More Related Content Similar to Ppt. med error.2
Similar to Ppt. med error.2 (20) More from Prachaya Sriswang
More from Prachaya Sriswang (20) Ppt. med error.25. Category A : ไม่มีความคลาดเคลื่อนเกิดขึ้น แต่มี
เหตุการณ์ที่อาจทาให้เกิดความคลาดเคลื่อนได้
15-Aug-14 5
ไม่มีความคลาดเคลื่อน
7. ลาดับชั้นของความคลาดเคลื่อนทางยา
(NCCMERP, 2008)
มีความคลาดเคลื่อนและ
เป็นอันตราย
Category E มีความคลาดเคลื่อนเกิดขึ้น และเป็นอันตรายต่อผู้ป่ วยเพียง
ชั่วคราว รวมถึงจาเป็นต้องได้รับการรักษาหรือแก้ไขเพิ่มเติม
Category F มีความคลาดเคลื่อนเกิดขึ้น และเป็นอันตรายต่อผู้ป่ วยเพียง
ชั่วคราว รวมถึงจาเป็นต้องได้รับการรักษาในโรงพยาบาลหรือยืด
ระยะเวลาในการรักษาตัวในโรงพยาบาลออกไป
Category G มีความคลาดเคลื่อนเกิดขึ้น และเป็นอันตรายต่อผู้ป่ วยถาวร
Category H มีความคลาดเคลื่อนเกิดขึ้น และเป็นอันตรายต่อผู้ป่ วยจนเกือบถึง
แก่ชีวิต (เช่น แพ้ยาแบบ anaphylaxis และหัวใจหยุดเต้น)
15-Aug-14 7
10. การจาแนกชนิดของความคลาดเคลื่อนทางด้านยา
1. Prescribing Error คือ ความคลาดเคลื่อนที่พบในใบสั่งยา
(ใบ order)
–อาจเกิดจากแพทย์เขียนผิดพลาด หรือไม่ชัดเจน
–การเลือกใช้ยาผิด การเลือกขนาดยาผิด การเลือกรูปแบบยาผิด
–การสั่งยาในจานวนที่ผิด การเลือกวิถีทางให้ยาผิด การเลือกความ
เข้มข้นของยาผิด การเลือกอัตราเร็วในการให้ยาผิด
–การให้คาแนะนาการใช้ยาผิด การสั่งยาผิดตัวผู้ป่วย
–การไม่ระบุชื่อยา ความแรง ความเข้มข้น ความถี่ของการใช้ยาที่ทาให้
เกิดความคลาดเคลื่อนที่ส่งผลถึงตัวผู้ป่วย
15-Aug-14 10
12. การจาแนกชนิดของความคลาดเคลื่อนทางด้านยา
2. Transcribing error คือ ความคลาดเคลื่อนของกระบวนการคัดลอก
คาสั่งใช้ยาจากคาสั่งใช้ยาต้นฉบับที่ผู้สั่งใช้ยาเขียน จาแนกตามสถานที่ที่
เกิดความคลาดเคลื่อนขึ้น คือ
– หอผู้ป่ วย หมายถึง พยาบาลลอกคาสั่งแพทย์/ อ่านคาสั่งแพทย์ไม่ถูกต้อง
ไม่ตรงตามแพทย์สั่ง ทาให้ข้อมูลที่คัดลอกไว้นั้นมีความคลาดเคลื่อน
– ศูนย์คอมพิวเตอร์ หมายถึง เจ้าหน้าที่ศูนย์คอมพิวเตอร์ ทาหน้าที่คัดกรองการ
ลงข้อมูลยาในคอมพิวเตอร์ไม่ครอบคลุมหรือคัดกรองข้อมูลผิดพลาด
– เภสัชกรรม หมายถึง เจ้าหน้าที่ห้องยา/ เภสัชกร อ่านคาสั่งแพทย์ไม่ถูกต้อง ไม่
ตรงตามแพทย์สั่ง ส่งผลถึงการส่งต่อข้อมูลและการจ่ายยา
15-Aug-14 12
13. การจาแนกชนิดของความคลาดเคลื่อนทางด้านยา
3. Dispensing Error คือ การจัดจ่ายยาที่ไม่ถูกต้อง
–ไม่ได้ทบทวนใบสั่งยาก่อนการจัดยา
–จัดยาไม่ถูกตามใบสั่ง อาจจะผิดที่ตัวยา ขนาด รูปแบบ หรืออื่นๆ
–ปรุงยาด้วยเทคนิคที่ไม่ถูกต้อง
–เขียนฉลากยาผิดหรือไม่ครบถ้วน
–จ่ายยาที่หมดอายุหรือเสีย
–จ่ายยาไม่ตรงกับผู้ป่ วย
–ไม่ได้ให้คาแนะนาในการใช้ยา
15-Aug-14 13
15. การจาแนกชนิดของความคลาดเคลื่อนทางด้านยา
• จาแนกได้ 11 ข้อ (11R) ดังนี้ (ต่อ)
1. การให้ยาไม่ครบ (omission error)
2. การให้ยาผิดชนิด (wrong drug error)
3. การให้ยาซึ่งผู้สั่งใช้ยาไม่ได้สั่ง (unordered or unauthorized drug)
4. การให้ยาผู้ป่ วยผิดคน ( wrong patient)
5. การให้ยาผิดขนาด (wrong-dose or wrong-strength error)
6. การให้ยาผิดวิถีทาง (wrong-route error)
15-Aug-14 15
16. การจาแนกชนิดของความคลาดเคลื่อนทางด้านยา
• จาแนกได้ 11 ข้อ (11R) ดังนี้ (ต่อ)
7. การให้ยาผิดเวลา (wrong-time error)
8. การให้ยามากกว่าจานวนครั้งที่สั่ง (extra-dose error)
9. การให้ยาในอัตราเร็วที่ผิด (wrong rate of administration error)
10. การให้ยาผิดเทคนิค (wrong technique error)
11. การให้ยาผิดรูปแบบยา (wrong dosage-form error)
15-Aug-14 16
17. 1. ผู้ป่ วยไม่หาย ไม่บรรเทา
2. ได้รับอันตราย อาจถึงชีวิต ( สถาบัน Insitituteof Medicine
สหรัฐอเมริกา ได้รายงานไว้ว่า ความคลาดเคลื่อนทาง
การแพทย์เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทาให้ผู้ป่ วยถึงแก่ความตายถึง
44,000-98,000 คนต่อปี ยาเป็นสาเหตุที่พบบ่อย ร้อยละ 3.7)
3. การสูญเสียอื่น ๆ : เงิน, ความเชื่อถือ, อาชีพ
15-Aug-14 17
18. แนวปฏิบัติเพื่อป้ องกันความคลาดเคลื่อนทางยา
(Medication error)
แพทย์
• ตรวจสอบรายชื่อที่ให้ใช้ตัวย่อได้
• ดูประวัติการแพ้ยาซึ่งจะเห็นได้เด่นชัดจากสติ๊กเกอร์สีแดงหน้าแฟ้ ม และจาก
แบบฟอร์มสีชมพูที่มีรายละเอียดการแพ้ยาของผู้ป่ วยอยู่ในแฟ้ มเวชระเบียน
หรือข้อมูลเตือนการแพ้ยาที่จะปรากฏบนจอคอมพิวเตอร์กรณีแพทย์สั่งยาทาง
คอมพิวเตอร์
• ระบุวินิจฉัยโรคหลัก และโรครอง
• ระบุขนาด วิธีใช้ยา ระยะเวลา หรือจานวนเม็ด ให้ชัดเจน โดยเฉพาะกรณีต้องการ
ให้ผู้ป่ วยรับยาเดิมต่อเนื่อง
• ยาที่ใช้เมื่อมีอาการ ต้องระบุอาการไว้ด้วย เช่น ใช้เวลารู้สึกวิตกกังวล เวลานอนไม่
หลับ เวลาปวด
15-Aug-14 18
OPD
19. แนวปฏิบัติเพื่อป้ องกันความคลาดเคลื่อนทางยา
(Medication error)
พยาบาล
• ตรวจสอบการบันทึกข้อมูลของผู้ป่ วยลงในคอมพิวเตอร์เทียบกับแฟ้ ม
• เตือนแพทย์กรณีผู้ป่ วยมีประวัติแพ้ยาก่อนให้ผู้ป่ วยพบแพทย์
• ให้แพทย์แก้ไขกรณีพบความคลาดเคลื่อน เช่น การใช้ตัวย่อที่ไม่อนุญาตให้ใช้
• ให้แพทย์พิจารณาซ้าเมื่อผู้ป่ วยใช้ยาในรายการที่ควบคุมระยะเวลาการใช้ยา
และแพทย์ไม่ได้ระบุ
• ระยะเวลาใช้ยาเอาไว้ เช่น ยาปฏิชีวนะ ยานอนหลับ ยารักษาอาการทางกาย
อื่นๆ
15-Aug-14 19
OPD
20. แนวปฏิบัติเพื่อป้ องกันความคลาดเคลื่อนทางยา
(Medication error)
ห้องยา : เมื่อรับใบสั่งยา
เภสัชกร/เจ้าพนักงานเภสัชกรรม
• ตรวจสอบการบันทึกข้อมูลของผู้ป่วยลงในคอมพิวเตอร์เทียบกับคาสั่งการใช้ยา
ของแพทย์ในเวชระเบียน
• ตรวจสอบการแพ้ยากรณีผู้ป่วยมีประวัติแพ้ยา โอกาสเกิดการแพ้ยาข้ามกลุ่ม
• ตรวจสอบประวัติการเกิดอาการไม่พึงประสงค์รุนแรงจากการใช้ยา หากแพทย์สั่ง
จ่ายยาที่เคยใช้แล้วเกิดอาการไม่พึงประสงค์รุนแรงให้แจ้งแพทย์ทบทวนการสั่งจ่าย
ยา
• ตรวจสอบยา ขนาด วิธีใช้ระยะเวลาที่ใช้ยา มีความสอดคล้องเหมาะสมกับ
วินิจฉัยโรคหรือไม่
15-Aug-14 20
OPD
21. แนวปฏิบัติเพื่อป้ องกันความคลาดเคลื่อนทางยา
(Medication error)
ห้องยา : จัดยา
เภสัชกร/เจ้าพนักงานเภสัชกรรม
• เจ้าหน้าที่ที่หยิบหรือจัดยาในกลุ่ม high alert drug ให้คนที่นั่งจัดใกล้ๆ ช่วย
ตรวจสอบความถูกต้องของยา
• การแบ่งบรรจุล่วงหน้าเพื่อเตรียมไว้จ่ายให้ผู้ป่วย จะต้องบรรจุไว้เพียงพอให้ใช้
หมดภายในสัปดาห์
• ยาที่แบ่งบรรจุต้องเก็บรักษาตามเกณฑ์ของยานั้นๆ ห้ามแบ่งบรรจุยาที่ต้องเก็บในที่
เย็น
• ฉลากยาระบุชื่อ ความแรง จานวนเม็ด วันที่แบ่งบรรจุ วันหมดอายุ ให้ชัดเจน
• สุ่มตรวจสอบความถูกต้องของจานวนเม็ดยาเป็นระยะ
15-Aug-14 21
OPD
22. แนวปฏิบัติเพื่อป้ องกันความคลาดเคลื่อนทางยา
(Medication error)
ห้องยา : จ่ายยา
เภสัชกร/เจ้าพนักงานเภสัชกรรม
• เภสัชกร/เจ้าพนักงานเภสัชกรรม ตรวจสอบความถูกต้องของยาที่จ่าย โดยสามารถ
เทียบกับลักษณะเม็ดยา และรายละเอียดการใช้ยาของผู้ป่วยรายนั้นๆ จาก
จอคอมพิวเตอร์
• ให้เฉพาะเภสัชกรจ่ายยาในกลุ่ม high alert กรณีต้องจ่ายโดยเจ้าพนักงานเภสัช
กรรม เช่น การจ่ายยานอกเวลาราชการ ให้พยาบาลเวรช่วยตรวจสอบความถูกต้อง
ของยาเทียบกับลักษณะและรายละเอียดยาของผู้ป่วยรายนั้นที่ปรากฏบน
จอคอมพิวเตอร์
• ให้มีหลักฐานระบุตัวผู้ป่วยว่าตรงกับชื่อในใบสั่งยา
15-Aug-14 22
OPD
23. แนวปฏิบัติเพื่อป้ องกันความคลาดเคลื่อนทางยา
(Medication error)
ห้องยา : จ่ายยา
เภสัชกร/เจ้าพนักงานเภสัชกรรม
• กรณีผู้ป่วยรับยาเดิม ต้องประเมินอาการขั้นต้นของผู้ป่วย อาการอันไม่พึงประสงค์
ตามแบบฟอร์มที่ห้องยาได้แนบไว้ในเวชระเบียนหากผู้ป่วยมีการใช้ยาในกลุ่มที่
ต้องเฝ้าระวัง พร้อมทั้งประเมินการใช้ยาของผู้ป่วยจากระยะเวลารับยาต่อเนื่อง การ
ขาดยา ไม่ใช้ยาตามแพทย์สั่ง
• เภสัชกรให้คาปรึกษา แนะนาผู้ป่วยหรือญาติเกี่ยวกับการใช้ยา การเฝ้าระวังระหว่าง
ใช้ยาที่บ้านอาการสาคัญที่ผู้ป่วยจะต้องรีบมาพบแพทย์
15-Aug-14 23
OPD
24. แนวปฏิบัติเพื่อป้ องกันความคลาดเคลื่อนทางยา
(Medication error)
แพทย์
• ตรวจสอบรายชื่อยาที่สามารถใช้ตัวย่อได้
• ดูประวัติการแพ้ยาซึ่งจะเห็นได้เด่นชัดจากสติ๊กเกอร์สีชมพูหน้าแฟ้ ม และจาก
แบบฟอร์มสีชมพูที่มีรายละเอียดการแพ้ยาของผู้ป่ วยอยู่ในแฟ้ มเวชระเบียน
• ระบุวินิจฉัยโรคหลัก และโรครอง
• ระบุขนาด วิธีใช้ยา ระยะเวลา หรือจานวนเม็ด ให้ชัดเจน โดยเฉพาะกรณี
ต้องการให้ผู้ป่ วยรับยาเดิมต่อเนื่อง
• ยาที่ใช้เมื่อมีอาการ ต้องระบุอาการไว้ด้วย เช่น ใช้เวลารู้สึกวิตกกังวล เวลา
นอนไม่หลับ เวลาปวด
15-Aug-14 24
IPD
25. แนวปฏิบัติเพื่อป้ องกันความคลาดเคลื่อนทางยา
(Medication error)
พยาบาล
• เตือนแพทย์กรณีผู้ป่วยมีประวัติแพ้ยาหรือมีอาการไม่พึงประสงค์จากยาก่อนให้
ผู้ป่วยพบแพทย์โดยแนบแฟ้มประวัติผู้ป่วยในการรายงานแพทย์ทุกราย
• ให้แพทย์พิจารณาซ้าเมื่อผู้ป่วยใช้ยาในรายการที่ควบคุมระยะเวลาการใช้ยาและ
แพทย์ไม่ได้ระบุระยะเวลาใช้ยาเอาไว้เช่น ยาปฏิชีวนะ ยานอนหลับ ยารักษาอาการ
ทางกายอื่นๆ
• ตรวจสอบความถูกต้อง ครบถ้วนของยาผู้ป่วยทันทีที่ได้รับจากห้องยา โดยเทียบกับ
ข้อมูลที่ปรากฏในจอคอมพิวเตอร์ หากพบความผิดพลาดให้รีบแจ้งให้ห้องยาทา
การแก้ไข
• ใช้Medical Sheet ที่ได้จากคอมพิวเตอร์ในการสรุปและส่งต่อข้อมูลการใช้ยาของ
ผู้ป่วย
15-Aug-14 25
IPD
26. แนวปฏิบัติเพื่อป้ องกันความคลาดเคลื่อนทางยา
(Medication error)
ศูนย์คอมพิวเตอร์
• บันทึกข้อมูลการใช้ยาของผู้ป่วยตามแบบบันทึกการจ่ายยาของหอผู้ป่วยเทียบ
กับสาเนาคาสั่งแพทย์เพื่อจัดทาเป็นรายงานขอเบิกยาจากห้องยา
• ให้พยาบาลแจ้งแพทย์แก้ไขกรณีพบความคลาดเคลื่อน เช่น การใช้ตัวย่อที่ไม่
อนุญาตให้ใช้
• ตรวจสอบการข้อมูลบันทึกการจ่ายยา วัสดุการแพทย์อื่นๆ ที่หอผู้ป่วยได้
บันทึกไว้เทียบกับสาเนาคาสั่งแพทย์หากพบว่าไม่สอดคล้อง เช่น ใช้ไปแต่
ไม่มีการบันทึก ให้แจ้งพยาบาลเพื่อหาสาเหตุ และให้ดาเนินการแก้ไขให้
ถูกต้อง
15-Aug-14 26
IPD
27. แนวปฏิบัติเพื่อป้ องกันความคลาดเคลื่อนทางยา
(Medication error)
ห้องยา : เมื่อรับใบสั่งยา
เภสัชกร/เจ้าพนักงานเภสัชกรรม
• ตรวจสอบการบันทึกข้อมูลของผู้ป่วยลงในคอมพิวเตอร์เทียบกับสาเนา
การสั่งใช้ยาของแพทย์
• ตรวจสอบประวัติการแพ้ยาหรืออาการไม่พึงประสงค์จากยา และพิมพ์
ประวัติดังกล่าวแนบไปกับแฟ้มยา
• ตรวจสอบประวัติการเกิดการแพ้ยา หรืออาการไม่พึงประสงค์รุนแรงจาก
การใช้ยา หากแพทย์สั่งจ่ายยาที่เคยใช้แล้วเกิดอาการไม่พึงประสงค์
รุนแรงให้แจ้งแพทย์ทบทวนการสั่งจ่ายยา
15-Aug-14 27
IPD
28. แนวปฏิบัติเพื่อป้ องกันความคลาดเคลื่อนทางยา
(Medication error)
ห้องยา : เมื่อรับใบสั่งยา
เภสัชกร/เจ้าพนักงานเภสัชกรรม (ต่อ)
• ตรวจสอบยา ขนาด วิธีใช้ระยะเวลาที่ใช้ยา มีความสอดคล้องเหมาะสม
กับวินิจฉัยโรคหรือไม่
• แนบแบบฟอร์มการเฝ้าระวังอาการไม่พึงประสงค์รุนแรงไว้ในกล่องยา
unit dose กรณีผู้ป่วยได้รับยาในกลุ่มhigh alert หรือคู่ยาที่มี
โอกาสเกิดปฏิกิริยาระหว่างยาได้สูงและรุนแรง
15-Aug-14 28
IPD
29. แนวปฏิบัติเพื่อป้ องกันความคลาดเคลื่อนทางยา
(Medication error)
ห้องยา : จัดยา
เภสัชกร/เจ้าพนักงานเภสัชกรรม
• จัดยากลับบ้านใช้โดยมีระยะการจ่ายแต่ละรอบ 7 วัน
• เจ้าหน้าที่ที่หยิบหรือจัดยาในกลุ่ม high alert drug ต้องให้คนที่
นั่งจัดใกล้ๆ ช่วยตรวจสอบความถูกต้องของยาก่อนจัด
• การจัดยาที่มีลักษณะคล้ายกัน ให้ปฏิบัติตามแนวทางจัดและจ่าย “ยาคู่
เหมือน”
• การรับคืนยาจากหอผู้ป่วยให้ปฏิบัติตามแนวทางที่กาหนด
15-Aug-14 29
IPD
30. แนวปฏิบัติเพื่อป้ องกันความคลาดเคลื่อนทางยา
(Medication error)
ห้องยา : จ่ายยา
เภสัชกร/เจ้าพนักงานเภสัชกรรม
• เภสัชกร/เจ้าพนักงานเภสัชกรรม ตรวจสอบความถูกต้องของยาที่จ่าย
• การจ่ายในกลุ่ม high alert หากจาเป็นต้องจ่ายโดยเจ้าพนักงานเภสัช
กรรม เช่น กรณีเภสัชกรเข้าไปดูผู้ป่วยในหอผู้ป่วยหรือติดประชุม ให้เจ้า
พนักงานเภสัชกรรมอีกคนช่วยตรวจสอบความถูกต้องของยาซ้า
• ตรวจสอบยาที่เหลือค้างในกล่องยาผู้ป่วยเมื่อทางหอผู้ป่วยนามาแลกเพื่อ
เบิกยากล่องใหม่ พร้อมทั้งหาสาเหตุที่ผู้ป่วยไม่ได้รับยาในแต่ละครั้ง
15-Aug-14 30
IPD
31. แนวปฏิบัติเพื่อป้ องกันความคลาดเคลื่อนทางยา
(Medication error)
ห้องยา : จ่ายยา
เภสัชกร/เจ้าพนักงานเภสัชกรรม
• มีการส่งต่อข้อมูลสาคัญที่จาเป็นต่อการใช้ยาบางชนิดสาหรับผู้ป่วย
เฉพาะรายให้กับพยาบาลในหอผู้ป่วย เพื่อเตือนให้ระวังการใช้ยา เช่น
การใช้ยา cloxacillin ชนิดฉีดห้ามฉีดเข้าหลอดเลือดโดยตรงต้องเจือ
จางก่อนฉีด
• ตรวจสอบประวัติการแพ้ยาหรืออาการไม่พึงประสงค์จากยาพร้อมแนบ
เอกสารไปกับแฟ้มยาและใบบันทึกการจ่ายยา
15-Aug-14 31
IPD
34. Analysis of incidents
• แพทย์สั่งยาทางโทรศัพท์ให้เด็กอายุ 18 เดือนว่า “ให้ morphine
ขนาด 0.8 stat”พยาบาลรับคาสั่ง และฉีดยาให้กับเด็กในขนาด
0.8 มล. ทราบต่อมาภายหลังว่าแพทย์ต้องการให้ฉีด 0.8 มก. ผล
ที่เกิดขึ้น คือ เด็กเสียชีวิต
–ปัจจัยที่อาจเป็นสาเหตุได้แก่อะไรบ้าง
–จะวางแนวทางเพื่อลดอุบัติการณ์
ดังกล่าวอย่างไร
15-Aug-14 34
35. Analysis of incidents
• ผู้ป่ วยโรคเบาหวานได้รับยาผิดเป็น celecoxib เป็นเวลา 1
สัปดาห์ ผลคือเกิด Hyperglycemia และ Steven’s Johnson
Syndrome เนื่องจากผู้ป่ วยแพ้กลุ่มยาซัลฟาต้องรับการรักษาใน
โรงพยาบาล 2 เดือน
–ปัจจัยที่อาจเป็นสาเหตุได้แก่อะไรบ้าง
–จะวางแนวทางเพื่อลดอุบัติการณ์
ดังกล่าวอย่างไร
15-Aug-14 35
36. Analysis of incidents
• พยาบาลบริหารยา cloxacillin inj IV ช้าๆ พบว่า ผู้ป่ วยเกิดภาวะ
แสบร้อน ปวด และอีก 1ชั่วโมงเกิดเขียวบริเวณที่ต่ากว่าตาแหน่ง
ที่ฉีดยา มีการบาบัดตามอาการ สุดท้ายผู้ป่ วยเกิด gangrene และ
ตัดแขนในที่สุด
15-Aug-14 36
37. Pitfalls in Administration error
• นโยบายโดยรวมด้านความปลอดภัยยังไม่สามารถถ่ายทอดลงสู่
ผู้ปฏิบัติ
–คณะกรรมการบริหารความเสี่ยงยังไม่สามารถเชื่อมโยงสู่ระดับ
หน่วยงาน
–ขาดนโยบายที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัย เช่น การรายงานโดยไม่ถือ
ว่าเป็นความผิด ขาดแนวทางที่ชัดเจนในการสร้างความตระหนัก
เรื่องความปลอดภัย ตั้งแต่การเป็นบุคลากรใหม่
15-Aug-14 37
38. Pitfalls in Administration error
• พบว่ามีการรายงานน้อย บางโรงพยาบาลไม่มี
–ขาดความเข้าใจว่า administration error คืออะไร
–กลัวว่าความคลาดเคลื่อนคือความผิด และการขาด
ประสิทธิภาพ
–วัฒนธรรมของโรงพยาบาลยังไม่ชัดเจน เรื่องการรายงานโดย
ไม่ถือว่าเป็นความผิด ภาระงาน ระบบรายงานที่ยุ่งยาก ไม่
ชัดเจน
15-Aug-14 38
39. Pitfalls in Administration error
• ระบบที่เป็นจุดอ่อน และไม่เอื้อต่อการตรวจสอบความ
คลาดเคลื่อน
– มีการคัดลอกในระบบมาก มีการฝากงานจากวิชาชีพข้างเคียง
– ขาดการตรวจสอบความถูกต้องตั้งแต่แรก การสารองยาที่ไม่จาเป็น
– ขาดการวางแนวทางการรับคาสั่งโดยเฉพาะการจัดการยาที่มีความเสี่ยงสูง
– ขาดระบบการตรวจสอบอิสระโดยเฉพาะการบริหารยาที่ต้องระมัดระวังสูง
– การจัดยาก่อนการบริหารยาเป็นเวลานาน การลงนามบริหารยาที่ไม่ใช่เวลาจริง
15-Aug-14 39
40. Pitfalls in Administration error
• ขาดความเชื่อมโยงระหว่างวิชาชีพ
–ขาดการมองระบบยาโดยรวม
–ขาดการกาหนดแนวทางปฏิบัติในลักษณะการส่งต่อที่มี
ประสิทธิภาพ
–ขาดโครงสร้างที่ชัดเจนขององค์กรในการสร้างเสริมความ
ปลอดภัยทางยา
15-Aug-14 40
41. Pitfalls in Administration error
• ขาดระบบการตอบสนองและการจัดการผลที่เกิดขึ้นตามมาอย่าง
มีประสิทธิภาพ
–ขาดแนวทางที่ชัดเจนในการจัดการผลที่เกิดขึ้นตามมาที่มีระดับ
ความรุนแรงที่แตกต่างกัน
–ขาดการป้ อนกลับข้อมูล และแนวทางการจัดการเรื่องขวัญ กาลังใจ
–ขาดการวิเคราะห์สาเหตุแท้จริงและการวางระบบโดยยึดวงล้อ
คุณภาพ
15-Aug-14 41
42. 6R & types of administration error
• หลักการที่ใช้เพื่อประกันความปลอดภัยในทุกขั้นตอนคือ 6R มี 5
ประเภท คือ
–Medication error
–Transcription error
–Dispensing error
–Administration error
–Monitoring error
15-Aug-14 42
43. Patient’s rights in administration
• สิทธิที่จะได้รับการประเมิน (right to assessment)
• สิทธิที่จะได้รับการบันทึกเอกสารที่ถูกต้องเหมาะสม (right to
documentation)
• สิทธิที่จะได้รับความรู้ ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการรักษา (right to client’s
right to education)
• สิทธิที่จะได้รับการประเมินผล (right to evaluate)
• สิทธิในการปฏิเสธที่จะไม่รับการรักษาพยาบาลที่ไม่เหมาะสม
(right to refuse)
15-Aug-14 43
46. 6R & types of administration error
หลักการที่ 1. การประกันความถูกต้องด้านผู้ป่ วย (Right patient)
15-Aug-14 46
ชนิดความคลาดเคลื่อน แนวทางการจัดการ
ชนิดที่พบ:
• การสั่งจ่าย การกระจาย การส่งมอบ
และการบริหารยาให้ผู้ป่ วยผิดคน
• การให้ยาที่แพทย์ไม่ได้สั่ง
1. ปรับระบบให้เทคโนโลยี
สารสนเทศ เอื้อต่อการจัดการ
ระบบยา เช่น CPOE การใช้
ฐานข้อมูลผู้ป่ วยร่วมกัน การใช้
รหัสแท่งในการระบุผู้ป่ วย
2. การระบุผู้ป่ วยอย่างน้อย 2 ตัวบ่งชี้
52. Adverse Drug Reaction : ADR
อาการอันไม่พึงประสงค์จากการใช้ยา
• องค์การอนามัยโลก WHO ( 1970 ): กล่าวว่า ปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นโดย
มิได้ตั้งใจและเป็นอันตรายต่อร่างกายของมนุษย์อันเกิดจากการใช้ยา
และเกิดขึ้นเมื่อใช้ยาในขนาดปกติ เพื่อป้องกัน วินิจฉัย บรรเทา
บาบัดรักษาโรค หรือเปลี่ยนแปลงการทางานของร่างกาย โดยไม่รวม
ปฏิกิริยาที่เกิดจากการใช้ยาเกินขนาดโดยอุบัติเหตุหรือตั้งใจ ตลอดจน
การใช้ยาในทางที่ผิด อุบัติเหตุ หรือจงใจใช้ยาเกินขนาดและผิดวิธี
15-Aug-14 52
54. Side Effect
อาการข้างเคียงจากการใช้ยา
• ตัวอย่าง :
– อาการง่วงนอนจากการใช้ยากลุ่ม Antihistamine, Antidepressant
– เลือดออกในทางเดินอาหารจากการใช้ยา NSAIDs
– อาการไอจากการใช้ยา ACEIs
– อาการพิษต่อไตจากการใช้ยา Aminoglycosides, AmphotericinB
– เลือดออกผิดปกติจากการใช้ยา Warfarin, Antiplatelet
– Electrolyeimbalance จากการใช้ยาขับปัสสาวะ
– เต้านมโตจากการใช้ยา Spironolactone
15-Aug-14 54
57. Drug Allergy
อาการแพ้ยา
• ลักษณะอาการแพ้ยา
ไม่สัมพันธ์กับฤทธิ์ทางเภสัชวิทยา
ไม่สัมพันธ์กับขนาดของยาที่ได้รับ
อาจเกิดอาการภายหลังได้รับยาไประยะหนึ่ง โดยทั่วไปใช้เวลา 1-2
สัปดาห์
เมื่อหยุดยาอาการหาย ถ้าใช้ยาเกิดอาการใหม่
อาการที่แสดงออกเป็นปฏิกิริยาทางภูมิคุ้มกัน เช่น ผื่น (rash),
Anaphylaxis, หอบหืด (Asthma), ผื่นลมพิษ (Urticaria),
Angioedema
15-Aug-14 57
59. การแบ่งประเภท ADR
Type A (augmented) ADR Type ADR
Type B (bizarre) ADR Type ADR
Type C (continuous or Chronic) ADR
Type D (delayed) ADR
Type E (end of use) ADR
Type F (unexpected failure of therapy)
15-Aug-14 59
60. Type A (augmented) ADR
• ทานายล่วงหน้าจากฤทธิ์ทางเภสัชวิทยา
• อาการจะรุนแรงหรือไม่ขึ้น ขึ้นอยู่กับขนาดยาและการตอบสนอง
ของแต่ละบุคคล
• อุบัติการณ์การเกิดสูง (>80%) แต่อัตราการตายต่า
• แก้ไขโดยการลดขนาดยา หรือเปลี่ยนไปใช้ยาตัวอื่น เพื่อแก้ไข
อาการ
15-Aug-14 60
61. Type B (bizarre) ADR
• ไม่สามารถทานายได้ล่วงหน้าจากฤทธิ์ทางเภสัชวิทยา
• อุบัติการณ์การเกิดต่า (<20%) แต่อัตราการตายสูง
• ต้องแก้ไข โดยการหยุดยาเท่านั้น
• การแพ้ยา ถือว่าเป็น Type B ADR
15-Aug-14 61
64. Adverse Drug Reaction : ADR
• การแบ่งประเภทตามกลไกการเกิด
* Immunologic type
- Drug allergy
* Non-immunologic type
- Side effect
15-Aug-14 64
65. Adverse Drug Reaction : ADR
• Immunologic type
–กลไกการเกิดจะเกี่ยวข้องกับระบบภูมิคุ้มกัน
–ร่างกายต้องอาศัยเวลาประมาณ 1-2 สัปดาห์ ในการสร้าง Antibody
หรือ sensitized lymphocyte ในการต่อต้านยา
–Lymphocyte บางส่วนจะเปลี่ยนแปลงเป็น memory cell เพื่อจดจา
ยาชนิดนั้น การได้รับยาครั้งที่ 2 จึงเกิดอาการได้รวดเร็ว
–มักตรวจพบภาวะ eosinophilia
–เมื่อหยุดยา อาการดีขึ้น ยกเว้นการแพ้นั้นเกิดจากยาจับกับโปรตีน
15-Aug-14 65
66. Adverse Drug Reaction : ADR
• Non-immunologic type
–กลไกการเกิดจะไม่เกี่ยวข้องกับระบบภูมิคุ้มกัน
–เกิดอาการได้ตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้รับยา เพราะเป็นผลมาจาก
ฤทธิ์ของยาโดยตรง
–แก้ไขได้โดยการปรับขนาดยา ลดความเร็วในการให้ยา หรือ
ให้ยาป้ องกัน
15-Aug-14 66
67. เกณฑ์การประเมิน ADR ที่ป้ องกันได้
( Preventable ADR )
หากตอบว่า “ ใช่ ” เพียง 1 ข้อถือว่าเป็น ADR ที่ป้ องกันได้
1. ยาที่สงสัยว่าเป็นสาเหตุของ ADR นั้น ผู้ป่ วยได้รับอย่างไม่เหมาะสมกับโรคหรือภาวะทาง
คลินิกของผู้ป่ วย
2. ขนาดยา วิธีการบริหารยา ความถี่การบริหารยาไม่เหมาะสมกับอายุ น้าหนัก และสภาวะ
โรคของผู้ป่ วย
3. ไม่ได้ทาการตรวจวัดระดับยาหรือค่าทางห้องปฏิบัติการที่จาเป็นในการประเมิน
ผลการรักษา
4. ผู้ป่ วยมีประวัติการแพ้หรือเกิดอาการจากยาดังกล่าวมาก่อน
5. มีปฏิกิริยาระหว่างยาที่เกี่ยวข้องกับ ADR ที่เกิดขึ้น
6. มีการบันทึกค่าระดับยาหรือค่าการทดสอบทางห้องปฏิบัติการที่บ่งบอกถึงความเป็นพิษ
ของยา
7. มีการใช้ยาที่ไม่เป็นไปตามคาสั่งของแพทย์
15-Aug-14 67
68. การประเมิน ADR อย่างเป็นระบบ
• คิดอย่างเป็นระบบ
• ความสัมพันธ์ระหว่าง onset ของการเกิด ADR กับยาที่ใช้ หายาที่
สงสัย
• หาสาเหตุอื่นที่เป็นไปได้
– โรคร่วม
– ยาร่วม
– Co-incidence
• หยุดยาที่สงสัย อาการหาย / ดีขึ้นไหม
• ให้ยาใหม่แล้วเกิดอาการอีกหรือไม
15-Aug-14 68
72. ข้อมูลที่ต้องการ เพื่อประเมิน ADR
• อาการแสดงของอาการไม่พึงประสงค์จากการใช้ยา
• วัน-เวลาที่เริ่มเกิดอาการ
• ประวัติการแพ้ยา / อาหาร / สารเคมี
• ประวัติโรคประจาตัว
• ประวัติการใช้ยาในอดีต
• ประวัติการใช้ยาในปัจจุบัน
– ชื่อยาที่ใช้
– ขนาด-วิธีการบริหารยา-ความถี่/ จานวน dose ที่ใช้ก่อนเกิดอาการ และวันที่
เริ่มได้รับยาแต่ละชนิด
15-Aug-14 72
73. คาถามที่ใช้ในการสัมภาษณ์ผู้ป่ วยหรือญาติ
• เคยแพ้ยาหรือไม่? ถ้าแพ้ทราบชื่อยาที่แพ้หรือไม่ชื่ออะไร ทราบชื่อได้
อย่างไร
• กรณีเคยแพ้แต่ไม่ทราบชื่อยา ยาที่แพ้มีรูปร่างอย่างไรใช้ยาดังกล่าวเพื่อ
รักษาโรคอะไร ได้รับยามาจากที่ไหน รับประทานอย่างไร
• ลักษณะอาการที่แพ้เป็นอย่างไร
• เกิดอาการหลังจากรับประทานยา/ใช้ยานานเท่าไร รับประทานยาวันที่
เท่าไร หยุดใช้ยาเมื่อไร รับประทานยาไปทั้งหมดกี่มื้อ
• ภายหลังเกิดอาการ หยุดยาหรือไม่ถ้าหยุดยา อาการเป็นอย่างไร ดีขึ้น
หรือไม่และได้กลับมาใช้ยาซ้าไหม เกิดอาการหรือไม่
15-Aug-14 73
74. คาถามที่ใช้ในการสัมภาษณ์ผู้ป่ วยหรือญาติ
• ใคร? เป็นผู้บอกว่าท่านแพ้ยา เคยได้รับบัตรแพ้ยาไหม
• ลองซักประวัติชื่อยาในกลุ่มเดียวกันว่าเคยรับประทานหรือไม่ ถ้าเคยมี
อาการผิดปกติภายหลังรับประทานยาหรือไม่อย่างไร
• เคยแพ้อาหาร/ อากาศ / สารเคมีหรือไม่
• มีโรคประจาตัว หรือยาประจาตัวอะไรบ้าง รับประทานอย่างไร
• ปกติเวลาเจ็บป่ วย จะไปรักษาพยาบาลที่ไหน
• ขอดูยาที่ผู้ป่ วยใช้อยู่ทั้งหมด
15-Aug-14 74
75. WHO แบ่งเป็น 4 ระดับ
1. Certain ( ใช่แน่นอน ) อาการ ADR ต้องมีลักษณะ ดังนี้
* เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่สอดคล้องกับการใช้ยา และ
* ไมสามารถอธิบายด้วยโรคที่เป็นอยู่ หรือยา หรือสารเคมีอื่นๆ ที่ใช้ร่วม
และ
* เมื่อหยดใช้ยา อาการ ADR จะต้องดีขึ้น หรือหายจากอาการอย่างเห็น
ได้ชัดและ
* หากมีการใช้ซ้า จะต้องเกิด ADR
15-Aug-14 75
Naranjo’sScoring System = ≥9
76. WHO แบ่งเป็น 4 ระดับ
2. Probable( น่าจะใช่ ) อาการ ADR ต้องมีลักษณะ ดังนี้
* เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่สอดคล้องกับการใช้ยา และ
* ไม่สามารถอธิบายด้วยโรคที่เป็นอยู่ หรือยา หรือสารเคมีอื่นๆ ที่
ใช้ร่วม และ
* เมื่อหยดใช้ยา อาการ ADR จะต้องดีขึ้น หรือหายจากอาการ
อย่างเห็นไดัชัด แต่
* อาจไม่มีข้อมูลการให้ยาซ้า
15-Aug-14 76
Naranjo’sScoring System = 5-8
77. WHO แบ่งเป็น 4 ระดับ
3. Possible( อาจจะใช่) อาการ ADR ต้องมีลักษณะ ดังนี้
* เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่สอดคล้องกับการใช้ยา แต่
* ไม่สามารถอธิบายด้วยโรคที่เป็นอยู่ หรือยา หรือสารเคมีอื่น ๆ
ที่ใช้ร่วม และ
* ไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับการหยุดใช้ยา หรือมีแต่ข้อมูลไม่สมบูรณ์
15-Aug-14 77
Naranjo’sScoring System = 1-4
78. WHO แบ่งเป็น 4 ระดับ
4. Unlikely( ไม่น่าใช่ ) อาการ ADR ต้องมีลักษณะ ดังนี้
* เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่ไม่สอดคล้องกับเวลาการใช้ยา และ
* ไม่สามารถอธิบายด้วยโรคที่เป็นอยู่ หรือยา หรือสารเคมีอื่นๆ
ที่ใช้ร่วมได้อย่างชัดเจน
15-Aug-14 78
Naranjo’sScoring System = ≤ 0
79. การจัดการดูแลผู้ป่ วย
• Consult แพทย์เพื่อหาข้อสรุป ก่อนออกบัตรแพ้ยา
• บันทึกประวัติการเกิด ADR เพื่อป้ องกันการเกิดซ้า
• ให้คาแนะนาแก่ผู้ป่ วย
• นัดผู้ป่ วยมาติดตาม ( กรณีที่ทาได้)
• รายงานตามระบบรายงาน
15-Aug-14 79
81. คาแนะนาแก่ผู้ป่ วย เมื่อเกิดอาการไม่พึงประสงค์จากยา
• หลีกเลี่ยงยา หรือกลุ่มยาที่เคยแพ้หรือเกิดอาการอันไม่พึง
ประสงค์
• หลีกเลี่ยงการใช้ยาที่ไม่ทราบชื่อ ชนิด สรรพคุณ รวมทั้งยาชุด
ยาซอง โดยเด็ดขาด
• สอบถามชื่อยา สรรพคุณ วิธีใช้อย่างละเอียดทุกครั้ง เมื่อต้องใช้
ยาใด ๆ
15-Aug-14 81
82. ประโยชน์จากการดาเนินกิจกรรม ADR
ทาให้มีการประสานงานในการดูแลผู้ป่ วยเพิ่มขึ้น ในทีมสหสาขาวิชาชีพ
มีความระมัดระวังในการใช้ยาเพิ่มมากขึ้น
ผู้ป่ วยได้รับการรักษาที่รวดเร็วและเหมาะสม
ลดภาระของแพทย์ เภสัชกรสามารถมีส่วนร่วมในการติดตาม
Progessnote ของผู้ป่ วยแล้วรายงานให้แพทย์ทราบ
ผู้ป่ วยได้รับความรู้ ความเข้าใจที่ถูกต้อง สามารถป้ องกันการเกิด ADR
ซ้าจากยาเดิมหรือยาอื่นที่อยู่ในกลุ่มเดียวกัน
15-Aug-14 82
86. Maculo-papularrash (MP rash)
• พบบ่อยมากที่สุด
• ยาเกือบทุกชนิดสามารถทาให้เกิดผื่นได้
• ประกอบด้วย ผื่น 2 ชนิด คือ
– Macule คือ ผื่นราบเกิดจากสีของผิว
เปลี่ยนแปลงโดยที่ผิวหนังไม่นูนหรือบุ๋ม
ขอบเขตของผื่นอาจเห็นได้ชัดหรือไม่ชัด
มีขนาดละรูปร่างต่างๆ มีขนาดใหญ่กว่า 1cm.
– Papule คือ ตุ่มนูน มีขนาดเล็กมาก
ไปจนถึงเส้นผ่าศูนย์กลางไม่เกิน 5 มม.
มีสีต่าง ๆ เมื่อคลาดูอาจจะรู้สึกนุ่ม หยุ่น หรือแข็ง
15-Aug-14 86
87. Maculo-papularrash (MP rash)
• ผื่นจะมีสีแดงชัดเจน เมื่อเอามือหรือกระจกใส ๆ กดลงไปที่ผื่น จะซีดจาง
ลง
• บริเวณที่พบผื่นมากที่สุด คือ ลาตัว และกระจายไปทั่ว ๆ กันทั้ง 2 ข้าง
15-Aug-14 87
88. Maculo-papularrash (MP rash)
• แสดงผื่นแพ้ยาที่เกิดบริเวณฝ่ ามือและฝ่ าเท้า เป็นตาแหน่งที่ช่วยให้คิดถึง
ว่า น่าจะเป็นผื่นที่เกิดจากยา
• บริเวณที่ไม่พบผื่นชนิดนี้คือ บริเวณเยื่อบุต่างๆ เช่น ในช่องปาก เยื่อบุตา
หรือที่อวัยวะเพศ
15-Aug-14 88
89. Urticaria
( ผื่นลมพิษ )
• ผื่นที่มีอาการในระยะแรกเป็นรอยนูนแดงขนาดเล็ก คันมาก ผื่นค่อย ๆ
ขยายออก มีขอบยกนูน ตรงกลางของผื่นจะมีสีซีดจางกว่าบริเวณรอบๆ
มักมีรูปร่างแปลกๆ ไม่แน่นอน มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา บางครั้ง
รูปร่างเหมือนวงกลม แต่มักไม่ครบวง บางครั้งดูคล้ายแผนที่มีขอบหยัก
หยักมา ผื่นกระจายทั่วร่างกาย
15-Aug-14 89
90. Urticaria
( ผื่นลมพิษ )
• ผื่นลมพิษ มักไม่ทาให้เกิดอันตราย นอกจาก มีอาการคัน แต่ถ้าพบผู้ป่ วย
ที่มีลมพิษขึ้นชนิดเฉียบพลัน จะต้องระวังอาจมีอาการของอวัยวะส่วน
อื่นร่วมด้วย เช่น หลอดลมตีบ หายใจหอบ หายใจเสียงดัง ความดันโลหิต
ต่า ซึ่งเป็นอาการของ Anaphylactic shock หากได้รับการ
รักษาไม่ทันท่วงที อาจเสียชีวิตได้
• ผื่นลมพิษอาจเกิดจากสาเหตุอื่น ๆ ได้อีก เช่น การแพ้อาหาร ฝุ่ น การ
เปลี่ยนแปลงอุณหภูมิความร้อนความเย็น และโรคบางอย่าง เช่น SLE ,
มะเร็ง เป็นต้น ดังนั้นเมื่อพบผื่นชนิดนี้จึงควรสอบถามถึงสาเหตุอื่นๆ
ด้วยทุกครั้ง
15-Aug-14 90
92. Fixed Drug Eruption
• ผื่นมีรูปร่างกลม ขอบชัด สีแดงจัด ระยะแรกเริ่มจะมีสีแดงจัด ต่อมาตรง
กลางของผื่นอาจมีการเปลี่ยนแปลงเป็นสีแดงคล้าหรือม่วง ถ้าแพ้มาก
ตรงกลางของผื่นอาจพองเป็นตุ่มน้าก็ได้
• ผื่นมักมีจานวน 1-2 ผื่น แต่อาจเพิ่มจานวนมากขึ้นในการแพ้ครั้งต่อๆ
มา จนอาจมากว่า 10 ผื่น
• มักมีอาการแสบร้อน เจ็บ ๆ คัน ๆ
15-Aug-14 92
93. Fixed Drug Eruption
• ลักษณะสาคัญ คือ หากผู้ป่ วยได้รับยาเดิมที่แพ้ครั้งต่อๆ มาอีก จะปรากฏ
ผื่น Fixed Drug Eruption ที่บริเวณเดิมทุกครั้ง
• ผื่นแพ้ยาเพียงชนิดเดียวเท่านั้น ที่ยังไม่พบว่ามีสาเหตุการเกิดจากปัจจัย
อื่นๆ นอกจากยา เมื่อพบผื่นชนิดนี้ จะต้องพยายามหายาที่เป็นสาเหตุให้
ได้
15-Aug-14 93
94. Eczematous drug eruption
• ผื่นมีอาการคันมาก ระยะแรกๆ ผื่นจะมีลักษณะเป็นตุ่มสีแดง หรือเป็น
ผื่นแดง รูปร่างไม่แน่นอน ผื่นส่วนมากมักมีขนดใหญ่ ผื่นหลายแห่งอาจ
บวมเป็นตุ่มน้าใสๆ แตกออกเป็นน้าเหลืองไหลและตกสะเก็ด
15-Aug-14 94
95. Eczematous drug eruption
• ถ้ายาที่แพ้เป็นยาทา ก็จะเกิดผื่น eczema เฉพาะที่ทายา ส่วนมากจะใช้
เวลา∼2 วัน นับตั้งแต่ทายาจนเกิดอาการแพ้ขึ้น ซึ่งแพทย์อาจเรียก
อาการแพ้แบบนี้ว่า “ ผื่นแพ้สัมผัส ”
• ยาที่แพ้เป็นยากิน / ฉีดเข้าร่างกาย ผื่นจะเกิดทั่วร่างกาย
15-Aug-14 95
98. ERYTHEMA MULTIFORM
• ผื่นที่มีรูปร่างคล้ายเป้ ายิงธนู (target lesion หรือ iris lesion )
ผื่นมีรูปร่างกลม เป็นวงสามชั้น ชั้นในสุดจะมีสีแดงเข้มจัดหรือเป็น
ตุ่มน้าพองๆ ชั้นต่อมามีสีซีดจาง และชั้นนอกสุดจะมีสีแดงจางๆ
• ขนาดของผื่น ∼2 มล.-2 ซม.
• พบบริเวณปลายมือปลายเท้า เหนือข้อศอก
ข้อต่อต่างๆ และบริเวณใบหน้า ลามไปที่ลาตัว
ผื่นมักจะเป็น 2 ข้างของร่างกาย เท่าๆ กัน
15-Aug-14 98
99. ERYTHEMA MULTIFORM
• ผิวหนังที่เป็นผื่นทั้งหมดมักจะ < 10% ของพื้นที่ผิวหนังทั้งหมด
• ผู้ป่ วยจะต้องมีแผลตามเยื่อบุต่างๆ 1 แห่งร่วมด้วยเสมอ ( ริมฝีปาก
เพดาน เหงือก ลิ้น เยื่อบุตา อวัยวะเพศ) เป็นแผลถลอกตื้นๆ เจ็บ มี
เลือดออกและเป็นสะเก็ดสีคล้า
• ผู้ป่ วยอาจมีอาการปวดเมื่อยตามตัวอ่อนเพลีย ปวดข้อ เจ็บคอ ร่วมด้วย
15-Aug-14 99
100. Steven Johnson Syndrome : SJS
• ผู้ป่ วยจะมีอาการผิดปกติขึ้นอย่างเฉียบพลัน เช่น มีไข้สูง ปวดเมื่อยตาม
ตัว ปวดศีรษะ คลื่นไส้อาเจียน เจ็บคอ ปวดข้อ ผื่นที่ขึ้นระยะแรก
อาจเป็นผื่นแดงบริเวณกว้างๆ เป็นจุดเล็กและเป็นปื้นใหญ่ตรงกลางผื่น
มักเป็นสีเข้มกว่า ต่อมาเริ่มมีตุ่มน้าและผิวหนังมีการหลุดลอก
• ผู้ป่ วยจะต้องมีรอยโรคที่บริเวณเยื่อบุ >11 แห่งขึ้นไป
15-Aug-14 100
101. Toxic Epidermal necrosis : TEN
• ผื่นแพ้ยาที่รุนแรงมากที่สุด
• อาการเริ่มแรก คล้ายจะเป็นหวัดเหมือน SJS ผิวหนังจะเปลี่ยนเป็นสี
แดงและเจ็บ จากนั้นจะพองเป็นตุ่มน้าและหลุดลอกออกอย่างง่ายดาย
• ผิวหนังมักจะลอกออกเป็นแผ่นใหญ่ๆ
• ดูคล้ายกับผู้ป่ วยที่โดนน้าร้อนลวกชนิดรุนแรง
15-Aug-14 101
102. Toxic Epidermal necrosis : TEN
• หากเอามือถูที่ผิวหนังทั้งที่บริเวณปกติหรือบริเวณที่ผิวหนังก็จะหลุด
ออกตามรอยที่ถูอย่างง่ายดาย
• บริเวณเยอบุต่างๆ เช่น ริมฝีปาก เยื่อบุตา หรือ มักมีการหลุดลอกร่วม
ด้วย มีเลือดออกซึม และเมื่อแห้งก็จะเป็นแผ่นสีดาคล้าที่อวัยวะเพศ
• อวัยวะภายในต่างๆ อาจเกิดความผิดปกติได้เช่น กลืนลาบาก อาเจียนเป็น
เลือด ถ่ายเป็นเลือด ตับอักเสบ ปอดอักเสบ
15-Aug-14 102