More Related Content
Similar to 2562 final-project-15 (20)
2562 final-project-15
- 2. ใบงาน
การจัดทาข้อเสนอโครงงานคอมพิวเตอร์
ผู้ทาโครงงาน
นางสาว จารุกัญญ์ ปิ ตุรัตน์ เลขที่ 15 ชั้น ม.6 ห้อง 2
ชื่อโครงงาน (ภาษาไทย)
ชาเขียวมีประโยชน์อย่างไร
ชื่อโครงงาน (ภาษาอังกฤษ)
Benefit of Green tea
ประเภทโครงงาน การศึกษา
ชื่อผู้ทาโครงงาน นางสาว จารุกัญญ์ ปิตุรัตน์
ชื่อที่ปรึกษา ครูเขื่อนทอง มูลวรรณ์
ระยะเวลาดาเนินงาน ภาคเรียนที่ 1
ที่มาและความสาคัญของโครงงาน
" ช า "
เป็นเครื่องดื่มที่กาลังได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่องและมีแนวโน้มการบริโภคที่
เ พิ่ ม ขึ้ น เ รื่ อ ย ๆ ใ น ปั จ จุ บั น ก า ร ผ ลิ ต " ช า เ ขี ย ว "
ในรูปแบบของการเป็ นเครื่องดื่มสาเร็จรูปก็มีจาหน่ายกันอย่างแพร่หลาย
ทาให้สะดวกต่อการบริโภค และด้วยรสชาติที่อร่อย ทาให้รู้สึกสดชื่ น
รวมไปถึงการโฆษ ณ าข องผ ลิต ภัณ ฑ์ ช าเขี ยว ห รือมีข้อมูลต่าง ๆ
เกี่ย ว กับ สร รพ คุ ณ ข อ งก ารดื่ ม ช าเขี ย วที่ มี ต่อ ร่างก าย ม าก ม า ย
เห ล่า นี้ จึงเป็ น แ รงจูงใ จทา ให้กระแ สกา รบริโ ภค ช า เขีย วเพิ่ ม ขึ้น
จ น อ า จ ก่ อ ใ ห้ เกิ ด พ ฤ ติ ก ร ร ม ก า ร บ ริ โ ภ ค ที่ ไ ม่ เห ม า ะ ส ม
หรือบริโภคในปริมาณที่สูงเกินไปโดยไม่ทราบถึงผลกระทบต่อร่างกาย
ดังนั้ น ผู้บ ริโภ ค จึงค วรท ราบ ถึงข้อ มู ลเบื้ องต้น เกี่ ย วกับ ช าเขี ย ว
ว่า จะ ต้อ งเลือ ก บ ริโ ภ ค อ ย่ างไ ร ถึงจ ะไ ด้ป ระ โย ช น์ อ ย่ า งสู งสุ ด
และไม่ส่งผลเสียต่อร่างกาย
วัตถุประสงค์
1.เพื่อศึกษาประโยชน์และโทษของชาเขียว
2.เพื่อศึกษาการรับประทานชาเขียวอย่างถูกต้อง
3.สามารถนาความรู้ไปปรับใช้ในชีวิตจริงได้
4.เพื่อการดื่ม รับประทาน
และใช้ประโยชน์ของชาเขียวอย่างมีประสิทธิภาพและมีโทษน้อยที่สุด
- 4. ว
ซึ่งวิธีการก็คือเมื่อเก็บใบชามาแล้วก็นามาทาให้แห้งอย่างรวดเร็วในหม้อทองแ
ดงโดยใช้ความร้อนไม่สูงเกินไปและใช้มือคลึงเบา ๆ ก่อนแห้ง
หรืออบไอน้าในระยะเวลาสั้น ๆ
แล้วนาไปอบแห้งเพื่อยับยั้งการทางานเอนไซม์
(ความร้อนจะช่วยยับยั้งการทางานของเอนไซม์ทาให้ไม่เกิดการสลายตัว)
จึงได้ใบชาที่แห้งแต่ยังสดอยู่ และมีสีที่ค่อนข้างเขียว จึงเรียกกันว่า "ชาเขียว"
และการที่ใบชาที่ได้นั้นไม่ผ่านขั้นตอนการหมัก
จึงทาให้ใบชามีสารประกอบฟีนอล (Phenolic compound)
หลงเหลืออยู่มากกว่าในอู่หลงและชาดา (สองชนิดนี้คือชาที่ผ่านการหมัก)
จึงทาให้ชาเขียวมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระมากกว่าชาทั้งสอง โดยชาเขียวจะมีสาร
EGCG ประมาณ 35-50% ส่วนชาอู่หลงมีประมาณ 8-20% และชาดาจะมี
EGCG อยู่เพียง 10%
ชาเขียวที่มีคุณภาพจะได้จากใบชาคู่ที่หนึ่งและใบชาคู่ที่สองที่เก็บจากยอด
(ชาวจีนเรียกว่า "บู๋อี๋") ส่วนใบชาคู่ที่สามและสี่จากยอดจะให้ชาชั้นสอง
(ชาวจีนเรียกว่า "อันเคย")
ส่วนใบชาคู่ที่ห้าและหกจากปลายยอดจะเป็นชาชั้นเลว (ชาวจีนเรียกว่า
"ล่าก๋อง") สาหรับสี กลิ่น
และรสชาติของชานั้นจะขึ้นอยู่กับปริมาณของสารคาเทชินที่มีอยู่ในชา
โดยฤดูการเพาะปลูก การเก็บเกี่ยว จะมีผลต่อระดับของสารคาเทชิน
ซึ่งในใบชาฤดูใบไม้ผลิจะมีสารคาเทชินประมาณ 12-13%
ในขณะที่ชาในฤดูร้อนจะมีสารคาเทชินประมาณ 13-14%
(ใบชาอ่อนจะมีสารคาเทชินมากกว่าใบชาแก่)
- 5. สารสาคัญที่พบได้ในชาเขียว จะประกอบไปด้วย กรดอะมิโน วิตามินบี
วิตามินซี วิตามินอี สารในกลุ่ม xanthine alkaloids คือ กาเฟอีน
(caffeine) และธิโอฟิลลีน (theophylline)
ซึ่งเป็นสารที่มีฤทธิ์กระตุ้นการทางานของระบบประสาทส่วนกลาง
และสารในกลุ่มฟลาโวนอยด์ ที่เรียกว่า คาเทชิน (catechins)
โดยเราสามารถแยกสารคาเทชินออกได้เป็น 5 ชนิด คือ gallocatechin
(GC), epicatechin (EC), epigallocatechin (EGC), epicatechin
gallate (ECG), และ epigallocatechin gallate (EGCG)
โดยคาเทชินที่พบได้มากและมีฤทธิ์ทรงพลังที่สุดในชาเขียว คือ
สารอีพิกัลโลคาเทชินกัลเลต (epigallocatechin gallate - EGCG)
ซึ่งมีความสาคัญในการออกฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ
ลักษณะของสีน้าชา
ถ้าชงชาจากใบชาจะให้น้าชาออกสีเหลืองอ่อนไปจนถึงสีเขียวอ่อน
(ถ้าเป็นชาเขียวผง หรือชามัตฉะ จะให้น้าชาสีเขียวสด) ส่วนกลิ่นของน้าชานั้น
ถ้าเป็นชาเขียวของจีนจะให้กลิ่นเขียวสดชื่น มีกลิ่นคล้ายกลิ่นถั่วปนอยู่
แต่ถ้าเป็นชาเขียวของญี่ปุ่นจะให้กลิ่นเขียวสดค่อนข้างมาก มีกลิ่นของสาหร่าย
และอาจมีกลิ่นคล้ายกับโชยุปนอยู่ด้วย
สรรพคุณของชาเขียว
1. ชาเขียวถูกนามาใช้ในการรักษาตั้งแต่โรคปวดศีรษะไปจนถึงโรคซึมเศร้
า ซึ่งในประเทศจีนมีการใช้ชาเขียวเป็นยามามากกว่า 4,000 ปีแล้ว
2. ช่วยทาให้เจริญอาหาร
3. แก้เมาเหล้า ทาให้สร่างเมา
4. ช่วยแก้หวัด แก้ร้อนใน ช่วยขับเหงื่อ ขับสารพิษตกค้าง
5. ช่วยให้ผ่อนคลายอารมณ์ สงบประสาท
ระบายความร้อนจากศีรษะและเบ้าตา ทาให้สดชื่น ตาสว่าง ไม่ง่วงนอน
และช่วยทาให้หายใจสดชื่น
6. ช่วยแก้อาการกระหายน้า ระบายความร้อนออกจากปอด
และช่วยขับเสมหะ
7. ช่วยแก้บิด ท้องร่วง ท้องเสีย
8. ช่วยเพิ่มแบคทีเรียชนิดดีในลาไส้
จึงสามารถช่วยล้างสารพิษและกาจัดพิษในลาไส้ได้
9. ช่วยป้องกันตับจากพิษและโรคอื่น ๆ
10. ช่วยป้องกันการเกิดลิ่มเลือด
11. ชาเขียวมีฤทธิ์ต้านอาการอักเสบ ต้านเชื้อจุลินทรีย์ในลาไส้
ต้านเชื้อแบคทีเรียและเชื้อไวรัส ต้านเชื้อ Botulinus และเชื้อ
Staphylococcus
- 6. 12. ช่วยขับปัสสาวะ ป้องกันนิ่วในถุงน้าดีและในไต
13. ช่วยในการห้ามเลือดหรือทาให้เลือดไหลช้าลง
14. ใช้เป็นยาพอกรักษาแผลอักเสบ แผลพุพอง ไฟไหม้ ฝีหนอง
ช่วยบรรเทาอาการผดผื่นคัน ผิวร้อนแห้ง แมลงสัตว์กัดต่อย
และยังใช้เป็นยากันยุงได้อีกด้วย
15. ชาเขียวสามารถช่วยป้องกันโรคข้ออักเสบรูมาติก (Rheumatic
arthritis) ซึ่งมีอาการอักเสบบวมแดง
ปวดเมื่อยตามกล้ามเนื้อและข้อต่อ ที่มักเกิดกับสตรีวัยกลางคน
นายมานพ เลิศสุทธิรักษ์ นายกสมาคมแพทย์แผนจีน
ได้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับชาเขียวว่า
การนาชาเขียวมาใช้ควบคู่กับพืชสมุนไพรชนิดอื่น ๆ
จะส่งผลต่อประสิทธิภาพในการรักษาโรคที่ดียิ่งขึ้น ซึ่งมีวิธีดังต่อไปนี้ คือ
ใช้ชาเขียวร่วมกับขึ้นฉ่าย จะช่วยลดความดันโลหิต
ใช้ชาเขียวร่วมกับไส้หมาก จะช่วยลดระดับน้าตาลในเลือด
ใช้ชาเขียวร่วมกับหนวดข้าวโพด จะช่วยลดความดันโลหิต
ลดระดับน้าตาลในเส้นเลือด และช่วยลดอาการบวมน้า
ใช้ชาเขียวร่วมกับตะไคร้ จะช่วยขับไขมันในเส้นเลือด
ใช้ชาเขียวร่วมกับเม็ดเก๋ากี้ จะช่วยลดความอ้วน แก้ตาฟาง
ใช้ชาเขียวร่วมกับใบหม่อน จะช่วยป้องกันโรคหวัด
ลดไขมันในเส้นเลือดได้ดี
ใช้ชาเขียวร่วมกับหัวต้นหอม จะช่วยแก้ไข้หวัดและช่วยขับเหงื่อ
ใช้ชาเขียวร่วมกับดอกเก๊กฮวยสีเหลือง จะช่วยแก้อาการวิงเวียนศีรษะ
ตาลาย
ใช้ชาเขียวร่วมกับเนื้อลาไยแห้ง จะช่วยบารุงสมอง
และเสริมสร้างความจา
ใช้ชาเขียวร่วมกับโสมอเมริกา ทาให้สดชื่น แก้คอแห้ง
และช่วยบารุงหัวใจ
ใช้ชาเขียวร่วมกับบ๊วยเค็ม จะช่วยบรรเทาอาการคอแห้ง แสบคอ
เสียงแหบ
ใช้ชาเขียวร่วมกับขิงสด จะช่วยรักษาอาการอาหารเป็นพิษและจุกลม
ใช้ชาเขียวร่วมกับลูกเดือย จะช่วยลดอาการบวมน้า ตกขาว
มดลูกอักเสบ
ใช้ชาเขียวร่วมกับน้าตาลกลูโคส จะช่วยบรรเทาอาการตับอักเสบ
- 7. ใช้ชาเขียวร่วมกับเม็ดบัว จะช่วยบรรเทาอาการฝันเปียก
และยับยั้งการหลั่งเร็วของสุภาพบุรุษ
ประโยชน์ของชาเขียว
1. สาร epigallocatechin gallate (EGCG) ที่พบได้มากในชาเขียว
มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ ช่วยในการขับสารพิษในร่างกาย
สามารถกวาดล้างอนุมูลอิสระที่เป็นตัวกัดกร่อน DNA
ในกระแสเลือดลงได้
จึงส่งผลในการช่วยป้องกันความเสื่อมของเซลล์และอวัยวะต่าง ๆ
ภายในร่างกาย จนมีสุภาษิตจีนโบราณที่กล่าวไว้ว่า
"ขาดอาหารสามวันยังดีเสียกว่า ขาดชาเพียงวันเดียว"
และชาเขียวยังมีประโยชน์อย่างมากสาหรับผู้อยู่ในภาวะเครียดจากการ
ทางานสูง
และผู้ที่อยู่ในโปรแกรมการกาจัดไขมันหรือลดน้าหนักดังจะได้กล่าวใน
ข้อถัดไป
2. มีการพิสูจน์แล้วว่าสารต้านอนุมูลอิสระในชาเขียวสามารถช่วยชะลอควา
มแก่ชราและช่วยคงความอ่อนเยาว์ไว้ได้
3. แม้ว่าในอาหารอื่น ๆ จะมีคุณสมบัติในการต้านอนุมูลอิสระ เช่น
วิตามินซี วิตามินบี เบต้าแคโรทีน
แต่เมื่อเปรียบเทียบกันแล้วจะพบว่าคุณสมบัติในการต้านอนุมูลอิสระขอ
งโพลีฟีนอลในชาเขียวจะเหนือกว่า
4. การดื่มชาเขียวนอกจากจะดื่มเพื่อแก้กระหายแล้ว
ในชาเขียวยังมีกาเฟอีน (Caffeine) และธิโอฟิลลีน (Theophylline)
ซึ่งเป็นสารที่มีฤทธิ์กระตุ้นการทางานของระบบประสาทส่วนกลาง
ที่ช่วยแก้อาการง่วงนอนและทาให้ร่างกายรู้สึกสดชื่นกระปรี้กระเปร่า
กาเฟอีนยังช่วยกระตุ้นสมอง เพิ่มสมาธิ
เพิ่มอัตราการเผาผลาญในร่างกาย เพิ่มความดันโลหิต
ช่วยทาให้ระบบหมุนเวียนโลหิตทางานดีขึ้น และยังมีสารจาพวก
alcohol และ aldehyde ที่มีกลิ่นหอมทาให้รู้สึกผ่อนคลาย
5. มีงานวิจัยมากมายที่สนับสนุนได้ว่าการดื่มชาเขียวจะช่วยเพิ่มการเผาผล
าญพลังงานและไขมันได้ จึงส่งผลต่อการควบคุมน้าหนักของร่างกาย
และยังมีงานวิจัยที่แสดงให้เห็นว่า
- 8. การดื่มชาเขียวสามารถช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลโดยรวมได้
และยังช่วยลดระดับไขมันเลว (LDL) เพิ่มไขมันดี (HDL)
ที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย
ดังนั้นการดื่มชาเขียวจึงสามารถช่วยลดความอ้วนได้
โดยมีรายงานการทดลองที่แสดงให้เห็นว่าอาสาสมัครชาวญี่ปุ่นที่ดื่มชาเ
ขียววันละ 9 ถ้วย สามารถลดระดับคอเลสเตอรอลได้เฉลี่ย 8
มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร ส่วนผลการศึกษาจากมหาวิทยาลัยเจนีวา
ในสวิตเซอร์แลนด์ ที่ได้ตีพิมพ์ลงในวารสาร The American Journal
of Clinical Nutrition ในเดือนพฤศจิกายน ปี 1999 นักวิจัยได้พบว่า
ผู้ที่ดื่มกาเฟอีนและชาเขียว
จะมีอัตราการเผาผลาญแคลอรีมากกว่าคนที่ได้รับกาเฟอีนเพียงอย่างเดี
ยว ในขณะที่อีกงานวิจัยหนึ่งได้พบว่า
คนที่มีระดับคอเลสเตอรอลค่อนข้างสูง
เมื่อเสริมด้วยชาสกัดจากชาเขียวและชาดา เป็นเวลานาน 3 เดือน
จะมีระดับคอเลสเตอรอลที่ลดลงถึง 16% แต่สิ่งที่น่าสนใจก็คือ
ผลการวิจัยโดยใช้แต่สารสกัดจากชาเขียว
ไม่พบว่าช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลได้
แต่ก็ยังไม่แน่ใจว่าการเติมชาดาเข้าไปจะทาให้ผลวิจัยประสบความสาเร็
จ
6. ชาเขียวกับการลดน้าหนัก การดื่มชาเขียววันละ 2 ถ้วย
สามารถช่วยลดการเกิดไขมันส่วนเกินและทาให้รู้สึกอิ่มได้
ซึ่งจากการทดลองในหนูทดลอง
โดยให้หนูบริโภคอาหารตามปกติและเสริมด้วยสารสกัดจากเชียว
พบว่าการสะสมของไขมันในหนูทดลองลดลง เมื่อเทียบกับกลุ่มควบคุม
แต่เมื่อให้อาหารเสริมชาเขียวต่อไปนาน ๆ
ปริมาณของไขมันกลับไม่ลดลงต่าจนผิดปกติ
ส่วนการศึกษาในกลุ่มตัวอย่าง โดยการให้รับประทานชาเขียวสกัดวันละ
1,500 มิลลิกรัม ติดต่อกันเป็นเวลา 3 เดือน
พบว่ากลุ่มตัวอย่างมีน้าหนักตัวลดลงโดยรวมประมาณ 4.6%
หรือประมาณ 3.5 กิโลกรัม และรอบเอวลดลงโดยรวม 4.48%
หรือประมาณ 1.6 นิ้ว
จากการศึกษานี้ยังได้สรุปถึงกลไกการทางานของชาเขียวสกัดในการลด
น้าหนักไว้ว่า
เขียวสามารถช่วยยับยั้งเอนไซม์ไลเปสจากกระเพาะอาหารและตับอ่อน
ทาให้การย่อยไขมันลดลง ส่งผลให้ไขมันดูดซึมเข้าสู่ร่างกายได้น้อยลง
จึงช่วยลดการสะสมของไขมันใหม่ได้
อีกทั้งยังช่วยกระตุ้นระบบการเผาผลาญในร่างกาย
โดยการยับยั้งเอนไซม์ที่จะไปทาลาย Norepinephrine จึงทาให้
- 9. Norepinephrine อยู่ในร่างกายและออกฤทธิ์ได้นานขึ้น
ส่งผลทาให้การเผาผลาญไขมันในร่างกายมีเพิ่มมากขึ้น
7. สาร EGCG สามารถช่วยกาจัดไขมันคอเลสเตอรอลในหลอดเลือด
จึงส่งผลช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคความดันโลหิตสูงจากการอุดตั
นของไขมันในหลอดเลือดได้
8. ช่วยลดและควบคุมระดับน้าตาลในเลือด
จึงช่วยในการป้องกันและชะลอการเกิดโรคเบาหวานได้ เพราะสาร
catechins ในชาเขียวมีประสิทธิภาพในการจากัดการทางานของ
amylase enzyme
ทาให้ไม่สามารถดูดซึมน้าตาลกลูโคสเข้าสู่ร่างกายได้
ส่งผลทาให้น้าตาลในเลือดไม่สูงขึ้น
ซึ่งสอดคล้องกับการทดสอบในหนูทดลองที่พบว่า catechins
สามารถช่วยลดระดับกลูโคสและระดับอินซูลินในเลือดได้
และเมื่อทาการวิจัยกับอาสาสมัครโดยให้ catechins ในขนาด 300
มิลลิกรัม แล้วตามด้วยการบริโภคแป้งข้าว 50 กรัม
พบว่าระดับของกลูโคสและระดับของอินซูลินในเลือดไม่สูงขึ้นตามที่ควร
จะเป็น
9. การดื่มชาเขียวมีผลช่วยลดอัตราความเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็งต่าง ๆ
ได้ โดยผู้ที่ดื่มชาเขียวเป็นประจาจะมีอัตราการเป็นมะเร็งปอด
มะเร็งเต้านม มะเร็งลาไส้ มะเร็งกระเพาะอาหาร มะเร็งหลอดอาหาร
มะเร็งต่อมลูกหมาก มะเร็งตับอ่อนต่ากว่าผู้ที่ไม่ได้ดื่ม โดยมีสาร
EGCG เป็นสารต้านพิษ และช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็ง
ช่วยฆ่าเซลล์มะเร็ง โดยไม่ทาลายเนื้อเยื่อส่วนดี
(แต่ยังไม่มีงานวิจัยที่ยืนยันได้ว่าชาเขียวสามารถรักษาโรคมะเร็งได้)
ซึ่งในปี 1994 วารสารของสถาบันมะเร็งแห่งชาติ
ได้ตีพิมพ์ผลการศึกษาที่แสดงให้เห็นว่าการดื่มชาเขียวสามารถช่วยลดอั
ตราเสี่ยงของโรคมะเร็งหลอดอาหารในหมู่ชาวจีนทั้งหญิงและชายได้เกื
อบถึง 60% ส่วนนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยปูร์ดู ได้สรุปว่า
สารประกอบในชาเขียวสามารถช่วยยับยั้งการเติบโตของเซลล์มะเร็งได้
ส่วนนิตยสาร Herbs for Health
ได้อ้างตัวอย่างรายงานจากญี่ปุ่นว่าคนที่ดื่มชาเขียว 10 แก้วต่อวัน
จะปลอดโรคมะเร็งนานกว่าคนที่ดื่มชาเขียวน้อยกว่า 3 แก้วต่อวัน ถึง 3
ปี (ในชาเขียว 3 แก้ว มีโพลีฟีนอลประมาณ 240-320 มิลลิกรัม)
ซึ่งสอดคล้องกับงานวิจัยของนักวิทยาศาสตร์ชาวญี่ปุ่นที่สถาบันวิจัยมะเร็
ง Saitama ที่สรุปว่า
การเกิดโรคมะเร็งเต้านมหรือการขยายตัวของโรคนั้นจะน้อยลง
หากในประวัติผู้หญิงคนนั้นมีการดื่มชาเขียว 5 ถ้วย
หรือมากกว่านั้นต่อวัน และจากรายงานการแพทย์ของญี่ปุ่นในปี
- 10. ค.ศ.1982 และ 1987 ได้พบว่าในแถบจังหวัดมิซูโอกะ
ซึ่งเป็นถิ่นที่มีการดื่มชาเขียวกันมาก
มีอัตราการเกิดโรคมะเร็งในกระเพาะอาหารอยู่ในระดับต่ากว่าเกณฑ์เฉ
ลี่ย ส่วนรายงานจากทีมวิทยาศาสตร์จากศูนย์กลางการวิจัยโรคมะเร็ง
ในบริติช โคลัมเบีย
ได้สรุปว่าสารคาเทชินในชาเขียวสามารถยับยั้งการสร้างไรโตรซามีนซึ่ง
เป็นสารก่อมะเร็งได้
นอกจากนี้ยังมีการทดลองในหนูทดลองเพื่อศึกษาประสิทธิภาพในการป้
องกันโรคมะเร็งชนิดต่าง ๆ
โดยให้หนูทดลองบริโภคสารละลายโพลีฟีนอลแต่ละชนิด
และฉีดสารก่อมะเร็งเอ็นเอ็นเคเข้าไป ผลปรากฏว่าสารโพลีฟีนอล
EGCG
ที่พบมากในชาเขียวสามารถลดอัตราการก่อตัวเป็นมะเร็งได้ดีที่สุด
โดยนักวิทยาศาสตร์เชื่อว่า catechins
มีบทบาทช่วยลดภาวะเป็นพิษของสารก่อมะเร็งบางชนิด
แทรกแซงกระบวนเกาะยึดตัวของสารก่อมะเร็งต่อ DNA ของเซลล์ปกติ
มีฤทธิ์เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ทรงพลัง
ช่วยเสริมการทางานของสารต้านอนุมูลอิสระและเอนไซม์อื่น ๆ
และช่วยจากัดการลุกลามของเซลล์เนื้องอก
10. การวิจัยเมื่อปี 1997 ของมหาวิทยาลัยแคนซัส ได้สรุปว่า EGCG
นั้นมีฤทธิ์แรงเท่ากับ Resveratrol ถึงเกือบ 2 เท่า ซึ่งเป็นการอธิบายว่า
ทาไมชาวญี่ปุ่นจึงมีอัตราเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจค่อนข้างต่า
แม้ว่ามากกว่า 75% ของชาวญี่ปุ่นจะสูบบุหรี่ก็ตาม
แล้วทาไมชาวฝรั่งเศสจึงมีอัตราเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจน้อยกว่าชาว
อเมริกัน ทั้ง ๆ ที่บริโภคอาหารที่มีไขมันสูงเช่นกัน
สาเหตุก็เป็นเพราะชาวฝรั่งเศสชอบดื่มไวน์แดง ซึ่งมีสาร Resveratrol
ที่เป็นโพลีฟีนอล
ที่ช่วยลดอันตรายจากการสูบบุหรี่และรับประทานอาหารที่มีไขมันสูงนั่น
เอง
11. ชาเขียวมีฤทธิ์ต่อต้านและยับยั้งการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจ
จากข้อมูลในปัจจุบันได้แนะนาว่าการบริโภคอาหารที่มีสารต้านอนุมูลอิ
สระสามารถช่วยลดการเกิดโรคหัวใจ
เพราะสารต้านอนุมูลอิสระจะไปยับยั้งขบวนการออกซิเดชั่นของไขมัน
อันจะนาไปสู่การลดการเกิดของหลอดเลือดแข็งตัว
(antherosclerosis)
และลดความเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจได้ในที่สุด
12. สาร EGCG
สามารถช่วยยับยั้งการก่อตัวแบบผิดปกติของก้อนเลือด
- 11. ซึ่งเป็นสาเหตุของอาการหัวใจวายและลมชักได้ และจากผลการวิจัยอื่น
ๆ
ยังพบอีกว่าชาเขียวนั้นมีสรรพคุณเทียบเท่ากับยาแอสไพรินในการยับยั้ง
การแข็งตัวของเลือดที่ผิดปกติ
ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของโรคหัวใจวายและหลอดเลือดสมอง
13. สารไทอะนีน (Theanine)
เป็นกรดอะมิโนที่ทาให้ชาเขียวมีรสกลมกล่อม
สามารถช่วยควบคุมการทางานของสมองและลดความดันโลหิตได้
14. นอกจากชาเขียวจะมีสาร EGCG แล้ว ชาเขียวยังมีสารอื่น ๆ
ที่สาคัญอีกมากมาย เช่น วิตามินและเกลือแร่ต่าง ๆ ซึ่งจาเป็นต่อร่างกาย
สารคลอโรฟิลล์ (Chlorophyll)
ที่มีประโยชน์ต่อขบวนการสร้างเซลล์เม็ดเลือดแดง
และช่วยในการจับสารพิษตกค้างออกจากร่างกาย
15. มหาวิทยาลัย Cleveland's Western Reserve ได้สรุปว่า
การดื่มชาเขียว 4 แก้วหรือมากกว่านั้น
จะช่วยป้องกันโรคปวดข้อหรือลดอาการปวดในกรณีของคนที่ป่วยอยู่แล้
ว
16. เมื่อไม่นานมานี้ได้มีการศึกษาที่พบว่า สารประกอบหลัก
(EGCG)
ที่พบในชาเขียวมีบทบาทสาคัญในการป้องกันการติดเชื้อเอชไอวีได้
ซึ่งได้ตีพิมพ์ในวารสารวิทยาภูมิคุ้มกันทางการแพทย์และโรคภูมิแพ้
โดยผลการทดลองได้แสดงให้เห็นว่า
ชาเขียวเข้มข้นสามารถช่วยป้องกันไม่ให้เชื้อไวรัสเอชไอวีจับตัวกับเซล
ล์เม็ดเลือดขาวชนิดที่มีความสาคัญต่อภูมิคุ้มกันในร่างกายของเรา (T
cells) ซึ่งเป็นด่านแรกที่ทาให้มีโอกาสติดเชื้อเอชไอวีได้
ถ้ามีผลการศึกษาเพิ่มเติมยืนยันการวิจัยดังกล่าว
ก็อาจจะนาสารในชาเขียวมาใช้ทดลองในการผลิตยาเพื่อป้องกันการลุกล
ามของเชื้อเอชไอวีต่อไป
17. จากงานวิจัยของมหาวิทยาลัยในฮ่องกง
ได้พบว่าสารคาเทชินสามารถส่งเสริมการเจริญเติบโตของกระดูกได้ถึง
79% โดยไม่มีอันตรายใด ๆ ต่อกระดูก
ดังนั้นการดื่มชาเขียวอาจช่วยส่งเสริมสุขภาพของกระดูก
ช่วยป้องกันและรักษาโรคกระดูกพรุนหรือโรคทางกระดูกอื่น ๆ ได้
18. ชาเขียวยังช่วยป้องกันฟันผุได้ด้วย
เพราะชาเขียวมีความสามารถในการทาลายแบคทีเรีย
สามารถป้องกันอาหารเป็นพิษ
และยังช่วยฆ่าแบคทีเรียที่ก่อให้เกิดคราบพลัคในช่องปากได้อีกด้วย
ซึ่งจากการทดสอบในห้องปฏิบัติการพบว่า สาร catechins
- 12. สามารถช่วยยับยั้งกระบวนการผลิตกลูแคนของเชื้อ Streptococcus
mutans ในช่องปากได้อย่างมีประสิทธิภาพ
(เชื้อชนิดนี้เป็นสาเหตุของการเกิดฟันผุ)
จึงอาจกล่าวได้ว่าการดื่มชาเขียวหลังมื้ออาหารจะสามารถป้ องกันโรคฟั
นผุได้เป็นอย่างดี
19. ชาเขียวสามารถช่วยลดกลิ่นปากและแบคทีเรียในช่องปากได้
โดยช่วยทาให้ลมหายใจหอมสดชื่นและป้องกันการติดเชื้อ
ซึ่งจากการศึกษาของมหาวิทยาลัยเพส สหรัฐอเมริกา
พบว่าสารสกัดจากชาเขียวมีสรรพคุณช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของแบ
คทีเรียและทาลายจุลินทรีย์ที่เป็นสาเหตุของโรคต่าง ๆ
20. มีงานวิจัยที่ระบุว่า ถุงชา (tea bag) สามารถช่วยบาบัดโรค
"sick-house syndrome" หรือ มลภาวะภายในอาคารเป็นพิษ
(Indoor Air Pollution)
ซึ่งเป็นอาการป่วยที่มีสาเหตุมาจากการแพ้อากาศภายในอาคารหรือที่อยู่
อาศัย เช่น สารเคมีจากสีทาบ้าน เฟอร์นิเจอร์ที่มีสาร formaldehyde
ซึ่งผสมอยู่ในสารเคมีเพื่อการตกแต่งบ้าน
ซึ่งจากการทดลองพบว่าใบชาเขียวหรือดา ทั้งใหม่และแบบที่ชงแล้ว
สามารถช่วยดูดสารนี้ไว้แล้วไม่ปลดปล่อยสารกลับเข้าสู่บรรยากาศหลังจ
ากดูดไว้แล้ว วิธีการก็คือให้ทิ้งใบชาไว้ที่อับ เช่น ในตู้เก็บถ้วยชาม
ใบชาจะลดปริมาณของสาร formaldehyde
ที่มีอยู่ในอากาศได้ชาเขียวยังช่วยรักษาผิวที่ถูกแสงแดดทาลายได้ด้วย
นี่จึงเป็นเหตุว่าทาไมครีมหลายชนิดจึงมีชาเขียวเป็นส่วนประกอบ
21. ชาเขียวกับความงาม สูตรน้าแร่ชาเขียว
ชั้นตอนแรกให้นาน้าแร่มาต้มให้เดือด
แล้วใส่ผงชาเขียวหรือใบชาเขียวลงไป แล้วทิ้งไว้ให้เย็น
(ถ้าใช้ใบชาควรกรองเอาแต่น้า) เสร็จแล้วเทน้าใส่ขวดสเปรย์
ใช้เป็นสเปรย์น้าแร่ชาเขียว โดยนามาใช้ฉีดหน้าได้ทุกเวลาที่ต้องการ
โดยจะช่วยเพิ่มความชุ่มชื่นและความเปล่งปลั่งให้กับผิวหน้าของคุณได้เ
ป็นอย่างดี ส่วนอีกสูตรคือ สูตรถนอมผิวรอบดวงตาด้วยชาเขียว
ขั้นตอนแรกให้ต้มชาเขียวกับน้าเดือด แล้วนาไปแช่ในตู้เย็นให้เย็นจัด
แล้วใช้สาลีชุบชาเขียวให้เปียกชุ่ม
แล้วนามาวางบริเวณเปลือกตาทิ้งไว้ประมาณ 30 นาที
วิธีนี้จะช่วยลดริ้วรอยจากความอ่อนล้าของผิวรอบดวงตา
และยังช่วยลดอาการบวมของเปลือกตาและถุงใต้ตาได้ด้วย
ซึ่งจะช่วยทาให้ผิวนุ่มนวลและดูสดชื่น
22. ในปัจจุบันผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับชาเขียวก็มีวางจาหน่ายในหลากหลา
ยรูปแบบ โดยผู้ผลิตได้คิดค้นผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ
ที่มีส่วนผสมของสารสกัดจากชาเขียวหลั่งไหลออกมาสู่ท้องตลาดเป็นจา
- 13. นวนมาก ไม่ว่าจะเป็นผลิตภัณฑ์ถนอมผิว เครื่องสาอางต่าง ๆ สบู่
เกลืออาบน้า น้ายาดับกลิ่นตัว ครีมบารุงผิว โลชั่น ยาสีฟัน
น้ายาบ้วนปาก ฯลฯ
23. ชาเขียวยังนิยมนามาใช้เพื่อปรุงแต่งกลิ่น สี และรสชาติของอาหาร
เพื่อตอบสนองความต้องการที่หลากหลายของผู้บริโภค
โดยจัดเป็นสารให้กลิ่นรสจากธรรมชาติที่ได้รับความนิยมมากชนิดหนึ่ง
ส่วนผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนประกอบของชาเขียวในรูปของอาหาร ได้แก่ เค้ก
ขนมปัง ขนมขบเคี้ยว ช็อกโกแลต ลูกอม หมากฝรั่ง ฯลฯ
และยังถูกนามาใช้ในผลิตภัณฑ์ที่มีไขมันและน้ามัน
เพื่อป้องกันไม่ให้เหม็นหืนเร็ว
จนมีการศึกษาวิจัยถึงความเป็ นไปได้ที่จะนาสารสกัดจากชาเขียวมาใช้เ
ป็นสารกันบูดสาหรับอาหารสด
รวมไปถึงการนาชาเขียวมาผสมกับเส้นใยผ้า สาหรับเสื้อผ้า ผ้าเช็ดหน้า
ผ้าเช็ดตัว เป็นต้น
และยังมีการนาไปใช้เป็นส่วนผสมในแผ่นใยกรองอากาศสาหรับเครื่อง
ปรับอากาศ ซึ่งก็นับว่าเป็นการเพิ่มช่องทางพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ
หรือเป็นการเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้าหรือผลิตภัณฑ์ได้
ข้อควรระวังในการดื่มชาเขียว
สาหรับผู้ที่ไม่ควรบริโภคชาเขียวหรือควรปรึกษาแพทย์ก่อนการบริโภค
ได้แก่ ผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับโรคหัวใจ โรคความดันโลหิตสูง เป็นโรคไต
เป็นไฮเปอร์ไทรอยด์ ผู้ที่มีอาการนอนไม่หลับ
ผู้ที่มีเลือดออกผิดปกติหรือมีการแข็งตัวของเลือดที่ผิดปกติ
ผู้ป่วยที่กาลังรับประทานยาละลายลิ่มเลือด สตรีมีครรภ์
- 14. กระเพาะอาหารอักเสบ
รวมไปถึงผู้ที่กังวลง่ายหรือมีอาการผิดปกติทางระบบประสาท
จากงานวิจัยหลายชิ้นได้ระบุว่า
อุณหภูมิและเวลามีผลต่อการลดลงของสารต้านอนุมูลอิสระที่มีอยู่ในชาเ
ขียว ซึ่งบางบทความที่เผยแพร่ในบ้านเรา ได้ระบุว่า
"เป็นเรื่องน่าห่วงสาหรับคนไทยนิยมที่ดื่มชาเขียวแช่เย็นที่มีขายตามท้อ
งตลอด ซึ่งในประเทศที่ดื่มชาเขียวเป็นประจาอย่างญี่ปุ่นเขาจะไม่ทากัน
เพราะชาเขียวจะมีประโยชน์ต่อร่างกายในขณะที่ยังร้อนอยู่เท่านั้น
ในทางกลับกันก็เป็นโทษต่อร่างกายหากดื่มชาเขียวแช่เย็น
เพราะนอกจากจะไม่ช่วยในการต้านอนุมูลอิสระและขับสารพิษออกจาก
ร่างกายแล้วยังก่อให้เกิดการเกาะตัวแน่นของสารพิษดังกล่าวอันเป็ นสาเ
หตุของมะเร็ง
นอกจากนี้ชาเขียวเย็นยังส่งผลให้ไขมันในร่างกายก่อตัวมากขึ้นตามผนั
งหลอดเลือด และไปอุดตันตามผนังลาไส้ ทาให้เกิดโรคต่าง ๆ
ตามมามากมาย เช่น หลอดเลือดหัวใจอุดตัน เส้นเลือดตีบ มะเร็งลาไส้
ฯลฯ เป็นต้น"
แม้ว่าจะไม่มีงานวิจัยรองรับว่าการดื่มชาเขียวเย็นจะเป็นโทษต่อร่างกาย
มากมายขนาดนั้นก็ตาม แต่บางข้อมูลกลับระบุว่า
การดื่มชาเขียวร้อนหรือเย็น (แบบชงเอง) ไม่น่าจะมีความแตกต่างกัน
การบริโภคชาเขียวในปริมาณสูงและติดต่อกันเป็นระยะเวลานานอาจส่ง
ผลเสียต่อตับได้ เพราะมีรายงานการวิจัยในหนูเม้าส์ พบว่าสาร
epigallocatechin gallate (EGCG)
ส่งผลให้ตับถูกทาลายเล็กน้อยเมื่อบริโภคในขนาดสูง (2,500 มก./กก.)
ติดต่อกัน 5 วัน
และความเป็นพิษต่อตับจะยิ่งเพิ่มขึ้นเมื่อบริโภคชาเขียวในขณะเป็นไข้
(แต่การบริโภคชาเขียวในช่วงระยะเวลาสั้น ๆ
นั้นยังถือว่ามีความปลอดภัยครับ)
สาหรับผู้ที่มีความผิดปกติเกี่ยวกับตับหรือมีอาการไข้
ควรหลีกเลี่ยงการบริโภคชาเขียวในขนาดสูงและติดต่อกันเป็นเวลานาน
ผลเสียของการดื่มชาเขียว คือ จะมีอาการนอนไม่หลับ
(เนื่องมาจากกาเฟอีน) แต่อย่างไรก็ตาม
ชาเขียวก็ยังมีปริมาณกาเฟอีนที่น้อยกว่ากาแฟ กล่าวคือ
ชาเขียวประมาณ 6-8 ออนซ์จะมีกาเฟอีนประมาณ 30-60 มิลลิกรัม
แต่ในขณะที่กาแฟ 8 ออนซ์จะมีปริมาณของกาเฟอีนมากกว่า 100
มิลลิกรัม
ในชาเขียวมีสารแทนนิน (Tannin)
ซึ่งมีฤทธิ์ฝาดสมานและเป็นสารที่ช่วยบรรเทาอาการท้องเสีย
- 15. จึงมีความเป็นไปได้ว่าการดื่มชาเขียวในปริมาณมากเกินไป
จะสามารถทาให้ท้องผูกได้
ใบชามีองค์ประกอบของฟลูออไรด์ในปริมาณที่ค่อนข้างสูง
(สูงกว่าในน้าประปา)
การที่ร่างกายได้รับสารนี้เข้าไปทุกวันจากการดื่มชา
จะเกิดการสะสมและมีผลให้ไตวาย เกิดโรคมะเร็งลาไส้ เป็นโรคข้อ
โรคกระดูกพรุน และโรคอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับกระดูก
สาหรับในผู้ที่ดื่มไม่มาก ก็คงไม่ต้องเป็นกังวล
ใบชายังมีสารที่ไม่ดีต่อสุขภาพอีก คือ สารออกซาเรต (Oxalate)
ซึ่งเป็นสารที่มีผลทาลายไต
แม้ว่าในใบชาจะมีสารชนิดนี้อยู่ไม่มากก็ตาม
แต่สาหรับผู้ที่ดื่มชาในปริมาณมากและดื่มเป็นประจา
สารออกซาเลตก็จะสะสมในร่างกายได้
โทษของการดื่มชาต่อร่างกายก็มีรายงานไว้เช่นกัน
จึงมีคาแนะนาว่าไม่ให้เด็กดื่มชาเขียว
เพราะจะทาให้ร่างกายขาดสารอาหารได้ โดยเฉพาะสารสาคัญ คือ
แทนนิน จะไปตกตะกอนโปรตีนและแร่ธาตุต่าง ๆ
จากอาหารที่เรารับประทานเข้าไป
จึงส่งผลทาให้การดูดซึมสารอาหารในร่างกายลดลงด้วย
สาหรับบางคนที่ดื่มชาเขียวก็อาจทาให้เกิดอาการแพ้ได้เช่นกัน
แต่ก็พบได้ไม่บ่อยนัก
ซึ่งถ้าเกิดอาการแพ้ก็ควรหยุดบริโภคชาเขียวและไปพบแพทย์ทันที
โดยเฉพาะอย่างยิ่งสาหรับผู้ที่มีอาการแพ้อย่างรุนแรง เช่น หายใจติดขัด
ริมฝีปาก ลิ้น และใบหน้าบวม หรือเป็นลมพิษ
รู้สึกแน่นเหมือนมีอะไรติดคอ และอาจมีผลข้างเคียงเล็กน้อยอื่น ๆ
ที่เกิดขึ้นได้เช่นกัน เช่น ปวดศีรษะ มีอาการเสียดคอและหน้าอก
ท้องเสีย ท้องร่วง มีอาการท้องผูก เบื่ออาหาร มีอาการหงุดหงิดง่าย
เป็นกังวล นอนไม่หลับ มีอาการตกใจ หัวใจเต้นผิดปกติ
หรือมีผลข้างเคียงอื่น ๆ อีกนอกจากที่กล่าวมา ก็ให้รีบไปพบแพทย์ทันที
ส่วนข้อมูลจากนายกสมาคมแพทย์แผนจีน ได้ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า
ถึงแม้ว่าชาเขียวจะมีประโยชน์ต่อร่างกายมากมายก็ตาม
แต่ในความเป็นจริงแล้วชาเขียวก็มีสารที่เป็นโทษต่อร่างกายด้วยเช่นกัน
แต่ไม่ถึงกับเป็นอันตรายมากนัก
ส่วนมากจะเกิดกับผู้ที่มีสภาพร่างกายไม่ค่อยแข็งแรง
เมื่อดื่มแล้วทาให้มีอาการใจสั่น นอนไม่หลับ
มีอาการระคายเคืองกระเพาะอาหาร ท้องผูก ฟันดา
และหากดื่มอย่างต่อเนื่องก็อาจเป็นการเสพติดได้
- 17. ที่ 0 1 2 3 4 5 6
1 คิดหัวข้อโครงงาน
2 ศึกษาและค้นคว้า
ข้อมูล
3 จัดทาโครงร่างงาน
4 ปฏิบัติการสร้างโค
รงงาน
5 ปรับปรุงทดสอบ
6 การทาเอกสารราย
งาน
7 ประเมินผลงาน
8 นาเสนอโครงงาน
ผลที่คาดว่าจะได้รับ
.....................................................................................................
.....................................................................................................
.....................................................................................................
.....................................................................................................
.....................................................................................................
.................
สถานที่ดาเนินการ
.....................................................................................................
.....................................................................................................
.....................................................................................................
.....................................................................................................
.....................................................................................................
.................กลุ่มสาระการเรียนรู้ที่เกี่ยวข้อง
.....................................................................................................
.....................................................................................................
.....................................................................................................
.....................................................................................................
.....................................................................................................
.................
บรรณานุกรม
.................................................................................................
.....................................................................................................
.....................................................................................................
.....................................................................................................