รายงาน
เรื่อง ระบบคอมพิวเตอร์และยุคสมัย
ผู้จัดทา
นายพินิพันธ์ คาอินทร์ เลขที่ 1
ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5/3
เสนอ
อาจารย์ ทรงศักดิ์ โพธ์เอียม
รายงานเล่มนี้เป็นส่วนหนึ่งของวิชาคอมพิวเตอร์ (ง 30204)
ภาคเรียน 2 ปีการศึกษา 2560
โรงเรียนเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระศรีนครินทร์ กาญจนบุรี
ในพระราชูถัมภ์สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯสยามบรมราชกุมารี
สานักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเขต 8
ข
คานา
รายงานฉบับนี้เป็นส่วนหนึ่งของวิชาคอมพิวเตอร์ ซึ่งมีวัตถุประสงค์ในการจัดทารายงานฉบับนี้
ขึ้นมา เพื่อให้ได้เล็งเห็นว่ายุคของคอมพิวเตอร์ วิวัฒนาการของคอมพิวเตอร์ ประเภทของคอมพิวเตอร์
ขนาดของคอมพิวเตอร์ ส่วนประกอบของคอมพิวเตอร์ และคอมพิวเตอร์ซอฟแวร์ ซึ่งเป็นเนื้อหาที่
อธิบายให้เข้าใจถึงเรื่องระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งมีความสอดคล้องกับวิชาคอมพิวเตอร์และยังสามารถนา
ความรู้ที่ได้ไปใช้ให้เกิดประโยชน์แก่ตนเองและแก่สังคมได้อีกด้วย รวมถึงการจัดทารายงานในเรื่องนี้
ถือเป็นการต่อยอดองค์ความรู้และเป็นการศึกษาทาความเข้าใจในเรื่องระบบคอมพิวเตอร์ให้มีความ
เข้าใจเพิ่มมากขึ้นอีกด้วย
รายงานฉบับนี้ได้มาจากการศึกษาค้นคว้าจากอินเตอร์เน็ต โดยผู้จัดทามีความประสงค์อย่างยิ่งว่า
รายงานฉบับนี้ คงจะเป็นประโยชน์ได้ไม่มากก็น้อยสาหรับผู้ที่มีความสนใจในเรื่องของระบบ
คอมพิวเตอร์ ที่ใช้ปรับแก้ข้อสรุปที่ผิดพลาดของคอมพิวเตอร์
หากท่านผู้อ่านพบข้อผิดพลาดประการใดในรายงานฉบับนี้ ผู้จัดทาจึงขออภัยมา ณ โอกาสนี้ด้วย
ผู้จัดทา
นาย พินิพันธ์ คาอินทร์
ค
สารบัญ
สารบัญ
คำนำ............................................................................................................................................... ข
บทที่ 1 ควำมรู้เบื้องต้น........................................................................................................................ 1
บทที่ 2 เอกสำรที่เกี่ยวข้อง ................................................................................................................... 2
1. ควำมสำคัญของคอมพิวเตอร์ ....................................................................................................... 2
2. ข้อมูลเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ .......................................................................................................... 2
บทที่ 3 อุปกรณ์และวิธีกำรดำเนินกำร...................................................................................................15
1. วัสดุอุปกรณ์ เครื่องมือ ที่ใช้ในกำรนำเสนอ โครงงำน........................................................................15
2. ขั้นตอนกำรดำเนินงำน ...............................................................................................................15
สรุปผลกำรดำเนินงำน และข้อเสนอแนะ................................................................................................16
1. สรุปผลกำรนำเสนอ เรื่องระบบคอมพิวเตอร์และยุคสมัย...................................................................16
2. อุปสรรคในกำรทำโครงงำน..........................................................................................................16
บรรณำนุกรม ...................................................................................................................................17
บทที่ 1 ความรู้เบื้องต้น
ที่มาและความสาคัญ
คอมพิวเตอร์" คือ อุปกรณ์ทางอิเล็กทรอนิกส์ (electronic device) ที่ มนุษย์ใช้เป็นเครื่องมือช่วยในการ
จัดการกับข้อมูลที่อาจเป็นได้ ทั้งตัวเลข ตัวอักษร หรือสัญลักษณ์ที่ใช้แทนความหมายในสิ่งต่าง ๆ โดย
คุณสมบัติที่สาคัญของคอมพิวเตอร์คือการที่สามารถกาหนดชุดคาสั่งล่วงหน้า หรือโปรแกรมได้
(programmable) นั่นคือคอมพิวเตอร์สามารถทางานได้หลากหลายรูปแบบ ขึ้นอยู่กับชุดคาสั่งที่เลือกมาใช้
งาน ทาให้สามารถนาคอมพิวเตอร์ไปประยุกต์ใช้งานได้อย่างกว้างขวาง เช่น ใช้ในการตรวจคลื่นความถี่ของ
หัวใจ การฝาก - ถอนเงินในธนาคาร การตรวจสอบสภาพเครื่องยนต์ เป็นต้น ข้อดีของคอมพิวเตอร์ คือ
เครื่องคอมพิวเตอร์สามารถทางานได้อย่างมีประสิทธิภาพ มีความถูกต้องและมีความรวดเร็วอย่างไรก็ดี ไม่
ว่าจะเป็นงานชนิดใดก็ตาม เครื่องคอมพิวเตอร์จะมีวงจรการทางานพื้นฐาน
จุดประสงค์การเรียนรู้
1. เพื่อการศึกษา เรื่อง อุปกรณ์คอมพิวเตอร์ (Hardware)
2. เพื่อใช้เป็นสื่อในการศึกษา ให้กับผู้ที่สนใจ เรื่อง อุปกรณ์คอมพิวเตอร์ (Hardware)
3.เพื่อศึกษายุคสมัยของ คอมพิวเตอร์ ในแต่ละยุค
ขอบเขตการศึกษา
1. ขอบเขตด้านเนื้อหา เรื่อง อุปกรณ์คอมพิวเตอร์ (Hardware) ซึ่งประกอบด้วย อุปกรณ์นาเข้า หน่วย
ประมวลผล หน่วยความจา หน่วยความจาสารอง และหน่วยแสดงผล
ผลที่คาดว่าจะได้รับ
1. ได้เรียนรู้ยุคสมัยของคอมพิวเตอร์
2. ได้นาเอาเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด
3. สามารถนาความรู้ที่ได้รับจากการศึกษาเรื่อง อุปกรณ์คอมพิวเตอร์( Hardware) ไปใช้ในการศึกษาได้
และชีวิตประจาวันได้
2
บทที่ 2 เอกสารที่เกี่ยวข้อง
การจัดทาโครงงานคอมพิวเตอร์ เรื่อง ระบบคอมพิวเตอร์ นี้ผู้จัดทาได้ศึกษาเอกสารที่เกี่ยวข้อง
ดังต่อไปนี้
1. ความสาคัญของคอมพิวเตอร์
2. ข้อมูลเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์
3. อุปกรณ์คอมพิวเตอร์ (Hardware)
1. ความสาคัญของคอมพิวเตอร์
ในยุคปัจจุบันจะเห็นได้ว่าคอมพิวเตอร์ได้เข้ามาเกี่ยวข้องกับ ชีวิตประจาวันของเราในหลายรูปแบบทั้ง
ทางตรงและทางอ้อมเช่น ถ้าคุณกาลังดูทีวีอยู่หรือคุณกาลัง รอรับใบเสร็จจากห้างร้านขายของ คุณก็เข้าไป
เกี่ยวข้องกับคอมพิวเตอร์โดยที่คุณไม่รู้ตัว ซึ่ง กิจกรรม ต่างๆนี้ต้องพึ่งพาคอมพิวเตอร์เข้ามาช่วยแทบทั้งสิ้น
ปัจจุบันพัฒนาการด้านคอมพิวเตอร์ก้าวหน้า ไปอย่างรวดเร็วทาให้มีขนาดและราคาลดลง ในขณะที่
ประสิทธิภาพการทางานเพิ่มขึ้น ทาให้มี การนาคอมพิวเตอร์มาใช้ในงานต่างๆ อย่างกว้างขวาง หรือ
แม้กระทั่งการนาคอมพิวเตอร์มาใช้ เพื่อการพักผ่อน เพื่อการบันเทิง เล่นเกม ดูหนัง ฟังเพลง ดังนั้นการศึกษา
เกี่ยวกับเรื่องคอมพิวเตอร์จึงเป็นเรื่องจาเป็นอย่างยิ่งเพราะจะทาให้เรา สามารถที่จะคัดเลือกคอมพิวเตอร์ เพื่อ
ประยุกต์ใช้กับงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
2. ข้อมูลเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์
2.1 ความหมายของคอมพิวเตอร์
คาว่า COMPUTER ซึ่งหมายถึง การนับหรือการคานวณ แต่เครื่องคอมพิวเตอร์ที่ใช้เรียกกันนี้
หมายถึง ELECTRONICS COMPUTER เป็นเครื่องจักรทางอิเล็กทรอนิกส์ที่ถูกสร้างขึ้นมาใช้ สามารถทา
การรับข้อมูลที่ป้ อนเข้าไปพร้อมด้วยคาสั่ง แล้วดาเนินการจัดทาผลลัพธ์ที่ต้องการออกมาในรูปแบบต่าง ๆ
ด้วยความรวดเร็วและถูกต้อง ตามความหมายโดยทั่วไปแล้ว "คอมพิวเตอร์" คือ เครื่องจักรกลที่สามารถ
ประมวลผลข้อมูลได้โดยอัตโนมัติ
3
2.2 ประวัติความเป็นมาและพัฒนาการของคอมพิวเตอร์
คอมพิวเตอร์ที่เราใช้กันอยู่ทุกวันนี้เป็นผลมาจากการประดิษฐ์คิดค้นเครื่องมือ ในการคานวณซึ่งมี
วิวัฒนาการนานมาแล้ว เริ่มจากเครื่องมือในการคานวณเครื่องแรกคือ "ลูกคิด" (Abacus) ที่สร้างขึ้นใน
ประเทศจีน เมื่อประมาณ 2,000-3,000 ปีมาแล้ว จนกระทั่งในปี พ.ศ. 2376 นักคณิตศาสตร์ชาวอังกฤษ ชื่อ
ชาร์ล แบบเบจ (Charles Babbage) ได้ประดิษฐ์เครื่องวิเคราะห์ (Analytical Engine) สามารถคานวณค่าของ
ตรีโกณมิติฟังก์ชั่นต่างๆ ทางคณิตศาสตร์ การทางาน ของเครื่องนี้แบ่งเป็น 3 ส่วน คือ ส่วนเก็บข้อมูล ส่วน
คานวณ และส่วนควบคุม ใช้ระบบ พลังเครื่องยนต์ไอน้าหมุนฟันเฟือง มีข้อมูลอยู่ในบัตรเจาะรู คานวณได้
โดยอัตโนมัติ และเก็บข้อมูล ในหน่วยความจา ก่อนจะพิมพ์ออกมาทางกระดาษ หลักการของแบบเบจนี้เอง
ที่ได้นามาพัฒนา สร้างเครื่องคอมพิ วเตอร์สมัยใหม่ เราจึงยกย่องให้แบบเบจเป็น บิดาแห่งเค รื่อง
คอมพิวเตอร์ หลังจากนั้นเป็นต้นมา ได้มีผู้ประดิษฐ์เครื่องคอมพิวเตอร์ขึ้นมามากมายหลายขนาด ทาให้เป็น
การ เริ่มยุคของคอมพิวเตอร์อย่างแท้จริง โดยสามารถจัดแบ่งคอมพิวเตอร์ออกได้เป็น 5 ยุคได้แก่
ยุคที่ 1 ยุคของหลอดสุญญากาศ
ยุคที่ 2 ยุคของทรานซีสเตอร์
ยุคที่ 3 ยุคของวงจรไอซี (IC หรือ Integrated Circuits)
ยุคที่ 4 ยุคของวิแอลเอสไอ
ยุคที่ 5 ยุคเครือข่าย (ยุคปัจจุบัน)
4
ยุคของคอมพิวเตอร์
ยุคของคอมพิวเตอร์ สามารถแบ่งได้เป็น 5 ยุค ดังนี้ คือ
คอมพิวเตอร์ยุคที่ 1
อยู่ระหว่างปี พ.ศ. 2488 ถึง พ.ศ. 2501 เป็นคอมพิวเตอร์ที่ใช้หลอดสุญญากาศซึ่งใช้กาลังไฟฟ้าสูง จึงมี
ปัญหาเรื่องความร้อนและไส้หลอดขาดบ่อย ถึงแม้จะมีระบบระบายความร้อนที่ดีมาก การสั่งงานใช้
ภาษาเครื่องซึ่งเป็นรหัสตัวเลขที่ยุ่งยากซับซ้อน เครื่องคอมพิวเตอร์ของยุคนี้มีขนาดใหญ่โต เช่น มาร์ค วัน
(MARK I), อีนิแอค (ENIAC), ยูนิแวค (UNIVAC)
คอมพิวเตอร์ยุคที่ 2
คอมพิวเตอร์ยุคที่สอง อยู่ระหว่างปี พ.ศ. 2502 ถึง พ.ศ. 2506 เป็นคอมพิวเตอร์ที่ใช้ทรานซิสเตอร์
โดยมีแกนเฟอร์ไรท์เป็นหน่วยความจา มีอุปกรณ์เก็บข้อมูลสารองในรูปของสื่อบันทึกแม่เหล็ก เช่น จาน
แม่เหล็ก ส่วนทางด้านซอฟต์แวร์ก็มีการพัฒนาดีขึ้น โดยสามารถเขียนโปรแกรมด้วยภาษาระดับสูงซึ่งเป็น
ภาษาที่เขียนเป็นประโยคที่คนสามารถเข้าใจได้เช่น ภาษาฟอร์แทน ภาษาโคบอล เป็นต้น ภาษาระดับสูงนี้
ได้มีการพัฒนาและใช้งานมาจนถึงปัจจุบัน
5
คอมพิวเตอร์ยุคที่ 3
คอมพิวเตอร์ยุคที่สาม อยู่ระหว่างปี พ.ศ. 2507 ถึง พ.ศ. 2512 เป็นคอมพิวเตอร์ที่ใช้วงจรรวม (Integrated
Circuit : IC) โดยวงจรรวมแต่ละตัวจะมีทรานซิสเตอร์บรรจุอยู่ภายในมากมายทาให้เครื่องคอมพิวเตอร์จะ
ออกแบบซับซ้อนมากขึ้น และสามารถสร้างเป็นโปรแกรมย่อย ๆ ในการกาหนดชุดคาสั่งต่าง ๆ ทางด้าน
ซอฟต์แวร์ก็มีระบบควบคุมที่มีความสามารถสูงทั้งในรูประบบแบ่งเวลาการทางานให้กับงานหลาย ๆ อย่าง
คอมพิวเตอร์ยุคที่ 4
คอมพิวเตอร์ยุคที่สี่ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2513 จนถึงปัจจุบัน เป็นยุคของคอมพิวเตอร์ที่ใช้วงจรรวมความจุสูง
มาก(Very Large Scale Integration : VLSI) เช่น ไมโครโพรเซสเซอร์ที่บรรจุทรานซิสเตอร์นับหมื่นนับแสน
ตัว ทาให้ขนาดเครื่องคอมพิวเตอร์มีขนาดเล็กลงสามารถตั้งบนโต๊ะในสานักงานหรือพกพาเหมือนกระเป๋ า
หิ้วไปในที่ต่าง ๆ ได้ขณะเดียวกันระบบซอฟต์แวร์ก็ได้พัฒนาขีดความสามารถสูงขึ้นมาก มีโปรแกรมสาเร็จ
ให้เลือกใช้กันมากทาให้เกิดความสะดวกในการใช้งานอย่างกว้างขวาง
6
คอมพิวเตอร์ยุคที่ 5
คอมพิวเตอร์ยุคที่ห้า เป็นคอมพิวเตอร์ที่มนุษย์พยายามนามาเพื่อช่วยในการตัดสินใจและแก้ปัญหาให้ดี
ยิ่งขึ้น โดยจะมีการเก็บความรอบรู้ต่าง ๆ เข้าไว้ในเครื่อง สามารถเรียกค้นและดึงความรู้ที่สะสมไว้มาใช้งาน
ให้เป็นประโยชน์ คอมพิวเตอร์ยุคนี้เป็นผลจากวิชาการด้านปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence :
AI) ประเทศต่างๆ ทั่วโลกไม่ว่าจะเป็นสหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น และประเทศในทวีปยุโรปกาลังสนใจค้นคว้าและ
พัฒนาทางด้านนี้กันอย่างจริงจัง
7
วิวัฒนาการของคอมพิวเตอร์
ต้นกาเนิดของคอมพิวเตอร์อาจกล่าวได้ว่ามาจากแนวความคิดของระบบตัวเลข ซึ่งได้พัฒนาเป็น
วิธีการคานวณต่าง ๆ รวมทั้งอุปกรณ์ที่ช่วยในการคานวณอย่างง่าย ๆ คือ" กระดานคานวณ" และ "ลูกคิด"
ในศตวรรษที่ 17 เครื่องคาแบบใช้เฟื่องเครื่องแรกได้กาเนิดขึ้นจากนักคณิตศาสตร์ชาวฝรั่งเศษ คือ Blaise
Pascal โดยเครื่องของเขาสามารถคานวณการบวกการลบได้อย่างเที่ยงตรง และในศตวรรษเดียวกันนัก
คณิตศาสตร์ชาวเยอร์มันคือ Gottried Wilhelm von Leibniz ได้สร้างเครื่องคิดเลขเครื่องแรกที่สามารถคูณ
และหารได้ด้วย
เครื่อง Difference Engine ของ Charles Babbage
ในต้นศตวรรษที่ 19 ชาวฝรั่งเศษชื่อ Joseph Marie Jacquard ได้พัฒนาเครื่องทอผ้าที่สามารถโปแกรมได้
โดยเครื่องทอผ้านี้ใช้บัตรขนาดใหญ่ ซึ่งได้เจาะรู้ไว้เพื่อควบคุมรูปแบบของลายที่จะปัก บัตรเจาะรู(punched
card) ที่ Jacquard ใช้นี้ได้ถูกพัฒนาต่อๆมาโดยผู้อื่น เพื่อใช้เป็นอุปกรณ์ป้ อนข้อมูลและโปรแกรมเข้าเครื่อง
คอมพิวเตอร์ในยุคแรกๆ
8
เครื่องจัดเรียงบัตรเจาะรูของ Dr. Her Hollerith
การพัฒนาที่สาคัญกับ Mark I ได้เกิดขึ้นปี 1946 โดย Jonh Preper Eckert, Jr. และ Dr. Jonh
W.Msuchly จาก University of Pennsylvnia ได้ออกแบบสร้างเครื่อง ENIAC ( Electronic Numeric Integator
and Calcuator ) ซึ่งทางานได้เร็วอยู่ในหน่วยของหนึ่งส่วนล้านวินาที ในขณะที่ Mark I ทางานอยู่ในหน่วย
ของหนึ่งส่วนพันล้านเท่า โดยหัวใจของความสาเร็จนี้อยู่ที่การใช้หลอดสูญญกาศมาแทนที่ relay นั่นเอง
และถดจากนั้น Mauchly และ Eckert ก็ทาการสร้าง UNIVAC ซึ่งเป็นคอมพิวเตอร์อิเล็กทรอนิกส์เพื่อการค้า
เครื่องแรกของโลก
การพัฒนาที่สาคัญได้เกิดขึ้นมาอีก เมื่อ Jonh von Neumannได้เสนอแผนสาหรับคอมพิวเตอร์เครื่องแรก
ที่จะทาการเก็บโปรแกรมไว้ในหน่วยโปรแกรมไว้ในหน่วยความจาที่เหมือนกับที่เก็บข้อมูล ซึ่งพัฒนาการนี้
ทาให้สามารถเปลี่ยนวงจรของคอมพิวเตอร์ได้โดยอัตโนมัติแทนที่จะต้องทาการเปลี่ยนสวิทชต์ด้วยมือ
เหมือนช่วงก่อน นอกจากนี้ยังได้นาระบบเลขฐานสองมาใช้ในคอมพิวเตอร์ซึ่งหลักการต่างๆเหล่านี้ได้ทาให้
เครื่อง IAS ที่สร้างโดย Dr. von Neumann เป็นเครื่องคอมพิวเตอร์เอนกประสงค์เครื่องแรกของโลก เป็นการ
เปิดศักราชของคอมพิวเตอร์อย่างแท้จริงและยังได้เป็นบิดาคอมพิวเตอร์คนที่ 2
9
ประเภทของคอมพิวเตอร์
ประเภทของคอมพิวเตอร์แบ่งตามลักษณะของข้อมูล ได้3 ประเภท คือ
1. อนาลอกคอมพิวเตอร์ (Analog Computer) เป็นเครื่องคอมพิวเตอร์ที่สร้างขึ้นเป็นพิเศษ เพื่อใช้กับ
งานเฉพาะด้าน มีการทางานโดยใช้หลักในการวัด มีลักษณะเป็นวงจรอิเล็กทรอนิกส์ที่แยกส่วนทาหน้าที่เป็น
ตัวกระทาและฟังก์ชันทางคณิตศาสตร์ โดยใช้ค่าระดับแรงดันไฟฟ้าเป็นหลักในการคานวณ และการรับ
ข้อมูลจะรับในลักษณะของปริมาณที่มีค่าต่อเนื่องไม่สามารถเก็บข้อมูลได้เป็นจานวนมากเหมือนกับดิจิทัล
คอมพิวเตอร์
2. ดิจิทัลคอมพิวเตอร์ (Digital Computer) เป็นเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ทางานโดยใช้หลักในการ
คานวณแบบลูกคิด หรือหลักการนับ และทางานกับข้อมูลแบบไม่ต่อเนื่อง ลักษณะการคานวณจะแปลงเลข
เลขฐานสิบก่อน แล้วจึงประมวลผลด้วยระบบเลขฐานสอง แล้วให้ผลลัพธ์ออกมาอยู่ในรูปของตัวเลข ซึ่ง
คอมพิวเตอร์จะแปลงเป็นเลขฐานสิบเพื่อแสดงให้ผู้ใช้เข้าใจง่าย มีความสามารถในการคานวณและมีความ
แม่นยามากกว่าอนาลอกคอมพิวเตอร์ สามารถเก็บข้อมูลได้เป็นจานวนมากจึงต้องใช้สื่อในการบันทึกข้อมูล
3. ไฮบริดคอมพิวเตอร์ (Hybrid Computer) เป็นเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ใช้กับงานเฉพาะด้าน มี
ประสิทธิภาพสูงและสามารถทางานที่ซับซ้อนได้เนื่องจากการนาเทคนิคการทางานของอนาลอก
คอมพิวเตอร์และดิจิทัลคอมพิวเตอร์มาใช้งานร่วมกัน เช่น การส่งยานอวกาศขององค์การนาซา จะใช้เทคนิค
ของอนาลอกคอมพิวเตอร์ในการควบคุมการหมุนของตัวยานอวกาศ ซึ่งเกี่ยวข้องกับความกดดันอากาศ
อุณหภูมิ ความเร็ว และใช้เทคนิคของดิจิทัลคอมพิวเตอร์ในการคานวณระยะทางจากพื้นผิวโลก เป็นต้น
10
ขนาดของคอมพิวเตอร์
คอมพิวเตอร์แบ่งออกเป็น 4 ประเภท คือ
1. Microcomputer หรือ คอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ เป็นคอมพิวเตอร์ขนาดเล็กที่สุด ปัจจุบันเป็นที่นิยมใช้
กันมาก เนื่องจากขนาดเล็ก มีน้าหนักเบา ราคาไม่แพง สามารถเคลื่อนย้ายได้สะดวก ซึ่งทางานโดยระบบ
ผู้ใช้คนเดียว ( Single-user System ) คอมพิวเตอร์ประเภทนี้แบ่งได้เป็น 2 ประเภท คือ
1. 1 Personal Computers (PCs) เป็นคอมพิวเตอร์ที่เคลื่อนย้ายได้สะดวก เหมาะกับงานประเภท Word
Processing และ Spreadsheets
1.2 Workstations ( สถานีงาน ) เป็นคอมพิวเตอร์ที่มีประสิทธิภาพสูง ราคาแพง นิยมนาไปใช้ในงาน
ทางด้านวิศวกรรมศาสตร์และวิทยาศาสตร์
2. Minicomputer เป็นคอมพิวเตอร์ที่มีความเร็วในการประมวลผลและความจุต่ากว่าระบบเมนเฟรม
มินิคอมพิวเตอร์จะทางานโดยใช้ระบบผู้ใช้หลายคน (Multi-user System) มักจะใช้กับงานที่มีข้อมูลไม่มาก
3. Mainframe Computer เป็นคอมพิวเตอร์ที่มีประสิทธิภาพต่ารองจากSupercomputer มีความเร็ว
ในการประมวลผลสูง
4. Supercomputer เป็นคอมพิวเตอร์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดและสามารถประมวลผลได้เร็วที่สุด มีความ
จุในการจัดเก็บข้อมูลสูง ส่วนมากจะผลิตขึ้นมาเพื่อใช้งานเฉพาะด้านเท่านั้นซึ่งเครื่องคอมชนิดนี้จึงมีราคา
ค่อนข้าแพงมาก ดังนั้นจึงไม่นิยมใช้แพร่หลายนัก
ถ้าแบ่งตามขนาดสามารถแบ่งแย่งตามขนาดของเครื่องได้ ดังนี้
คอมพิวเตอร์แบบตั้งโต๊ะ (Desktop Computer) เป็นไมโครคอมพิวเตอร์ที่มีขนาดเล็กถูกออกแบบมาให้ตั้งบน
โต๊ะ มีการแยกชิ้นส่วนประกอบเป็น ซีพียู จอภาพ และแป้ นพิมพ์ปัจจุบันเป็นที่นิยมใช้ทั่วไป
แล็บท็อปคอมพิวเตอร์ (Laptop Computer) เป็นไมโครคอมพิวเตอร์ขนาดเล็ก จอภาพใช้เป็นแบบแบนราบ
ชนิดจอภาพผนึกเหลว (Liquid crystal Display : LCD) มีน้าหนักของเครื่อง เบาประมาณ 3-8 กก.
โน๊ตบุ๊คคอมพิวเตอร์ (Notebook Computer) เป็นไมโครคอมพิวเตอร์ที่มีขาดใหญ่และมีความหนามากกว่า
แล็ปท็อป น้าหนักประมาณ 1.5 –3 กิโลกรัม จอภาพแสดงผลเป็นแบบราบชนิดมีทั้งแบบแสดงผลสีเดียว
และแบบหลายสี โน๊ตบุ๊คที่มีขายทั่วไปมีประสิทธิภาพและความสามารถเหมือนกับแล็ปท็อป
ปาล์มท็อปคอมพิวเตอร์ (Palmtop Computer)
11
ส่วนประกอบของคอมพิวเตอร์
โดยหลักการแล้ว ส่วนประกอบของคอมพิวเตอร์ ประกอบไปด้วยอุปกรณ์ที่ทางานตามหน้าที่ 4 ส่วน
ด้วยกัน คือ
1.) ส่วนรับข้อมูล (Input Unit)
2.) ส่วนประมวลผลข้อมูล (Central Processing Unit)
3.) ส่วนแสดงผล (Output Unit)
4.) หน่วยความจา (Memory Unit)
1.) ส่วนรับข้อมูล (Input Unit)
ส่วนรับข้อมูล (Input Unit) เป็น ส่วนประกอบของคอมพิวเตอร์ ที่ทาหน้าที่รับข้อมูลจากคน และส่ง
ต่อข้อมูลไปยัง หน่วยประมวลผล(Process Unit)เพื่อทาการประมวลผลต่อไป รูปแบบการส่งข้อมูลจาก
อุปกรณ์รับข้อมูลจะอยู่ในรูปของการส่งสัญญาณเป็นรหัสดิจิตอล (หรือเป็นเลข 0 กับ 1) นั่นเอง อุปกรณ์
ส่วนรับข้อมูล ได้แก่
- คีย์บอร์ด (keyboard) - เมาส์ (mouse)
- สแกนเนอร์ (scanner)
- อุปกรณ์สแกนลายนิ้วมือ (finger scan)
- ไมโครโฟน (microphone)
- กล้องเว็บแคม (webcam)
2.) หน่วยความจา (Memory Unit)
หน่วยความจา (Memory Unit) อุปกรณ์เก็บสถานะข้อมูลและชุดคาสั่ง เพื่อการประมวลผลของ
คอมพิวเตอร์ แบ่งได้เป็น 2 ประเภทใหญ่ ๆ คือ หน่วยความจาชั่วคราวและหน่วยความจาถาวร -
หน่วยความจาชั่วคราว คือ แรม (RAM: Random Access Memory)เป็นหน่วยความจาที่ใช้ขณะ
คอมพิวเตอร์ทางาน ข้อมูลและชุดคาสั่งจะหายไปทุกครั้งที่เราปิดเครื่อง - หน่วยความจาถาวรหรือ
หน่วยความจาหลัก ได้แก่ ฮาร์ดดิสก์ Hard Disk ที่ใช้ในการเก็บข้อมูล และ รอม (ROM: Read Only
Memory) ที่ใช้ในการเก็บค่าไบออส หน่วยความจาถาวรจะใช้ในการเก็บข้อมูลของเครื่องคอมพิวเตอร์และ
จะไม่สูญหายเมื่อปิดเครื่อง
12
คอมพิวเตอร์ซอฟแวร์
ความหมายของซอฟต์แวร์
ซอฟต์แวร์ (Software) หมายถึง ส่วนที่ทาหน้าที่เป็นคาสั่งที่ใช้ควบคุมการทางานของเครื่อง
คอมพิวเตอร์ หรืออาจเรียกว่า “ โปรแกรม ” ก็ได้ซึ่งหมายถึงคาสั่งหรือชุดคาสั่ง สามารถใช้เพื่อสั่งให้
คอมพิวเตอร์ทางาน เราต้องการให้เครื่องคอมพิวเตอร์ทาอะไรก็เขียนเป็นคาสั่งที่จะต้องสั่งเป็นขั้นตอน และ
แต่ละขั้นตอนต้องทาอย่างละเอียดและครบถ้วนก็จะเรียกว่า นักเขียนโปรแกรม (Programmer) สาหรับการ
เขียนโปรแกรมดังกล่าวใช้ภาษาที่ใช้ในการเขียนโปรแกรมโดยเฉพาะ หรือหมายถึง ภาษาที่เครื่อง
คอมพิวเตอร์สามารถเข้าใจได้
ประเภทของซอฟต์แวร์
ซอฟต์แวร์จะแบ่งออกเป็นประเภทใหญ่ ๆ ได้ประเภท คือ ซอฟต์แวร์ระบบ (System
Software) และซอฟต์แวร์ประยุกต์(Application Softwaer) ซึ่งมีรายละเอียด ดังนี้
1. ซอฟต์แวร์ระบบ (System Software) หมายถึง โปรแรกมที่มีหน้าที่ควบคุมการทางานของฮาร์ดแวร์ทุก
อย่างและอานวยความสะดวก
ให้กับผู้ใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ แบ่งออกเป็นโปรแกรมตามหน้าที่การทางานดังนี้
1.1 OS (Operating System)
คือ โปรแกรมระบบที่ทาหน้าที่ควบคุมการใช้งานส่วนต่าง ๆ ของเครื่องคอมพิวเตอร์ เช่น ควบคุม
หน่วยความจา ควบคุมหน่วยประมวลผล ควบคุมหน่วยรับและควบคุมหน่วยแสดงผล ตลอดจนแฟ้มข้อมูล
ต่าง ๆ ให้มีประสิทธิภาพในการทางานสูงที่สุด และสามารถใช้อุปกรณ์ทุกสาวนของคอมพิวเตอร์และช่วย
จัดการกระบวนการพื้นฐานที่สาคัญ ๆ ภายในเครื่องคอมพิวเตอร์ก่อนที่คอมพิวเตอร์แต่ละเครื่องจะสามารถ
อ่านไฟล์ต่าง ๆ หรือสามารถใช้ซอฟต์แวร์ต่าง ๆ ได้จะต้องผ่านการดึงระบบปฏิบัติการออกมาฝังตัวอยู่ในห
น่าวความจาก่อน
1.2 Translation Program
คือโปรแกรมที่ทาหน้าที่ในการแปลโปรแกรมหรือชุดคาสั่งที่เขียนด้วยภาษาที่ไม่ใช่ภาษาเครื่อง หรือ
ภาษาเครื่องที่ไม่เข้าใจให้เป็นภาษาที่เครื่องสามารถรู้เรื่องเข้าใจ และนาไปปฏิบัติได้
13
1.3 Utility Program
คือ โปรแกรมระบบที่ทาหน้าที่ในการอานวยความสะดวกให้กับผู้ใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ ให้สามารถ
ทางานได้สะดวก รวดเร็วและง่ายขึ้น
1.4 Diagnostic Program
คือ โปรแกรมระบบที่ทาหน้าที่ตรวจสอบข้อผิดพลาดใน การทางานของอุปกรณ์ต่าง ๆ ของเครื่อง
คอมพิวเตอร์และเมื่อพบข้อผิดพลาดก็จะแจ้งขึ้นบนจอภาพให้ทราบ
2. ซอฟต์แวร์ประยุกต์ (Application Software)
หมายถึง โปรแกรมที่ผู้ใช้คอมพิวเตอร์เป็นผู้เขียนมาใช้งานเอง เพื่อสั่งให้คอมพิวเตอร์ทางานอย่างใด
อย่างหนึ่งตามที่ต้องการ ซึ่งแบ่งได้ดังนี้
2.1 User Program
คือ โปรแกรมที่ผู้ใช้เขียนมาใช้เอง โดยใช้ภาษาระดับต่าง ๆ ทางคอมพิวเตอร์ซึ่งการที่จะเลือกใช้
ภาษาใดนั้นก็ขึ้นอยู่กับความเหมาะสมของงานเหล่านั้นด้วย
2.2 Package Program
คือ โปรแกรมสาเร็จรูปซึ่งเป็นโปรแกรมที่ถูกสร้างหรือเขียนขึ้นมาโดยบริษัทต่าง ๆ เสร็จเรียบร้อย
แล้วพร้อมที่จะนาไปใช้งานต่าง ๆ ได้ทันที ที่จริงแล้ว Package Program สามารถแบ่งออกได้เป็น 9 ประเภท
ด้วยกัน
สาหรับรายละเอียดของโปรแกรมแต่ละประเภทนั้น มีรายละเอียดดังนี้
1. โปรแกรมทางด้าน Word Processor
โปรแกรมทางด้าน Word Processor นั้น เป็นโปรแกรมที่ทางานเกี่ยวกับทางด้านการประมวลผลคา
สามารถจัดทาเอกสาร รายงาน จดหมาย หนังสือต่าง ๆ ได้ ทาให้ได้งานที่มีประสิทธิภาพ สวยงาม เนื่องจาก
สามารถจัดรูปแบบงานตามต้องการได้รวมทั้งยังแก้ไขงานที่ทาได้ด้วย อีกทั้งยังช่วยประหยัดเวลาในการ
แก้ไขงาน และสามารถค้นหาข้อความต่าง ๆ ได้อย่างสะดวก
14
2. โปรแกรมที่จัดอยู่ในกลุ่ม Word Processor
คือ WordStat, ราชวิถีเวิร์ด เวิร์ดจุฬา โปรแกรมเหล่านี้จะเป็นโปรแกรมที่ทางานบน Dos นอกจากนั้น
ยังมีโปรแกรมที่ทางานบนวินโดวส์อีกด้วย คือ Word Perfect, Microsoft Word และ AmiPro โปรแกรม
เหล่านี้จะใช้งานง่าย สะดวก สามารถจัดรูปแบบต่าง ๆ ได้ตามต้องการ รวมทั้งสามารถนาภาพมาประกอบ
กับงานเอกสาร หรือนาเอกสารจากโปรแกรมอื่นมาจัดรูปแบบในโปรแกรมเหล่านี้ก็ได้
3. โปรแกรมทางด้านการสร้างสถานการณ์จาลอง
เป็นโปรแกรมที่ให้ผู้เล่นได้ทดลองสร้างสถานการณ์จาลองของงานที่อาจจะเกิดขึ้นได้หรืออาจจะ
เรียกว่า เกมส์ทางธุรกิจ โดยให้ผู้เล่นได้รู้จักวางแผนในการทางาน คิดถึงผลกาไรขาดทุนที่อาจจะเกิดขึ้นได้
รู้จักจัดสรรงบประมาณที่มีอยู่ให้ได้ผลกาไรมากที่สุด
4. โปรแกรมทางด้านการติดต่อสื่อสาร
เป็นโปรแกรมที่มักนิยมใช้ตามสานักงานต่างๆทั้งของรัฐและเอกชนในการนัดหมายประชุม การทา
จดหมายเวียนไปตามฝ่ายต่างๆ โดยการเก็บข้อมูลไว้ในคอมพิวเตอร์แทนที่จะพิมพ์ออกมาทางกระดาษ เพื่อ
แจ้งให้พนักงานทราบ ข้อดีของโปรแกรมชนิดนี้คือ ทาให้ประหยัดกระดาษลงไปได้มาก
5. โปรแกรมคอมพิวเตอร์ช่วยสอน
โปรแกรมประเภทนี้เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า CAI (Computer Assisted Instruction) เป็นโปรแกรมที่
นามาสอนให้กับนักเรียนในวิชาต่าง ๆ โดยที่นักเรียนจะเรียนกับโปรแกรมบนคอมพิวเตอร์และครูเป็นผู้ชี
แนะ ทดสอบ และวัดความเข้าใจ รวมทั้งสรุปเนื้อหาที่นักเรียนได้เรียนจากโปรแกรม CAI นี้
6. โปรแกรมทางด้านการออกแบบโ
ปรแกรมนี้ได้เข้ามาช่วยออกแบบงานต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นงานทางด้านวิศวกรรม สถาปัตยกรรม
และงานออกแบบสินค้าต่างๆ ซึ่งสามารถสร้างได้ทั้งแบบที่เป็นภาพ 2 มิติ และภาพ 3 มิติ สาหรับโปรแกรม
ทางด้านออกแบบที่นิยมใช้กันแพร่หลาย
15
บทที่ 3 อุปกรณ์และวิธีการดาเนินการ
การจัดทารายงานคอมพิวเตอร์ ระบบคอมพิวเตอร์เพื่อการศึกษา เรื่อง ระบบคอมพิวเตอร์และยุคสมัยมี
วิธีการดาเนินโครงงานตามขั้นตอนต่อไปนี้
1. วัสดุอุปกรณ์ เครื่องมือ ที่ใช้ในการนาเสนอ โครงงาน
1.1 เครื่องคอมพิวเตอร์ พร้อมเชื่อมต่อระบบเครือข่ายอินเตอร์เน็ต
1.2 โปรแกรมที่ใช้ในการดาเนินงาน ได้แก่
- โปรแกรม Microsoft Word
2. ขั้นตอนการดาเนินงาน
2.1 คิดหัวข้อโครงงานเพื่อนาเสนอครูที่ปรึกษารายงาน
2.2 ศึกษาและค้นคว้าข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับเรื่องที่สนใจ คือเรื่องระบบคอมพิวเตอร์และยุคสมัย และ
ศึกษาค้นคว้าเพิ่มเติม จากเว็บไซต์ต่าง ๆ และจัดเก็บข้อมูลเพื่อจัดทาเนื้อหาต่อไป
2.3 ศึกษาการสร้างเว็บไชต์โดยใช้โปรแกรม Microsoft Word จากเอกสาร และจากเว็บไซต์ต่างๆ ที่
เสนอเทคนิค วิธีการนาเสนอ
2.4 จัดทาโครงร่างโครงงานคอมพิวเตอร์เพื่อนาเสนอครูที่ปรึกษา
2.5 จัดทารายงานคอมพิวเตอร์ เรื่องระบบคอมพิวเตอร์และยุคสมัย โดยสร้าง บทเรียนที่สนใจตามแบบ
เสนอโครงร่างที่เสนอ
2.6 นาเสนอรายงานความก้าวหน้าให้ครูที่ปรึกษารายงานได้ตรวจสอบ ซึ่งครูที่ปรึกษา จะให้
ข้อเสนอแนะต่าง ๆ เพื่อให้จัดทาเนื้อหาและการนาเสนอที่น่าสนใจ ทั้งนี้เมื่อได้รับคาแนะนา ก็จะนามา
ปรับปรุงแก้ไขแก้ไขให้เป็นที่น่าสนใจยิ่งขึ้น
2.7 จัดทาเอกสารรายงานคอมพิวเตอร์
2.8 ประเมินผลงานโดยให้ครูที่ปรึกษาประเมินผลงาน
16
สรุปผลการดาเนินงาน และข้อเสนอแนะ
การจัดทาโครงงานคอมพิวเตอร์ เพื่อการศึกษา เรื่อง ระบบคอมพิวเตอร์และยุคสมัย นี้สรุปผลการ
ดาเนินงานโครงงานและข้อเสนอแนะ ได้ดังนี้
1. สรุปผลการนาเสนอ เรื่องระบบคอมพิวเตอร์และยุคสมัย
ผู้จัดทาได้นาเสนอ เพื่อการศึกษา เรื่อง ระบบคอมพิวเตอร์และยุคสมัย ซึ่งมี รายละเอียด ดังนี้
1.1นาเสนอหน้าชั้นเรียน
1.2นาเสนอในเว็บไซต์
2. อุปสรรคในการทาโครงงาน
กานาเสนอเพื่อการศึกษา เรื่อง ระบบคอมพิวเตอร์และยุคสมัย ทาให้พบปัญหาต่าง ๆ ดังนี้
1. รูปแบบการเว้นวรรคในตัวอักษรในโปรแกรม Microsoft Word
5. ข้อเสนอแนะและแนวทางในการพัฒนาต่อ
1. ควรมีการเพิ่มเนื้อหาที่มีความหลากหลายให้มากกว่านี้
2.ควรมีการนาเสนอในรูปแบบ VDO
17
บรรณานุกรม
ลิงค์ที่ได้เข้ำไปศึกษำและรวบรวมข้อมูล ในกำรทำโครงงำน
http://www.chandra.ac.th/office/ict/document/it/it01/com_02.htm
• http://web.ku.ac.th/schoolnet/snet1/hardware/index01.htm
• http://www.comsimple.com
• http://www.chandra.ac.th/office/ict/document/it/it01/com_04.htm
• http://computer.kapook.com/component.php
• http://www.bcoms.net/temp/lesson3.asp

ระบบคอมพิวเตอร์และยุคสมัย

  • 1.
    รายงาน เรื่อง ระบบคอมพิวเตอร์และยุคสมัย ผู้จัดทา นายพินิพันธ์ คาอินทร์เลขที่ 1 ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5/3 เสนอ อาจารย์ ทรงศักดิ์ โพธ์เอียม รายงานเล่มนี้เป็นส่วนหนึ่งของวิชาคอมพิวเตอร์ (ง 30204) ภาคเรียน 2 ปีการศึกษา 2560 โรงเรียนเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระศรีนครินทร์ กาญจนบุรี ในพระราชูถัมภ์สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯสยามบรมราชกุมารี สานักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเขต 8
  • 2.
    ข คานา รายงานฉบับนี้เป็นส่วนหนึ่งของวิชาคอมพิวเตอร์ ซึ่งมีวัตถุประสงค์ในการจัดทารายงานฉบับนี้ ขึ้นมา เพื่อให้ได้เล็งเห็นว่ายุคของคอมพิวเตอร์วิวัฒนาการของคอมพิวเตอร์ ประเภทของคอมพิวเตอร์ ขนาดของคอมพิวเตอร์ ส่วนประกอบของคอมพิวเตอร์ และคอมพิวเตอร์ซอฟแวร์ ซึ่งเป็นเนื้อหาที่ อธิบายให้เข้าใจถึงเรื่องระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งมีความสอดคล้องกับวิชาคอมพิวเตอร์และยังสามารถนา ความรู้ที่ได้ไปใช้ให้เกิดประโยชน์แก่ตนเองและแก่สังคมได้อีกด้วย รวมถึงการจัดทารายงานในเรื่องนี้ ถือเป็นการต่อยอดองค์ความรู้และเป็นการศึกษาทาความเข้าใจในเรื่องระบบคอมพิวเตอร์ให้มีความ เข้าใจเพิ่มมากขึ้นอีกด้วย รายงานฉบับนี้ได้มาจากการศึกษาค้นคว้าจากอินเตอร์เน็ต โดยผู้จัดทามีความประสงค์อย่างยิ่งว่า รายงานฉบับนี้ คงจะเป็นประโยชน์ได้ไม่มากก็น้อยสาหรับผู้ที่มีความสนใจในเรื่องของระบบ คอมพิวเตอร์ ที่ใช้ปรับแก้ข้อสรุปที่ผิดพลาดของคอมพิวเตอร์ หากท่านผู้อ่านพบข้อผิดพลาดประการใดในรายงานฉบับนี้ ผู้จัดทาจึงขออภัยมา ณ โอกาสนี้ด้วย ผู้จัดทา นาย พินิพันธ์ คาอินทร์
  • 3.
    ค สารบัญ สารบัญ คำนำ............................................................................................................................................... ข บทที่ 1ควำมรู้เบื้องต้น........................................................................................................................ 1 บทที่ 2 เอกสำรที่เกี่ยวข้อง ................................................................................................................... 2 1. ควำมสำคัญของคอมพิวเตอร์ ....................................................................................................... 2 2. ข้อมูลเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ .......................................................................................................... 2 บทที่ 3 อุปกรณ์และวิธีกำรดำเนินกำร...................................................................................................15 1. วัสดุอุปกรณ์ เครื่องมือ ที่ใช้ในกำรนำเสนอ โครงงำน........................................................................15 2. ขั้นตอนกำรดำเนินงำน ...............................................................................................................15 สรุปผลกำรดำเนินงำน และข้อเสนอแนะ................................................................................................16 1. สรุปผลกำรนำเสนอ เรื่องระบบคอมพิวเตอร์และยุคสมัย...................................................................16 2. อุปสรรคในกำรทำโครงงำน..........................................................................................................16 บรรณำนุกรม ...................................................................................................................................17
  • 4.
    บทที่ 1 ความรู้เบื้องต้น ที่มาและความสาคัญ คอมพิวเตอร์"คือ อุปกรณ์ทางอิเล็กทรอนิกส์ (electronic device) ที่ มนุษย์ใช้เป็นเครื่องมือช่วยในการ จัดการกับข้อมูลที่อาจเป็นได้ ทั้งตัวเลข ตัวอักษร หรือสัญลักษณ์ที่ใช้แทนความหมายในสิ่งต่าง ๆ โดย คุณสมบัติที่สาคัญของคอมพิวเตอร์คือการที่สามารถกาหนดชุดคาสั่งล่วงหน้า หรือโปรแกรมได้ (programmable) นั่นคือคอมพิวเตอร์สามารถทางานได้หลากหลายรูปแบบ ขึ้นอยู่กับชุดคาสั่งที่เลือกมาใช้ งาน ทาให้สามารถนาคอมพิวเตอร์ไปประยุกต์ใช้งานได้อย่างกว้างขวาง เช่น ใช้ในการตรวจคลื่นความถี่ของ หัวใจ การฝาก - ถอนเงินในธนาคาร การตรวจสอบสภาพเครื่องยนต์ เป็นต้น ข้อดีของคอมพิวเตอร์ คือ เครื่องคอมพิวเตอร์สามารถทางานได้อย่างมีประสิทธิภาพ มีความถูกต้องและมีความรวดเร็วอย่างไรก็ดี ไม่ ว่าจะเป็นงานชนิดใดก็ตาม เครื่องคอมพิวเตอร์จะมีวงจรการทางานพื้นฐาน จุดประสงค์การเรียนรู้ 1. เพื่อการศึกษา เรื่อง อุปกรณ์คอมพิวเตอร์ (Hardware) 2. เพื่อใช้เป็นสื่อในการศึกษา ให้กับผู้ที่สนใจ เรื่อง อุปกรณ์คอมพิวเตอร์ (Hardware) 3.เพื่อศึกษายุคสมัยของ คอมพิวเตอร์ ในแต่ละยุค ขอบเขตการศึกษา 1. ขอบเขตด้านเนื้อหา เรื่อง อุปกรณ์คอมพิวเตอร์ (Hardware) ซึ่งประกอบด้วย อุปกรณ์นาเข้า หน่วย ประมวลผล หน่วยความจา หน่วยความจาสารอง และหน่วยแสดงผล ผลที่คาดว่าจะได้รับ 1. ได้เรียนรู้ยุคสมัยของคอมพิวเตอร์ 2. ได้นาเอาเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด 3. สามารถนาความรู้ที่ได้รับจากการศึกษาเรื่อง อุปกรณ์คอมพิวเตอร์( Hardware) ไปใช้ในการศึกษาได้ และชีวิตประจาวันได้
  • 5.
    2 บทที่ 2 เอกสารที่เกี่ยวข้อง การจัดทาโครงงานคอมพิวเตอร์เรื่อง ระบบคอมพิวเตอร์ นี้ผู้จัดทาได้ศึกษาเอกสารที่เกี่ยวข้อง ดังต่อไปนี้ 1. ความสาคัญของคอมพิวเตอร์ 2. ข้อมูลเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ 3. อุปกรณ์คอมพิวเตอร์ (Hardware) 1. ความสาคัญของคอมพิวเตอร์ ในยุคปัจจุบันจะเห็นได้ว่าคอมพิวเตอร์ได้เข้ามาเกี่ยวข้องกับ ชีวิตประจาวันของเราในหลายรูปแบบทั้ง ทางตรงและทางอ้อมเช่น ถ้าคุณกาลังดูทีวีอยู่หรือคุณกาลัง รอรับใบเสร็จจากห้างร้านขายของ คุณก็เข้าไป เกี่ยวข้องกับคอมพิวเตอร์โดยที่คุณไม่รู้ตัว ซึ่ง กิจกรรม ต่างๆนี้ต้องพึ่งพาคอมพิวเตอร์เข้ามาช่วยแทบทั้งสิ้น ปัจจุบันพัฒนาการด้านคอมพิวเตอร์ก้าวหน้า ไปอย่างรวดเร็วทาให้มีขนาดและราคาลดลง ในขณะที่ ประสิทธิภาพการทางานเพิ่มขึ้น ทาให้มี การนาคอมพิวเตอร์มาใช้ในงานต่างๆ อย่างกว้างขวาง หรือ แม้กระทั่งการนาคอมพิวเตอร์มาใช้ เพื่อการพักผ่อน เพื่อการบันเทิง เล่นเกม ดูหนัง ฟังเพลง ดังนั้นการศึกษา เกี่ยวกับเรื่องคอมพิวเตอร์จึงเป็นเรื่องจาเป็นอย่างยิ่งเพราะจะทาให้เรา สามารถที่จะคัดเลือกคอมพิวเตอร์ เพื่อ ประยุกต์ใช้กับงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ 2. ข้อมูลเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ 2.1 ความหมายของคอมพิวเตอร์ คาว่า COMPUTER ซึ่งหมายถึง การนับหรือการคานวณ แต่เครื่องคอมพิวเตอร์ที่ใช้เรียกกันนี้ หมายถึง ELECTRONICS COMPUTER เป็นเครื่องจักรทางอิเล็กทรอนิกส์ที่ถูกสร้างขึ้นมาใช้ สามารถทา การรับข้อมูลที่ป้ อนเข้าไปพร้อมด้วยคาสั่ง แล้วดาเนินการจัดทาผลลัพธ์ที่ต้องการออกมาในรูปแบบต่าง ๆ ด้วยความรวดเร็วและถูกต้อง ตามความหมายโดยทั่วไปแล้ว "คอมพิวเตอร์" คือ เครื่องจักรกลที่สามารถ ประมวลผลข้อมูลได้โดยอัตโนมัติ
  • 6.
    3 2.2 ประวัติความเป็นมาและพัฒนาการของคอมพิวเตอร์ คอมพิวเตอร์ที่เราใช้กันอยู่ทุกวันนี้เป็นผลมาจากการประดิษฐ์คิดค้นเครื่องมือ ในการคานวณซึ่งมี วิวัฒนาการนานมาแล้วเริ่มจากเครื่องมือในการคานวณเครื่องแรกคือ "ลูกคิด" (Abacus) ที่สร้างขึ้นใน ประเทศจีน เมื่อประมาณ 2,000-3,000 ปีมาแล้ว จนกระทั่งในปี พ.ศ. 2376 นักคณิตศาสตร์ชาวอังกฤษ ชื่อ ชาร์ล แบบเบจ (Charles Babbage) ได้ประดิษฐ์เครื่องวิเคราะห์ (Analytical Engine) สามารถคานวณค่าของ ตรีโกณมิติฟังก์ชั่นต่างๆ ทางคณิตศาสตร์ การทางาน ของเครื่องนี้แบ่งเป็น 3 ส่วน คือ ส่วนเก็บข้อมูล ส่วน คานวณ และส่วนควบคุม ใช้ระบบ พลังเครื่องยนต์ไอน้าหมุนฟันเฟือง มีข้อมูลอยู่ในบัตรเจาะรู คานวณได้ โดยอัตโนมัติ และเก็บข้อมูล ในหน่วยความจา ก่อนจะพิมพ์ออกมาทางกระดาษ หลักการของแบบเบจนี้เอง ที่ได้นามาพัฒนา สร้างเครื่องคอมพิ วเตอร์สมัยใหม่ เราจึงยกย่องให้แบบเบจเป็น บิดาแห่งเค รื่อง คอมพิวเตอร์ หลังจากนั้นเป็นต้นมา ได้มีผู้ประดิษฐ์เครื่องคอมพิวเตอร์ขึ้นมามากมายหลายขนาด ทาให้เป็น การ เริ่มยุคของคอมพิวเตอร์อย่างแท้จริง โดยสามารถจัดแบ่งคอมพิวเตอร์ออกได้เป็น 5 ยุคได้แก่ ยุคที่ 1 ยุคของหลอดสุญญากาศ ยุคที่ 2 ยุคของทรานซีสเตอร์ ยุคที่ 3 ยุคของวงจรไอซี (IC หรือ Integrated Circuits) ยุคที่ 4 ยุคของวิแอลเอสไอ ยุคที่ 5 ยุคเครือข่าย (ยุคปัจจุบัน)
  • 7.
    4 ยุคของคอมพิวเตอร์ ยุคของคอมพิวเตอร์ สามารถแบ่งได้เป็น 5ยุค ดังนี้ คือ คอมพิวเตอร์ยุคที่ 1 อยู่ระหว่างปี พ.ศ. 2488 ถึง พ.ศ. 2501 เป็นคอมพิวเตอร์ที่ใช้หลอดสุญญากาศซึ่งใช้กาลังไฟฟ้าสูง จึงมี ปัญหาเรื่องความร้อนและไส้หลอดขาดบ่อย ถึงแม้จะมีระบบระบายความร้อนที่ดีมาก การสั่งงานใช้ ภาษาเครื่องซึ่งเป็นรหัสตัวเลขที่ยุ่งยากซับซ้อน เครื่องคอมพิวเตอร์ของยุคนี้มีขนาดใหญ่โต เช่น มาร์ค วัน (MARK I), อีนิแอค (ENIAC), ยูนิแวค (UNIVAC) คอมพิวเตอร์ยุคที่ 2 คอมพิวเตอร์ยุคที่สอง อยู่ระหว่างปี พ.ศ. 2502 ถึง พ.ศ. 2506 เป็นคอมพิวเตอร์ที่ใช้ทรานซิสเตอร์ โดยมีแกนเฟอร์ไรท์เป็นหน่วยความจา มีอุปกรณ์เก็บข้อมูลสารองในรูปของสื่อบันทึกแม่เหล็ก เช่น จาน แม่เหล็ก ส่วนทางด้านซอฟต์แวร์ก็มีการพัฒนาดีขึ้น โดยสามารถเขียนโปรแกรมด้วยภาษาระดับสูงซึ่งเป็น ภาษาที่เขียนเป็นประโยคที่คนสามารถเข้าใจได้เช่น ภาษาฟอร์แทน ภาษาโคบอล เป็นต้น ภาษาระดับสูงนี้ ได้มีการพัฒนาและใช้งานมาจนถึงปัจจุบัน
  • 8.
    5 คอมพิวเตอร์ยุคที่ 3 คอมพิวเตอร์ยุคที่สาม อยู่ระหว่างปีพ.ศ. 2507 ถึง พ.ศ. 2512 เป็นคอมพิวเตอร์ที่ใช้วงจรรวม (Integrated Circuit : IC) โดยวงจรรวมแต่ละตัวจะมีทรานซิสเตอร์บรรจุอยู่ภายในมากมายทาให้เครื่องคอมพิวเตอร์จะ ออกแบบซับซ้อนมากขึ้น และสามารถสร้างเป็นโปรแกรมย่อย ๆ ในการกาหนดชุดคาสั่งต่าง ๆ ทางด้าน ซอฟต์แวร์ก็มีระบบควบคุมที่มีความสามารถสูงทั้งในรูประบบแบ่งเวลาการทางานให้กับงานหลาย ๆ อย่าง คอมพิวเตอร์ยุคที่ 4 คอมพิวเตอร์ยุคที่สี่ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2513 จนถึงปัจจุบัน เป็นยุคของคอมพิวเตอร์ที่ใช้วงจรรวมความจุสูง มาก(Very Large Scale Integration : VLSI) เช่น ไมโครโพรเซสเซอร์ที่บรรจุทรานซิสเตอร์นับหมื่นนับแสน ตัว ทาให้ขนาดเครื่องคอมพิวเตอร์มีขนาดเล็กลงสามารถตั้งบนโต๊ะในสานักงานหรือพกพาเหมือนกระเป๋ า หิ้วไปในที่ต่าง ๆ ได้ขณะเดียวกันระบบซอฟต์แวร์ก็ได้พัฒนาขีดความสามารถสูงขึ้นมาก มีโปรแกรมสาเร็จ ให้เลือกใช้กันมากทาให้เกิดความสะดวกในการใช้งานอย่างกว้างขวาง
  • 9.
    6 คอมพิวเตอร์ยุคที่ 5 คอมพิวเตอร์ยุคที่ห้า เป็นคอมพิวเตอร์ที่มนุษย์พยายามนามาเพื่อช่วยในการตัดสินใจและแก้ปัญหาให้ดี ยิ่งขึ้นโดยจะมีการเก็บความรอบรู้ต่าง ๆ เข้าไว้ในเครื่อง สามารถเรียกค้นและดึงความรู้ที่สะสมไว้มาใช้งาน ให้เป็นประโยชน์ คอมพิวเตอร์ยุคนี้เป็นผลจากวิชาการด้านปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence : AI) ประเทศต่างๆ ทั่วโลกไม่ว่าจะเป็นสหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น และประเทศในทวีปยุโรปกาลังสนใจค้นคว้าและ พัฒนาทางด้านนี้กันอย่างจริงจัง
  • 10.
    7 วิวัฒนาการของคอมพิวเตอร์ ต้นกาเนิดของคอมพิวเตอร์อาจกล่าวได้ว่ามาจากแนวความคิดของระบบตัวเลข ซึ่งได้พัฒนาเป็น วิธีการคานวณต่าง ๆรวมทั้งอุปกรณ์ที่ช่วยในการคานวณอย่างง่าย ๆ คือ" กระดานคานวณ" และ "ลูกคิด" ในศตวรรษที่ 17 เครื่องคาแบบใช้เฟื่องเครื่องแรกได้กาเนิดขึ้นจากนักคณิตศาสตร์ชาวฝรั่งเศษ คือ Blaise Pascal โดยเครื่องของเขาสามารถคานวณการบวกการลบได้อย่างเที่ยงตรง และในศตวรรษเดียวกันนัก คณิตศาสตร์ชาวเยอร์มันคือ Gottried Wilhelm von Leibniz ได้สร้างเครื่องคิดเลขเครื่องแรกที่สามารถคูณ และหารได้ด้วย เครื่อง Difference Engine ของ Charles Babbage ในต้นศตวรรษที่ 19 ชาวฝรั่งเศษชื่อ Joseph Marie Jacquard ได้พัฒนาเครื่องทอผ้าที่สามารถโปแกรมได้ โดยเครื่องทอผ้านี้ใช้บัตรขนาดใหญ่ ซึ่งได้เจาะรู้ไว้เพื่อควบคุมรูปแบบของลายที่จะปัก บัตรเจาะรู(punched card) ที่ Jacquard ใช้นี้ได้ถูกพัฒนาต่อๆมาโดยผู้อื่น เพื่อใช้เป็นอุปกรณ์ป้ อนข้อมูลและโปรแกรมเข้าเครื่อง คอมพิวเตอร์ในยุคแรกๆ
  • 11.
    8 เครื่องจัดเรียงบัตรเจาะรูของ Dr. HerHollerith การพัฒนาที่สาคัญกับ Mark I ได้เกิดขึ้นปี 1946 โดย Jonh Preper Eckert, Jr. และ Dr. Jonh W.Msuchly จาก University of Pennsylvnia ได้ออกแบบสร้างเครื่อง ENIAC ( Electronic Numeric Integator and Calcuator ) ซึ่งทางานได้เร็วอยู่ในหน่วยของหนึ่งส่วนล้านวินาที ในขณะที่ Mark I ทางานอยู่ในหน่วย ของหนึ่งส่วนพันล้านเท่า โดยหัวใจของความสาเร็จนี้อยู่ที่การใช้หลอดสูญญกาศมาแทนที่ relay นั่นเอง และถดจากนั้น Mauchly และ Eckert ก็ทาการสร้าง UNIVAC ซึ่งเป็นคอมพิวเตอร์อิเล็กทรอนิกส์เพื่อการค้า เครื่องแรกของโลก การพัฒนาที่สาคัญได้เกิดขึ้นมาอีก เมื่อ Jonh von Neumannได้เสนอแผนสาหรับคอมพิวเตอร์เครื่องแรก ที่จะทาการเก็บโปรแกรมไว้ในหน่วยโปรแกรมไว้ในหน่วยความจาที่เหมือนกับที่เก็บข้อมูล ซึ่งพัฒนาการนี้ ทาให้สามารถเปลี่ยนวงจรของคอมพิวเตอร์ได้โดยอัตโนมัติแทนที่จะต้องทาการเปลี่ยนสวิทชต์ด้วยมือ เหมือนช่วงก่อน นอกจากนี้ยังได้นาระบบเลขฐานสองมาใช้ในคอมพิวเตอร์ซึ่งหลักการต่างๆเหล่านี้ได้ทาให้ เครื่อง IAS ที่สร้างโดย Dr. von Neumann เป็นเครื่องคอมพิวเตอร์เอนกประสงค์เครื่องแรกของโลก เป็นการ เปิดศักราชของคอมพิวเตอร์อย่างแท้จริงและยังได้เป็นบิดาคอมพิวเตอร์คนที่ 2
  • 12.
    9 ประเภทของคอมพิวเตอร์ ประเภทของคอมพิวเตอร์แบ่งตามลักษณะของข้อมูล ได้3 ประเภทคือ 1. อนาลอกคอมพิวเตอร์ (Analog Computer) เป็นเครื่องคอมพิวเตอร์ที่สร้างขึ้นเป็นพิเศษ เพื่อใช้กับ งานเฉพาะด้าน มีการทางานโดยใช้หลักในการวัด มีลักษณะเป็นวงจรอิเล็กทรอนิกส์ที่แยกส่วนทาหน้าที่เป็น ตัวกระทาและฟังก์ชันทางคณิตศาสตร์ โดยใช้ค่าระดับแรงดันไฟฟ้าเป็นหลักในการคานวณ และการรับ ข้อมูลจะรับในลักษณะของปริมาณที่มีค่าต่อเนื่องไม่สามารถเก็บข้อมูลได้เป็นจานวนมากเหมือนกับดิจิทัล คอมพิวเตอร์ 2. ดิจิทัลคอมพิวเตอร์ (Digital Computer) เป็นเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ทางานโดยใช้หลักในการ คานวณแบบลูกคิด หรือหลักการนับ และทางานกับข้อมูลแบบไม่ต่อเนื่อง ลักษณะการคานวณจะแปลงเลข เลขฐานสิบก่อน แล้วจึงประมวลผลด้วยระบบเลขฐานสอง แล้วให้ผลลัพธ์ออกมาอยู่ในรูปของตัวเลข ซึ่ง คอมพิวเตอร์จะแปลงเป็นเลขฐานสิบเพื่อแสดงให้ผู้ใช้เข้าใจง่าย มีความสามารถในการคานวณและมีความ แม่นยามากกว่าอนาลอกคอมพิวเตอร์ สามารถเก็บข้อมูลได้เป็นจานวนมากจึงต้องใช้สื่อในการบันทึกข้อมูล 3. ไฮบริดคอมพิวเตอร์ (Hybrid Computer) เป็นเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ใช้กับงานเฉพาะด้าน มี ประสิทธิภาพสูงและสามารถทางานที่ซับซ้อนได้เนื่องจากการนาเทคนิคการทางานของอนาลอก คอมพิวเตอร์และดิจิทัลคอมพิวเตอร์มาใช้งานร่วมกัน เช่น การส่งยานอวกาศขององค์การนาซา จะใช้เทคนิค ของอนาลอกคอมพิวเตอร์ในการควบคุมการหมุนของตัวยานอวกาศ ซึ่งเกี่ยวข้องกับความกดดันอากาศ อุณหภูมิ ความเร็ว และใช้เทคนิคของดิจิทัลคอมพิวเตอร์ในการคานวณระยะทางจากพื้นผิวโลก เป็นต้น
  • 13.
    10 ขนาดของคอมพิวเตอร์ คอมพิวเตอร์แบ่งออกเป็น 4 ประเภทคือ 1. Microcomputer หรือ คอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ เป็นคอมพิวเตอร์ขนาดเล็กที่สุด ปัจจุบันเป็นที่นิยมใช้ กันมาก เนื่องจากขนาดเล็ก มีน้าหนักเบา ราคาไม่แพง สามารถเคลื่อนย้ายได้สะดวก ซึ่งทางานโดยระบบ ผู้ใช้คนเดียว ( Single-user System ) คอมพิวเตอร์ประเภทนี้แบ่งได้เป็น 2 ประเภท คือ 1. 1 Personal Computers (PCs) เป็นคอมพิวเตอร์ที่เคลื่อนย้ายได้สะดวก เหมาะกับงานประเภท Word Processing และ Spreadsheets 1.2 Workstations ( สถานีงาน ) เป็นคอมพิวเตอร์ที่มีประสิทธิภาพสูง ราคาแพง นิยมนาไปใช้ในงาน ทางด้านวิศวกรรมศาสตร์และวิทยาศาสตร์ 2. Minicomputer เป็นคอมพิวเตอร์ที่มีความเร็วในการประมวลผลและความจุต่ากว่าระบบเมนเฟรม มินิคอมพิวเตอร์จะทางานโดยใช้ระบบผู้ใช้หลายคน (Multi-user System) มักจะใช้กับงานที่มีข้อมูลไม่มาก 3. Mainframe Computer เป็นคอมพิวเตอร์ที่มีประสิทธิภาพต่ารองจากSupercomputer มีความเร็ว ในการประมวลผลสูง 4. Supercomputer เป็นคอมพิวเตอร์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดและสามารถประมวลผลได้เร็วที่สุด มีความ จุในการจัดเก็บข้อมูลสูง ส่วนมากจะผลิตขึ้นมาเพื่อใช้งานเฉพาะด้านเท่านั้นซึ่งเครื่องคอมชนิดนี้จึงมีราคา ค่อนข้าแพงมาก ดังนั้นจึงไม่นิยมใช้แพร่หลายนัก ถ้าแบ่งตามขนาดสามารถแบ่งแย่งตามขนาดของเครื่องได้ ดังนี้ คอมพิวเตอร์แบบตั้งโต๊ะ (Desktop Computer) เป็นไมโครคอมพิวเตอร์ที่มีขนาดเล็กถูกออกแบบมาให้ตั้งบน โต๊ะ มีการแยกชิ้นส่วนประกอบเป็น ซีพียู จอภาพ และแป้ นพิมพ์ปัจจุบันเป็นที่นิยมใช้ทั่วไป แล็บท็อปคอมพิวเตอร์ (Laptop Computer) เป็นไมโครคอมพิวเตอร์ขนาดเล็ก จอภาพใช้เป็นแบบแบนราบ ชนิดจอภาพผนึกเหลว (Liquid crystal Display : LCD) มีน้าหนักของเครื่อง เบาประมาณ 3-8 กก. โน๊ตบุ๊คคอมพิวเตอร์ (Notebook Computer) เป็นไมโครคอมพิวเตอร์ที่มีขาดใหญ่และมีความหนามากกว่า แล็ปท็อป น้าหนักประมาณ 1.5 –3 กิโลกรัม จอภาพแสดงผลเป็นแบบราบชนิดมีทั้งแบบแสดงผลสีเดียว และแบบหลายสี โน๊ตบุ๊คที่มีขายทั่วไปมีประสิทธิภาพและความสามารถเหมือนกับแล็ปท็อป ปาล์มท็อปคอมพิวเตอร์ (Palmtop Computer)
  • 14.
    11 ส่วนประกอบของคอมพิวเตอร์ โดยหลักการแล้ว ส่วนประกอบของคอมพิวเตอร์ ประกอบไปด้วยอุปกรณ์ที่ทางานตามหน้าที่4 ส่วน ด้วยกัน คือ 1.) ส่วนรับข้อมูล (Input Unit) 2.) ส่วนประมวลผลข้อมูล (Central Processing Unit) 3.) ส่วนแสดงผล (Output Unit) 4.) หน่วยความจา (Memory Unit) 1.) ส่วนรับข้อมูล (Input Unit) ส่วนรับข้อมูล (Input Unit) เป็น ส่วนประกอบของคอมพิวเตอร์ ที่ทาหน้าที่รับข้อมูลจากคน และส่ง ต่อข้อมูลไปยัง หน่วยประมวลผล(Process Unit)เพื่อทาการประมวลผลต่อไป รูปแบบการส่งข้อมูลจาก อุปกรณ์รับข้อมูลจะอยู่ในรูปของการส่งสัญญาณเป็นรหัสดิจิตอล (หรือเป็นเลข 0 กับ 1) นั่นเอง อุปกรณ์ ส่วนรับข้อมูล ได้แก่ - คีย์บอร์ด (keyboard) - เมาส์ (mouse) - สแกนเนอร์ (scanner) - อุปกรณ์สแกนลายนิ้วมือ (finger scan) - ไมโครโฟน (microphone) - กล้องเว็บแคม (webcam) 2.) หน่วยความจา (Memory Unit) หน่วยความจา (Memory Unit) อุปกรณ์เก็บสถานะข้อมูลและชุดคาสั่ง เพื่อการประมวลผลของ คอมพิวเตอร์ แบ่งได้เป็น 2 ประเภทใหญ่ ๆ คือ หน่วยความจาชั่วคราวและหน่วยความจาถาวร - หน่วยความจาชั่วคราว คือ แรม (RAM: Random Access Memory)เป็นหน่วยความจาที่ใช้ขณะ คอมพิวเตอร์ทางาน ข้อมูลและชุดคาสั่งจะหายไปทุกครั้งที่เราปิดเครื่อง - หน่วยความจาถาวรหรือ หน่วยความจาหลัก ได้แก่ ฮาร์ดดิสก์ Hard Disk ที่ใช้ในการเก็บข้อมูล และ รอม (ROM: Read Only Memory) ที่ใช้ในการเก็บค่าไบออส หน่วยความจาถาวรจะใช้ในการเก็บข้อมูลของเครื่องคอมพิวเตอร์และ จะไม่สูญหายเมื่อปิดเครื่อง
  • 15.
    12 คอมพิวเตอร์ซอฟแวร์ ความหมายของซอฟต์แวร์ ซอฟต์แวร์ (Software) หมายถึงส่วนที่ทาหน้าที่เป็นคาสั่งที่ใช้ควบคุมการทางานของเครื่อง คอมพิวเตอร์ หรืออาจเรียกว่า “ โปรแกรม ” ก็ได้ซึ่งหมายถึงคาสั่งหรือชุดคาสั่ง สามารถใช้เพื่อสั่งให้ คอมพิวเตอร์ทางาน เราต้องการให้เครื่องคอมพิวเตอร์ทาอะไรก็เขียนเป็นคาสั่งที่จะต้องสั่งเป็นขั้นตอน และ แต่ละขั้นตอนต้องทาอย่างละเอียดและครบถ้วนก็จะเรียกว่า นักเขียนโปรแกรม (Programmer) สาหรับการ เขียนโปรแกรมดังกล่าวใช้ภาษาที่ใช้ในการเขียนโปรแกรมโดยเฉพาะ หรือหมายถึง ภาษาที่เครื่อง คอมพิวเตอร์สามารถเข้าใจได้ ประเภทของซอฟต์แวร์ ซอฟต์แวร์จะแบ่งออกเป็นประเภทใหญ่ ๆ ได้ประเภท คือ ซอฟต์แวร์ระบบ (System Software) และซอฟต์แวร์ประยุกต์(Application Softwaer) ซึ่งมีรายละเอียด ดังนี้ 1. ซอฟต์แวร์ระบบ (System Software) หมายถึง โปรแรกมที่มีหน้าที่ควบคุมการทางานของฮาร์ดแวร์ทุก อย่างและอานวยความสะดวก ให้กับผู้ใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ แบ่งออกเป็นโปรแกรมตามหน้าที่การทางานดังนี้ 1.1 OS (Operating System) คือ โปรแกรมระบบที่ทาหน้าที่ควบคุมการใช้งานส่วนต่าง ๆ ของเครื่องคอมพิวเตอร์ เช่น ควบคุม หน่วยความจา ควบคุมหน่วยประมวลผล ควบคุมหน่วยรับและควบคุมหน่วยแสดงผล ตลอดจนแฟ้มข้อมูล ต่าง ๆ ให้มีประสิทธิภาพในการทางานสูงที่สุด และสามารถใช้อุปกรณ์ทุกสาวนของคอมพิวเตอร์และช่วย จัดการกระบวนการพื้นฐานที่สาคัญ ๆ ภายในเครื่องคอมพิวเตอร์ก่อนที่คอมพิวเตอร์แต่ละเครื่องจะสามารถ อ่านไฟล์ต่าง ๆ หรือสามารถใช้ซอฟต์แวร์ต่าง ๆ ได้จะต้องผ่านการดึงระบบปฏิบัติการออกมาฝังตัวอยู่ในห น่าวความจาก่อน 1.2 Translation Program คือโปรแกรมที่ทาหน้าที่ในการแปลโปรแกรมหรือชุดคาสั่งที่เขียนด้วยภาษาที่ไม่ใช่ภาษาเครื่อง หรือ ภาษาเครื่องที่ไม่เข้าใจให้เป็นภาษาที่เครื่องสามารถรู้เรื่องเข้าใจ และนาไปปฏิบัติได้
  • 16.
    13 1.3 Utility Program คือโปรแกรมระบบที่ทาหน้าที่ในการอานวยความสะดวกให้กับผู้ใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ ให้สามารถ ทางานได้สะดวก รวดเร็วและง่ายขึ้น 1.4 Diagnostic Program คือ โปรแกรมระบบที่ทาหน้าที่ตรวจสอบข้อผิดพลาดใน การทางานของอุปกรณ์ต่าง ๆ ของเครื่อง คอมพิวเตอร์และเมื่อพบข้อผิดพลาดก็จะแจ้งขึ้นบนจอภาพให้ทราบ 2. ซอฟต์แวร์ประยุกต์ (Application Software) หมายถึง โปรแกรมที่ผู้ใช้คอมพิวเตอร์เป็นผู้เขียนมาใช้งานเอง เพื่อสั่งให้คอมพิวเตอร์ทางานอย่างใด อย่างหนึ่งตามที่ต้องการ ซึ่งแบ่งได้ดังนี้ 2.1 User Program คือ โปรแกรมที่ผู้ใช้เขียนมาใช้เอง โดยใช้ภาษาระดับต่าง ๆ ทางคอมพิวเตอร์ซึ่งการที่จะเลือกใช้ ภาษาใดนั้นก็ขึ้นอยู่กับความเหมาะสมของงานเหล่านั้นด้วย 2.2 Package Program คือ โปรแกรมสาเร็จรูปซึ่งเป็นโปรแกรมที่ถูกสร้างหรือเขียนขึ้นมาโดยบริษัทต่าง ๆ เสร็จเรียบร้อย แล้วพร้อมที่จะนาไปใช้งานต่าง ๆ ได้ทันที ที่จริงแล้ว Package Program สามารถแบ่งออกได้เป็น 9 ประเภท ด้วยกัน สาหรับรายละเอียดของโปรแกรมแต่ละประเภทนั้น มีรายละเอียดดังนี้ 1. โปรแกรมทางด้าน Word Processor โปรแกรมทางด้าน Word Processor นั้น เป็นโปรแกรมที่ทางานเกี่ยวกับทางด้านการประมวลผลคา สามารถจัดทาเอกสาร รายงาน จดหมาย หนังสือต่าง ๆ ได้ ทาให้ได้งานที่มีประสิทธิภาพ สวยงาม เนื่องจาก สามารถจัดรูปแบบงานตามต้องการได้รวมทั้งยังแก้ไขงานที่ทาได้ด้วย อีกทั้งยังช่วยประหยัดเวลาในการ แก้ไขงาน และสามารถค้นหาข้อความต่าง ๆ ได้อย่างสะดวก
  • 17.
    14 2. โปรแกรมที่จัดอยู่ในกลุ่ม WordProcessor คือ WordStat, ราชวิถีเวิร์ด เวิร์ดจุฬา โปรแกรมเหล่านี้จะเป็นโปรแกรมที่ทางานบน Dos นอกจากนั้น ยังมีโปรแกรมที่ทางานบนวินโดวส์อีกด้วย คือ Word Perfect, Microsoft Word และ AmiPro โปรแกรม เหล่านี้จะใช้งานง่าย สะดวก สามารถจัดรูปแบบต่าง ๆ ได้ตามต้องการ รวมทั้งสามารถนาภาพมาประกอบ กับงานเอกสาร หรือนาเอกสารจากโปรแกรมอื่นมาจัดรูปแบบในโปรแกรมเหล่านี้ก็ได้ 3. โปรแกรมทางด้านการสร้างสถานการณ์จาลอง เป็นโปรแกรมที่ให้ผู้เล่นได้ทดลองสร้างสถานการณ์จาลองของงานที่อาจจะเกิดขึ้นได้หรืออาจจะ เรียกว่า เกมส์ทางธุรกิจ โดยให้ผู้เล่นได้รู้จักวางแผนในการทางาน คิดถึงผลกาไรขาดทุนที่อาจจะเกิดขึ้นได้ รู้จักจัดสรรงบประมาณที่มีอยู่ให้ได้ผลกาไรมากที่สุด 4. โปรแกรมทางด้านการติดต่อสื่อสาร เป็นโปรแกรมที่มักนิยมใช้ตามสานักงานต่างๆทั้งของรัฐและเอกชนในการนัดหมายประชุม การทา จดหมายเวียนไปตามฝ่ายต่างๆ โดยการเก็บข้อมูลไว้ในคอมพิวเตอร์แทนที่จะพิมพ์ออกมาทางกระดาษ เพื่อ แจ้งให้พนักงานทราบ ข้อดีของโปรแกรมชนิดนี้คือ ทาให้ประหยัดกระดาษลงไปได้มาก 5. โปรแกรมคอมพิวเตอร์ช่วยสอน โปรแกรมประเภทนี้เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า CAI (Computer Assisted Instruction) เป็นโปรแกรมที่ นามาสอนให้กับนักเรียนในวิชาต่าง ๆ โดยที่นักเรียนจะเรียนกับโปรแกรมบนคอมพิวเตอร์และครูเป็นผู้ชี แนะ ทดสอบ และวัดความเข้าใจ รวมทั้งสรุปเนื้อหาที่นักเรียนได้เรียนจากโปรแกรม CAI นี้ 6. โปรแกรมทางด้านการออกแบบโ ปรแกรมนี้ได้เข้ามาช่วยออกแบบงานต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นงานทางด้านวิศวกรรม สถาปัตยกรรม และงานออกแบบสินค้าต่างๆ ซึ่งสามารถสร้างได้ทั้งแบบที่เป็นภาพ 2 มิติ และภาพ 3 มิติ สาหรับโปรแกรม ทางด้านออกแบบที่นิยมใช้กันแพร่หลาย
  • 18.
    15 บทที่ 3 อุปกรณ์และวิธีการดาเนินการ การจัดทารายงานคอมพิวเตอร์ระบบคอมพิวเตอร์เพื่อการศึกษา เรื่อง ระบบคอมพิวเตอร์และยุคสมัยมี วิธีการดาเนินโครงงานตามขั้นตอนต่อไปนี้ 1. วัสดุอุปกรณ์ เครื่องมือ ที่ใช้ในการนาเสนอ โครงงาน 1.1 เครื่องคอมพิวเตอร์ พร้อมเชื่อมต่อระบบเครือข่ายอินเตอร์เน็ต 1.2 โปรแกรมที่ใช้ในการดาเนินงาน ได้แก่ - โปรแกรม Microsoft Word 2. ขั้นตอนการดาเนินงาน 2.1 คิดหัวข้อโครงงานเพื่อนาเสนอครูที่ปรึกษารายงาน 2.2 ศึกษาและค้นคว้าข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับเรื่องที่สนใจ คือเรื่องระบบคอมพิวเตอร์และยุคสมัย และ ศึกษาค้นคว้าเพิ่มเติม จากเว็บไซต์ต่าง ๆ และจัดเก็บข้อมูลเพื่อจัดทาเนื้อหาต่อไป 2.3 ศึกษาการสร้างเว็บไชต์โดยใช้โปรแกรม Microsoft Word จากเอกสาร และจากเว็บไซต์ต่างๆ ที่ เสนอเทคนิค วิธีการนาเสนอ 2.4 จัดทาโครงร่างโครงงานคอมพิวเตอร์เพื่อนาเสนอครูที่ปรึกษา 2.5 จัดทารายงานคอมพิวเตอร์ เรื่องระบบคอมพิวเตอร์และยุคสมัย โดยสร้าง บทเรียนที่สนใจตามแบบ เสนอโครงร่างที่เสนอ 2.6 นาเสนอรายงานความก้าวหน้าให้ครูที่ปรึกษารายงานได้ตรวจสอบ ซึ่งครูที่ปรึกษา จะให้ ข้อเสนอแนะต่าง ๆ เพื่อให้จัดทาเนื้อหาและการนาเสนอที่น่าสนใจ ทั้งนี้เมื่อได้รับคาแนะนา ก็จะนามา ปรับปรุงแก้ไขแก้ไขให้เป็นที่น่าสนใจยิ่งขึ้น 2.7 จัดทาเอกสารรายงานคอมพิวเตอร์ 2.8 ประเมินผลงานโดยให้ครูที่ปรึกษาประเมินผลงาน
  • 19.
    16 สรุปผลการดาเนินงาน และข้อเสนอแนะ การจัดทาโครงงานคอมพิวเตอร์ เพื่อการศึกษาเรื่อง ระบบคอมพิวเตอร์และยุคสมัย นี้สรุปผลการ ดาเนินงานโครงงานและข้อเสนอแนะ ได้ดังนี้ 1. สรุปผลการนาเสนอ เรื่องระบบคอมพิวเตอร์และยุคสมัย ผู้จัดทาได้นาเสนอ เพื่อการศึกษา เรื่อง ระบบคอมพิวเตอร์และยุคสมัย ซึ่งมี รายละเอียด ดังนี้ 1.1นาเสนอหน้าชั้นเรียน 1.2นาเสนอในเว็บไซต์ 2. อุปสรรคในการทาโครงงาน กานาเสนอเพื่อการศึกษา เรื่อง ระบบคอมพิวเตอร์และยุคสมัย ทาให้พบปัญหาต่าง ๆ ดังนี้ 1. รูปแบบการเว้นวรรคในตัวอักษรในโปรแกรม Microsoft Word 5. ข้อเสนอแนะและแนวทางในการพัฒนาต่อ 1. ควรมีการเพิ่มเนื้อหาที่มีความหลากหลายให้มากกว่านี้ 2.ควรมีการนาเสนอในรูปแบบ VDO
  • 20.