากหลายเพื่อใหผูเรียนหาขอสรุปและคําตอบที่ตองการไดดังนี้ พิจารณาผลตางของจํานวนในพจนที่อยูถัดไปแตละคูวา
ผลตางดังกลาวมีคาเพิ่มขึ้น หรือลดลง ในกรณีที่พจนถัดไปมีคาเพิ่มขึ้น พจนที่อยูถัดไปอาจจะไดจากการบวกหรือคูณพจน กอนหนานั้นดวย จํานวนใดจํานวนหนึ่ง ในกรณีที่พจนถัดไปมีคานอยลง พจนที่อยูถัดไปอาจจะไดจากการลบหรือหารพจน กอนหนานั้นดวยจํานวนใดจํานวนหนึ่ง จากการสังเกตดวยวิธีการที่กลาวมาจะชวยทําใหไดขอสรุปที่งายขึ้นดังตัวอยางตอไปนี้ จงหาพจนถัดไปของลําดับตอไปนี้ 1) 1 , 4 , 7 , 10 พิจารณาผลตางของพจนแตละคูในลําดับ 1 , 4 , 7 , 10 1 4 7 10 3 3 3 3 พบวาลําดับของผลตางมีคาเพิ่มขึ้นคงที่เทากับ 3 นั่นคือพจนที่อยูถัดไปจะไดจากการนํา 3 ไปบวกกับจํานวนที่อยูในพจนกอนหนานั้น ดังนั้น พจนถัดไปคือ 10 + 3 หรือ 13 2) 100 , 99 , 97 , 94 พิจารณาผลตางของแตละพจนในลําดับ 100 , 99 , 97 , 94 100 99 97 94 -1 -2 -3 -4 พบวาลําดับของผลตางมีคาลดลงทีละ 1 ไปเรื่อย ๆ และพจนถัดจาก 94 ควรจะมีคาลดลงจาก 94 เทากับ 4 นั่นคือ มีคาเทากับ 94 – 4 หรือ 90
20.
20 จงหาพจนถัดไปของลําดับตอไปนี้อีก 2 พจน 1)
1 , 3 , 7 , 13 คําตอบ 1 3 7 13 21 31 2 4 6 8 10 พจนถัดไปจะไดจากการบวกพจนกอนหนานั้นดังนี้ 13 + 8 = 21 และ 21 + 10 = 31 2) 16 , 8 , 4 , 2 คําตอบ 16 8 4 2 1 1 2 ÷2 ÷2 ÷2 ÷2 ÷2 พจนถัดไปจะไดจากผลหารของพจนกอนหนานั้นดวย 2 3) 2 , 20 , 200 , 2000 คําตอบ 2 20 200 2000 20000 200000 ×10 ×10 ×10 ×10 ×10 พจนถัดไปจะไดจากผลคูณของพจนกอนหนานั้นดวย 10 เมื่อผูเรียนมีความเขาใจในวิธีการหาพจนทั่วไปของลําดับจํากัดจากตัวอยางที่ผูสอน นําเสนอแลว ผูสอนอาจใหโจทยเพิ่มเติม โดยพิจารณาจากความสามารถของผูเรียน เพื่อให ผูเรียนไดฝกทักษะดังนี้
21.
21 จงหาพจนถัดไปของลําดับตอไปนี้ 1) 2 ,
6 , 10 , 14 10) 20 , 10 , 5 , 2.5 2) 200 , 195 , 190 , 185 11) 2 , 3 , 6 , 11 3) 1 , 4 , 16 , 64 12) 3 , 5 , 9 , 15 4) 729 , 243 , 81 , 27 13) 4 , 7 , 12 , 19 5) 2 , 7 , 17 , 32 14) 50 , 49 , 47 , 44 6) 5 , 10 , 30 , 120 15) 60 , 58 , 54 , 48 7) 5 , 4 , 1 , -4 16) 5 , 9 , 17 , 29 8) 100 , 98 , 94 , 88 17) 8 , 13 , 23 , 38 9) 7 , 7 , 14 , 42 18) 78 , 75 , 69 , 60 คําตอบ 1) 18 2) 180 3) 256 4) 9 5) 52 6) 600 7) –11 8) 80 9) 168 10) 1.25 11) 18 12) 23 13) 28 14) 40 15) 40 16) 45 17) 58 18) 48 สําหรับบางชั้นเรียนที่ผูเรียนมีความสนใจในเรื่องการหาพจนทั่วไปของลําดับ ผูสอน อาจเพิ่มการหาพจนถัดไปจากลําดับที่กําหนดใหโดยวิธีพิจารณาจากผลตางของพจนจากตัวอยาง ที่กลาวมาแลว ซึ่งบางครั้งอาจยังไมสามารถสรุปคําตอบได ในกรณี เชนนี้อาจจะใชวิธีพิจารณาลําดับของผลตางที่ไดอีกครั้ง ดังตัวอยางตอไปนี้ ตัวอยาง จงหาพจนถัดไปของลําดับ 3 , 9 , 19 , 37 , 67 พิจารณาผลตางของลําดับ 3 , 9 , 19 , 37 , 67 3 9 19 37 67 6 10 18 30
22.
22 พบวาผลตางมีคาเพิ่มขึ้น แตยังไมสามารถหาพจนถัดจาก 67
ได เพราะไมสามารถบอกไดวา พจนถัดไปของลําดับ 6, 10, 18, 30 คือจํานวนใด พิจารณาผลตางของลําดับ 6 , 10 , 18 , 30 6 10 18 30 4 8 12 พบวา ผลตางของลําดับมีคาเพิ่มขึ้นครั้งละ 4 นั่นคือ จากพจนแรกคือ 4 พจนถัดไปไดจากผลบวกของพจนแรกคือ 4 บวกกับ 4 ซึ่งเทากับ 8 และพจนถัดไปคือ 8 + 4 ซึ่งเทากับ 12 ในทํานองเดียวกัน พจนถัดไปของ 12 จะเทากับ 12 + 4 หรือ 16* 3 9 19 37 67 6 10 18 30 4 8 12 16 * จาก 16 * จะสามารถหาพจนถัดไปของลําดับของผลตางครั้งแรก คือ 30 พจนถัดไปไดจากผลบวกของ 30 + 16 ซึ่งเทากับ 46** 3 9 19 37 67 6 10 18 30 46 ** 4 8 12 16 * และจาก 46** เราสามารถหาพจนถัดไปของลําดับ 3, 9, 19, 37, 67 พจนถัดไปไดจาก 67 + 46 ซึ่งเทากับ 113
23.
23 3 9 19
37 67 113 6 10 18 30 46 ** 4 8 12 16 * และดวยวิธีการเดียวกันนี้ จะสามารถหาพจนถัดไปของลําดับ 3, 9, 19, 37, 67 ไดอีกดังนี้ ลําดับของผลตางครั้งที่สอง คือ 4 , 8 , 12 , 16 , 20 , 24 ลําดับของผลตางครั้งที่หนึ่ง คือ 6 , 10 , 18 , 30 , 46 , 66 , 90 จากผลตางครั้งที่ 1 และ 2 หาพจนถัดไปของลําดับ 3, 9, 19, 37, 67, 113 ไดดังนี้ 3 9 19 37 67 113 179 269 6 10 18 30 46 66 90 4 8 12 16 20 24 จะไดลําดับ 3 , 9 , 19 , 37 , 67 , 113 , 179 , 269 สําหรับลําดับที่กําหนดใหบางลําดับอาจจะตองใชวิธีเดียวกับที่กลาวมาขางตน หาผลตางครั้งที่ 3 หรือมากกวานั้นเพื่อหาพจนถัดไป ดังตัวอยางตอไปนี้ ตัวอยาง จงหาพจนถัดไปที่กําหนดให โดยใชวิธีพิจารณาผลตางของพจนที่อยูถัดกัน 1 1 2 3 5 8 13 21 34 0 1 1 2 3 5 8 13 1 0 1 1 2 3 5 -1 1 0 1 1 2
24.
24 ลําดับของผลตางครั้งที่ 1 คือ
0 , 1 , 1 , 2 , 3 , 5 , 8 , 13 ลําดับของผลตางครั้งที่ 2 คือ 1 , 0 , 1 , 1 , 2 , 3 , 5 ลําดับของผลตางครั้งที่ 3 คือ -1 , 1 , 0 , 1 , 1 , 2 มีขอสังเกต จากลําดับของผลตางครั้งที่ 3 ซึ่งเทากับ -1, 1, 0, 1, 1, 2 ดังนี้ พจนที่ 3 คือ 0 ไดจาก ผลบวกของจํานวนในพจนที่ 1 และ 2 -1 +1 = 0 พจนที่ 4 คือ 1 ไดจาก ผลบวกของจํานวนในพจนที่ 2 และ 3 1 + 0 = 1 พจนที่ 5 คือ 1 ไดจาก ผลบวกของจํานวนในพจนที่ 3 และ 4 0 + 1 = 1 พจนที่ 6 คือ 2 ไดจาก ผลบวกของจํานวนในพจนที่ 4 และ 5 1 + 1 = 2 ผูสอนใหผูเรียนหาพจนถัดไปของลําดับที่กําหนดใหดังนี้ จากลําดับผลตางครั้งที่ 3 พจนถัดไปของลําดับ -1, 1, 0, 1, 1, 2 คือ 3* และจะไดพจนถัดไปของลําดับของผลตางครั้งที่ 2 เทากับ 8** พจนถัดไปของลําดับของผลตางครั้งที่ 1 เทากับ 21*** นั่นคือพจนถัดไปของลําดับ 1 , 1 , 2 , 3 , 5 , 8 , 13 , 21 , 34 เทากับ 21 + 34 หรือ 55 1 1 2 3 5 8 13 21 34 55 0 1 1 2 3 5 8 13 21*** 1 0 1 1 2 3 5 8** -1 1 0 1 1 2 3*
25.
25 โจทยเพิ่มเติม จงหาพจนถัดไปของลําดับที่กําหนดใหตอไปนี้ 1) 2 ,
11 , 26 , 47, 74 5) 2 , 9 , 20 , 37 , 62 2) 3 , 12 , 23 , 37 , 55 6) 2 , 6 , 15 , 34 , 68 3) 1 , 9 , 18 , 30 , 47 7) 3 , 3 , 6 , 9 , 15 4) 4 , 7 , 12 , 19 , 28 8) 4 , 6 , 10 , 16 , 26 คําตอบ 1) 107 2) 78 3) 71 4) 39 5) 97 6) 122 7) 24 8) 42
26.
26 ตัวอยางแบบทดสอบประจําบท 1. จงเขียนพจนที่ 1,
2 และ 3 ของลําดับตอไปนี้ 1) an = n 2 2) an = 2 – 3n 3) an = n(n – 1) 2. จงหาพจนที่ 5 ของลําดับที่กําหนดใหตอไปนี้ 1) 1, 6, 11, 16 2) 3 1 , 5 4 , 7 9 , 9 16 3. จงหาวา 64 เปนพจนที่เทาใดของลําดับ an = 5n + 4 4. จงหาพจนทั่วไปของลําดับตอไปนี้ 1) 0, 1, 2, 3 2) 2 1 , 3 2 , 4 3 , 5 4 5. จงหาผลตางรวมและพจนที่ n ของลําดับเลขคณิตตอไปนี้ 1) 1, 4, 7, 10, ... 2) 14, 8, 2, –4, ... 6. จงหาอัตราสวนรวมและพจนที่ n ของลําดับเรขาคณิตตอไปนี้ 1) 2 1 , 2 5 , 2 25 , 2 125 , ... 2) 10, 5, 2 5 , 4 5 , ... 7. จงหาวาลําดับที่กําหนดใหตอไปนี้ มีลําดับใดเปนลําดับเลขคณิต ลําดับใดเปนลําดับ เรขาคณิต 1) 15, 30, 60, 120, ... 2) 15, 30, 45, 60, ... 3) 15, 30, 90, 360, ...
27.
27 8. ในชั้นเรียนหนึ่งมีนักเรียนทั้งหมด 35
คน ถานักเรียนคนที่ 1, 2, 3, 4, ..., 35 นับ 3, 6, 9, 12, ... เรื่อย ๆ ไป ถามวา คนที่ 35 จะนับจํานวนใด 9. ถา 3 และ 1 27 เปนพจนที่ 1 และพจนที่ 5 ในลําดับเรขาคณิต จงหาพจนที่ 2, 3 และ 4 ของลําดับเรขาคณิตนี้ 10. จงหาผลบวกของจํานวนคูทั้งหมดที่มีคาอยูระหวาง 41 และ 101 11. จงหาผลบวกของ 7 พจนแรกของอนุกรมที่กําหนดใหดังนี้ 4 + 4⋅31 + 4⋅32 + 4⋅33 + … + 4⋅36 12. ถาในการแขงฟุตบอลของโรงเรียนระดับประเทศครั้งหนึ่ง มีผูเขาแขงขันทั้งหมด 64 ทีม โดยในการแขงขันแตละครั้ง (ครั้งละ 2 ทีม) ทีมที่ชนะจะไดแขงขันในรอบตอไป ถามวา จะตองจัดการแขงขันทั้งหมดกี่ครั้ง จึงจะไดทีมที่ชนะเลิศ ตัวอยางเชน ถามีทั้งหมด 8 ทีม จะตองจัดการแขงขันทั้งหมด ดังนี้ จากแผนภาพพบวา จะตองจัดการแขงขันทั้งหมด 4 + 2 + 1 = 7 ครั้ง 1 ครั้ง 2 ครั้ง 4 ครั้ง ทีมที่ชนะเลิศ
28.
28 เฉลยตัวอยางแบบทดสอบประจําบท 1. 1) an
= 2 n a1 = 2 1 = 2 a2 = 2 2 = 1 a3 = 2 3 2) an = 2 – 3n a1 = 2 – 3(1) = –1 a2 = 2 – 3(2) = –4 a3 = 2 – 3(3) = –7 3) an = n(n – 1) a1 = 1(1 – 1) = 0 a2 = 2(2 – 1) = 2 a3 = 3(3 – 1) = 6 2. 1) 21 2) 25 11 3. จาก an = 5n + 4 จะได 64 = 5n + 4 5n = 60 n = 12 จะไดวา 64 เปนพจนที่ 12 ของลําดับ an = 5n + 4 ตรวจสอบคําตอบ a12 = 5(12) + 4 = 64
29.
29 4. 1) an
= n – 1 2) an = n n 1+ 5. 1) ผลตางรวมของลําดับ 1, 4, 7, 10, ... เทากับ 3 จาก an = a1 + (n – 1)d เมื่อ a1 = 1 และ d = 3 จะได an = 1 + (n – 1)3 = 3n – 2 2) ผลตางรวมของลําดับ 14, 8, 2, –4, ... เทากับ –6 จาก an = a1 + (n – 1)d เมื่อ a1 = 14 และ d = –6 จะได an = 14 + (n – 1)(–6) = 14 – 6n + 6 = 20 – 6n 6. 1) อัตราสวนรวมของลําดับ 1 5 25 125 , , , 2 2 2 2 หาไดจาก 5 1 2 2 ÷ = 25 5 2 2 ÷ = 125 25 2 2 ÷ = 5 จาก an = a1rn–1 เมื่อ a1 = 1 2 และ r = 5 จะได an = n 11 (5) 2 − 2) อัตราสวนรวมของลําดับ 10, 5, 5 2 , 5 4 , ... หาไดจาก 5 10 = 5 5 2 ÷ = 5 5 4 2 ÷ = 1 2 จาก an = a1rn–1 เมื่อ a1 = 10 และ r = 1 2 จะได an = n 11 10( ) 2 −
30.
30 7. 1) ลําดับเรขาคณิตที่มีอัตราสวนรวมเทากับ
2 2) ลําดับเลขคณิตที่มีผลตางรวมเทากับ 15 3) ไมเปนทั้งลําดับเลขคณิตและลําดับเรขาคณิต 8. พิจารณาลําดับ 3, 6, 9, 12, ... พบวา ลําดับดังกลาวเปนลําดับเลขคณิตที่มีผลตางรวม เทากับ 3 จาก an = a1 + (n – 1)d เมื่อ a = 3 และ d = 3 จะได a35 = 3 + (35 – 1)(3) = 105 ดังนั้น คนที่ 35 จะตองนับ 105 9. พิจารณาลําดับเรขาคณิต 3, a2, a3, a4, 1 27 จาก an = a1rn–1 จะได 1 27 = 3r5–1 r4 = 4 1 3 = 41 ( ) 3 r = 1 3 จะได an = n 11 3( ) 3 − a1 = 3 a2 = 1 a3 = 1 3 a4 = 1 9 และ a5 = 1 27 นั่นคือ 1, 1 3 , 1 9 เปนพจนสามพจนในลําดับเรขาคณิตที่เรียงอยูระหวาง 1 และ 1 27
31.
31 10. พิจารณาลําดับของจํานวนคูที่มีคาอยูระหวาง 41
และ 101 จะไดลําดับ 42, 44, 46, ..., 100 เนื่องจากลําดับขางตนเปนลําดับเลขคณิตที่มีผลตางรวมเทากับ 2 จาก an = a1 + (n – 1)d จะได 100 = 42 + (n – 1)2 100 = 2n + 40 และ n = 30 จาก Sn = n 2 (a1 + an) จะได S30 = 30 2 (42 + 100) = 15(142) = 2130 นั่นคือ ผลบวกของจํานวนคูที่มีคาอยูระหวาง 41 และ 101 จะมีคาเปน 2130 11. จากอนุกรม 4 + 4⋅31 + 4⋅32 + … + 4⋅36 ซึ่งเปนอนุกรมเรขาคณิตที่มี a1 = 4 , r = 3 และ sn = n 1a (r 1) r 1 − − จะได s7 = 7 4(1 3 ) 1 3 − − = 2(37 – 1) = 4372
32.
32 12. ถามีทีมทั้งหมด 64
ทีม จะตองจัดการแขงขันครั้งแรกเทากับ 64 ÷ 2 = 32 หรือ 25 ครั้ง นั่นคือ จะตองจัดการแขงขันทั้งหมด 1 + 21 + 22 + 23 + 24 + 25 ครั้ง ซึ่งผลบวกขางตนอยูในรูปอนุกรมเรขาคณิตที่มี a1 = 1 , r = 2 และ n = 5 จาก sn = n 1a (r 1) r 1 − − จะได s5 = 5 1(2 1) 2 1 − − = 63 ดังนั้น จะตองจัดการแขงขันทั้งหมด 63 ครั้ง จึงจะไดทีมที่ชนะเลิศ ทีมที่ชนะเลิศ 1 ครั้ง 21 ครั้ง 22 ครั้ง 23 ครั้ง 24 ครั้ง 25 ครั้ง
33.
26 ตัวอยางแบบทดสอบประจําบท 1. จงเขียนพจนที่ 1,
2 และ 3 ของลําดับตอไปนี้ 1) an = n 2 2) an = 2 – 3n 3) an = n(n – 1) 2. จงหาพจนที่ 5 ของลําดับที่กําหนดใหตอไปนี้ 1) 1, 6, 11, 16 2) 3 1 , 5 4 , 7 9 , 9 16 3. จงหาวา 64 เปนพจนที่เทาใดของลําดับ an = 5n + 4 4. จงหาพจนทั่วไปของลําดับตอไปนี้ 1) 0, 1, 2, 3 2) 2 1 , 3 2 , 4 3 , 5 4 5. จงหาผลตางรวมและพจนที่ n ของลําดับเลขคณิตตอไปนี้ 1) 1, 4, 7, 10, ... 2) 14, 8, 2, –4, ... 6. จงหาอัตราสวนรวมและพจนที่ n ของลําดับเรขาคณิตตอไปนี้ 1) 2 1 , 2 5 , 2 25 , 2 125 , ... 2) 10, 5, 2 5 , 4 5 , ... 7. จงหาวาลําดับที่กําหนดใหตอไปนี้ มีลําดับใดเปนลําดับเลขคณิต ลําดับใดเปนลําดับ เรขาคณิต 1) 15, 30, 60, 120, ... 2) 15, 30, 45, 60, ... 3) 15, 30, 90, 360, ...
34.
27 8. ในชั้นเรียนหนึ่งมีนักเรียนทั้งหมด 35
คน ถานักเรียนคนที่ 1, 2, 3, 4, ..., 35 นับ 3, 6, 9, 12, ... เรื่อย ๆ ไป ถามวา คนที่ 35 จะนับจํานวนใด 9. ถา 3 และ 1 27 เปนพจนที่ 1 และพจนที่ 5 ในลําดับเรขาคณิต จงหาพจนที่ 2, 3 และ 4 ของลําดับเรขาคณิตนี้ 10. จงหาผลบวกของจํานวนคูทั้งหมดที่มีคาอยูระหวาง 41 และ 101 11. จงหาผลบวกของ 7 พจนแรกของอนุกรมที่กําหนดใหดังนี้ 4 + 4⋅31 + 4⋅32 + 4⋅33 + … + 4⋅36 12. ถาในการแขงฟุตบอลของโรงเรียนระดับประเทศครั้งหนึ่ง มีผูเขาแขงขันทั้งหมด 64 ทีม โดยในการแขงขันแตละครั้ง (ครั้งละ 2 ทีม) ทีมที่ชนะจะไดแขงขันในรอบตอไป ถามวา จะตองจัดการแขงขันทั้งหมดกี่ครั้ง จึงจะไดทีมที่ชนะเลิศ ตัวอยางเชน ถามีทั้งหมด 8 ทีม จะตองจัดการแขงขันทั้งหมด ดังนี้ จากแผนภาพพบวา จะตองจัดการแขงขันทั้งหมด 4 + 2 + 1 = 7 ครั้ง 1 ครั้ง 2 ครั้ง 4 ครั้ง ทีมที่ชนะเลิศ
35.
28 เฉลยตัวอยางแบบทดสอบประจําบท 1. 1) an
= 2 n a1 = 2 1 = 2 a2 = 2 2 = 1 a3 = 2 3 2) an = 2 – 3n a1 = 2 – 3(1) = –1 a2 = 2 – 3(2) = –4 a3 = 2 – 3(3) = –7 3) an = n(n – 1) a1 = 1(1 – 1) = 0 a2 = 2(2 – 1) = 2 a3 = 3(3 – 1) = 6 2. 1) 21 2) 25 11 3. จาก an = 5n + 4 จะได 64 = 5n + 4 5n = 60 n = 12 จะไดวา 64 เปนพจนที่ 12 ของลําดับ an = 5n + 4 ตรวจสอบคําตอบ a12 = 5(12) + 4 = 64
36.
29 4. 1) an
= n – 1 2) an = n n 1+ 5. 1) ผลตางรวมของลําดับ 1, 4, 7, 10, ... เทากับ 3 จาก an = a1 + (n – 1)d เมื่อ a1 = 1 และ d = 3 จะได an = 1 + (n – 1)3 = 3n – 2 2) ผลตางรวมของลําดับ 14, 8, 2, –4, ... เทากับ –6 จาก an = a1 + (n – 1)d เมื่อ a1 = 14 และ d = –6 จะได an = 14 + (n – 1)(–6) = 14 – 6n + 6 = 20 – 6n 6. 1) อัตราสวนรวมของลําดับ 1 5 25 125 , , , 2 2 2 2 หาไดจาก 5 1 2 2 ÷ = 25 5 2 2 ÷ = 125 25 2 2 ÷ = 5 จาก an = a1rn–1 เมื่อ a1 = 1 2 และ r = 5 จะได an = n 11 (5) 2 − 2) อัตราสวนรวมของลําดับ 10, 5, 5 2 , 5 4 , ... หาไดจาก 5 10 = 5 5 2 ÷ = 5 5 4 2 ÷ = 1 2 จาก an = a1rn–1 เมื่อ a1 = 10 และ r = 1 2 จะได an = n 11 10( ) 2 −
37.
30 7. 1) ลําดับเรขาคณิตที่มีอัตราสวนรวมเทากับ
2 2) ลําดับเลขคณิตที่มีผลตางรวมเทากับ 15 3) ไมเปนทั้งลําดับเลขคณิตและลําดับเรขาคณิต 8. พิจารณาลําดับ 3, 6, 9, 12, ... พบวา ลําดับดังกลาวเปนลําดับเลขคณิตที่มีผลตางรวม เทากับ 3 จาก an = a1 + (n – 1)d เมื่อ a = 3 และ d = 3 จะได a35 = 3 + (35 – 1)(3) = 105 ดังนั้น คนที่ 35 จะตองนับ 105 9. พิจารณาลําดับเรขาคณิต 3, a2, a3, a4, 1 27 จาก an = a1rn–1 จะได 1 27 = 3r5–1 r4 = 4 1 3 = 41 ( ) 3 r = 1 3 จะได an = n 11 3( ) 3 − a1 = 3 a2 = 1 a3 = 1 3 a4 = 1 9 และ a5 = 1 27 นั่นคือ 1, 1 3 , 1 9 เปนพจนสามพจนในลําดับเรขาคณิตที่เรียงอยูระหวาง 1 และ 1 27
38.
31 10. พิจารณาลําดับของจํานวนคูที่มีคาอยูระหวาง 41
และ 101 จะไดลําดับ 42, 44, 46, ..., 100 เนื่องจากลําดับขางตนเปนลําดับเลขคณิตที่มีผลตางรวมเทากับ 2 จาก an = a1 + (n – 1)d จะได 100 = 42 + (n – 1)2 100 = 2n + 40 และ n = 30 จาก Sn = n 2 (a1 + an) จะได S30 = 30 2 (42 + 100) = 15(142) = 2130 นั่นคือ ผลบวกของจํานวนคูที่มีคาอยูระหวาง 41 และ 101 จะมีคาเปน 2130 11. จากอนุกรม 4 + 4⋅31 + 4⋅32 + … + 4⋅36 ซึ่งเปนอนุกรมเรขาคณิตที่มี a1 = 4 , r = 3 และ sn = n 1a (r 1) r 1 − − จะได s7 = 7 4(1 3 ) 1 3 − − = 2(37 – 1) = 4372
39.
32 12. ถามีทีมทั้งหมด 64
ทีม จะตองจัดการแขงขันครั้งแรกเทากับ 64 ÷ 2 = 32 หรือ 25 ครั้ง นั่นคือ จะตองจัดการแขงขันทั้งหมด 1 + 21 + 22 + 23 + 24 + 25 ครั้ง ซึ่งผลบวกขางตนอยูในรูปอนุกรมเรขาคณิตที่มี a1 = 1 , r = 2 และ n = 5 จาก sn = n 1a (r 1) r 1 − − จะได s5 = 5 1(2 1) 2 1 − − = 63 ดังนั้น จะตองจัดการแขงขันทั้งหมด 63 ครั้ง จึงจะไดทีมที่ชนะเลิศ ทีมที่ชนะเลิศ 1 ครั้ง 21 ครั้ง 22 ครั้ง 23 ครั้ง 24 ครั้ง 25 ครั้ง
40.
33 เฉลยแบบฝกหัด 1.1.1 1. 1)
จาก an = 2n + 5 จะได a1 = 2(1) + 5 = 7 a2 = 2(2) + 5 = 9 a3 = 2(3) + 5 = 11 a4 = 2(4) + 5 = 13 ดังนั้น 4 พจนแรกของลําดับนี้คือ 7, 9, 11, 13 2) จาก an = n 2 1 จะได a1 = 1 2 1 = 2 1 a2 = 2 2 1 = 4 1 a3 = 3 2 1 = 8 1 a4 = 4 2 1 = 16 1 ดังนั้น 4 พจนแรกของลําดับนี้คือ 2 1 , 4 1 , 8 1 , 16 1 3) จาก an = (–2)n จะได a1 = (–2)1 = –2 a2 = (–2)2 = 4 a3 = (–2)3 = –8 a4 = (–2)4 = 16 ดังนั้น 4 พจนแรกของลําดับนี้คือ –2, 4, –8, 16 4) จาก an = n 1n + จะได a1 = 1 11+ = 2 a2 = 2 12+ = 2 3
41.
34 a3 = 3 13+ =
3 4 a4 = 4 14+ = 4 5 ดังนั้น 4 พจนแรกของลําดับนี้คือ 2, 2 3 , 3 4 , 4 5 5) จาก an = n )1(1 n −+ จะได a1 = 1 )1(1 1 −+ = 0 a2 = 2 )1(1 2 −+ = 1 a3 = 3 )1(1 3 −+ = 0 a4 = 4 )1(1 4 −+ = 2 1 ดังนั้น 4 พจนแรกของลําดับนี้คือ 0, 1, 0, 2 1 6) จาก an = n n 3 2 จะได a1 = 1 1 2 3 = 3 2 a2 = 2 2 3 2 = 9 4 a3 = 3 3 3 2 = 27 8 a4 = 4 4 3 2 = 81 16 ดังนั้น 4 พจนแรกของลําดับนี้คือ 3 2 , 9 4 , 27 8 , 81 16 7) จาก an = (n – 1)(n + 1) จะได a1 = (1 – 1)(1 + 1) = 0 a2 = (2 – 1)(2 + 1) = 3 a3 = (3 – 1)(3 + 1) = 8 a4 = (4 – 1)(4 + 1) = 15 ดังนั้น 4 พจนแรกของลําดับนี้คือ 0, 3, 8, 15
42.
35 8) จาก an
= n(n – 1)(n – 2) จะได a1 = 1(1 – 1)(1 – 2) = 0 a2 = 2(2 – 1)(2 – 2) = 0 a3 = 3(3 – 1)(3 – 2) = 6 a4 = 4(4 – 1)(4 – 2) = 24 ดังนั้น 4 พจนแรกของลําดับนี้คือ 0, 0, 6, 24 2. 1) 2 , 6 , 10 , 14 , 18 , 22 +4 +4 +4 +4 +4 2) 200 , 195 , 190 , 185 , 180 , 175 –5 –5 –5 –5 –5 3) 1 , 4 , 16 , 64 , 256 , 1024 ×4 ×4 ×4 ×4 ×4 4) 729 , 243 , 81 , 27 , 9 , 3 ÷3 ÷3 ÷3 ÷3 ÷3 5) 2 , 7 , 17 , 32 , 52 , 77 +5 +10 +15 +20 +25 6) 5 , 10 , 30 , 120 , 600 , 3600 ×2 ×3 ×4 ×5 ×6 7) 5 , 4 , 1 , –4 , –11 , –20 –1 –3 –5 –7 –9 8) 100 , 98 , 94 , 88 , 80 , 70 –2 –4 –6 –8 –10
43.
36 เฉลยแบบฝกหัด 1.1.2 1. 1)
an = 4n – 2 a1 = 4(1) – 2 = 2 a2 = 4(2) – 2 = 6 a3 = 4(3) – 2 = 10 a4 = 4(4) – 2 = 14 2) an = n(n – 1) a1 = 1(1 – 1) = 0 a2 = 2(2 – 1) = 2 a3 = 3(3 – 1) = 6 a4 = 4(4 – 1) = 12 3) an = 2n n 1+ a1 = 2(1) 1 1+ = 1 a2 = 2(2) 2 1+ = 4 3 a3 = 2(3) 3 1+ = 3 2 a4 = 2(4) 4 1+ = 8 5 4) an = n 1 2 a1 = 1 1 2 = 1 2 a2 = 2 1 2 = 1 4 a3 = 3 1 2 = 1 8 a4 = 4 1 2 = 1 16
44.
37 5) an =
(–1)n a1 = (–1)1 = –1 a2 = (–1)2 = 1 a3 = (–1)3 = –1 a4 = (–1)4 = 1 2. 1) 1, 1 2 , 1 4 , 1 8 an = n 1 1 2 − 2) 1, 3, 9, 27 an = 3n–1 3) 24, 8, 8 3 , 8 9 an = n 1 1 24 3 − × 4) 2 3 4 5 , , , 3 4 5 6 an = n 1 n 2 + + 5) 0.4, 0.04, 0.004, 0.0004 an = n 4 10
45.
38 3. 1) พิจารณาลําดับ
1, 3, 5, 7, 9, ... จะเห็นวา a1 = 1 = 2(1) – 1 a2 = 3 = 2(2) – 1 a3 = 5 = 2(3) – 1 a4 = 7 = 2(4) – 1 a5 = 9 = 2(5) – 1 ดังนั้น พจนทั่วไป an = 2n – 1 2) พิจารณาลําดับ 4, 8, 12, 16, 20, ... จะเห็นวา a1 = 4 = 4(1) a2 = 8 = 4(2) a3 = 12 = 4(3) a4 = 16 = 4(4) a5 = 20 = 4(5) ดังนั้น พจนทั่วไป an = 4n 3) พิจารณาลําดับ 3, 7, 11, 15, 19, ... จะเห็นวา a1 = 3 = 4(1) – 1 a2 = 7 = 4(2) – 1 a3 = 11 = 4(3) – 1 a4 = 15 = 4(4) – 1 a5 = 19 = 4(5) – 1 ดังนั้น พจนทั่วไป an = 4n – 1
46.
39 4) พิจารณาลําดับ 7,
12, 17, 22, 27, ... จะเห็นวา a1 = 7 = 5(1) + 2 a2 = 12 = 5(2) + 2 a3 = 17 = 5(3) + 2 a4 = 22 = 5(4) + 2 a5 = 27 = 5(5) + 2 ดังนั้น พจนทั่วไป an = 5n + 2 5) พิจารณาลําดับ 1, 6, 11, 16, 21, ... จะเห็นวา a1 = 1 = 5(1) – 4 a2 = 6 = 5(2) – 4 a3 = 11 = 5(3) – 4 a4 = 16 = 5(4) – 4 a5 = 21 = 5(5) – 4 ดังนั้น พจนทั่วไป an = 5n – 4 6) พิจารณาลําดับ 0, –1, –2, –3, –4, ... จะเห็นวา a1 = 0 = 1 – 1 a2 = –1 = 1 – 2 a3 = –2 = 1 – 3 a4 = –3 = 1 – 4 a5 = –4 = 1 – 5 ดังนั้น พจนทั่วไป an = 1 – n
47.
40 7) พิจารณาลําดับ 1,
–1, –3, –5, –7, ... จะเห็นวา a1 = 1 = 3 – 2(1) a2 = –1 = 3 – 2(2) a3 = –3 = 3 – 2(3) a4 = –5 = 3 – 2(4) a5 = –8 = 3 – 2(5) ดังนั้น พจนทั่วไป an = 3 – 2n 8) พิจารณาลําดับ 3, 0, –3, –6, –9, ... จะเห็นวา a1 = 3 = 6 – 3(1) a2 = 0 = 6 – 3(2) a3 = –3 = 6 – 3(3) a4 = –6 = 6 – 3(4) a5 = –9 = 6 – 3(5) ดังนั้น พจนทั่วไป an = 6 – 3n 9) พิจารณาลําดับ 3, 1, –1, –3, –5, ... จะเห็นวา a1 = 3 = 5 – 2(1) a2 = 1 = 5 – 2(2) a3 = –1 = 5 – 2(3) a4 = –3 = 5 – 2(4) a5 = –5 = 5 – 2(5) ดังนั้น พจนทั่วไป an = 5 – 2n
48.
41 10) พิจารณาลําดับ –5,
–3, –1, 1, 3, ... จะเห็นวา a1 = –5 = 2(1) – 7 a2 = –3 = 2(2) – 7 a3 = –1 = 2(3) – 7 a4 = 1 = 2(4) – 7 a5 = 3 = 2(5) – 7 ดังนั้น พจนทั่วไป an = 2n – 7 11) พิจารณาลําดับ 3 1 , 6 1 , 9 1 , 12 1 , 15 1 , ... จะเห็นวา a1 = 3 1 = )1(3 1 a2 = 6 1 = )2(3 1 a3 = 9 1 = )3(3 1 a4 = 12 1 = )4(3 1 a5 = 15 1 = )5(3 1 ดังนั้น พจนทั่วไป an = n3 1 12) พิจารณาลําดับ 1, 4 1 , 9 1 , 16 1 , 25 1 , ... จะเห็นวา a1 = 1 = 1 1 a2 = 4 1 = 2 1 2 a3 = 9 1 = 2 1 3 a4 = 16 1 = 2 1 4 a5 = 25 1 = 2 1 5 ดังนั้น พจนทั่วไป an = 2 n 1
49.
42 13) พิจารณาลําดับ 2 1 ,
3 2 , 4 3 , 5 4 , 6 5 , ... จะเห็นวา a1 = 2 1 = 11 1 + a2 = 3 2 = 12 2 + a3 = 4 3 = 3 3 1+ a4 = 5 4 = 4 4 1+ a5 = 6 5 = 5 5 1+ ดังนั้น พจนทั่วไป an = 1n n + 14) พิจารณาลําดับ 5 2 , 7 4 , 9 8 , 11 16 , 13 32 , ... จะเห็นวา a1 = 5 2 = 3)1(2 21 + a2 = 7 4 = 3)2(2 22 + a3 = 9 8 = 3)3(2 23 + a4 = 11 16 = 3)4(2 24 + a5 = 13 32 = 3)5(2 25 + ดังนั้น พจนทั่วไป an = 3n2 2n + 15) พิจารณาลําดับ 0, 2 1 , 3 2 , 4 3 , 5 4 , ... จะเห็นวา a1 = 0 = 1 11− a2 = 2 1 = 2 12− a3 = 3 2 = 3 13− a4 = 4 3 = 4 14− a5 = 5 4 = 5 15− ดังนั้น พจนทั่วไป an = n 1n −
50.
43 เฉลยแบบฝกหัด 1.1.3 1. 1)
จาก a1 = 2, d = 4 จะได a2 = a1 + d = 2 + 4 = 6 a3 = a1 + 2d = 2 + 2(4) = 10 a4 = a1 + 3d = 2 + 3(4) = 14 ดังนั้น 4 พจนแรกของลําดับเลขคณิตนี้คือ 2, 6, 10, 14 2) จาก a1 = 3, d = 5 จะได a2 = a1 + d = 3 + 5 = 8 a3 = a1 + 2d = 3 + 2(5) = 13 a4 = a1 + 3d = 3 + 3(5) = 18 ดังนั้น 4 พจนแรกของลําดับเลขคณิตนี้คือ 3, 8, 13, 18 3) จาก a1 = –3, d = 3 จะได a2 = a1 + d = –3 + 3 = 0 a3 = a1 + 2d = –3 + 2(3) = 3 a4 = a1 + 3d = –3 + 3(3) = 6 ดังนั้น 4 พจนแรกของลําดับเลขคณิตนี้คือ –3, 0, 3, 6 4) จาก a1 = –4, d = 2 จะได a2 = a1 + d = –4 + 2 = –2 a3 = a1 + 2d = –4 + 2(2) = 0 a4 = a1 + 3d = –4 + 3(2) = 2 ดังนั้น 4 พจนแรกของลําดับเลขคณิตนี้คือ –4, –2, 0, 2
51.
44 5) จาก a1
= 5, d = –2 จะได a2 = a1 + d = 5 + (–2) = –3 a3 = a1 + 2d = 5 + 2(–2) = 1 a4 = a1 + 3d = 5 + 3(–2) = –1 ดังนั้น 4 พจนแรกของลําดับเลขคณิตนี้คือ 5, 3, 1, –1 6) จาก a1 = –3, d = –4 จะได a2 = a1 + d = –3 + (–4) = –7 a3 = a1 + 2d = –3 + 2(–4) = –11 a4 = a1 + 3d = –3 + 3(–4) = –15 ดังนั้น 4 พจนแรกของลําดับเลขคณิตนี้คือ –3, –7, –11, –15 7) จาก a1 = 2 1 , d = 2 1 จะได a2 = a1 + d = 2 1 2 1 + = 1 a3 = a1 + 2d = + 2 1 2 2 1 = 2 3 a4 = a1 + 3d = + 2 1 3 2 1 = 2 ดังนั้น 4 พจนแรกของลําดับเลขคณิตนี้คือ 2 1 , 1, 2 3 , 2 8) จาก a1 = 2 5 , d = 2 3 − จะได a2 = a1 + d = −+ 2 3 2 5 = 1 a3 = a1 + 2d = −+ 2 3 2 2 5 = 2 1 − a4 = a1 + 3d = −+ 2 3 3 2 5 = –2 ดังนั้น 4 พจนแรกของลําดับเลขคณิตนี้คือ 2 5 , 1, 2 1 − , –2
52.
45 2. 1) จาก
an = a1 + (n – 1)d เมื่อ a1 = 4, d = 3 จะได a3 = 4 + (3 – 1)3 a3 = 4 + 6 a3 = 10 2) จาก an = a1 + (n – 1)d เมื่อ a1 = –4, d = –5 จะได a8 = –4 + (8 – 1)(–5) a8 = –4 – 35 a8 = –39 3) จาก an = a1 + (n – 1)d เมื่อ a1 = –5, d = 2 จะได a9 = –5 + (9 – 1)2 a9 = 11 4) จาก an = a1 + (n – 1)d เมื่อ a1 = 7, d = –3 จะได a12 = 7 + (12 – 1)(–3) a12 = –26 5) จาก an = a1 + (n – 1)d เมื่อ a1 = 5 4 , d = –1 จะได a20 = 5 4 + (20 – 1)(–1) = 4 19 5 − a12 = 91 5 − 6) จาก an = a1 + (n – 1)d เมื่อ a1 = 2 1 − , d = –2 จะได a15 = 2 1 − + (15 – 1)(–2) = 1 28 2 − − = 1 ( 28) 2 − + a15 = 1 28 2 −
53.
46 7) จาก an
= a1 + (n – 1)d เมื่อ a1 = 4, d = 2 1 จะได a11 = 4 + (11 – 1)(1 2 ) a11 = 9 8) จาก an = a1 + (n – 1)d เมื่อ a1 = 3 4 , d = 3 1 จะได a15 = 4 3 + (15 – 1)(1 3 ) = 4 14 3 3 + a15 = 6 3. 1) จากลําดับเลขคณิต 11, 13, 15, 17, 19, ... ที่มี a1 = 11 และ d = 2 จะได an = 11 + (n – 1)2 = 2n + 9 ดังนั้น พจนที่ n หรือ an = 2n + 9 2) จากลําดับเลขคณิต 7, 10, 13, 16, 19, ... ที่มี a1 = 7 และ d = 3 จะได an = 7 + (n – 1)3 = 3n + 4 ดังนั้น พจนที่ n หรือ an = 3n + 4 3) จากลําดับเลขคณิต 2, –1, –4, –7, –10, ... ที่มี a1 = 2 และ d = –3 จะได an = 2 + (n – 1)(–3) = 5 – 3n ดังนั้น พจนที่ n หรือ an = 5 – 3n 4) จากลําดับเลขคณิต 4, 2, 0, –2, –4, ... ที่มี a1 = 4 และ d = –2 จะได an = 4 + (n – 1)(–2) = 6 – 2n ดังนั้น พจนที่ n หรือ an = 6 – 2n
54.
47 5) จากลําดับเลขคณิต 0,
2 1 , 1, 2 3 , 2, ... ที่มี a1 = 0 และ d = 2 1 จะได an = 0 + (n – 1)(2 1 ) = 2 1n− ดังนั้น พจนที่ n หรือ an = 2 1n− 6) จากลําดับเลขคณิต 2 3 , 2, 2 5 , 3, 2 7 , ... ที่มี a1 = 2 3 และ d = 2 1 จะได an = 2 3 + (n – 1)(2 1 ) = 1 2 n + ดังนั้น พจนที่ n หรือ an = 1 2 n + หรือ n 2 2 + 4. จาก an = –n – 3 จะได a20 = –20 – 3 = –23 a50 = –50 – 3 = –53 5. จากลําดับเลขคณิต 3, 8, 13, 18, 23, ... ที่มี a1 = 3 และ d = 5 จาก an = a1 + (n – 1)d จะได a15 = 3 + (15 – 1)(5) a15 = 73 6. กําหนดให a6 = 12 และ a10 = 16 จะได a1 + 5d = 12 --------- (1) และ a1 + 9d = 16 --------- (2) (2) – (1) 4d = 4 d = 1 แทน d = 1 ใน (1) จะได a1 = 7 ดังนั้น พจนแรกของลําดับเลขคณิตนี้คือ 7
55.
48 7. ให a3
= 20 และ a7 = 32 จะได a1 + 2d = 20 --------- (1) และ a1 + 6d = 32 --------- (2) (2) – (1) 4d = 12 d = 3 แทน d = 3 ใน (1) จะได a1 = 14 จาก an = a1 + (n – 1)d จะได a25 = 14 + (25 – 1)(3) a25 = 86 8. ให a2 = 16 และ a12 = 116 จะได a1 + d = 16 --------- (1) และ a1 + 11d = 116 --------- (2) (2) – (1) 10d = 100 d = 10 แทน d = 10 ใน (1) จะได a1 = 6 จาก an = a1 + (n – 1)d = 6 + (n – 1)(10) = 10n – 4 จะไดวา an = 10n – 4 และ d = 10 9. ลําดับ –1, –6, –11, ... เปนลําดับเลขคณิตที่มี a1 = –1 และ d = –5 จาก an = a1 + (n – 1)d จะได –176 = –1 + (n – 1)(–5) –175 = (n – 1)(–5) 35 = n – 1 36 = n ดังนั้น –176 เปนพจนที่ 36 ของลําดับเลขคณิต –1, –6, –11, ...
56.
49 10. จํานวนสามจํานวนแรกซึ่งอยูระหวาง 100
ถึง 1000 ที่หารดวย 13 ลงตัว คือ 104, 117, 130 จํานวนสุดทายซึ่งอยูระหวาง 100 ถึง 1000 ที่หารดวย 13 ลงตัว คือ 988 เขียนจํานวนขางตนเปนลําดับไดดังนี้ 104, 117, 130, ..., 988 จะเห็นวาลําดับดังกลาวเปนลําดับเลขคณิตที่มี a1 = 104 และ d = 13 จาก an = a1 + (n – 1)d จะได 988 = 104 + (n – 1)(13) 884 = 13n – 13 13n = 897 n = 69 จะไดวา จํานวนซึ่งอยูระหวาง 100 กับ 1000 ที่หารดวย 13 ลงตัว มีทั้งหมด 69 จํานวน 11. ให a1, a2, a3, ... เปนลําดับเลขคณิตที่มี a1 = 39 และ a3 = 51 จะได a1 + 2d = 51 39 + 2d = 51 2d = 12 d = 6 และ a2 = a1 + d = 39 + 6 = 45 ดังนั้น จํานวนที่อยูระหวาง 39 และ 51 ที่ทําใหสามจํานวนนี้อยูในลําดับเลขคณิตคือ 45 12. ให a1 = 5 และ a7 = 29 เปนพจนที่ 1 และพจนที่ 7 ในลําดับเลขคณิต จะได a1 + 6d = 29 5 + 6d = 29 6d = 24 d = 4 ดังนั้น 5 พจนซึ่งเรียงอยูระหวาง 5 กับ 29 คือ 5 + 4, 5 + 2 (4), 5 + 3(4) และ 5 + 4(4) หรือ 9, 13, 17, 21, 25
57.
50 13. ให a1
= 20, a2 = 16 และ a3 = 12 เปนพจนสามพจนในลําดับเลขคณิต จาก 20, 16, 12... จะได d = –4 จาก an = a1 + (n – 1)d –96 = 20 + (n – 1)(–4) 4n = 96 + 20 + 4 n = 120 4 n = 30 ดังนั้น –96 เปนพจนที่ 30 ของลําดับเลขคณิต 20, 16, 12, ... 14. ให a1 เปนราคาที่บริษัทรับซื้อคืนสําหรับรถยนตที่ใชแลว 1 ป a5 เปนราคาที่บริษัทรับซื้อคืนสําหรับรถยนตที่ใชแลว 5 ป โดยที่ a1 = 900,000 และ d = –70,000 จาก a5 = a1 + 4d = 900,000 + 4(–70,000) = 620,000 ดังนั้น เมื่อครบ 5 ป บริษัทที่ขายรถยนตคันนี้จะรับซื้อคืนในราคา 620,000 บาท 15. ให a1 = 52 และ an = 7 โดยที่ d = –1 จาก an = a1 + (n – 1)d จะได 7 = 52 + (n – 1)(–1) 53 – n = 7 n = 46 ดังนั้น มีไมทั้งหมด 46 ชั้น นั่นคือ ความสูงของไมกองนี้ เทากับ 46 × 3 หรือ 138 เซนติเมตร
58.
51 เฉลยแบบฝกหัด 1.1.4 1. 1)
ลําดับ 2, 4, 8, 16, ... อัตราสวนรวมคือ 4 2 = 2 2) ลําดับ 18, 6, 2, 2 3 , ... อัตราสวนรวมคือ 6 18 = 1 3 3) ลําดับ 75, 15, 3, 3 5 , ... อัตราสวนรวมคือ 15 75 = 1 5 4) ลําดับ –8, –0.8, –0.08, –0.008, ... อัตราสวนรวมคือ 0.8 8 − − = 1 10 5) ลําดับ –1, 1, –1, 1, ... อัตราสวนรวมคือ 1 1− = –1 6) ลําดับ 2 3 , 4 3 , 8 3 , 16 3 , ... อัตราสวนรวมคือ 4 2 3 3 ÷ = 4 3 × 3 2 = 2 7) ลําดับ 1 x , 2 1 x , 3 1 x , ... อัตราสวนรวมคือ 2 1 1 x x ÷ = 2 1 x × x = 1 x 8) ลําดับ 5, 5a 2 , 2 5a 4 , 3 5a 8 ... อัตราสวนรวมคือ 5a 5 2 ÷ = 5a 2 × 1 5 = a 2 2. 1) จากลําดับเรขาคณิต 1, 7, 49, 343, ... ที่มี a1 = 1 และ r2 = 7 จะได a5 = a1r4 = 74 = 2401 a6 = a1r5 = 75 = 16807 a7 = a1r6 = 76 = 117649 ดังนั้น สามพจนถัดไปคือ 2401, 16807, 117649
59.
52 2) จากลําดับเรขาคณิต –1,
2, –4, 8, ... ที่มี a1 = –1 และ r2 = –2 จะได a5 = (–1)(–2)4 = –16 a6 = (–1)(–2)5 = 32 a7 = (–1)(–2)6 = –64 ดังนั้น สามพจนถัดไปคือ –16, 32, –64 3) จากลําดับเรขาคณิต 3, 1, 1 3 , 1 9 , ... ที่มี a1 = 3 และ r = 1 3 จะได a5 = 4 1 3 3 = 1 27 a6 = 5 1 3 3 = 1 81 a7 = 6 1 3 3 = 1 243 ดังนั้น สามพจนถัดไปคือ 1 27 , 1 81 , 1 243 3. จากลําดับเรขาคณิต 2, 4, 8, 16, ... ที่มี a1 = 2 และ r = 2 จาก an = a1rn–1 จะได a9 = 2(2)8 a9 = 512 4. จากลําดับเรขาคณิต 2, –10, 50, –250, ... ที่มี a1 = 2 และ r = –5 จาก an = a1rn–1 จะได a11 = 2(–5)10 a11 = 2(510 ) 5. จากลําดับเรขาคณิต 1, a 2 , 2 a 4 , 3 a 8 , ... ที่มี a1 = 1 และ r = a 2 จาก an = a1rn–1 จะได a10 = 9 a 1 2 = 9 a 512
60.
53 6. จากลําดับเรขาคณิต 1 2 ,
1 6 , 1 18 , 1 54 , ... ที่มี a1 = 1 2 และ r = 1 3 จาก an = a1rn–1 จะได a8 = 7 1 1 2 3 a8 = 1 4374 7. 1) จากลําดับเรขาคณิต 1, 3, 9, ... ที่มี a1 = 1 และ r = 3 จาก an = a1rn–1 จะได an = 1(3)n–1 = 3n–1 2) จากลําดับเรขาคณิต 25, 5, 1, ... ที่มี a1 = 25 และ r = 1 5 จาก an = a1rn–1 จะได an = 25 n 1 1 5 − = 53–n 3) จากลําดับเรขาคณิต 1, –1, 1, –1 ที่มี a1 = 1 และ r = –1 จาก an = a1rn–1 จะได an = 1(–1)n–1 = (–1)n–1 4) จากลําดับเรขาคณิต –2, 4, –8, ... ที่มี a1 = –2 และ r = –2 จาก an = a1rn–1 จะได an = (–2)(–2)n–1 = (–2)n
61.
54 5) จากลําดับเรขาคณิต 1 x ,
2 1 x , 3 1 x , ... ที่มี a1 = 1 x และ r = 1 x จาก an = a1rn–1 จะได an = n 1 1 1 x x − = n 1 x 6) จากลําดับเรขาคณิต 1, 0.3, 0.09, 0.027, ... ที่มี a1 = 1 และ r = 0.3 จาก an = a1rn–1 จะได an = 1(0.3)n–1 = (0.3)n–1 7) จากลําดับเรขาคณิต –8, –0.8, –0.08, –0.008, ... ที่มี a1 = –8 และ r = 1 10 จาก an = a1rn–1 จะได an = (–8) n 1 1 10 − = n 1 8 10 − − 8) จากลําดับเรขาคณิต 2, 2 3 , 6, ... ที่มี a1 = 2 และ r = 3 จาก an = a1rn–1 จะได an = 2( 3 )n–1 8. ให a5 = 32 3 และ r = 2 จะได a1r4 = 32 3 a1(24 ) = 32 3 a1 = 32 1 3 16 × ดังนั้น พจนแรกของลําดับคือ 2 3
62.
55 9. ให a3
= 12 และ a6 = 96 จะได a3 = a1r2 = 12 ---------- (1) และ a6 = a1r5 = 96 ---------- (2) (2) ÷ (1) จะได r3 = 8 r = 2 ดังนั้น อัตราสวนรวมของลําดับนี้คือ 2 10. ให a2 = 3 8 และ a5 = 64 81 จะได a1r = 8 3 ---------- (1) และ a1r4 = 64 81 ---------- (2) (2) ÷ (1) จะได r3 = 8 27 r = 2 3 ดังนั้น อัตราสวนรวมของลําดับนี้คือ 2 3 11. ให a r , a, ar เปนสามพจนแรกของลําดับเรขาคณิต จะได a r + a + ar = –3 ---------- (1) และ a r (a)(ar) = 8 a3 = 8 a = 2 แทน a = 2 ใน (1) จะได 2 r + 2 + 2r = –3 2 + 2r + 2r2 = – 3r 2r2 + 5r + 2 = 0 (2r + 1)(r + 2) = 0 r = 1 2 − , –2
63.
56 ถา a =
2, r = 1 2 − จะไดลําดับเรขาคณิต –4, 2, –1, 1 2 , .... ถา a = 2, r = –2 จะไดลําดับเรขาคณิต –1, 2, –4, 8, ... เมื่อตรวจสอบคําตอบจะพบวา ลําดับเรขาคณิตขางตนมีผลบวกและผลคูณของ สามพจนแรกเทากับ –3 และ 8 ตามลําดับ 12. 1) ให a1 = 5 และ a3 = 20 จะได a1r2 = 20 5r2 = 20 r = ±2 ถา r = 2 จํานวนที่อยูระหวาง 5 และ 20 คือ 10 ถา r = –2 จํานวนที่อยูระหวาง 5 และ 20 คือ –10 2) ให a1 = 8 และ a3 = 12 จะได a1r2 = 12 8r2 = 12 r = 3 2 ± ถา r = 3 2 จํานวนที่อยูระหวาง 8 และ 12 คือ 4 6 ถา r = 3 2 − จํานวนที่อยูระหวาง 8 และ 12 คือ 4 6− 13. ลําดับเรขาคณิต 2, –6, 18, ... ที่มี a1 = 2 และ r = –3 จาก an = a1rn–1 จะได 162 = 2(–3)n–1 81 = (–3)n–1 (–3)4 = (–3)n–1 n – 1 = 4 n = 5 ดังนั้น 162 เปนพจนที่ 5 ของลําดับเรขาคณิต 2, –6, 18, ...
64.
57 14. ในป พ.ศ.
2540 มีประชากร 60,000 คน และแตละปมีประชากรเพิ่มขึ้น 2% ถาเดิมมีประชากร 60000 คน สิ้นปแรกจะมีประชากร 60000 × 1.02 คน ถาเดิมมีประชากร 60000 × 1.02 คน สิ้นปจะมีประชากร 60000 × (1.02)2 คน ถาเดิมมีประชากร 60000 × (1.02)2 คน สิ้นปจะมีประชากร 60000 × (1.02)3 คน ดังนั้น จํานวนประชากรในอีก n ป ขางหนานับจากป พ.ศ. 2540 คือ 60000 × (1.02)n คน ในป พ.ศ. 2555 หรืออีก 15 ปตอไป จะมีประชากรเทากับ 60000 × (1.02)15 คน ≈ 80,752 คน 15. 1) ลําดับ 7, 9, 11, 13, ..., เปนลําดับเลขคณิต มีผลตางรวมเปน 2 2) ลําดับ 6, –6, 6, –6, ..., เปนลําดับเรขาคณิต มีอัตราสวนรวมเปน –1 3) ลําดับ 4, 2, 0, –2, ..., เปนลําดับเลขคณิต มีผลตางรวมเปน –2 4) ลําดับ 3, 1, 3 1 , 9 1 , ..., เปนลําดับเรขาคณิต มีอัตราสวนรวมเปน 1 3 5) ลําดับ 1 4 − , 2 5 − , 1 2 − , 4 7 − , ..., ไมเปนทั้งลําดับเลขคณิตและลําดับเรขาคณิต เฉลยแบบฝกหัด 1.2.1 1. ลําดับเลขคณิต 5, 7, 9, 11, 13, ... มี a1 = 5 และ d = 2 จาก Sn = n 2 {2a1 + (n – 1)d} จะได S50 = 50 2 {2(5) + (50 – 1)2} = 25(108) = 2,700
65.
58 2. ลําดับเลขคณิต 0,
2, 4, 6, 8, ... มี a1 = 0 และ d = 2 จาก Sn = n 2 {2a1 + (n – 1)d} จะได S30 = 30 2 {2(0) + (30 – 1)2} = 15(58) = 870 3. ลําดับเลขคณิต 2, 6, 10, 14, 18, ... มี a1 = 2 และ d = 4 จาก Sn = n 2 {2a1 + (n – 1)d} จะได S40 = 40 2 {2(2) + (40 – 1)4} = 20(160) = 3,200 4. ลําดับเลขคณิต –2, 3, 8, 13, 18, ... มี a1 = –2 และ d = 5 จาก Sn = n 2 {2a1 + (n – 1)d} จะได S60 = 60 2 {2(–2) + (60 – 1)5} = 30(291) = 8,730 5. ลําดับเลขคณิต 5, 2, –1, –4, –7, ... มี a1 = 5 และ d = –3 จาก Sn = n 2 {2a1 + (n – 1)d} จะได S75 = 75 2 {2(5) + (75 – 1)(–3)} = 75 2 (–212) = –7,950
66.
59 6. ลําดับเลขคณิต 1 2 ,
1, 3 2 , 2, 5 2 , ... มี a1 = 1 2 และ d = 1 2 จาก Sn = n 2 {2a1 + (n – 1)d} จะได S50 = 50 2 {2 1 2 + (50 – 1) 1 2 } = 25 51 2 = 1275 2 7. ลําดับเลขคณิต 1 3 − , 1 3 , 1, 5 3 , 7 3 , ... มี a1 = 1 3 − และ d = 2 3 จาก Sn = n 2 {2a1 + (n – 1)d} จะได S100 = 100 2 {2 1 3 − + (100 – 1) 2 3 } = 50 196 3 = 9800 3 8. 1) ลําดับ 6, 9, 12, 15, ..., 99 เปนลําดับเลขคณิต ที่มี a1 = 6 และ d = 3 จาก an = a1 + (n – 1)d จะได 99 = 6 + (n – 1)3 n = 32 และ S32 = 6 + 9 + 12 + 15 + ... + 99 จาก Sn = 1 n n (a a ) 2 + S32 = 32 2 (6 + 99) = 16 (105) = 1,680
67.
60 2) เนื่องจากลําดับ –7,
–10, –13, –16, ..., –109 เปนลําดับเลขคณิต ที่มี a1 = –7 และ d = –3 จาก an = a1 + (n – 1)d –109 = (–7) + (n – 1)(–3) จะได n = 35 และ S35 = (–7) + (–10) + (–13) + (–16) + ... + (–109) = 35 2 {(–7)+(–109)} = 35(–58) = –2030 3) เนื่องจากลําดับ –7, –4, –1, 2, ..., 131 เปนลําดับเลขคณิต ที่มี a1 = –7 และ d = 3 จาก an = a1 + (n – 1)d 131 = –7 + (n – 1)3 จะได n = 47 และ S47 = (–7) + (–4) + (–1) + 2 + ... + 131 = 47 2 {(–7) + 131} = 47(62) = 2914 9. ให a1 = 6, d = 4 และ an = 26 จาก an = a1 + (n – 1)d 26 = 6 + (n – 1)4 n = 6 จาก Sn = n 2 (a1 + an) จะได S6 = 6 2 (6 + 26) = 3(32) = 96
68.
61 10. ใหผลบวกของจํานวนเต็มคี่บวก 100
จํานวนแรกเขียนแทนดวยอนุกรม 1 + 3 + 5 + 7 + 9 + ... + 199 ซึ่งจะเห็นวา อนุกรมขางตนเปนอนุกรมเลขคณิตที่มี a1 = 1 และ an = 199 จาก Sn = n 2 (a1 + an) จะได S100 = 100 2 (1 + 199) = 50(200) = 10,000 11. ใหผลบวกของจํานวนเต็มบวก 20 จํานวนแรกที่เปนพหุคูณของ 3 เขียนแทนดวยอนุกรม 3 + 6 + 9 + ... + 60 จะเห็นวา อนุกรมขางตนเปนอนุกรมเลขคณิตที่มี a1 = 3 และ an = 60 จาก Sn = n 2 (a1 + an) จะได S20 = 20 2 (3 + 60) = 10(63) = 630 12. ใหผลบวกของจํานวนคี่ตั้งแต 17 ถึง 379 เขียนแทนดวยอนุกรม 17 + 19 + 21 + ... + 379 จะเห็นวา อนุกรมขางตนเปนอนุกรมเลขคณิต ที่มี a1 = 17 และ d = 2 จาก an = a1 + (n – 1)d 379 = 17 + (n – 1)2 จะได n = 182 จาก Sn = n 2 (a1 + an) จะได S182 = 182 2 (17 + 379) = 91(396) = 36,036
69.
62 13. กําหนดให a10
= 20, a5 = 10 จะได a1 + 9d = 20 ---------- (1) และ a1 + 4d = 10 ---------- (2) (2) – (1) 5d = 10 d = 2 แทนคา d = 2 ใน (1) จะได a1 = 2 เพราะวา a7 = 2 + (7 – 1)(2) = 14 a15 = 2 + (15 – 1)(2) = 30 จาก Sn = n 2 (a1 + an) เนื่องจากผลบวกพจนที่ 8 ถึง 15 = S15 – S7 = 15 2 (2 + 30) – 7 2 (2 + 14) = 15(16) – 7(8) = 184 14. ใหเงินเดือนที่ชายคนนี้ไดรับตั้งแตป พ.ศ. 2540 เขียนแทนดวยลําดับเลขคณิตดังนี้ 9500, 10200, 10900, 11600, ... ลําดับขางตนเปนลําดับเลขคณิตที่มี a1 = 9500 และ d = 700 จาก an = a1 + (n – 1)d เมื่อ n = 11 จะได a11 = 9500 + (11 – 1)700 = 9500 + 10(700) = 16,500 นั่นคือ ในป พ.ศ. 2550 เขาจะไดรับเงินเดือนเดือนละ 16,500 บาท
70.
63 15. ใหจํานวนเงินที่ทิมเก็บออมตั้งแตวันแรกเขียนแทนดวยอนุกรม 1 +
2 + 3 + ... + 30 อนุกรมขางตนเปนอนุกรมเลขคณิตที่มี a1 = 1, a30 = 30 จาก Sn = n 2 (a1 + an) S30 = 30 2 (1 + 30) = 15(31) = 465 นั่นคือ ครบ 30 วัน ทิมมีเงินออมทั้งหมด 465 บาท เฉลยแบบฝกหัด 1.2.2 1. 1) กําหนดให n = 4, a1 = 3, r = 2 จาก Sn = n 1a (r 1) r 1 − − จะได S4 = 4 3(2 1) 2 1 − − = 3(15) = 45 2) กําหนดให n = 7, a1 = 5, r = 4 จาก Sn = n 1a (r 1) r 1 − − จะได S7 = 7 5(4 1) 4 1 − − = 5(16383) 3 = 27305
71.
64 3) กําหนดให n
= 9, a1 = –3, r = 5 จาก Sn = n 1a (r 1) r 1 − − จะได S9 = 9 ( 3)(5 1) 5 1 − − − = 93 (5 1) 4 − − = –1,464,843 4) กําหนดให n = 11, a1 = –7, r = 3 จาก Sn = n 1a (r 1) r 1 − − จะได S11 = 11 ( 7)(3 1) 3 1 − − − = 117 (3 1) 2 − − = –620,011 5) กําหนดให n = 14, a1 = –5, r = –2 จาก Sn = n 1a (r 1) r 1 − − จะได S14 = 14 ( 5)(( 2) 1)] 2 1 − − − − − = 5 3 (16383) = 27,305 2. อนุกรมเรขาคณิต 2 + 6 + 18 + 54 + ... มี a1 = 2 และ r = 3 จาก Sn = n 1a (r 1) r 1 − − จะได S9 = 9 2(3 1) 3 1 − − = 19,682
72.
65 3. อนุกรมเรขาคณิต 9
+ 12 + 16 + 64 3 + ... มี a1 = 9 และ r = 4 3 จาก Sn = n 1a (r 1) r 1 − − จะได S8 = 84 9 ( ) 1 3 4 1 3 − − = 84 27 ( ) 1 3 − = 58975 243 4. อนุกรมเรขาคณิต 2 4 8 16 ... 3 9 27 81 + + + + มี a1 = 2 3 และ r = 2 3 จาก Sn = n 1a (r 1) r 1 − − = n 1a (1 r ) 1 r − − จะได S10 = 102 2 (1 ( ) ) 3 3 2 1 3 − − = 2(1 – (3 2 )10 ) = 116,050 59,049 5. 1) อนุกรมเรขาคณิต 9 + 27 + 81 + ... + 729 มี a1 = 9, r = 3, an = 729 จาก an = a1rn–1 จะได 729 = 9(3)n–1 81 = 3n–1 34 = 3n–1 n – 1 = 4 n = 5
73.
66 จาก Sn = n 1a
(r 1) r 1 − − จะได S5 = 5 9(3 1) 3 1 − − = 9(242) 2 = 1,089 2) อนุกรมเรขาคณิต 2 + 8 + 32 + ... + 8192 มี a1 = 2, r = 4, an = 8192 จาก an = a1rn–1 จะได 8192 = 2(4)n–1 4096 = 4n–1 46 = 4n–1 n – 1 = 6 n = 7 จาก Sn = n 1a (r 1) r 1 − − จะได S7 = 7 2(4 1) 4 1 − − = 10,922 3) อนุกรมเรขาคณิต 4 + 2 + 1 + ... + 1 512 มี a1 = 4, r = 1 2 , an = 1 512 จาก an = a1rn–1 จะได 1 512 = 4 n 1 1 2 − 1 2048 = n 1 1 2 − 11 1 2 = n 1 1 2 − n – 1 = 11 n = 12
74.
67 จาก Sn = n 1a
(1 r ) 1 r − − จะได S12 = 121 4(1 ( ) ) 2 1 1 2 − − = 12 1 8(1 ) 2 − = 4095 512 4) อนุกรมเรขาคณิต 16 + 8 + 4 + ... + 1 32 มี a1 = 16, r = 1 2 , an = 1 32 จาก an = a1rn–1 จะได 1 32 = 16 n 1 1 2 − 1 512 = n 1 1 2 − 9 1 2 = n 1 1 2 − n = 10 จาก Sn = n 1a (1 r ) 1 r − − จะได S10 = 101 16(1 ( ) ) 2 1 1 2 − − = 10 1 32(1 ) 2 − = 1023 32
75.
68 5) อนุกรมเรขาคณิต 1
+ (–2) + 4 + ... + 256 มี a1 = 1, r = –2, an = 256 จาก an = a1rn–1 จะได 256 = 1(–2)n–1 28 = (–2)n–1 (–2)8 = (–2)n–1 n – 1 = 8 n = 9 จาก Sn = n 1a (1 r ) 1 r − − จะได S9 = 9 1(1 ( 2) ) 1 ( 2) − − − − = 171 6) อนุกรมเรขาคณิต (–1) + 3 + (–9) + ... + (–729) มี a1 = –1, r = –3, an = –729 จาก an = a1rn–1 จะได –729 = (–1)(–3)n–1 729 = (–3)n–1 36 = (–3)n–1 (–3)6 = (–3)n–1 n = 7 จาก Sn = n 1a (1 r ) 1 r − − จะได S7 = 7 ( 1)(1 ( 3) ) 1 ( 3) − − − − − = –546.5
76.
69 6. ใหเงินที่พลเก็บออมตั้งแตวันแรกเขียนแทนดวยอนุกรมเรขาคณิต 1 +
2 + 4 + 8 + ... + 214 ที่มี a1 = 1, r = 2, n = 15 จาก Sn = n 1a (r 1) r 1 − − จะได S15 = 15 1(2 1) 2 1 − − = 215 – 1 = 32,767 นั่นคือ เมื่อครบ 15 วัน พลจะมีเงินออมทั้งหมด 32,767 บาท 7. ซื้อรถยนตมาในราคา 1,000,000 บาท ในแตละปราคารถยนตคันนี้ลดลง 20% รถยนตราคา 1,000,000 หรือ 106 บาท เมื่อสิ้นป (ครบ 1 ป) ราคารถยนตจะเทากับ 6 80 10 100 × บาท รถยนตราคา 6 80 10 100 × บาท เมื่อสิ้นป (ครบปที่ 2) ราคารถยนตจะเทากับ 2 6 80 10 100 × บาท รถยนตราคา 2 6 80 10 100 × บาท เมื่อสิ้นป (ครบปที่ 3) ราคารถยนตจะเทากับ 3 6 80 10 100 × บาท ดังนั้น เมื่อครบ 5 ป รถยนตคันนี้มีมูลคาทางบัญชี 5 6 80 10 100 × บาท = 5 6 8 10 10 × = 6 5 5 10 8 10 × = 5 10 8× = 327,680 บาท
77.
70 8. เมื่อวางแผนยอดขายเทากับ 300,000
บาท แตละไตรมาสตองการใหยอดขายเพิ่มขึ้น 3% ยอดขาย 300,000 ครบไตรมาสแรก ยอดขายจะเทากับ 300,000 × 103 100 บาท ยอดขาย 300,000 × 103 100 ครบไตรมาสที่สอง ยอดขายจะเทากับ 300,000× 2 103 100 บาท ยอดขาย 300,000× 2 103 100 ครบไตรมาสที่สาม ยอดขายจะเทากับ 300,000× 3 103 100 บาท ดังนั้น เมื่อครบ 2 ป (8 ไตรมาส) ยอดขายจะเทากับ 300,000 × 8 103 100 บาท ≈ 300,000 × (1.26677) ≈ 380,031 9. ถังน้ําจุ 5,832 ลิตร แตละวันจะใชน้ําไป 1 3 ของปริมาณน้ําในถังที่มีอยู วันแรกมีน้ํา 5832 ลิตร เมื่อใชน้ําแลวมีน้ําเหลืออยู 5832 × 2 3 ลิตร วันที่สองมีน้ํา 5832 × 2 3 ลิตร เมื่อใชน้ําแลวมีน้ําเหลืออยู 5832 × 2 2 3 ลิตร วันที่สามมีน้ํา 5832 × 2 2 3 ลิตร เมื่อใชน้ําแลวมีน้ําเหลืออยู 5832 × 3 2 3 ลิตร ดังนั้น เมื่อครบ 6 วัน จะมีน้ําเหลืออยูในถัง 5832 × 6 2 3 ลิตร = 512 ลิตร 10. ถังใบหนึ่งมีน้ําอยู 20 ลิตร ตักน้ําออกจากถังครึ่งหนึ่ง แลวแทนดวยของเหลว จากนั้นตักน้ําที่มีสวนผสมของของเหลวออกมาครึ่งถัง แสดงวา แตละครั้งเมื่อตักแลวปริมาณน้ําจะลดลง 50% เดิมมีน้ํา 20 ลิตร ตักน้ําออกจากถังครั้งที่ 1 จะมีน้ําเหลืออยู 20 × 1 2 ลิตร เดิมมีน้ํา 20 × 1 2 ลิตร เมื่อตักออกครั้งที่ 2 จะมีน้ําเหลืออยู 20 × 2 1 2 ลิตร เดิมมีน้ํา 20 × 1 2 ลิตร เมื่อตักออกครั้งที่ 3 จะมีน้ําเหลืออยู 20 × 3 1 2 ลิตร ดังนั้น เมื่อครบ 8 ครั้ง จะมีน้ําเหลืออยูในถัง 20 × 8 1 2 ลิตร = 5 64 ลิตร
Download