More Related Content More from Gawewat Dechaapinun More from Gawewat Dechaapinun (20) 33. Fruit and vegetable
1. น้า
น้ามีมากกว่า 70 % ของน้าหนักทั้งหมด
มันเทศ มันฝรั่ง เผือก มีน้าเป็นองค์ประกอบ 10 – 75 %
ใบมีน้าเป็นองค์ประกอบ 85 % และผลไม้ประเภทแตงอาจมี
น้าสูงถึง 95 %
4. Fruit and vegetable
น้าในอาหารแบ่งออกได้เป็น 3 ชนิด
1.1 Monolayer water
ไม่สามารถใช้เป็นตัวทาละลายและไม่แข็งตัว เมื่อแช่แข็งน้าชนิดนี้ยังคง
อยู่ในสภาพที่เป็นของเหลวอยู่ ในผักและผลไม้จะมีน้าที่ไม่แข็งตัวเป็น
น้าแข็งน้อยกว่าร้อยละ 6 แต่ในธัญพืชมีสูงถึงร้อยละ 34
1.2 Capillary water
เป็นน้าที่อยู่ในโครงสร้างของเนื้อเยื่อ เมื่อโครงสร้างของเนื้อเยื่อถูก
ทาลาย เช่น การแช่เยือกแข็ง จะทาให้เกิด drip loss
1.3 Free water
เป็นน้าที่อยู่ในรูปอิสระและเป็นน้าที่มาใช้เป็นตัวทาละลาย
5. Fruit and vegetable
การเต่งตึงของเซลล์ (cell turgor) เนื่องจากมีน้าอยู่ภายใน
แวคิวโอลจึงมีน้าเป็นองค์ประกอบมากที่สุด
น้าที่มีอยู่ก็ทาหน้าที่ละลายน้าตาล กรด เกลือ กรดอะมิโน
รงควัตถุที่ละลายน้า วิตามิน และสารที่มีโมเลกุลขนาดเล็ก
6. Fruit and vegetable
2. คาร์โบไฮเดรต
ในผักและผลไม้มีคาร์โบไฮเดรตประมาณ 2 – 40 % ของน้าหนัก
มีทั้งที่ย่อยสลายได้ (digestible) และย่อยสลายไม่ได้ (indigestible)
คาร์โบไฮเดรตที่ย่อยสลายได้ส่วนใหญ่เป็นแป้ งและน้าตาล
ย่อยสลายไม่ได้ ได้แก่กลุ่มของเซลลูโลส (cellulose) และ
สารประกอบเพคติน (pectin) ที่มีลักษณะเป็นเส้นใย
8. Fruit and vegetable
2.1 น้าตาล
น้าตาลส่วนใหญ่จะอยู่ในรูปของน้าตาลซูโครส กลูโคส
และ ฟรุกโตส
น้าตาลฟรุกโตสจะมีระดับความหวานถึง 170
ดังนั้นผลไม้ที่มีน้าตาลฟรุกโตสเป็นองค์ประกอบ เช่น
แอปเปิลจึงมีรสชาติหวาน
11. Fruit and vegetable
2.2 แป้ ง
แป้ งที่สะสมอยู่ในพาสติด (plastid) ที่เรียกว่า อะมิโลพลาสต์
(amyloplast) เพื่อเป็นแหล่งอาหารสารองในพืชหัว
ผลไม้เมื่อสุกแป้ งจะถูกเปลี่ยนเป็นน้าตาลทั้งหมด เช่น กล้วยหอม
ผลไม้เปลี่ยนเป็นน้าตาลบางส่วน เช่น ทุเรียน
amyloplast
12. Fruit and vegetable
ในมันเทศและมันฝรั่งซึ่งสะสมอาหารในรูปของแป้ ง
เมื่อนาไปปลูกและงอกแป้ งจะเปลี่ยนไปเป็นน้าตาลเพื่อ
ใช้ในการหายใจและสร้างส่วนต่างๆ
13. Fruit and vegetable
2.3 คาร์โบไฮเดรตชนิดอื่น
คาร์โบไฮเดรตที่สาคัญต่อ
ของผนังเซลล์ (cell wall) คือ
เซลลูโลส (cellulose)
เฮมิเซลลูโลส (hemicellulose)
เพกติน (pectin)
แม้ว่าไม่เกี่ยวข้องกับรสชาติ
แต่มีส่วนเนื้อสัมผัส
cellulose
pectin
protein
hemicellulose
Plant cell wall
35%
30%
30%
5%
15. Fruit and vegetable
1) Cellulose ทาหน้าที่ให้ความแข็งแรงแก่ผนังเซลล์พืชในทานอง
เดียวกับเหล็กเส้นที่ให้ความแข็งแรงแก่ผนังคอนกรีต
2) Hemicellulose จะแทรกตัวในผนังเซลล์ ทาให้เกิดความแข็งแรง
เช่นเดียวกับหินและทรายในผนังคอนกรีต
3) Pectin เป็น polymer ของ galacturonic acid ได้แก่ galactose ซึ่ง
pectin จะแทรกตัวอยู่ในชั้น middle lamella หน้าที่ประสาน
โมเลกุลต่างๆในผนังเซลล์เข้าด้วยกันเช่นเดียวกับปูนในผนัง
คอนกรีต
16. Fruit and vegetable
2.3.1 เซลลูโลส (cellulose)
เป็น polysaccharide β-1,4 glucan กลูโคสเกาะกันอยู่ด้วยพันธะ
กลูโคซิดิก (glucosidic bond) ที่ตาแหน่ง β-1,4 เป็นลูกโซ่ 2000
โมเลกุล
ใน secondary cell wall โมเลกุลของเซลลูโลสจะเกาะกันเป็นคู่
ตามแนวยาวเรียงขนานกันเป็นกลุ่ม 40 คู่ ซึ่งเรียกว่า microfibril
17. Fruit and vegetable
2.3.2 เฮมิเซลลูโลส (hemicellulose)
เป็นกลุ่มของสารประกอบหลายชนิด
ในโมเลกุลใหญ่อาจประกอบด้วยโมเลกุลย่อยของโมโน
แซคคาไรด์ คือ เฮกโซส (hexose) เพนโทส (pentose)
และอาจมีกลูคูโรนิค (glucuronic) ปะปนอยู่
20. Fruit and vegetable
2.3.3 เพคติน
เป็นสารประกอบที่พบมากที่ผนังเซลล์ โมเลกุลที่เกิดจาก
การเชื่อมต่อของกรดกาแลคทูโรนิค (galacturonic acid)
สายยาวของเพคตินอาจเกิดการเชื่อมข้ามได้หลาย
ลักษณะทาให้เพคตินสามารถละลายได้หลายระดับ
23. Fruit and vegetable
3. โปรตีน และเอนไซม์
ผักส่วนใหญ่จะมีโปรตีนประมาณ 1-2%
ในขณะที่ผลไม้จะมีน้อยกว่า 1%
พืชหัวจะมีประมาณ 2-15%
ส่วนเมล็ดเคี้ยวมัน (nut) จะมีสูงมากประมาณ 8-20%
27. Fruit and vegetable
Lipoxygenase เร่งการออกซิเดชันของไขมันที่ไม่อิ่มตัว
(unsaturated fatty acid) เป็นเหตุให้เกิดกลิ่นและรสชาติที่
ผิดปกติ
Polygalacturonase เร่งการย่อยสลาย glycosidic bonds ที่เชื่อม
ระหว่าง polygalacturonic acid ในสายเพคตินทาให้เนื้อเนื่ออ่อน
ตัว
Pectin esterase เร่งการสลายหมู่เอสเทอร์ (de-esterification)
ของหมู่เมทิลในสายเพคติน โดยไปมีผลต่อ polygalacturonase
ทาให้เนื้อเยื่ออ่อนตัว
28. Fruit and vegetable
Cellulase มีผลในการย่อยสลายพอลิเมอร์ของเซลลูโลสใน
ผนังเซลล์ ทาให้ผักและผลไม้อ่อนตัว
Phospholipase D: เป็นตัวเริ่มต้นการสลายเซลล์เมมเบรน
การชะลอการทางานของเอนไซม์อาจใช้การเก็บที่อุณหภูมิต่า
เก็บในสภาพบรรยากาศที่มีการควบคุมปริมาณออกซิเจนให้ต่า
และหรือคาร์บอนไดออกไซด์ให้มีปริมาณสูง หรือการใช้
โซเดียมไพโรฟอสเฟต
29. Fruit and vegetable
4. ไขมัน
สารประเภทไขมันที่ผักและผลไม้จะอยู่ในส่วนของไซโตพลาส
เช่นเดียวกับโปรตีน
ไขมันบางส่วนจะอยู่ที่ผิวของผนังเซลล์
ปริมาณไขมันในผักและผลไม้จะต่ากว่า 1% ยกเว้นผลไม้บางชนิด
เช่น อะโวกาโด (มีลิปิด 5-32%) และผลเคี้ยวมัน
ปริมาณไขมันที่อยู่ในพืชสวนจะอยู่ใน 3 รูปแบบ คือ อาหารสะสม
สารปกคลุมผิว และองค์ประกอบของเมมเบรนต่างๆ
31. Fruit and vegetable
4.1 ไขมันในรูปอาหารสะสม
พบในรูปไตรกลีเซอไรด์ (triglyceride)
ผลผลิตที่มีไขมันเป็นองค์ประกอบปริมาณสูง เช่น มะม่วงหิม
พานต์ มีกรด oleic (C18:1) 32% และกรด linoleic 3% และกรด
ไขมันที่อิ่มตัวอีก 8% รวมเป็นไขมันทั้งหมด 43%
กรดไขมันที่ไม่อิ่มตัวสามารถเกิดปฏิกิริยากับน้าที่มีอยู่ใน
ผลผลิตได้สารที่มีกลิ่นหืน (rancid)
32. Fruit and vegetable
ดังนั้นการเก็บรักษาพวกเมล็ดเคี้ยวมันต่างๆ จึงควรให้มี
ปริมาณออกซิเจนและความชื้นน้อยที่สุด
FDA แนะนาว่าควรมีค่า aw ไม่เกิน 0.7 จึงจะปลอดภัย
ต่อการเก็บรักษาและปราศจากการทาลายของเชื้อรา
33. Fruit and vegetable
4.2 ไขมันในรูปสารปกคลุมผิว
ได้แก่ wax cutin และ suberin
มีผลต่อลักษณะปรากฏ เช่น ความเลื่อมมัน ช่วยป้ องกันการ
สูญเสียน้าและจากเชื้อจุลินทรีย์
34. Fruit and vegetable
4.3 ไขมันในเยื่อหุ้มต่างๆ
เป็นเยื่อหุ้มของไมโตคอนเดรีย และเยื่อหุ้มออร์แกเนลล์อื่นๆ มี
ความสาคัญต่อการหายใจและการสังเคราะห์แสง
เยื่อหุ้มนี้มีผลต่อผลผลิตหลังเก็บเกี่ยว
ถ้าผลผลิตมีไขมันอิ่มตัวเป็นองค์ประกอบมาก (saturated fatty
acid) เมื่อนามาแช่เย็นที่อุณหภูมิต่ากว่าจุดเยือกแข็งของไขมันจะ
เกิดอาการสะท้านหนาว (chilling injury)
เนื่องจากไขมันแข็งตัว ทาให้ผนังเซลล์เปลี่ยนไปและส่งผลให้เกิด
การสะสมของสารพิษทาให้คุณภาพเสื่อมลงและตายในที่สุด
35. Fruit and vegetable
นอกจากนี้ไขมันยังส่งผลต่อกลิ่นรส เช่น
เอนไซม์ lipoxygenase ที่ทาปฏิกิริยากับกรดไขมัน linoleic และ
linolenic acid ทาให้เกิดกลิ่นผิดปกติขึ้น
เอนไซม์ lipoxygenase จะเพิ่มขึ้นเมื่อหั่นผักและผลไม้เพราะทาให้
เอนไซม์สัมผัสกับซับสเตรท(substrate)มากขึ้น
เอนไซม์ lipoxygenase ทาให้เกิดกลิ่นรสที่ผิดปกติในผลิตภัณฑ์จาก
พืช เช่น น้ามันพืช
36. Fruit and vegetable
5. กรดอินทรีย์
ปริมาณของกรดจะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับชนิด พันธุ์ และแหล่งปลูก
ผลไม้ส่วนใหญ่มีกรดอินทรีย์มากกว่าผัก
กรดอินทรีย์ในผักและผลไม้ได้แก่ กรดซิตริก (citric acid) หรือกรด
มะนาว
37. Fruit and vegetable
ผักและผลไม้ที่มีกรดต่างๆ
กรดซิตริก(citric acid) ได้แก่ ส้ม ฝรั่ง สับปะรด มะเขือเทศ แพร์
มันฝรั่ง
กรดมาลิก (malic acid) พบในพืชเขตอบอุ่น เช่น แอปเปิล พลับ
แครอท เชอรี่ นอกจากนั้นยังมีในกล้วย แตง
กรดทาร์ทาริก (tartaric acid) พบมากในผลไม้ เช่น องุ่น มะขาม
ชนิดและปริมาณของน้าตาลและกรดที่มีมากน้อยต่างกันจะมีผล
ทาให้ผักและผลไม้มีรสชาติแตกต่างกัน
39. Fruit and vegetable
ผักที่มีกรดต่า เช่น ข้าวโพดหวานและพืชตระกูลถั่ว
ผักโขมมีกรดถึง 40 มิลลิกรัมอิควิวาเลนท์ ต่อ 100 กรัม
โดยกรดส่วนใหญ่คือกรดออกซาลิก
กรดที่พบในพืชส่วนมากบริโภคได้ citric acid และMalic
acid แต่ละชนิดอาจมีสูงกว่า 2% ของน้าหนักสด
40. Fruit and vegetable
กรดอินทรีย์ที่มีในผักและผลไม้แบ่งออกได้เป็น 2 กลุ่มคือ
1) กรดอินทรีย์ที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการเมตาบอลิซึม
ในวัฏจักร Tricarboxylic acid (ในกระบวนการหายใจ)
การออกซิเดชันของกรดอินทรีย์มีความจาเป็นเพื่อให้เกิดพลังงานต่อ
การดารงชีวิตของเซลล์
กรดอินทรีย์ที่พบในผลไม้ที่อยู่ในกลุ่มนี้คือ citric acid, malic acid และ
quinic acid
42. Fruit and vegetable
2) กรดอินทรีย์ที่มีผลต่อรสชาติของผักและผลไม้
วัดได้จากปริมาณกรดทั้งหมดที่ไตเตรทได้
ปริมาณกรดจะลดลงเมื่อผลไม้สุกเพราะในกระบวน การหายใจจะ
ใช้กรดเป็นวัตถุดิบและบางส่วนเปลี่ยนรูปไปเป็นน้าตาลซูโครส
(gluconeogenesis)
44. Fruit and vegetable
ในระหว่างการเจริญของผลไม้ ปริมาณกรดอินทรีย์จะเพิ่มขึ้นและลดลงใน
ระหว่างการแก่ และการสุก
กรดอินทรีย์ลดลงจะเป็นช่วงเดียวกับปริมาณน้าตาลที่เพิ่มขึ้น
อัตราส่วนระหว่างน้าตาลต่อกรดอินทรีย์ (sugar to acid ratio) สามารถนามาใช้
เป็นดัชนีการเก็บเกี่ยวผักและผลไม้ได้
แต่มีข้อยกเว้นในผลไม้บางชนิดเช่น กล้วยหอม จะมีปริมาณกรดอินทรีย์สูงสุด
เมื่อแก่เต็มที่
แต่ปริมาณกรดอินทรีย์ในผักและผลไม้แต่ละชนิดยังขึ้นกับสภาวะในการ
เพาะปลูก พันธุ์ และการให้ปุ๋ ยด้วย
45. Fruit and vegetable
6. รงควัตถุ
สีที่พบในผักและผลไม้แบ่งออกเป็นกลุ่มใหญ่ 2 กลุ่ม
สีที่ละลายน้าได้ ได้แก่สีในกลุ่มของฟลาโวนอยด์ (flavonoids) เช่น
• แอนโธไซยานิน (anthocyanin) ในกะหล่าปลีม่วง กระเจี๊ยบ ลูกหว้า มีสีแดง
จนถึงม่วงแดงหรือสีน้าเงิน ซึ่งขึ้นอยู่กับความเป็นกรด-ด่าง (pH) ในเซลล์ของ
ผักและผลไม้
• สีเขียวในกลุ่มของคลอโรฟิลล์ (chlorophyll) จะมีมากในพืชที่ยังอ่อน ใบผัก
และผลไม้ที่ยังไม่สุก
สีที่ไม่ละลายน้าอยู่ในกลุ่มของสารประกอบแคโรทีนอยด์ (carotenoid)
ให้สีตั้งแต่สีเหลือง ส้ม จนถึงสีแดง พบมากในมะละกอ ฟักทอง มะเขือ
เทศ พริก
54. Fruit and vegetable
Structure of chlorophyll
Porphyrin 4 pyrrole
group, at α-positions
linked by methine
bridges, very stable
11 conjugated double
bonds making up the
chromophore group
Phytol diterpene
alcohol of C20
liposoluble
7
I II
IIIIV
1
2
3
4
5
6
8
9
10
11
IV
56. Fruit and vegetable
Type of chlorophyll
Chl a = methyl (CH3)
Phytol
Chl c = propionic acid
(CH=CH-COOH)
on C-17
Chl b = formyl(CHO)
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
I II
III
IV
V
Chl d = lack unsaturation
On C-17 and C-18 (IV)
Porphyrin:
131
132
57. Fruit and vegetable
Pyropheophorbides
(Olive brown)
-CO2CH3
Pyropheophytins
(Olive brown)
-CO2CH3
a
Pyrochlorophylls
(Blue Green)
-CO2CH3
a
Pyrochlorophyllide
(Blue Green)
-CO2CH3
a
Chlorophyll breakdown
(Colorless)
Light O2
(Photobleaching)
Hydroxychlorophyll
(Blue Green)
a
Hydroxypheophytins
(Olive brown)
a
Chlorophyll
(Blue- Green)
Chlorophyll breakdown
(Colorless)
(Chlorophyll bleaching)
Lipoxygenase,
unsaturated
lipid,O2
Pheophobides
(Olive brown)
Phytol
Chlorophyllase
Chlorophyllide
(Blue Green)
Chlorophyllase
Phytol
Pheophytins
(Olive brown)
Mg2+
Magnesium dechelase / lowpH
Mg2+
Magnesium dechelase / low pH
a = induced by heat
CO2CH3 =carbomethoxy group
58. Fruit and vegetable
Stability
In the natural chlorophylls stable
Thylakoid membrane
Factors such as temperature, pH, enzyme action,
molecular oxygen, and light (Jeffrey, 2002)
degradation of chlorophyll
Conversion of chlorophyll to pheophytin during
heating depends on temperature, the length of
heat treatment and pH.
59. Fruit and vegetable
Effect of pH on the stability
pheophytinnative chlorophyll chlorophyllide
Chl. soluble in
chloroform
layer
-phytol
bright green
hydrophillic
-Mg2+
61. Fruit and vegetable
5.2 แคโรทีนอยด์
เป็นรงควัตถุที่มีสีเหลือง สีส้ม และสีแดง
โมเลกุลมีโครงสร้างเป็น unsaturated hydrocarbon
65. Fruit and vegetable
แคโรทีนอยด์พบมากในผักสีเขียว โดยอยู่ในคลอโรพลาสต์รวมกับ
คลอโรฟิลล์ ทาให้สีเขียวของคลอโรฟิลล์ปิดบังสีเหลือง ส้ม แดง
ของแคโรทีนอยด์ไว้
เมื่อผักและผลไม้สุกคลอโรฟิลล์สลายตัวจึงปรากฏสีของแคโรที
นอยด์ขึ้นมา เช่นในมะเขือเทศ กล้วย พริก แครอทและมันเทศ
66. Fruit and vegetableผักและผลไม้ Provitamin A value (I.U. ต่อ 100 กรัม)
แครอท (แก่) 20,000
แครอท (อ่อน) 10,000
ผักโขม 13,000
มันเทศเหลือง 6,000
บรอคโคลี 3,500
อะพริคอท 2,000
ผักกาดหอม 2,000
มะเขือเทศ 1,200
หน่อไม้ฝรั่ง 1,000
ท้อ 800
กล้วย 400
น้าส้ม 200
67. Fruit and vegetable
1) แคโรทีนอยด์ (carotenes)
เป็นกลุ่มที่ละลายได้ดีในตัวทาละลายไขมัน
สารในกลุ่มนี้ได้แก่ ไลโคพีน (lycopene) แกมม่า- แอลฟา-เบต้า-แคโรทีน
2) แซนโทฟิล (xanthophyll)
ละลายได้ดีในตัวทาละลายที่มีขั้วมากกว่าแคโรทีน
มักอยู่ในรูปของเอสเทอร์
ที่พบมากคือซีแซนทิน (zeaxanthin) หรือเบต้าแซนโทฟิล (β–xanthophyll) หรือ
ลิวทีน (leutein) ซึ่งพบมากในข้าวโพดหวาน ฟักทอง
แคปแซนทิน (capsanthin) ซึ่งเป็นสารสีแดง พบมากในพริกหวาน ในพืช
พบคริฟโตแซนทิน (cryptoxanthin) จะพบในพืชตระกูลส้ม
แคโรทีนอยด์แบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม
69. Fruit and vegetable
6.3 แอนโทไซยานิน (anthocyanin)
เป็นรงควัตถุที่พบใน cell sap ของพืช
ให้สีแดง น้าเงิน และม่วง ในผักผลไม้
ปัจจุบันพบว่ามีแอนโทไซยานินประมาณ 120 ชนิด
โมเลกุลของแอนโทไซยานินอยู่ในรูปไกลโคไซด์ คือ
ประกอบด้วยส่วนของน้าตาลและส่วนที่เป็นอะไกลโคน
(aglycone)
72. Fruit and vegetable
7. สารให้กลิ่นรส
สารให้กลิ่นรสของผักและผลไม้แต่ละชนิดเกิดจากสาร
ให้กลิ่นผสมกันมากกว่า 100 ชนิด
ทาให้ผักและผลไม้มีกลิ่นรสเฉพาะตัวที่เป็นเอกลักษณ์
เช่น เตยหอมจะมีกลิ่นหอมหวานเฉพาะตัวของสาร 2-
acetyl 1- pyrroline (2-AP) ซึ่งกลิ่นนี้ยังพบได้ในข้าวหอม
มะลิ
74. Fruit and vegetable
สารประกอบฟีนอล (phenolic compound)
ความสาคัญ
ยับยั้งการเจริญของเชื้อราบางชนิด
รสฝาด
ให้รสขม เช่น naringin ในส้ม
ทาให้เกิดสี จากการทางานเอนไซม์ polyphenol oxidase (PPO)
เกิดสีน้าตาล
ทาลายเอนไซม์โดยการลวก แช่ในกรด
76. Fruit and vegetable
8. วิตามิน
วิตามินซีและวิตามินเอ ผักและผลไม้ที่อ่อนจะมีวิตามินซีสูงกว่า
ผลไม้ที่แก่หรือสุก
ในระหว่างการแปรรูปด้วยความร้อนวิตามินซีอาจถูกทาลายถึง
40 – 80 % ของที่มีอยู่
ผักรับประทานใบและช่อดอกมีการสูญเสียวิตามินมากกว่าผลไม้
การเก็บผลผลิตที่อุณหภูมิสูงทาให้สูญเสียวิตามินซีมากกว่าที่
อุณหภูมิต่า
เช่น กระหล่าดอกเก็บที่ 0 องศาเซลเซียสเป็นเวลา 2 สัปดาห์ จะ
สูญเสียวิตามิน 10% แต่เมื่อเก็บที่อุณหภูมิ 20 องศาเซลเซียสจะ
เสียวิตามิน 50%
77. Fruit and vegetable
9. สารพิษ
ผักและผลไม้หลายชนิดอาจมีสารพิษอยู่ตามธรรมชาติ
แต่ปริมาณที่มีอยู่ต่ามากจนไม่เกิดอันตรายต่อการบริโภค
สารไซยาโนไกลโคไซด์ (cyanoglycosides) ที่พบในเมล็ดพืชบางชนิด
กลุ่มของสารไกลโคอัลคาลอยด์ (glycoalkaloids) ที่พบในมันฝรั่ง (พบ
สาร solanine)
มะเขือเทศ พบสาร tomatine
สารฮีมแอคกลูเทนนิน (haemagglutinnins) ที่รู้จักในชื่อของ lectins ที่
พบในพืชตระกูลถั่วที่ขัดขวางการใช้ทริปซิน (antitrypsin)
แต่สารดังกล่าวถูกทาลายได้จากความร้อน ดังนั้นการทาให้สุกก่อน
บริโภคจะลดปัญหาลงได้
79. Fruit and vegetable
สรุป
1. น้า
2. คาร์โบไฮเดรต
2.1 น้าตาล
2.2 แป้ ง
2.3 คาร์โบไฮเดรตอื่นๆ
3. โปรตีนและเอนไซม์
4. ไขมัน
5. กรดอินทรีย์
6. รงควัตถุ
7. สารให้กลิ่นรส
8. วิตามิน
9. สารพิษ