More Related Content Similar to เรื่องคอมพิวเตอร์
Similar to เรื่องคอมพิวเตอร์ (20) เรื่องคอมพิวเตอร์4. คอมพิวเตอร์เบื้องต้น
ความหมายของคอมพิวเตอร์
คอมพิวเตอร์ คือ อุปกรณ์ทางอิเล็กทรอนิกส์ (electronic device) ที่มนุษย์ใช้เป็น
เครื่องมือช่วยในการจัดการกับข้อมูลที่อาจเป็นได้ทั้งตัวเลข ตัวอักษร หรือสัญลักษณ์ที่ใช้แทน
ความหมายในสิ่งต่าง ๆ โดยคุณสมบัติที่สาคัญของคอมพิวเตอร์คือการที่สามารถกาหนด
ชุดคาสั่งล่วงหน้าหรือโปรแกรมได้(programmable) นั่นคือคอมพิวเตอร์สามารถทางานได้
หลากหลายรูปแบบ ขึ้นอยู่กับชุดคาสั่งที่เลือกมาใช้งาน ทาให้สามารถนาคอมพิวเตอร์ไป
ประยุกต์ใช้งานได้อย่างกว้างขวาง เช่น ใช้ในการตรวจคลื่นความถี่ของหัวใจ การฝาก – ถอนเงิน
ในธนาคาร การตรวจสอบสภาพเครื่องยนต์เป็นต้น ข้อดีของคอมพิวเตอร์ คือ เครื่อง
คอมพิวเตอร์สามารถทางานได้อย่างมีประสิทธิภาพ มีความถูกต้อง และมีความรวดเร็ว
คุณสมบัติของคอมพิวเตอร์
ปัจจุบันนี้คนส่วนใหญ่นิยมนาคอมพิวเตอร์มาใช้งานต่าง ๆ มากมาย ซึ่งผู้ใช้ส่วนใหญ่
มักจะคิดว่าคอมพิวเตอร์เป็นเครื่องมือที่สามารถทางานได้สารพัด แต่ผู้ที่มีความรู้ทาง
คอมพิวเตอร์จะทราบว่า งานที่เหมาะกับการนาคอมพิวเตอร์มาใช้อย่างยิ่งคือการสร้าง
สารสนเทศ ซึ่งสารสนเทศเหล่านั้นสามารถนามาพิมพ์ออกทางเครื่องพิมพ์ส่งผ่านเครือข่าย
คอมพิวเตอร์ หรือจัดเก็บไว้ใช้ในอนาคตก็ได้เนื่องจากคอมพิวเตอร์จะมีคุณสมบัติต่าง ๆ คือ
5. 2
1.ความเร็ว (speed) คอมพิวเตอร์ในปัจจุบันนี้สามารถทางานได้ถึงร้อยล้านคาสั่งในหนึ่งวินาที
2.ความเชื่อถือ (reliable) คอมพิวเตอร์ทุกวันนี้จะทางานได้ทั้งกลางวันและกลางคืนอย่างไม่มี
ข้อผิดพลาด และไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย
3.ความถูกต้องแม่นยา (accurate) วงจรคอมพิวเตอร์นั้นจะให้ผลของการคานวณที่ถูกต้องเสมอ
หากผลของการคานวณผิดจากที่ควรจะเป็น มักเกิดจากความผิดพลาดของโปรแกรมหรือข้อมูลที่
เข้าสู่โปรแกรม
4.เก็บข้อมูลจานวนมาก ๆ ได้(store massive amounts of information) ไมโครคอมพิวเตอร์ใน
ปัจจุบัน จะมีที่เก็บข้อมูลสารองที่มีความสูงมากกว่าหนึ่งพันล้านตัวอักษร และสาหรับระบบ
คอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่จะสามารถเก็บข้อมูลได้มากกว่าหนึ่งล้าน ๆ ตัวอักษร
5.ย้ายข้อมูลจากที่หนึ่งไปยังอีกทีหนึ่งได้อย่างรวดเร็ว (move information) โดยใช้การ
ติดต่อสื่อสารผ่านระบบ เครือข่ายคอมพิวเตอร์ ซึ่งสามารถส่งพจนานุกรมหนึ่งเล่มในรูปของ
ข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ ไปยังเครื่องคอมพิวเตอร์ที่อยู่ไกลคนซีกโลกได้ในเวลาเพียงไม่ถึงหนึ่ง
วินาที ทาให้มีการเรียกเครือข่ายคอมพิวเตอร์ที่เชื่อมกันทั่วโลกในปัจจุบันว่า ทางด่วน
สารสนเทศ (Information Superhighway)
6. 3
การทางานของคอมพิวเตอร์
ขั้นตอนการทางานที่สาคัญของคอมพิวเตอร์ 4 ขั้นตอน
ตารางที่ 1 ตารางการทางานของคอมพิวเตอร์
ขั้นตอนที่ การทางาน ตัวอย่างอุปกรณ์
1. การรับข้อมูลและคาสั่ง
(Input)
คอมพิวเตอร์รับข้อมูลและ
คาสั่งผ่านอุปกรณ์นาเข้า
ข้อมูล
Mouse, Keyboard, Scanner,
Microphone
2. การประมวลผลหรือคิด
คานวณ(Processing)
ข้อมูลที่คอมพิวเตอร์รับเข้ามา
จะถูกประมวลผลโดยการ
ทางานของหน่วยประมวลผล
กลาง (CPU : Central
Processing Unit) ตามคาสั่ง
ของโปรแกรม หรือ
ซอฟต์แวร์
CPU
3. การแสดงผลลัพธ์(Output) คอมพิวเตอร์จะแสดงผลลัพธ์
ของข้อมูลที่ป้อน หรือ
แสดงผลจากการประมวลผล
ทางอุปกรณ์แสดงผล
Monitor, Printer, Speaker
4. การเก็บข้อมูล(Storage) ผลลัพธ์จากการประมวลผล
สามารถเก็บไว้ในหน่วยเก็บ
ข้อมูล
hard disk, floppy disk, CD-
ROM
8. 5
ส่วนประกอบคอมพิวเตอร์พื้นฐานมีดังนี้
1. จอภาพ (Monitor)
จอภาพ เป็นอุปกรณ์ที่ใช้ติดต่อกับผู้ใช้โดยตรง นับเป็นอุปกรณ์ที่มีความสาคัญมากที่สุด
อันหนึ่งของเครื่องคอมพิวเตอร์ โดยจะแสดงผลออกมาเป็นภาพทางหน้าจอ โดยการแปลงจาก
สัญญาณอิเล็กทรอนิกส์ที่ส่งเข้ามา โดยวิธีการนั้นขึ้นอยู่กับชนิดของจอภาพ ซึ่งสามารถแบ่งได้
เป็นจอภาพแบบหลอดรังสีแคโธด หรือจอซีอาร์ที (cathode ray tube: CRT) และจอภาพแบบ
ผลึกเหลวทรานซิสเตอร์แผ่นบาง หรือจอแบบ แอลซีดี
2. เคส (Case)
เคสเป็นโครงที่ใช้สาหรับใส่อุปกรณ์ภายในต่างๆเข้าไว้ด้วยกัน อุปกรณ์ที่มักจะใส่ไว้ในเคส
ก็เป็นพวก เมนบอร์ด(Mainboard) แรม (RAM) การ์ดจอ(VGA Card) ฮาร์ดดิสก์(Hard Disk
Drive) พาวเวอซัพพลาย(Power Supply) เป็นต้น มีหลายแบบ หลายสีให้เลือกใช้ตามความพึง
พอใจของผู้ใช้
9. 6
3. พาวเวอร์ซัพพลาย (Power Supply)
ทาหน้าที่จ่ายกระแสไฟให้กับอุปกรณ์ต่างๆในเครื่องคอมพิวเตอร์ โดยสามารถเลือกใช้งานได้
ตามจานวนวัตต์ถ้าเครื่องคอมพิวเตอร์มีอุปกรณ์ต่อเยอะก็ควรจะเลือกใช้ที่วัตต์สูงๆ ไม่เช่นนั้น
กาลังไฟอาจจะไม่พอทาให้ไม่สามารถใช้งานได้
4. คีย์บอร์ด (Keyboard)
ทาหน้าที่รับข้อมูลจากผู้ใช้โดยจะประกอบไปด้วยแป้นพิมพ์ที่มีปุ่มต่างๆมากมาย ทั้งปุ่ม
ตัวอักษร(Typewriter keys) ตัวเลข (Numeric keypad) ปุ่มพิเศษ (Special-purpose keys) ปุ่ม
ควบคุมอื่นๆ (Control keys) หรือปุ่มฟังก์ชั่นต่างๆFunction keys) สาหรับการใช้งาน
คอมพิวเตอร์ที่ต้องใช้การพิมพ์เป็นหลัก
11. 8
7. ซีพียู (CPU)
ซีพียู คือโปรเซสเซอร์(Processor) หรือเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า หน่วยประมวลผลกลาง หรือ ซิพ
(Chip) เป็นอุปกรณ์ที่สาคัญมากที่สุดเพราะมีหน้าที่ประมวลผลข้อมูลที่ผู้ใช้ป้อนเข้ามาหรือ
โปรแกรมที่ผู้ใช้งานส่งข้อมูลเข้ามาเป็นชุดคาสั่ง ซีพียู ประกอบด้วยส่วนหลัก 2 ส่วนดังนี้
1) หน่วยคานวณและตรรกะ (ALU: Arithmetic & Logical Unit) ทาหน้าที่เหมือนกับเครื่อง
คานวณอยู่ในเครื่องคอมพิวเตอร์ โดยทางานเกี่ยวกับการคานวณทางคณิตศาสตร์ เช่น บวก ลบ
คุณ หาร และยังทาการเปรียบเทียบทางตรรกศาสตร์ โดยจะเปรียบเทียบเงื่อนไขและกฎเกณฑ์
ทางคณิตศาสตร์ เพื่อพิสูจน์ว่าคาตอบนั้นเป็นจริงหรือเท็จ
2) หน่วยควบคุม (Control Unit) ทาหน้าที่ควบคุมขั้นตอนการประมวลผลและทาการ
ประสานงานกับอุปกรณ์ต่างๆ ทั้งด้าน Input และOutput รวมถึงหน่วยความจาต่างๆด้วย
12. 9
8. การ์ดแสดงผล (Display Card)
การ์ดแสดงผลจะทางานเมื่อซีพียูประมวลผลจากข้อมูลต่างๆที่โปรแกรมส่งเข้ามา เมื่อซีพียู
ประมวลผลเสร็จก็จะทาการส่งข้อมูลที่จะใช้แสดงผลต่อไปยังการ์ดแสดงผล การ์ดแสดงผลก็จะ
ส่งต่อข้อมูลไปยังจอภาพเพื่อแสดงผลออกมาตามข้อมูลที่ได้รับมา โดยการ์ดบางรุ่นจะสามารถ
ประมวลผลได้ในตัวเอง ทาให้ซีพียูไม่ต้องทางานมากนัก มีผลทาให้การทางานของคอมพิวเตอร์
นั้นเร็วขึ้นด้วย บางรุ่นก็จะมีหน่วยความจาในตัวเอง แต่บางรุ่นที่ไม่มีก็จะต้องดึงหน่วยความจา
มาจากแรม (RAM) ซึ่งหาก แรมมีจานวนน้อย อาจส่งผลให้คอมพิวเตอร์ทางานได้ช้าลงไปด้วย
แต่ในบางรุ่นที่มีหน่วยความจาในตัวเองก็จะทาให้รับข้อมูลจากซีพียูได้มากขึ้น ประมวลผลได้
เร็วขึ้น ทาให้การแสดงผลบนจอภาพมีคุณภาพที่สูงตามไปด้วย
13. 10
9. ฮาร์ดดิสก์(Hard disk)
เป็นหน่วยความจาถาวรประจาเครื่อง โดยจะประกอบไปด้วยแผ่นจานแม่เหล็ก(platters) หลายๆ
แผ่นมาเรียงอยู่บนแกนเดียวกันที่เรียกว่า Spindle ทาให้แผ่นแม่เหล็กแต่ละแผ่นหมุนไปพร้อมๆ
กัน โดยใช้มอเตอร์เป็นตัวหมุน โดยจะมีหัวอ่านติดอยู่ประจาแผ่นแต่ละแผ่นซึ่งหัวอ่านของแต่
ละแผ่นจะเชื่อมติดกัน สามารถเคลื่อนที่เข้า-ออกแผ่นจานได้อย่างรวดเร็ว โดยมีแผงวงจร
ควบคุมอีกต่อหนึ่งอยู่ ซึ่งข้อมูลที่เก็บลงฮาร์ดดิสก์จะเก็บอยู่บนแผ่นจานแม่เหล็ก โดยแผ่นจาน
แต่ละแผ่นจะถูกแบ่งออกเป็นสองส่วนก็คือ แทร็กและเซกเตอร์ โดยแทร็กจะเป็นรูปวงกลมทีละ
ชั้นเข้าไปข้างใน และในแต่ละแทร็กก็จะถูกแบ่งออกเป็นเสี้ยวหนึ่งของวงกลมซึ่งเรียกว่า
เซกเตอร์ ซึ่งเราจะแย่งฮาร์ดดิสก์ออกเป็น 3 ชนิดตามอินเตอร์เฟส(Interface) ดังนี้
– IDE (Integrated Drive Electronics) จะใช้สายแพรในการต่อเข้ากับเมนบอร์ดโดยจะมีคอนเน็ค
เตอร์จานวน 40 ขาที่มีบนบอร์ดไว้รองรับ ซึ่งโดยปกติแล้ว 1 คอนเน็คเตอร์จะสามารถต่อ
ฮาร์ดดิสก์ได้สองตัว
– Serial ATA (Advanced Technology Attachment) เป็นอินเตอร์เฟสแบบใหม่ที่เข้ามาแทนแบบ
IDE ซึ่งมีความเร็วในการเข้าถึงข้อมูลสูงกว่าแบบ IDE โดยมีความเร็วถึง 150 Mbytes ต่อ วินาที
ทาให้มีความรวดเร็วในการทางานมากขึ้น
14. 11
– SCSI (Small Computer System Interface) อินเตอร์เฟสแบบนี้จะมีการ์ดที่มีหน่วยประมวลผล
อยู่ในตัวเป็นตัวควบคุมอีกต่อหนึ่งแยกออกมาจากตัวฮาร์ดดิสก์ต่างหาก เพื่อเร่งความเร็วในการ
รับส่งข้อมูล เหมาะสาหรับใช้งานในรูปแบบ Server แต่มีราคาค่อนข้างแพงกว่าสองแบบข้างต้น
มาก
นอกจากนี้ยังมีฮาร์ดดิสก์อีกแบบหนึ่งที่ไม่ได้ใช้แผ่นจานแม่เหล็กในการเก็บข้อมูล แต่ใช้ชิพ
วงจรรวมที่ประกอบรวมกันเป็นหน่วยความจาถาวร ที่เรียกว่า โซลิดสเตตไดรฟ์ (SSD : Solid
state drive) โดยที่ โซลิดสเตตไดรฟ์ ได้ถูกสร้างขึ้นมาทดแทนฮาร์ดดิสก์แบบแผ่นจานแม่เหล็ก
จึงมีข้อดีกว่าแบบแผ่นจานแม่เหล็กเยอะมาก โดยที่ โซลิดสเตตไดรฟ์จะประกอบไปด้วยวงจร
อิเล็กทรอนิกส์ จึงไม่ต้องมีชิ้นส่วนทางกลใดๆที่ต้องเคลื่อนที่ขณะทางาน ซึ่งต่างจากฮาร์ดดิสก์
ไดรฟ์ที่ต้องใช้มอเตอร์ในการหมุนแผ่นจานแล้วมีหัวอ่านที่เคลื่อนที่ตลอดเวลาการทางาน ทาให้
โซลิดสเตตไดรฟ์สามารถทนแรงสั่นสะเทือนได้ดีกว่า และจากการใช้วงจรอิเล็กทรอนิกส์ทาให้
การเข้าถึงข้อมูลรวดเร็วกว่าฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์ที่ต้องใช้หัวอ่านเคลื่อนที่เข้าไปยังจุดที่เก็บข้อมูล ทา
ให้ โซลิดสเตตไดรฟ์ มีความเร็วในการเข้าถึงข้อมูลสูงกว่าฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์มาก นอกจากนั้นไม่
ว่าจะเป็นเรื่องเสียงรบกวนหรืออุณหภูมิในการใช้งาน โซลิดสเตตไดรฟ์ ยังมีประสิทธิภาพดีกว่า
ฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์มากนัก เพียงแต่ราคาอาจจะสูงกว่าพอสมควร
15. 12
10. แรม (RAM)
แรม หรือ RAM (Random-Access Memory) เป็นหน่วยความจาหลักที่ซีพียูสามารถดึงมาใช้ได้
ทันที แต่ไม่ใช่หน่วยความจาถาวรจาเป็นต้องมีไฟมาหล่อเลี้ยงตลอดเวลาในการทางาน หากไม่มี
ไฟมาหล่อเลี้ยงข้อมูลที่บันทึกไว้ก็จะหายไป โดยการทางานของแรมนั้น เมื่อซีพียูได้รับข้อมูลมา
จากผู้ใช้งานหรือโปรแกรมแล้วก็จะเริ่มทาการประมวลผล เมื่อซีพียูประมวลผลเสร็จแล้ว ก็จะส่ง
ต่อข้อมูลที่ประมวลผลเสร็จแล้วเก็บไปไว้ที่แรมก่อนจะถูกส่งต่อไปยังอุปกรณ์ต่างๆต่อไป
11. CD-ROM / CD-RW /DVD / DVD-RW
ใช้สาหรับการอ่านแผ่น CD หรือ DVD โดยหากต้องการที่จะเขียนข้อมูลลงไปในแผ่นจะต้อง
เป็นไดร์ฟที่มี RW ด้วย โดยการทางานนั้นจะอ่านข้อมูลจาก CD/DVD โดยใช้หัวอ่านเลเซอร์ที่
จะยิงแสงเลเซอร์ลงบนซีดีรอม ซึ่งบนซีดีรอมนั้นจะแบ่งเป็นแทร็กและเซกเตอร์เช่นเดียวกับ
ฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์ แต่จะมีขนาดเท่ากันทุกเซกเตอร์ เมื่อเริ่มทางานมอเตอร์จะหมุนแผ่นด้วย
ความเร็วต่าางๆกันทาให้แต่ละเซกเตอร์มีอัตราเร็วในการอ่านคงที่
16. 13
12. ฟล็อปปี้ ดิสก์(Floppy Disk)
เป็นอุปกรณ์ที่มีมาก่อนคอมพิวเตอร์เสียอีก ฟล็อปปี้ ดิสก์ยุคแรกๆมีขนาดตั้งแต่ 8 นิ้ว 5.25 นิ้ว
จนปัจจุบันอยู่ที่ 3.5 นิ้ว มีความจาอยู่ที่ไม่กี่ร้อยกิโลไบต์จนถึง 2.88 เมกกะไบต์ปัจจุบัน
คอมพิวเตอร์รุ่นใหม่นั้นแทบจะไม่มี Floppy Disk Drive อีกแล้ว เนื่องจากแผ่น ฟล็อปปี้ ดิสก์นั้น
จุความจาได้น้อย แถมยังพังง่าย ปัจจุบันถูกทดแทนด้วย Flash Drive เสียมากกว่า
13. เน็ตเวิร์คการ์ด (Lan card)
เน็ตเวิร์คการ์ดหรือการ์ดแลน เป็นตัวเชื่อมต่อระหว่างคอมพิวเตอร์และเครือข่าย โดยส่วนใหญ่
จะเรียกว่า NIC (Network Interface Card) โดยจะทาการแปลงข้อมูลเป็นสัญญาณไฟฟ้าที่
สามารถส่งไปตามสายสัญญาณได้ซึ่งก็จะมีความเร็วในการส่งข้อมูลหลายระดับตั้งแต่ 10 Mbps,
100Mbps หรือ 1000Mbps ซึ่งการ์ดบางรุ่นก็สามารถเลือกระดับความเร็วในการทางานได้
ปัจจุบันเมนบอร์ดส่วนใหญ่มักจะมีชิพที่เป็นช่องเน็ตเวิร์คการ์ดในตัวอยู่แล้ว ทาให้ เน็ตเวิร์ค
การ์ด นั้นไม่ค่อยมีเห็นใช้กันแล้ว
17. 14
ระบบคอมพิวเตอร์
ระบบคอมพิวเตอร์ประกอบด้วยองค์ประกอบสาคัญ 5 ส่วนด้วยกัน คือ
1. ฮาร์ดแวร์ (Hardware)
คือ ลักษณะทางกายของเครื่องคอมพิวเตอร์ ซึ่งหมายถึงตัวเครื่องคอมพิวเตอร์ และ อุปกรณ์
รอบข้าง (peripheral) ที่เกี่ยวข้อง เช่น ฮาร์ดดิสก์เครื่องพิมพ์เป็นต้น ฮาร์ดแวร์ประกอบด้วย
-หน่วยรับข้อมูล ( input unit )
-หน่วยประมวลผลกลาง ( central processor unit ) หรือ CPU
-หน่วยความจาหลัก
-หน่วยแสดงผลลัพธ์ (output unit )
-หน่วยเก็บข้อมูลสารอง (secondary storage unit )
หน่วยรับข้อมูล จะเป็นอุปกรณ์ที่ใช้สาหรับข้อมูลต่าง ๆ เข้าสู่คอมพิวเตอร์ จากนั้น หน่วย
ประมวลผลกลาง จะนาไปประมวลผล และแสดงผลลัพธ์ที่ได้ออกมากให้ผู้ใช้รับทราบทาง
หน่วยแสดงผลลัพธ์
หน่วยความจาหลัก จะทาหน้าที่เสมือนเก็บข้อมูลชั่วคราวที่มีขนาดไม่สูงมากนัก การที่
ฮาร์ดแวร์จะทาหน้าที่ได้มีประสิทธิภาพนั้น ขึ้นอยู่กับโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่ใช้ส่วนการ
ทางานได้มากน้อยเพียงใด จะขึ้นอยู่กับหน่วยความจาหลักของเครื่องนั้น ๆ ข้อเสียของ
หน่วยความจาหลักคือ หากปิดเครื่องคอมพิวเตอร์ที่อยู่ในหน่วยความจาหลักจะหายไป ในขณะ
18. 15
ที่ข้อมูลอยู่ที่ หน่วยเก็บข้อมูลสารอง จะไม่สูญหายตราบเท่าที่ผู้ใช้ไม่ทาการลบข้อมูลนั้น รวมทั้ง
หน่วยเก็บข้อมูลสารองยังมีความจุที่สูงมาก จึงเหมาะสาหรับการเก็บข้อมูลที่มีขนาดใหญ่ หรือ
เก็บข้อมูลไว้ใช้ในภายหลัง ข้อเสียของหน่วยเก็บข้อมูลสารองคือการเรียกใช้ข้อมูลจะช้ากว่า
หน่วยความจาหลักมาก
2. ซอฟต์แวร์ (Software)
คอมพิวเตอร์ฮาร์ดแวร์ที่ประกอบออกมาจากโรงงานจะยังไม่สามารถทางานใดๆ เนื่องจากต้องมี
ซอฟต์แวร์ (Software) ซึ่งเป็นชุดคาสั่งหรือโปรแกรมที่สั่งให้ฮาร์ดแวร์ทางานต่าง ๆ ตาม
ต้องการ โดยชุดคาสั่งหรือโปรแกรมนั้นจะเขียนขึ้นมาจาก ภาษาคอมพิวเตอร์ (Programming
Language) ภาษาใดภาษาหนึ่ง และมี โปรแกรมเมอร์ (Programmer) หรือนักเขียนโปรแกรมเป็น
ผู้ใช้ภาษาคอมพิวเตอร์เหล่านั้นเขียนซอฟต์แวร์ต่าง ๆ ขึ้นมา
ซอฟต์แวร์ สามารถแบ่งออกเป็นสองประเภทใหญ่ๆคือ
-ซอฟต์แวร์ระบบ (System Software )
-ซอฟต์แวร์ประยุกต์( Application Software )
ซอฟต์แวร์ระบบ โดยส่วนมากแล้วจะติดตั้งมากับเครื่องคอมพิวเตอร์เนื่องจากซอฟต์แวร์ระบบ
เป็นส่วนควบคุมทางานต่าง ๆ ของคอมพิวเตอร์ เพื่อให้สามารถเริ่มต้นการทางานอื่น ๆ ที่ผู้ใช้
ต้องการได้ต่อไป ส่วน ซอฟต์แวร์ประยุกต์จะเป็นซอฟต์แวร์ที่เน้นในการช่วยการทางานต่าง ๆ
ให้กับผู้ใช้ซึ่งแตกต่างกันไปตามความต้องการของผู้ใช้แต่ละคน
19. 16
3. บุคลากร (Peopleware)
เครื่องคอมพิวเตอร์โดยมากต้องใช้บุคลากรสั่งให้เครื่องทางาน เรียกบุคลากรเหล่านี้ว่า ผู้ใช้
หรือ ยูเซอร์ (user) แต่ก็มีบางชนิดที่สามารถทางานได้เองโดยไม่ต้องใช้ผู้ควบคุม อย่างไรก็ตาม
คอมพิวเตอร์ก็ยังคงต้องถูกออกแบบหรือดูแลรักษาโดยมนุษย์เสมอ
ผู้ใช้คอมพิวเตอร์ (computer user) แบ่งได้เป็นหลายระดับ เพราะผู้ใช้คอมพิวเตอร์บางส่วนก็
ทางานพื้นฐานของคอมพิวเตอร์เท่านั้น แต่บางส่วนก็พยายามศึกษาโปรแกรมประยุกต์ในขั้นที่
สูงขึ้น ทาให้มีความชานาญในการใช้โปรแกรมประยุกต์ต่าง ๆ นิยมเรียกกลุ่มนี้ว่า เพาเวอร์ยูส
เซอร์ (power user)
ผู้เชี่ยวชาญทางด้านคอมพิวเตอร์ (computer professional) หมายถึงผู้ที่ได้ศึกษาวิชาการ
ทางด้านคอมพิวเตอร์ ทั้งในระดับกลางและระดับสูง ผู้เชี่ยวชาญทางด้านนี้จะนาความรู้ที่ได้
ศึกษามาประยุกต์และพัฒนาใช้งาน และประสิทธิภาพของระบบคอมพิวเตอร์ให้ทางานในขั้น
สูงขึ้นไปได้อีก นักเขียนโปรแกรม (programmer) ก็ถือว่าเป็นผู้เชียวชาญทางคอมพิวเตอร์
เช่นกัน เพราะสามารถสร้างโปรแกรมใหม่ ๆ ได้และเป็นเส้นทางหนึ่งที่จะนาไปสู่การเป็น
ผู้เชี่ยวชาญทางคอมพิวเตอร์ต่อไป
บุคลากรก็เป็นส่วนหนึ่งของระบบคอมพิวเตอร์ เพราะมีความเกี่ยวข้องกับระบบ
คอมพิวเตอร์ ตั้งแต่การพัฒนาเครื่องคอมพิวเตอร์ ตลอดจนถึงการนาคอมพิวเตอร์มาใช้งานต่าง
ๆ ซึ่งสามารถสรุปลักษณะงานได้ดังนี้
-การดาเนินงานและเครื่องอุปกรณ์ต่าง ๆ เช่น การบันทึกข้อมูลลงสื่อ หรือส่งข้อมูลเข้าประมวล
หรือควบคุมการทางานของระบบคอมพิวเตอร์ เช่น เจ้าหน้าที่บันทึกข้อมูล (Data Entry
Operator) เป็นต้น
-การพัฒนาและบารุงรักษาโปรแกรม เช่น เจ้าหน้าที่พัฒนาโปรแกรมประยุกต์ (Application
Programmer) เจ้าหน้าที่พัฒนาโปรแกรม (System Programmer) เป็นต้น
20. 17
-การวิเคราะห์และออกแบบระบบงานที่ใช้คอมพิวเตอร์ประมวลผล เช่น เจ้าหน้าที่วิเคราะห์และ
ออกแบบระบบงาน (System Analyst and Administrator) วิศวกรระบบ (System Engineer)
เจ้าหน้าที่จัดการฐานข้อมูล (Database Adminstrator)เป็นต้น
-การพัฒนาและบารุงรักษาระบบทางฮาร์ดแวร์ เช่น เจ้าหน้าที่ควบคุมการทางานระบบ
คอมพิวเตอร์ (Computer Operator) เป็นต้น
-การบริหารในหน่วยประมวลผลข้อมูล เช่น ผู้บริหารศูนย์ประมวลผลข้อมูลด้วยคอมพิวเตอร์
(EDP Manager) เป็นต้น
4. ข้อมูลและสารสนเทศ (Data / Information)
ในการทางานต่าง ๆ จะต้องมีข้อมูลเกิดขึ้นตลอดเวลา ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับงานที่ถูกเก็บ
รวบรวมมาประมวลผล เพื่อให้ได้สารสนเทศที่เป็นประโยชน์ต่อผู้ใช้ซึ้งในปัจจุบันมีการนาเอา
ระบบคอมพิวเตอร์มาเป็นข้อมูลในการดัดแปลงข้อมูลให้ได้ประสิทธิภาพโดยแตกต่างๆระหว่าง
ข้อมูล และ สารสนเทศ
5. กระบวนการทางาน (Procedure)
กระบวนการทางานหรือโพรซีเยอร์ หมายถึง ขั้นตอนที่ผู้ใช้จะต้องทาตาม เพื่อให้ได้งาน
เฉพาะอย่างจากคอมพิวเตอร์ซึ่งผู้ใช้คอมพิวเตอร์ทุกคนต้องรู้การทางานพื้นฐานของเครื่อง
คอมพิวเตอร์ เพื่อที่จะสามารถใช้งานได้อย่างถูกต้อง ตัวอย่างเช่น การใช้เครื่อง ฝาก-ถอนเงิน
อัตโนมัติ ถ้าต้องการถอนเงินจะต้องผ่านกระบวนการต่าง ๆ ดังนี้ (ธีรเวช, 2556)