การเร่ง
การจะประสบความสำเร็จ ในยุคที่เศรษฐกิจมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว โครงสร้างองค์กรอาจเป็นตัวเหนี่ยวรั้ง ที่ทำให้องค์กรปรับตัวไม่ทันกระแส
John P. Kotter กล่าวว่า สิ่งที่องค์กรต้องการคือ ระบบปฏิบัติการแบบคู่ (dual-operating system) ระบบหนึ่งใช้กับการปฏิบัติงานประจำวัน อีกระบบหนึ่งจะมุ่งเน้นที่โอกาสและความต้องการในอนาคต
เมื่อ 15 ปีมาแล้ว Kotter ได้ประพันธ์หนังสือ Leading Change ที่มีแนวทางการปฏิบัติเพื่อการเปลี่ยนแปลงขององค์กร 8 ขั้น
ในคราวนี้ Kotter ได้วางหลักการ 5 ข้อ และแนวทางปฏิบัติ 8 ขั้น ไว้ในหนังสือ Accelerate: Building Strategic Agility for a Faster-Moving World
ซึ่งในระบบปฏิบัติการแบบคู่นี้ เป็นสิ่งที่องค์กรสามารถทำได้โดย ใช้ระบบลำดับชั้น (hierarchical) ในการปฏิบัติงานประจำวัน และใช้ระบบเครือข่าย (network) ในงานที่เป็นการเปลี่ยนแปลง ต้องการความรวดเร็ว การสร้างนวัตกรรม และความคล่องตัว
ระบบใหม่ที่ Dr. Kotter เรียกว่า dual operating system จะมีการสร้างเครือข่ายภายในองค์กร ที่ทำงานร่วมกันกับระบบลำดับชั้น
ระบบนี้ทำให้องค์กรสามารถก้าวสู่ภายนอก ในขณะเดียวกัน ก็เป็นการฉวยโอกาสทางการตลาด และหลีกเลี่ยงการคุกคามทางธุรกิจ
By John Kotter
Accelerate: Building Strategic Agility for a Faster-Moving World
To succeed both in today’s world and into the future, we need to think – and act – differently.
การสร้างองค์กรแห่งการเรียนรู้ To become a learning organization (The Fifth D...maruay songtanin
การสร้างองค์กรแห่งการเรียนรู้
The Fifth Discipline เป็นหนังสือธุรกิจคลาสสิกที่ต้องอ่าน สำหรับผู้ที่ต้องการเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับกลยุทธ์ทางธุรกิจ และการออกแบบองค์กร
หนังสือเล่มนี้ นำเสนอชุดเครื่องมือทางความคิดเพื่อช่วยให้เราเข้าใจโลกที่ซับซ้อนได้ดีขึ้น และอธิบายว่า เราจะนำสิ่งเหล่านี้ไปใช้แบบองค์รวมได้อย่างไร ในองค์กรที่ขัดขวางความสามารถของเราในการดำเนินงานอย่างมีประสิทธิผล
วินัยที่ห้าคือ การคิดอย่างเป็นระบบ เป็นการกระทำของเราเพื่อสร้างความเป็นจริง สิ่งนี้เป็นปรากฏการณ์ที่ซับซ้อนมาก ทำให้ยากที่จะเข้าใจว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไรและทำไม เพื่อที่จะเข้าใจสิ่งเหล่านี้ เราต้องหลุดพ้นจากพันธะเล็กๆ ของการคิดเชิงเส้น ที่จำกัดความคิดของเรา
The Fifth Discipline: The Art & Practice of the Learning Organization
- Peter M. Senge
Published March 21st 2006 by Crown Business (first published 1990)
The Fifth Discipline shows you how to find joy at work again as an employee, and improve your company’s productivity if you’re an employer, by outlining the five values you must adopt to turn your workplace into a learning environment.
เรียนรู้จากกูรูด้านบริหาร
Peter Ferdinand Drucker เป็นชาว Austrian-born American เป็นที่ปรึกษา นักการศึกษา และผู้ประพันธ์ตำรา เกี่ยวกับปรัชญาและการปฏิบัติ ในเรื่องการบริหารจัดการยุคใหม่
ชาตะ: 19 พ.ย. ค.ศ. 1909, Vienna, Austria
มรณะ: 11 พ.ย. ค.ศ. 2005, Claremont, California, United States
การศึกษา: Johann Wolfgang Goethe University of Frankfurt am Main
รางวัล: Presidential Medal of Freedom
ทฤษฎีทางธุรกิจ
Drucker เชื่อว่า ทฤษฎีทางธุรกิจ ของบริษัทที่ตั้งขึ้นมา หรือที่กำลังดำเนินการอยู่ขึ้นกับ:
1. สมมุติฐานด้านสิ่งแวดล้อมขององค์กร (Assumptions about the environment of the organization)
2. สมมุติฐานด้านพันธกิจขององค์กร (Assumptions about the specific mission of the organization)
3. สมมุติฐานด้านความสามารถหลัก (Assumptions about the core competencies needed to accomplish the organization’s mission)
5 ประเด็นพิจารณา ของการนำเสนอนี้
1. การจัดระบบเพื่อความสำเร็จทางธุรกิจ (Organizing for Success in Business)
2. ศิลปะของการบริหารในทางปฏิบัติ (The Art of Management in Practice)
3. การจัดการโดยมุ่งเน้นวัตถุประสงค์และการควบคุมตนเอง (Managing by Objectives & Self-control)
4. การจัดการนวัตกรรม (Harnessing the Power of Innovation)
5. การจัดการความรู้ (Responsible Knowledge Management)
Peter drucker: The Great Pioneer Of Management Theory And Practice
5. หน้า | 5
แนวคิดการจัดการแบบวิทยาศาสตร์เป็นแนวคิดที่นาหลักและวิธีการคิดเพื่อให้องค์การ
สามารถบรรลุผลสาเร็จได้อย่างรวดเร็ว บุคคลสาคัญที่เกี่ยวข้องกับแนวคิดนี้ ได้แก่ Taylor Gilbereth
Gantt และ Emerson
1.1.1 แนวคิดของ Frederick W. Taylor
เฟรเดอริก วินส์โลว์เทเลอร์ (Frederick Winslow Taylor) วิศวกรอุตสาหกรรมชาวอเมริกัน
ที่มีชีวิตอยู่ในช่วงปี ค.ศ. 1856-1915 เริ่มทางานครั้งแรกในโรงงานเหล็ก Midvale Steel Company ที่
เมือง Philadelphia ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อเขาอายุ 28 ปี ได้ไปรับตาแหน่งผู้จัดการโรงงาน
อุตสาหกรรมผลิตเหล็กกล้า Bethehem Steel Company และเขาได้สังเกตเห็นว่าโรงงานมีคนงาน
จานวนมากแต่ยังขาดมาตรฐานในการทางาน คนงานส่วนใหญ่ไม่ปฏิบัติตามกฎที่โรงงานกาหนด
ทาให้ผลการทางานไม่มีประสิทธิภาพ Taylor จึงทาการบันทึกสิ่งที่สังเกตเห็น และตัดสินใจศึกษา
ปัญหาที่พบเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและผลิตผลของโรงงาน เข้าเริ่มต้นศึกษาจากหัวหน้าคนงาน
(Foreman) ด้วยการวิเคราะห์งานเครื่องกลึง (Lathe work) และเก็บข้อมูลทุกด้านของคนงานที่ต้อง
ทางานกับเครื่องกลึง ส่งผลทาให้ Taylor ค้นพบวิธีการตัดเหล็กและวิธีการขจัดความสูญเปล่าใน
การทางานของคนงาน
Taylor ได้ศึกษาการเคลื่อนไหวของคนงานที่ขนแร่เหล็กออกจากเตาหลอม 5 เตาไปยัง
รถบรรทุกซึ่งปกติต้องใช้คนงานประมาณ 95 คน วิธีการทางานของคนงานคือการนาแร่เหล็กออก
จากเตาแล้วกองไว้ข้างรถ จากนั้นจะมีคนงานอีกชุดหนึ่งนาแร่เหล็กน้าหนัก 92 ปอนด์ขึ้นรถบรรทุก
ด้วยการเดินผ่านไม้กระดานที่พาดไว้กับตัวรถ การทางานในลักษณะดังกล่าวทาให้โรงงานต้องจ่าย
ค่าจ้างแรกงงานจานวนมากต่อวัน แต่ผลงานที่ได้กลับไม่เพิ่มขึ้นเท่าที่ควร Taylor จึงมีความคิดว่า
ต้องหาวิธีการทางานที่เหมาะสมเพื่อการเพิ่มผลผลิตในแต่ละวันของคนงาน เขาเฝ้าสังเกตการ
ทางานของคนงานเกี่ยวกับการเดินและหยุดระหว่างการนาแร่เหล็กออกจากเตา และยกแร่เหล็กผ่าน
ไม้กระดานขึ้นรถบรรทุก Taylor สังเกตได้ว่าพลั่วตักแร่เหล็กมีขนาดเดียวแต่คนงานมีร่างกายไม่
เท่ากัน เขาจึงได้ทาการทดลองปรับเปลี่ยนขนาดของพลั่วตักแร่เหล็กให้มีหลายขนาด และมีน้าหนัก
เหมาะสมกับคนงานที่มีรูปร่างแตกต่างกัน
นอกจากนี้ ยังได้กาหนดค่าจ้างสูงหากคนงานสามารถทางานได้เกินกว่าเกณฑ์ที่กาหนด
หลังจากนั้น Taylor ได้เฝ้าสังเกตโดยเปรียบเทียบการทางานแบบเดิมที่ต้องใช้พลั่วที่มีขนาดเดียวใน
การตักแร่เหล็ก ได้มีการกาหนดวิธีการเคลื่อนไหวในการทางานและได้มีการกาหนดค่าจ้างแบบจูง
ใจในการทางาน Taylor พบว่าวิธีการแบบใหม่ทาให้คนงานสามารถทางานได้ถูกวิธี มีเวลาพัก และ
คนงานได้รับค่าจ้างเพิ่มขึ้นทาให้พึงพอใจกับการดาเนินงานของโรงงาน วิธีการของ Taylor จึง
เผยแพร่ไปยังโรงงานอื่นๆ อย่างรวดเร็ว
6. หน้า | 6
การศึกษาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทางานตามแนวคิดของ Taylor สามารถสรุปได้ดังนี้
1. การพัฒนาศาสตร์ด้านการจัดการ (The development of a true science of management)
เพื่อค้นหาวิธีการที่ดีที่สุด โดย Taylor ได้วิเคราะห์ปัญหาด้านผลผลิตของโรงงานและการทางาน
ของคนงานแทนที่จะปล่อยผ่านไปตามธรรมชาติ (Rule of thumb) มีการสังเกตและบันึกสิ่งที่เห็น
แล้วนามาวิเคราะห์อย่างรอบคอบเพื่อพัฒนาไปสู่แนวคิดที่คิดว่าควรจะเป็นและต้องเป็นแนวทางที่ดี
ที่สุด ทั้งนี้เพราะวิธีการที่ดีที่สุดมีเพียงวิธีเดียว (One best way)
2. การคัดเลือกคนงานโดยใช้หลักวิทยาศาสตร์ (Scientific selection of worker) จากการด
ฝ้าสังเกตและจดบันทึกของ Taylor พบว่าโรงงานมีคนงานมาทางานจานวนมาก แต่ละคนมีลักษณะ
ทางกายภาพที่แตกต่างกัน ส่งผลให้ประสิทธิภาพในการทางานแตกต่างกันด้วย ดังนั้นโรงงานจึง
ควรคัดเลือกคนงานเพื่อให้เหมาะกับแต่ละงานที่ทา คนงานที่แข็งแรงควรทางานที่ต้องใช้กาลัง
แรงงานมากกว่าคนงานที่มีรูปร่างผอมบาง
3. การให้การศึกษาและพัฒนาคนงาน (The scientific education and development of
worker) การศึกษาของ Taylor พบว่าการสร้างการจูงใจ (Motivation) ให้กับคนงาน การสอนงาน
เพื่อเพิ่มความชานาญและความเชี่ยวชาญในงาน มีการพัฒนาคนงานให้มีคุณสมบัติตรงกับงานที่ทา
จะทาให้คนงานสามารถทางานได้ตามเกณฑ์ที่โรงงานกาหนด ส่งผลต่อประสิทธิภาพของโรงงาน
ในที่สุด
4. การให้ความใกล้ชิดเพื่อความร่วมมือระหว่างคนงานและผู้บริหาร (Intimate, Friendly
Cooperation between Management and Labour) การศึกษาประสิทธิภาพในการทางานของ Taylor
ทาให้ต้องใกล้ชิดกับคนงานและมีการติดต่อสื่อสารกันโดยตรงกับคนงานจะทาให้เกิดมิตรภาพ
ความสามัคคีและความเป็นหนึ่งเดียวกันมากขึ้น และเป็นวิธีการหนึ่งที่จะทาให้โรงงานสามารถ
บรรลุผลสาเร็จได้ตามจุดมุ่งหมาย
จากหลักการ 4 ประการของ Taylor แสดงให้เห็นว่า Taylor ได้นาแนวคิดเชิงวิทยาศาสตร์
มาใช้ในการศึกษาและพัฒนางานของโรงงานดังนี้
1. การสังเกต (Observation) การทางานในตาแหน่งผู้จัดการโรงงานทาให้ Taylor สังเกต
และบันทึกในส่ิงที่สังเกต การกระทาดังกล่าวจึงเปรียบได้กับแนวคิดทางวิทยาศาสตร์ที่ต้องใช้การ
สังเกตและมีการจดบันทึกในสิ่งที่สังเกตก่อนที่จะดาเนินการค้นหาคาตอบที่แท้จริง
2. การกาหนดปัญหา (Definition of the problem) เมื่อสังเกตและจดบันทึกสิ่งที่พบ Taylor
เห็นว่าสิ่งที่สังเกตพบนั้นเป็นปัญหาของโรงงาน ในฐานะของผู้จัดการโรงงานจึงไม่อาจนิ่งเฉยจึง
ต้องค้นหาวิธีการที่จะจัดการปัญหาที่พบ
3. การตั้งสมมติฐาน (Formulation of Hypothesis) เป็นการกาหนดข้อสมมติเกี่ยวกับปัญหา
7. หน้า | 7
ที่ค้นพบโดยกาหนดในลักษณะของตัวแปรหรือความสัมพันธ์ ซึ่ง Taylor ได้กาหนดตัวแปรคือ
คนงานและอุปกรณ์ที่ใช้ในการทางานของคนงาน
4. การเก็บรวบรวมข้อมูล (Data Collection) การได้คาตอบที่ชัดเจนต้องทาการเก็บรวบรวม
ข้อมูลด้วยวิธีการที่แตกต่างกัน ทั้งนี้ Taylor ได้เปลี่ยนวิธีการเคลื่อนไหวของคนงานในการนาแร่
เหล็กขึ้นรถบรรทุก รวมทั้งการปรับเปลี่ยนขนาดของพลั่วเพื่อให้คนงานที่มีรูปร่างแตกต่างกัน
สามารถใช้งานได้อย่างถนัด การทดลองของ Taylor ได้ทาซ้าเพื่อให้แน่ใจในคาตอบของสมมติฐาน
5. การพิสูจน์สมมติฐาน (Verification) เป็นการค้นหาข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นและเป็นขั้นตอน
สุดท้าย เพื่อหหาข้อสรุปที่ได้จากการเก็บรวบรวมข้อมูล หากเป็นไปตามสมมติฐานที่กาหนดก็ย่อม
ต้องทดลองซ้าเพื่อให้ได้ข้อสรุปที่ชัดเจนขึ้น
จากการศึกษาที่ผ่านมา Taylorจึงได้เสนอแนวคิดความสัมพันธ์ระหว่างคนงานและงานโดย
มีจุดมุ่งหมายเพื่อออกแบบกระบวนการการทางานให้มีความเหมาะสมช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและ
ประสิทธิผลในการทางาน เกิดความชานาญเฉพาะด้าน (Specification) รวมทั้งการแบ่งงานกันทา
(Devision of Job) ตามความชานาญและความเหมาะสม ก่อให้เกิดประสิทธิภาพในการผลิตและ
สามารถเพิ่มผลผลิตได้ในที่สุด แนวคิดของ Taylor มีประโยชน์สาหรับการทางานในระดับล่างของ
องค์กร และเหมาะสาหรับผู้บริหารใช้ในการติดตาม ควบคุม และดูแลผู้ปฏิบัติงาน แนวคิดนี้ได้รับ
การยอมรับและนาไปใช้กันอย่างแพร่หลาย เขาจึงได้รับยกย่องว่าเป็นบิดาของการจัดการแบบ
วิทยาศาสตร์ (Father of Scientific Management) และกล่าวได้ว่าการศึกษาของ Taylor เป็นรากฐาน
ของการจัดการโดยเป็นประโยชน์ต่อระบบการจ่ายค่าจ้างแบบจูงใจของอุตสาหกรรมต่างๆ ใน
ปัจจุบัน
1.1.2 แนวคิดของ Frank B.Gilbreth และ Lillian M.Gilbreth
แฟรงก์ บุนเคอร์ กิลเบรท และลิเลียน เอ็ม กิลเบรท ( Frank Bunker Gilbreth และ Lillian
M.Gilbreth) สามีภรรยาที่ให้ความช่วยเหลือซึ่งกันและกันในการทางานโดย Frank ให้ความสนใจ
ศึกษาประสิทธิภาพการทางาน ส่วน Lillian ให้ความสนใจศึกษาลักษณะการทางานของมนุษย์
Frank เริ่มต้นอาชีพเป็นช่างก่ออิฐ (Bricklayer) และก้าวหน้าเรื่อยๆ ในงานอาชีพ จนกระทั่ง
ก้าวขึ้นไปเป็นช่างก่อสร้าง ผู้รับเหมาและผู้บริหารที่ประสบผลสาเร็จในการก่อสร้างทั้ง Frank และ
Lillian ได้นาแนวคิดแบบวิทยาศาสตร์ของ Taylor มาใช้ในการวางแผนการทางานของคนงานช่าง
ก่ออิฐโดยสามารถปรับปรุงงานฝีมือการก่ออิฐในการก่อสร้างได้อย่างมีประสิทธิภาพ ลดการ
เคลื่อนไหวในการก่อเรียงอิฐทาให้คนงานสามารถก่อเรียงอิฐได้เพิ่มขึ้นเป็น 3 เท่า เมื่อเทียบกับการ
ทางานแบบเดิม นอกจากนี้ Frank ยังเพิ่มความสนใจในการศึกษาการเคลื่อนไหวและเวลาทางาน
(Time and motion study) ของคนงานช่างก่ออิฐ เขาและภรรยาได้ศึกษาและวิเคราะห์การเคลื่อนที่
8. หน้า | 8
ของพนักงานรอบๆ บริเวณที่ทางานโดยทดลองให้คนงานลดอาการเคลื่อนไหวทางร่างกายในขณะ
ก่ออิฐ โดยแนะนาเรื่องท่าทางในการเคลื่อนไหวขอณะก่ออิฐจาก 18 ท่า เหลือเพียง 4 ท่าครึ่ง ผล
ปรกฎว่าคนงานที่ทาตามคาแนะนาสามารถก่ออิฐได้เพิ่มขึ้น 200% วิธีการดังกล่าวเป็ นการ
สนับสนุนแนวคิดของ Taylor ในการค้นหาวิธีการทางานที่ดีที่สุด (One best way) โดยนาเสนอ
แนวคิดใหม่ คือ หลักการประหยัดเวลาและการเคลื่อนไหวของร่างกายในการทางาน ซึ่งสามารถ
สรุปเป็นหลักการได้ดังนี้
1. หลักการใช้อวัยวะของร่างกาย ใช้มือและแขนให้เกิดประโยชน์อย่างเต็มที่เป็นจังหวะใน
การเคลื่อนไหว
2. การรู้จักเลือกใช้อุปกรณ์ เครื่องมือ เครื่องใช้ที่เหมาะสมในการทางาน
3. การจัดสภาพแวดล้อมให้เหมาะสมกับสถานที่ทางานเพื่อความสะดวกและคล่องตัว
ทั้ง Frank และ Lillian พยายามแยกปัจจัยที่จาเป็นต่อการทางานของคนงาน อาทิ แสงสว่าง
(Lighting) ความร้อน (Heating) และสีของผนัง (Color of wall) รวมทั้งการออกแบบเครื่องมือ
เครื่องจักร และอุปกรณ์ประกอบในการทางานเพื่อช่วยลดความเมื่อยล้า แรงกดดันในการทางาน ลด
ความสูญเปล่าทั้งเวลา แรงงานและความไม่มีประสิทธิภาพในการทางานให้หมดไปหรือน้อยลง
รวมทั้งค่าใช้จ่ายในการทางานส่งผลต่อการเพิ่มผลผลิตในที่สุด
การศึกษาเรื่องการเคลื่อนไหวและเวลาของ Frank และ Lillian ช่วยทาให้คนงานและ
นายจ้างมองเห็นประโยชน์จากการเคลื่อนไหวและการใช้เวลาในการทางาน การพัฒนาวิธีการ
ทางานโดยอาศัยการเคลื่อนไหวและเวลาที่เหมาะสมตามแนวคิดของ Frank และ Lillian ได้จาแนก
งานทุกงานออกเป็น 5 ประเภท คือ
1. การปฏิบัติงาน (Operation)
2. การขนส่ง (Transportation)
3. การตรวจสอบ (Inspection)
4. การเก็บรักษา (Storage)
5. การส่งมอบงาน (Delivery)
สาหรับ Lillian ซึ่งให้ความสนใจลักษณะการทางานของมนุษย์ได้ทาการศึกษาลักษณะการ
ทางานของคนงานต่อไปภายหลังจากที่ Frank เสียชีวิตไปแล้ว จนได้รับการยกย่องว่าเป็นสุภาพสตรี
หมายเลขหนึ่งของการจัดการธุรกิจ (The First Lady of Business Management)
1.1.3 แนวคิดของ Henry L.Gantt
เฮนรี แอล แก้น (Henry L.Gantt) เป็นวิศวกรเครื่องกลและผู้ช่วยงานของ Taylor ที่ Midval
Steel Company มีความสนใจพัฒนาการจัดการคนงานอย่างจริงจัง ทั้งนี้เนื่องจากการทางานของ