More Related Content
Similar to 11.โครงสรา้งและหน้าที่ของราก ลำต้น ใบ ตอน2
Similar to 11.โครงสรา้งและหน้าที่ของราก ลำต้น ใบ ตอน2 (16)
More from Wichai Likitponrak
More from Wichai Likitponrak (20)
11.โครงสรา้งและหน้าที่ของราก ลำต้น ใบ ตอน2
- 6. โครงสร้างภายในลาต้น
2) คอร์เทกซ์ ( Cortex ) มีอาณาเขตแคบกว่าในรากเซลล์ ส่วนนี้ส่วนใหญ่เป็นเซลล์พาเรงคิมาเรียงตัวกันหลายชั้น เซลล์พวก
นี้มักมีสีเขียวและสังเคราะห์ด้วยแสงได้ด้วยนอกจากนี้ยังช่วยสะสมน้าและอาหารให้แก่พืช เซลล์ชั้นคอร์เทกซ์ที่อยู่ติดกับเอพิ
เดอร์มิสเป็นเซลล์เล็กๆ 2-3 แถว คือ เซลล์พวกคอลเลงคิมา และมีเซลล์สเกลอเรงคิมาแทรกอยู่ช่วยให้ลาต้นแข็งแรงขึ้น การแตกกิ่ง
ของพืชจะแตกในชั้นนี้เรียกว่า “ เอกโซจีนัสบรานชิ่ง ( Exogenous branching )” ซึ่งแตกต่างจากรากซึ่งเป็น
เอนโดจีนัสบรานชิ่ง ชั้นในของคอร์เทกซ์ คือ เอนโดเดอร์มิสเป็นเซลล์เรียงตัวชั้นเดียวในลาต้น พืชส่วนใหญ่มักเห็นชั้นเอนโด
เดอร์มิสได้ไม่ชัดเจนหรือไม่เห็นเลยซึ่งแตกต่างจากรากซึ่งมีและเห็นชัดเจน เซลล์ที่ทาหน้าที่ในการหลั่งสาร ( Secretory
Cell ) เช่น เรซิน ( Resin ) น้ายาง ( Latex ) ก็อยู่ในชั้นนี้
- 8. โครงสร้างภายในลาต้น
3) สตีล ( Stele ) ในลาต้นฃั้นสองของสตีลจะแคบมากและแบ่งออกจากชั้นของคอร์เทกซ์ได้ไม่ชัดเจนนัก และแตกต่างจากใน
ราก ประกอบด้วย
3.1 มัดท่อลาเลียง อยู่เป็นกลุ่มๆ ด้านในเป็นไซเลม ด้านนอกเป็นโฟลเอ็มเรียงตัวในแนวรัศมีเดียวกัน
- 11. โครงสร้างภายในลาต้น
ลาต้นพืชใบเลี้ยงเดี่ยว : ส่วนใหญ่มีการเจริญเติบโตขั้นต้น ( Primary Growth ) เท่านั้น มีชั้นต่างๆเช่นเดียวกับพืช
ใบเลี้ยงคู่ต่างกันที่มัดท่อลาเลียงรวมกันเป็นกลุ่มๆประกอบด้วยเซลล์ค่อนข้างกลมขนาดใหญ่ 2 เซลล์ ซึ่งได้แก่ไซเลมและเซลล์
เล็กๆ ด้านบนคือโฟลเอ็ม ส่วนทางด้านล่างของไซเลมเป็นช่องกลมๆเช่นกันคือช่องอากาศมัดท่อลาเลียงของพืชใบเลี้ยงเดี่ยวจะ
มีบันเดิลชีท ( Bundle Sheath ) ซึ่งเป็นเนื้อเยื่อพวกพาเรงคิมาที่มีแป้งสะสมหรืออาจเป็นเนื้อเยื่อสเกลอเรงคิมามา
หุ้มล้อมรอบเอาไว้
- 18. การเจริญเติบโตขั้นที่สองของลาต้นใบเลี้ยงคู่
ในรอบ 1 ปี วาสคิวลาร์แคมเบียมของพืชที่มีเนื้อไม้จะมีการแบ่งเซลล์สร้างไซเลมและโฟลเอ็มขั้นที่สองจานวนมากน้อยต่างกันในแต่
ละฤดูขึ้นอยู่กับปริมาณน้าและแร่ธาตุอาหาร ในฤดูที่สิ่งแวดล้อมอุดมสมบูรณ์ดี เช่น ฤดูฝน เซลล์ชั้นไซเลมจะเจริญเร็วมีขนาดใหญ่
ทาให้ได้ชั้นไซเลมกว้าง และมีสีจาง ส่วนในฤดูแล้งเซลล์ชั้นไซเลมจะเจริญช้ามีขนาดเล็กเบียดกันแน่นทาให้เห็นเป็นแถบแคบๆ และ
มีสีเข้ม ลักษณะดังกล่าวทาให้เนื้อไม้มีสีจางและมีสีเข้มสลับกันมองเห็นเป็นวงเรียกว่า วงปี (annual ring) ดังรูป
- 20. การเจริญเติบโตขั้นที่สองของลาต้นใบเลี้ยงคู่
เปลือกไม้ ( bark ) คือ ส่วนที่อยู่ถัดจากวาสคิวลาร์แคมเบียมออกไปข้างนอก ในลาต้นที่มีอายุน้อยเปลือกไม้ประกอบด้วย
เอพิเดอร์มิส คอร์เทกซ์ และโฟลเอ็ม ส่วนลาต้นที่มีอายุมากเอพิเดอร์มิสหลุดสลายไปเหลือแต่เนื้อเยื่อคอร์ก ( cork ) และ
คอร์กแคมเบียม ( cork cambium ) และอาจมีเนื้อเยื่อพาเรงคิมาที่เกิดจากการแบ่งตัวของคอร์กแคมเบียมรวมทั้ง
โฟลเอ็มครั้งที่สองที่สร้างขึ้นมาใหม่ ซึ่งทาหน้าที่ลาเลียงอาหารแทนโฟลเอ็มขั้นแรกที่ถูกเบียดสลายไป
- 26. ชนิดของลาต้น
สามารถจาแนกลาต้นออกตามแหล่งที่อยู่ได้สองประเภทใหญ่ ๆ ได้แก่ ลาต้นเหนือดินและลาต้นใต้ดิน
ลาต้นเหนือดิน (aerial stem)
3) ต้นไม้ล้มลุก (herb) เป็นต้นไม้ที่มีเนื้อไม้อ่อนหรือไม่มีเนื้อไม้ ส่วนใหญ่มีอายุปีเดียว บางชนิดอาจอยู่ได้
สองปี เมื่อครบวัฏจักรชีวิตจะตายไป ไม้ล้มลุกบางชนิดที่มีลาต้นอยู่ใต้ดิน เมื่อส่วนที่อยู่เหนือดินตายส่วนที่อยู่
ใต้ดินจะพักตัวอยู่และงอกในฤดูถัดไป
- 29. ลาต้นที่เปลี่ยนแปลงไปเพื่อทาหน้าที่พิเศษ
1) ลาต้นเลื้อย (creeping stem หรือ prostate stem) เป็นลาต้นที่เลื้อยไปตามผิวดินหรือผิวน้าและมี
รากงอกออกมาจากบริเวณข้อแล้วแทงลงดินเพื่อช่วยยึดลาต้น นอกจากนี้บริเวณข้อจะมีตาเจริญเป็นลาต้นแขนงยาวขนาน
ไปกับพื้นดินหรือผิวน้า ซึ่งจะงอกรากและลาต้นขึ้นใหม่ เรียกว่า ไหล (stolon หรือ runner) เช่น สตรอเบอรี
ผักบุ้ง ผักตบชวา
- 30. ลาต้นที่เปลี่ยนแปลงไปเพื่อทาหน้าที่พิเศษ
2) ลาต้นปีนป่ าย (climbing stem) เป็นลาต้นที่เลื้อยหรือไต่ขึ้นที่สูง มีลาต้นอ่อน เป็นพวกไม้เถา (vine) ได้แก่
- ทไวเนอร์ (twiner) เป็นไม้เถาที่ปีนป่ ายขึ้นที่สูงโดยใช้ลาต้นพันกับหลักเป็นเกลียว เช่น ถั่วฝักยาว บางชนิดลาต้น
เปลี่ยนไปเป็นมือพัน (tendril) ยืดหดได้คล้ายลวดสปริง เช่น องุ่น
- 32. ลาต้นที่เปลี่ยนแปลงไปเพื่อทาหน้าที่พิเศษ
2) ลาต้นปีนป่ าย (climbing stem) เป็นลาต้นที่เลื้อยหรือไต่ขึ้นที่สูง มีลาต้นอ่อน เป็นพวกไม้เถา (vine) ได้แก่
- ลาต้นหนาม (spine หรือ thorny stem) เป็นลาต้นที่เปลี่ยนแปลงไปเป็นหนามรวมทั้งขอเกี่ยวสาหรับปีนป่ ายขึ้น
ที่สูงและป้องกันอันตราย เช่น ส้ม
- 35. ลาต้นใต้ดิน (UNDERGROUND STEM)
ลำต้นใต้ดินบำงชนิดมักมีผู้เข้ำใจผิดว่ำเป็นรำก ทั้งนี้เพรำะลำต้นเหล่ำนี้ไม่มีคลอโรฟีลล์ มีรำกเล็ก ๆ งอกออกมำ
ซึ่งคล้ำยกับรำกแขนงที่แตกออกมำจำกรำกแก้ว กำรที่จะพิจำรณำว่ำลำต้นใต้ดินไม่ใช่รำกสังเกตได้จำกลำต้น
เหล่ำนี้มีข้อและปล้องสั้น ๆ บำงทีก็มีตำอยู่ตำมข้อด้วย ลำต้นใต้ดินมีรูปร่ำงแตกต่ำงไปจำกลำต้นเหนือดิน ส่วน
ใหญ่ทำหน้ำที่สะสมอำหำร ได้แก่ ไรโซม ทูเบอร์ บัลบ์และคอร์ม
- 36. ลาต้นใต้ดิน (UNDERGROUND STEM)
1) ไรโซม (rhizome) เป็นลาต้นใต้ดินที่มักขนานไปกับผิวดิน มีข้อและปล้องสั้น ๆ ตามข้อมีใบเกล็ดสีน้าตาลไม่มีคลอโรฟีลล์
หุ้มตาไว้ ตาสามารถแตกแขนงเป็นลาต้นใต้ดินหรือลาต้นและใบชูขึ้นเหนือดิน มีรากงอกลงดิน ลาต้นชนิดนี้มักเรียกว่า แง่ง หรือ
เหง้า เช่น ขิง ข่า ขมิ้น พุทธรักษา หญ้าคา หญ้าแพรก
- 38. ลาต้นใต้ดิน (UNDERGROUND STEM)
2) ทูเบอร์ (tuber) เป็นลาต้นใต้ดินสั้น ๆ ประกอบด้วยข้อและปล้องประมาณ 3-4ปล้องเท่านั้น ไม่มีใบเกล็ด ลาต้นมีอาหาร
สะสมทาให้อวบอ้วน มีตาอยู่โดยรอบซึ่งมักจะบุ๋มลงไป สามารถงอกต้นใหญ่ชูขึ้นเหนือดินในบริเวณตานั้น ได้แก่ มันฝรั่ง
- 39. ลาต้นใต้ดิน (UNDERGROUND STEM)
3) บัลบ์ (bulb) เป็นลาต้นใต้ดินที่ตั้งตรง อาจโผล่พ้นดินขึ้นมาบ้าง มีปล้องสั้นมาก ตามปล้องมีใบเกล็ดซ้อนกันหลายชั้น
ห่อหุ้มลาต้นเอาไว้เห็นเป็นหัวขึ้นมา ใบเกล็ดนี้จะทาหน้าที่สะสมอาหาร ในขณะที่ลาต้นไม่มีอาหารสะสมอยู่ ส่วนล่างของลาต้น
มีรากเป็นกระจุก เช่น หอม กระเทียม พลับพลึง
- 40. ลาต้นใต้ดิน (UNDERGROUND STEM)
4.) คอร์ม (corm) เป็นลาต้นใต้ดินที่ตั้งตรงเช่นเดียวกับบัลบ์ มีข้อปล้องเห็นชัดตามข้อมีใบเกล็ดบางๆ หุ้ม ลาต้นหน้าที่
สะสมอาหารทาให้อวบอ้วน มีตาตามข้อสามารถงอกเป็นใบโผล่ขึ้นเหนือดินหรืออาจแตกเป็นลาต้นใต้ดินต่อไปได้ ส่วนล่างของ
ลาต้นมีรากฝอยเส้นเล็ก ๆ จานวนมาก เช่น เผือก แห้วจีน ซ่อนกลิ่นฝรั่ง
- 42. ความหมายและความสาคัญของใบ
• ใบ ( Leaves) เป็น อวัยวะที่เจริญออกไปบริเวณด้านข้างโดยมีตาเหน่งอยู่ที่ข้อปล้องของต้นและ กิ่ง ใบส่วนใหญ่มักแผ่แบน มีสีเขียว
ของคลอโรฟิลล์ ทาหน้าที่หลักในการสังเคราะห์ด้วยแสง (photosynthesis) และคายน้า (transpiration) รูปร่างและ
ขนาดของใบแตกต่างกันไปตามชนิดของพืช หน้าที่หลักของใบคือใช้ในการสังเคราะห์แสง การหายใจและการคายน้า
- 45. ส่วนประกอบของใบ COMPLETE LEAF
• 1. แผ่นใบหรือตัวใบ (leaf blade or lamina) มักแผ่แบน มีสีเขียว ส่วนใหญ่มีรูปร่างรี บางชนิดอาจมีรูปร่าง
กลม รูปหัวใจ รูปพัด ในใบหญ้าแผ่นใบมักจะเรียวยาว แผ่นใบเป็นส่วนสาคัญที่สุด เพราะเป็นส่วนที่สร้างอาหาร บางชนิดมี
ขนาดเล็กเป็นใบเกล็ด (scale leaf) หรือม้วนเป็นท่อ เช่นในใบหอม
- 47. ส่วนประกอบของใบ COMPLETE LEAF
• 1.1 เส้นใบ ( vein ) ให้สังเกตเส้นกลางใบ ( midrib ) ซึ่งต่อเป็นเนื้อเดียวกับก้านใบ จากเส้นกลางใบแยกออกเป็นเส้น
ใบ ซึ่งจะแยกแขนงออกไปอีกเป็นเส้นแขนงใบ ( vientet ) การเรียงของใบ ( venation ) เส้นใบแบบขนาน (
parallel venation )พบในพืชใบเลี้ยงเดี่ยว แบ่งเป็นเรียงตามยาวของใบ (plamately parallel
venation) และเส้นใบขนานกันตามขวางของใบ ( pinately parallel venation )
- 48. เส้นใบ ( VEIN )
• Parallel venation ลักษณะเส้นใบขนานกัน ถ้ามีเส้นกลางใบและมีเส้นใบย่อยแตกออกจากเส้นกลางใบขนานกัน
ลักษณะเช่นนี้เรียกว่า Costal parallel เช่น ใบหญ้า อ้อย ข้าว ถ้าเส้นใบขนานกันตั้งแต่โคนใบ ไม่มีเส้นใบกลางใบ
แบบนี้เรียกว่า Basal parallel เช่น ใบ พุทธรักษา ใบตอง
- 49. เส้นใบ ( VEIN )
• Reticulate venation หรือ netted venation ลักษณะคล้ายร่างแห สานกัน ถ้ามีเส้นกลางใบและมี
เส้นใบย่อยแตกออกจากเส้นกลางใบ ลักษณะเช่นนี้เรียกว่า pinnately netted venation ถ้าแตกจากโคนของ
ใบ ไม่มีเส้นใบกลางใบ แบบนี้เรียกว่า palmately
- 51. ส่วนประกอบของใบ COMPLETE LEAF
• 1.2 ส่วนของใบเลี้ยงคู่เป็นแบบตาข่าย (netted หรือ recticulated venation) ซึ่งมี 2 แบบคือ
แบบตาข่ายขนนก ( pinnately netted venation ) ตาข่ายแบบรูปมือ ( palmately
netted venation )
- 52. ส่วนประกอบของใบ COMPLETE LEAF
• 2. ก้านใบ (petiole) เป็นส่วนที่เชื่อมต่อระหว่างตัวใบกับลาต้น มีลักษณะเป็นก้านสั้นๆ ในใบหญ้าก้านใบมักจะแบน
บางโอบส่วนลาต้นไว้ ซึ่งนิยมเรียกว่ากาบ หรือ sheath พืชบางชนิดอาจไม่มีก้านใบ เรียกใบแบบนี้ว่า sessile
leaf ถ้ามีก้านใบเรียกว่า petiolate
- 53. ส่วนประกอบของใบ COMPLETE LEAF
• 3. หูใบ (stipule) เป็นส่วนของระยางค์ที่ยื่นออกมาตรงโคนใบที่ติดกับลาต้น หูใบมักมีอายุไม่นานและจะลดร่วงไป หู
ใบมักมีสีเขียวแต่อาจมีสีเช่น หูใบของต้นยางอินเดียหูใบมีสีสันสวยงามหุ้มยอดอ่อนเอาไว้ พืชบางชนิดอาจไม่มีหูใบ เรียก
ใบแบบนี้ว่า exstipulate leaf ถ้ามีหูใบเรียกว่า stipulate leaf เช่น เข็ม พุดน้าบุด มีหูใบอยู่ระหว่างใบ
ทั้งสองข้าง กุหลาบมีหูใบเชื่อมติดต่อกับก้านใบ ชบามีหูใบอยู่บริเวณซอกใบ
- 54. ส่วนประกอบของใบ COMPLETE LEAF
• 4. ขอบใบ (Leaf margin) หมายถึงส่วนริมสุดของตัวใบตั้งแต่โคนใบจนถึงปลายใบพืชแต่ละชนิดจะมีลักษณะ
ขอบใบแตกต่างกันไป เช่น ขอบใบเรียบ ขอบใบหยัก ขอบใบเว้า
- 60. ส่วนประกอบของใบ COMPLETE LEAF
• 7. เส้นกลางใบ (Midrib) คือ ส่วนที่ยื่นต่อจากก้านใบเข้าไปในตัวใบ มีลักษณะเป็นสันนูน แบ่งใบออกเป็นสองซีก เส้น
กลางใบจะแตกแขนงมากมายกระจายไปทั่วแผ่นใบ เรียกว่า เส้นใบ (Vein) ซึ่งจะช่วยให้แผ่นใบกางอยู่ได้
- 63. โครงสร้างภายในของใบ
• ใบประกอบด้วยเนื้อเยื่อ 3 ชนิด คือ Epidermis, Mesophyll และ Vascular bundle
• 1. ชั้นเอพิเดอร์มิส (Epidermis layer) เป็นชั้นที่อยู่นอกสุดของใบทั้งสองด้านทาหน้าที่ปกคลุมส่วนที่อยู่ด้านในของ
ใบ ด้านหลังใบหรือด้านบน คือ Upper epidermis และด้านท้องใบหรือด้านล่าง คือ Lower epidermis ชั้นเอพิเดอร์
มิสประกอบด้วยเซลล์ที่เรียงตัวเพียงชั้นเดียวและมี cuticle ปกคลุมอยู่
- 65. โครงสร้างภายในของใบ
• 2. ชั้นเมโซฟิลล์ (Mesophyll layer)
• เมโซฟิลล์ (Mesophyll : Gr. mesos = กึ่งกลาง, phyllon = ใบ) เป็นเนื้อเยื่อที่อยู่ระหว่างเอพิเดอร์มิสทั้งบนและ
ล่าง เซลล์ส่วนใหญ่เป็นเซลล์พาเรคิมาที่มีคลอโรฟิลล์อยู่ซึ่งเรียกว่า คลอเรงคิมา (chlorenchyma) โดยเซลล์ทั้งหมดหรือเกือบทั้งหมด
สามารถสังเคราะห์ด้วยแสงได้ดี และทาให้ใบไม้เป็นสีเขียว
- 66. โครงสร้างภายในของใบ
• ชั้นเมโซฟิลล์ แบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ
• 1) palisade mesophyll เป็นส่วนที่อยู่ทางด้านบน ติดกับ upper epidermis เซลล์ชั้นนี้มีลักษณะเป็น
ทรงกระบอกยาวๆ เรียงตัวอัดกันแน่นและตั้งฉากกับผิวใบ อาจเป็นแถวเดียวหรือหลายแถวซ้อนกันก็ได้แล้วแต่ชนิดของใบพืช
- 67. โครงสร้างภายในของใบ
• ชั้นเมโซฟิลล์ แบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ
• 2) spongy mesophyll เป็นชั้นที่อยู่ถัดจาก palisade mesophyll ลงมาจนถึงเอพิเดอร์มีสด้านล่าง เซลล์ชั้นนี้มี
รูปร่างค่อนข้างกลม หรือรูปร่างไม่แน่นอน มีการจัดเรียงตัวเกาะกันอย่างหลวม ๆ ทาให้มีช่องว่างระหว่างเซลล์มาก ทาให้ผนังของเซลล์มีพื้นที่
สัมผัสกับอากาศได้มากจึงเหมาะสาหรับการแลกเปลี่ยนก๊าซ
- 68. โครงสร้างภายในของใบ
• 3. มัดท่อลาเลียง (Vascular bundle) คือ ส่วนของเส้นใบที่แทรกอยู่ภายในใบ ประกอบด้วยท่อน้าหรือไซเลม (Xylem)
อยู่ด้านบน และท่ออาหาร หรือโฟลเอม (Phloem) อยู่ด้านล่าง ทาหน้าที่ลาเลียงน้าเข้าสู่ส่วนต่าง ๆ ของใบ และลาเลียงอาหารที่ได้
จากกระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสงไปยังส่วนต่าง ๆ ทั่วต้นพืช
- 73. การจัดประเภทของใบ
• 1. ใบแท้ (Foliage leaf) คือใบไม้ปกติทั่วๆ ไป มีสีเขียวและแผ่นเป็นแผ่นกว้างแบนเพื่อทาหน้าที่สังเคราะห์ด้วย
แสง หายใจ และคายน้า แบ่งออกเป็น 2 พวกใหญ่ๆ คือ ใบเดี่ยว และใบประกอบ
• 2. ใบพิเศษ (Specialized leaf) หรือใบที่เปลี่ยนแปลงไป (Modified leaf) พืชบางชนิดมีใบที่
เปลี่ยนแปลงไปเพื่อทาหน้าที่อย่างอื่นนอกจากการสังเคราะห์ด้วยแสง ได้แก่ มือเกาะ หนาม สะสมอาหาร เป็นต้น
- 74. ใบแท้ (FOLIAGE LEAF)
• 1. ใบเดี่ยว (simple leaf) ใบที่มีตัวใบแผ่นเดียว เช่น ใบน้อยหน่า มะม่วง ชมพู่ พืชบางชนิดตัวใบเว้า โค้งไปมา จึง
ทาให้ดูคล้ายมีตัวใบหลายแผ่นแต่บางส่วนของตัวใบยังเชื่อมกันอยู่ถือว่า เป็นใบเดี่ยว เช่น ใบมะละกอ ใบฟักทอง ตัวใบมัก
ติดกับก้านใบ ถ้าใบที่ไม่มีก้านใบเรียก sessile leaves เช่น บานชื่น
- 75. ใบแท้ (FOLIAGE LEAF)
• 2. ใบประกอบ (compound leaf) ใบที่มีตัวใบหลายแผ่นติดอยู่กับก้านใบเดียว เช่น ขี้เหล็ก ใบจามจุรี ใบย่อย
เรียกว่า leaflets ใบประกอบจะมีตาที่ซอกใบที่ติดกับลาต้นเท่านั้น (แต่ส่วนที่เป็นก้านใบย่อยจะไม่พบตา) ใบ
ประกอบยังสามารถแบ่งเป็นประเภทย่อยๆได้ 2 ประเภทดังนี้
- 76. ใบประกอบ (COMPOUND LEAF)
• Pinnately compound leaf (ใบประกอบแบบขนนก) ใบที่ประกอบด้วยหลายใบย่อย (leaflets) แต่
ละใบย่อยมีก้านใบย่อย (petiolule) ออกจากแกนกลาง (rachis) เป็นคู่ๆ คล้ายขนนก
- 77. PINNATELY COMPOUND LEAF
• ใบประกอบแบบขนนกชั้นเดียว (Pinnately compound leaf) ใบที่ประกอบด้วยใบย่อยแตกออกจากก้าน
ใบเพียงครั้งเดียว ใบย่อยแต่ละใบจะมีก้านใบย่อยเรียกว่า petiolue ได้แก่ ใบกุหลาบ ใบมะขาม ใบขี้เหล็ก ใบสะเดา
ใบทองอุไร ใบกาลพฤกษ์
- 78. PINNATELY COMPOUND LEAF
• ใบประกอบแบบขนนกสองชั้น (bipinnately compound leaf) ใบที่ประกอบด้วยใบย่อยแตกออกจาก
ก้านใบเพียง 2 ครั้ง และมีช่วงของก้านใบหรือแกนกลาง 2 แห่ง คือ rachis และ rachilla เช่น ใบหางนกยูงฝรั่ง
จามจุรี กระถิน
- 79. PINNATELY COMPOUND LEAF
• ใบประกอบแบบขนนกสามชั้น (tripinnately compound leaf) ใบที่ประกอบด้วยใบย่อยแตกออกจาก
ก้านใบเพียง 3ครั้ง และมีช่วงของก้านใบหรือแกนกลาง 2 แห่ง คือ rachis และ rachilla แต่แกนกลางที่ 3 อาจ
เรียกรวมว่า rachilla ตัวอย่าง เช่น ใบมะรุม บีบ
- 80. ใบประกอบ (COMPOUND LEAF)
• Palmately compound leaf (ใบประกอบแบบฝ่ ามือ) ใบที่ประกอบด้วยหลายใบย่อย (leaflets)
แตกออกจากส่วนก้านใบลักษณะคล้ายนิ้วมือ ซึ่งแบ่งเป็นประเภทต่างๆดังนี้ bifoliage ใบที่ประกอบด้วยใบย่อย 2
ใบ trifoliage ใบที่ประกอบด้วยใบย่อย 3 ใบ
- 82. ใบพิเศษ (SPECIALIZED LEAF) หรือใบที่เปลี่ยนแปลงไป (MODIFIED LEAF)
• พืชบางชนิดมีใบที่เปลี่ยนแปลงไปเพื่อทาหน้าที่อย่างอื่นนอกจากการสังเคราะห์ด้วยแสง ได้แก่
1. มือเกาะ (leaf tendril) เป็นใบที่เปลี่ยนแปลงไปเพื่อยึดและพยุงลาต้นให้ไต่ขึ้นที่สูงได้ เช่น ถั่วลันเตา มะระ ตาลึง
เป็นต้น โดยอาจเปลี่ยนแปลงมาจากทั้งใบหรือส่วนต่าง ๆ ของใบ เช่น หูใบ ก้านใบ ปลายใบ หรือใบย่อย
- 83. ใบพิเศษ (SPECIALIZED LEAF) หรือใบที่เปลี่ยนแปลงไป (MODIFIED LEAF)
• พืชบางชนิดมีใบที่เปลี่ยนแปลงไปเพื่อทาหน้าที่อย่างอื่นนอกจากการสังเคราะห์ด้วยแสง ได้แก่
2. หนาม (Leaf spine) เป็นใบที่เปลี่ยนเป็นหนามเพื่อป้องกันอันตรายจากสัตว์ที่จะมากัดกิน และช่วยลดการคาย
น้าอีกด้วย เช่น มะขามเทศ กระบองเพชร ป่ านศรนารายณ์ สับปะรด เป็นต้น
- 84. ใบพิเศษ (SPECIALIZED LEAF) หรือใบที่เปลี่ยนแปลงไป (MODIFIED LEAF)
• พืชบางชนิดมีใบที่เปลี่ยนแปลงไปเพื่อทาหน้าที่อย่างอื่นนอกจากการสังเคราะห์ด้วยแสง ได้แก่
3. ใบสะสมอาหาร (Storage leaf) เป็นใบที่เปลี่ยนแปลงไปทาหน้าที่สะสมอาหารและน้าจึงมีลักษณะอวบอ้วน
เนื่องจากสะสมน้าและอาหารไว้มาก เช่น ใบเลี้ยงของพืชต่างๆ ใบว่านหางจระเข้ กาบกล้วย
- 85. ใบพิเศษ (SPECIALIZED LEAF) หรือใบที่เปลี่ยนแปลงไป (MODIFIED LEAF)
• พืชบางชนิดมีใบที่เปลี่ยนแปลงไปเพื่อทาหน้าที่อย่างอื่นนอกจากการสังเคราะห์ด้วยแสง ได้แก่
4. ใบเกล็ด (Scale leaf) มีลักษณะเป็นเกล็ดเล็กๆ ไม่มีคลอโรฟิลล์ เช่น ใบเกล็ดของสนทะเล โปร่งฟ้า ขิง ข่า เผือก
แห้ว เป็นต้น
- 86. ใบพิเศษ (SPECIALIZED LEAF) หรือใบที่เปลี่ยนแปลงไป (MODIFIED LEAF)
• พืชบางชนิดมีใบที่เปลี่ยนแปลงไปเพื่อทาหน้าที่อย่างอื่นนอกจากการสังเคราะห์ด้วยแสง ได้แก่
5. เกล็ดหุ้มตา (Bud scale) มีลักษณะเป็นแผ่นหุ้มตาไว้ เมื่อตาเจริญเติบโตก็จะดันให้เกล็ดหุ้มตากางออกหรือหลุด
ร่วงไป เช่น ในต้นสาเก จาปี และยาง เป็นต้น
- 87. ใบพิเศษ (SPECIALIZED LEAF) หรือใบที่เปลี่ยนแปลงไป (MODIFIED LEAF)
• พืชบางชนิดมีใบที่เปลี่ยนแปลงไปเพื่อทาหน้าที่อย่างอื่นนอกจากการสังเคราะห์ด้วยแสง ได้แก่
6. ฟิลโลด (Phyllode) หรือ Phyllodium (Gr. phyllon = ใบ) เป็นส่วนต่างๆ ของใบที่เปลี่ยนแปลงไป
เป็นแผ่นแบนคล้ายตัวใบ พืชที่มีใบแบบนี้มักจะไม่มีใบที่แท้จริง เช่น ใบกระถินณรงค์เปลี่ยนแปลงมาจากก้านใบ
- 88. ใบพิเศษ (SPECIALIZED LEAF) หรือใบที่เปลี่ยนแปลงไป (MODIFIED LEAF)
• พืชบางชนิดมีใบที่เปลี่ยนแปลงไปเพื่อทาหน้าที่อย่างอื่นนอกจากการสังเคราะห์ด้วยแสง ได้แก่
7. ทุ่นลอย (Floating leaf) พืชน้าบางชนิด เช่น ผักตบชวา จะมีก้านใบที่พองออก ภายในมีช่องว่างให้อากาศแทรก
อยู่มาก จึงช่วยพยุงลาต้นทาให้สามารถลอยน้าได้
- 89. ใบพิเศษ (SPECIALIZED LEAF) หรือใบที่เปลี่ยนแปลงไป (MODIFIED LEAF)
• พืชบางชนิดมีใบที่เปลี่ยนแปลงไปเพื่อทาหน้าที่อย่างอื่นนอกจากการสังเคราะห์ด้วยแสง ได้แก่
8. ใบประดับหรือใบดอก (Floral leaf หรือ Bract: L. bractea = แผ่นโลหะ) เป็นใบที่เปลี่ยนแปลงไปเพื่อ
ทาหน้าที่ช่วยรองรับดอก มักมีสีเขียว แต่พืชหลายชนิดมีใบประดับเป็นสีอื่นๆ คล้ายกลีบดอก เพื่อช่วยล่อแมลงสาหรับผสมเกสร
เช่น เฟื่องฟ้า คริสต์มาส หน้าวัว เป็นต้น
- 90. ใบพิเศษ (SPECIALIZED LEAF) หรือใบที่เปลี่ยนแปลงไป (MODIFIED LEAF)
• พืชบางชนิดมีใบที่เปลี่ยนแปลงไปเพื่อทาหน้าที่อย่างอื่นนอกจากการสังเคราะห์ด้วยแสง ได้แก่
9. ใบสืบพันธุ์ (Vegetative reproductive leaf) เป็นใบที่เปลี่ยนแปลงไปเพื่อช่วยในการแพร่พันธุ์ เช่น ใบ
คว่าตายหงายเป็น
- 91. ใบพิเศษ (SPECIALIZED LEAF) หรือใบที่เปลี่ยนแปลงไป (MODIFIED LEAF)
• พืชบางชนิดมีใบที่เปลี่ยนแปลงไปเพื่อทาหน้าที่อย่างอื่นนอกจากการสังเคราะห์ด้วยแสง ได้แก่
10. กับดักแมลง (Insectivorous leaf หรือ Carnivorous leaf) เป็นใบที่เปลี่ยนแปลงไปทาหน้าที่ดัก
จับแมลงหรือสัตว์เล็กๆ โดยมีการสร้างเอนไซม์สาหรับย่อยแล้วดูดซึมแร่ธาตุไปใช้ประโยชน์ ตัวอย่างเช่น หยาดน้าค้าง กาบ
หอยแครง และหม้อข้าวหม้อแกงลิง เป็นต้น