More Related Content More from Wichai Likitponrak
More from Wichai Likitponrak (20) การสำรวจดิน Globe tu641. P a g e | 1
ชมรมวิทยาศาสตร์โลกทั้งระบบ โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา
กลุ่ม ดิน
ใบความรู้ 1 เรื่อง การเก็บตัวอย่างดินและการศึกษาโครงสร้างของดิน
การเก็บตัวอย่างดิน (SOIL SAMPLING)
การเก็บตัวอย่างดินโดยเก็บตัวอย่างที่ผิวดิน
ในกรณีที่ไม่สามารถเก็บตัวอย่างดินได้ลึกถึง 1 เมตร ให้นักเรียนใช้เสียมหรือพลั่วค่อยตักดินลึกประมาณ 10
เซนติเมตร จากผิวดิน เพื่อเป็นตัวอย่างของชั้นดินที่จะศึกษาลักษณะดิน ดังภาพที่ 1
ภาพที่ 1 เทคนิคการเก็บตัวอย่างดินที่ผิวดิน
การเก็บตัวอย่างดินโดยใช้สว่านเจาะดิน
1. กางแผ่นพลาสติก แผ่นกระดาษ หรือภาชนะลงบนผิวดินใกล้ๆ กับบริเวณที่จะเจาะดิน
2. เจาะดินด้วยสว่านเจาะดิน โดยค่อยๆ หมุนสว่านตามทิศตามเข็มนาฬิกาไปเรื่อยๆ ไม่ต้องออกแรงมาก จนเจาะดินได้
ระดับความลึกประมาณ 1 เมตร ค่อยๆ ดึงสว่านเจาะดินที่เก็บตัวอย่างดินขึ้นมาทีละน้อยและวางตัวอย่างดินที่เก็บได้มา
วางต่อกันตามลาดับของชั้นดินที่นาขึ้นมาลงบนแผ่นพลาสติกหรือแผ่นกระดาษที่ปูไว้
3. ระบุชั้นดิน วัดความหนาชั้นดิน คุณลักษณะของสีดิน เนื้อดิน และลักษณะอื่นๆ ที่แตกต่างกันของชั้นดินแต่ละชั้น
วิธีการตรวจวัด
1. เก็บตัวอย่างดินแต่ละชั้น โดยเลือกวิธีเก็บตัวอย่างดินให้เหมาะสมกับพื้นที่ จานวน 3 ตัวอย่าง เพื่อตรวจสอบความ
ถูกต้องของข้อมูล และรายงานเพียงตัวอย่างเดียว สาหรับแต่ละจุดศึกษา
2. ใส่ตัวอย่างดินในถุงหรือภาชนะเก็บดินอื่นๆ
3. ปิดฉลากที่ถุงใส่ตัวอย่างดินแสดงชื่อจุดศึกษา ความลึกจากด้านบนสุดและล่างสุดของชั้นดิน
4. นาตัวอย่างดินกลับมาจากภาคสนาม และแผ่ดินลงบนแผ่นพลาสติกอื่นหรือบนแผ่นกระดาษเพื่อผึ่งดินให้แห้งด้วยลม
การศึกษาโครงสร้างของดิน (SOIL STRUCTURE)
โครงสร้างของดิน คือ รูปร่างของก้อนดินตามสมบัติทางกายภาพและทางเคมีของดิน แต่ละหน่วยของโครงสร้างดิน
เรียกว่า เม็ดดิน (Ped) ซึ่งดินจะมีโครงสร้างหรือไม่มีโครงสร้างก็ได้ดังนี้
2. P a g e | 2
ชมรมวิทยาศาสตร์โลกทั้งระบบ โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา
กลุ่ม ดิน
1. ดินที่มีโครงสร้างมีแบบต่างๆ
2. ดินที่ไม่มีโครงสร้าง ประกอบด้วย 2 ลักษณะ
วิธีการตรวจวัด
1. เก็บตัวอย่างดินโดยวิธีต่างๆ ที่ใช้ในการศึกษาลักษณะดิน บันทึกข้อมูลเบื้องต้น เช่น สภาพแวดล้อม
2. วางดินตัวอย่างที่ยังไม่ถูกรบกวนลงบนมือ สังเกตดินในมือโดยละเอียด และสังเกตโครงสร้างของดิน ซึ่ง
โครงสร้างของดินมีหลายรูปแบบ ดังแผนภาพโครงสร้างของดิน
3. ตรวจวัดขนาด รูปร่าง และบันทึกข้อมูลลงในใบบันทึกข้อมูลการตรวจวัดคุณลักษณะดิน
3. P a g e | 3
ชมรมวิทยาศาสตร์โลกทั้งระบบ โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา
กลุ่ม ดิน
ใบความรู้ 2 เรื่อง การตรวจวัดสีดิน
การตรวจวัดสีดิน (SOIL COLOR)
สีของดิน บ่งบอกถึงสารเคมีที่เคลือบอยู่ที่อนุภาคของดิน ปริมาณสารอินทรีย์ในดิน และปริมาณความชื้นในดิน
ตัวอย่างเช่น ดินที่มีอินทรียสารมากมักเป็นดินที่มีสีเข้ม แร่ธาตุบางชนิด เช่น เหล็ก จะทาให้ดินมีสีแดงและเหลืองที่ผิวของ
อนุภาคดิน ดินในที่แล้งมักมีสีขาวเนื่องจากมีการสะสมของผลึกเกลือและด่างต่างๆ เช่น แคลเซียมคาร์บอเนต และโซเดียมคลอ
ไรด์ เป็นต้น เคลือบอยู่ สีของดินอาจมีผลมาจากปริมาณความชื้นในดิน ความชื้นที่มีอยู่นั้นขึ้นอยู่กับระยะเวลาของการระบายน้า
หรือน้าขัง ดังนั้น ดินที่มีความชื้นมากจึงมักจะมีสีเข้มกว่าดินปกติ ในการเทียบสีดินนั้นยึดตามหลักการของ Munsell
รหัส Munsell เป็นรหัสสากลที่ใช้ในการบรรยายสีของดิน สีดินแต่ละสีในสมุดเทียบสีดินของ GLOBE ประกอบด้วย
ตัวอักษรแทนชนิดของสีและตัวเลขกากับ 3 ตัวโดยไล่ตามลาดับ คือ Hue Value และ Croma
1. Hue เป็นตัวเลขและตัวอักษรประกอบกัน ค่า Hue แสดงถึงตาแหน่งของสีบนวงล้อสี (Color Wheel) สัญลักษณ์อักษรแต่ละ
ตัวแทนสีต่างๆ ได้แก่
B – สีน้าเงิน BG – สีน้าเงินเขียว
G – สีเขียว GY – สีเขียวเหลือง (สีส้ม)
N – สีเทา ขาว และดา PB – สีม่วงน้าเงิน
P – สีม่วง RP – สีม่วงแดง
R – สีแดง RY – สีเหลืองปนแดง
Y – สีเหลือง YR – สีแดงปนเหลือง
2. Value เป็นเลขตัวแรกก่อนเส้นขีดคั่น ค่า Value แสดงถึงค่าความสว่างของสี ระดับของช่วงความสว่างเริ่มจาก 0 ซึ่งเป็นสีดา
สนิท จนถึง 10 ซึ่งเป็นสีขาวบริสุทธิ์
4. P a g e | 4
ชมรมวิทยาศาสตร์โลกทั้งระบบ โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา
กลุ่ม ดิน
3. Chroma เป็นตัวเลขหลังเส้นขีดคั่น (/) ค่า Chroma บรรยายถึง ความเข้มของสี สีที่มีค่า Chroma ต่า บางครั้งเรียกว่า สีอ่อน
ในขณะที่สีที่มีค่า Chroma สูงเรียกว่ามีความอิ่มตัวของสีสูงมีความเข้ม หรือแก่ (Vivid) ระดับความเข้มของสีเริ่มจาก 0
สาหรับสีที่มีความเข้มปานกลางเพิ่มความเข้มไปเรื่อยๆ เมื่อมีค่าสูงขึ้น
วิธีการตรวจวัด
1. หยิบเม็ดดินจากตัวอย่างดินแต่ละชั้นมาสังเกต และบันทึกลงในใบบันทึกข้อมูล ว่าเม็ดดินนั้น ชื้นแห้ง หรือว่า
เปียก ถ้าแห้งให้ทาให้ชื้นเล็กน้อยด้วยน้าจากขวดที่เตรียมไป
2. บิเม็ดดินออกเป็น 2 ส่วน
3. ยืนให้แสงอาทิตย์ส่องผ่านไหล่ไปที่สมุดเทียบสีดินและตัวอย่างดินที่กาลังตรวจวัดสีดิน
4. บันทึกค่าสีดินลงในใบบันทึกข้อมูล
5. P a g e | 5
ชมรมวิทยาศาสตร์โลกทั้งระบบ โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา
กลุ่ม ดิน
ใบความรู้ 3 เรื่อง การตรวจวัดความยึดตัวของดินและการตรวจวัดเนื้อดิน
การตรวจวัดความยึดตัวของดิน (SOILA CONSISTENCE)
ความยึดตัวของดิน หมายถึง พฤติกรรมของดินที่ตอบสนองต่อแรงกระทาจากภายนอก ซึ่งสัมพันธ์กับเนื้อดิน
โครงสร้างของดิน และระดับความชื้นของดินในขณะนั้น ดังนั้นการตอบสนองของแรงกระทานี้จะเปลี่ยนแปลงตามระดับ
ความชื้น
การประเมินความยึดตัวของดินจึงกระทาเมื่อดินมีความชื้นหลายระดับ ดังนี้
1. เมื่อดินเปียก (Wet Soil) ขณะดินมีความชื้นสูงใกล้เคียงจุดอิ่มตัวด้วยน้า จะทดสอบเป็น 2 ชนิด คือ
ก. การเปลี่ยนรูปได้หรือสภาพพลาสติก (Plasticity) หมายถึง ความยากง่ายในการปั้นให้เป็นรูปต่างๆ
ข. ความเหนียว (Stickiness) หมายถึง ความยากง่ายที่ดินจะเกาะติดมือในขณะจับหรือบีบในระหว่างนิ้
2. เมื่อดินชื้น (Moist Soil) ขณะดินมีความชื้นปานกลาง จะประเมินสภาพร่วนซุย (Friability) ของก้อนดิน เมื่อถูกบีบใน
ระหว่างนิ้ว
3. ดินแห้ง (Dry Soil) ขณะก้อนดินมีระดับความชื้นผึ่งแห้งในที่ร่ม (Air Dry) จะทดสอบความแข็ง (Hardness) โดยการ
บีบในอุ้งมือ
สาหรับการทดสอบความยึดตัวของดินในเอกสารนี้ จะเป็นการทดสอบเมื่อดินมีสภาพชื้นและอธิบายความยึดตัวและระดับ
ความแข็งของแต่ละเม็ดดิน โดยใช้คาว่า ร่วน ร่วนซุย แน่น และแน่นมาก อธิบายความยึดตัวของดิน
วิธีการตรวจวัด
1. นาเม็ดดินจากดินชั้นบนถ้าดินแห้งให้ทาให้ชั้นดินชื้นโดยใช้น้าฉีดแล้วดึงเม็ดดินออกมาสังเกตการยึดตัว
ของดิน (ทาซ้าเช่นนี้สาหรับดินทุกชั้น)
2. หยิบเม็ดดินไว้ระหว่างนิ้วหัวแม่มือและนิ้วชี้ค่อยๆ บีบเม็ดดินจนแตกออกเป็นส่วน
6. P a g e | 6
ชมรมวิทยาศาสตร์โลกทั้งระบบ โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา
กลุ่ม ดิน
3. บันทึกลักษณะการยึดตัวอย่างใดอย่างหนึ่งใบบันทึกข้อมูล
การตรวจวัดเนื้อดิน (SOIL TEXTURE)
เนื้อดิน เกิดจากการผสมของอนุภาคดิน 3 ขนาดในสัดส่วนต่างๆ กัน อนุภาคดินแบ่งออกได้เป็น 3 ชนิดใหญ่ คือ
1. ทราย เป็นอนุภาคที่มีขนาดใหญ่ที่สุด และให้ความรู้สึกสากมือ และเนื้อดิน “หยาบ” ขนาด 2.00 – 0.05 mm (USDA1)
(ขนาด 2.00 – 0.02 mm ISSS2)
2. ทรายแป้ง เป็นอนุภาคขนาดปานกลาง และให้ความรู้สึกนุ่ม ลื่นมือ หรือ “ลักษณะคล้ายแป้ง” ขนาด 0.05 – 0.002 mm
(USDA) (ขนาด 0.02 – 0.002 mm ISSS)
3. ดินเหนียว เป็นอนุภาคขนาดเล็กที่สุด และให้ความรู้สึก “เหนียว” และแน่นยากที่จะบีบ ขนาด <0.002 mm (USDA)
(ขนาด <0.002 mm ISSS)
สามารถจาแนกเนื้อดินที่เกิดจากการผสมของอนุภาคดินของดินทราย ทรายแป้ง และดินเหนียวในสัดส่วนต่างๆ กัน
ออกเป็นย่อยๆ ได้ดังนี้ (Soil Survey Division Staff, 1993)
7. P a g e | 7
ชมรมวิทยาศาสตร์โลกทั้งระบบ โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา
กลุ่ม ดิน
วิธีการตรวจวัด
8. P a g e | 8
ชมรมวิทยาศาสตร์โลกทั้งระบบ โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา
กลุ่ม ดิน
9. P a g e | 9
ชมรมวิทยาศาสตร์โลกทั้งระบบ โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา
กลุ่ม ดิน
10. P a g e | 10
ชมรมวิทยาศาสตร์โลกทั้งระบบ โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา
กลุ่ม ดิน
11. P a g e | 11
ชมรมวิทยาศาสตร์โลกทั้งระบบ โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา
กลุ่ม ดิน
คู่มือตรวจสอบเนื้อดินภาคสนาม (ชาลี นาวานุเคราะห์, 2542)
12. P a g e | 12
ชมรมวิทยาศาสตร์โลกทั้งระบบ โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา
กลุ่ม ดิน
ใบความรู้ 4 เรื่อง การตรวจวัดคาร์บอเนตอิสระ
การตรวจวัดคาร์บอเนตอิสระ (FREE CARBONATES)
สารประกอบคาร์บอเนตของแคลเซียมหรือสารอื่นๆ จะสะสมในบริเวณที่มีการผุพังของวัตถุต้นกาเนิดดิน โดย
คาร์บอเนตในดินสามารถเกิดขึ้นในสภาพภูมิอากาศที่แห้งแล้งหรือในดินที่มีต้นกาเนิดมาจากหินที่มีแคลเซียมสูง เช่น หินปูน
คาร์บอเนตอิสระจะเคลือบอนุภาคดินไว้ทาให้ดินมีสภาพเป็นเบส (มีค่าพีเอชสูงกว่า 7) ดินชนิดนี้มักเกิดในที่ที่มีสภาพภูมิอากาศ
แบบแห้งแล้งหรือกึ่งแห้งแล้ง คาร์บอเนตมักจะเป็นผลึกสีขาวและมักจะทาให้เป็นรอยได้ง่ายโดยการใช้เล็บ บางครั้งในสภาพ
อากาศแบบแห้งแล้ง คาร์บอเนตสะสมรวมกันเป็นชั้นคล้ายกับการเชื่อมแข็งเป็นดาน และรากพืชไม่สามารถเจริญเติบโตผ่านชั้น
นี้ได้
การทดสอบคาร์บอเนตทาได้โดยการใช้กรด เช่น น้าส้มสายชู หยดลงบนดิน ถ้ามีคาร์บอเนต จะเกิดปฏิกิริยาระหว่าง
น้าส้มสายชู (กรด) กับคาร์บอเนต (เบส) ทาให้เกิดคาร์บอนไดออกไซด์ เมื่อมีคาร์บอนไดออกไซด์จะทาให้เกิดฟองแก๊ส ยิ่งมี
คาร์บอเนตมากเท่าไรก็จะมีฟองแก๊สเกิดขึ้นมากเท่านั้น
วิธีการตรวจวัด
1. หยดน้าส้มสายชูลงบนดิน ถ้าเกิดคาร์บอเนตอิสระขึ้น จะเห็นเป็นฟองฟู่ หรือเห็นฟองแก๊สเกิดขึ้น ซึ่งเกิดจากการทา
ปฏิกิริยาของน้าส้มสายชูกับคาร์บอเนต
2. บันทึกสิ่งที่สังเกตได้
13. P a g e | 13
ชมรมวิทยาศาสตร์โลกทั้งระบบ โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา
กลุ่ม ดิน
ใบความรู้ 5 เรื่อง การตรวจวัดอุณหภูมิดิน
การตรวจวัดอุณหภูมิดิน (SOIL TEMPERATURE)
อุณหภูมิดินมีความสัมพันธ์โดยตรงกับอุณหภูมิบรรยากาศ ตัวอย่างเช่น ในเวลากลางวันดินจะดูดซับพลังงานจากดวง
อาทิตย์ทาให้อุณหภูมิสูงขึ้น ในเวลากลางคืนดินจะคายความร้อนออกสู่บรรยากาศ อุณหภูมิดินจึงอาจต่ากว่าอุณหภูมิบรรยากาศ
ในช่วงหน้าร้อนและอาจสูงกว่าอุณหภูมิอากาศในช่วงหน้าหนาว อุณหภูมิดินมีผลต่อการเจริญเติบโตของพืช ช่วงเวลาของการ
แตกตาหรือการร่วงของใบ และอัตราการย่อยสลายของอินทรียสาร
วิธีการตรวจวัด
การเทียบมาตรฐานเทอร์มอมิเตอร์
1. เทน้า 250 มิลลิลิตร ใส่ลงไปในถังที่มีน้าแข็งครึ่งถัง
2. นาเทอร์มอมิเตอร์มาตรฐานและเทอร์มอมิเตอร์สาหรับวัดดินจุ่มลงไปในถังน้าแข็ง นาน 2 นาที และควรระวังให้
ปลายเทอร์มอมิเตอร์จุ่มลงในน้าไม่ต่ากว่า 4 เซนติเมตร
3. อ่านค่าอุณหภูมิของเทอร์มอมิเตอร์ทั้ง 2 อัน
4. ถ้าอุณหภูมิของเทอร์มอมิเตอร์ดินต่างจากเทอร์มอมิเตอร์มาตรฐาน น้อยกว่า 2 องศาเซลเซียส แสดงว่า เทอร์มอ
มิเตอร์ดินสามารถตรวจวัดอุณหภูมิได้ค่าที่ถูกต้องและยอมรับได้
5. ถ้าค่าความแตกต่างอุณหภูมิของเทอร์มอมิเตอร์ดินต่างจากเทอร์มอมิเตอร์มาตรฐาน มากกว่า 2 องศาเซลเซียส ให้
รอต่อไป 2 นาที ถ้าค่าความแตกต่างอุณหภูมิของเทอร์มอมิเตอร์ดินต่างจากเทอร์มอมิเตอร์มาตรฐาน ยังคงมากกว่า
2 องศาเซลเซียส ให้ปรับนอตที่อยู่ด้านล่างของหน้าปัดอุณหภูมิด้วยประแจจนอุณหภูมิของเทอร์มอมิเตอร์ดิน
ใกล้เคียงกับเทอร์มอมิเตอร์มาตรฐาน จึงจะสามารถนาเทอร์มอมิเตอร์ดินไปใช้ได้
การวัดอุณหภูมิในภาคสนาม
อุณหภูมิที่ระดับความลึก 5 เซนติเมตร
1. ตอกเหล็กนาร่องลงไปลึกประมาณ 15 เซนติเมตร
2. นาเทอร์มอมิเตอร์ใส่ลงในท่อพลาสติกยาว 12 เซนติเมตร สาหรับวัดอุณหภูมิที่ระดับความลึก 5 เซนติเมตร แล้ว
ใส่ลงในในร่องดินที่เตรียมไว้ในข้อ 1
3. รอ 2 นาที อ่านค่าอุณหภูมิดิน ครั้งที่ 1 และเวลาที่อ่านค่า บันทึกลงในใบบันทึกข้อมูล อ่านค่าอุณหภูมิดินอีก 2
ครั้ง โดยรอเวลาอ่านค่าเหลือเพียงครั้งละ 1 นาที
14. P a g e | 14
ชมรมวิทยาศาสตร์โลกทั้งระบบ โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา
กลุ่ม ดิน
4. ถ้าค่าที่อ่านได้ทั้ง 3 ครั้ง ต่างกันไม่เกิน 1 องศาเซลเซียส ถือว่าเป็นค่าที่ยอมรับได้ แต่ถ้าค่าที่อ่านได้ทั้ง 3 ครั้ง
ต่างกันมากกว่า 1 องศาเซลเซียส ให้ตัดค่าที่แตกต่างจากกลุ่มออกและอ่านค่าอุณหภูมิดินซ้าทุก 1 นาที จนกว่าค่า
อุณหภูมิที่อ่านได้จะแตกต่างกันไม่เกิน 1 องศาเซลเซียส
ภาพที่ 1 วิธีการตรวจวัดอุณหภูมิดินที่ระดับความลึก 5 เซนติเมตร
อุณหภูมิที่ระดับความลึก 10 เซนติเมตร
วัดอุณหภูมิดินที่ระดับความลึก 10 เซนติเมตร โดยทาเช่นเดียวกับการอุณหภูมิที่ระดับความลึก 5 เซนติเมตร
แต่เปลี่ยนจากใช้ท่อพลาสติกยาว 12 เซนติเมตร มาใช้ท่อพลาสติกยาว 7 เซนติเมตร แล้วทาตามข้อ 1 – 4 ข้างบน
ภาพที่ 2 วิธีการตรวจวัดอุณหภูมิดินที่ระดับความลึก 10 เซนติเมตร
15. P a g e | 15
ชมรมวิทยาศาสตร์โลกทั้งระบบ โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา
กลุ่ม ดิน
ใบความรู้ 6 เรื่อง การตรวจวัดความชื้นในดิน
การตรวจวัดความชื้นในดิน (SOIL MOISTURE)
ความชื้นในดิน เป็นสัดส่วนระหว่างมวลของน้าในดินกับมวลของดินแห้ง โดยทั่วไปสัดส่วนนี้มีค่าระหว่าง 0.05 – 0.5
กรัม/กรัม มีเพียงดินที่แห้งจัดเท่านั้นที่ค่านี้น้อยกว่าปกติ เช่น ดินในทะเลทรายมีค่าต่า 0.05 กรัม/กรัม และมีเพียงดินที่มีอินทรีย
สารสูง ดินพรุ หรือดินเหนียวที่ชุ่มน้าจะมีค่าสูงกว่า 0.5 กรัม/กรัม การวัดความชื้นในดินช่วยบอกหน้าที่ของดินที่อยู่ในบริเวณ
ระบบนิเวศนั้น ตัวอย่างเช่น แสดงถึงความสามารถในการอุ้มน้าหรือไหลผ่านของน้าในดินที่เกิดจากการไหลของน้าใต้ดิน การ
ไหลของน้าผิวดิน และการคายน้าและระเหยของน้าออกสู่บรรยากาศ และยังใช้อธิบายความสามารถของดินในการให้ธาตุอาหาร
และน้าสู่พืชซึ่งมีผลต่อการเจริญเติบโตและการอยู่รอดของพืช
1. เก็บตัวอย่างดินที่ความลึก 10 เซนติเมตร แต่ละจุด อย่างน้อย 3 ตัวอย่าง เพื่อทาการตรวจวัด 3 ซ้า
2. เขียนฉลากแสดงรายละเอียดของตัวอย่างดิน เช่น ชื่อจุดศึกษา ระดับความลึกของดิน ชื่อผู้เก็บตัวอย่างดิน วันที่เก็บ
ตัวอย่างดิน
3. ชั่งน้าหนักดินแต่ละตัวอย่างก่อนอบ
4. นาตัวอย่างดินไปอบที่อุณหภูมิ 95 – 105 องศาเซลเซียส เป็นเวลา 24 ชั่วโมง
5. ชั่งน้าหนักของแต่ละตัวอย่างดินหลังอบ แล้วคานวณหาค่าความชื้นตามสูตร ดังนี้
ความชื้นในดิน (กรัม/กรัม) = มวลของดินเปียก – มวลของดินแห้ง
16. P a g e | 16
ชมรมวิทยาศาสตร์โลกทั้งระบบ โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา
กลุ่ม ดิน
ใบความรู้ 7 เรื่อง การตรวจวัดค่าความเป็นกรด-เบสของดิน
การตรวจวัดค่าความเป็นกรด-เบสของดิน (SOIL PH)
ความเป็นกรด-เบส หรือค่าพีเอชของดิน แต่ละชั้นบอกถึงลักษณะดินต้นกาเนิด สารเคมีที่อยู่ในฝนหรือน้าที่ไหลลงสู่
ดิน การจัดการดิน และกิจกรรมของสิ่งมีชีวิตในดิน (พืช สัตว์ และจุลินทรีย์) เช่นเดียวกับพีเอชของน้า พีเอชของดินวัดโดยใช้
ค่าล็อก pH ของดินเป็นตัวบ่งชี้สมบัติทางเคมีของดินและธาตุอาหารในดิน กิจกรรมของสารเคมีในดินส่งผลต่อพีเอช พืชแต่ละ
ชนิดก็จะขึ้นได้ในดินที่มีพีเอชต่างกัน เกษตรกรจึงมักจะใส่สารลงไปในดินเพื่อเปลี่ยนค่าพีเอชให้เหมาะกับชนิดของพืชที่จะ
ปลูกพีเอชของดินยังมีผลต่อพีเอชของน้าใต้ดินหรือแหล่งน้าอื่นๆ ในบริเวณใกล้เคียง ดังเช่น แม่น้า หรือทะเลสาบ ค่าพีเอชของ
ดินมีค่า 1 – 14 จาแนกเป็นค่าพิสัยได้10 ระดับ ดังนี้ (Soil Survey Division Staff, 1993)
วิธีการตรวจวัด
การเตรียมตัวอย่างดินสาหรับห้องปฏิบัติการ
1. ใช้ตะแกรงร่อนดินเบอร์ 10 (ช่องตะแกรงขนาด 2 มิลลิเมตร) เหนือกระดาษ แล้วเทดินตัวอย่างลงในตะแกรง ใส่ถุงมือ
ยางเพื่อกันไม่ให้กรดและเบสจากมือของผู้ปฏิบัติไปทาให้ค่าพีเอชของดิน ผิดไปจากความเป็นจริง
2. ค่อยๆ เขี่ยเบาๆ ทาให้ดินผ่านช่องตะแกรงลงไปบนกระดาษ อย่าดันจนตะแกรงลวดโก่งด้วยการกดดินแรงเกินไป หยิบ
เอาหินและสิ่งปะปนอื่นๆ ออกจากตะแกรงทิ้งไป เก็บรักษาตัวอย่างดินที่ร่อนแล้ว แต่ละชนิดไว้สาหรับการวิเคราะห์
อื่นๆ
3. นาดินตัวอย่างที่เอาหินออกแล้วจากกระดาษใต้ตะแกรงร่อนลงในถุงพลาสติกหรือภาชนะที่แห้งและสะอาด ปิดปาก
ภาชนะ และเขียนฉลากไว้ที่ถุงเช่นเดียวกับที่เขียนไว้ที่ภาชนะที่ใช้เก็บดินภาคสนาม (เลขที่ชั้นดิน ระดับความลึกชั้น
ตัวอย่างดิน วันที่ ชื่อจุดศึกษา ตาแหน่งจุดศึกษา ฯลฯ) ตัวอย่างดินนี้สามารถนาไปใช้ในการวิเคราะห์อื่นๆ ใน
17. P a g e | 17
ชมรมวิทยาศาสตร์โลกทั้งระบบ โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา
กลุ่ม ดิน
ห้องปฏิบัติการบนฉลาก ให้เขียนชื่อจุดศึกษา เลขที่ตัวอย่างดิน เลขที่ชั้นดิน ความลึกระดับบนสุดจากผิวดิน ความลึก
ระดับล่างสุดจากผิวดิน วันที่ที่เก็บตัวอย่างดิน
4. เก็บรักษาตัวอย่างดินนี้ไว้ในที่ที่ปลอดภัย ในที่แห้งจนกว่าจะนาไปใช้
การตรวจวัดค่าความเป็นกรด-เบสของดิน
1. ชั่งตัวอย่างดินที่แห้งและร่อนแล้วมา 20 กรัม เทลงในบีกเกอร์ แล้วเติมน้ากลั่น 20 หรือ 100 มิลลิลิตร เพื่อให้ได้
อัตราส่วนดิน : น้า เท่ากับ 1 : 1 ในกรณีดินร่วนและดินทราย หรืออัตราส่วน 1 : 5 ในกรณีดินเหนียว (ดินในประเทศ
ไทยส่วนใหญ่ใช้อัตราส่วน 1 : 5)
2. ใช้แท่งแก้วคนดินนานเวลา 30 วินาที แล้วพักทิ้งไว้3 นาที ทาอย่างนี้ 5 ครั้ง
3. เมื่อคนดินครบ 5 ครั้งแล้ว ตั้งทิ้งไว้จนดินในบีกเกอร์ตกตะกอน จะเห็นน้าใสๆ อยู่บริเวณด้านบน
4. จุ่มกระดาษวัดค่าพีเอช หรือปากกาวัดค่าพีเอชที่ปรับค่ามาตรฐาน ลงไปในบริเวณน้าใสๆ อย่าจุ่มลงไปให้โดนดิน
ด้านล่าง (ภาพที่ 99) รอจนค่าหยุดนิ่ง แล้วอ่านค่าพีเอช
5. เมื่อวัดค่าพีเอชเสร็จแล้ว ใช้น้ากลั่นล้างปากกาวัดค่าพีเอชบริเวณส่วนที่สัมผัสกับดินให้สะอาด แล้วใช้กระดาษทิชชูซับ
ให้แห้ง
หมายเหตุ: ก่อนการใช้พีเอชมิเตอร์ต้องมีการเทียบมาตรฐานเครื่องมือ (ดูวิธีการเทียบมาตรฐานจากหลักวิธีการดาเนินการเรื่อง
น้า)
18. P a g e | 18
ชมรมวิทยาศาสตร์โลกทั้งระบบ โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา
กลุ่ม ดิน
ใบความรู้ 8 เรื่อง การตรวจวัดความอุดมสมบูรณ์ของดิน
การตรวจวัดความอุดมสมบูรณ์ของดิน (SOIL FERTILITY)
ความอุดมสมบูรณ์ของดิน บอกได้โดยปริมาณของธาตุอาหารหลักที่ประกอบอยู่ในดิน เช่น ไนโตรเจน (N) ฟอสฟอรัส
(P) และโพแทสเซียม (K) เป็นธาตุหลักที่มีความสาคัญที่สุดที่พืชต้องการในปริมาณมากสาหรับการเจริญเติบโตที่เหมาะสมแต่
ละชั้นดินสามารถทดสอบปริมาณธาตุทั้งสามที่มีอยู่ ผลของการวัดช่วยในการกาหนดความเหมาะสมของดินสาหรับการปลูกพืช
วิธีการตรวจวัด
ขั้นตอนที่ 1 เตรียมสารละลายดินโดยการสกัดดิน
1. การหาความอุดมสมบูรณ์ของดิน จะใช้ชุดทดสอบความอุดมสมบูรณ์ของดิน พร้อมสารทดสอบเพื่อหาค่า N, P และ K
ของดิน
2. ใส่น้ากลั่นลงในหลอดสกัดดินที่มาจากชุดตรวจสอบดินให้ถึงขีดปริมาตรข้างขวด หรือประมาณ 30 cm3
3. เติมสารประกอบ Floc-Ex ลงไปในหลอดสกัดจานวน 2 เม็ด ปิดปากหลอดและเขย่าให้ผสมกันจนเม็ด Floc-Ex ละลาย
หมด
4. เปิดจุกและใส่ดินที่แห้งและร่อนแล้วลงไป 1 ช้อนชาพูน (ประมาณ 5 กรัม)
5. ปิดฝาหลอดสกัดดินให้แน่นและเขย่าให้ดินทาปฏิกิริยากับสารละลายเป็นเวลา 1 นาที
6. ตั้งหลอดทิ้งไว้นั้น จนกระทั่งดินตกตะกอน (โดยปกติจะใช้เวลาประมาณ 5 นาที) สารละลายส่วนที่ใสเหนือดินจะเก็บ
ไว้ใช้ในการทดสอบหาค่าไนเตรต (N) ฟอสฟอรัส (P) และโพแทสเซียม (K)
ขั้นตอนที่ 2 การตรวจวัดไนโตรเจน (N)
1. ใช้หลอดดูดดูดสารละลายใสที่อยู่เหนือดิน แล้วนาไปใส่ในหลอดทดลองหลอดเปล่าในชุดทดสอบดินหนึ่งหลอด จน
เกือบถึงปากหลอด (ถึงขีดบอกระดับประมาณ 10 มิลลิลิตร)
2. ใส่สาร Nitrate WR CTA ลงไปในหลอดทดลองจานวน 1 เม็ด ต้องแน่ใจว่าเศษของเม็ดสารที่แตกออกจะต้องถูกใส่เข้า
ไปในหลอดทดลองด้วยและต้องพยายามที่จะไม่สัมผัสเม็ดสารที่ใส่เข้าไปในหลอดนั้น ปิดฝาหลอด และเขย่าจนเม็ด
สารละลายจนหมด
3. วางหลอดที่เขย่าแล้ว ในแก้วหรือบีกเกอร์และตั้งทิ้งไว้5 นาที ให้เกิดสี (อย่าทิ้งไว้เกิน 10 นาที)
4. เปรียบเทียบสีชมพูของสารละลายกับแผ่นสีมาตรฐานที่แสดงระดับของไนโตรเจนในชุดทดสอบดิน บันทึกผลที่ได้
(สูง กลาง ต่า) ในใบบันทึกข้อมูลความอุดมสมบูรณ์ของดิน
5. เทสารละลายทิ้ง ล้างหลอดทดลองและปิเปตด้วยน้ากลั่น
19. P a g e | 19
ชมรมวิทยาศาสตร์โลกทั้งระบบ โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา
กลุ่ม ดิน
ใบความรู้ 9 เรื่อง การกระจายช่องอนุภาคดิน
20. P a g e | 20
ชมรมวิทยาศาสตร์โลกทั้งระบบ โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา
กลุ่ม ดิน
21. P a g e | 21
ชมรมวิทยาศาสตร์โลกทั้งระบบ โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา
กลุ่ม ดิน
22. P a g e | 22
ชมรมวิทยาศาสตร์โลกทั้งระบบ โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา
กลุ่ม ดิน
23. P a g e | 23
ชมรมวิทยาศาสตร์โลกทั้งระบบ โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา
กลุ่ม ดิน
24. P a g e | 24
ชมรมวิทยาศาสตร์โลกทั้งระบบ โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา
กลุ่ม ดิน
25. P a g e | 25
ชมรมวิทยาศาสตร์โลกทั้งระบบ โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา
กลุ่ม ดิน
26. P a g e | 26
ชมรมวิทยาศาสตร์โลกทั้งระบบ โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา
กลุ่ม ดิน