More Related Content
Similar to มหัศจรรย์พืช (20)
More from Wichai Likitponrak (20)
มหัศจรรย์พืช
- 3. รากค้าจุน (Prop root หรือ Buttress root)
เป็นรากที่งอกจากโคน
ต้นหรือกิ่งบนดินแล้ว
หยั่งลงดินเพื่อพยุงลาต้น
เช่น รากข้าวโพดที่งอก
ออกจากโคนต้น รากเตย
ลาเจียกไทรย้อย แสม
โกงกาง
แสดงรากค้าจุนของโกงกาง
- 5. รากหายใจ (Pneumatophore หรือ Aerating root)
เป็นรากที่ยื่นขึ้นมา
จากดินหรือน้าเพื่อรับ
ออกซิเจน เช่น ราก
ลาพู แสม โกงกาง
และรากส่วนที่อยู่ใน
นวมคล้ายฟองน้าของ
ผักกระเฉดก็เป็นราก
หายใจโดยนวมจะ
เป็นที่เก็บอากาศและ
เป็นทุ่นลอยน้าด้วย
แสดงรากหายใจของต้นลาพู
- 8. รากสะสมอาหาร (Food storage root)
เป็นรากที่สะสมอาหารพวกแป้ง
โปรตีน หรือน้าตาลไว้จนราก
เปลี่ยนแปลงรูปร่างมีขนาดใหญ่
ซึ่งมักจะเรียกกันว่า“หัว” เช่น หัว
แครอท หัวผักกาด หรือหัวไชเท้า
หัวผักกาดแดงหรือแรดิช (Radish)
หัวบีท (Beet root) และหัวมันแกว
เป็นรากสะสมอาหารที่
เปลี่ยนแปลงมาจากรากแก้วส่วน
รากสะสมอาหารของมันเทศ รักเร่
กระชาย เปลี่ยนแปลงมาจากราก
แขนง แสดงรากสะสมอาหาร (โครงการตาราวิทยาศาสตร์และ
คณิตศาสตร์ มูลธินิ สอวน., 2547, หน้า 224)
- 10. ลาต้นเลื้อยขนานไปกับผิวดิน หรือผิวน้า (Prostrate หรือCreeping stem)
ส่วนใหญ่ของพืชพวกนี้มีลาต้นอ่อน ตั้งตรงไม่ได้จึงต้องเลื้อยขนานไปกับผิวดิน เช่น ผักบุ้ง หญ้า
แตงโม บัวบก ผักกระเฉด ผักตบชวา สตรอเบอรี่ เป็นต้นบริเวณข้อมีรากแตกเป็นแขนงออกมาแล้ว
ปักลงดินเพื่อยึดลาต้นให้ติดแน่นกับที่มีการแตกแขนงลาต้นออกจากตาบริเวณที่เป็นข้อ ทาให้มีลา
ต้นแตกแขนงออกไป ซึ่งเป็นการแพร่พันธุ์วิธีหนึ่ง แขนงที่แตกออกมาเลื้อยขนานไปกับผิวดินหรือ
น้านี้เรียกว่า สโตลอน(Stolon) หรือรันเนอร์ (Runner) ที่ตรงกับภาษาไทยว่า ไหล
- 11. ลาต้นเลื้อยขึ้นสูง (Climbing stem หรือ Climber)
1) ใช้ลาต้นพันหลักเป็นเกลียวขึ้นไป
(Twining stem หรือ Twiner) การ
พันอาจเวียนซ้าย หรือเวียนขวา เช่น
ต้นถั่ว ฝอยทอง เถาวัลย์ชนิดต่าง ๆ
ผักบุ้งฝรั่งบอระเพ็ด
พืชพวกนี้มีลาต้นอ่อนเช่นเดียวกับพวกแรก แต่ไต่ขึ้นสูงโดยขึ้นไปตามหลักหรือต้นไม้ที่อยู่
ติดกันวิธีการไต่ขึ้นสูงนั้นมีอยู่หลายวิธีคือ
แสดงลาต้นพันหลักเป็นเกลียวขึ้นไปพวกเถาวัลย์
- 12. ลาต้นเลื้อยขึ้นสูง (Climbing stem หรือ Climber)
2) ลาต้นเปลี่ยนเป็นมือเกาะ
(Stem tendril หรือ Tendril climber)
มือเกาะจะบิดเป็นเกลียว
คล้ายสปริงเพื่อให้มีการยืดหยุ่น เมื่อลม
พัดผ่านมือเกาะจะยืดหดได้ตัวอย่างเช่น
ต้นบวบ น้าเต้า ฟักทอง องุ่น แตงกวา
ตาลึง พวงชมพู กะทกรก ลัดดาลิ้น
มังกร เสาวรส โคกกระออม เป็นต้น
(บางครั้ง Tendril อาจเกิดจากใบที่
เปลี่ยนแปลงไปจะทราบจากการสังเกต
เช่น ใบถั่วลันเตา บริเวณปลายใบ
เปลี่ยนไปเป็นมือเกาะ)
แสดงลาต้นเหนือดินที่เปลี่ยนแปลงไปเป็นมือเกาะ (Stem tendril หรือ Tendril climber) ของต้นพวงชมพู
- 14. ลาต้นเปลี่ยนเป็นหนาม (Stem spine หรือ Stem thorn)
หรือขอเกี่ยว (Hook) บางทีเรียกลาต้นชนิดนี้
ว่า สแครมเบลอร์ (Scrambler) เพื่อใช้ในการ
ไต่ขึ้นที่สูง และยังทาหน้าที่ป้องกันอันตราย
อีกด้วย เช่น หนามของต้นเฟื่องฟ้าหรือ
ตรุษจีนมะนาว มะกรูด และส้มชนิดต่าง ๆ
หนามเหล่านี้จะแตกออกมาจากตาที่อยู่
บริเวณซอกใบ
หนามบางชนิดเปลี่ยนแปลงมาจากใบ
หนามบางชนิดไม่ใช่ทั้งลาต้น ใบและกิ่งที่
เปลี่ยนแปลงไป แต่เกิดจากผิวนอกของลา
ต้นงอกออกมาเป็นหนาม เช่น หนามกุหลาบ
ส่วนต้นกระดังงา และการเวก มีขอเกี่ยวที่
เปลี่ยนแปลงมาจากลาต้นแล้วยังมีดอก
ออกมาจากขอเกี่ยวได้ด้วย
- 15. ลาต้นที่เปลี่ยนแปลงไปมีลักษณะคล้ายใบ (Cladophyll หรือPhylloclade หรือ Cladode)
ลาต้นที่เปลี่ยนไปอาจแผ่แบนคล้ายใบ หรือเป็นเส้นเล็กยาวและยังมีสีเขียว
ทาให้เข้าใจผิดว่าเป็นใบ เช่น สนทะเล หรือ สนประดิพัทธ์ ที่มีสีเขียวต่อกัน
เป็นท่อน ๆ นั้นเป็นส่วนของลาต้นที่เปลี่ยนแปลงไป ส่วนใบที่แท้จริงเป็น
แผ่นเล็ก ๆ ติดอยู่รอบ ๆ ข้อ เรียกว่า ใบเกล็ด (Scale leaf) เช่นเดียวกับต้น
โปร่งฟ้า (Asparcus) ที่เห็นเป็นเส้นฝอยแผ่กระจายอยู่เป็นแผงและมีสีเขียว
นั้นเป็นลาต้น ส่วนใบเป็นใบเกล็ดเล็ก ๆ ติดอยู่ตรงข้อ
นอกจากนั้นยังมีลาต้นอวบน้า (Succulent) เป็นลาต้นของพืชที่อยู่ในที่แห้ง
แล้งกันดารน้า จึงมีการสะสมน้าไว้ในลาต้น เช่น ต้นกระบองเพชร สลัดได
และพญาไร้ใบ ลาต้นบางชนิดอาจเกิดจากตาหรือหน่อเล็ก ๆ ที่อยู่เป็นยอด
อ่อนหรือใบเล็ก ๆประมาณ 2-3 ใบที่แตกออกบริเวณซอกใบกับลาต้น หรือ
แตกออกจากยอดลาต้นแทนดอก เมื่อหลุดออกจากต้นเดิมร่วงลงดินสามารถ
เจริญไปเป็นต้นใหม่ได้ตัวอย่างเช่นหอม กระเทียม ตะเกียงสับปะรด
ศรนารายณ์ เป็นต้น
- 17. ทูเบอร์ (Tuber)
เป็นลาต้นใต้ดินที่งอกออกมาจากปลายไรโซมมี
ปล้องเพียง 3-4 ปล้อง ตามข้อไม่มีใบเกล็ดและราก
สะสมอาหารเอาไว้มากในลาต้นส่วนใต้ดิน จึงดู
อ้วนใหญ่กว่าหัวชนิดไรโซม แต่บริเวณที่เป็นตาจะ
บุ๋มลงไป ตัวอย่างเช่นมันฝรั่ง เหนือดินมีลาต้น
และใต้ดินมีไรโซม ซึ่งบริเวณปลายพองออกเป็นทู
เบอร์ ดังในรูปที่ชี้ว่าเป็น “Eye” นั้นคือตานั่นเองถ้า
มีความชื้นพอเพียง ต้นใหม่จะงอกออกมาจาก
บริเวณตา ซึ่งผิดกับหัวมันเทศซึ่งเป็นรากไม่
สามารถงอกต้นใหม่จากบริเวณหัวที่มีรอยบุ๋มได้
เพราะไม่ใช่ตา ตัวอย่างอื่น ๆ ของหัวชนิดทูเบอร์
ได้แก่ หญ้าแห้วหมู หัวมันมือเสือ มันกลอย
- 18. หัวกลีบ หรือบัลบ์ (Bulb)
เป็นลาต้นใต้ดินที่ตั้งตรง อาจมีส่วนพ้นดินขึ้นมาบ้างก็ได้ ลาต้นมี
ขนาดเล็กที่มีปล้องที่สั้นมากบริเวณปล้องมีใบเกล็ดที่ซ้อนกันหลาย
ชั้นจนเห็นเป็นหัว เช่น หัวหอม หัวกระเทียม อาหารสะสมอยู่ในใบ
เกล็ดในลาต้นไม่มีอาหารสะสม บริเวณส่วนล่างของลาต้นมีรากเส้น
เล็ก ๆ แตกออกมาหลายเส้น เมื่อนาหัวหอมมาผ่าตามยาว จะพบใบ
เกล็ดเป็นชั้น ๆ ชั้นนอกสุดเป็นแผ่นบาง ๆเนื่องจากไม่มีอาหารสะสม
ชั้นถัดเข้าไปมีอาหารสะสม จึงมีความหนากว่าแผ่นนอกชั้นในสุด
ของลาต้นเป็นส่วนยอด ถ้าเอาหัวชนิดนี้ไปปลูกส่วนยอดจะงอก
ออกมาเป็นใบสีเขียว
แสดงลาต้นใต้ดิน ชนิดหัวกลีบหรือบัลบ์ (Bulb)
ของต้นแสนพันล้อม
- 20. ใบสะสมอาหาร (Storage leaf)
เป็นใบที่เปลี่ยนแปลงไปเป็นที่เก็บสะสม
อาหาร จึงมีลักษณะอวบหนา ได้แก่ใบเลี้ยง
(Cotyledon) และใบพืชอีกหลายชนิด เช่น ใบ
ว่านหางจระเข้ หัวหอม หัวกระเทียม กาบ
กล้วย ส่วนกะหล่าปลีเก็บอาหารสะสมไว้ที่
เส้นใบ และก้านใบ
อนึ่งใบเลี้ยงเป็นใบใบแรกที่อยู่ในเมล็ด พืช
บางชนิดมีใบเลี้ยงขนาดใหญ่เนื่องจากการ
สะสมอาหารไว้ โดยดูดอาหารมาจากเอนโด
สเปิร์ม (Endosperm) เพื่อนาไปใช้ในการงอก
ของต้นอ่อน ใบเลี้ยงจึงมีลักษณะอวบใหญ่ ใบ
เลี้ยงยังมีหน้าที่ปกคลุมเพื่อป้องกันยอดอ่อน
ไม่ให้เป็นอันตราย เมื่อยอดอ่อนแทงทะลุดิน
ขึ้นมา และเมื่อพ้นดินแล้วยังช่วยสังเคราะห์
อาหารอีกด้วย ในพืชบางชนิด
แสดงใบสะสมอาหารของต้นว่านหางจระเข้
- 24. ใบเกล็ด (Scale leaf)
เป็นใบที่เปลี่ยนมาจากใบแท้ เพื่อทาหน้าที่
ป้องกันอันตรายให้แก่ตาและยอดอ่อน ใบ
เกล็ดไม่มีสีเขียว เพราะไม่มีคลอโรฟิลล์
เช่น ใบเกล็ดของสนทะเลที่เป็นแผ่นเล็ก ๆ
ติดอยู่รอบ ๆ ข้อใบเกล็ดของโปร่งฟ้าเป็น
แผ่นเล็ก ๆ ติดอยู่ตรงข้อเช่นเดียวกัน ใบ
เกล็ด ของขิงข่า เผือก แห้วจีน เป็นต้น
นอกจากนี้ใบเกล็ดบางชนิดยังสะสมอาหาร
ไว้ด้วย ใบเกล็ดจึงมีขนาดใหญ่ เช่น หัว
หอม หัวกระเทียม
แสดง ใบเกล็ด (Scale leaf)
- 27. หนาม (Leaf spine)
เป็นใบที่เปลี่ยนแปลงเป็นหนาม เพื่อป้องกันอันตรายจากสัตว์
ที่มากัดกิน พร้อมกับป้องกันการคายน้า เนื่องจากปากใบลด
น้อยลงกว่าปกติ หนามที่เกิดอาจมีการเปลี่ยนแปลงทั้งใบ
กลายเป็นหนาม หรือบางส่วนของใบกลายเป็นหนามก็ได้
ตัวอย่างเช่น หนามของต้นเหงือกปลาหมอเปลี่ยนแปลงมา
จากขอบใบและหูใบ หนามของต้นกระบองเพชรเปลี่ยนแปลง
มาจากใบหนามมะขามเทศเปลี่ยนแปลงมาจากหูใบ หนาม
ของศรนารายณ์ (หรือต้นร้อยปี) เปลี่ยนแปลงมาจากขอบใบ
เป็นต้น
- 29. ฟิลโลด (Phyllode หรือ Phyllodium )
บางส่วนของใบเปลี่ยนแปลง
ไปเป็นแผ่นแบนคล้ายใบแต่
แข็งแรงกว่าปกติ ทาให้ไม่มี
ตัวใบที่แท้จริง จึงลดการคาย
น้าได้ด้วย เช่น ใบกระถิน
ณรงค์ ซึ่งเปลี่ยนแปลงมา
จากก้านใบ
แสดงใบเปลี่ยนแปลงไปเป็นแผ่นคล้ายใบ ของต้นระถินรณงค์
(Rakbankerd Limited, 2006)
- 31. ใบแพร่พันธุ์ (Vegetative reproductive organ)
เป็นใบที่เปลี่ยนแปลงไปเพื่อ
ช่วยแพร่พันธุ์โดยบริเวณของ
ใบที่มีลักษณะเว้าเข้าเล็กน้อย
มีตา (Aventitious bud) ที่
งอกต้นเล็ก ๆ ออกมาได้
ตัวอย่างเช่น ใบของ
ต้นตายใบเป็น (หรือคว่าตาย
หงายเป็น) ต้นเศรษฐีพันล้าน
ต้นโคมญี่ปุ่น
แสดงใบแพร่พันธุ์ (Vegetative reproductive organ) ของต้นโคมญี่ปุ่ น
- 32. ใบจับแมลง (Insectivorous leaf หรือ Carnivorous leaf)
เป็นใบที่เปลี่ยนแปลงไปเป็นกับดักแมลง หรือ
สัตว์ขนาดเล็ก ภายในกับดักมีต่อมสร้าง
เอนไซม์ประเภทโพรทีเอส (Protease) ที่ย่อย
โปรตีนสัตว์ที่ติดอยู่ในกับดักได้ พืชชนิดนี้มี
ใบปกติที่สามารถสังเคราะห์แสงได้เหมือนพืช
ทั่ว ๆ ไป แต่พืชเหล่านี้มักอยู่ในที่มีความชื้น
มากกว่าปกติ อาจขาดธาตุอาหารบางชนิดจึง
ต้องมีส่วนที่เปลี่ยนแปลงไปเป็นกับดัก เช่น
ต้นหม้อข้าวหม้อแกงลิง (หรือน้าเต้าฤๅษี) ต้น
กาบหอยแครง ต้นหยาดน้าค้างต้นสาหร่ายข้าว
เหนียวหรือสาหร่ายนา (ไม่ใช่สาหร่าย แต่
เป็นพืชน้าขนาดเล็ก) เป็นต้น
แสดงใบจับแมลง (Insectivorous leaf หรือ Carnivorous leaf) ของ
ต้นหม้อข่าวหม้อแกงลิง (Carnivorous Plant Website, 2006)
- 33. แสดงใบจับแมลง (Insectivorous leaf หรือ Carnivorous leaf)
ของต้นหยาดน้าค้าง (Carnivorous Plant Website, 2006)
แสดงใบจับแมลง (Insectivorous leaf หรือ Carnivorous leaf)
ของต้นกาบหอยแครง (Carnivorous Plant Website, 2006)