More Related Content
More from Gawewat Dechaapinun
More from Gawewat Dechaapinun (20)
2
- 11. ขิง มีสาร 6-จิงเจอรอล (6-gingerol) ซึ่งเป็นสารในกลุ่มฟีนอลที่
มีฤทธิ์ต้านการอักเสบ สารสกัดจากขิงมีฤทธิ์ต้านการรวมตัวของ
เกล็ดเลือด และมีฤทธิ์ต้านการออกซิเดชันของไขมัน ลดปริมาณ
ไขมันในเส้นเลือด
ข่า จะมีสารกาลานาล เอ และ บี (galanal A,B) ที่มีฤทธิ์ในการ
ต้านเซลล์เม็ดเลือดขาว และมีสารต้านการหลั่งฮีสตามีนซึ่งช่วย
บรรเทาอาการของโรคภูมิแพ้ เป็นต้น
ประโยชน์ของผักและผลไม้ต่อสุขภำพ
- 12. รงควัตถุ (pigment)
แอนโทไซยำนิน (anthocyanin)ในกะหล่าปลีม่วง มันสีม่วง เผือก ชมพู่
มะเหมี่ยว และลูกหว้า ช่วยชะลอการเกิดโรคไขมันอุดตันในหลอดเลือด
และโรคเลือดหัวใจแข็งตัว มีฤทธิ์การต้านออกซิเดชันของไขมันแอลดี
แอล (LDL) มีส่วนช่วยเพิ่มสมรรถภาพการมองเห็น และลดปัญหาระบบ
หมุนเวียนเลือด
สำรกลุ่มฟลำโวนอยด์ เช่น รูทิน (rutin) และคาทีชิน (catechin) ที่พบในใบ
หม่อน ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ และ
ลดปริมาณไขมันแอลดี แอลในกระแสเลือด
ประโยชน์ของผักและผลไม้ต่อสุขภำพ
- 13. ไลโคฟีน (lycopene) ในมะเขือเทศ แตงโม ฝรั่ง มะละกอสีแดง มี
ฤทธิ์ เป็ นสารต้านอนุมูลอิสระ ลดการถูกทาลายของสาร
พันธุกรรมและโปรตีน ช่วยลดอุบัติการณ์ของมะเร็งต่อม
ลูกหมาก
ประโยชน์ของผักและผลไม้ต่อสุขภำพ
- 20. ตระกูลแตง ได้แก่ แตงกวา แตงเทศ แตงโม ตาลึง บวบเหลี่ยม บวบ
หอม น้าเต้า ฟักทอง มะระ
ตระกูลถั่ว ได้แก่ กระถิน แค ชะอม ถั่วแขก ถั่วฝักยาว ถั่วลันเตา มัน
แกว โสน
ตระกูลมะเขือ ได้แก่ พริก พริกยักษ์พริกหวาน มะเขือ มะเขือเทศ
มะแว้ง
ตระกูลหอม ได้แก่ กระเทียม หอมแดง หอมแบ่ง หอมหัวใหญ่
ตระกูลอื่นๆ ได้แก่ ข้าวโพดหวาน คื่นฉ่าย เครื่องเทศ ผักกาดหอม
ผักชี ผักบุ้งจีน สมุนไพร
Botanical classification
- 21. 2. กำรจำแนกผักตำมส่วนที่ใช้บริโภค
รำก
- รากแก้ว ได้แก่ แครอท ผักกาดหัว
- รากแขนง ได้แก่ มันเทศ
ลำต้น
- ลาต้นเหนือดิน ได้แก่ กะหล่าปม หน่อไม้ฝรั่ง
- ลาต้นใต้ดิน ได้แก่ ขิง ข่า เผือก มันฝรั่ง มันมือเสือ หน่อไม้
ใบ
- ตระกูลหอม ได้แก่ กระเทียม กระเทียมต้น หอมแดง หอมแบ่ง
หอมหัวใหญ่
- กลุ่มใบกว้าง ได้แก่ กะหล่าปลี คะน้า ปวยเล็ง ผักกาดขาวปลี
ผักกาดหอม
- 22. ดอก
- ตาดอกอ่อน ได้แก่ กะหล่าดอก บรอคอลี
- ดอกแก่ ได้แก่ แค โสน
ผล
- ผลอ่อน ได้แก่ กระเจี๊ยบเขียว ข้าวโพดฝักอ่อน แตงกวา
ถั่วฝักยาว ถั่วลันเตา บวบเหลี่ยม มะเขือ มะระ
- ผลแก่ ได้แก่ ตระกูลแตง เช่น แตงเทศ แตงโม ฟักทอง ตระ
มะเขือ ได้แก่ พริก มะเขือเทศ
- 24. 4. จำแนกตำมฤดูปลูกที่เหมำะสม
ผักฤดูหนำว (18-28 องศาเซลเซียส) ได้แก่ กระหล่าดอก กะหล่าปลี กระเทียม
แครอท บรอคอลี ผักกาดเขียาปลี ผักกาดหัว ผักกาดหอม มันฝรั่ง และหอมหัวใหญ่
ผักฤดูร้อน ( 25-35 องศาเซลเซียส ) ได้แก่ กระเจี๊ยบเขียว ข้าวโพดหวาน ผัก
ตระกูลแตงทุกชนิด ผักตระกูลมะเขือทั้งหมด ยกเว้น พริกยักษ์ พริกหวาน สาหรับ
ผักตระกูลถั่ว ยกเว้น ถั่วลันเตา
ผักฤดูฝน ( 25-35 องศาเซลเซียส) และทนฝน ได้แก่ ผักตระกูลแตงทั้งหมด
ยกเว้น แตงเทศ ผักตระกูลมะเขือ และถั่วฝักยาว ผักกลุ่มนี้เจริญเติบโตได้ผลดีใน
ทุกฤดู
- 25. จำแนกโดยอำศัยลักษณะกำรเจริญเติบโต หรือ อำยุของพืช
พืชผักฤดูเดียว (annual) คือ พืชที่มีอายุสั้นๆ หรือฤดูปลูกเดียว
ส่วนมากเป็นพืชล้มลุก (herbaceous plants) เช่น มะเขือเทศ
แตงกวา
พืชสองฤดู (biennial) คือ พืชที่ต้องอาศัยการปลูกสองฤดูกาล ซึ่ง
เป็นลักษณะของพืชเมืองหนาวมีระยะการพักตัว เช่น กะหล่า
ต่างๆ
พืชยืนต้น (perennial) คือพืชที่มีอายุยืนเช่น สะเดา แค มะรุม
- 28. รูปที่ ผนังผล ( ประกอบด้วย ผนังชั้นนอก ( ผนังชั้นกลำง ( และผนัง
ชั้นใน (
- 29. ผนังผล
ผนังชั้นนอก (Exocarp) ชั้นผิวนอกสุดของผล ชั้นนี้ในผลบาง
ชนิดมีผิวชั้นนอกบางหรืออ่อนเช่น ผลองุ่น ชมพู่ มะม่วง ผล
บางชนิดผิวชั้นนอกแข็งและเหนียว เช่นมะพร้าว ฟักทอง
ผนังชั้นกลำง (Mesocarp) ผนังชั้นนี้มักนุ่ม เช่น มะม่วง
มะละกอ ผลบางชนิดมีผนังชั้นกลางเป็นเส้นใยเหนียว เช่น
มะพร้าว ตาล จาก
ผนังชั้นใน (Endocarp) ผนังชั้นใน มีทั้งอ่อนนุ่มเช่น ส้ม และ
มีลักษณะแข็งเช่น มะม่วง มะพร้าว
- 30. กำรจำแนกตำมจำนวนรังไข่ที่ประกอบเป็นผลไม้
จำแนกได้เป็น 3 กลุ่ม
ผลเดี่ยว (simple fruit) ที่เกิดจากดอกเดียว เกสรเพศเมียมีหนึ่งหรือ
หลายรังไข่ที่เชื่อมติดกัน เช่น ผลแตงโม มะละกอ ส้ม มะม่วง
ผลกลุ่ม (aggregate fruit) ชนิดของผลที่เกิดจากดอกเดียวแต่มีหลาย
รังไข่ และแต่ละรังไข่แยกจากกัน ซึ่งแต่ละรังไข่นี้จะเจริญไปเป็นผล
ย่อย เช่น ผลน้อยหน่า การเวก จาปี จาปา สตรอเบอร์รี่
ผลรวม (multiple fruit) ชนิดของผลที่เกิดจากดอกย่อยหลายๆ ดอก
ในช่อดอกเดียวกันเจริญเชื่อมติดกันเป็นผลเดียวเช่น ขนุน สับปะรด
ยอ
- 33. 1) ผลสด (fleshy fruit)
1.1 ผลเมล็ดเดียวแข็ง (drupe) เป็นผลสดที่มีเมล็ดเพียงเมล็ดเดียว
ผนังผลแบ่งออกได้3 ชั้น ชัดเจน ผนังผลชั้นกลางเป็นเนื้อนุ่ม
ผนังผลชั้นในแข็ง เช่น ผลมะม่วง
(A) ผลเมล็ดเดียวแข็ง(drupe)
- 35. 1.3 ผลแบบส้ม (hesperidium) เป็นผลที่มีผนังชั้นนอกหนา มีต่อม
น้ามัน ผนังผลชั้นในมีลักษณะเป็นเยื่อหุ้มกลีบ ภายในเป็นถุง
สะสมน้าหวาน เช่นส้ม
ผลสด (
- 36. 1.4 ผลแบบแตง (pepo) เป็นผลที่มีผนังผลชั้นนอกแข็งและเหนียว
ผนังผลชั้นกลางและชั้นในอ่อนนุ่ม เช่น น้าเต้า
ผลสด (
(D) ผลแบบแตง(pepo)
- 38. ผลแห้งแก่ไม่แตก (
แบ่งออกเป็น
ผลแห้งเมล็ดล่อน (achene) ผลมีขนาดเล็ก มี 1 เมล็ด ผนังผลมักแห้งไม่
ติดกับเมล็ดเช่น ผลทานตะวัน
ผลธัญพืช (caryopsis) ผลขนาดเล็ก มี 1 เมล็ด ผนังผลติดกับเมล็ด เช่น
ข้าว
ผลปีกเดียว (samara) เป็นผลที่มีปีกยาวหรือกลมล้อมรอบ เช่น ผลประดู่
ผลเปลือกแข็งเมล็ดเดียว (nut) เป็นผลมีเมล็ดเดียว ผนังผลแข็ง และ
ผลแยกแล้วแตก (schizocarp) เป็นผลที่มี 2 ซีก ติดกัน แต่เมื่อแก่จะแยก
ออก แต่ละซีกเรียกว่า ซีกผล (mericarp) เช่น ผลผักชี
- 39. (A) ผลแห้งเมล็ดล่อน (achene) (B) ผลธัญพืช (caryopsis) (C) ผลปีกเดียว(samara)
(D) ผลเปลือกแข็งเมล็ดเดียว (nut) (E) ผลแยกแล้วแตก (schizocarp)
- 40. ผลแตกแนวเดียว (follicle) เป็นผลที่แตกตามแนวตะเข็บ 1 ด้าน เช่น ผล
จาปี
ฝักแบบถั่ว (legume) เป็นผลที่แตกตามแนวตะเข็บ 2 ด้าน เช่น ฝักกระถิน
ผลแห้งแตก (capsule) เป็นผลที่มีการแตกหลายด้าน เช่น ผลแตกกลางพู
(loculicidal capsule) เมื่อแก่จะแตก ตรงกลางระหว่างพู เช่น ผลทุเรียน
ผลแตกตามรอยประสาน (septicidal capsule) เมื่อแก่จะแตกตามผนังกั้น
พู เช่น ผลกระเช้าสีดา ผลแตกตามช่อง (poricidal capsule) เมื่อแก่จะแตก
เป็นช่องเล็ก ๆ ที่ปลาย เช่นผลฝิ่น ผลแตกตามขวาง (circumcissile
cspsule) เมื่อผลแก่จะแตกตามขวาง มีฝาเปิด เช่น ผลหงอน
ผลแห้งแก่แตก (
- 42. กำรจำแนกผลไม้ตำมอัตรำกำรหำยใจขณะผลไม้สุก
2.2.1 ผลไม้บ่มสุก (climacteric fruits) คือ ผลไม้ที่มีอัตราการหายใจ
เพิ่มขึ้นเมื่อผลไม้สุก และเอทธิลีนมีผลเร่งกระบวนการสุก ดังนั้นผลไม้
กลุ่มนี้สามารถนามาบ่มให้สุกได้ผลไม้ที่จัดอยู่ในกลุ่มนี้ได้แก่ มะม่วง
มะละกอ น้อยหน่า กล้วย ฝรั่ง เป็นต้น
2.2.2 ผลไม้บ่มไม่สุก (non-climacteric) คือ ผลไม้ที่มีอัตราการหายใจไม่
เปลี่ยนแปลงเมื่อผลไม้สุก และเอทธิลีนไม่มีผลกระทบต่อการสุก ดังนั้น
ผลไม้กลุ่มนี้เมื่อเก็บมาจากต้นแล้วไม่สามารถบ่มต่อให้สุกได้ ผลไม้กลุ่ม
นี้ได้แก่ ผลไม้จาพวกส้ม ส้มโอ มะนาว สับปะรด องุ่น สตรอเบอรี
เงาะ มะไฟ ลาไย ลิ้นจี่ เป็นต้น
- 49. เครื่องมือที่ใช้ในกำรประเมินสี
การใช้แผ่นเทียบสี (color chart) เพื่อเปรียบเทียบกับสีของผลผลิต
การใช้Light Reflectance Meter การสะท้อนแสงจากผิวของ
ผลิตผล
การใช้Light Transmission Meter ในการวัดปริมาณแสงที่ผ่าน
ผลผลิต วิธีนี้อาจใช้ตัดสินสีภายในผล หรือลักษณะผิดปกติ เช่น
อาการไส้ดาของแอปเปิล หรือไส้ดาของมันฝรั่ง
คุณสมบัติทางพันธะเคมีจะมีการดูดกลืนคลื่นแสงที่ความยาวคลื่น
เฉพาะจึงใช้วิเคราะห์ปริมาณรงควัตถุที่มีอยู่ เช่น คลอโรฟิลล์ แค
โรทีนอยด์ และฟลาโวนอยด์
- 50. ควำมเลื่อมมัน
ผิวของผักและผลไม้ทุกชนิดมีชั้นของ cuticle ปกคลุมอยู่ภายนอก ด้าน
นอกสุดจะเป็นไข (wax) ที่เคลือบสะสมอยู่ที่ผิวนอก ซึ่งขึ้นอยู่กับปริมาณ
โครงสร้างและการเรียงตัวบนผิวของผลไม้
จะมีผลต่อคุณภาพทางด้านความมันของผิว ผลไม้หลายชนิด เช่น มะม่วง
องุ่นและฟัก เมื่อผลบริบูรณ์เต็มที่จะเห็นไขเป็นนวลสีขาว
ไขเหล่านี้หากทาการขัดผิวโดยใช้แปรงหรือผ้าจะทาให้ผิวผลไม้เป็นมัน
เงาและเห็นสีของผลไม้ชัดเจน
การเคลือบเงาในผลแอปเปิ้ลก็เป็นวิธีหนึ่งในการลดการสูญเสียน้าและยัง
ช่วยให้ผิวเป็นมันเงาทาให้ดึงดูดใจผู้บริโภค วิธีการวัดความมันอาจจะใช้
Gloss Meter หรือพิจารณาดูด้วยสายตา
- 54. 2.2 ควำมเหนียวและเส้นใย (Toughness and Fibrousness) การวัดวิธีนี้จะใช้
วัดแรงต้านในการตัด หรือใช้Instron Univeral Testing Machine การวัด
ความต้านทานต่อการตัดใช้เครื่อง Fibrometer หรือ อาจใช้วิธีการทางเคมี
ในการหาปริมาณเส้นใยและลิกนิน
2.3 ควำมอวบน้ำและฉ่ำน้ำ (Succulence and Juiciness) การหาความอวบ
และปริมาณน้าได้จากการหาปริมาณน้าคั้น (extractable juice) จะบอกถึง
ความฉ่าน้าได้
2.4 กำรประเมินโดยประสำทสัมผัส (sensory evaluation) ใช้การประเมิน
โดยความรู้สึกของมนุษย์พิจารณา เช่น ความกรอบ สี กลิ่น รสชาติและ
ลักษณะปรากฎต่างๆ
- 56. 3.1 ความหวาน (sweetness)
เกิดจากน้าตาลที่มีในผลผลิต เช่น น้าตาลซูโครส ฟรุกโตส และกลูโคส
น้าตาลแต่ละชนิดจะมีระดับความหวานที่ไม่เท่ากัน และเนื่องจากน้าตาล
เหล่านี้สามารถละลายน้าได้และสามารถหักเหแสงเมื่อส่องผ่านน้า
วัดปริมาณน้าตาลโดยใช้hand refractometer (รูปที่ 1.7A) เพื่อหาปริมาณ
ของแข็งที่ละลายได้ทั้งหมด (total soluble solid; TSS) หรือใช้
hydrometer (รูปที่ 1.7B) นอกจากนี้อาจวัดโดยวิธีทางเคมี เพื่อวิเคราะห์
หาปริมาณน้าตาลทั้งหมด และปริมาณน้าตาลรีดิวซ์ (reducing sugar)
- 59. 3.4 ความฝาด (Astringency)
ความฝาดเกิดจากสารประกอบกลุ่มฟีนอล (phenol)
ผลไม้ที่ยังไม่บริบูรณ์จะมีสารประกอบฟีนอลอยู่มาก เพื่อป้องกันการ
ทาลายของจุลินทรีย์และแมลงศัตรูพืช แต่เมื่อผลพัฒนาสมบูรณ์แล้วจะมี
ปริมาณฟีนอลลดลง
ผลไม้ที่มีรสฝาดจัดว่าคุณภาพไม่ดี
การวิเคราะห์สารประกอบฟีนอลอย่างง่ายโดยใช้น้ายา ferric
chloride(FeCl3) ความเข้มข้น 1% หยดลงบนผิวของผลผลิต ถ้ามี
สารประกอบฟีนอลอยู่มากจะทาปฎิกิริยาได้สีเข้มมาก
การหาปริมาณแทนนิน (tannin) หรือ ระดับการรวมตัวของแทนนิน หรือ
ประเมินโดยการทดสอบทางประสาทสัมผัส
- 60. 3.5 ควำมขม (Bitterness) ผลไม้บางชนิดมีรสขม เช่น ส้ม มะระ โดยทั่วไป
รสขมจะเป็นลักษณะของผลผลิตที่มีคุณภาพต่า ความขมเกิดจากสารเคมี
ต่างกันในพืช เช่น ส้มจะเกิดจากสารลิโมนิล (limonoid) การวัดความขม
อาจทาได้โดยหาปริมาณแอลคาลอยด์ (alkaloids) หรือ กลูโคไซด์
(glucosides) ซึ่งเป็นสารที่ทาให้เกิดความขมได้
3.6 กลิ่น (Aroma) โดยทั่วไปกลิ่นเกิดจากกรดอินทรีย์ที่ระเหยได้(volatile
compound) โดยจะมีมากเมื่อผลไม้สุก สามารถวัดได้โดยเครื่อง Gas
chromatography หรือใช้ผู้ทดสอบทางประสาทสัมผัส โดยผู้ทดสอบที่
ผ่านการฝึกฝน (Sensory panels)
3.7 กำรประเมินโดยประสำทสัมผัส (Sensory evaluation) ใช้ผู้ทดสอบชิม
เพื่อประเมินความแตกต่างในคุณลักษณะต่างๆ หรือ ประเมินความชอบ