More Related Content Similar to Ppt. วัณโรค (20) More from Prachaya Sriswang More from Prachaya Sriswang (20) Ppt. วัณโรค2. วัณโรค (Tuberculosis : TB)
• องค์การอนามัยโลก
ได้กาหนดให้วันที่ 24 มีนาคมของทุกปีเป็นวันวัณโรค
สากล เป็นการราลึกถึงวันที่นายแพทย์ Robert Koch
ค้นพบเชื้อ Mycobacterium tuberculosis ซึ่งเป็นสาเหตุ
ของการป่ วยเป็นวัณโรค
21/07/57 2
3. วัณโรค (Tuberculosis : TB)
• สาหรับวันวัณโรคสากลปี พ.ศ.2556 ประเทศไทยใช้
คาขวัญในการรณรงค์ คือ
Stop TB in my lifetime : We want “Thailand Free
TB” “เมืองไทย ปลอดวัณโรค”
21/07/57 3
4. วัณโรค (Tuberculosis : TB)
• องค์การอนามัยโลก จัดให้ประเทศไทยเป็น 1 ใน 22 ประเทศ ที่มี
จานวนผู้ป่ วยวัณโรคมากติดอันดับโลก
• ปัจจุบันมีคนไทยป่ วยเป็นวัณโรครายใหม่ปีละไม่น้อยกว่า
86,000 ราย และเมื่อรวมกับรายเก่าที่เป็นอยู่แล้วคาดว่ามีคนไทย
ป่ วยเป็นวัณโรคถึง 110,000 ราย ซึ่งโดยเฉลี่ยแล้วประชาชนไทย
1 ใน 3 ราย มีการติดเชื้อวัณโรคแล้ว
21/07/57 4
6. แนวโน้มปัญหาวัณโรคของไทย
• ในปี 2553 พบผู้ป่ วยวัณโรครายใหม่ที่อยู่ในระยะแพร่เชื้อสูง เข้ารักษาได้
ร้อยละ 76 ซึ่งสูงกว่าที่องค์การอนามัยโลกกาหนดไว้ที่ร้อยละ 70
• โดยมีผู้ป่ วยวัณโรคขึ้นทะเบียนรักษามากกว่า64,000 ราย ได้รับการรักษา
จนหายขาดร้อยละ 86 เสียชีวิตร้อยละ 8 และมีอัตราการขาดยา กินยาไม่
ครบสูตรเดิม 6 เดือน ร้อยละ 5
• ทาให้เกิดปัญหาเชื้อดื้อยา โดยหากเชื้อชนิดดื้อยาแพร่กระจายออกไปจะ
ทาให้การรักษายุ่งยาก มีโอกาสเสียชีวิตสูง
21/07/57 6
7. 1. เร่งรัดการค้นหาผู้ป่ วยในกลุ่มเสี่ยง เช่นผู้ติดเชื้อเอดส์ ผู้สัมผัสร่วมบ้าน
ผู้ป่ วยเบาหวาน ผู้ต้องขัง และพัฒนาการวินิจฉัยที่รวดเร็ว
2. พัฒนาคุณภาพการรักษาด้วยระบบยาระยะสั้น โดยมีพี่เลี้ยงกากับการกินยา
ทุกวัน เพื่อป้ องกันไม่ให้มีปัญหาเชื้อวัณโรคดื้อยาหลายขนาน
3. พัฒนาเทคโนโลยีใหม่ๆ เช่น วัคซีนป้ องกันวัณโรคที่มีประสิทธิภาพมากกว่า
BCG ตั้งเป้ าในปี 2555 ลดอัตราการตายจากเดิมร้อยละ 8 ของผู้ป่ วยปี 2553
เหลือร้อยละ 5 หรือไม่เกิน 6,000 ราย และลดอัตราการขาดยาเหลือไม่เกิน
ร้อยละ 3
21/07/57 7
กระทรวงสาธารณสุขได้ใช้ 3 มาตรการหลัก เพื่อเร่งรัดให้เมืองไทย
ปลอดวัณโรค (Thailand free TB) เน้นการค้นหาผู้ป่ วยเชิงรุก มารับ
การรักษาโดยเร็วและกินยาครบสูตรจนหายขาด
9. วัณโรค (Tuberculosis : TB)
• เป็นโรคติดต่อเป็นได้กับ
อวัยวะทุกส่วนของร่างกาย
• แต่โดยมากมักเป็นที่ปอด
มักจะจับที่ปอดข้างหนึ่งก่อน
แล้วลามไปอีกข้างหนึ่ง
21/07/57 9
11. สาเหตุของวัณโรค
• วัณโรค ( Tuberculosis หรือ TB ) เป็นโรคติดต่อที่เกิดจากเชื้อ
แบคทีเรีย ชนิด Mycobacterium หลายชนิดที่พบบ่อยที่สุดและ
เป็นปัญหาในประเทศไทย คือ M. Tuberculosis
• สาหรับ M.afaricanum พบได้ในแถบอาฟริกา
• ส่วน M.bovis นั้นมักก่อให้เกิดโรคในสัตว์ ซึ่งอาจติดต่อมาถึงคน
ได้โดยการบริโภคนมที่ไม่ผ่านการฆ่าเชื้อ
21/07/57 11
12. This is an acid fast stain of Mycobacterium tuberculosis (MTB).
Note the red rods - hence the terminology for MTB in histological
sections or smears: acid fast bacilli.
21/07/57 12
13. วัณโรค แบ่งออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ
1. วัณโรคปอด ( Pulmonary TB )
1.1 วัณโรคปอดย้อมเสมหะพบเชื้อ (Pulmonary TB.smear
positive ) คือ
- ตรวจเสมหะด้วยกล้องจุลทรรศน์พบเชื้ออย่างน้อย 2 ครั้ง
- ตรวจเสมหะด้วยกล้องจุลทรรศน์พบเชื้อ1ครั้ง ร่วมกับผล
ภาพรังสีทรวงอกบ่งชี้ว่าเป็นวัณโรค
- ตรวจเสมหะด้วยกล้องจุลทรรศน์พบเชื้อ 1 ครั้ง ร่วมกับการเพาะ
เชื้อวัณโรคให้ผลบวก
21/07/57 13
14. วัณโรค แบ่งออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ
1.2 วัณโรคย้อมเสมหะไม่พบเชื้อ(Pulmonary TB.smear negative )
- ผู้ป่ วยที่มีอาการสงสัยเป็นวัณโรคและตรวจเสมหะด้วยกล้องจุลทรรศน์
อย่างน้อย 3 ครั้ง
- ไม่พบเชื้อ แต่มีผลภาพรังสีทรวงอกเข้าได้กับวัณโรคและแพทย์
ตัดสินใจรักษาวัณโรค
- ผู้ป่ วยมีผลเพาะเชื้อวัณโรคให้ผลบวก แต่ตรวจเสมหะด้วยกล้อง
จุลทรรศน์ไม่พบเชื้อ
21/07/57 14
15. วัณโรค แบ่งออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ
2. วัณโรคนอกปอด ( Extrapulmonary TB )
- แพทย์ตัดสินใจรักษาวัณโรคพึงระลึกอยู่เสมอว่าวัณโรคปอดย้อม
เสมหะพบเชื้อมีโอกาสแพร่เชื้อโรคมากกว่าวัณโรคย้อมเสมหะไม่พบเชื้อ
ถึง 10 เท่า
- ในขณะที่วัณโรคนอกปอดแทบจะไม่มีโอกาสแพร่เชื้อเลยผู้ป่ วยวัณโรค
ปอดและวัณโรคนอกปอดรวมกัน ให้วินิจฉัยผู้ป่ วยรายนั้นว่าเป็นวัณโรค
ปอด
21/07/57 15
16. อาการของวัณโรค
1. ไอ ระยะแรกๆ ไอแห้งๆ ไอนานกว่า 3 อาทิตย์ ต่อมามีเสมหะ เจ็บชาย
โครงขณะไอ บางรายเป็นมากเสมหะจะเหนียวมีสีเขียวกลิ่นเหม็น ถ้า
ไอมากๆ บางครั้งมีเลือดปนเสมหะออกมาด้วย
2. ไข้ มักมีไข้ตอนบ่าย แต่ถ้าได้พักผ่อนมากๆ ไข้จะหายไปเอง ลักษณะ
ของไข้จะขึ้นลงเปลี่ยนแปลงไปแต่ละวัน มีไข้ต่าๆ
21/07/57 16
18. อาการของวัณโรค
6. เบื่ออาหาร บางรายพบว่า การย่อยอาหารไม่ปกติ โดยผู้ป่ วยจะให้ประวัติ
ว่ามีท้องเสียบ่อยๆ หรือมีคลื่นไส้อาเจียน
7. ไอมีเลือดปน ( Hemoptysis ) เลือดมักออกเวลาไอ อาจออกเพียงเล็กน้อย
บางครั้งออกเป็นเลือดสดๆ
21/07/57 18
21. การวินิจฉัย
• การเพาะเชื้อจากเสมหะ ( Sputum culture ) เป็นการตรวจที่มี
ความจาเพาะสูงสูงสุด ถือเป็น Gold Standard ของการวินิจฉัย
วัณโรคในกรณีที่ผลDirect smear เป็นบวกทั้ง 2 ครั้ง
• การทดสอบทูเบอร์คูลิน ผู้ป่ วยวัณโรคร้อยละ 93 จะให้ผลบวกต่อการ
ทดสอบทูเบอร์คูลิน วิธีฉีดเข้าผิวหนัง (Mantoux Test) ยังคงถือเป็นวิธี
มาตรฐานและถือปฏิกิริยาขนาด Induration 10 มม.ขึ้นไป
21/07/57 21
25. การปฏิบัติตัวเมื่อป่ วยเป็นวัณโรค
• ควรงดเหล้า บุหรี่ และยาเสพติด เพราะสิ่งเหล่านี้จะทาลายสุขภาพให้
เสื่อมโทรม
• ปิดปากและจมูก เวลาไอหรือจาม เพื่อป้ องกันการแพร่กระจายเชื้อไปสู่
ผู้อื่น
• บ้วนเสมหะลงในภาชนะหรือกระป๋ องที่มีฝาปิดมิดชิด ทาลายเสมหะโดย
นากระป๋ องไป ตั้งไฟให้เดือดอย่างน้อย 5 นาที เพื่อฆ่าเชื้อโรค
21/07/57 25
27. ปัจจัยสาคัญต่อการป่ วยเป็นวัณโรค
• อยู่ร่วมกับผู้ป่ วยวัณโรคเช่น พักอาศัยบ้านเดียวกัน,ทางานร่วมกัน
• ผู้ป่ วยติดเชื้อเอชไอวี หรือป่ วยเป็นโรคเอดส์
• ผู้ป่ วยโรคเรื้อรัง เช่น เบาหวาน, โรคตับ หรือโรคไต
• ผู้ป่ วยที่รับประทานยากดภูมิคุ้มกันนานๆ เช่น ยากลุ่มสเตรียรอยด์
• การจัดลักษณะที่อยู่อาศัยหรือที่ทางานที่ใช้เครื่องปรับอากาศตลอดเวลา
หรือสภาพแวดล้อมที่อากาศถ่ายเทไม่สะดวก
• การสูบบุหรี่ ดื่มสุรา และการเสพสารเสพติด
21/07/57 27
28. ควรปฏิบัติตัวอย่างไร ไม่ให้เป็นวัณโรค
• ควรตรวจเช็คร่างกาย โดยการเอ็กซเรย์ปอดอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง
• นาเด็กแรกเกิดไปรับการฉีดวัคซีน BCG ที่โรงพยาบาลทุกแห่งหรือสถาน
บริการสาธารณสุขใกล้บ้าน
• หากมีอาการสงสัยป่ วยเป็นวัณโรค ควรรีบไปตรวจร่างกายที่โรงพยาบาล
ของรัฐทุกแห่งหรือสถานบริการสาธารณสุขใกล้บ้าน
21/07/57 28
29. ควรปฏิบัติตัวอย่างไร ไม่ให้เป็นวัณโรค
• รักษาสุขภาพให้แข็งแรงโดยการออกกาลังกายอย่างสม่าเสมอ และกิน
อาหารที่มีประโยชน์
• หลีกเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยงต่อการติดเชื้อเอดส์ ซึ่งจะทาให้ภูมิคุ้มกันของ
ร่างกายเสื่อมลง มีโอกาสป่ วยเป็นวัณโรคได้ง่ายขึ้น
วัณโรครักษาหายได้ หากกินยาต่อเนื่อง และสม่าเสมอใช้เวลาเพียง 6-8 เดือน
เท่านั้น ผู้ป่ วยวัณโรคหากได้รับการรักษาไม่ถูกต้อง ขาดยา หรือกินยาไม่ต่อเนื่องจะ
ทาให้เชื้อวัณโรคดื้อยา ทาให้ยากต่อการรักษา และอาจแพร่เชื้อวัณโรคดื้อยาสู่ผู้อื่น
21/07/57 29
30. แนวทางปฏิบัติการดูแลผู้ป่ วยวัณโรคที่มีภาวะแทรกซ้อน
จากยาต้านวัณโรค
• ตรวจสอบความถูกต้องของสูตรยา และขนาดยาต่อน้าหนักตัวผู้ป่ วย
ก่อนรักษาเสมอเพราะยาหลายชนิด ทาให้เกิดผลข้างเคียงมากขึ้นใน
ขนาดยาที่สูงกว่าการรักษาปกติ
• ต้องอธิบายให้ผู้ป่ วย,ญาติ, พี่เลี้ยง ทราบถึงโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อน
ต่อตับจากกยาต้านวัณโรคและสอนให้สังเกตอาการที่เป็นตัวบ่งการ
เกิดภาวะแทรกซ้อนง่ายๆให้ทราบ เช่น ถ้ามีอาการตัวเหลือง – ตา
เหลือง , คลื่นไส้อาเจียนหรือเบื่ออาหารมาก ให้หยุดยาและพบแพทย์
ทันที โดยสอนก่อนให้ยาทุกครั้ง
21/07/57 30
34. แนวทางปฏิบัติการดูแลผู้ป่ วยวัณโรคที่มีภาวะแทรกซ้อน
จากยาต้านวัณโรค
• ในรายที่มีตับอักเสบ ให้ตรวจ liver function tests อย่างน้อยทุก 7 วัน
• ในบางกรณี เช่น ผู้ป่ วยที่แข็งแรงดี ไม่มีโรคประจาตัว ,ไม่ดื่มสุราเป็น
ประจา อยู่ในวัยหนุ่ม – สาว ถ้ามีอาการตับอักเสบไม่รุนแรงมาก และ
เป็นวัณโรคที่ไม่รุนแรง หลังจากหยุดยา 1-2 สัปดาห์ อาจพิจารณาให้
ยาวัณโรคชนิดเดิมและขนาดเดิม แต่จะต้องอธิบายถึงอาการแทรก
ซ้อนให้ผู้ป่ วยเข้าใจอย่างดี และติดตามการรักษาอย่างใกล้ชิด (ไม่ควร
ห่างเกินสัปดาห์ละครั้ง)
21/07/57 34
35. แนวทางปฏิบัติการดูแลผู้ป่ วยวัณโรคที่มีภาวะแทรกซ้อน
จากยาต้านวัณโรค
• ส่วนผู้ป่ วยที่อายุมากกว่า 50 ปีถ้ามีพิษต่อตับแบบ Hepatocellular
ไม่ควรทดลองยาซ้าใหม่ โดยให้ยาเดิมและขนาดเดิมพร้อมกันทุกชนิด
แบบนี้
• ผู้ป่ วยที่เป็นวัณโรคตับจะมี Liver function tests ผิดปกติ
ตั้งแต่ก่อนรักษาสามารถให้ยารักษาวัณโรคตามปกติได้
โดย Liver function tests จะค่อย ๆ กลับมาเป็นปกติ
แต่ต้องติดตามดูอาการอย่างใกล้ชิดเช่นเดียวกัน
21/07/57 35
39. อดีตที่ผ่านมา…ของผู้ป่ วย
• ไม่มีญาติ / ผู้สูงอายุ
• สถานบริการไม่มียาจ่ายสม่าเสมอ
• ไม่มีระบบนัดหมาย / ติดตามที่เหมาะสม
• เวลาให้บริการไม่สะดวก (เวลาราชการ)
• ความไม่เสมอภาค
21/07/57 39
41. DOTS กับ DOT ต่างกันอย่างไร
1. พันธสัญญา
2. การวินิจฉัยเน้น bacteriology (=direct smear และ culture)
3. การรักษาแบบ supportive และ supervise (=dot)
4. ยามีคุณภาพและไม่ขาดแคลน
5. บันทึก/รายงานที่ดี, สามารถประเมินผลกระทบได้
21/07/57 41
DOTS: เป็น brand name ของกลยุทธ์ที่ใช้ต่อสู้กับวัณโรค มี 5 ยุทธวิธี
52. การป้ องกันตนเองของพี่เลี้ยงในการดูแลผู้ป่ วย
• มีความพร้อมทั้งสุขภาพกายและใจ คือ ร่างกายแข็งแรง จิตใจพร้อม
ช่วยเหลือ
• มีความรู้เรื่องโรคและการป้ องกันโรค
• แนะนาให้ผู้ป่ วยถือและใช้ผ้าเช็ดหน้าปิดปาก หรือใช้หน้ากากอนามัย
เมื่อไอ จาม ในขณะพูดคุยกับผู้ป่ วย
• ดูแลผู้ป่ วยในสถานที่โล่งแจ้ง อากาศถ่ายเทได้ดี
• ไม่ควรเปิดพัดลมขณะพูดคุยกับผู้ป่ วย
• ล้างมือทุกครั้งหลังจากกลับจากบ้านผู้ป่ วย
21/07/57 52
Editor's Notes การตรวจเสมหะด้วยวิธีย้อมเชื้อ ( Direct smear ) การตรวจเสมหะด้วยกล้องจุลทรรศน์ เป็นวิธีที่ดีที่สุดในการวินิจฉัย วัณโรคปอดมีความไว (sensitivity) ไม่มากนักแต่ก็มีความจาเพาะ ( specitivity ) สูงมาก การตรวจควรกระทาในผู้ที่มีอาการสงสัยทุกราย รวมถึงผู้ที่สงสัยว่าเป็นวัณโรคนอกปอด เพราะส่วนหนึ่งของผู้ป่วยวัณโรคนอกปอด มักเป็นวัณโรคปอดร่วมด้วย การตรวจเสมหะควรตรวจอย่างน้อย 3 ครั้ง เพราะหากตรวจน้อยกว่านี้อาจผิดพลาดในการวินิจฉัยผู้ป่วยระยะแพร่บางรายได้
3. การถ่ายภาพรังสีทรวงอก ( Chest X – ray ) ซึ่งแสดงถึงรอยโรคของวัณโรค พบได้หลายลักษณะด้วยกัน เช่น เป็นตุ่ม ( Nodule ) เป็นปื้น( Pathหรือ Infiltration ) เป็นแผลโพรง ( Cavity ) เป็นเส้นๆ ( Fibrosis ) หรือเป็นจุดเล็กๆ กระจายทั่วปอดทั้ง 2 ข้าง ( Miliary ) มักถือเป็นหลักโดยทั่วไปว่า เมื่อพบรอยโรคใน X –ray ปอด ในผู้ป่วยคนไทย ไม่ว่าลักษณะใดจะต้องแยกโรคจากวัณโรคด้วยเสมอ รอยโรคของวัณโรคปอดอาจพบข้างเดียวหรือสองข้างก็ได้ รอยโรคที่มีการเปลี่ยนแปลงแสดงว่า โรคยัง Active อยู่ รอยโรคที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลงเป็นเวลาห่างกันตั้งแต่ 6 เดือนขึ้นไป แสดงว่าโรคเข้าสู่ระยะสงบ ( Quiescent ) รอยโรคที่เป็นโพรงแสดงว่ามีเชื้อวัณโรคเป็นจานวนมาก รอยโรคที่แคลเซียมเกาะ ( Calcification ) แสดงว่าโรคสงบแล้ว 4. การเพาะเชื้อจากเสมหะ ( Sputum culture ) เป็นการตรวจที่มีความจาเพาะสูงสูงสุด ถือเป็น Gold Standard ของการวินิจฉัยวัณโรคในกรณีที่ผล Direct smear เป็นบวกทั้ง 2 ครั้ง การเพาะเชื้อก็ไม่มีความจาเป็น บางครั้งอาจตรวจพบ AFB ในเสมหะ แต่ผลเพาะเชื้อปกติ ทั้งนี้ผู้ป่วยอาจได้รับยารักษาวัณโรคอยู่ก่อนแล้ว หรือเสมหะที่นาไปเพาะเชื้อ ภาชนะและอาหารเลี้ยง เชื้อ contamination
5. การทดสอบทูเบอร์คูลิน ผู้ป่วยวัณโรคร้อยละ 93 จะให้ผลบวกต่อการทดสอบทูเบอร์ คูลิน วิธีฉีดเข้าผิวหนัง (Mantoux Test) ยังคงถือเป็นวิธีมาตรฐานและถือปฏิกิริยาขนาด Induration
10 มม.ขึ้นไปเป็นเกณฑ์ตัดสินว่าติดเชื้อวัณโรคปฏิกิริยาเล็กกว่านี้ ( 5 – 9 มม. ) อาจเป็นผลจากการติดเชื้อมัยโครบัคเตรีชนิดอื่นหรือจากการฉีดวัคซีน
กา t วันพุธที่ 20 มีนาคม 2556 จากหนังสือพิมพ์เดลินิวส์