More Related Content Similar to Add m1-1-chapter1 Similar to Add m1-1-chapter1 (20) More from กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ โรงเรียนอุตรดิตถ์ More from กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ โรงเรียนอุตรดิตถ์ (20) Add m1-1-chapter11. บทที่ 1
การประยุกต 1 (16 ชั่วโมง)
1.1 รูปเรขาคณิต (3 ชั่วโมง)
1.2 จํานวนนับ (5 ชั่วโมง)
1.3 รอยละในชีวิตประจําวัน (4 ชั่วโมง)
1.4 ปญหาชวนคิด (4 ชั่วโมง)
ในบทเรียนนี้มุงเนนการจัดการเรียนการสอนใหสอดคลองตามมาตรฐานการเรียนรู สาระที่ 6
ทักษะ / กระบวนการทางคณิตศาสตรไดแก ความสามารถในการแกปญหา การใหเหตุผล การสื่อสาร
การสื่อความหมายทางคณิตศาสตรและการนําเสนอ การเชื่อมโยงความรูตางๆ ทางคณิตศาสตรและ
เชื่อมโยงคณิตศาสตรกับศาสตรอื่นๆ ตลอดจนความคิดริเริ่มสรางสรรค
เนื้อหาสาระที่นําเสนออยูในรูปของกิจกรรมและใชความรูพื้นฐานคณิตศาสตรเดิมในชั้น
ประถมศึกษา รูปแบบของกิจกรรมมีหลากหลาย ครูควรชี้ใหนักเรียนเห็นลําดับขั้นตอนของการเรียนรู
และสามารถนําไปประยุกตใชในชีวิตจนเกิดเปนกิจนิสัย
ในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน ครูควรใหนักเรียนไดลงมือปฏิบัติ มีการสนทนา อภิปราย
และนําเสนอผลงานหรือขอสรุป ขั้นสุดทาย ครูและนักเรียนจะตองชวยกันสรุปวา ในแตละกิจกรรม
นักเรียนไดเรียนรูสาระอะไรบาง ความคิดรวบยอดของเรื่องนั้นเปนอยางไรและสามารถนําความรูนั้น
ไปใชไดอยางไร
สําหรับการวัดผลและการประเมินผลของบทนี้ ใหครูเนนการวัดกระบวนการมากกวาคําตอบ
ครูควรวัดผลระหวางทํากิจกรรม และเมื่อจบบทเรียนนี้แลวควรมีการวัดผลโดยใชขอสอบแบบปลายเปด
ใหนักเรียนไดคิดอยางอิสระ เพื่อจะไดประเมินผลแนวคิดที่หลากหลายของนักเรียน
ผลการเรียนรูที่คาดหวังรายป
1. ใชความรูและทักษะกระบวนการทางคณิตศาสตรแกปญหาตาง ๆ ได
2. ตระหนักถึงความสมเหตุสมผลของคําตอบที่ได
2. 2
แนวทางในการจัดการเรียนรู
1.1 รูปเรขาคณิต (3 ชั่วโมง)
จุดประสงค นักเรียนสามารถ
1. บอกความสัมพันธระหวางผลบวกของความยาวของดานสองดานกับความยาวของดานที่สาม
ของรูปสามเหลี่ยมใดๆ ได
2. บอกไดวาจุดที่กําหนดใหในรูปเสนโคงปดเชิงเดียวเปนจุดขางในหรือจุดขางนอก
3. สรางแทนแกรมไดและบอกความสัมพันธของรูปเรขาคณิตตางๆ ของแทนแกรมได
4. ใชความรูและทักษะกระบวนการทางคณิตศาสตรแกปญหาตางๆ ได
ขอเสนอแนะในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน
ความยาวของดานของรูปสามเหลี่ยม
กิจกรรมนี้ตองการใหนักเรียนรูจักใชกระบวนการทางคณิตศาสตรคนหาสมบัติทางเรขาคณิต
เกี่ยวกับความยาวของดานของรูปสามเหลี่ยม
ขอเสนอแนะ
1. ครูอาจเริ่มกิจกรรมดวยการสนทนาและซักถามนักเรียนเกี่ยวกับรูปสามเหลี่ยมที่นักเรียนได
เรียนมาแลว เชน ใหบอกบทนิยาม บอกชนิดของรูปสามเหลี่ยม ยกตัวอยางสิ่งของเครื่องใชที่มี
สวนประกอบของรูปสามเหลี่ยมดานเทา รูปสามเหลี่ยมหนาจั่ว เปนตน
2. ครูอาจใหนักเรียนทํากิจกรรมเปนกลุมและดําเนินกิจกรรมตามลําดับขั้นตอนที่ระบุไวใน
หนังสือเรียนเพื่อใหนักเรียนไดใชกระบวนการดังแผนภูมิตอไปนี้
4. 4
จากรูป ∆ ABC จะเห็นวา AB และ BC เปนความยาวที่คงตัว
เนื่องจากที่รองผาสามารถปรับความยาวของดานที่แทนดวย AC ได
ดังนั้น ถาปรับเลื่อนให AC ยาวมากขึ้น ขาโตะที่รองรีดผาจะหางกันมากขึ้นดวยดังรูป
ถาปรับ AC = AB + BC ที่รองรีดผาจะพับแบนราบได
จุดขางในและจุดขางนอก
กิจกรรมนี้ตองการใหนักเรียนรูจักใชกระบวนการทางคณิตศาสตร
ขอเสนอแนะ
1. ครูอาจเริ่มกิจกรรมดวยการสนทนาเกี่ยวกับรูปปดที่นักเรียนรูจักมาแลว เชน รูปสามเหลี่ยม
รูปสี่เหลี่ยม ซึ่งมีเสนรอบรูปประกอบดวยสวนของเสนตรง จากนั้นใหครูใชเชือกแสดงรูปเสนโคงปด
เชิงเดียว
ครูอาจใหนักเรียน 2 – 3 คน ออกมาเขียนเสนโคงปดเชิงเดียวพรอมจุดบนกระดานดํา แลวให
ครูอธิบายความหมายของจุดขางนอกและจุดขางในโดยใชรูปที่นักเรียนเขียน
2. ครูควรศึกษากิจกรรมที่กําหนดไวในเรื่องนี้อยางละเอียดทุกขั้นตอน และควรจัดกิจกรรม
ตามลําดับขั้นตอนที่เสนอไวตามแนวทางของกิจกรรม “ สํารวจจุด” ดังนี้
A
B
C
A B C
A
A
C
C
6. 6
รูปของคําตอบแลวสรางขอความคาดการณได และใชขอความคาดการณที่สรางขึ้นตรวจสอบกับปญหา
ในลักษณะเดียวกันจนแนใจวา สามารถนําขอความคาดการณนั้นไปใชได
3. กิจกรรม “สํารวจจุด” ขอ 2 เปนคําถามที่ตองการใหนักเรียนฉุกคิดวา วิธีการหาคําตอบ
โดยลากเสนจากจุดที่กําหนดใหออกมาขางนอกรูปเพื่อหาวา จุดใดเปนจุดขางในและจุดใดเปนจุดขางนอก
ไมนาจะเปนวิธีที่ดี ควรมีวิธีที่สะดวกกวาและหาคําตอบไดเร็วกวา
กอนใหทําขอ 3 และขอ 4 ครูควรใหนักเรียนลองหาวิธีที่จะหาคําตอบดวยตัวเองกอน และ
ชี้ประเด็นใหเห็นวาขอ 3 และขอ 4 นี้เปนขั้นตอนที่สําคัญของการสรางองคความรูใหม
ในการทําขอ 4 นักเรียนควรสังเกตผลจากการทดลองโดยวิธีใหม และวิเคราะหแบบรูปของ
คําตอบเพื่อสรางขอความคาดการณ
ขอ 5 เปนคําถามที่ใหนักเรียนเห็นวา เมื่อสรางขอความคาดการณแลวตองนําขอความ
คาดการณนั้นไปตรวจสอบกับปญหาในลักษณะเดียวกัน เพื่อดูวาขอความนั้นใชไดหรือไม
ในทางคณิตศาสตรเมื่อตองการยืนยันวาขอความคาดการณที่สรางขึ้นเปนจริง จะตองพิสูจน
โดยการใหเหตุผลแบบนิรนัย แตในกิจกรรมนี้จะใชการตรวจสอบแทนการพิสูจน ครูควรบอกใหนักเรียน
ทราบวาขอความคาดการณที่นักเรียนสรางขึ้นเปนทฤษฎีบทของฌอรดองและใหนําทฤษฎีบทนี้ไปใชใน
การทํากิจกรรมตอนทายตอไป
กิจกรรม “ลองทําดู” เปนกิจกรรมที่ใชตรวจสอบความรูความเขาใจและพัฒนาความคิด
สรางสรรค
สําหรับกิจกรรม “พวกเดียวกันหรือไม” เปนกิจกรรมที่ใหเห็นการนําความรูไปใชแกปญหา
4. สําหรับปญหาชวนคิด เมื่อใชทฤษฎีบทของฌอรดองตรวจสอบ จะพบวา ถาลากสวนของ
เสนตรงจากจุด A ตัดเสนรอบรูปจะไดจํานวนจุดตัดเปนจํานวนคี่แสดงวา A เปนจุดขางใน เพื่อใหได
จํานวนจุดตัดเปนจํานวนคู ขุนแผนจะตองสะเดาะกลอนผานกําแพงออกมา 1 ชั้น ขุนแผนก็จะมาอยูใน
ตําแหนงของจุดขางนอกได
5. สําหรับกิจกรรม “เชื่อสายตาหรือไม” เสนอไวเพื่อใหนักเรียนตระหนักวา การหาคําตอบ
โดยใชสายตาเปนเครื่องวัดอาจจะเชื่อถือไมไดเสมอไป
แทนแกรม
กิจกรรมนี้ตองการใหนักเรียนเห็นความสัมพันธของรูปเรขาคณิตตาง ๆ ของแทนแกรม ใหเห็น
การเชื่อมโยงความรูระหวางรูปเรขาคณิตกับเศษสวน และใชเปนกิจกรรมที่ชวยพัฒนาความคิดสรางสรรค
และความรูสึกเชิงปริภูมิ
7. 7
ขอเสนอแนะ
1. ครูนําเขาสูกิจกรรมโดยสนทนาเกี่ยวกับเกมตอภาพตางๆ อาจใหนักเรียนยกตัวอยางเกมตอ
ภาพที่เคยเลนมาแลว
2. กอนใหนักเรียนสรางแทนแกรม ครูควรใหนักเรียนบอกความสัมพันธของรูปตางๆ ใน
แทนแกรมกอนแลวใหนักเรียนทุกคนสรางแทนแกรมตามขั้นตอนที่กําหนดให อาจใหแตละคนใช
กระดาษสีตางกัน เพื่อทํากิจกรรมขอ 5 ขางลางนี้
3. ครูใหนักเรียนตัดกระดาษตามรูปแทนแกรมทั้งเจ็ดชิ้น แลวพิจารณาวาแตละรูปเปนรูป
เรขาคณิตชนิดใดบางและมีความสัมพันธกันอยางไร เชน บางรูปเทากันทุกประการ (ทับกันสนิทพอดี)
บางรูปนํามาตอกันจะไดรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส
4. ในกิจกรรม “คิดเปนเศษสวนเทาไร” ครูอาจแบงนักเรียนออกเปนกลุมใหชวยกันหาคําตอบ
แลวนําเสนอวิธีการแกปญหาของแตละกลุม
5. สําหรับกิจกรรมตอภาพแทนแกรมใหนักเรียนแลกเปลี่ยนชิ้นสวนของแทนแกรมเพื่อให
แตละคนมีแทนแกรมที่หลากสีซึ่งจะไดภาพที่มีความสวยงามมากขึ้น เมื่อนักเรียนทําตามคําสั่งในกิจกรรม
แลว ควรนําผลงานของนักเรียนไปแสดงใหเพื่อนๆ เห็น
1.2 จํานวนนับ (5 ชั่วโมง)
จุดประสงค นักเรียนสามารถ
1. อธิบายแบบรูปและความสัมพันธของผลคูณในสูตรคูณแมตาง ๆ ได
2. ใชตะแกรงของเอราทอสเทนีสหาจํานวนเฉพาะได
3. ใชขั้นตอนวิธีแบบยุคลิดหา ห.ร.ม. ของจํานวนนับที่มีคามาก ๆ ได
4. ใชความรูและทักษะกระบวนการทางคณิตศาสตรแกปญหาตาง ๆ ได
ขอเสนอแนะในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน
สูตรคูณ
กิจกรรมนี้ตองการใหเห็นความสัมพันธระหวางการบวกและการคูณในสูตรคูณแมตางๆ และใช
ความสัมพันธนี้สรางขอความคาดการณเกี่ยวกับสูตรคูณแมอื่นๆ นอกเหนือจากที่เรียนมา ตลอดจน
สังเกตเห็นแบบรูปที่นาสนใจที่ไดจากสูตรคูณเหลานั้น
8. 8
ขอเสนอแนะ
1. ครูอาจเริ่มกิจกรรมใหนักเรียนทองสูตรคูณ สองแมหรือสามแมที่ครูกําหนด หลังจากนั้น
ครูใชคําถามใหนักเรียนบอกความสัมพันธระหวางการบวกซ้ําๆ ดวยจํานวนที่เปนแมสูตรคูณที่ครู
กําหนด แลวโยงไปสูรูปการคูณซึ่งทําใหเกิดสูตรคูณแมตางๆ ขึ้น
2. ใหนักเรียนทํากิจกรรม “สูตรคูณแสนสนุก” หลังจากนักเรียนตอบคําถามขอ 2 แลว
ครูควรตรวจสอบความรู ความเขาใจและการใหเหตุผลของนักเรียนวาถูกตองหรือไม
ในระหวางที่นักเรียนหาคําตอบขอ 3 ครูควรสังเกตวานักเรียนเห็นแบบรูปที่ปรากฏใน
สูตรคูณแม 4 และสูตรคูณแม 6 หรือไม นักเรียนควรสังเกตเห็นวาเลขโดดที่อยูในหลักหนวยของผล
คูณของสูตรคูณทั้งสองแมเปนเลขโดดชุดเดียวกัน แตเรียงสลับกันดังนี้
สูตรคูณแม 4 เลขโดดคือ 4 8 2 6 0
สูตรคูณแม 6 เลขโดดคือ 6 2 8 4 0
ครูอาจใหนักเรียนโยงสวนของเสนตรงในรูปวงกลมของสูตรคูณ พรอมแสดงทิศทางที่ได
เลขโดดในหลักหนวยของผลคูณเพื่อใหเห็นภาพที่มีความเกี่ยวของกัน
ในการทํากิจกรรมขอ 4 ครูอาจใชคําถามกระตุนใหนักเรียนสังเกตเห็นความเกี่ยวของกัน
ระหวางแมสูตรคูณซึ่งใหภาพเหมือนกัน และอาจแนะนําใหระบายสีหรือแตงรูปที่ไดใหเกิดความสวยงาม
ก็ได
สําหรับคําถามขอ 7 ตองการใหนักเรียนนําความรูขอ 6 มาอางอิงและใชการคาดการณ
หรือใหเหตุผลอื่นเพิ่มเติมโดยไมตองเขียนสูตรคูณเม 13 ถึงแม 24 จริง ๆ เชน สูตรคูณแม 13 มีภาพ
เหมือนกันและมีทิศทางการโยงจํานวนเหมือนกันกับสูตรคูณแม 3 เพราะวา 13 = 10 + 3 ดังนั้นเมื่อ
นํา 13 ไปคูณจํานวนนับใดๆ เลขโดดในหลักหนวยของผลคูณนั้นก็จะเหมือนกับเลขโดดในหลักหนวย
ของผลคูณของสูตรคูณแม 3 (ครูอาจแสดงการคูณใหเห็นไดโดยใชสมบัติการแจกแจง)
รอนหาจํานวนเฉพาะ
กิจกรรมนี้ตองการใหนักเรียนเห็นขั้นตอนการหาจํานวนเฉพาะ โดยใชตะแกรงของเอราทอสเทนีส
และรูจักวิธีการตรวจวาจํานวนนับใดเปนจํานวนเฉพาะ
ขอเสนอแนะ
1. ครูอาจนําเขาสูกิจกรรมโดยใชการถามตอบ ทบทวนความหมายของจํานวนเฉพาะภายใต
ขอบเขตของจํานวนนับ แลวจึงใหนักเรียนศึกษาวิธีการรอนหาจํานวนเฉพาะของเอราทอสเทนีส โดย
ใชแผนภูมิจํานวนนับ 1 ถึง 40 เพื่อสาธิตวิธีการตามลําดับขั้นตอนที่ปรากฏในหนังสือเรียน ครูอาจใช
ไมเคาะชี้ตัวเลขบนแผนภูมิใหเห็นการนับ ตามขั้นตอนขอ 2 หลังจากนั้นใหนักเรียนชวยกันทําตามใน
9. 9
ขั้นตอนขอ 3 - ขอ 5 ในการขีดฆาจํานวนทิ้งควรใชสีที่ตางกัน เพื่อใหนักเรียนสังเกตเห็นความสัมพันธ
ของจํานวนที่ถูกขีดฆาทิ้งมากกวาหนึ่งครั้งดวย
2. ครูอาจใหนักเรียนสังเกตวาจํานวนระหวาง 1 ถึง 102 ในหนังสือเรียนหนา 24 มีเจตนา
เขียนไวแถวละ 6 จํานวน เพื่อใหนักเรียนสังเกตเห็นวาจํานวนเฉพาะเกือบทุกจํานวนจะอยูในหลักที่
หนึ่งและหลักที่หา นักเรียนจะสามารถหาจํานวนเฉพาะไดงายขึ้น
1 2 3 4 5 6
7 8 9 10 11 12
13 14 15 16 17 18
19 20 21 22 23 24
25 26 27 28 29 30
31 32 33 34 35 36
37 38 39 40 41 42
43 44 45 46 47 48
49 50 51 52 53 54
55 56 57 58 59 60
61 62 63 64 65 66
67 68 69 70 71 72
73 74 75 76 77 78
79 80 81 82 83 84
85 86 87 88 89 90
91 92 93 94 95 96
97 98 99 100 101 102
จํานวนเฉพาะระหวาง 1 ถึง 102 ไดแก 2, 3, 5, 7, 11, 13, 17, 19, 23, 29, 31, 37,
41, 43, 47, 53, 59, 61, 67, 71, 73, 79, 83, 89, 97, 101
3. กอนใหตัวอยางการตรวจสอบวา 79 เปนจํานวนเฉพาะ ครูควรอธิบายสาระหนา 23 – 25
ในหนังสือเรียนใหนักเรียนเขาใจขั้นตอนวิธีการตรวจสอบวา จํานวนนับ n ที่กําหนดเปนจํานวนเฉพาะ
หรือไม โดยใหใชจํานวนเฉพาะ p ที่เมื่อคูณตัวเองแลวผลคูณนอยกวาหรือเทากับ n มาหาร n ถา p
ทุกตัวหาร n ไมลงตัวแลว n เปนจํานวนเฉพาะ
10. 10
สําหรับขอความ “แนวคิดทางคณิตศาสตร” ที่อางถึงในหนังสือเรียนหนา 25 นั้นมีความ
หมายดังนี้
สําหรับจํานวนเต็ม n ที่มากกวา 1 ถา n ไมเปนจํานวนเฉพาะ จะมีจํานวนเฉพาะ p ที่
นอยกวาหรือเทากับ n ซึ่งหาร n ลงตัว
หลังจากอธิบายตัวอยางตามที่กลาวไวในหนังสือเรียนแลว ครูควรใหนักเรียนชวยกันสรุป
หลักการตรวจสอบวาจํานวนนับใดเปนจํานวนเฉพาะหรือไม
4. สําหรับขอความสนทนาที่อยูในกอนเมฆเสนอไวเพื่อใหนักเรียนเห็นเปนตัวอยางวา
เมื่อเรียนรูเรื่องใดแลว นักเรียนควรไดฝกการนําไปใช ในที่นี้คือฝกสังเกตหาความสัมพันธและสราง
ขอความคาดการณในเรื่องที่ตอเนื่องกัน เชน ในบทเรียนกุงและกอยพบจํานวนเฉพาะ 13 และ 31 ที่มี
เลขโดดชุดเดียวกันแตสลับหลักกันและจากการสืบเสาะของกุงและกอย ทั้งสองควรจะพบวาจํานวนนับ
ตั้งแต 1 ถึง 102 ในตารางจะมีจํานวนเฉพาะที่มีลักษณะพิเศษนี้อีก ไดแก 17 กับ 71 37 กับ 73
และ 79 กับ 97
นอกจากนี้ กุงและกอยยังพบจํานวนเฉพาะแฝดเพิ่มเติมอีก ไดแก 5 กับ 7 11 กับ 13
17 กับ 19 29 กับ 31 41 กับ 43 59 กับ 61 71 กับ 73 และ 87 กับ 89 ซึ่งเสนอไว ใน
กอนเมฆทายตารางหนา 24
ปญหาชวนคิดที่นําเสนอไวหนา 26 ตองการใหนักเรียนเห็นตัวอยางขอความคาดการณที่
ไดจากการพยายามพิจารณาหาแบบรูปของความสัมพันธวา ในบางครั้งขอความคาดการณที่สรางขึ้นอาจ
ไมเปนจริงสําหรับกรณีทั่วๆ ไป ซึ่งนักเรียนสามารถหาตัวอยางมาคานได เชน (2 × 7) + 1 = 15 และ
15 ไมใชจํานวนเฉพาะ ดังนั้นขอความคาดการณของกวีจึงไมเปนจริง
ขั้นตอนวิธีแบบยุคลิด
กิจกรรมนี้ตองการใหความรูเกี่ยวกับวิธีหา ห.ร.ม. และ ค.ร.น. ของจํานวนนับสองจํานวนที่มีคา
มากๆโดยใชขั้นตอนวิธีแบบยุคลิดและใหเห็นความสัมพันธของห.ร.ม. ค.ร.น. กับจํานวนนับที่กําหนดให
ขอเสนอแนะ
1. ครูนําเขาสูบทเรียนดวยการทบทวนวิธีหา ห.ร.ม. และ ค.ร.น. ของจํานวนนับสองจํานวน
ตามที่นักเรียนไดเรียนมาแลว เชน พิจารณาตัวประกอบ การตั้งหาร หรือการแยกตัวประกอบ จากนั้น
ครูกําหนดจํานวนนับที่มีสามหลักสองจํานวนและมี ห.ร.ม. เปนจํานวนนับที่มีสองหลัก ใหนักเรียนชวย
กันหา ห.ร.ม. ตามวิธีที่เคยรูมาแลว ตอจากนั้นครูจึงเสนอวิธี หา ห.ร.ม. ตามขั้นตอนวิธีแบบยุคลิดซึ่ง
สามารถหา ห.ร.ม. ไดเร็วกวา ครูไมจําเปนตองอธิบายถึงหลักการและเหตุผลของวิธีการดังกลาว ใน
ชั้นนี้ตองการใหนักเรียนจําวิธีการและนําไปใชได
11. 11
2. สําหรับการหา ห.ร.ม. ของจํานวนนับสามจํานวนที่มีคามาก ๆ นักเรียนจะเลือกหา ห.ร.ม.
สองจํานวนใดกอนก็ไดและใชวิธีหา ห.ร.ม. วิธีใดก็ได แตครูควรถามถึงเหตุผลในการเลือก
3. กอนใหนักเรียนหา ค.ร.น. ของจํานวนนับสามจํานวนที่มีคามากๆ ครูควรใหนักเรียนสํารวจดูวา
ถามีจํานวนนับสามจํานวนที่ตองการใหหา ค.ร.น. จะสามารถประยุกตสูตรในทํานองเดียวกันกับสูตร ค.ร.น.
ของ a และ b = bและaของห.ร.ม.
ba × มาใชกับจํานวนนับสามจํานวนไดหรือไม
4. สําหรับโจทยประยุกตในแบบฝกหัดขอ3 ขอ 4 และขอ 5กอนใหนักเรียนทํา ครูควรทบทวน
โดยใชการถามตอบเพื่อตรวจสอบความรูและความเขาใจในพื้นฐานความรูที่เรียนมาแลวจาก รายวิชา
คณิตศาสตรพื้นฐานเรื่องสมบัติของจํานวนนับ
1.3 รอยละในชีวิตประจําวัน (4 ชั่วโมง)
จุดประสงค นักเรียนสามารถ
1. ใชความรูสึกเชิงจํานวนเกี่ยวกับรอยละ บอกคําตอบและเหตุผลได
2. ใชรอยละแกปญหาในสถานการณตาง ๆ ได
3. ใชความรูและทักษะกระบวนการทางคณิตศาสตรแกปญหาตาง ๆ ได
ขอเสนอแนะในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน
รอยละของจํานวนใด
กิจกรรมนี้ตองการใหนักเรียนมีความรู ความเขาใจและมีความรูสึกเชิงจํานวนเกี่ยวกับรอยละ
และนําไปใชอยางถูกตองในสถานการณจริง
ขอเสนอแนะ
1. ครูนําเขาสูกิจกรรมดวยการสนทนาซักถามเรื่องรอยละที่เกี่ยวของกับชีวิตประจําวัน เชน
การลดราคาสินคา ดอกเบี้ยเงินฝากของธนาคาร ฯลฯ โดยเนนวารอยละที่กําหนดใหเปนรอยละของ
จํานวนใดจํานวนหนึ่ง ครูอาจใหนักเรียนยกตัวอยางจํานวนที่แสดงวา รอยละเดียวกันของจํานวนที่ตาง
กันจะไมเทากัน หลายๆ ตัวอยาง
12. 12
สาระสําคัญของกิจกรรมนี้ มุงเนนการเรียนรูที่ทําใหเกิดความคิดรวบยอดเกี่ยวกับรอยละ
เชน เมื่อพูดถึง 12% นักเรียนจะตองรูทันทีวาจํานวนนี้เปน 12% หรือ 100
12 หรือ 0.12 เทาของ
จํานวนใดจํานวนหนึ่ง
เพื่อใหนักเรียนเขาใจเกี่ยวกับรอยละยิ่งขึ้น ครูอาจใหโจทยเพิ่มเติมในทํานองเดียวกันกับ
คําถามตอไปนี้
1) มะลิขายสมไดกําไร 20% ขายมะมวงไดกําไร 25% จะสรุปวามะลิขายสมและมะมวง
รวมกันไดกําไร 45% ไดหรือไม เพราะเหตุใด (สรุปไมไดเพราะวา ราคาทุนของสมและมะมวงอาจไม
ใชจํานวนเดียวกัน)
2) รุงฟาขายนาฬิกาปลุกรุนเกาขาดทุน 15% แตขายเครื่องคิดเลขไดกําไร 20% จะสรุปวา
รุงฟาขายของสองอยางนี้ไดกําไร 5% ไดหรือไม เพราะเหตุใด (สรุปไมไดเพราะวาราคาทุนของนาฬิกา
และเครื่องคิดเลขอาจไมใชจํานวนเดียวกัน)
ครูอาจใหนักเรียนตรวจสอบโดยกําหนดตัวอยางราคาทุนของสมเปน 400 บาท และราคา
ทุนของมะมวงเปน 500 บาท รวมเปนทุน 900 บาท และ ( ) ( ) ( )900100
45500100
25400100
20 ××× ≠+
2. สําหรับการจัดกิจกรรมในตัวอยางที่ 1 ครูอาจถามนักเรียนวา ทําไมจึงนํารอยละที่เพิ่มขึ้น
ของดานยาวบวกกับรอยละที่เพิ่มของดานกวางไมได และอาจเขียนภาพประกอบเพื่อสื่อความหมาย
ทําความเขาใจและชี้ประเด็นใหนักเรียนเกิดความคิดรวบยอดเกี่ยวกับ รอยละของความยาวของแตละ
ดานที่เพิ่มขึ้นกับรอยละของพื้นที่ที่เพิ่มขึ้น ดังนี้
พื้นที่ของรูปเดิมหรือรูป A เทากับ 20 × 20 = 400 ตารางเซนติเมตร
พื้นที่ของรูป B ซึ่งเปนสวนที่เพิ่มขึ้นเทากับ 2 × 20 = 40 ตารางเซนติเมตร
ดังนั้น พื้นที่ของรูป B คิดเปน 100
10
400
40 == 10% ของพื้นที่ของรูปเดิม
ในทํานองเดียวกันพื้นที่ของรูป C คิดเปน 10% ของพื้นที่ของรูปเดิมดวย
พื้นที่ของรูป D ซึ่งเปนสวนที่เพิ่มขึ้นเทากับ 2 × 2 = 4 ตารางเซนติเมตร
ดังนั้นพื้นที่ของรูป D คิดเปน 400
4 = 100
1 = 1% ของพื้นที่ของรูปเดิม
20
20A A
2
2DC
B
20
20
13. 13
ครูควรชี้แนะใหนักเรียนสังเกตเห็นวาการเพิ่มขึ้นของพื้นที่ของรูปเรขาคณิตสองมิติ พื้นที่
ของสวนที่เพิ่มขึ้นนั้นขึ้นอยูกับการเพิ่มขึ้นของทั้งดานยาวและดานกวางของรูปเรขาคณิตสองมิตินั้น
ดังนั้นเมื่อเพิ่มความยาวของดานกวาง 10% ก็มิไดหมายความวาพื้นที่จะเพิ่มขึ้น 10% หรือเมื่อเพิ่มความ
ยาวของดานกวาง 10% และดานยาว 10% ก็มิไดหมายความวาพื้นที่จะเพิ่มขึ้น 20% ดวย
ครูอาจนําเสนอโดยใชรูปดังนี้
จากรูปขางตนจะไดพื้นที่ของรูป B เปน 10% ของพื้นที่ของรูปเดิมและไดพื้นที่ของรูป C
เปน 11% ของพื้นที่ของรูปเดิม ครูถามนักเรียนวาสามารถนํา 10% และ 11% ที่ไดมาบวกกันไดหรือ
ไม เพราะเหตุใด (บวกกันได เพราะวา เปนรอยละของจํานวนเดียวกัน คือพื้นที่ของรูปเดิม)
ครูอาจอธิบายเพิ่มเติม ดังนี้
( ) ( )400100
11400100
10 ×× + = ( ) 400100
11
100
10 ×+
= 400100
21 ×
ดังนั้นพื้นที่ของสวนที่เพิ่มขึ้นทั้งหมดจึงคิดเปน 21% ของพื้นที่ของรูปเดิม
สําหรับวิธีทําของตัวอยางทั้งสามนี้ ครูไมควรตองเสียเวลาเขียนและอธิบายบนกระดาน
แตควรใหนักเรียนกลับไปศึกษาดวยตัวเองอีกครั้งหนึ่ง
3. กิจกรรม “ความคิดเห็นของฉัน” เปนกิจกรรมที่ตองการใหเห็นการนําความรูไปใชใน
ชีวิตจริง ฝกใหนักเรียนมีความรูสึกเชิงจํานวนเกี่ยวกับรอยละ ไมไดมุงใหนักเรียนตองคิดคํานวณจริงๆ
แตใหใชความรูสึกเชิงจํานวนประกอบเหตุผลที่สมเหตุสมผล ตัดสินใจและใหคําตอบ
การใหเหตุผลประกอบคําตอบเปนสิ่งสําคัญที่จะทราบวานักเรียนมีความรูความเขาใจและมี
ความรูสึกเชิงจํานวนเพียงใด การใหเหตุผลของนักเรียนอาจแตกตางกัน ครูควรพิจารณาเหตุผลและ
ยืดหยุนคําตอบตามความเหมาะสม
4. สําหรับเรื่อง “ผูซื้อ ผูขาย” ครูควรเนนใหนักเรียนทําความเขาใจเกี่ยวกับตนทุนหรือราคาทุน
กําไรหรือขาดทุนที่คิดเปนรอยละ แลวใหนักเรียนพิจารณาตัวอยาง สําหรับกิจกรรมที่ใหนักเรียนสมมติ
ตัวเองเปนเจาของกิจการมีเจตนาใหนักเรียนไดเห็นการนําความรูไปใชในชีวิตจริง ถามีเวลาครูอาจให
20
20A A 22
22
C
B
15. 15
3. หลังจากนักเรียนทํากิจกรรม “ดอกเบี้ยเงินฝาก” แลว ครูอาจใหนักเรียนแสดงความคิดเห็น
วา ถานักเรียนจะฝากเงินควรเลือกฝากประเภทใดและมีเหตุผลอยางไร
4. หลังจากนักเรียนทํากิจกรรม “ดอกเบี้ยเงินกู” แลวครูควรใหนักเรียนรวมกันแสดงความคิด
เห็นวา อัตราดอกเบี้ยเงินกูกับอัตราดอกเบี้ยเงินฝากตางกันอยางไร อาจใหนักเรียนทราบวาสวนตาง
ของอัตราดอกเบี้ยนี้เปนสวนหนึ่งของรายไดของธนาคาร และอาจใหขอคิดกับนักเรียนเกี่ยวกับการกูเงิน
นอกระบบซึ่งตองจายดอกเบี้ยในอัตราที่สูงกวาและอาจตองจายดอกเบี้ยเปนรายเดือนดวย ถาไมจําเปน
จริง ๆ ไมควรกูเงินนอกระบบ
เงินโบนัส
กิจกรรมนี้ตองการใหนักเรียนเห็นการใชรอยละในชีวิตจริง และไดฝกทักษะการคิดคํานวณจาก
สถานการณปญหา
ขอเสนอแนะ
1. ครูนําสนทนาเกี่ยวกับคําวา “โบนัส” ที่ใชกันในหลายสถานการณ เชน คะแนนโบนัส
แตมโบนัส รางวัลโบนัส และเงินโบนัส อาจใหนักเรียนเลาวาในสถานการณจริงๆ ของนักเรียนเคยได
โบนัสในเรื่องใดบาง
2. ครูใหความรูเกี่ยวกับเงินโบนัส และอาจยกตัวอยางการจายเงินโบนัสขององคกร บริษัท
หรือหางรานตางๆ มาเลาใหนักเรียนฟงวาแตละหนวยงานมีหลักเกณฑการจายเงินโบนัสอยางไรบาง
3. กิจกรรม “เงินโบนัสของปติ” และ “ใชเงินโบนัสอยางไรดี” เปนกิจกรรมที่นอกจาก
ตองการใหนักเรียนเห็นการนําความรูเรื่องรอยละไปใชในชีวิตจริงแลว ยังเปนการฝกทักษะการคํานวณ
โดยใชรอยละดวย
กอนใหนักเรียนทํากิจกรรม “เงินโบนัสของปติ” ครูควรกลาวถึงเงินกองทุนสํารองเลี้ยง
ชีพซึ่งเกี่ยวของกับเงินเดือนและเงินโบนัส อาจใหความรูเพิ่มเติมเกี่ยวกับประโยชนที่จะไดรับจากเงิน
กองทุนสํารองเลี้ยงชีพ แตไมจําเปนตองใหรายละเอียดเกี่ยวกับการสะสมเงินกองทุนสํารองเลี้ยงชีพ
เพราะเรื่องนี้มีรายละเอียดมาก
4. ในการดําเนินกิจกรรม “ใชเงินโบนัสอยางไรดี” ครูอาจตั้งประเด็นใหนักเรียนรวมกัน
อภิปรายเกี่ยวกับการใชเงินโบนัสของปติ เชน ชี้ใหเห็นวาปติเปนผูชายที่รักครอบครัวไดเงินโบนัสมาก็
อยากจะแบงปนใหภรรยาและลูกๆ ดวย
16. 16
ครูอาจใชคําถามที่เสริมสรางลักษณะนิสัย ใหนักเรียนรูจักวางแผนการใชเงินอยางมีคุณคา
เชน ถานักเรียนไดรับเงินโบนัส
1) นักเรียนจะวางแผนการใชเงินโบนัสอยางไรบางและ มีเหตุผลอยางไรในการใชเงิน
จํานวนนั้น
2) นักเรียนคิดวาจะออมเงินสวนหนึ่งของเงินโบนัสโดยฝากไวกับธนาคารบางหรือไม
เพราะเหตุใด
5. ปญหา “คิด” เปนตัวอยางโจทยที่เชื่อมโยงสาระทางคณิตศาสตรระหวางจํานวนกับ
เรขาคณิต ในเรื่องรอยละกับพื้นที่ของวงกลม ไดฝกทักษะเกี่ยวกับใชสมบัติของการเทากัน (การแทนคา)
พัฒนาความรูสึกเชิงจํานวนและความรูสึกเชิงปริภูมิ
1.4 ปญหาชวนคิด (4 ชั่วโมง)
จุดประสงค นักเรียนสามารถแกปญหาโดยใชยุทธวิธีตางๆ เชน สรางแบบจําลองสถานการณ
คนหาแบบรูป หาคําตอบโดยใชวิธีการแจกแจงกรณีหรือคิดยอนกลับ
ขอเสนอแนะในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน
ผลบวกของจํานวนคี่
กิจกรรมนี้ตองการใหนักเรียนรูวิธีหาคําตอบโดยการสํารวจ สังเกต วิเคราะหแบบรูปการเพิ่ม
จํานวนรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสและนําผลสรุปที่ไดไปใชในการหาคําตอบ
ขอเสนอแนะ
1. ใหนักเรียนศึกษาและทํากิจกรรม “ผลบวกของจํานวนคี่” ถาครูเห็นวานักเรียนมีปญหาใน
การหาคําตอบ ครูควรใชคําถามดังตอไปนี้ชี้นําใหนักเรียนสังเกตแบบรูปจนไดขอสรุป
1) จํานวนรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสที่แรเงาและไมแรเงามีความเกี่ยวของกันอยางไร
นักเรียนควรอธิบายและบอกความสัมพันธของแบบรูปไดดังนี้
รูปที่ 1 2 3 4 ---
จํานวนรูปที่แรเงา 0 1 1 + 3 1 + 3 + 5 ---
จํานวนรูปที่ไมแรเงา 1 3 5 7 ---
17. 17
2) ลําดับที่ของรูปเกี่ยวของกับจํานวนรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสทั้งหมดอยางไร
นักเรียนควรอธิบายและบอกความสัมพันธของแบบรูปที่ไดดังนี้
รูปที่ 1 2 3 4 ---
จํานวนรูปสี่เหลี่ยม
ทั้งหมด
1
(1)
22
(1 + 3)
32
(1 + 3 + 5)
42
(1 + 3 + 5 + 7)
---
3) ลําดับที่ของรูปสัมพันธกับจํานวนของจํานวนคี่ที่นํามาบวกกันอยางไร
นักเรียนควรอธิบายและบอกความสัมพันธของแบบรูปที่ไดดังนี้
รูปที่ 1 2 3 4 ---
จํานวนของจํานวนคี่
ที่นํามาบวกกัน
1
(1)
2
(1 + 3)
3
(1 + 3 + 5)
4
(1 + 3 + 5 + 7)
---
2. กิจกรรมนี้ตองการใหนักเรียนหาคําตอบโดยการสังเกตแบบรูป ยังไมตองการใหหาผลบวก
ของจํานวนนับโดยใชสูตร ( )la2
n + เมื่อ a แทนจํานวนแรก l แทนจํานวนสุดทายและ n แทน
จํานวนทั้งหมดที่นํามาบวกกัน
มีอะไรอยูเทาไร
กิจกรรมนี้ตองการใหนักเรียนรูจักแกปญหาโดยสังเกตแบบรูป วิเคราะหความสัมพันธ และใช
แบบรูปในการหาคําตอบ
ขอเสนอแนะ
1. ในการทํากิจกรรมเรื่องนี้ครูควรใหนักเรียนทํางานเปนกลุมเพื่อชวยกันสรางแบบรูป
นักเรียนควรหาคําตอบโดยการลองแทนคาจํานวนในตารางตอไปเรื่อยๆ กอน
2. การหาคําตอบของขอ 2 ที่อยูในสวนเฉลยคําตอบทายบทนี้ เปนคําตอบที่นักเรียนอาจได
จากการสืบเสาะหาคําตอบตอกันไปเรื่อยตามแบบรูปที่พบ ซึ่งอาจไมเห็นความสัมพันธที่จะชวยใหได
18. 18
คําตอบอยางรวดเร็ว ถาครูเห็นวานักเรียนมีความพรอมพอที่จะใหสังเกตพบความสัมพันธได ครูอาจใช
คําถามกระตุนใหนักเรียนคิดและสามารถเห็นความสัมพันธของลําดับของรูปกับจํานวนรูปสามเหลี่ยม
ลําดับของรูปกับจํานวนจุดยอด และลําดับของรูปกับจํานวนดานของรูปสามเหลี่ยม ดังในวงเล็บที่อยูใน
ตารางขางลางนี้
รูปที่ 1 2 3 4 5 ---
จํานวน
รูปสามเหลี่ยม
1
[(2 × 1) – 1]
3
[(2 × 2) – 1]
5
[(2 × 3) – 1]
7
[(2 × 4) – 1]
9
[(2 × 5) – 1]
---
จํานวนจุดยอด
3
[(4 × 1) – 1]
7
[(4 × 2) – 1]
11
[(4 × 3) – 1]
15
[(4 × 4) – 1]
19
[(4 × 5) – 1]
---
จํานวนดานของ
รูปสามเหลี่ยม
3
[(6 × 1) – 3]
9
[(6 × 2) – 3]
15
[(6 × 3) – 3]
21
[(6 × 4) – 3]
27
[(6 × 5) – 3]
---
3. สําหรับการหาคําตอบขออื่น ๆ นักเรียนควรใชแบบรูปที่ไดเสนอไวในตารางในขอ 2 เปน
แนวคิดหาคําตอบ ในกิจกรรมนี้ยังไมไดมุงใหนักเรียนเขียนแบบรูปแสดงความสัมพันธเปนกรณีทั่วไป
แตครูอาจใหนักเรียนบางคนที่มีความสนใจเปนพิเศษคนหาความสัมพันธจากแบบรูป ซึ่งจะไดรูปทั่วไป
เปนดังนี้
ให n แทนลําดับที่ของรูป
หาจํานวนรูปสามเหลี่ยมไดจาก 2n – 1
หาจํานวนจุดยอดไดจาก 4n – 1
หาจํานวนดานของรูปสามเหลี่ยมไดจาก 6n – 3
เงิน – เงิน – เงิน
กิจกรรมนี้ตองการใหนักเรียนเห็นการใชคณิตศาสตรในชีวิตประจําวันและรูจักนํายุทธวิธีบาง
ประการมาชวยในการแกปญหา เชน การแจกแจงกรณี
ขอเสนอแนะ
1. ครูนําเขาสูกิจกรรมดวยการสนทนาเกี่ยวกับความเปนมาของธนบัตรไทยอยางคราวๆ
2. กิจกรรม “แลกเงิน” เปนกิจกรรมที่มีสถานการณใกลตัวนักเรียนมาก แตนักเรียนอาจไม
19. 19
สนใจและไมเกิดความรูสึกวามีปญหา ถากําหนดเงื่อนไขในการแลกเงินให กิจกรรมนี้จะเปนปญหาที่
ตองคิดและตองใชความรอบคอบในการหาคําตอบ ครูอาจใหนักเรียนทําเปนกลุมยอย ๆ ใหชวยกัน
วิเคราะหและหาคําตอบทั้งควรใหนําเสนอหนาชั้นเรียน ครูควรชี้ใหเห็นความสําคัญของการเขียนคําตอบ
ใหเปนระบบ ซึ่งจะชวยใหนักเรียนหาคําตอบไดครบทุกกรณีงายขึ้น
กอนใหนักเรียนทํากิจกรรม ครูอาจยกตัวอยางปญหาการแลกธนบัตร 50 บาท เปนเหรียญ
หาบาทหรือเหรียญสิบบาท จะเปนชนิดเดียวกันหรือตางชนิดกันก็ไดใหครบทุกกรณี
3. กิจกรรม “แลกเงินตรา” เปนกิจกรรมที่มีสถานการณใกลตัวนักเรียนเชนกัน นักเรียนควรรู
ไวเพราะเชื่อมโยงกับธุรกิจและเศรษฐกิจของประเทศ มีขาวสารเกี่ยวกับอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราที่เปลี่ยน
แปลงเกือบทุกวัน ครูอาจหาอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราจากหนังสือพิมพรายวันหลาย ๆ วันมาแทนขอมูลใน
หนังสือเรียนก็ได
ในการดําเนินกิจกรรมนี้ครูอาจใชการสนทนาสอดแทรกใหนักเรียนเห็นความมีน้ําใจของยุวดี
ที่ดูแลและชวยเหลือเพื่อนตางชาติ ซึ่งนักเรียนควรถือเปนตัวอยาง
4. สําหรับกิจกรรม “ซื้อสินคา” เปนกิจกรรมที่ตองการฝกใหนักเรียนใชวิธีแจกแจงกรณี
ชวยในการหาคําตอบ สิ่งสําคัญในกิจกรรมนี้คือการหาคําตอบอยางเปนระบบ ซึ่งครูควรใหนักเรียนมานํา
เสนอบนกระดานดําบาง เพื่อใหนักเรียนในชั้นไดเห็นขอดีและขอบกพรองที่ควรไดแกไขไปพรอมๆ กัน
เรียงอิฐปูพื้น
กิจกรรมนี้ตองการใหนักเรียนไดฝกแกปญหาโดยใชวิธีการแจกแจงกรณี รูจักจัดขอมูลใหเปน
ระบบ
ขอเสนอแนะ
1. ครูนําสนทนาเกี่ยวกับรูปแบบของการเรียงอิฐซึ่งจะแตกตางกันตามความชอบหรือวัตถุ
ประสงคของการใชงาน สําหรับกิจกรรมนี้จะใหเรียงอิฐตามเงื่อนไขที่กําหนด
2. ครูใหนักเรียนศึกษาตารางซึ่งเปนตัวอยางการเรียงอิฐตามจํานวนกอนอิฐที่กําหนด
ในเบื้องตนครูควรชี้ใหนักเรียนสังเกตวิธีเรียงอิฐอยางเปนระบบและคนพบแบบรูปดวยตัวเอง อาจใหมี
การอภิปรายภายในกลุมจนไดขอสรุป ถานักเรียนมีปญหาในการสังเกตแบบรูปก็ใหครูชี้แนะ
3. ครูควรใหนักเรียนสังเกตการหาคําตอบโดยใชตารางซึ่งใชการวิเคราะหและแจกแจงกรณี
ควรใหมีการอภิปรายกันภายในกลุมเพื่อหาขอสรุปถึงการเรียงอิฐที่เปนไปไดและเปนไปไมได และให
สังเกตแบบรูปของการเรียงอิฐในแนวนอนและแนวตั้ง นักเรียนควรสังเกตไดวาอิฐที่เรียงในแนวนอน
ตองเปนจํานวนคู
20. 20
4. หลังจากนักเรียนทํากิจกรรมขอ 1 และขอ 2 แลว ครูอาจใหนักเรียนสังเกตจํานวนรูปแบบ
ในตารางชองขวาสุดวาจํานวนรูปแบบที่ไดมีความสัมพันธกันอยางไร อาจมีนักเรียนสังเกตไดวา
จํานวนรูปแบบที่ตองการหาเทากับผลบวกของจํานวนรูปแบบสองจํานวนที่อยูถัดขึ้นไปกอนหนา
ดังแผนภาพ
ผลรวม 1 2 3 5 8 13 ---
ความสัมพันธ 1 2 (1 + 2) (2 + 3) (3 + 5) (5 + 8) ---
แบงที่ดินปลูกผัก
กิจกรรมนี้ตองการฝกทักษะการแกปญหาโดยใชการวิเคราะห
ขอเสนอแนะ
ในกิจกรรมนี้ครูอาจใหนักเรียนคิดวิเคราะหหาคําตอบดวยตัวเองกอน แลวนําเสนอแนวคิด ซึ่ง
นักเรียนอาจมีวิธีคิดที่แตกตางกัน ครูอาจเพิ่มเติมแนวคิดใหชัดเจนโดยใชการถามตอบพรอมทั้งเขียน
ภาพประกอบ เพื่อเนนใหนักเรียนเห็นวาการคิดวิเคราะหในเรื่องนี้จะตองเริ่มมาจาก สิ่งที่โจทยบอกหรือ
เริ่มจากสิ่งที่รูไปหาสิ่งที่ไมรู ในที่นี้จะเริ่มจากพื้นที่ปลูกผักคะนาที่โจทยกําหนดพื้นที่ให 20 ตารางเมตร
ใหครูเขียน 20 ลงในแผนภาพแลวใหนักเรียน หาพื้นที่ของที่ดินแปลงตอไปตามเงื่อนไขที่โจทย
กําหนดซึ่งตองคิดตามลําดับจากสิ่งที่รูดังภาพประกอบตอไปนี้
ถั่วฝกยาว
2×{2×(20×2)}
บวบ
2×(20×2)
ผักบุงจีน
(20×2)
คะนา
(20)
พริกขี้หนู
(20÷2)
ตะไคร
(20÷2)
22. 22
จํานวนลูกอมที่เหลืออยูในครั้งนี้เทากับ 1 เม็ด
จึงไดสมการ 14
7
8
x =−
814x =−
22x =
เมื่อตรวจสอบจะไดวาจํานวนลูกอม 22 เม็ด เปนคําตอบที่ถูกตอง
ดังนั้น กนกมีลูกอมทั้งหมด 22 เม็ด
เนื่องจากนักเรียนในชั้นนี้ยังไมมีความรูในการแกสมการที่ซับซอน วิธีนี้จึงยังไมเหมาะที่จะ
นํามาใช ครูจึงควรชี้แนะใหนักเรียนหาคําตอบโดยคิดแบบยอนกลับ
ถาครูพิจารณาเห็นวาปญหานี้ยากเกินไปสําหรับนักเรียนทุกคน อาจใหเฉพาะนักเรียนที่มี
ความสามารถพิเศษทําก็ได
2. ในการแกปญหาเรื่องนี้ครูอาจจําลองสถานการณโดยใชลูกอมหรือวัตถุอยางอื่นแทน เชน
เม็ดมะขาม กอนหิน ใหนักเรียนไดคิดและปฏิบัติจริงๆ ถาครูเห็นวานักเรียนตอบไดและเขาใจดีแลว
ครูอาจขยายปญหาใหยากขึ้นโดยปรับโจทยใหมีการแบงใหเพื่อน 5 คน หรือ 6 คนก็ได
ครูควรกลาวสรุปปดทายบทเรียนวาวิธีแกปญหาทางคณิตศาสตรมียุทธวิธีหลากหลาย นักเรียน
จะตองมีความคิดยืดหยุนและพยายามใชวิธีแกปญหาหลายๆ วิธี การไดฝกทักษะในการแกปญหา
ทางคณิตศาสตรมากๆ จะชวยทําใหนักเรียนเรียนคณิตศาสตรไดดีขึ้นดวย
23. 23
คําตอบกิจกรรม
คําตอบกิจกรรม “ความยาวของดานของรูปสามเหลี่ยม”
2. ใชไมจิ้มฟน 4 อันถึง 8 อันเพื่อตอกันเปนรูปสามเหลี่ยมหนึ่งรูป บันทึกผลที่ไดในตารางใหครบ
ทุกกรณี ไดดังนี้
ตอกันเปน
รูปสามเหลี่ยม
จํานวนไมจิ้มฟนที่ตอเปนดาน
(อัน)
จํานวนไมจิ้มฟน
ทั้งหมด (อัน)
ได ไมได ดานที่ 1 ดานที่ 2 ดานที่ 3
3 1 1 1
4 1 1 2
5
1
1
1
2
3
2
6
1
1
2
1
2
2
4
3
2
7
1
1
1
2
1
2
3
2
5
4
3
3
8
1
1
1
2
2
1
2
3
2
3
6
5
4
4
3
24. 24
3.
ความยาวของดาน (หนวย)
ความยาวรอบรูป (หนวย)
ดานที่ 1 ดานที่ 2 ดานที่ 3
3 1 1 1
5 1 2 2
6 2 2 2
7 1
2
3
2
3
3
8 2 3 3
4.
1) ไมมี
2) ไมมี
3) ทุกกรณี
4) ผลบวกของความยาวของดานสองดานใด ๆ ของรูปสามเหลี่ยมจะมากกวาความยาวของดาน
ที่เหลือเสมอ
5. ใช
คําตอบกิจกรรม “ทําไดไหม”
1.
(1) ขอ 1), 4), 5) และ 6) เพราะมีผลบวกของความยาวของดานสองดานทุกคูมากกวาดานที่เหลือ
(2) ขอ 2) และ 3) เพราะมีผลบวกของความยาวของดานสองดานอยางนอย 1 คูนอยกวา
หรือเทากับความยาวของดานที่เหลือ
2. AB + BC = AC
3. กรณีที่ 1 ได ในกรณีที่ A, B และ C เปนจุดสามจุดที่ไมเรียงอยูในแนวเสนตรงเดียวกัน
ดังตัวอยาง
AB + BC มากกวา AC
กรณีที่ 2 ไมได ในกรณีที่ A, B และ C เปนจุดสามจุดที่เรียงกันดังตัวอยาง
A C
B
A C B
AB + BC มากกวา AC
25. 25
4. เดินตามแนว AB เพราะวาทางเดินในแนวอื่นๆ จะอยูในลักษณะ AC + CB ซึ่งยาวกวา AB
ดังรูปตัวอยาง
5. ทําได เพราะวาความยาวของแตละดานไมจําเปนตองเปนจํานวนนับ เชน อาจวางเชือกใหมีความยาว
ของดานเปน 1.5 เมตร 1.5 เมตร และ 1 เมตร
คําตอบกิจกรรม “สํารวจจุด”
1.
ขอ จุดขางนอก จุดขางใน
1)
2)
3)
4)
5)
B
A และ B
B และ C
B
A และ C
A และ C
C
A
A และ C
B
2. วิธีที่ใชหาคําตอบในขอ 1 เมื่อใชกับรูปในขอ 5) จะไมสะดวกเพราะตองใชเวลานานขึ้น นาจะมีวิธี
หาคําตอบที่ดีกวานี้
3.
ขอ จุด จุดขางใน จุดขางนอก จํานวนจุดตัดเสนรอบรูปของเสนโคงปดเชิงเดียว (จุด)
1) A
B
C
1
2
1
2) A
B
C
2
2
3
A
B
C
26. 26
ขอ จุด จุดขางใน จุดขางนอก จํานวนจุดตัดเสนรอบรูปของเสนโคงปดเชิงเดียว (จุด)
3) A
B
C
1
2
2
4) A
B
C
5
2
3
5) A
B
C
4
5
4
หมายเหตุ จํานวนจุดตัดเสนรอบรูปของเสนโคงปดเชิงเดียวอาจหาไดแตกตางกัน
4.
1) จุดขางนอก
2) จุดขางใน
3) ถาลากสวนของเสนตรงจากจุดที่กําหนดใหออกมาขางนอกรูป ถาไดจํานวนจุดตัดเปน
จํานวนคู จุดนั้นจะเปนจุดขางนอก และถาไดจํานวนจุดตัดเปนจํานวนคี่ จุดนั้นจะเปนจุด
ขางใน
5. P และ X เปนจุดขางนอก
Q และ Y เปนจุดขางใน
คําตอบกิจกรรม “ลองทําดู”
3. A, B, E และ F เปนจุดขางใน
C และ D เปนจุดขางนอก
คําตอบกิจกรรม “พวกเดียวกันหรือไม”
1. สามารถลากเสนเชื่อมจุด P กับจุด Q ไดโดยไมตัดผานเสนรอบรูป
2. สามารถลากเสนเชื่อมจุด X และจุด Y ไดโดยไมตัดผานเสนรอบรูป
27. 27
คําตอบปญหา “ชวนคิด”
ขุนแผนจะตองสะเดาะกลอนผานกําแพงอยางนอยหนึ่งชั้น เพราะจุด A ที่ขุนแผนยืนอยูเปนจุดขาง
ในคายกลที่มีลักษณะเปนเสนโคงปดเชิงเดียว
คําตอบกิจกรรม “เชื่อสายตาหรือไม”
1. ยาวเทากัน
2. ยาวเทากัน
3. ยาวไมเทากัน
4. ยาวเทากัน
5. ทุกคูขนานกันหมด
6. พื้นที่เทากัน (วงกลมในที่นี้หมายถึงรูปที่มีเสนทึบ)
คําตอบกิจกรรม “สรางแทนแกรม”
2.
1) ∆ DEF, ∆ ERC, ∆ IPQ, ∆ ABQ และ ∆ BQC เปนรูปสามเหลี่ยมมุมฉาก
2) รูปสามเหลี่ยมทุกรูปในขอ 1) เปนรูปสามเหลี่ยมหนาจั่วดวย
3) IERQ เปนรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส
4) IFAP เปนรูปสี่เหลี่ยมดานขนาน
3. ตัวอยาง ความสัมพันธที่พบ
1) FI = IE, ER = IQ, IP = EC ฯลฯ
2) ∆ ERC กับ ∆ IQP ทับกันไดสนิทพอดี
3) พื้นที่ของ ∆ ERC + พื้นที่ของ ∆ IQP เทากับพื้นที่ของ ∆ DEF
4) พื้นที่ของ ∆ ERC + พื้นที่ของ ∆ IQP เทากับพื้นที่ของ IERQ
5) พื้นที่ของ ∆ ERC + พื้นที่ของ ∆ IQP เทากับพื้นที่ของ IFAP
6) พื้นที่ของ ∆ DEF เทากับพื้นที่ของ IERQ และเทากับพื้นที่ของ IFAP
7) พื้นที่ของ ∆ DEF = 4
1 ของพื้นที่ของ ∆ ADC
8) พื้นที่ของ ∆ ABQ เทากับพื้นที่ของ ∆ BQC
28. 28
9) พื้นที่ของ ∆ ABQ = 4
1 ของพื้นที่ของ ABCD
10) พื้นที่ของ ∆ DEF = 2
1 ของพื้นที่ของ ∆ ABQ
ฯลฯ
คําตอบกิจกรรม “คิดเปนเศษสวนเทาไร”
1. รูป A และรูป B มีพื้นที่เทากัน
รูป D และรูป F มีพื้นที่เทากัน
รูป E รูป C และรูป G มีพื้นที่เทากัน
2. รูป A มีพื้นที่เทากับ 4
1 ของพื้นที่ของ PQRS
3. รูป F มีพื้นที่เทากับ 2
1 ของพื้นที่ของรูป E
4. รูป E มีพื้นที่เทากับ 2
1 ของพื้นที่ของรูป A
5. รูป E มีพื้นที่เทากับ 4
1 ของพื้นที่ของ ∆ PQR
6. รูป C มีพื้นที่เทากับ 8
1 ของพื้นที่ของ PQRS
7. รูป D มีพื้นที่เทากับ 16
1 ของพื้นที่ของ PQRS
8. พื้นที่ของ PQRS เทากับ 16 ตารางหนวย
29. 29
คําตอบกิจกรรม “สูตรคูณแสนสนุก”
1.
แม 2 แม 3 แม 4 แม 5 แม 6 แม 7 แม 8 แม 9 แม 10 แม 11 แม 12
ตัวตั้ง
ตัวคูณ
2 3 4 5 6 7 8 9 10 11 12
1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 11 12
2 4 6 8 10 12 14 16 18 20 22 24
3 6 9 12 15 18 21 24 27 30 33 36
4 8 12 16 20 24 28 32 36 40 44 48
5 10 15 20 25 30 35 40 45 50 55 60
6 12 18 24 30 36 42 48 54 60 66 72
7 14 21 28 35 42 49 56 63 70 77 84
8 16 24 32 40 48 56 64 72 80 88 96
9 18 27 36 45 54 63 72 81 90 99 108
10 20 30 40 50 60 70 80 90 100 110 120
11 22 33 44 55 66 77 88 99 110 121 132
12 24 36 48 60 72 84 96 108 120 132 144
2.
1) สูตรคูณแม 2, 4, 6, 8, 10 และ 12 เพราะผลคูณของจํานวนคูกับจํานวนเต็มใดๆ จะเปน
จํานวนคูเสมอ
2) ไมมี เพราะสูตรคูณทุกแมตองมีตัวคูณเปนจํานวนคูหรือจํานวนคี่ ผลคูณจึงมีทั้งจํานวนคู
และจํานวนคี่
3) สูตรคูณแม 3, 5, 7, 9 และ 11 เพราะเมื่อนําแมสูตรคูณไปคูณกับจํานวนคูจะใหผลคูณ
เปนจํานวนคูและเมื่อไปคูณกับจํานวนคี่จะใหผลคูณเปนจํานวนคี่
4) สูตรคูณแม 3, 7, 9 และ 11
5) มีคําตอบไดหลากหลาย เชน สูตรคูณแม 5 เปนสูตรคูณเดียวที่มีเลขโดดในหลักหนวยของ
ผลคูณเปนจํานวนคี่ คือ 5 หรือจํานวนคู คือ 0 เทานั้น
31. 31
หมายเหตุ เนื่องจากสูตรคูณแม 10 มีหลักหนวยของผลคูณเปน 0 เพียงตัวเดียว จึงไมสามารถ
ลากสวนของเสนตรงเชื่อมโยงกับจํานวนอื่นๆ ได
1
2
34
5
6
7
8 9
0
แม 6
1
2
34
5
6
7
8 9
0
แม 7
1
2
34
5
6
7
8 9
0
แม 8
1
2
34
5
6
7
8 9
0
แม 9
1
2
34
5
6
7
8 9
0
แม 10
1
2
34
5
6
7
8 9
0
แม 11
1
2
34
5
6
7
8 9
0
แม 12
32. 32
5.
1) แม 2 กับแม 8 แม 3 กับแม 7 แม 4 กับแม 6 และแม 9 กับแม 11 เพราะวา
สูตรคูณแตละคูมีหลักหนวยของผลคูณเปนเลขโดดชุดเดียวกัน แตการเรียงลําดับของเลข
โดดจะกลับกัน
2) แม 2 กับแม 12 เพราะวาสูตรคูณทั้งสองมีหลักหนวยของผลคูณเปนเลขโดดชุดเดียวกัน
และเรียงลําดับเหมือนกัน หรือเพราะวา 12 = 10 + 2 เมื่อนํา 12 ไปคูณกับจํานวนเต็มตั้ง
แต 1 ถึง 12 จะไดหลักหนวยของผลคูณเปนเลขโดดชุดเดียวกันกับที่ปรากฏในผลคูณ
ของสูตรคูณแม 2
6.
1) กรณีใหภาพเหมือนกันและมีทิศทางของเสนไปทางเดียวกัน ผลตางของแมสูตรคูณทั้งสอง
จะหารดวย 10 ลงตัว
2) กรณีใหภาพเหมือนกันและมีทิศทางของเสนตรงขามกัน ผลบวกของแมสูตรคูณทั้งสองจะ
หารดวย 10 ลงตัว
7. แตละขอมีหลายคําตอบ เชน
1) แม 6 กับแม 16 แม 13 กับแม 23 แม 14 กับแม 24 ฯลฯ
2) แม 7 กับแม 13 แม 14 กับแม 16 แม 19 กับแม 21 ฯลฯ
คําตอบกิจกรรม “รอนหาจํานวนเฉพาะ”
คําตอบของคําถามหนา 24
จํานวนเฉพาะระหวาง 1 ถึง 102 มี 26 จํานวนไดแก 2, 3, 5, 7, 11, 13, 17, 19, 23, 29,
31, 37, 41, 43, 47, 53, 59, 61, 67, 71, 73, 79, 83, 89, 97 และ 101
คําตอบของคําถามหนา 25
89, 149 และ 179 เปนจํานวนเฉพาะ
221, 413, 779 และ 893 ไมเปนจํานวนเฉพาะ
เพราะ 221 = 17 × 13 779 = 19 × 41
413 = 7 × 59 893 = 19 × 47
33. 33
คําตอบ “ปญหาชวนคิด”
ขอความคาดการณของกวีไมจริง สามารถยกตัวอยางคานไดวา (2 × 7) + 1 = 15 และ 15
ไมใชจํานวนเฉพาะ
คําตอบกิจกรรม “ขั้นตอนวิธีแบบยุคลิด”
คําตอบแบบฝกหัดหนา 31
1.
1) 39
2) 3
3) 2
4) 12
2.
1) 3,556
2) 39,648
3) 3,640
4) 9,240
3. 59,581
4. 168
5. 1,311 และ 1,748
คําตอบกิจกรรม “ลองเปรียบเทียบดู”
1. ไมเทากัน เพราะเปนรอยละเดียวกันของจํานวนที่ตางกัน
2. มากกวา 45 เพราะวาจํานวนที่นํามาคิดเปนรอยละเปนจํานวนเดียวกันคือ 500 แต 12% มากกวา9%
3. นอยกวา 36 เพราะวาเปนรอยละเดียวกันของจํานวนที่ตางกันคือ 270 และ 300 แต 270 นอยกวา300