5. I 1 อะตอม
I
O 1 อะตอม
O O
O 1 อะตอม
OO
O2 โมเลกุล
N 1 อะตอม
N
N 1 อะตอม
N
N2 โมเลกุล
N N
ชนิดของพันธะโคเวเลนต์
I 1 อะตอม
I I
I2 โมเลกุล
I
pp-01/2-57
5
6. OO
O2 โมเลกุล
N2 โมเลกุล
N N
I I
O O
N N
พันธะเดี่ยว
(Single bond)
พันธะคู่
(Double bond)
พันธะสาม
(Triple bond)
eคู่ร่วมพันธะ 1 คู่
eคู่ร่วมพันธะ 2 คู่
eคู่ร่วมพันธะ 3 คู่
I
I2 โมเลกุล
I
ชนิดของพันธะโคเวเลนต์
pp-01/2-57
6
12. ตัวอย่าง โครงสร้างลิวอิสของ NF3
1. อะตอมกลางคือ N
2. จานวนเวเลนซ์อิเล็กตรอน = 5 + (7x3) = 26 อิเล็กตรอน
(จานวนเวเลนซ์อิเล็กตรอนของ N = 5 F = 7)
3. เขียนพันธะเดี่ยวระหว่างอะตอมกลางกับอะตอมปลาย
4. เขียนอิเล็กตรอนของอะตอมปลายให้ครบ 8
5. เติมอิเล็กตรอนที่เหลือให้กับอะตอมกลาง (26-24 = 2 อิเล็กตรอน)
F N F
F
F N F
F
F N F
F
หรือ
F N F
F
F N F
F
F N F
F
หรือ หรือ pp-01/2-57
12
13. ตัวอย่าง โครงสร้างลิวอิสของ HCN
1. อะตอมกลางคือ C
2. จานวนเวเลนซ์อิเล็กตรอนของ HCN 1 + 4 + 5 =10 อิเล็กตรอน
3. เขียนพันธะเดี่ยวระหว่างอะตอมกลางกับอะตอมที่มีพันธะ
4. เขียนอิเล็กตรอนของอะตอมปลาย ให้ครบ 8 (หรือ 2)
5. เติมอิเล็กตรอนที่เหลือให้กับอะตอมกลาง (10-10 = 0)
ยังไม่เป็นไปตามกฎออกเตต
6. นาอิเล็กตรอนที่ไม่ร่วมพันธะของอะตอมรอบๆ (N) มาสร้างพันธะคู่หรือพันธะสาม จนอะตอมกลางมี
อิเล็กตรอนครบแปด
H C N
H C N
H C NH C N HCN
pp-01/2-57
13
14. ตัวอย่าง โครงสร้างลิวอิสของ NF3
1. อะตอมกลางคือ N
2. จานวนเวเลนซ์อิเล็กตรอน = 5 + (7x3) = 26 อิเล็กตรอน
(จานวนเวเลนซ์อิเล็กตรอนของ N = 5 F = 7)
3. เขียนพันธะเดี่ยวระหว่างอะตอมกลางกับอะตอมปลาย
4. เขียนอิเล็กตรอนของอะตอมปลายให้ครบ 8
5. เติมอิเล็กตรอนที่เหลือให้กับอะตอมกลาง (26-24 = 2 อิเล็กตรอน)
F N F
F
F N F
F
F N F
F
หรือ
F N F
F
F N F
F
F N F
F
หรือ หรือ pp-01/2-57
14
15. ตัวอย่าง โครงสร้างลิวอิสของ HCN
1. อะตอมกลางคือ C
2. จานวนเวเลนซ์อิเล็กตรอนของ HCN 1 + 4 + 5 =10 อิเล็กตรอน
3. เขียนพันธะเดี่ยวระหว่างอะตอมกลางกับอะตอมที่มีพันธะ
4. เขียนอิเล็กตรอนของอะตอมปลาย ให้ครบ 8 (หรือ 2)
5. เติมอิเล็กตรอนที่เหลือให้กับอะตอมกลาง (10-10 = 0)
ยังไม่เป็นไปตามกฎออกเตต
6. นาอิเล็กตรอนที่ไม่ร่วมพันธะของอะตอมรอบๆ (N) มาสร้างพันธะคู่หรือพันธะสาม จนอะตอมกลางมี
อิเล็กตรอนครบแปด
H C N
H C N
H C NH C N HCN
pp-01/2-57
15
26. เรโซแนนซ์ (Resonance)
โครงสร้างลิวอิสของ O3
จากการทดลองพบว่า ความยาวพันธะระหว่าง O ทั้งสองเท่ากันแสดงว่าโมเลกุล O3 ไม่
เกิดพันธะทั้ง 2 แบบ แต่เกิดโครงสร้างที่เรียกว่า โครงสร้างเรโซแนนซ์ (Resonance
structure)
O
O O
+1
-1
O
O O
+1
-1
O
O O
1.278 Å1.278 Å
pp-01/2-57
26
27. โครงสร้าง Lewis ที่เป็นไปได้
หลักในการตัดสินว่าโครงสร้างเรโซแนนซ์แบบใด ควรเป็นไปได้มากที่สุดมี
หลักการพิจารณาว่าโครงสร้างใดเป็นโครงสร้างที่เป็นไปได้ มากที่สุด มีดังนี้
1. เป็นไปตามกฎออกเตดมากที่สุด
2. โครงสร้างที่มีประจุฟอร์มาลต่าที่สุด
3. อะตอมที่มีค่า EN สูงควรมีประจุฟอร์มาลเป็นลบ
4. อะตอมชนิดเดียวกันไม่ควรมีประจุฟอร์มาลตรงข้ามกัน
N N N N N N N N N
-2 +1 0 -1 +1 -1 0 +1 -2
N3
+1 0 -1 0 0 0 -1 0 +1
CO2
OCO O = C = O O C O
pp-01/2-57
27
41. ตัวอย่างเช่น
เอทานอล และ เมทอกซีมีเทน
H
C C
O
H
H
H
H
H
CH3CH2OH
O
CC
H
H H
H
H
H
CH3OCH3
สมบัติ : ของเหลวไม่มีสี ละลาย
น้าได้ดี mp.-1170C bp. 78.5 0C
สมบัติ : แก๊ส ไม่มีสี ไม่ละลายน้า
mp. -138.50C bp. -23 0C
pp-01/2-57
41
60. สภาพขั้วของพันธะ (Bond Polarity)
สภาพขั้วของพันธะ คือ การอธิบายการกระจายตัวของอิเล็กตรอนที่ใช้ในการสร้าง
พันธะระหว่างอะตอม
สภาพขั้วของพันธะโควาเลนต์ขึ้นอยู่กับ ค่า EN ของอะตอมทั้งสอง ถ้าค่า EN ของ
อะตอมทั้งสองต่างกัน การกระจายตัวของอิเล็กตรอนในบริเวณระหว่างอะตอมทั้ง
สองจะไม่สม่าเสมอ ซึ่งจะเรียกว่า พันธะโควาเลนต์แบบมีขั้ว
X+Y- เมื่อ EN ของ Y X
+ -
H F+ H F
pp-01/2-57
60
61. สภาพขั้วของโมเลกุล (Polarity of Molecule)
สภาพขั้วของโมเลกุลคือสภาพขั้วสุทธิ(net dipole)ของพันธะทุกพันธะในโมเลกุล
สภาพขั้วของโมเลกุลหาได้โดยการรวมสภาพขั้วของพันธะทุกพันธะแบบเวคเตอร์
pp-01/2-57
61
63. H F
H F
+
-
โมเมนต์ขั้วคู่ (Dipole Moments)
ภายในโมเลกุลของสารประกอบ ถ้าอะตอมมีค่า EN ต่างกัน มีการดึง
อิเล็กตรอนทาให้เกิดขั้วขึ้น
ตัวอย่าง แสดงทิศทางการดึงของ e-
แสดงขั้ว (polar bond) 2.1 4.0
H F
pp-01/2-57
63