More Related Content
Similar to โครงการซ่อมแซมป้าย เพื่อวัดที่ขาดแคลน
Similar to โครงการซ่อมแซมป้าย เพื่อวัดที่ขาดแคลน (20)
โครงการซ่อมแซมป้าย เพื่อวัดที่ขาดแคลน
- 1. โครงงาน
เรื่อง โครงการซ่อมแซมป้าย เพื่อวัดที่ขาดแคลน
จัดทาโดย
นางสาววณิชยา ประพันธุ์ เลขที่ 11
นางสาวมุกอาภา แม้นจิตต์ เลขที่ 18
นางสาวศรัณย์พร รุ่งเรือง เลขที่ 19
นางสาวธณาภา ศรีวลีรัตน์ เลขที่ 22
นางสาวธันย์ชนก หงษ์โต เลขที่ 37
ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6/2
เสนอ
ครูทรงศักดิ์ โพธิ์เอี่ยม
รายวิชา IS3
โรงเรียนเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระศรีนครินทร์ กาญจนบุรี
ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2558
- 5. ง
สารบัญภาพ
รูปที่ 2.1 รูปป้ายที่ทําจากแผ่นอะคริลิค............................................................................................12
รูปที่ 2.2 รูปป้ายที่ทําจากแผ่นไม้กระดาน........................................................................................13
รูปที่ 2.3 รูปป้ายที่ทําจากไม้............................................................................................................13
รูปที่ 2.4 รูปป้ายที่ทําจากแผ่นโลหะสังกะสี....................................................................................13
รูปที่ 2.5 รูปวัดเขาเม็งอมรเมศร์........................................................................................................14
รูปที่ 2.6 รูปแผนที่วัดเขาเม็งอมรเมศร์..............................................................................................15
- 6. 1
บทที่ 1 บทนา
1.1 หลักการและเหตุผล
เนื่องจากในสังคมของเราผู้คนส่วนใหญ่ที่นับถือศาสนาพุทธมักเข้าวัดทําบุญ พึ่งพิงศาสนา
อยู่เป็นประจํา ทั้งการทําบุญตักบาตรตอนเช้า การสวดมนต์ไหว้พระก่อนนอน ถึงไม่ได้เข้าวัดแต่ก็
ถือว่าเป็นการทําบุญทั้งสิ้น ซึ่งคนส่วนใหญ่ที่อยู่ในศาสนาพุทธเมื่อถึงวันสําคัญ เช่น วันมาฆบูชา
วันวิสาขบูชา วันอาสาฬหบูชา วันเข้าพรรษา วันออกพรรษา วันพระใหญ่ และวันสําคัญต่างๆอีก
หลายวัน ผู้คนก็จะเข้าวัดไปทําบุญ และให้ความสําคัญกับวันต่างๆในทางศาสนาเป็นอย่างมาก จึงจะ
เห็นได้ว่าทุกคนมีความเกี่ยวเนื่องกับการเข้าวัดการไปทําบุญหรือทํากิจกรรมทางศาสนาต่างๆที่วัด
ซึ่งคนไทยส่วนมากจะให้ความสําคัญในการเข้าวัดจํานวนมาก เนื่องจากคนไทยส่วนมาก
นับถือศาสนาพุทธ มีวัดเป็นที่พึ่งทางจิตใจให้กับผู้คน ทุกคนจึงเข้าวัดทําบุญกันมาก แต่เนื่องจาก
ประเทศไทยเป็นประเทศที่คนส่วนใหญ่จะทําอาชีพเกษตรกร ทําให้มีรายได้มีไม่มากนักที่จะบริจาค
เงินในการทําบุญให้ในจํานวนมากๆ ทําให้วัดในไม่ค่อยได้รับการพัฒนามากเท่าที่ควร ไม่ค่อย
ได้รับการดูแลซ่อมแซมสิ่งต่างๆในภายในวัด และบางวัดที่อยู่ในต่างจังหวัดยังไม่มีป้ายในการเดิน
ทางเข้า-ออก หรือบอกสถานที่ภายในวัดเลย ถึงมีเมื่อใช้มาเป็นระยะเวลานานก็มีการผุผัง แล้วไม่ได้
รับการซ่อมแซม ผู้คนที่เข้าไปทําบุญในวัดจึงไม่ค่อยได้รับความสะดวกในการเดินทางเข้าไปใ นวัด
หรือไปในที่ต่างๆในวัดก็ไม่ค่อยสะดวก
ดังนั้นกลุ่มของข้าพเจ้าจึ้งได้จัดทําโครงการซ่อมแซมป้าย เพื่อวัดที่ขาดแคลน นี้ขึ้น เพื่อให้ผู้
ที่ไปเข้าวัดทําบุญหรือไปทําประโยชน์ต่างๆให้กับวัด เกิดความสะดวกในการเดินทางเข้าวัดได้มาก
ยิ่งขึ้น และยังได้ทําป้ายบอกคําคม สุภาษิตต่างๆ เพื่อเตือนใจให้ข้อคิดกับผู้ที่เข้าวัดได้มีสติ รู้จักคิด
รู้จักทําในสิ่งต่างๆเพิ่มมากขึ้นอีกด้วย
- 7. 2
1.2 การบูรนาการกับหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง
ก. ความพอประมาณ คือ ในการทําป้ายบอกสถานที่ต่างๆภายในวัด และป้ายคําคม สุภาษิต
กลุ่มของข้าพเจ้าได้คํานึงถึงผลประโยชน์ที่จะมีต่อส่วนรวมในการทําโครงการนี้ โดยกลุ่มของ
ข้าพเจ้าเลือกทําโครงการที่วัดเขาเม็งอมรเมศร์ เนื่องจากวัดมีไม่กว้างมากนัก ทําให้เราสามรถทําป้าย
ต่างๆได้อย่างทั่วถึงทั้งวัดและเพียงพอกับความต้องการของวัดได้ ใช้เงินในการทําโคร งการไม่มาก
เกินไป และสถานที่ตั้งของวัดไม่ไกลจากบ้านของคนในกลุ่มไม่ต้องเสียเงินไปทําโครงการใน
สถานที่ไกลๆอีกด้วย
ข. ความมีเหตุผล คือ การที่กลุ่มของข้าพเจ้าเลือกทําโครงการนี้ เพราะ ทุกคนในกลุ่มมี
ความคิดเห็นที่ตรงกันว่าวัดเขาเม็งอมรเมศร์ มีป้ายบอกสถานที่ต่ างๆภายในวัดจํานวนน้อย และไม่
ค่อยมีความแข็งแรง แน่นหนามากนัก ทําให้ผู้ที่ไปทําบุญที่วัดเกิดความไม่สะดวกเมื่อจะเดินไป
สถานที่ต่างๆภายในวัดกลุ่มของข้าพเจ้าจึงจัดทําโครงการนี้ขึ้นมา
ค. การมีภูมิคุ้มกันที่ดี คือ ก่อนที่กลุ่มของข้าพเจ้าจะเริ่มทําโครงการนี้ ได้มีการศึกษาหา
ข้อมูลก่อนแล้วว่าวัดไหนบ้างที่ไม่มีป้ายบอกสถานที่ต่างๆภายในวัด ป้ายคําคม สุภาษิต และได้
ศึกษาถึงสถานที่ตั้งของวัดและการเดินทางไปทําโครงการก่อนที่จะเริ่มทําโครงการนี้ขึ้น ทั้งในการ
ทําโครงการนี้ยังสามารถสร้างประโยชน์ให้กับส่วนรวมได้มากขึ้น
ง. เงื่อนไข
เงื่อนไขความรู้ คือ ในการทําป้ายช่วยบอกถึงสถานที่ต่างๆภายในวัด เราสามารถนํา
ความรู้ทางคณิตศาสตร์ คือ การทําขนาดของป้ายให้เหมาะสถานที่ การเลือกความหนาของป้ายให้
เหมาะสมกับการติด และยังนําความรู้ทางด้านศิลปะมาประยุกต์ใช้ในการทําป้ายให้เหมาะสมกับ
สถานที่ และความรู้ทางด้านสังคมในการคิดคําคม สุภาษิตต่างๆ เพื่อเตือนใจผู้ที่มาเข้าได้อีกด้วย
เงื่อนไขคุณธรรม คือ ในการทําโครงการซ่อมแซมป้าย เพื่อวัดที่ขาดแคลนนั้น เป็น
โครงการจิตอาสาที่ทําให้เรามีจิตสาธารณะที่จะช่วยเหลือและสร้างประโยชน์ให้กับส่วนรวมมากขึ้น
เป็นโครงการที่ทําให้เราคํานึงถึงประโยชน์ของส่วนรวมได้มากขึ้น โดยที่เราไม่หวังสิ่งตอบแทน
ใดๆกลับคืนมา แต่ช่วยสร้างจิตอาสาให้กับเราได้มากขึ้น
- 9. 4
บทที่ 2 เอกสารที่เกี่ยวข้อง
วัยรุ่นกับการเข้าวัดทาบุญ
เมื่อสมัยก่อนจะเห็นได้ว่าวัดและสังคมไทยไม่ว่าจะเป็นในเมืองหรือชนบทต่างมีความ
ใกล้ชิดผูกพันกันเป็นอย่างมาก ซึ่งไม่เพียงแต่วัดจะเป็นสถานที่ทําบุญ แหล่งผ่อนคลายสงบจิตสงบ
ใจ จะเห็นได้ว่าเด็กไทยสมัยก่อน มองว่าวัดเปรียบเสมือนแหล่งศึกษาหาความรู้ หรือแม้แต่การเรียน
หนังสือเอง ผู้สอนก็เป็นพระสงฆ์ที่จําพรรษาอยู่ในวัด แต่ด้วยการเปลี่ยนแปลงของโลก เทคโนโลยี
เข้ามามีบทบาทในชีวิต ประจําวันของผู้คนมากขึ้น การติดต่อสื่อสารระหว่างกันมีความสะดวก
ง่ายดาย ถึงกระนั้น โลกไอทีก็เป็นตัวเพิ่มช่องว่างและระยะห่างระหว่างคนกับวัด และพุทธศาสนา
มากขึ้น
ถึงแม้ในขณะนี้จะมีหลายหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้องออกมากระตุ้นความสนใจของ
เยาวชนให้เข้ากับยุคกับสมัยผ่ านสื่ออินเตอร์เน็ ต มีหลายๆ เว็ บไซด์ ที่สามารถเข้าไปศึกษาข้อมูล
ต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับพระพุทธศาสนา หรือแม้แต่การฟังธรรมออนไลน์ ก็มุ่งหวังสอดแทรกธรรมะ
ส่งผ่านไปยังคนรุ่นใหม่เช่นกันทั้งนี้ก็เพื่อหวังให้เยาวชนรุ่นใหม่ๆ ได้เข้าใจถึงพระพุทธศาสนามาก
ยิ่งขึ้น และอยากปลูกฝังเด็กรุ่นใหม่ๆ ให้เข้าใจถึงความสําคัญของวัด การเข้าวัดทําบุญ
โดยการเข้าวัดทําบุญนั้นมีหลายประเภท ทั้งเข้ามากราบไหว้บูชาพระพุทธรูป หรือพระสงฆ์
เพื่อเป็นสิริมงคลแก่ตัวเอง การฟังเทศน์ การถวายภัตตาหารเช้า หรือเพล การถวายสังฆทาน การ
ปฏิบัติธรรมนั่งสมาธิ เจริญ ภาวนา นุ่งขาวถือศีล 8 ซึ่งในปัจจุบันนอกจากวัดแล้วก็ยังมีสถานที่
ปฏิบัติธรรมอื่นๆ อีกมากมาย ซึ่งเดี๋ยวนี้มีความคิดสมัยใหม่มากขึ้น มีการสอนธรรมะในรูปแบบ
ใหม่ๆ ที่ทําให้วัยรุ่นเข้าใจได้มากขึ้น ทําให้วัยรุ่นที่ได้รับฟังการเทศนาเข้าใจและเห็นภาพได้มาก ขึ้น
ทําให้การทําบุญก็มีมากตามไปด้วยนั่นเอง
การสร้างจิตสาธารณะในสังคมไทย
ความเจริญรุ่งเรืองทางด้านวัตถุในปัจจุบัน เป็นสาเหตุที่ทําให้สังคมโดยทั่วไป มี
ค่านิยมที่ให้ความจิตสาธารณะสําคัญ ในการแสวงหาเงินทอง แสวงหาอํานาจ บารมี มากกว่าที่จะให้
ความสําคัญทางด้านจิตใจ สังคมในปัจจุบันจึงกลับเสื่อมโทรมลงอย่างเห็นได้ชัดเจนปัญหาต่าง ๆ ที่
มีมากมาย ดังนั้นการปลูกฝังความสํานึก ให้กับบุคคล เพื่อให้มีความรับผิดชอบต่อตนเองและสังคม
จึงควรที่จะเกิดขึ้นในสังคม ด้วยเหตุนี้ ในปัจจุบัน จึงมีการกล่าวถึงคําว่า “จิตสาธารณะ” เพื่อให้ผู้คน
- 10. 5
ได้ตระหนักถึงความรับผิดชอบต่อสาธารณะมากกว่าตนเอง นั่นหมายถึงว่า ทุก คนต้องมีการให้
มากกว่า การรับ เพราะสิ่งเหล่านี้ ถ้าสามารถปลูกฝังให้เด็กและเยาวชนได้ตระหนักสังคมย่อมได้รับ
แต่ความสุขอย่าง แน่นอน คําว่า “จิตสาธารณะ” จึงมีความสําคัญต่อชีวิตและความเป็นอยู่ของมนุษย์
โดยส่วนรวมการปลูกฝังความสํานึก กับบุคคลต่าง ๆ ให้มีความรับผิดชอ บต่อตนเองและสังคมหรือ
สาธารณะ จะเป็นการสร้างคุณธรรมจริยธรรม ให้เกิดขึ้นกับบุคคลโดยทั่วไป โดยเฉพาะ เด็กและ
เยาวชน รวมทั้ง ประชาชนทั่วไป สิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจากภายในกายของคน "จิตสาธารณะ"
เป็นความสําคัญในการปลูกจิตสํานึกให้ผู้คนรู้จัก การเสียสละ การร่ วมแรงร่วมใจร่วมมือในการทํา
ประโยชน์ เพื่อสังคมและส่วนรวม อีกทั้งจะช่วยลดปัญหาที่เกิดขึ้นกับตนเองและสังคม การช่วยกัน
พัฒนาคุณภาพชีวิต อันจะเป็นหลักการในการดําเนินชีวิต เป็นการแก้ปัญหาและสร้างสรรค์ เพื่อให้
เกิดประโยชน์สุขกับสังคมอย่างได้ผลเป็นเชิงประจักษ์ได้
พจนานุกรมไทยฉบับของราชบัณฑิตยสถาน (ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 14 ปรับปรุง-เพิ่มเติมใหม่ )
พ.ศ. 2537 ได้ให้ความหมายของ
จิตสาธารณะ ไว้ดังนี้
จิต (จิด) น. มีความหมายว่า ใจ, ความรู้สึกนึกคิด
สาธารณ (สา-ทา-ระ-นะ) หรือ สาธารณะ มีความหมายว่า ทั่ วไป, เป็นของกลางสําหรับ
ส่วนรวม สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ ได้ให้ความหมายของ จิตสาธารณะ ว่า การรู้จักเอา
ใจใส่เป็นธุระและเข้าร่วมในเรื่องของส่วนรวมที่เป็นประโยชน์ต่อ ประเทศชาติ มีความสํานึกและยึด
มั่นในระบบคุณธรรม และจริยธรรมที่ดีงาม ละอายต่อสิ่งผิด เน้น ความเรียบร้อย ประหยัดและมี
ความสมดุลระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติ
จากความหมายดังกล่าวพอสรุปได้ว่า “จิตสาธารณะ ” หมายถึง “ความรู้สึกนึกคิดที่เป็น
ส่วนรวม” หรือพูดและฟังได้ง่าย ๆ ว่า “การตระหนักรู้ และคํานึงถึงการมีส่วนรวมร่วมกัน การ
ตระหนักรู้ตน ที่จะทําสิ่งใด สิ่งหนึ่งเพื่อเห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวม หรือการคํานึงถึงผู้อื่นที่มี
ความสัมพันธ์ที่เป็นสังคมเดียวกัน เป็นการแสดงออกเพื่อสังคมส่วนรวม การบริการชุมชน การทํา
ประโยชน์เพื่อสังคม ถ้าเป็นวัตถุหรือสิ่งของทุกคนสามารถใช้ประโยชน์ร่วมกันได้”
- 11. 6
ดังนั้นจิตสาธารณะ จึงเปรียบได้กับความรู้สึกนึกคิด ถึงการเป็นเจ้าของในสิ่งทีเป็นสาธารณะ
ร่วมกัน การใช้สิทธิและหน้าที่ที่จะดูแล รวมทั้งการบํารุงรักษาสิ่งของที่เป็นของส่วนรวมร่วมกัน
เช่น การช่วยกันดูแลรักษาสิ่งแวดล้อมโดยไม่ทิ้งขยะลงที่พื้นทั่วไปต้องทิ้งขยะใน ที่จัดไว้ให้ ไม่ทิ้ง
ขยะลงในแหล่งน้ํา การดูแลรักษาสาธารณะสมบัติ เช่นโทรศัพท์สาธารณะ หลอดไฟฟ้าที่ให้แสง
สว่างตามถนนหนทาง การใช้น้ําธรรมชาติและน้ําประปาอย่างประหยัดร่วมกัน การใช้กระแสไฟฟ้า
สาธารณะให้เกิดประโยชน์อย่างคุ้มค่าตลอดจนช่วยเหลือดูแลผู้ ตกทุกข์ได้ยาก อันเป็นการให้
โอกาสกับผู้ด้อย โอกาสตามสมควร แต่ต้องไม่ทําให้ตนเองและครอบครัวเดือดร้อน และการ
ช่วยเหลือต้องไม่ขัดต่อกฎหมายบ้านเมือง อันเป็นประโยชน์ของส่วนรวม
หากคนในสังคมขาดจิตสาธารณะแล้ว ก็จะเกิดผลกระทบมากมายเช่น ทําให้เกิดความ
เดือดร้อนแก่ตนเองและผู้อื่น ในครอบครัวมีความเป็นน้ําห นึ่งใจเดียวกันน้อยลง แก่งแย่ง ทะเลาะ
เบาะแว้ง เกิดการแบ่งพรรคแบ่งพวก เห็นแก่ตัว ชิงดีชิงเด่น เบียดเบียนสมบัติขององค์กรเพื่อมาเป็น
สมบัติของตนเอง องค์กรไม่ก้าวหน้า ประสิทธิภาพและคุณภาพของงานลดลง ทําให้ชุมชนเกิดความ
อ่อนแอ เพราะต่างคนต่างอยู่ ไม่มีการพัฒนา ยิ่งป ล่อยนานยิ่งทรุดโทรม เกิดอาชญากรรมในชุมชน
ขาดศูนย์รวมจิตใจ ขาดผู้นําที่นําไปสู่การแก้ปัญหา เพราะแต่ละคนมองเห็นเรื่องของตนเองเป็นใหญ่
เกิดวิกฤตการณ์ภายในประเทศบ่อยครั้งและแก้ปัญหาไม่ได้เกิดการเบียดเบียน ทําลายทรัยยากรและ
สมบัติของส่วนรวม ประเทศชาติล้าหลัง ขาดพลังของคนในสังคม เมื่อนํามาตรการใดออกมาใช้ก็ไม่
ได้ผลเนื่องจากไม่ได้รับความร่วมมือ เกิดการแบ่งพรรคแบ่งพวก แก่งแย่งแข่งขัน ทุจริตคอรัปชั่น
ทําให้เกิดการเอารัดเอาเปรียบระหว่างประเทศ ทําให้เกิดปัญหา เช่น การสะสมอาวุธ การกลั่นแกล้ง
แก่งแย่งหรือครอบงําทางการค้าระหว่างป ระเทศเกิดการรังเกียจเหยียดหยามคนต่าง ชาติพันธุ์ของ
ตนเองดูถูก
จิตสาธารณะ ดังนั้น จิตสาธารณะ หรือจิตสํานึกสาธารณะ เป็นสิ่งที่มีความจําเป็น อันจะ
เป็นประโยชน์ ในทุกระดับของสังคม ถ้าหากได้มีการพัฒนาให้เกิดขึ้นได้อย่างเข้มแข็ง ตั้งแต่บุคคล
ในระดับครอบครัว ทั่วโลก ย่ อมส่งผลดีในระดับที่สูงขึ้นเป็นลําดับ และที่สําคัญที่สุดการสร้างและ
ปลูกฝังจิตสํานึก ที่ดีนั้น ต้องสร้างกับ เด็กและเยาวชน เพราะเด็กสามารถรับรู้ในสิ่งที่ดีงามจากพ่อ
แม่ที่บ้าน รับรู้จากผู้หลักผู้ใหญ่ ผู้นําชุมชน พระสงฆ์องค์เจ้า ดูแลลูกหลานในระดับชุมชนและสังคม
และสถาบันการศึกษาที่นอกจากจะอบรมสั่งสอนทั้งด้านวิชาการ ยังจะต้อง อบรมคุณธรรม
- 12. 7
จริยธรรม ปลูกฝังให้เด็กและเยาวชนรู้จักการเสียสละ การให้ มากกว่า การรับ อย่างเดียวจะทําให้เด็ก
และเยาวชน พัฒนาจิตใจในการช่วยเหลือผู้อื่น มีความอ่อนน้อมถ่อมตน เตรียมเข้าสู่การพัฒนา
จิตใจตนเองสู่จิตสํานึกสาธารณะต่อไปในอนาคต
เด็กที่มีจิตสาธารณะมีลักษณะอย่างไร
เด็กที่มีจิตสาธารณะจะมีพฤติกรรมที่แสดงออกถึง ความรับผิดชอบต่อสาธารณสมบัติด้วย
การเอาใจใส่ดูแลเป็นธุระ และเข้าร่วมในเรื่องส่วนรวมที่เป็นประโยชน์ร่วมกันของกลุ่ม โดย
หลีกเลี่ยงการใช้หรือกระทําที่ทําให้เกิดการชํารุดเสียหายต่อของส่วนรวม การถือเป็นหน้าที่ที่จะมี
ส่วนร่วมในการดูแล การเคารพสิทธิในการใช้สาธารณสมบัติของผู้อื่น มุ่งปฏิบัติเพื่อส่วน รวมใน
การดูแลรักษาของส่วนรวม เช่น การทําตามหน้าที่ที่กําหนดการดูแลความสงบเรียบร้อย การรักษา
สาธารณสมบัติ รับรู้ถึงปัญหาที่เกิดขึ้น มีส่วนร่วมในการหาแนวทางป้องกันแก้ไข รวมไปถึงการรับ
อาสาทําบางอย่างเพื่อส่วนรวม เคารพสิทธิของผู้อื่นในการใช้ของส่วนรวม ไม่ปิดกั้นในการใช้ของ
บุคคลอื่น มีการแบ่งปันหรือเปิดโอกาสให้ผู้อื่นได้ใช้ของส่วน รวม ไม่ยึดครอ งของส่วนรวมมาเป็น
ของตนเอง ซึ่งสังเกตได้ ดังนี้
คิดในทางบวก (Positive thinking) คือ คิดในทางที่ดีต่อคนอื่น
มีส่วนร่วม (Participation) คือ การมีส่วนร่วมในการอยู่ร่วมกับผู้อื่น รู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของ
สังคม การอยู่ร่วมกันอย่างกลมกลืน เกื้อกูล เป็นธรรมชาติ
ทําตัวเป็นประโยชน์ (Useful) คือ เป็นประโยชน์ต่อผู้อื่น ต่อสาธารณะ ต่อสังคม ไม่นิ่งดู
ดาย อะไรที่เป็นประโยชน์ต่อสาธารณะแม้เพียงเล็กน้อยก็จะทํา
ไม่เห็นแก่ตัว (Unselfish) คือ การฝึกเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ซึ่งกันและกัน แบ่งปันของเล่น ของใช้
ให้เพื่อน รู้จักให้ทาน
มีความเข้าใจ (Understand) คือ เข้าใจผู้อื่น (Empathy) ไม่ทับถมผู้อื่น ไม่ซ้ําเติมผู้อื่น
มีใจกว้าง (Broad Mind) คือ มีจิตที่กว้างใหญ่ เปิดกว้าง ไม่คับแคบ รับฟังความคิดเห็นของ
ผู้อื่น รับฟังข้อมูล แสวง หาความรู้ใหม่อยู่เสมอ
- 13. 8
มีความรัก (Love) คือ รักเพื่อน รักผู้อื่น เมตตาต่อสัตว์ และพืช
มีการสื่อสารที่ดี (Communication) คือ มีมนุษยสัมพันธ์ที่ดีกับผู้อื่น เล่น และทํางานร่วมกับ
ผู้อื่นได้
เด็กจะได้ประโยชน์อะไรจากการมีจิตสาธารณะ
การที่เด็กๆมีพฤติกรรมที่แสดงออกเป็น จิตสาธารณะ แล้วนั้น จะส่งผลที่ดีต่อตนเองได้ดังนี้
เป็นเด็กที่มีความคิดในทางที่ดีต่อคนอื่น และมีโอกาสประสบความสําเร็จมากกว่าคนอื่น
เป็นคนที่สามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้ง่ายอย่างเป็นที่รักใคร่ของคนรอบข้าง และมักจะได้รับ
ความช่วยเหลือจากบุคคลรอบข้างเมื่อตนเองเดือดร้อน
ทําตัวเป็นประโยชน์ เป็นที่ต้องการของสังคม
ไม่เห็นแก่ตัว ได้รับการเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่จากคนรอบข้าง
มีความเข้าใจผู้อื่นได้ง่าย ไม่ทับถมผู้อื่น ไม่ซ้ําเติมผู้อื่น
เป็นคนที่มีเหตุผล ไม่เอาแต่ใจตนเอง เห็นใจในความทุกข์ของผู้อื่น
จะได้รับความรัก ความเมตตา กรุณา จากผู้อื่น
มักจะได้รับการแบ่งปันจากผู้อื่นรอบข้าง
มีมนุษยสัมพันธ์ที่ดีกับผู้อื่น สามารถทํางานกับผู้อื่นได้ทุกสถานการณ์ อย่างมีความสุข
การทาบุญ ต้องไม่หวังผลประโยชน์ตอบแทน
การทําบุญเพื่อให้เกิดผลบุญมากที่สุด จะต้องประกอบด้วย
- 14. 9
วัตถุทาน เป็นของบริสุทธิ์ ได้มาโดยสุจริต ไม่ไปลักเอามา หรือไปหลอกลวง ไปฉ้อโกงเขา
มา หรือนําเงินที่ได้จากการเล่นการพนันไปซื้อหามา วัตถุทานที่ให้นั้นจะต้องเป็นของที่จําเป็นและมี
ประโยชน์แก่ผู้รับ
ตัวผู้ให้ทาน จะต้องมีเจตนาที่เป็นบุญ ประกอบด้วยปัญญา ไม่มีความโลภเข้ามาปน ไม่หวัง
ผลประโยชน์ตอบแทนจากการให้ทาน เช่น ชอบกินอาหารชนิดใดก็นําอาหารชนิดนั้นไปทําบุญโดย
หวังว่าจะได้มีไว้กินตอนที่ตายไปแล้ว หรือ อธิษฐานขอในสิ่งที่เป็นไปเพื่อกิเลสตัณหา ขอให้ร่ํารวย
มีทรัพย์สมบัติ เกิดชาติใดขอให้มีรูปร่างหน้าตาสวยงาม ให้ได้ลาภ ยศ สรรเสริญ ตําแหน่งหน้าที่การ
งานที่ดี ขอให้ได้สิ่งนั้น ขอให้มีสิ่งนี้ การขอที่ไม่ประกอบด้ วยปัญญาเช่นนี้ มักจะก่อให้เกิดความ
ทุกข์ตามมา และผู้ที่ทําบุญแล้วอธิษฐานขอเช่นนี้ก็จะไม่ได้บุญแต่อย่างใด
แต่ถ้าหากทําบุญด้วยความจริงใจไม่หวังผลตอบแทน ทําบุญโดยไม่ยึดติดทั้งวัตถุและ
อาหาร ไม่คาดหวังว่าสิ่งที่เราทําไปจะได้กลายเป็นของกินของใช้ตอนที่เราตายไปแล้ ว ทําบุญเพราะ
เห็นว่าเป็นสิ่งที่ดีงาม ทําบุญเพื่อให้เกิดประโยชน์แก่ส่วนรวม ทําบุญเพื่อการอุทิศ ไม่ทําบุญเพื่อเอา
หน้า ไม่หวังคําสรรเสริญใด ๆ ถ้าทําได้เช่นนี้ ผู้ทําบุญย่อมได้รับอานิสงส์อย่างมหาศาล
การอธิษฐานขอในสิ่งที่เป็นกิเลส ควรจะต้องใช้ปัญญาประกอบด้วย โดยอธิษฐานขอให้มี
ในสิ่งเหล่านี้ได้ แต่ให้น้อมใจไปในทางเพื่อเป็นปัจจัยในการเข้าพระนิพพาน เช่น ขอให้มีทรัพย์
สมบัติ เพื่อจะได้สะดวกในการทําบุญให้ทาน ขอให้มีรูปสมบัติ คุณสมบัติ เพื่อเวลาบอกให้ใครทํา
ความดีแล้วดูน่าเชื่อถือ ขอให้มีสุขภาพร่างกายแข็งแรง เพื่อจะได้มีกําลังในการสร้างความดี ขอให้มี
อายุยืนยาว เพื่อจะได้มีเวลาอยู่สร้างความดีไปได้นาน ๆ อย่างนี้เป็นต้น และจะต้องระลึกอยู่ในใจ
เสมอว่า สุดท้ายเมื่อถึงเวลาอันสมควรแล้ว เราจะต้องสละวางทุกอย่างเพื่อเข้าพระนิพพาน
การทําบุญที่เจือด้วยอกุศล เช่น เลี้ยงสุรา เล่นการพนัน มีมหรสพ มีการสนุกสนานเฮฮา
ผู้กระทําย่อมไม่ได้รับอานิสงส์แต่อย่างใด ยิ่งหากบังเอิญผู้ทําบุญตายลงในขณะนั้น จิตใจเกาะเกี่ยว
อยู่ในส่วนที่เป็นบาป ก็จะทําให้ผู้นั้นไปเกิดในอบายภูมิทันที
นอกจากนี้กา รให้ทานจะได้ผลสมบูรณ์หรือไม่นั้น จิตใจของผู้ให้ทาน ยังจะต้อง
ประกอบด้วยเจตนาอีก 3 ประการด้วยกัน ที่เรียกว่ามีศรัทธาในกาลทั้ง 3 ได้แก่
- 15. 10
๑. บุพเจตนา หมายถึง เจตนาก่อนให้ มีความตั้งใจจริง มีจิตเลื่อมใสศรัทธา รู้สึกดีใจที่จะ
ให้ เกิดปีติยินดี อิ่มเอิบเบิกบาน พร้อมทั้งพอใจในวัตถุทานที่จะให้
๒. มุญจนเจตนา หมายถึง ขณะที่ให้ ก็ให้ด้วยความเลื่อมใสศรัทธาและยินดี ตั้งใจจริง
จิตใจเบิกบานผ่องใส
๓. อปราปรเจตนา หมายถึง เมื่อให้ไปแล้ว ก็มีจิตใจเลื่อมใส ดีใจที่ได้ให้ทานสมดังที่ได้
ตั้งใจไว้ จิตใจก็ยังปลื้มปีติยินดี อิ่มเอิบเบิกบานอยู่ตลอดเวลา ไม่นึกเสียดายในวัตถุทานนั้น ๆ
ฉะนั้นถ้าเจตนาดีทั้ง 3 กาลก็ได้บุญมาก แม้เพียงทําทานด้วยข้าวสวยเพียงหนึ่งทัพพี ก็ยัง
ได้รับอานิสงส์อันยิ่งใหญ่มหาศาล แต่ถ้าเจตนาไม่ครบ 3 กาล ถึงจะบริจาคทานมากมายยิ่งใหญ่สัก
เพียงใด ก็ไม่สามารถจะได้รับอานิสงส์ผลบุญตอบแทนได้ เช่น ให้แล้วรู้สึกเสียดาย หรือให้อย่างไม่
เต็มใจ ทําอย่างอดเสียมิได้ เห็นเขาทําก็ทําตามเขาบ้าง เช่นนี้ ก็จะไม่ได้บุญ หรือได้บุญน้อย หรือได้
บุญปนบาป
และสุดท้าย ตัวผู้รับทาน จะต้องเป็นคนดีมีคุณธรรม มีศีลบริสุทธิ์ ตัวผู้รับยิ่งมีความ บริสุทธิ์
มากเท่าไหร่ ผลบุญที่ได้รับก็จะยิ่งมากขึ้นไปตามนั้น.
การสวดมนต์
การสวดมนต์ไม่ควรสวดเพื่อหวังผลความขลัง ความศักดิ์สิทธิ์จากคาถา เช่น สวดคาถาที่ทํา
ให้เกิดความร่ํารวย, คาถาป้องกันภัย แคล้วคลาด, คาถาเสริมเสน่ห์ เป็นต้น
เพราะการสวดมนต์เช่นนี้ จะไม่ก่ อให้เกิดผลดีแก่ผู้สวดมนต์แต่อย่างใด เนื่องจากไม่ได้
เป็นไปตามหลักเหตุและผล ตามคําสอนของพระพุทธเจ้า เช่น ถ้าต้องการความร่ํารวย ก็ควรที่จะ
ขยันทํามาหากิน หรือหมั่นให้ทาน เพราะผลบุญนั้นจะช่วยให้เกิดความร่ํารวยเมื่อถึงเวลาที่บุญส่งผล
หรือถ้าต้องการให้แคล้วคลาดจากอันตราย มีสุขภาพร่างกายแข็งแรง มีอายุที่ยืนยาว ก็ไม่ควรที่จะตั้ง
ตนอยู่ในความประมาท และไม่เบียดเบียนทําลายชีวิตสัตว์ หรือปล่อยสัตว์ที่กําลังจะถูกฆ่าอยู่เสมอ
และถ้าต้องการมีเสน่ห์เป็นที่เมตตาของผู้พบเห็น ก็ควรที่จะมีกิริยาวาจาอ่อนหวาน อ่อน
น้อมถ่อมตน อย่างนี้เป็นต้น แต่ไม่ควรหวังผลเสน่ห์ในเชิงชู้สาว เพราะมันจะนําภัยมาให้ในภายหลัง
- 16. 11
การสวดมนต์ที่ถูกต้องควรสวดเพื่อระลึกถึงคุณพระรัตนตรัย หรือสวดเพื่อท่องจําพระธรรม
คําสอน เช่น บทสวดมนต์ทําวัตรเช้า-เย็น, อริยธนคาถา, ภัทเทกรัตตคาถา, โอวาทปาติโมกขคาถา,
ปัจฉิมพุทโธวาทปาฐะ เป็นต้น
และผู้สวดมนต์ควรจะต้องรู้ความหมายของบทสวดนั้น ๆ ด้วย เมื่อสวดแล้วก็ให้นํา
หลักธรรมนั้นไปปฏิบัติ ผู้สวดมนต์จึงจะได้รับอานิสงส์จากการสวดมนต์นั้นอย่างแท้จริง และยัง
สามารถอุทิศบุญจากการสวดมนต์นั้นให้แก่ผู้อื่นได้ด้วย.
คติสอนใจ คาคม และสุภาษิต
1. ใจดีมีแต่ให้ ใจไร้ชึ่งการให้คือใจยักใจมาร
2. ตั้งใจสูงเกินไป มักทําให้ใจเราท้อแท้
3. ความเข้าใจ คือหัวใจของการกระทําต่างๆ
4. ชอบแต่คําชม ระวังจะขื่นขมในวันหน้า
5. พึงตนก็พ้นภัย พึงใจก็พ้นทุกข์
6. ศึกษาธรรมะชนะการศึกษาทั้งปวง
7. รู้คิดรู้ฝัน รู้ลงมือทําถึงจะสําเร็จ
8. ฝึกตนพ้นภัย ฝึกจิตใจพ้นทุกข์
9. ทุกข์อยู่ที่ตน ตนเท่านั้นที่แก้ได้
10. รู้คิดรู้ฝัน รู้ลงมือทําถึงจะสําเร็จ
11. อวดโง่ดีกว่าอวดฉลาด
12. อุปสรรคคือแบบทดสอบของชีวิต
13. ไม่มีอะไรแน่นอนในชีวิต
14. สิ่งร้ายๆจะมาพร้อมกับสิ่งดีๆเสมอ
15. โลกใบนี้ยังมีมุมดีๆให้มอง
16. ความท้อแท้ ทําให้แพ้เอาง่ายๆ
17. เดินสายกลาง เป็นทางสายเอก
- 17. 12
18. อันตรายที่สุดคือ การคาดหวัง
19. รู้ทํารู้คิดแต่สิ่งที่ดี ชีวีก็มีสุขได้
20. คิดผิดคิดใหม่ คิดให้จะได้บุญ
21. ฉลาดเพิ่มกิเลส ปัญญาลดกิเลส ฉลาดเพิ่มทุกข์ ปัญญาเพิ่มสุข
22. หนทางตรงกับไม่เดิน แต่กับชอบเดินทางที่เพลิดเพลินกันหนักหนา
23. ผู้อิ่มย่อมรู้จักให้ ผู้ที่รู้จักจิตใจย่อมเข้าใจในความทุกข์ของผู้อื่น
24. ให้ธรรมะเป็นทาน ไม่ควรคิดประมาณในผลบุญนั้นมีเท่าไหร่
25. ด้วยใจที่สงบย่อมจะพบกับทางสว่าง หนทางคงยังยาวไกล หากไม่ใส่ใจในการปฏิบัติ
26. ขอบคุณความทุกข์ที่ทําให้ความสุขในคราวต่อมาเป็นความสุขที่แท้จริง
27. ยิ่งบทเรียนยากขึ้นเท่าไหร่ ถ้าเราผ่านมันไปได้เราก็จะยิ่งเก่งขึ้นเท่านั้น
28. โลกใบนี้เต็มไปด้วยความมหัศจรรย์ ถ้าไม่ออกเดินทางก็ไม่มีวันค้นพบ
29. ไม่มีใครสะดุดภูเขาล้ม มีแต่สะดุดก้อนหินล้ม
30. อย่ากังวลกับสิ่งที่ยังมาไม่ถึง แต่ให้คํานึงถึงสิ่งที่กําลังทํา
ตัวอย่างป้ายที่ทาโครงการ
รูปที่ 2.1 รูปป้ายที่ทาจากแผ่นอะคริลิค
- 21. 16
บทที่ 3 วิธีการดาเนินงาน
วัสดุอุปกรณ์
1. แผ่นอะคริลิค
2. แผ่นสติกเกอร์
3. ดินสอและปากกา
4. เส้นลวด
5. ตะปู
วิธีการดาเนินงาน
1. จับกลุ่มหาสมาชิกในกลุ่ม แล้วปรึกษาหาโครงการที่คนในกลุ่มสนใจที่จะทําโครงการ
2. ค้นหาข้อมูลต่างๆ ที่เกี่ยวกับโครงการที่เราสนใจ
3. นําโครงการซ่อมแซมป้าย เพื่อวัดที่ขาดแคลนที่จะทําไปปรึกษาครู
4. จัดหาสถานที่ที่จะไปทําโครงการซ่อมแซมป้าย เพื่อวัดที่ขาดแคลน
5. เมื่อได้สถานที่ที่จะทําโครงการแล้ว ก็ทําการติดต่อกับสถานที่ที่จะทําโครงการ
6. ทําการสํารวจและสอบถามความต้องการของวัดที่ทําโครงการว่าต้องการป้ายอะไรบ้าง
และต้องการจํานวนประมาณกี่ป้าย
7. เริ่มลงมือปฏิบัติงานในการทําป้ายต่างๆ (วิธีการทําป้ายอยู่ที่ภาคผนวก)
8. นําป้ายไปติดให้กับวัดที่ทําโครงการ
9. ตรวจสอบความเรียบร้อยของผลงานในการติดตั้งป้าย
10. สรุปการทําโครงการ
11. ส่งให้ครูที่ปรึกษาโครงการตรวจสอบและแก้ไขผลงาน
12. จัดทําสื่อการเรียนรู้เพื่อนํามาเผยแพร่
13. นําข้อมูลของโครงงานมาเผยแพร่