ผล.pptx
- 2. ผล (Fruits)
คือ รังไข่ที่ได้รับการปฏิสนธิ (fertilization)
แล้วเจริญเติบโตเต็มที่ อาจมีบางส่วนของ
ดอกเจริญมาด้วย เช่น ฐานรองดอก กลีบ
เลี้ยง ภายในมีเมล็ดหรือไม่มีก็ได้ สาหรับผล
ที่เกิดจากรังไข่ที่ไม่ได้รับการปฏิสนธิ และไม่
มีเมล็ด เรียกว่า ผลลม (parthenocarpic
fruit)
- 3. โครงสร้างของผล (Structure of Fruit)
โครงสร ้างของผลส่วนมากประกอบด้วย ผนังผล
(pericarp) และเมล็ด(seed) ผนังผล คือส่วนที่เจริญ
เปลี่ยนแปลงมาจากรังไข่ มี 3 ชั้น ได้แก่ ผนังผล
ชั้นนอก ผนังผลชั้นกลาง ผนังผลชั้นใน
ผนังชั้นใน (Endocarp) ผนังชั้นใน มีทั้งอ่อนนุ่มเช่น
ส้ม และมีลักษณะแข็งเช่น มะม่วง มะพร ้าว
ผนังชั้นกลาง (Mesocarp) ผนังชั้นนี้มักนุ่ม เช่น
มะม่วง มะละกอ ผลบางชนิดมีผนังชั้นกลางเป็นเส้นใย
เหนียว เช่น มะพร ้าว ตาล จาก
ผนังชั้นนอก (Exocarp) ชั้นผิวนอกสุดของผล ชั้น
นี้ในผลบางชนิดมีผิวชั้นนอกบางหรืออ่อนเช่น ผลองุ่น
ชมพู่ มะม่วง ผลบางชนิดผิวชั้นนอกแข็งและเหนียว
- 4. เมล็ด (Seed) คือ ออวุลที่ได้รับการปฏิสนธิและ
เจริญเติบโตเต็มที่ ประกอบด้วย เปลือกเมล็ด มี 2 ชั้น
คือ ชั้นนอก และชั้นใน เอนโดสเปิร ์ม และเอ็มบริโอ
- 6. ประเภทของผล (Classification of Fruits)
ผลเดี่ยว Simple Fruit ชนิดของผลที่เกิดจากดอก
เดียว เกสรเพศเมียมีหนึ่งหรือหลายคาร ์เพลที่เชื่อม
ติดกัน เช่น ผลแตงโม มะละกอ ส้ม มะม่วง
- 7. ผลกลุ่ม (Aggregate Fruit) ชนิดของผลที่เกิด
จากดอกเดียวแต่มีหลาย คาร ์เพล และแต่ละคาร ์เพล
แยกจากกัน ซึ่งแต่ละคาร ์เพลนี้จะเจริญไปเป็นผลย่อย
เช่น ผลน้อยหน่า การเวก จาปี จาปา สตรอเบอร ์รี่
- 8. ผลรวม (Multiple Fruit) ชนิดของผลที่เกิดจาก
ดอกย่อยหลายๆ ดอกในช่อดอกเดียวกันเจริญเชื่อม
ติดกันเป็นผลเดียว เช่นผลขนุน สับปะรด ยอ
- 9. ผลแบบมะเดื่อ (syconium) ผลรวมที่ข้างในผล
กลวง ซึ่งเป็นผลที่เจริญมาจากช่อดอกที่มีฐานรองดอก
รูปถ้วย (hypanthium) ภายในประกอบด้วยดอกย่อย
มีขนาดเล็ก ไม่มีกลีบดอก และแยกเพศ ภายในช่อดอก
มีช่องเปิดขนาดเล็ก (ostiolum) ให้แมลงขนาดเล็ก
เข้าไปช่วยการผสมเกสร ได้แก่ ไทร มะเดื่อ กร่าง
- 11. ชนิดของผล (Types of Fruit)
ผลมีเนื้อสด (Fleshy Fruit) คือผลที่แก่แล้วมีผนังผล
สดไม่แห้ง แบ่งออกเป็น
ผลเมล็ดเดียวแข็ง (Drupe)
ผลสดที่มีเมล็ดเดียว ผนังชั้นกลางเป็นเนื้อหนาอ่อนนุ่ม
ผนังชั้นในแข็งมาก ได้แก่ พุทรา มะม่วง
- 15. ผลแห้ง (Dry Fruit) คือ ผลที่แก่แล้วผนังผลแข็งและ
แห้ง แบ่งออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ ได้แก่ ผลแห้งแก่ไม่
แตก (dry indehiscent fruit) และผลแห้งแก่แตก
(dry dehiscent fruit)
1. ผลแห้งแก่ไม่แตก (Dry Indehiscent Fruit)
แบ่งออกเป็น
- 21. 2. ผลแห้งแก่แตก (Dry Dehiscent Fruit)
แบ่งเป็น
ฝักแตกแนวเดียว (Follicle)
ผลที่เกิดจากดอกที่มีคาร ์เพลเดียวหรือหลายคาร ์เพลที่
แยกกัน เมื่อผลแก่จะแตกเพียงตะเข็บเดียว เช่น ผลจาปี
จาปา
- 22. ผลแตกแบบผักกาด (Silique)
ผลที่เกิดจากรังไข่ที่มี 2 คาร ์เพล เมื่อผลแก่ผนังผลแตก
ตามยาวจากด้านล่างไปยังด้านบนแบ่งออกเป็นสองซีก
เมล็ดติดอยู่แนวกลางของผล (central false
septum) เช่นผลผักกาดนก ผักเสี้ยน
ฝักแบบถั่ว Legume
ผลที่เกิดจากดอกที่มีคาร ์เพลเดียว เมื่อผลแก่จะแตก
ออกตามแนวตะเข็บ 2 ข้างของผล ได้แก่ผลของพืช
วงศ์ถั่ว
- 24. 3. ผลแห้งแตก (capsule) ผลที่เกิดจากดอกที่รังไข่มี
หลายคาร ์เพลเชื่อมกัน และเมื่อผลแก่จะแตก แบ่ง
ออกเป็น
ผลแห้งแตกตามรอยประสาน (septicidal
capsule)
ผลแห้งแตกตามแนวยาวของผนังคาร ์เพล เช่น ผล
กระเช้าสีดา
ผลแห้งแตกกลางพู (loculicidal capsule)
ผลแห้งแตกตรงกลางพูของแต่ละช่อง เช่น ผลทุเรียน
ตะแบก
- 25. ผลแห้งแตกเป็ นช่อง (poricidal capsule)
ผลแห้งที่เปิดเป็นช่องหรือรูใกล้ยอดผล เช่น ผลฝิ่น
ผลแห้งแตกแบบฝาเปิ ด (circumscissile
capsule, pyxis)
ผลแห้งแล้วแตกตามขวางรอบผลลักษณะเป็นฝาเปิด มี
เมล็ดจานวนมาก เช่น ผลหงอนไก่
- 26. โครงสร้างของเมล็ด
เมล็ดประกอบด้วยโครงสร ้างสาคัญ
3 ส่วน ได้แก่ เอ็มบริโอ อาหารสะสม
และเปลือกหุ้มเมล็ด ซึ่งเปลี่ยนแปลง
มาจากส่วนต่างๆ ของออวุล ภายหลัง
การปฏิสนธิไซโกตเจริญเติบโตเป็น
เอ็มบริโอ มีการเจริญของเอนโดสเปิร ์ม
หรือเพอริสเปิร ์มเพื่อทาหน้าที่เป็น
อาหารสะสมอินเทกิวเมนต์(integument)
หรือเปลือกนอก 2 ชั้นของออวุลก็เจริญ
เติบโตเป็นเปลือกหุ้มเมล็ด (seed coat)
- 27. เอ็มบริโอ
เอ็มบริโอ (embryo) คือ ต้นอ่อนภายในเมล็ดซึ่ง
เจริญเติบโตมาจากไซโกต ( zygote
หรือ fertilized egg) ประกอบด้วย (1) แกนของต้น
อ่อน (embryonic a xis) ซึ่งได้แก่ยอดอ่อน
(plumule) รากอ่อน (radicle) ลาต้นอ่อนเหนือและใต้
ใบเลี้ยง (epicotyl และ hypocotyl) และ (2) ใบเลี้ยง
(cotyledon)
- 28. ส่วนแกนที่อยู่เหนือใบเลี้ยง เรียกอีพิโคทิล (epicotyl)
ปลายยอดของอีพิโคทิล เรียกพลูมูล (plumule) ซึ่งเป็น
ตาอ่อน (embryonic bud) ประกอบด้วยเนื้อเยื่อเจริญ
ปลายยอด(apical meristem) ที่จะเจริญต่อไปเป็นส่วน
ยอดและใบ ส่วนนี้บางครั้งจึงเรียกว่า ปลายยอด (shoot
apex) ปลายยอดของเอ็มบริโอพืชใบเลี้ยงเดี่ยววงศ์หญ้า
มีปลอกหุ้มเรียก คอลีออบไทล์(coleoptile) ไฮโปโคทิล
(hypocotyl) เป็นส่วนของลาต้นที่อยู่ใต้ใบเลี้ยงลงมา
ทั้งอีพิโคทิลและไฮโปโคทิล เป็นส่วนของลาต้น อ่อนจึง
อาจเรียกรวมกันว่า คอลิเคิล (caulicle) หมายถึง ลาต้น
เอ็มบริโอ (embryonic stem) แต่คานี้ไม่ค่อยนิยมใช้
กัน
- 29. แรดิเคิล (radicle) คือรากอ่อน (embryonic root)
อยู่ตรงปลายสุดของไฮโปโ คทิล มักมีตาแหน่งของแรดิ
เคิลอยู่ตรงกับช่องไมโครไพล์แรดิเคิลเจริญเติบโตเป็นราก
แรกออกมาจากเมล็ดทางช่องไมโครไพล์นี้เอง ในพืชใบ
เลี้ยงเดี่ยววงศ์หญ้าแรดิเคิลมีปลอกหุ้มเรียก คอลีโอไรซา
(coleorhiza)
- 31. ใบเลี้ยง บางทีเรียกว่า seed leaf พืชใบเลี้ยงคู่มีอยู่ 2
ใบ และในพืชใบเลี้ยงเดี่ยวมีใบเดียว ซึ่งมักเรียกว่า
สคิวเทลลัม (scutellum) มีหน้าที่ดูดซึมและ
ลาเลียงอาหารจากเอนโดสเปิร ์มที่อยู่รอบๆ หรือข้าง ๆ
ส่งไปเลี้ยงเอ็มบริโอ ใบเลี้ยงในพืชบางชนิดดูดเอา
อาหารจากบริเวณเอนโดสเปิร ์มไปสะสมไว้จนหมด ทา
ให้ใบเลี้ยงมีขนาดใหญ่ ในพืชบางชนิดใบเลี้ยงไม่ดูด
อาหาร จากเอนโดสเปิร ์มใบเลี้ยงจึงบางและแบน ส่วน
เอนโดสเปิร ์มจึงมีขนาดใหญ่แทน นอกจากนี้ใบเลี้ยงยัง
มีหน้าที่ปกคลุมป้องกันยอดอ่อนไม่ให้เป็นอันตรายเมื่อ
ยอดอ่อนงอกแทงทะลุดินขึ้นมา และเมื่อพ้นดินขึ้น
มาแล้ว ใบเลี้ยงจะทาหน้าที่ช่วยสังเคราะห์แสงอีก
ด้วย
- 32. เอนโดสเปิ ร ์ม
เอนโดสเปิร ์ม (endosperm) คือ กลุ่มเนื้อเยื่อซึ่งจะเป็น
อาหารสาหรับเอ็มบริโอใช ้การเจริญเติบโต เกิดขึ้นจาก
การปฏิสนธิ มีจานวนโครโมโซมเป็น
ทริพลอยด์ในพืชพวกแองจิโอสเปิร ์ม มีอยู่เพียง 3 วงศ์
เท่านั้นที่ไม่พบ ว่ามีการสร ้างเอนโดสเปิร ์ม ได้แก่ วงศ์
กล้วยไม้ (Orchidaceae) โพโดสตีมาซีอี
(Podostemaceae) และทราเพซีอี (Trapaceae) บาง
พืชมีการสร ้าง
เอนโดสเปิร ์ม แต่ถูกเอ็มบริโอใช้หมดไปในระหว่างการ
เจริญเติบโต เช่น ถั่ว มะขาม สะเดา เป็นต้น เมล็ดของ
พืชพวกนี้จึงเป็นเมล็ดที่ไม่มีเอนโดสเปิร ์ม
- 33. เอนโดสเปิ ร ์มทาหน้าที่สะสมอาหารไว้เพื่อ
(1) การเจริญเติบโตของเอ็มบริโอ หลังจาก
กระบวนการปฏิสนธิพบว่า ไซโกตไม่แบ่งเซลล์จนกว่าเอน
โดสเปิร ์มเติบโตเต็มที่แล้ว หรือจนกว่าจะได้รับอาหาร
สะสมจากเอนโดสเปิร ์มถ้าเอนโดสเปิร ์มไม่เจริญหรือฝ่อไปมี
ผลให้เอ็มบริโอไม่เจริญด้วย เช่น เมล็ดพืชในวงศ์กล้วยไม้
(Orchidaceae) โพโดสตีมาซีอี (Podoste maceae)
และทราเพซีอี (Trapaceae) ในขณะที่เอ็มบริโอ
เจริญเติบโตใช ้อาหารจากเนื้อเยื่อเอนโดสเปิร ์มที่อยู่
ล้อมรอบเอ็มบริโอนั้นหมดไป ยกเว้นในบางพืช พืชตระกูล
ถั่วหรือแตง เอ็มบริโอดูดดึงอาหารจากเอนโดสเปิร ์มมาใช้
จนหมดก่อนเอ็มบริโอเติบโตเต็มที่
- 36. เมื่อเมล็ดเจริญเติบโตเต็มที่ ผนังเซลล์ของเปลือกเมล็ด
หนาขึ้น โดยมีสาร เพกทิน เซลลูโลส คิวทิน ลิกนิน
หรือซูเบอริน มาสะสมที่ผนังเซลล์เพิ่มมากขึ้นก็ทาให้
เปลือกเมล็ดมีความหนา ความแข็งเพิ่มขึ้น ในเมล็ดพืช
บางชนิดผนังเซลล์มีสารซูเบอรินนี้มาสะสมอยู่ด้วยมาก
เกินไปก็อาจเป็นสาเหตุให้เกิดลักษณะเมล็ดแข็ง (hard
seed) ขึ้นได้ สีของเมล็ดเมื่อแก่จะเปลี่ยนจากสีเขียวไป
เป็นสีต่างๆ แล้วแต่รงควัตถุที่สะสมอยู่ในเซลล์ของเปลือก
เมล็ด
- 42. โครงสร้างของต้นกล้าพืชใบเลี้ยงคู่
ตัวอย่าง เช่น ถั่ว ละหุ่ง ทานตะวัน และผักกาดหัว
ประกอบด้วย รากอันแรกที่งอกออกมาจากเมล็ดเจริญ
มาจากแรดิเคิลเรียก รากแก้ว (tap root) รากที่แตก
แขนงออกจากรากแก้วเรียกรากแขนง (lateral
root) ลาต้นอ่อนภายในมีท่อลาเลียงน้าและอาหารลา
ต้นอ่อนแบ่งเป็นสองส่วนคือส่วนลาต้นอ่อนใต้
ใบเลี้ยง (hypocotyl) และลาต้นอ่อนเหนือใบเลี้ยง
(epicotyl) ใบเลี้ยง (colyledon) เป็นแหล่งอาหาร
สาหรับเลี้ยงต้นอ่อน ก่อนที่ใบจริงสามารถสังเคราะห์แสง
ได้เอง และส่วนยอดอ่อนหรือยอดแรกเกิด
(plumule) เป็นบริเวณที่ประกอบด้วยเนื้อเยื่อเจริญ
- 44. โครงสร้างของต้นกล้าพืชใบเลี้ยงเดี่ยว
มีความแตกต่างไปจากพืชใบเลี้ยงคู่อยู่บ้าง พืชใบเลี้ยง
เดี่ยว เช่น ข้าว ข้าวโพด ข้าวสาลี หญ้า เป็นต้น ต้น
กล้าประกอบด้วยยอดแรกเกิด (plumule) ซึ่งก็คือ
ใบจริงหรือใบแท้ที่ถูกห่อหุ้มด้วยปลอกหุ้มยอด
(coleoptile) บริเวณลาต้นอ่อนไม่เจริญเติบโต ใน
ข้าวโพดอาจเห็นส่วนปล้องแรกของลาต้นอ่อน
(mesocotyl) บริเวณนี้ต่อเชื่อมกับสคิวเทลลัม
(scutellum) หรือใบเลี้ยงซึ่งยังคงฝังตัวอยู่ภายใน
เปลือกหุ้มเมล็ด ในขณะที่ใบเลี้ยงเดี่ยวบางชนิด เช่น
หอม ใบเลี้ยงยืดตัวดันออกนอกเมล็ด ระบบรากของต้น
กล้าพืชใบเลี้ยงเดี่ยว รากแก้วมีอายุสั้น จึงมีรากทุติย