More Related Content
More from Gawewat Dechaapinun
More from Gawewat Dechaapinun (20)
Chapter 4 properties of glazes and control
- 8. การจัดกลุ่มวัตถุดิบที่ใช้ในการเตรียมน้าเคลือบ
3) วัตถุดิบที่ทาหน้าที่เป็ นกรด (Acid Oxide) เป็นวัตถุดิบในกลุ่มที่มีคุณสมบัติ
เป็นตัวทาให้เกิดโครงสร้างของแก้ว (Glass Former) หรือโครงสร้างตาข่าย
(Network Former)
เป็นสารประกอบที่สามารถเกิดเป็นแก้วได้เมื่อหลอมตัว
มีคุณสมบัติเป็นตัวทนไฟในน้าเคลือบ เนื่องจากจุดหลอมตัวสูงทาให้น้าเคลือบมี
ความแข็งแกร่งทนทานต่อการขีดข่วนและแรงกระแทก
สามารถทนต่อฤทธิ์กรดหรือด่างได้ดี
- 13. ความแตกต่างระหว่างผลึกของซิลิเกตและซิลิกา กับ vitreous silica และ glasses
• การจัดเรียงตัวของโครงสร้างผลึกจะเป็น
แบบสมมาตร (symmetrical) ในรูปแบบ
ของเททระฮีดรอนซึ่งจะซ้อนทับกันเป็นชั้นๆ
• vitreous silica และ glasses
มีการจัดเรียงโครงสร้างที่ต่อเนื่องกันเป็น
โครงข่าย 3 มิติแบบสุ่ม (Random Network)
ซึ่งจะเรียงซ้อนทับกันเป็นลาดับชั้นไป
Singer และ German, 1960 : 2
- 14. ความแตกต่างระหว่างผลึกของซิลิเกตและซิลิกา กับ vitreous silica และ glasses
ผลึกของซิลิเกตและซิลิกา vitreous silica และ glasses
จุดหลอมตัวที่แน่นอน มีอุณหภูมิที่จุดอ่อนตัวมากกว่าช่วงอุณหภูมิของการหลอมตัว
เกิดรูปของผลึก ไม่มีผลึก
จัดเรียงรูปร่างได้อย่างเป็นระเบียบ จัดเรียงตัวแบบไร้ระเบียบ
โครงตาข่ายมีความสมดุล โครงตาข่ายไม่มีความสมดุล
การขยายตัวเชิงความร้อนต่า
มีความหนืดมากเมื่อหลอม
มีพันธะที่แข็งแรงมาก
- 15. ความแตกต่างระหว่างผลึกของซิลิเกตและซิลิกา กับ vitreous silica และ glasses
ข้อสรุป
• โครงสร้างของแก้วมีการจัดเรียงโครงตาข่าย 3 มิติแบบสุ่ม ซึ่งไม่ได้เกิดซ้ากันที่ระยะห่างเดิม
• มีหน่วยพื้นฐานเป็นแบบ Tetrahedral หรือ Triangular (ร่องสามเหลี่ยม) ที่ล้อมรอบ
ด้วยอะตอมของออกซิเจน 4 อะตอมโดยมีอะตอมของซิลิคอนอยู่ภายในตรงกลาง
• ช่องว่างเล็กๆ ระหว่างของหน่วยพื้นฐานในโครงตาข่ายนี้จะถูกเติมเต็มด้วยธาตุที่ทาให้เกิด
ความเสถียรซึ่งจะไปปรับเปลี่ยนคุณสมบัติทางกายภาพของแก้ว
• ไม่สามารถหาสูตรย่อยทางเคมีของแก้วได้เนื่องจากการจัดเรียงโครงสร้างแบบสุ่ม
- 16. วัตถุดิบในการเตรียมน้าเคลือบ
1. สารตะกั่ว (PbO)
• มีจุดหลอมละลายที่ 770-1,120 องศาเซลเซียส
• ทาหน้าที่เป็นตัวหลอมละลายที่ให้แก้วในอุณหภูมิต่า 900-1,120 องศาเซลเซียส ถ้าเผาใน
อุณหภูมิสูงเกิน 1,180 องศาเซลเซียส สารตะกั่วจะระเหยกลายเป็นไอ ตะกั่วเป็นสารพิษไม่ควรใช้
ตะกั่วโดยตรงในการเตรียมเคลือบ
• ควรนาตะกั่วมาหลอมกับซิลิกา ให้เป็น ฟริตเสียก่อน เมื่อ Pb3O4 + 2SiO2 จะได้เป็นฟริตของ
ตะกั่ว (Lead bisicate frit) มีราคาแพง ยังไม่มีการผลิตในประเทศ ต้องสั่งซื้อจากต่างประเทศ
• เคลือบตะกั่วทุกชนิดต้องเผาแบบสันดาปสมบูรณ์ ไม่มีควัน ถ้าหากเผาผิดพลาดเชื้อเพลิงสันดาป
ไม่สมบูรณ์ จะเกิดเป็นควันสีดาคล้า
• สารที่ให้ตะกั่วได้แก่ ตะกั่วแดง (Pb3O4) และตะกั่วขาว (2PbCO3)
- 17. วัตถุดิบในการเตรียมน้าเคลือบ
2. บอแร็กซ์ (Borax) Na2O 2B2O3 10H2O
• มีจุดหลอมละลายที่ 741 องศาเซลเซียส
• ทาหน้าที่เป็นตัวหลอมละลายให้แก้วที่อุณหภูมิต่า 900-1,100 องศาเซลเซียส เป็นด่างที่ให้
โซเดียมและบอริกออกไซด์อยู่รวมกัน เป็นสารละลายน้าได้
• นิยมนามาหลอมเป็นฟริตก่อนใช้เคลือบผลิตภัณฑ์ Na2O 2B2O3 3SiO2 คือ โบโรซิลิเกตฟ
ริต สามารถใช้ทาเคลือบสีฟ้ าสดได้ โดยใส่สนิมทองแดง 3-4% ในฟริต แล้วเผาที่อุณหภูมิต่า
900-1,100 องศาเซลเซียส
• เคลือบที่เผาที่อุณหภูมิต่าทุกชนิด ไม่นิยมนามาใส่อาหาร เพราะกรดในอาหาร เช่น น้าส้มสายชู
และกรดมะนาว สามารถกัดเคลือบได้ และเกิดสารพิษละลายปนมากับอาหาร
- 18. วัตถุดิบในการเตรียมน้าเคลือบ
3. ฟริต (Frit)
• ฟริต คือ วัตถุดิบที่ใช้เตรียมเคลือบอุณหภูมิต่า ซึ่งทามาจากวัตถุดิบที่เป็นพิษหรือวัตถุดิบที่ละลายน้าได้
นามาเผาหลอมรวมกับซิลิกาซึ่งเป็นแก้วทาให้วัตถุดิบที่หลอมตัวเป็นแก้วมีคุณสมบัติไม่ละลายน้าและไม่
ดูดซึมเข้าทางผิวหนังลดคุณสมบัติเป็นพิษลง ฟริตถูกนามาบดให้ละเอียดในรูปของผงเคลือบสาเร็จรูป
ก่อนนามาใช้เป็นเคลือบอุณหภูมิต่า นิยมเตรียมฟริตจากวัตถุดิบ ตะกั่ว และบอแร็กซ์ หรือจากส่วนผสม
ของทั้งสองอย่างรวมกัน เช่น
• Pb3O4 + 2SiO2
เผาที่ 1,130℃
บดเป็นผงละเอียด (Lead bisilicate frit)
• Na2O 2B2O3 + 3SiO2
เผาที่ 1,180℃
บดเป็นผงละเอียด (Borosilicate frit)
• Pb3O4 + Na2O 2B2O3 + 5SiO2
เผาที่ 1,180℃
บดเป็นผงละเอียด (Lead Borosilicate
frit)
- 19. วัตถุดิบในการเตรียมน้าเคลือบ
• ฟริตนิยมนามาใช้ผสมในน้าเคลือบอุณหภูมิต่าประมาณ 80-100% โดยน้าหนัก เนื่องจาก
ในเคลือบฟริตมีส่วนผสมของซิลิกา และอะลูมินาอยู่บ้างจึงใช้เป็นเคลือบสาเร็จรูปที่อุณหภูมิ
ต่าได้
• เคลือบอุณหภูมิปานกลาง 1,150-1,200 องศาเซลเซียส ใช้ฟริตในปริมาณน้อยลง เพื่อลด
อุณหภูมิการหลอมละลายของเคลือบโดยใช้ในปริมาณ 20-40% ร่วมกับวัตถุดิบตัวหลอม
ละลายอื่นๆ ในสูตรเคลือบ
• เคลือบอุณหภูมิสูง โดยปกติไม่ใช้ฟริตเป็นส่วนประกอบ ใช้วัตถุดิบทั้งหมด (Raw
material) แต่ในเคลือบอุณหภูมิสูงบางชนิดที่ต้องการสีพิเศษหรือมีปฏิกิริยาแปลกจาก
ธรรมชาติ (special effect) จะใช้ฟริตในสูตรเคลือบด้วยในปริมาณไม่เกิน 5%
- 20. วัตถุดิบในการเตรียมน้าเคลือบ
4. ซิงค์ออกไซด์ (ZnO)
• เป็นวัตถุดิบมีจุดหลอมละลายสูง หลอมละลายได้แก้วที่ 1,800 องศาเซลเซียส
• สังกะสี (Zinc) เป็นด่างที่นิยมใช้ในเคลือบอุณหภูมิปานกลางถึงอุณหภูมิสูง 1,150-1,250
องศาเซลเซียส
• ใช้รวมกับด่างตัวอื่นๆ เช่น หินปูน โซดาเฟลด์สปาร์ เป็นต้น หากใช้เฉพาะด่างจากสังกะสีเพียง
อย่างเดียวอาจจะทาให้เคลือบไม่ยอมละลาย เคลือบใสที่มีสังกะสี ถ้าหากนามาเขียนสีใต้
เคลือบ สีเขียว สีเหลือง สีน้าตาล จะซีดลงและสีเขียวจะเปลี่ยนเป็นสีน้าตาล แต่เคลือบสังกะสี
จะทาให้สีน้าเงินมีสีสดยิ่งขึ้น
- 21. วัตถุดิบในการเตรียมน้าเคลือบ
5. แมกนีเซียมออกไซด์ (MgO)
• เป็นวัตถุดิบที่มีจุดหลอมละลายสูงมาก 2,800 องศาเซลเซียส
• จัดเป็นวัตถุดิบทนไฟแต่มีคุณสมบัติเป็นด่างหรือตัวหลอมละลายในเคลือบอุณหภูมิสูง 1,250
องศาเซลเซียส ขึ้นไปถึง 1,300 องศาเซลเซียส
• แมกนีเซียมไม่ได้เป็นตัวหลอมละลายหลักในสูตรเคลือบแต่ใช้ในปริมาณน้อยมาก จาก 1-10%
ถ้าใช้ปริมาณมากเคลือบจะทนไฟสูง และเกิดเป็นเคลือบกึ่งด้าน (Semi Matt) วัตถุดิบที่ใช้
แมกนีเซีย ได้แก่
• ทัลคัม (Talcum) 3MgO 4SiO2 H2O แมกนีเซียมซิลิเกต
• โดโลไมต์ (Dolomite) CaCO3 MgCO3 แคลเซียมแมกนีเซียมคาร์บอเนต
• แมกนีเซียมคาร์บอเนต (Magnesium Carbonate) MgCO3
- 22. วัตถุดิบในการเตรียมน้าเคลือบ
6. ลิเทียมออกไซด์ (Li2O)
• วัตถุดิบที่มีจุดหลอมละลายให้แก้วในอุณหภูมิ 1,150 องศาเซลเซียส
• มีคุณสมบัติเป็นตัวหลอมละลายที่ดีในเคลือบอุณหภูมิปานกลาง และอุณหภูมิสูง 1,150-1,230
องศาเซลเซียส ลิเทียมมีราคาแพงจึงไม่นิยมใช้ในเคลือบอุตสาหกรรม เหมาะสาหรับทาเคลือบใน
ปริมาณไม่มาก ลิเทียมมีคุณสมบัติเป็นตัวเร่งสีเคลือบด้วย เคลือบที่มีสีพิเศษต่างๆ เช่น สีฟ้ าเทอร์
คอยช์ หรือสีชมพู จะต้องใส่ลิเทียมในปริมาณ 5-10% ในสูตร วัตถุดิบที่ให้ลิเทียมได้แก่
• Li2CO3 ลิเทียมคาร์บอเนต
• Li2F2 Al2O3 3SiO2 ลิเทียมเฟลด์สปาร์ หรือเลปปิโดไลต์
- 23. วัตถุดิบในการเตรียมน้าเคลือบ
7. สตรอนเซียมออกไซด์ (SrO2)
• เป็นวัตถุดิบที่มีจุดหลอมละลายที่ 2,430 องศาเซลเซียส
• มีคุณสมบัติเป็นด่างใช้ในเคลือบอุณหภูมิปานกลาง 1,150-1,200 องศาเซลเซียส ซึ่งโดย
ปกติจะใช้ไม่เกิน 3% ในสูตรเคลือบ อุณหภูมิการเผาปานกลางโดยใช้รวมกับด่างตัวอื่นๆ เช่น
โซดาเฟลด์สปาร์ ซิงค์ออกไซด์ แบเรียมคาร์บอเนต
• ใช้ร่วมกันหลายๆ อย่าง เพื่อลดอุณหภูมิในการหลอมละลายได้ดีกว่าการใช้เพียงลาพังตัวเดียว
สตรอนเซียม มีราคาแพงจึงไม่นิยมใช้ทาเคลือบในอุตสาหกรรมที่ใช้เคลือบปริมาณมาก
วัตถุดิบที่ให้สตรอนเซียม ได้แก่
• SrCO3 สตรอนเซียมคาร์บอเนต
- 24. วัตถุดิบในการเตรียมน้าเคลือบ
8. แบเรียมคาร์บอเนต (BaCO3)
• เป็นวัตถุดิบที่มีจุดหลอมละลายที่ 1,923 องศาเซลเซียส
• มีคุณสมบัติเป็นตัวหลอมละลายที่อุณหภูมิปานกลางถึงอุณหภูมิสูง 1,180-1,250 องศาเซลเซียส
โดยปกติแล้วแบเรียมไม่ใช่ตัวหลอมละลายหลัก
• จึงใช้เป็นตัวเร่งตัวหนึ่งในการหลอมละลายของเคลือบ เต่ใช้ในปริมาณเพียงเล็กน้อย 5-8% ถ้าใช้
มากกว่านั้นจะไม่ช่วยให้เคลือบหลอมละลายได้เร็วขึ้น ถ้าหากใช้มากกว่า 20% ขึ้นไปในเคลือบ
มักจะให้สีด้านแทนเคลือบที่มีปริมาณของแบเรียมสูงถ้าเผาเกินอุณหภูมิไปเล็กน้อย 20-30
องศาเซลเซียส จะเกิดตาหนิเป็นฟองบนผิวเคลือบ หรือเคลือบเดือดพองปุดๆ จึงต้องระวังในการเผา
เป็นพิเศษโดยเผาต่ากว่าอุณหภูมิเดิมสัก 20-30 องศาเซลเซียส และแช่เวลาไว้ที่อุณหภูมิสูงสุดไว้
10 นาที เคลือบจะมีคุณภาพดี ไม่เกิดตาหนิเป็นฟอง
- 25. วัตถุดิบในการเตรียมน้าเคลือบ
9. แคลเซียมคาร์บอเนต (CaCO3)
• แคลเซียมคาร์บอเนต หรือหินปูน เป็นวัตถุดิบที่มีจุดหลอมละลายสูง 2,500 องศาเซลเซียส
• มีคุณสมบัติเป็นตัวหลอมละลายหลักในเคลือบอุณหภูมิสูง 1,250-1,300 องศาเซลเซียส
สามารถใช้เพียงอย่างตัวเดียวในสูตรเคลือบได้ เพื่อเป็นตัวหลอมละลายแต่โดยปกตินิยมใช้คู่
กับโซดาหรือโพแทสในเฟลด์สปาร์ ด้วยปริมาณที่ใช้ 15-25% ในเคลือบอุณหภูมิสูง
• ช่วยให้เคลือบมีความแข็งแกร่ง วัตถุดิบที่ให้แคลเซียมได้แก่
• หินปูนสีขาว Whiting
• แคลไซด์ CaCO3
• หินปูนสีเทา Gray limestone
- 26. วัตถุดิบในการเตรียมน้าเคลือบ
10. เฟลด์สปาร์ (KNaO Al2O3 6SiO2)
• เฟลด์สปาร์หรือหินฟันม้า เป็นวัตถุดิบที่มีจุดหลอมละลาย 1,180-1,200 องศาเซลเซียส
มีคุณสมบัติเป็นเคลือบได้ตามธรรมชาติ มีด่าง กลาง และกรด อยู่ครบในส่วนประกอบของเคลือบ
• เคลือบเคมีหรือเคลือบหินที่เราใช้อยู่ในปัจจุบัน ซึ่งก็คือเคลือบหินฟันม้านี้เอง ที่เป็นวัตถุดิบหลักในสูตร
เคลือบ มีตั้งแต่ 40-60% ในสูตรเคลือบอุณหภูมิสูงทุกชนิด ถ้าใช้โพแทสเฟลด์สปาร์เพียงอย่างเดียว
เพื่อทาเคลือบจะต้องเผาถึงอุณณภูมิ 1,400 องศาเซลเซียส จึงจะได้เคลือบใส แต่ถ้าหากเราต้องการ
ลดอุณหภูมิในการหลอมละลายและได้เคลือบใสที่ดี จะต้องใช้เฟลด์สปาร์ร่วมกับตัวหลอมละลายตัว
อื่นๆ เฟลด์สปาร์ ที่นิยมใช้ในสูตรเคลือบมีอยู่ 2 ชนิด คือ
• K2O Al2O3 6SiO2 โพแทสเฟลด์สปาร์
• Na2O Al2O3 6SiO2 โซดาเฟลด์สปาร์
- 27. วัตถุดิบในการเตรียมน้าเคลือบ
11. เนฟเฟลีนไซยาไนด์ (K2O 3Na2O 4Al2O3 9SiO2)
• เป็นเฟลด์สปาร์ที่มีตัวหลอมละลายในปริมาณมากกว่าเฟลด์สปาร์ในธรรมชาติ
• จึงมีจุดหลอมละลายต่า 1,100-1,200 องศาเซลเซียส แล้วแต่แหล่งที่ขุดได้
• เหมาะสาหรับทาเคลือบหิน เพราะสามารถใช้เป็นวัตถุดิบหลักได้ทันที 70-80% ในสูตร
เคลือบ ไม่มีจาหน่ายในประเทศ ต้องสั่งซื้อจากต่างประเทศ
- 28. วัตถุดิบในการเตรียมน้าเคลือบ
12. อะลูมินาออกไซด์ (Al2O3)
• มีจุดหลอมละลายที่ 2,050 องศาเซลเซียส
• มีคุณสมบัติเป็นตัวกลาง ทาให้เคลือบหนืดเกาะติดผิวดินได้ดี ไม่ไหลจากตัวผลิตภัณฑ์ขณะเผาถึง
จุดหลอมละลาย ช่วยให้เคลือบดิบที่ยังไม่ได้เผามีความแข็งสามารถเกาะติดผิวผลิตภัณฑ์ได้แน่นไม่
หลุดเป็นฝุ่นติดมือขณะจับ หรือทาให้เคลือบมีตาหนิง่าย
• ปกติเราใช้ดินขาวเป็นวัตถุดิบที่ให้อะลูมินาในเคลือบ เคลือบเกือบทุกชนิด มีดินขาวอยู่ประมาณ
10% ในสูตร เพื่อช่วยให้เคลือบลอยตัวไม่ตกตะกอนก้นถัง และช่วยให้เคลือบไม่หลุดเป็นฝุ่นและมี
คุณสมบัติเป็นตัวหนืดในขณะที่เคลือบหลอมละลาย วัตถุดิบที่ให้อะลูมินา ได้แก่
• ดินขาว Al2O3 2SiO2 2H2O
• อะลูมินาไฮเดรท Al2O3 3H2O
- 29. วัตถุดิบในการเตรียมน้าเคลือบ
13. ซิลิกา (SiO2)
• มีจุดหลอมละลายที่ 1,750 องศาเซลเซียส เป็นทรายแก้ว หรือหินแก้วผลึกของแร่ควอทซ์ มีค่า
ความแข็ง ระดับ 7 ทาให้บดละเอียดได้ยาก มีคุณสมบัติเป็นกรด ทาหน้าที่เป็นตัวทนไฟ ลดการ
ไหลตัวของน้าเคลือบ ทาให้ผิวเคลือบมีความแข็งแกร่งทนต่อรอยขีดข่วน ทนแรงกระแทง ทนฤทธิ์
กรด และด่างได้ดี ในเคลือบอุณหภูมิสูงทุกชนิดมีปริมาณของซิลิกาในสูตร 25-30% วัตถุดิบที่ให้
ซิลิกาได้แก่
• ควอทซ์ (Quartz)
• ฟลินท์ (Flint)
• ซิลิกา
• ทรายแก้วบริสุทธิ์
• เฟลด์สปาร์ทุกชนิด
- 31. วัตถุดิบในการเตรียมน้าเคลือบ
Oxidation Firing (OF) Reduction Firing (RF)
MnO2 แมงกานีสไดออกไซด์ 4-6%
Fe2O3 เฟอร์ริกออกไซด์ 4% = สีเหลือง
8% = สีน้าตาล
12-15% = สีดา
FeO, Fe3O4 เฟอร์รัสออกไซด์ เหล็กดา 4-8%
3-6% สีน้าตาล
1-2% สีเขียวศิลาดล
1-2% สีเขียวศิลาดล
• สีน้าตาล
• สีฟ้ า-น้าเงิน
Oxidation Firing (OF) Reduction Firing
(RF)
CoO โครบอลต์ออกไซด์ 0.5-3% 1-2% สีน้าเงินสด
- 32. การศึกษาคุณสมบัติของวัตถุดิบที่มีผลต่อเคลือบ
1. ผลของ K2O และ Na2O ที่มีต่อเคลือบ
• มีคุณสมบัติที่มีความเป็นฟลักซ์ (Flux) ที่รุนแรง
• ช่วยลดความหนืดของน้าเคลือบได้เป็นอย่างดี
• ช่วยเพิ่มการขยายตัวเชิงความร้อน (Thermal Expansion) ให้กับเคลือบ
• ทาให้เคลือบมีโอกาสเกิดการหลอมละลาย (Dissolution) หรือไหลตัวได้ดี
• เคลือบมีความทนต่อสารเคมีน้อยลง โดยเฉาะความสามารถในการทนต่อกรดจะลดลง
• ความแข็ง (Hardness) และการทนต่อการขัดสีของเคลือบจะลดลง
• ทาให้ช่วงอุณหภูมิในการอ่อนตัว (Softening range) แคบลง
• มีผลต่อการเกิดสีบางสีหลังเผา
• ราคาไม่แพง
- 33. การศึกษาคุณสมบัติของวัตถุดิบที่มีผลต่อเคลือบ
2. ผลของ CaO ที่มีต่อเคลือบ
• มีความเป็นฟลักซ์ที่อุณหภูมิสูง (1,040 องศาเซลเซียส)
• ช่วยให้ชั้นระหว่างเคลือบและเนื้อดิน (Interface Layer) มีความหนาและแข็งแรงขึ้น
• ช่วยให้ความแข็ง และความแข็งแรง (Strength) ของเคลือบดีขึ้น ถ้าหากใช้ร่วมกับ
B2O3 (บอร์ริกออกไซด์)
• เคลือบมีความทนต่อกรดมากขึ้น
• หากใช้ในปริมาณน้อยจะทาให้เคลือบเกิดการแยกตัวออก (Segregation) แต่ถ้าหาก
ใส่ในปริมาณมากจะทาให้ผิวของเคลือบทึบแสง
• ช่วยเพิ่มแรงดึงที่ผิว (Surface Tension) ให้กับเคลือบ
• ไม่มีผลต่อการเปลี่ยนสีบางสีหลังเผา ยกเว้นกับ Fe2O3 โดย CaO จะเปลี่ยน Fe2O3
จากสีเหลืองให้เป็นสีเขียวปนเหลือง (Olive Green)
- 34. การศึกษาคุณสมบัติของวัตถุดิบที่มีผลต่อเคลือบ
3. ผลของ MgO ที่มีต่อเคลือบ
• ช่วยให้ผิวเคลือบสุกใส (Brilliance) เป็นประกาย
• หากใส่ในปริมาณน้อยจะช่วยลดจุดหลอม และลดอุณหภูมิในการหลอมเคลือบ แต่ถ้าหาก
ใส่ในปริมาณมากจะทาให้ผิวของเคลือบทึบแสง และช่วยให้เคลือบเกิดผลึก นอกจากนี้ยัง
ช่วยเพิ่มจุดหลอมตัวให้กับเคลือบอีกด้วย
• ช่วยลดการขยายตัวเชิงความร้อนหากใช้ในปริมาณน้อย
• ช่วยเพิ่มแรงดึงที่ผิว (Surface Tension) ให้กับเคลือบ
• ช่วยเพิ่มความแข็งและการทนต่อการขัดสีให้กับเคลือบ
• มีความทนต่อสารเคมีเพิ่มขึ้น
• อาจทาให้เคลือบเปลี่ยนสีได้
- 35. การศึกษาคุณสมบัติของวัตถุดิบที่มีผลต่อเคลือบ
4. ผลของ PbO ที่มีน้าเคลือบ
• ช่วยลดความหนืดให้กับเคลือบ ทาให้เคลือบมีการไหลตัวที่ดีขึ้น
• ช่วยลดจุดหลอมตัวให้กับเคลือบ (ลดอุณหภูมิการหลอม)
• ช่วยลดแรงดึงที่ผิว (Surface Tension) ให้กับเคลือบ
• ความแข็งลดลง
• เกิดการระเหย (Evaporation) ได้ง่ายขณะเผา
• ความแข็งแรงและความทนต่อสารเคมีลดลง
• ช่วยเพิ่มการหลอมละลายของแก้ว
• ช่วยให้เคลือบมีผิวเรียบปราศจากฟองอากาศ (Bubbles)
• สามารถทาให้เคลือบมีสีสดใสได้ที่อุณหภูมิต่า เช่น สีเหลืองสด สีแดงสด เป็นต้น
• อาจทาให้เคลือบใสมีสีเหลืองได้
- 36. การศึกษาคุณสมบัติของวัตถุดิบที่มีผลต่อเคลือบ
5. ผลของ B2O3 ที่มีน้าเคลือบ
• ลดอุณหภูมิหลอมตัวให้กับเคลือบได้เป็นอย่างดี
• ช่วยเพิ่มการเกิดเป็นเนื้อแก้ว
• ช่วยให้เคลือบมีความหนืดลดลง และช่วยลดแรงดึงที่ผิว
• ช่วยให้ผิวเคลือบเรียบและสุกใสเป็นประกาย
• ทนต่อสารเคมี และมีความแข็งแรงมากกว่าเดิม
• มีช่วงอุณหภมิในการอ่อนตัวกว้างขึ้น
• ทาให้เคลือบเกิดการแยกตัว จึงทาให้ใช้วัตถุดิบที่เป็นตัวทึบ (Opacifier) น้อยลง
• ช่วยลดการขยายตัวเชิงความร้อน
• ช่วยเพิ่มความสามารถในการหลอมละลาย
• อาจจะทาให้เคลือบมีสีที่จางลงได้
- 37. การศึกษาคุณสมบัติของวัตถุดิบที่มีผลต่อเคลือบ
6. ผลของ Al2O3 ที่มีน้าเคลือบ
• ช่วยเพิ่มอุณหภูมิในการหลอมตัวให้กับเคลือบ
• เคลือบมีความหนืดเพิ่มขึ้น
• เคลือบมีความทนต่อสารเคมีเพิ่มขึ้น
• ช่วยทาให้มีช่วงอุณหภมิในการอ่อนตัวกว้างขึ้น
• ช่วยเพิ่มความแข็งแรงและความทนต่อสารเคมี
• ช่วยเพิ่มแรงดึงที่ผิวให้กับเคลือบ
• ช่วยลดการขยายตัวของ PbO, ZnO และ Alkali ให้กับเคลือบ
• ทาให้ออกไซด์เกิดการเปลี่ยนสีได้ เช่น ช่วยทาให้สีดาเข้มดีขึ้น
• ช่วยทาให้พันธะความแข็งแรงของวัตถุดิบสาหรับทาเคลือบดีขึ้น
- 38. การศึกษาคุณสมบัติของวัตถุดิบที่มีผลต่อเคลือบ
7. ผลของ SiO2 ที่มีน้าเคลือบ
• ช่วยเพิ่มอุณหภูมิในการหลอมตัว
• เคลือบมีความหนืดเพิ่มขึ้น และช่วยให้ช่วงอุณหภูมิในการหลอม (Melting point) กว้างขึ้น
• สามารถลดการขยายตัวเชิงความร้อนของเคลือบได้
• ช่วยลดความสามารถในการหลอมละลาย (Solubility) ของ PbO ได้
• ช่วยเพิ่มความแข็งแรงอัด (Compressive Strength)
• ช่วยเพิ่มความทนต่อสารเคมี และกรด
• มีผลต่อการเปลี่ยนของเคลือบน้อยมาก (ยกเว้น Chromium Red, Nickel Red และ
Chromium Yellow)
• ถ้ามี B2O3 และ ZnO จะทาให้เคลือบมีความทึบแสงเพิ่มขึ้น
• ช่วยทาให้เคลือบด้านมีสีสดใส