การบริห าร : หลัก การ แนวคิด ทฤษฎี

สังคมของมนุษย์ เป็นสังคมที่มีการรวมตัวเป็นกลุ่ม หมู่เหล่า เป็นชุมชนขนาดต่าง ๆ ตั้งแต่หมู่บ้าน ตำาบล
เมือง และประเทศ จึงต้องมีการจัดระบบระเบียบของสังคม เพื่อให้สามารถดำาเนินกิจกรรมด้านต่าง ๆ เป็นไป
ด้วยความเรียบร้อย เพื่อความอยู่รอดสงบสุข และบังเกิดความก้าวหน้าในชุมชนเหล่านั้น จึงเป็นสาเหตุให้
เกิด "สถาบันสังคม" และ "การบริหาร" ขึ้นมา

สถาบันสังคมที่จัดตั้งขึ้น ไม่วาจะเป็นครอบครัว วัด โรงเรียน และองค์กรอื่น ๆ ทั้งภาครัฐ และเอกชน จึงต้อง
                              ่
อำานวยความสะดวกหรือบริการเพื่อประโยชน์สุขของสมาชิก และความเจริญของสังคม โดยดำาเนินภารกิจ
ตามที่สังคมมอบหมาย ด้วยการจัดตั้ง "องค์การบริหาร" ที่เหมาะสมกับลักษณะของกิจกรรมนั้น ๆ ดังนั้น
สังคมกับองค์การบริหาร จึงเป็นสิ่งที่ไม่อาจแยกจากกันได้ ดังเช่น ศาสตราจารย์วิลเลียม ซิฟฟิน (William
S. Siffin) ได้กล่าวไว้ว่า "หากปราศจากองค์การบริหารแล้วสังคมก็จะไม่มี หากปราศจากสังคมแล้วมนุษย์ก็
ไม่อาจจะดำารงชีวิตอยู่ได้" (วิจตร ศรีสอ้าน และคณะ, 2523 : 4)
                               ิ

ความหมายของการบริห าร

คำาศัพท์ที่ใช้ในความหมายของการบริหาร มีอยู่สองคำาคือ "การบริหาร" (Administration) และ "การ
จัดการ" (management)

การบริหาร มักจะใช้กับการบริหารกิจการสาธารณะหรือการบริหารราชการ ส่วนคำาว่า การจัดการ ใช้กับ
การบริหารธุรกิจเอกชน เราจึงเรียกผู้ทดำารงตำาแหน่งระดับบริหารในหน่วยงานราชการว่า "ผู้บริหาร" ใน
                                    ี่
ขณะที่บริษัท ห้างร้าน ใช้เรียกตำาแหน่งเป็น "ผู้จัดการ" เนื่องจากการศึกษาเป็นกิจการที่มุ่งประโยชน์
สาธารณะ และจัดเป็นส่วนงานของทางราชการ จึงใช้เรียกชื่อผูดำารงตำาแหน่งดังกล่าวว่า "ผู้บริหารการ
                                                       ้
ศึกษา" หากปฏิบัติงานเป็นหัวหน้าในสถานศึกษา เรียกว่า "ผู้บริหารสถานศึกษา"
ได้มีผให้คำาจำากัดความหมายของ "การบริหาร" ในฐานะที่เป็นกิจกรรมชนิดหนึ่ง ดังต่อไปนี้
      ู้
1. Peter F. Drucker : การบริหาร คือ ศิลปในการทำางานให้บรรลุเป้าหมายร่วมกับผูอื่น
                                                                            ้
2. Harold koontz : การบริหาร คือ การดำาเนินงานให้บรรลุวัตถุประสงค์ที่กำาหนดไว้ โดยการอาศัยคน เงิน
วัตถุสิ่งของ เป็นปัจจัยในการปฏิบติงาน
                                ั
3. Herbert A. simon : การบริหาร คือ กิจกรรมที่บุคคลตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป ร่วมมือกันดำาเนินการให้บรรลุ
วัตถุประสงค์อย่างใดอย่างหนึ่ง หรือหลายอย่างร่วมกัน
4. วิจตร ศรีสอ้านและคณะได้สรุปสาระสำาคัญของการบริหารไว้ดังนี้
      ิ
        4.1 การบริหารเป็นกิจกรรมของกลุ่มบุคคลตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป
        4.2 ร่วมมือกันทำากิจกรรม
        4.3 เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ร่วมกัน
        4.4 โดยการใช้กระบวนการ และทรัพยากรที่เหมาะสม
สำาหรับการบริหารในฐานะที่เป็นวิชาการสาขาหนึ่ง มีลกษณะเป็นศาสตร์โดย สมบูรณ์เช่นเดียวกับศาสตร์
                                                 ั
สาขาอื่น ๆ กล่าวคือ เป็นสาขาวิชาที่มการจัดระเบียบให้เป็นระบบของการศึกษา มีองค์แห่งความรู้ หลัก
                                    ี
การ และทฤษฎี ที่เกิดจากการศึกษาค้นคว้า เชิงวิทยาศาสตร์ การบริหารจึงเป็นสิ่งที่นำามาศึกษาเล่าเรียน
กันได้โดยนำาไปประยุกต์ใช้ สู่การปฏิบัติ ให้เหมาะสมกับสถานการณ์และสิ่งแวดล้อม ซึ่งขึ้นอยู่กับความ
สามารถ ประสบการณ์ และบุคลิกภาพส่วนตัวของผู้บริหารแต่ละคน
จึงสรุปได้วา การบริหาร หมายถึง การใช้ศาสตร์และศิลป์ของบุคคลตั้งแต่ 2 คน ขึ้นไป ร่วมมือกันดำาเนิน
           ่
กิจกรรมหรืองานให้บรรลุวตถุประสงค์ที่วางไว้ร่วมกัน โดยอาศัยกระบวนการ และทรัพยากรทางการ
                       ั
บริหารเป็นปัจจัยอย่างประหยัด และให้เกิดประโยชน์ สูงสุด

ผู้บริหารจะบริหารงานให้เกิดประสิทธิภาพและประสิทธิผลได้นั้นต้องมีความรู้ ความเข้าใจในเรื่องของ
ทฤษฎีและหลักการบริหาร เพื่อจะได้นำาความรู้ไปประยุกต์ใช้ให้เหมาะสมกับการทำางาน สถานการณ์และ
สิ่งแวดล้อม จึงพูดได้วาผู้บริหารที่ประสบความสำาเร็จ คือ ผู้ที่สามารถประยุกต์เอาศาสตร์การบริหารไป
                      ่
ใช้ได้อย่างมีศิลปะนั่นเอง

ทฤษฎีแ ละหลัก การบริห าร

คำาว่า "ทฤษฎี" เป็นคำาที่รู้จักกันแพร่หลายในวงการนักวิชาการสาขาต่าง ๆ โดย ผู้สนใจในทฤษฎีต่าง ๆ
ได้นำาทฤษฎีเข้าสู่ภาคปฏิบติ โดยให้เหตุผลว่าทฤษฎีเปรียบได้กับดาวเหนือหรือเข็มทิศที่คอยบอกทิศทาง
                         ั
ให้กับชาวเรือ หรือชี้แนวทางที่ถูกต้องในการปฏิบัติงาน
พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถานได้ให้ความหมาย "ทฤษฎี" (ทริดสะดี) ว่า หมายถึง ความเห็น การเห็น
การเห็นด้วยลักษณะที่คาดเอาตามหลักวิชาเพื่อเสริมเหตุผล และรากฐานให้แก่ปรากฏการณ์ หรือข้อมูลใน
ภาคปฏิบัติ ซึ่งเกิดขึ้นอย่างมีระเบียบ นอกจากนี้ นักวิชาการหลายท่านได้ให้ความหมายดังนี้
1. Good : ทฤษฎี คือ ข้อสมมติตาง ๆ (Assumption) หรือข้อสรุปเป็นกฎเกณฑ์ (Generalization) ซึ่งได้รับ
                             ่
การสนับสนุนจากข้อสมมติทางปรัชญาและหลักการทางวิทยาศาสตร์ เพื่อใช้เป็นเสมือนพื้นฐานของการ
ปฏิบติ ข้อสมมติซึ่งมาจากการสำารวจทางวิทยาศาสตร์ การค้นพบต่าง ๆ จะได้รับการประเมินผล เพื่อให้มี
    ั
ความเที่ยงตรงตาม หลักวิทยาศาสตร์และข้อสมมติทางปรัชญา อันถือได้วาเป็นสัญลักษณ์ของการสร้าง
                                                               ่
(Con -struction)
2. Kneller : ได้ให้ความหมายของทฤษฎีไว้ 2 ความหมาย คือ
         2.1 ข้อสมมติฐานต่าง ๆ (Hypothesis) ซึ่งได้กลั่นกรองแล้วจากการสังเกตหรือทดลอง เช่น ใน
         เรื่องความโน้มถ่วงของโลก
         2.2 ระบบของความคิดต่าง ๆ ที่นำามาปะติดปะต่อกัน (Coherent)
3. Feigl : ทฤษฎีเป็นข้อสมมติต่าง ๆ ซึ่งมาจากกระบวนการทางตรรกวิทยา และคณิตศาสตร์ ทำาให้เกิดกฎ
เกณฑ์ที่ได้มาจากการสังเกตและการทดลอง
4. ธงชัย สันติวงษ์ : ทฤษฎี หมายถึง ความรู้ที่เกิดขึ้นจากการรวบรวมแนวคิด และหลักการต่าง ๆ ให้เป็นก
ลุ่มก้อน และสร้างเป็นทฤษฎีขึ้น ทฤษฎีใด ๆ ก็ตามทีตั้งขึ้น มานั้น เพื่อรวบรวมหลักการและแนวความคิด
                                                ่
ประเภทเดียวกันเอาไว้อย่างเป็นหมวดหมู่
5. เมธี ปิลันธนานนท์ : ได้กล่าวถึงหน้าที่หลักของทฤษฎี มี 3 ประการ คือ การพรรณนา (Description) การ
อธิบาย (Explanation) และการพยากรณ์ (Prediction)
6. ธีรวุฒิ ประทุมนพรัตน์ : ได้กล่าวถึง ลักษณะสำาคัญของทฤษฎีมีดังนี้
         6.1 เป็นความคิดที่สัมพันธ์กันและกันอย่างมีระบบ
         6.2 ความคิดดังกล่าวมีลักษณะ "เป็นความจริง"
         6.3 ความจริงหรือความคิดนั้น สามารถเป็นตัวแทนปรากฏการณ์ หรือ พฤติกรรมที่เกิดขึ้นได้
จากความหมายดังกล่าวข้างต้น ทฤษฎี จึงหมายถึง การกำาหนดข้อสันนิษฐาน ซึ่งได้รับมาจากวิธีการทาง
ตรรกวิทยา วิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์ ทำาให้เกิดกฎเกณฑ์ที่ได้มาจากการสังเกต ค้นคว้าและการ
ทดลอง โดยใช้เหตุผลเป็นพื้นฐานเพื่อก่อให้เกิดความ เข้าใจในความเป็นจริง และนำาผลที่เกิดขึ้นนั้นมาใช้
เป็นหลักเกณฑ์
สำาหรับทฤษฎีตาง ๆ ที่เข้ามาสู่การบริหารนั้น ได้มีผู้คิดค้นมากมาย แต่พบว่า ยังไม่มีทฤษฎีใดที่สามารถ
             ่
ช่วยอธิบายปรากฏการณ์ในการบริหารงานได้หมด อาจจำาเป็นต้องใช้หลาย ๆ ทฤษฎีในการแก้ปัญหาหนึ่ง
หรือทฤษฎีหนึ่งซึ่งมีหลักการดีและเป็นที่นิยมมาก อาจไม่สามารถแก้ปัญหาเล็กน้อย หรือปัญหาใหญ่ได้เลย
ทั้งนี้ย่อมขึ้นอยู่กับลักษณะของแต่ละปัญหา สภาพการณ์ของสังคม และกาลเวลาที่เกิดขึ้น อย่างไรก็ตาม คู๊
นท์ (Koontz) ได้กล่าวไว้ว่า ทฤษฎีหรือหลักในการบริหารงานนั้นจะดีหรือมีประสิทธิภาพหรือไม่นั้น ควร
คำานึงถึงลักษณะของทฤษฎีในเรื่องต่อไปนี้
1. การเพิ่มประสิทธิภาพของงาน
2. การช่วยวิเคราะห์งานเพื่อปรับปรุงพัฒนา
3. การช่วยงานด้านวิจัยขององค์การให้กาวหน้า
                                    ้
4. ตรงกับความต้องการของสังคม
5. ทันสมัยกับโลกที่กำาลังพัฒนา


หลัก การบริห ารและวิว ัฒ นาการ

วิชาการบริหารได้พัฒนามาตามลำาดับเริ่มจากอดีต หรือการบริหารในระยะแรก ๆ นั้น มนุษย์ยังขาด
ประสบการณ์การบริหาร จึงเป็นการลองผิดลองถูก การแลกเปลี่ยน ประสบการณ์ยังไม่แพร่หลายและกว้าง
ขวาง การเรียนรู้หลักการบางอย่างจึงเรียนรู้จากประสบการณ์ของตนเอง หรือมีการแลกเปลียนกันในวง
                                                                                ่
จำากัด คือ การถ่ายทอดไปยังทายาท ลูกศิษย์ หรือลูกจ้าง เป็นต้น ต่อมาการบริหารเริ่มมีความหมายชัดเจน
และรัดกุมขึ้นในศตวรรษที่ 18 โดยกลุ่มนักรัฐประศาสนศาสตร์ ซึ่งเรียกตัวเองว่า Cameralist ในประเทศ
เยอรมันและออสเตรีย โดยให้คำาจำากัดความของคำาว่า การบริหาร หมายถึง การจัดการหรือการควบคุม
กิจการต่าง ๆ ของรัฐ เช่น การบริหารอาณานิคม การบริหารเกียวกับกิจการภาษี การบริหารการ เงินของ
                                                       ่
มูลนิธิ และการบริหารอุตสาหกรรม เป็นต้น

ต่อมาปลายศตวรรษที่ 18 นักบริหารชาวสหรัฐอเมริกาที่เรียกว่า Federalist ได้ให้ความหมายของคำาว่า
การบริหาร หมายถึง การบริหารงานของรัฐ (Public Administration) และต่อมาได้ใช้คำาว่า Administration
หมายถึง การบริหารเกียวกับ กิจการของรัฐ ส่วนคำาว่า Management หมายถึง การบริหารเกียวกับภารกิจ
                    ่                                                            ่
ของเอกชน

ปลายศตวรรษที่ 19 และต้นศตวรรษที่ 20 อุตสาหกรรมและการค้าในยุโรปและอเมริกาได้ขยายตัวอย่าง
รวดเร็ว ทั้งนี้เป็นผลมาจากได้มีการพัฒนาการผลิตสินค้าต่าง ๆ โดยเฉพาะเมื่อ Henry Ford ได้ผลิตรถยนต์
โดยใช้สายพาน และนักอุตสาหกรรมอื่นได้ ผลิตสินค้าจำานวนมาก โดยคิดค้นวิธีการลดต้นทุนการผลิต
โดยการตัดค่าใช้จ่ายให้น้อยลง และระยะนี้เองได้มการนำาเอาวิธีการทางวิทยาศาสตร์ (Scientific
                                              ี
Management) มาใช้ โดยวิศวกรชาวอเมริกัน คือ Frederick W. Taylor นอกจากนี้ได้มีนกวิชาการหลาย
                                                                              ั
ท่านได้พยายามแบ่งยุคหรือวิวัฒนาการทางการบริหารแตกต่างออกไป ดังนี้

อรุณ รัก ธรรม ได้แบ่งวิวัฒนาการบริหารออกเป็น 3 ระยะ คือ

1. ระยะเริ่มต้น เป็นระยะของการปูพื้นฐานและโครงสร้าง บุคคลสำาคัญ ในระยะนี้ได้แก่ Woodrow Wilson,
Leonard D. White, Frank T. Goodnow, Max weber, Frederick W. Taylor และ Henri Fayol เป็นต้น
2. ระยะกลางหรือระยะพฤติกรรมและภาวะแวดล้อม ผู้มีชื่อเสียงใน ระยะนี้ ได้แก่ Elton Mayo, Chester I.
Barnard, Mary P. Follet เป็นต้น
3. ระยะที่สาม หรือ ระยะปัจจุบัน มี Herbert A. Simon, Jame G. March เป็นผู้วางรากฐาน

นพพงษ์ บุญ จิต ราดุล ย ์์ ได้แบ่งวิวัฒนาการของการบริหารออกเป็น 3 ยุค คือ

1. ยุคการจัดการแบบวิทยาศาสตร์ (Scientific Management Era) ผู้มี บทบาทสำาคัญได้แก่ Frederick W.
Taylor, Henri Fayol, Luther H. Gulick และ Lyndall Urwick
2. ยุคการบริหารแบบมนุษย์สัมพันธ์ (Human Relation Era) ผู้มี บทบาทสำาคัญได้แก่ Mary P. Follet, Elton
Mayo และ Fritz J. Rocthlisberger
3. ยุคทฤษฎีการบริหาร (The Era of Administrative Theory) เป็นยุคที่ ผสมผสานสองยุคแรกเข้าด้วยกัน
จึงเป็นยุคบริหารเชิงพฤติกรรมศาสตร์ ผู้มีบทบาทสำาคัญได้แก่ Chester I. Barnard และ Herbert A. Simon

นอกจากนี้นกบริหารและนักวิชาการบางกลุ่มได้แบ่งวิวฒนาการของการบริหารออกเป็น 4 ยุค คือ
          ั                                     ั
1. ยุคก่อนหรือยุคโบราณ เริ่มตั้งแต่การมีสังคมมนุษย์จนถึงยุคก่อน Classical บุคคลสำาคัญในยุคนีได้แก่
                                                                                            ้
Socrates, Plato, Aristotle, Saint-Simen, Hegel, Robert Owen และ Charles Bubbage
2. ยุค Classical เริ่มตั้งแต่ช่วงแรกของการปฏิวติอตสาหกรรมในปลาย คริสต์ศตวรรษที่ 18 ซึ่งเป็นยุคทีนำา
                                              ั ุ                                               ่
เครื่องจักร เครื่องมือทุ่นแรงเข้าไปใช้แทนกำาลังคน จนกระทั่งได้เกิดแนวคิดในเรื่อง การจัดการเชิง
วิทยาศาสตร์ (Scientific Management) ขึ้นในคริสต์ศตวรรษที่ 20 เป็นการบริหารที่มุ่งเน้นการผลิต หรือ
ให้ความสำาคัญต่องานมาก ระบบการทำางานถือเป็นสิ่งสำาคัญ บุคคลสำาคัญในยุคนีได้แก่
                                                                        ้
        2.1 Henry R. Towne เป็นประธานบริษัทเยลและทาวน์ในสหรัฐอเมริกา ได้เสนอบทความเรื่อง
        วิศวกรในฐานะนักเศรษฐศาสตร์ ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นแห่งการเคลือนไหวทางแนวความคิดด้านการ
                                                                 ่
        จัดการของศตวรรษต่อมา
        2.2 Woodrow wilson เขียนบทความเรื่อง The Study of Public Administration มีแนวคิดที่
        ต้องการแยกการบริหารของรัฐออกมาจากการเมือง
        2.3 Frank T. Goodnow เขียนบทความเรื่อง Politics and Administration ซึ่งเป็นแนวความคิด
        คล้ายคลึงกับวิลสัน และเน้นเรื่องการปรับปรุงระบบการบริหารให้มีประสิทธิภาพ ยึดระบบ
        คุณธรรม (Merit System) ให้มีคณะกรรมการ รับผิดชอบ และมีหน่วยงานการบริหารบุคคลในทุก
        หน่วยงาน มีการจำาแนกตำาแหน่ง เพื่อความเป็นธรรมในการจ้าง มีการกำาหนดมาตรฐาน และ
        คุณสมบัติของบุคลากร
        2.4 Leonard D. White ได้เขียนเรื่อง " Introduction to study of Public Administration" มีความ
        คิดเห็นเช่นเดียวกับ Goodnow และ Wilson เขายังได้เพิ่มเรื่องการเลื่อนขั้น วินัย ขวัญ และเน้น
        เรื่องที่กู๊ดโนว์เขียนไว้อย่างละเอียด
        2.5 Max Weber เป็นนักสังคมวิทยาชาวเยอรมัน ผู้เสนอแนวคิดเกียวกับ การบริหารราชการ
                                                                  ่
        (Bureaucracy) ถือว่าเป็นบิดาทางด้านบริหารราชการ มีแนวคิดของหลักการบริหารที่มีเหตุผล มี
        การแบ่งงานกันทำา มีสายการบังคับบัญชาที่ลดหลั่นลงมา มีผู้ชำานาญการในสายงานต่าง ๆ การ
        ปฏิบติงานต้องมีการบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษร เป็นต้น
            ั
        2.6 Frederick W. Taylor เป็นวิศวกรชาวเยอรมัน เป็นผู้เสนอวิธีการจัด การแบบวิทยาศาสตร์
        (Scientific Management) สนใจหลักเกี่ยวกับความเชี่ยวชาญหรือชำานาญเฉพาะอย่าง
        (Specialization) อันเป็นสิ่งสำาคัญเบื้องต้นในการเข้าใจองค์การรูปนัย เพราะการแบ่งงานกันทำา
        ตามความชำานาญเฉพาะอย่าง จำาเป็นต้องมีการประสานงานอีกด้วย
        2.7 Henri Fayol เป็นวิศวกรและนักอุตสาหกรรมชาวฝรั่งเศส ได้เสนอ แนวคิดที่มีลกษณะเป็น
                                                                                  ั
        สากลสำาหรับนักบริหาร โดยกล่าวถึงองค์ประกอบขั้นมูลฐานของการบริหาร ได้แก่
1) การวางแผน (Planning)
        2) การจัดองค์การ (Organizing)
        3) การบังคับบัญชา (Commanding)
        4) การประสานงาน (Coordinating)
        5) การควบคุม ( Controlling)
        2.8 Luthur Gulick and Lyndall Urwick เป็นนักบริหารงานแบบวิทยา- ศาสตร์ บริหารงานโดย
        หวังผลงานเป็นใหญ่ (Task Centered) เขาได้แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับกระบวนการบริหาร สรุป
        ย่อได้วา POSDCoRB ดังนี้
               ่
        1) P = Planning การวางแผน
        2) O = Organization การจัดองค์การ
        3) S = Staffing การจัดคนเข้าทำางาน
        4) D = Directing การอำานวยการ, การสั่งการ
        5) Co = Coordinating การประสานงาน
        6) R = Reporting การรายงาน
        7) B = Budgetting การบริหารงบประมาณ
3. ยุค Human Relation เป็นยุคที่มีความเชื่อว่างานใด ๆ จะบรรลุผลสำาเร็จได้จะต้องอาศัยคนเป็นหลัก นัก
บริหารกลุ่มนี้จึงหันมาสนใจศึกษาพัฒนาทฤษฎี วิธการและเทคนิคต่าง ๆ ทางด้านสังคมศาสตร์ พฤติกรรม
                                             ี
และกลุ่มคนในองค์การ สนใจศึกษาแนวทางประสานงานให้คนเข้ากับสิ่งแวดล้อมของงาน เพื่อหวังผลใน
ด้านความร่วมมือ ความคิด ริเริ่มและการเพิ่มผลผลิต โดยมีพื้นฐานของความเชื่อที่ว่า "มนุษยสัมพันธ์" จะ
นำาไปสู่ความพอใจและสะท้อนถึงผลของการปฏิบติงาน บุคคลสำาคัญในยุคนี้ ได้แก่
                                        ั
        3.1 Elton Mayo ชาวออสเตรีย ในฐานะนักวิชาการอุตสาหกรรม มีผล งานมากในแง่ปัญหาบุคคล
        กับสังคมของอุตสาหกรรม และพฤติกรรมของบุคคลในสภาพ แวดล้อมการทำางาน สรุปการ
        ทดลองที่ Hawthorne ได้วา ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อผลผลิตของคนงาน คือ ความสัมพันธ์ระหว่าง
                               ่
        บุคคล ที่เกิดขึ้นมาจากการที่คนมาทำางานร่วมกันโดยก่อรูปไม่เป็นทางการ การให้รางวัลและ
        ลงโทษเป็นตัวกระตุ้นให้สมาชิกทำางานได้ดีที่สุด การมีส่วนร่วมของสมาชิก จะมีอิทธิพลต่อความ
        สำาเร็จของงาน และความก้าวหน้าขององค์การ
        3.2 Mary Follette ชาวอเมริกัน ได้เขียนตำาราที่มีแนวคิดในเชิงมนุษย- สัมพันธ์ เช่น เขียนเรื่อง
        ความขัดแย้ง การประสานความขัดแย้ง กฎที่อาศัยสถานการณ์ และความรับผิดชอบ เป็นต้น
        3.3 Likert เป็นผู้ที่สนใจด้านพฤติกรรมของมนุษย์ในองค์การ ผลงานที่มีชื่อ เสียงมาก คือ The
        Human Organization : Its management and Value และหนังสือ New Patterns of Management
4. ยุค Behavioral Science เป็นยุคที่มความพยายามศึกษา และวิเคราะห์วิจัย มีการปรับปรุง เปลี่ยนแปลง
                                     ี
และค้นคว้าทฤษฎีใหม่ ๆ เพื่อนำาไปเป็นประโยชน์ต่อการบริหารให้เกิดประสิทธิภาพมากที่สุด นักบริหารที่
สำาคัญของยุคนี้ ได้แก่ Chester I. Barnard, Herbert A. Simon, Abraham Maslow, Getzels and Guba,
Douglas McGregor, Victor H. Vroom, Robert Blank and Jane S. Mouton, William J. Reddin, Robert
Tannenbaum and Warren Schmidt และ Paul Hersey and Kenneth H. Blanchard เป็นต้น
ทฤษฎีท ี่ค วรทราบ

ทฤษฎีต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการบริหารการศึกษา ได้รับการพัฒนาเปลี่ยนแปลงไปตามยุคตามสมัยตั้งแต่
สมัยโบราณ ยุควิทยาศาสตร์ ยุคมนุษยสัมพันธ์ จนถึงยุคปัจจุบัน ซึ่งอาศัยทฤษฎีองค์การสมัยใหม่ ที่มการ
                                                                                             ี
ปรับปรุงพัฒนาและสังเคราะห์แนวความคิดเกี่ยวกับการจัดการอย่างกว้างขว้างยิ่งขึ้น แต่ถึงอย่างไร การ
บริหารงานสมัยใหม่นี้มุ่งเน้นทั้งคน งาน และผลผลิต จึงต้องมีการผสมผสานแนวคิดต่าง ๆ ทุกยุค ทุกสมัย
เพื่อนำามาประยุกต์ใช้ให้เหมาะสมกับสภาพการณ์และสิ่งแวดล้อมที่เป็นจริงในปัจจุบัน ในที่นี้จะขอนำาเสนอ
ทฤษฎีทางการบริหารการศึกษาพื้นฐานที่ควรทราบ ดังต่อไปนี้


ทฤษฎีว ิเ คราะห์ร ะบบ (System Approach หรือ General System Theory)




ทฤษฎีวิเคราะห์ระบบเป็นทฤษฎีที่มีคุณค่าในการตรวจสอบ หาข้อบกพร่องของกระบวนการบริหารทั้งปวง
รวมทั้งการบริหารการศึกษาด้วย โดยการวิเคราะห์สิ่งนำาเข้า วิเคราะห์กระบวนการ และวิเคราะห์ผลผลิตว่า
สิ่งที่ลงทุนไปคุ้มค่าหรือไม่ แล้วรวบรวมข้อมูลหาจุดบกพร้องแล้วปรับปรุงแก้ไขต่อไป

ทฤษฎีร ะบบสัง คม (Social System Theory)

ทฤษฎีนี้ Getzels และ Guba ได้สร้างขึ้นเพื่อวิเคราะห์พฤติกรรมในองค์การต่าง ๆ ที่จัดขึ้นเป็นระบบสังคม
แบ่งออกเป็น 2 ด้าน คือ ด้านสถาบันมิติ (Nomothetic Dimension) และด้านบุคลามิติ (Idiographic
Dimension) ดังรูป
1. ด้านสถาบันมิติ ประกอบด้วย
        1.1 สถาบัน (institution) ได้แก่ หน่วยงานหรือองค์การ ซึ่งจะเป็น กรม กอง โรงเรียน โรงพยาบาล
        บริษัท ร้านค้า หรือโรงงานต่าง ๆ ที่มีวัฒนธรรม (culture) ของหน่วยงานหรือองค์การนั้น
        ครอบคลุมอยู่
        1.2 บทบาทตามหน้าที่ (role) สถาบันจะกำาหนดบทบาท หน้าที่ และตำาแหน่ง ต่าง ๆ ให้บคคล
                                                                                      ุ
        ปฏิบติ มีกฎและหลักการอย่างเป็นทางการ และมีธรรมเนียม (ethics) การปฏิบัติที่มอิทธิพลต่อ
            ั                                                                      ี
        บทบาทอยู่
        1.3 ความคาดหวังของสถาบันหรือบุคคลภายนอก (expectations) เป็นความ คาดหวังที่สถาบัน
        หรือบุคคลภายนอกคาดว่าสถาบันจะทำางานให้บรรลุเป้าหมาย เช่น โรงเรียนมีความคาดหวังที่จะ
        ต้องผลิตนักเรียนที่ดีมคุณภาพ ความคาดหวังมีค่านิยม (values) ของสังคมครอบคลุมอยู่
                              ี
2. ด้านบุคลามิติ ประกอบด้วย
        2.1 บุคลากรแต่ละคน (individual) ซึ่งปฏิบัติงานอยูในสถาบันนั้น ๆ เป็นบุคคล ในระดับต่าง ๆ
                                                         ่
        เช่น ในโรงเรียนมีผู้บริหารโรงเรียน ครู อาจารย์ คนงาน ภารโรง มีวฒนธรรมย่อยที่ครอบคลุม
                                                                       ั
        ต่างไปจากวัฒนธรรมโดยส่วนรวม
        2.2 บุคลิกภาพ (personality) หมายถึง ความรู้ ความถนัด ความสามารถ เจตคติ อารมณ์ และ
        แนวคิด ซึ่งบุคคลที่เข้ามาทำางานในสถาบันนั้นจะมีความแตกต่างปะปนกันอยู่และมีธรรมเนียม
        ของแต่ละบุคคลเป็นอิทธิพลครอบงำาอยู่
        2.3 ความต้องการส่วนตัว (need - dispositions) บุคคลที่มาทำางานสถาบันมี ความต้องการที่แตก
        ต่างกันไป บางคนทำางานเพราะต้องการเงินเลี้ยงชีพ บางคนทำางานเพราะความรัก บางคน
ต้องการเกียรติยศชื่อเสียง ความก้าวหน้า บางคนต้องการการยอมรับ บางคนต้องการความมั่นคง
         ปลอดภัย เป็นต้น นอกจากนั้นยังมีค่านิยมของตนเองครอบคลุมอยู่
จากรูปพอสรุปได้วา ในด้านสถาบันมิตินั้นจะยึดถือเรื่องสถาบันซึ่งมีบทบาท ต่าง ๆ เป็นสำาคัญ บทบาทที่
                ่
สถาบันได้คิดหรือกำาหนดไว้จะต้องชี้แจงให้บุคลากรในสถาบันได้ทราบอย่างเด่นชัด เพื่อจะได้กำาหนดการ
คาดหวังที่สถาบันได้กำาหนดไว้ในบทบาทของตนออกมา ตรงกับความต้องการของผลผลิตของสถาบันนั้น
ส่วนในด้านบุคลามิติ ประกอบด้วย ตัวบุคคลที่ปฏิบติงานอยู่ในสถาบันนั้น ซึ่งบุคคลที่ปฏิบัติงานอยูก็มี
                                              ั                                              ่
บุคลิกภาพที่เป็นตัวเองทีไม่เหมือนกัน ในแต่ละคนต่างก็มีความต้องการในตำาแหน่งหน้าที่การงานที่แตก
                        ่
ต่างกันออกไป ทั้งสองมิตินี้ระบบสังคมเป็นสิ่งที่มีอิทธิพลต่อการบริหารงานเป็นอันมาก ถ้าหากว่าทุกสิ่งทุก
อย่างราบรื่นดี การบริหารงานนั้นสามารถที่จะสังเกตพฤติกรรมได้ (social behavior or observed behavior)
ทฤษฎีจ ูง ใจในการปฏิบ ัต ิง านของมาสโลว์

Abraham H. Maslow เป็นบุคคลแรกทีได้ตั้งทฤษฎีทั่วไปเกี่ยวกับการจูงใจ (Maslow's general theory of
                                ่
human and motivation) ไว้และได้ตั้งสมมติฐานเกี่ยวกับพฤติกรรมของมนุษย์ไว้ 3 ประการ ดังนี้
1. มนุษย์มีความต้องการ ความต้องการมีอยู่เสมอและไม่มีสิ้นสุด แต่สิ่งที่ มนุษย์ตองการนั้นขึ้นอยู่กับว่าเขา
                                                                              ้
มีสิ่งนั้นอยู่แล้วหรือยัง ขณะที่ความต้องการใดได้รบการตอบสนองแล้วความต้องการอย่างอื่นจะเข้ามา
                                                 ั
แทนที่ กระบวนการนีไม่มีที่สิ้นสุด และจะเริ่มต้นตั้งแต่เกิดจนกระทั่งตาย
                  ้
2. ความต้องการที่ได้รับการตอบสนองแล้ว จะไม่เป็นสิ่งจูงใจของ พฤติกรรมอีกต่อไป ความต้องการที่ไม่
ได้รับตอบสนองเท่านั้น ที่เป็นสิ่งจูงใจของพฤติกรรม
3. ความต้องการของมนุษย์ มีเป็นลำาดับขั้นตามลำาดับความสำาคัญ กล่าวคือ เมื่อความต้องการในระดับตำ่า
ได้รับการตอบสนองแล้ว ความต้องการระดับสูงก็จะเรียกร้องให้มีการตอบสนองทันที

Maslow ได้แบ่งลำาดับขั้นความต้องการของมนุษย์ไว้ดังนี้ (Maslow's Need-hierachy Theory)




ทฤษฎีก ารจูง ใจ - สุข อนามัย ของเฮอร์เ บอร์ก (Herzberg's Motivation Hygiene Theory)
ทฤษฎีเกี่ยวกับการจูงใจของ เฮอร์เบอร์กนี้มีชื่อเรียกกันหลายอย่าง เช่น Motivation Maintenance Theory,
dual Factor Theory Motivation-Hygiene Theory และ The two - Factor Theory ทฤษฎีนได้ตั้งสมมติฐาน
                                                                               ี้
เกี่ยวกับองค์ประกอบทีจะสนับสนุนความพอใจในการทำางาน (Job Satisfaction) และองค์ประกอบที่
                     ่
สนับสนุนความไม่พอใจในการทำางาน (Job dissatisfaction) ดังนี้
พวกที่ 1 ตัวกระตุ้น (Motivator) คือ องค์ประกอบทีทำาให้เกิดความพอใจ
                                                ่
         - งานที่ปฏิบัติ
         - ความรู้สึกเกี่ยวกับความสำาเร็จของงาน
         - ความรับผิดชอบ
         - โอกาสก้าวหน้าในหน้าที่การงาน
พวกที่ 2 ปัจจัยสุขอนามัย (Hygiene) หรือ องค์ประกอบที่สนับสนุนความ ไม่พอใจในการทำางาน ได้แก่
         - แบบการบังคับบัญชา
         - ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล
         - เงินเดือนค่าตอบแทน
         - นโยบายของการบริหาร
ทฤษฎี X และ ทฤษฎี Y

Douglas McGregor ได้เสนอทฤษฎีนี้ใน ค.ศ. 1957 โดยเสนอสมมติฐานในทฤษฎี X ว่า
1. ธรรมชาติของมนุษย์โดยทั่วไปไม่ชอบทำางาน พยายามเลี่ยงงาน หลบหลีก บิดพลิ้ว เมื่อมีโอกาส
2. มนุษย์มีนิสัยเกียจคร้าน จึงต้องใช้วิธีการข่มขู่ ควบคุม สั่งการ หรือบังคับให้ ทำางานตามจุดประสงค์ของ
องค์การให้สำาเร็จ
3. โดยทั่วไปนิสัยมนุษย์ชอบทำางานตามคำาสั่ง ต้องการที่จะหลีกเลี่ยง ความรับผิดชอบ แต่ตองการความ
                                                                                    ้
มั่นคง อบอุ่นและปลอดภัยมากกว่าสิ่งอื่น
ทฤษฎี Y มีสมมติฐานว่า
1. การที่ร่างกายและจิตใจได้พยายามทำางานนั้น เป็นการตอบสนองความพอใจ อย่างหนึ่งเช่นเดียวกับการ
เล่นและพักผ่อน
2. มนุษย์ชอบนำาตนเอง ควบคุมตนเอง เพื่อดำาเนินงานที่ตนรับผิดชอบ ให้บรรลุ จุดประสงค์อยู่แล้ว ดังนั้น
การบังคับควบคุม ข่มขู่ ลงโทษ จึงไม่ใช่วิธการเพียงอย่างเดียว ที่จะทำาให้มนุษย์ดำาเนินงานจนบรรลุจด
                                         ี                                                     ุ
ประสงค์ขององค์การ
3. มนุษย์ผูกพันตนเองกับงานองค์การก็เพื่อหวังรางวัลหรือสิ่งตอบแทน เมื่อองค์ การประสบความสำาเร็จ
4. เมื่อสถานการณ์เหมาะสม มนุษย์โดยทั่วไปจะเกิดการเรียนรู้ ทั้งด้านการยอม รับ ความรับผิดชอบ และ
แสวงหาความรับผิดชอบ ควบคู่กันไปด้วย
5. มนุษย์ทั้งหลายย่อมมีคุณสมบัติที่ดกระจายอยู่ทั่วไปทุกคน เช่น มีนโนภาพ มี ความฉลาดเฉลียวและ
                                    ี
ว่องไว มีความสามารถในการแก้ปัญหาต่าง ๆ ขององค์การ
6. สถานการณ์ของการดำารงชีวิตในระบบอุตสาหกรรมยุคใหม่ มนุษย์ยังไม่มี โอกาสใช้สติปัญญาได้เต็มที่

Andrew F Sikula เปรียบเทียบทฤษฎี X และ Y ไว้ดังนี้


              ทฤษฎี X                             ทฤษฎี Y
1. มนุษย์มักเกียจคร้าน                1. มนุษย์จะขยันขันแข็ง
                                      2. การทำางานของมนุษย์ก็เหมือนกับ
2. มนุษย์ชอบหลีกเลี่ยงงาน
                                      การเล่น การพักผ่อนตามธรรมชาติ
3. มนุษย์ชอบทำางานตามคำาสั่งและ      3. มนุษย์รู้จกกระตุ้นตนเองให้อยาก
                                                  ั
ต้องการให้มีผู้ควบคุม                ทำางาน
4. ต้องใช้วินัยของหมู่คณะบังคับ      4. มนุษย์มีวินัยในตนเอง
5. มนุษย์มักหลีกเลียงไม่อยากรับผิด
                   ่
                                     5. มนุษย์มักแสวงหาความรับผิดชอบ
ชอบ
6. มนุษย์ไม่เฉลียวฉลาดขาดความรับ 6. มนุษย์มีสมรรถภาพในการทำางาน
ผิดชอบ                               และมีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์


เอกสารอ้า งอิง

กิติมา ปรีดดิลก. ทฤษฎีบริหารองค์การ. กรุงเทพมหานคร : ธนะการพิมพ์, 2529.
           ี

จรูญ ดอกบัวแก้ว และคณะ. ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับการบริหารการศึกษา. ปัตตานี : มหาวิทยาลัยสงขลา
นครินทร์ , 2535.

ติน ปรัชญพฤทธ์. ทฤษฎีองค์การ. กรุงเทพมหานคร : ไทยวัฒนาพานิช. 2527.

ธีรวุฒิ ประทุมนพรัตน์. ทฤษฎีการบริหารและการจัดองค์การ. สงขลา : มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ,
2531.

บุญทัน ดอกไธสง. ทฤษฎี : การบริหารองค์การ. กรุงเทพมหานคร : โอเดียนสโตร์ , 2523.

ผุสสดี สัตยมานะ และสุพัตรา เพชรมุนี. ระบบบริหารและระเบียบวิธีปฏิบติราชการ. กรุงเทพมหานคร :
                                                                 ั
ประชาชน, 2521.

วิจตร ศรีสอ้าน และคณะ. หลักและระบบบริหารการศึกษา. กรุงเทพมหานคร : มหาวิทยาลัยสุโขทัยธร
   ิ
รมาธิราช, 2523.




บทที่ 1 แนวคิด ทางการจัด การ และองค์ก าร
ความหมายของการจัด การ
      กระบวนการบริหารที่มีประสิทธิภาพ ที่ทำาให้องค์การธำารงอยู่และเกิด
สัมฤทธิผลตามเป้าหมายที่กำาหนดไว้ โดยการรู้ จักใช้เทคนิควิธีต่าง ๆ ที่จะ
นำาองค์การไปสู่เป้าหมายหรือจุดมุ่งหมายขององค์การ
การจัด การ นิยมใช้ในวงการธุรกิจ
       การบริห าร นิยมใช้ในวงการรัฐบาลหรือรัฐวิสาหกิจ ซึ่งทั้งสองคำามี
ความหมายไม่แตกต่างกัน
       ส่ว นประกอบขององค์ก าร คือ บุคคล (Man) เงิน (Money)
เครื่องจักร (Machine) และวัสดุ (Materials)
เทคนิคและวิธีการต่าง ๆ ในจัดการส่วนประกอบขององค์การ เช่น เทคนิค
การจัดการสารสนเทศ อาจเกี่ยวกับ บุคคล การเงิน การผลิต เป็นต้น ขึ้นอยู่
กับผู้บริหารที่จะรู้จักนำาไปใช้ประโยชน์ โดยมีการจัดการข้อมูลและขั้นตอน
วิธีการที่ดี ที่จะได้มาซึ่งประสิทธิภาพสูงสุดขององค์การ

ความสำา คัญ ของการจัด การ
      1. มีกระบวนการจัดการที่ดี จะทำาให้องค์การประสบความสำาเร็จตาม
เป้าหมายที่กำาหนดไว้
      2. การจัดการเป็นเทคนิคที่ทำาให้สมาชิกในองค์การเกิดจิตสำานึกร่วม
กัน ในการปฏิบัติงาน มีความตั้งใจ
      3. การจัดการเป็นกำาหนดขอบเขตการทำางานของสมาชิกในองค์การ
      4. การจัดการเป็นการแสวงหาวิธีการที่ดีที่สุดในการปฏิบัติงาน

การจัด การเป็น ศาสตร์แ ละศิล ปะ
          การจัดการเป็นศาสตร์ (Management is a Science) เพราะความ
รู้ที่ได้มาเป็นระบบ เป็นหลักการ กฎ ทฤษฎี หลังจากได้พิสูจน์ ทดสอบ และ
นำาไปใช้แก้ปัญหาได้แล้ว และนำาความรู้ต่าง ๆ นี้มาพัฒนาต่อไป เช่น วิชา
รัฐประศาสนศาสตร์ (Public Administration) , การบริหารธุรกิจ
(Business Administration) เป็นต้น
          การจัดการเป็นศิลปะ (Management is also an art) เพราะ
การนำาเอาความรู้ประยุกต์ใช้งานหรือเป็นเทคนิค ในการพัฒนา องค์การให้
เกิดผลตามที่องค์การต้องการ โดยให้มีความเหมาะสมกับสภาพแวดล้อมที่
เป็นอยู่จริง
          ศาสตร์อนให้มีความรู้ วิชาการ ศิลปะสอนให้รู้จักการปฏิบัติ
ศาสตร์และศิลปะเป็นสิ่งประกอบให้เกิดผล และต้องมีการพัฒนาความรู้ใหม่
ๆ และนำามา ประยุกต์ใช้ นำามาแก้ปัญหาในการจัดการบุคคล เงิน
เครื่องจักร และวัสดุ ขององค์การให้ดำาเนินไปได้ด้วยดี

การจัด การกับ ระบบสารสนเทศ
ระบบสารสนเทศจะต้องมีปริมาณและคุณภาพที่เพียงพอ จึงจะเป็นประโยชน์
ต่อองค์การดังนี้
      1. การกำาหนดเป้าหมาย เป็นจุดหมายหรือเป้าหมายที่องค์การจะต้อง
ทำาให้สำาเร็จ
      2. การวางแผนและการตัดสินใจ เป็นการวางขั้นตอน วิธีการดำาเนิน
การหรืองานต่าง ๆ โดยเป็นหน้าที่ของผู้บริหาร
      3. การจัดและปรับปรุงโครงสร้างองค์การ เป็นการกำาหนดหนทาง
การทำางาน การบังคับบัญชา ความรับผิดชอบ
4. การบริหารงานบุคคล เป็นการวางแผนบุคคล การสรรหาและ
เลือกสรร การพัฒนา ต้องอาศัยข้อมูลของบุคคล
      5. การอำานวยการและการสั่งการ เป็นการชักจูงให้คนงานปฏิบัติงาน
อย่างดีที่สุด เป็นหน้าที่ของผู้บริหารที่ต้องหาวิธี
      6. การควบคุม เป็นการบังคับให้กิจกรรมต่าง เป็นไปตามแผนงานที่
กำาหนดไว้

ความหมายขององค์ก าร มี 3 ลักษณะใหญ่ ๆ คือ
      1. องค์การทางสังคม 2. องค์การทางราชการ 3. องค์การทางเอก
ชน
องค์การ คือ การรวมตัวกันของคนตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป โดยมีจุดมุ่งหมายร่วม
กันในการทำากิจกรรม หรือ งานอย่างใดอย่างหนึ่ง โดยอาศัยกระบวนการ
จัดโครงสร้างของกิจกรรมหรืองานนั้น ออกเป็นประเภทต่าง ๆ เพื่อแบ่งงาน
ให้แก่สมาชิกในองค์การดำาเนินการปฏิบัติให้บรรลุเป้าหมาย

        ์์ ลัก ษณะขององค์ก าร
        1. องค์การคือกลุ่มของบุคคล (Organization as a Group of
People) เป็นกลุ่มของบุคคลที่มีเป้าหมายร่วมกัน ต้องอาศัยความร่วมมือ
ร่วมใจ
        2. องค์การคือโครงสร้างของความสัมพันธ์ (Organization as a
Structure of Relationship) เป็นความรับผิดชอบระหว่างหน่วยงานต่าง
ๆ
        3. องค์การเป็นหน้าที่ส่วนหนึ่งของการจัดการ (Organization as
a Function of Management) เป็นรูปของการจัดกิจกรรม หรืองานต่าง
ๆ ที่มีลักษณะคล้ายคลึงกันเข้าไว้ด้วยกัน โดยกำาหนดหน้าที่ (authority)
ความรับผิดชอบ (Responsibility)
        4. องค์การคือกระบวนการ (Organization as a Process) ลำาดับ
ขั้นตอน ความต่อเนื่อง การดำาเนินงาน ก่อให้เกิดความรวดเร็ว ถูกต้อง และ
ประหยัด มีขั้นตอนดังนี้

การกำาหนดเป้าหมาย (Determination of objectives)
การแบ่งงาน (Division of activities)
การจัดบุคคลเข้าทำางาน (Fitting individuals into activities)
การสร้างความสัมพันธ์ (Developing relationships)
       5. องค์การเป็นระบบอย่างหนึ่ง (Organization as a System)
ส่วนรวมของสิ่งใด ๆ ที่ประกอบด้วยส่วนย่อย ๆ ที่จดเรียงลำาดับมีความ
                                               ั
เกี่ยวข้องกัน

       เป้าหมายขององค์การ (Organization Goal) คือ จุดหมายปลาย
ทางที่กำาหนดขั้นเพื่อให้การจัดสรรทรัพยากร และกิจกรรมต่าง ๆ ของ
องค์การเอื้ออำานวยประโยชน์ต่อทิศทางสุดท้ายที่กำาหนดไว้ในองค์การนั้น ๆ
เช่น กำาไรสูงสุด
ความสำา คัญ ในการกำา หนดเป้า หมายขององค์ก าร
     1. ใช้เป็นแนวทางในการปฏิบัติกิจกรรมขององค์การ
     2. เป็นการอำานวยความถูกต้องตามระเบียบแบบแผน
     3. เป็นมาตราฐานที่สมาชิกในองค์การและนอกองค์การสามารถวัด
ความสำาเร็จได้

วัต ถุป ระสงค์ข ององค์ก าร (Organization objectives)
       1. วัตถุประสงค์ทางเศรษฐกิจหรือกำาไร (Economic or Profit
objectives) กำาไรสูงสุด ผลตอบแทนจากการลงทุน
       2. วัตถุประสงค์เกี่ยวกับการให้บริการ (Service objectives) เพื่อ
สนองต่อความต้องการของประชาชน
       3. วัตถุประสงค์ทางด้านสังคม (social objectives) สนองความ
ต้องการของประชาชน ความรับผิดชอบทางสังคม

ประเภทขององค์ก าร
      1. องค์การแบบปฐมภูมิ และองค์การแบบทุติยภูมิ
องค์การแบบปฐมภูมิ (Primary Organization) องค์การที่เกิดขึ้นเองตาม
ธรรมชาติ เช่น ครอบครับ เพื่อน
องค์การแบบทุติยภูมิ (Secondary Organization) องค์การที่เกิดขึ้นด้วย
บทบาท หน้าที่ เหตุผล เช่น ธุรกิจ
      2. องค์การแบบมีรูปแบบ และองค์การแบบไร้รูปแบบ
องค์การแบบมีรูปแบบ (Formal Organization) คือองค์การที่มีโครงสร้าง
อย่างมีรูปแบบ มีกฏเกณฑ์ ระเบียบแบบแผน หรือองค์การทางราชการ หรือ
การบริหารจากบนลงล่าง (Top-down Management) หรือการบริหาร
แบบแนวดิ่ง (Vertical) องค์ประกอบที่สำาคัญขององค์การแบบมีรูปแบบ

      1. การแบ่งระดับชั้นสายการบังคับบัญชา (Hierarchy)
             การบริหารระดับต้น (Lower Management)
             การบริหารระดับกลาง (Middle Management)
             การบริหารระดับสูง(Top Management)
      2. การแบ่งงาน (Division of Labor)
      3. ช่วงการควบคุม (span of Control)
      4. เอกภาพในการบริหารงาน (Unity of Command)
องค์การแบบไร้รูปแบบ (Informal Organization) หรือองค์การที่ไม่เป็น
ทางการ ไม่มีโครงสร้าง ไม่มี ระเบียบแบบแผน ไม่มีการกำาหนดหน้าที่ ไม่มี
สายบังคับบัญชา
      ข้อดี 1 งานบางอย่างดำาเนินไปอย่างรวดเร็ว
             2. ส่งเสริมขวัญและกำาลังใจ
             3. เป็นทางออกที่บำาบัดความไม่พอใจ
             4. ลดภาระของหัวหน้างานลงได้บ้าง
      ข้อเสีย       1 เกิดการต่อต้านกับองค์การมีรูปแบบ
2. เกิดการแตกแยกเป็นกลุ่ม ทำาให้เสียแบบแผน

ทฤษฎีอ งค์ก าร (Organization Theory)
การวิเคราะห์ถึงความจริงที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติรอบตัว อย่างมีระบบและ
แบบแผนในเชิงวิทยาศาสตร์
        1. ทฤษฎีองค์การสมัยดั้งเดิม (Classical Theory) - Frederick
Taylor แนวคิดการบริหารงานแบบวิทยาศาสตร์ - Max weber แนวคิด
ระบบราชการ เป็นสังคมในยุคสังคมอุตสาหกรรม มีโครงสร้างที่แน่นอน มี
ระเบียบแบบแผน มุ่งให้ผลผลิตมีประสิทธิภาพ (efficient and effective
Productivity) มองมนุษย์เหมือนเครื่องจักร (Mechanistic) ในองค์การ
        2. ทฤษฎีองค์การสมัยใหม่ (Neo-Classical Theory of
Organization) - Hugo Munsterberg ผู้เริ่มต้น วิชาจิตวิทยา
อุตสาหกรรม เน้นสภาพสังคมที่มีผลต่อการปฏิบัติงาน มองมนุษย์เป็นสิ่งมี
ชีวิต ที่มีความรู้สึก มีจิตใจ (Organic) นำาความรู้ด้าน มนุษย์สัมพันธ์มาใช้
        3. ทฤษฎีองค์การสมัยปัจจุบัน (Modern Theory of
Organization) เน้นสังคมเศรษฐศาสตร์ (Socioeconomic) มองมนุษย์
เป็นสิ่งมีชีวิตที่มีความรู้สึก มีจิตใจ นำาความรู้ด้านมนุษย์สัมพันธ์มาใช้ นำาสิ่ง
แวดล้อมมาพิจารณา ใช้แนวความคิด .นเชิงระบบ คำานึงถึงความเป็นอิสระ
และสิ่งแวดล้อมภายใน และภายนอก
(ทฤษฎีองค์การตามสถานการณ์และกรณี(Contingency Theory))

การบริหาร(เอาจริง)

  • 1.
    การบริห าร :หลัก การ แนวคิด ทฤษฎี สังคมของมนุษย์ เป็นสังคมที่มีการรวมตัวเป็นกลุ่ม หมู่เหล่า เป็นชุมชนขนาดต่าง ๆ ตั้งแต่หมู่บ้าน ตำาบล เมือง และประเทศ จึงต้องมีการจัดระบบระเบียบของสังคม เพื่อให้สามารถดำาเนินกิจกรรมด้านต่าง ๆ เป็นไป ด้วยความเรียบร้อย เพื่อความอยู่รอดสงบสุข และบังเกิดความก้าวหน้าในชุมชนเหล่านั้น จึงเป็นสาเหตุให้ เกิด "สถาบันสังคม" และ "การบริหาร" ขึ้นมา สถาบันสังคมที่จัดตั้งขึ้น ไม่วาจะเป็นครอบครัว วัด โรงเรียน และองค์กรอื่น ๆ ทั้งภาครัฐ และเอกชน จึงต้อง ่ อำานวยความสะดวกหรือบริการเพื่อประโยชน์สุขของสมาชิก และความเจริญของสังคม โดยดำาเนินภารกิจ ตามที่สังคมมอบหมาย ด้วยการจัดตั้ง "องค์การบริหาร" ที่เหมาะสมกับลักษณะของกิจกรรมนั้น ๆ ดังนั้น สังคมกับองค์การบริหาร จึงเป็นสิ่งที่ไม่อาจแยกจากกันได้ ดังเช่น ศาสตราจารย์วิลเลียม ซิฟฟิน (William S. Siffin) ได้กล่าวไว้ว่า "หากปราศจากองค์การบริหารแล้วสังคมก็จะไม่มี หากปราศจากสังคมแล้วมนุษย์ก็ ไม่อาจจะดำารงชีวิตอยู่ได้" (วิจตร ศรีสอ้าน และคณะ, 2523 : 4) ิ ความหมายของการบริห าร คำาศัพท์ที่ใช้ในความหมายของการบริหาร มีอยู่สองคำาคือ "การบริหาร" (Administration) และ "การ จัดการ" (management) การบริหาร มักจะใช้กับการบริหารกิจการสาธารณะหรือการบริหารราชการ ส่วนคำาว่า การจัดการ ใช้กับ การบริหารธุรกิจเอกชน เราจึงเรียกผู้ทดำารงตำาแหน่งระดับบริหารในหน่วยงานราชการว่า "ผู้บริหาร" ใน ี่ ขณะที่บริษัท ห้างร้าน ใช้เรียกตำาแหน่งเป็น "ผู้จัดการ" เนื่องจากการศึกษาเป็นกิจการที่มุ่งประโยชน์ สาธารณะ และจัดเป็นส่วนงานของทางราชการ จึงใช้เรียกชื่อผูดำารงตำาแหน่งดังกล่าวว่า "ผู้บริหารการ ้ ศึกษา" หากปฏิบัติงานเป็นหัวหน้าในสถานศึกษา เรียกว่า "ผู้บริหารสถานศึกษา" ได้มีผให้คำาจำากัดความหมายของ "การบริหาร" ในฐานะที่เป็นกิจกรรมชนิดหนึ่ง ดังต่อไปนี้ ู้ 1. Peter F. Drucker : การบริหาร คือ ศิลปในการทำางานให้บรรลุเป้าหมายร่วมกับผูอื่น ้ 2. Harold koontz : การบริหาร คือ การดำาเนินงานให้บรรลุวัตถุประสงค์ที่กำาหนดไว้ โดยการอาศัยคน เงิน วัตถุสิ่งของ เป็นปัจจัยในการปฏิบติงาน ั 3. Herbert A. simon : การบริหาร คือ กิจกรรมที่บุคคลตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป ร่วมมือกันดำาเนินการให้บรรลุ วัตถุประสงค์อย่างใดอย่างหนึ่ง หรือหลายอย่างร่วมกัน 4. วิจตร ศรีสอ้านและคณะได้สรุปสาระสำาคัญของการบริหารไว้ดังนี้ ิ 4.1 การบริหารเป็นกิจกรรมของกลุ่มบุคคลตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป 4.2 ร่วมมือกันทำากิจกรรม 4.3 เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ร่วมกัน 4.4 โดยการใช้กระบวนการ และทรัพยากรที่เหมาะสม สำาหรับการบริหารในฐานะที่เป็นวิชาการสาขาหนึ่ง มีลกษณะเป็นศาสตร์โดย สมบูรณ์เช่นเดียวกับศาสตร์ ั สาขาอื่น ๆ กล่าวคือ เป็นสาขาวิชาที่มการจัดระเบียบให้เป็นระบบของการศึกษา มีองค์แห่งความรู้ หลัก ี การ และทฤษฎี ที่เกิดจากการศึกษาค้นคว้า เชิงวิทยาศาสตร์ การบริหารจึงเป็นสิ่งที่นำามาศึกษาเล่าเรียน กันได้โดยนำาไปประยุกต์ใช้ สู่การปฏิบัติ ให้เหมาะสมกับสถานการณ์และสิ่งแวดล้อม ซึ่งขึ้นอยู่กับความ สามารถ ประสบการณ์ และบุคลิกภาพส่วนตัวของผู้บริหารแต่ละคน
  • 2.
    จึงสรุปได้วา การบริหาร หมายถึงการใช้ศาสตร์และศิลป์ของบุคคลตั้งแต่ 2 คน ขึ้นไป ร่วมมือกันดำาเนิน ่ กิจกรรมหรืองานให้บรรลุวตถุประสงค์ที่วางไว้ร่วมกัน โดยอาศัยกระบวนการ และทรัพยากรทางการ ั บริหารเป็นปัจจัยอย่างประหยัด และให้เกิดประโยชน์ สูงสุด ผู้บริหารจะบริหารงานให้เกิดประสิทธิภาพและประสิทธิผลได้นั้นต้องมีความรู้ ความเข้าใจในเรื่องของ ทฤษฎีและหลักการบริหาร เพื่อจะได้นำาความรู้ไปประยุกต์ใช้ให้เหมาะสมกับการทำางาน สถานการณ์และ สิ่งแวดล้อม จึงพูดได้วาผู้บริหารที่ประสบความสำาเร็จ คือ ผู้ที่สามารถประยุกต์เอาศาสตร์การบริหารไป ่ ใช้ได้อย่างมีศิลปะนั่นเอง ทฤษฎีแ ละหลัก การบริห าร คำาว่า "ทฤษฎี" เป็นคำาที่รู้จักกันแพร่หลายในวงการนักวิชาการสาขาต่าง ๆ โดย ผู้สนใจในทฤษฎีต่าง ๆ ได้นำาทฤษฎีเข้าสู่ภาคปฏิบติ โดยให้เหตุผลว่าทฤษฎีเปรียบได้กับดาวเหนือหรือเข็มทิศที่คอยบอกทิศทาง ั ให้กับชาวเรือ หรือชี้แนวทางที่ถูกต้องในการปฏิบัติงาน พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถานได้ให้ความหมาย "ทฤษฎี" (ทริดสะดี) ว่า หมายถึง ความเห็น การเห็น การเห็นด้วยลักษณะที่คาดเอาตามหลักวิชาเพื่อเสริมเหตุผล และรากฐานให้แก่ปรากฏการณ์ หรือข้อมูลใน ภาคปฏิบัติ ซึ่งเกิดขึ้นอย่างมีระเบียบ นอกจากนี้ นักวิชาการหลายท่านได้ให้ความหมายดังนี้ 1. Good : ทฤษฎี คือ ข้อสมมติตาง ๆ (Assumption) หรือข้อสรุปเป็นกฎเกณฑ์ (Generalization) ซึ่งได้รับ ่ การสนับสนุนจากข้อสมมติทางปรัชญาและหลักการทางวิทยาศาสตร์ เพื่อใช้เป็นเสมือนพื้นฐานของการ ปฏิบติ ข้อสมมติซึ่งมาจากการสำารวจทางวิทยาศาสตร์ การค้นพบต่าง ๆ จะได้รับการประเมินผล เพื่อให้มี ั ความเที่ยงตรงตาม หลักวิทยาศาสตร์และข้อสมมติทางปรัชญา อันถือได้วาเป็นสัญลักษณ์ของการสร้าง ่ (Con -struction) 2. Kneller : ได้ให้ความหมายของทฤษฎีไว้ 2 ความหมาย คือ 2.1 ข้อสมมติฐานต่าง ๆ (Hypothesis) ซึ่งได้กลั่นกรองแล้วจากการสังเกตหรือทดลอง เช่น ใน เรื่องความโน้มถ่วงของโลก 2.2 ระบบของความคิดต่าง ๆ ที่นำามาปะติดปะต่อกัน (Coherent) 3. Feigl : ทฤษฎีเป็นข้อสมมติต่าง ๆ ซึ่งมาจากกระบวนการทางตรรกวิทยา และคณิตศาสตร์ ทำาให้เกิดกฎ เกณฑ์ที่ได้มาจากการสังเกตและการทดลอง 4. ธงชัย สันติวงษ์ : ทฤษฎี หมายถึง ความรู้ที่เกิดขึ้นจากการรวบรวมแนวคิด และหลักการต่าง ๆ ให้เป็นก ลุ่มก้อน และสร้างเป็นทฤษฎีขึ้น ทฤษฎีใด ๆ ก็ตามทีตั้งขึ้น มานั้น เพื่อรวบรวมหลักการและแนวความคิด ่ ประเภทเดียวกันเอาไว้อย่างเป็นหมวดหมู่ 5. เมธี ปิลันธนานนท์ : ได้กล่าวถึงหน้าที่หลักของทฤษฎี มี 3 ประการ คือ การพรรณนา (Description) การ อธิบาย (Explanation) และการพยากรณ์ (Prediction) 6. ธีรวุฒิ ประทุมนพรัตน์ : ได้กล่าวถึง ลักษณะสำาคัญของทฤษฎีมีดังนี้ 6.1 เป็นความคิดที่สัมพันธ์กันและกันอย่างมีระบบ 6.2 ความคิดดังกล่าวมีลักษณะ "เป็นความจริง" 6.3 ความจริงหรือความคิดนั้น สามารถเป็นตัวแทนปรากฏการณ์ หรือ พฤติกรรมที่เกิดขึ้นได้ จากความหมายดังกล่าวข้างต้น ทฤษฎี จึงหมายถึง การกำาหนดข้อสันนิษฐาน ซึ่งได้รับมาจากวิธีการทาง ตรรกวิทยา วิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์ ทำาให้เกิดกฎเกณฑ์ที่ได้มาจากการสังเกต ค้นคว้าและการ ทดลอง โดยใช้เหตุผลเป็นพื้นฐานเพื่อก่อให้เกิดความ เข้าใจในความเป็นจริง และนำาผลที่เกิดขึ้นนั้นมาใช้ เป็นหลักเกณฑ์
  • 3.
    สำาหรับทฤษฎีตาง ๆ ที่เข้ามาสู่การบริหารนั้นได้มีผู้คิดค้นมากมาย แต่พบว่า ยังไม่มีทฤษฎีใดที่สามารถ ่ ช่วยอธิบายปรากฏการณ์ในการบริหารงานได้หมด อาจจำาเป็นต้องใช้หลาย ๆ ทฤษฎีในการแก้ปัญหาหนึ่ง หรือทฤษฎีหนึ่งซึ่งมีหลักการดีและเป็นที่นิยมมาก อาจไม่สามารถแก้ปัญหาเล็กน้อย หรือปัญหาใหญ่ได้เลย ทั้งนี้ย่อมขึ้นอยู่กับลักษณะของแต่ละปัญหา สภาพการณ์ของสังคม และกาลเวลาที่เกิดขึ้น อย่างไรก็ตาม คู๊ นท์ (Koontz) ได้กล่าวไว้ว่า ทฤษฎีหรือหลักในการบริหารงานนั้นจะดีหรือมีประสิทธิภาพหรือไม่นั้น ควร คำานึงถึงลักษณะของทฤษฎีในเรื่องต่อไปนี้ 1. การเพิ่มประสิทธิภาพของงาน 2. การช่วยวิเคราะห์งานเพื่อปรับปรุงพัฒนา 3. การช่วยงานด้านวิจัยขององค์การให้กาวหน้า ้ 4. ตรงกับความต้องการของสังคม 5. ทันสมัยกับโลกที่กำาลังพัฒนา หลัก การบริห ารและวิว ัฒ นาการ วิชาการบริหารได้พัฒนามาตามลำาดับเริ่มจากอดีต หรือการบริหารในระยะแรก ๆ นั้น มนุษย์ยังขาด ประสบการณ์การบริหาร จึงเป็นการลองผิดลองถูก การแลกเปลี่ยน ประสบการณ์ยังไม่แพร่หลายและกว้าง ขวาง การเรียนรู้หลักการบางอย่างจึงเรียนรู้จากประสบการณ์ของตนเอง หรือมีการแลกเปลียนกันในวง ่ จำากัด คือ การถ่ายทอดไปยังทายาท ลูกศิษย์ หรือลูกจ้าง เป็นต้น ต่อมาการบริหารเริ่มมีความหมายชัดเจน และรัดกุมขึ้นในศตวรรษที่ 18 โดยกลุ่มนักรัฐประศาสนศาสตร์ ซึ่งเรียกตัวเองว่า Cameralist ในประเทศ เยอรมันและออสเตรีย โดยให้คำาจำากัดความของคำาว่า การบริหาร หมายถึง การจัดการหรือการควบคุม กิจการต่าง ๆ ของรัฐ เช่น การบริหารอาณานิคม การบริหารเกียวกับกิจการภาษี การบริหารการ เงินของ ่ มูลนิธิ และการบริหารอุตสาหกรรม เป็นต้น ต่อมาปลายศตวรรษที่ 18 นักบริหารชาวสหรัฐอเมริกาที่เรียกว่า Federalist ได้ให้ความหมายของคำาว่า การบริหาร หมายถึง การบริหารงานของรัฐ (Public Administration) และต่อมาได้ใช้คำาว่า Administration หมายถึง การบริหารเกียวกับ กิจการของรัฐ ส่วนคำาว่า Management หมายถึง การบริหารเกียวกับภารกิจ ่ ่ ของเอกชน ปลายศตวรรษที่ 19 และต้นศตวรรษที่ 20 อุตสาหกรรมและการค้าในยุโรปและอเมริกาได้ขยายตัวอย่าง รวดเร็ว ทั้งนี้เป็นผลมาจากได้มีการพัฒนาการผลิตสินค้าต่าง ๆ โดยเฉพาะเมื่อ Henry Ford ได้ผลิตรถยนต์ โดยใช้สายพาน และนักอุตสาหกรรมอื่นได้ ผลิตสินค้าจำานวนมาก โดยคิดค้นวิธีการลดต้นทุนการผลิต โดยการตัดค่าใช้จ่ายให้น้อยลง และระยะนี้เองได้มการนำาเอาวิธีการทางวิทยาศาสตร์ (Scientific ี Management) มาใช้ โดยวิศวกรชาวอเมริกัน คือ Frederick W. Taylor นอกจากนี้ได้มีนกวิชาการหลาย ั ท่านได้พยายามแบ่งยุคหรือวิวัฒนาการทางการบริหารแตกต่างออกไป ดังนี้ อรุณ รัก ธรรม ได้แบ่งวิวัฒนาการบริหารออกเป็น 3 ระยะ คือ 1. ระยะเริ่มต้น เป็นระยะของการปูพื้นฐานและโครงสร้าง บุคคลสำาคัญ ในระยะนี้ได้แก่ Woodrow Wilson, Leonard D. White, Frank T. Goodnow, Max weber, Frederick W. Taylor และ Henri Fayol เป็นต้น 2. ระยะกลางหรือระยะพฤติกรรมและภาวะแวดล้อม ผู้มีชื่อเสียงใน ระยะนี้ ได้แก่ Elton Mayo, Chester I. Barnard, Mary P. Follet เป็นต้น
  • 4.
    3. ระยะที่สาม หรือระยะปัจจุบัน มี Herbert A. Simon, Jame G. March เป็นผู้วางรากฐาน นพพงษ์ บุญ จิต ราดุล ย ์์ ได้แบ่งวิวัฒนาการของการบริหารออกเป็น 3 ยุค คือ 1. ยุคการจัดการแบบวิทยาศาสตร์ (Scientific Management Era) ผู้มี บทบาทสำาคัญได้แก่ Frederick W. Taylor, Henri Fayol, Luther H. Gulick และ Lyndall Urwick 2. ยุคการบริหารแบบมนุษย์สัมพันธ์ (Human Relation Era) ผู้มี บทบาทสำาคัญได้แก่ Mary P. Follet, Elton Mayo และ Fritz J. Rocthlisberger 3. ยุคทฤษฎีการบริหาร (The Era of Administrative Theory) เป็นยุคที่ ผสมผสานสองยุคแรกเข้าด้วยกัน จึงเป็นยุคบริหารเชิงพฤติกรรมศาสตร์ ผู้มีบทบาทสำาคัญได้แก่ Chester I. Barnard และ Herbert A. Simon นอกจากนี้นกบริหารและนักวิชาการบางกลุ่มได้แบ่งวิวฒนาการของการบริหารออกเป็น 4 ยุค คือ ั ั 1. ยุคก่อนหรือยุคโบราณ เริ่มตั้งแต่การมีสังคมมนุษย์จนถึงยุคก่อน Classical บุคคลสำาคัญในยุคนีได้แก่ ้ Socrates, Plato, Aristotle, Saint-Simen, Hegel, Robert Owen และ Charles Bubbage 2. ยุค Classical เริ่มตั้งแต่ช่วงแรกของการปฏิวติอตสาหกรรมในปลาย คริสต์ศตวรรษที่ 18 ซึ่งเป็นยุคทีนำา ั ุ ่ เครื่องจักร เครื่องมือทุ่นแรงเข้าไปใช้แทนกำาลังคน จนกระทั่งได้เกิดแนวคิดในเรื่อง การจัดการเชิง วิทยาศาสตร์ (Scientific Management) ขึ้นในคริสต์ศตวรรษที่ 20 เป็นการบริหารที่มุ่งเน้นการผลิต หรือ ให้ความสำาคัญต่องานมาก ระบบการทำางานถือเป็นสิ่งสำาคัญ บุคคลสำาคัญในยุคนีได้แก่ ้ 2.1 Henry R. Towne เป็นประธานบริษัทเยลและทาวน์ในสหรัฐอเมริกา ได้เสนอบทความเรื่อง วิศวกรในฐานะนักเศรษฐศาสตร์ ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นแห่งการเคลือนไหวทางแนวความคิดด้านการ ่ จัดการของศตวรรษต่อมา 2.2 Woodrow wilson เขียนบทความเรื่อง The Study of Public Administration มีแนวคิดที่ ต้องการแยกการบริหารของรัฐออกมาจากการเมือง 2.3 Frank T. Goodnow เขียนบทความเรื่อง Politics and Administration ซึ่งเป็นแนวความคิด คล้ายคลึงกับวิลสัน และเน้นเรื่องการปรับปรุงระบบการบริหารให้มีประสิทธิภาพ ยึดระบบ คุณธรรม (Merit System) ให้มีคณะกรรมการ รับผิดชอบ และมีหน่วยงานการบริหารบุคคลในทุก หน่วยงาน มีการจำาแนกตำาแหน่ง เพื่อความเป็นธรรมในการจ้าง มีการกำาหนดมาตรฐาน และ คุณสมบัติของบุคลากร 2.4 Leonard D. White ได้เขียนเรื่อง " Introduction to study of Public Administration" มีความ คิดเห็นเช่นเดียวกับ Goodnow และ Wilson เขายังได้เพิ่มเรื่องการเลื่อนขั้น วินัย ขวัญ และเน้น เรื่องที่กู๊ดโนว์เขียนไว้อย่างละเอียด 2.5 Max Weber เป็นนักสังคมวิทยาชาวเยอรมัน ผู้เสนอแนวคิดเกียวกับ การบริหารราชการ ่ (Bureaucracy) ถือว่าเป็นบิดาทางด้านบริหารราชการ มีแนวคิดของหลักการบริหารที่มีเหตุผล มี การแบ่งงานกันทำา มีสายการบังคับบัญชาที่ลดหลั่นลงมา มีผู้ชำานาญการในสายงานต่าง ๆ การ ปฏิบติงานต้องมีการบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษร เป็นต้น ั 2.6 Frederick W. Taylor เป็นวิศวกรชาวเยอรมัน เป็นผู้เสนอวิธีการจัด การแบบวิทยาศาสตร์ (Scientific Management) สนใจหลักเกี่ยวกับความเชี่ยวชาญหรือชำานาญเฉพาะอย่าง (Specialization) อันเป็นสิ่งสำาคัญเบื้องต้นในการเข้าใจองค์การรูปนัย เพราะการแบ่งงานกันทำา ตามความชำานาญเฉพาะอย่าง จำาเป็นต้องมีการประสานงานอีกด้วย 2.7 Henri Fayol เป็นวิศวกรและนักอุตสาหกรรมชาวฝรั่งเศส ได้เสนอ แนวคิดที่มีลกษณะเป็น ั สากลสำาหรับนักบริหาร โดยกล่าวถึงองค์ประกอบขั้นมูลฐานของการบริหาร ได้แก่
  • 5.
    1) การวางแผน (Planning) 2) การจัดองค์การ (Organizing) 3) การบังคับบัญชา (Commanding) 4) การประสานงาน (Coordinating) 5) การควบคุม ( Controlling) 2.8 Luthur Gulick and Lyndall Urwick เป็นนักบริหารงานแบบวิทยา- ศาสตร์ บริหารงานโดย หวังผลงานเป็นใหญ่ (Task Centered) เขาได้แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับกระบวนการบริหาร สรุป ย่อได้วา POSDCoRB ดังนี้ ่ 1) P = Planning การวางแผน 2) O = Organization การจัดองค์การ 3) S = Staffing การจัดคนเข้าทำางาน 4) D = Directing การอำานวยการ, การสั่งการ 5) Co = Coordinating การประสานงาน 6) R = Reporting การรายงาน 7) B = Budgetting การบริหารงบประมาณ 3. ยุค Human Relation เป็นยุคที่มีความเชื่อว่างานใด ๆ จะบรรลุผลสำาเร็จได้จะต้องอาศัยคนเป็นหลัก นัก บริหารกลุ่มนี้จึงหันมาสนใจศึกษาพัฒนาทฤษฎี วิธการและเทคนิคต่าง ๆ ทางด้านสังคมศาสตร์ พฤติกรรม ี และกลุ่มคนในองค์การ สนใจศึกษาแนวทางประสานงานให้คนเข้ากับสิ่งแวดล้อมของงาน เพื่อหวังผลใน ด้านความร่วมมือ ความคิด ริเริ่มและการเพิ่มผลผลิต โดยมีพื้นฐานของความเชื่อที่ว่า "มนุษยสัมพันธ์" จะ นำาไปสู่ความพอใจและสะท้อนถึงผลของการปฏิบติงาน บุคคลสำาคัญในยุคนี้ ได้แก่ ั 3.1 Elton Mayo ชาวออสเตรีย ในฐานะนักวิชาการอุตสาหกรรม มีผล งานมากในแง่ปัญหาบุคคล กับสังคมของอุตสาหกรรม และพฤติกรรมของบุคคลในสภาพ แวดล้อมการทำางาน สรุปการ ทดลองที่ Hawthorne ได้วา ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อผลผลิตของคนงาน คือ ความสัมพันธ์ระหว่าง ่ บุคคล ที่เกิดขึ้นมาจากการที่คนมาทำางานร่วมกันโดยก่อรูปไม่เป็นทางการ การให้รางวัลและ ลงโทษเป็นตัวกระตุ้นให้สมาชิกทำางานได้ดีที่สุด การมีส่วนร่วมของสมาชิก จะมีอิทธิพลต่อความ สำาเร็จของงาน และความก้าวหน้าขององค์การ 3.2 Mary Follette ชาวอเมริกัน ได้เขียนตำาราที่มีแนวคิดในเชิงมนุษย- สัมพันธ์ เช่น เขียนเรื่อง ความขัดแย้ง การประสานความขัดแย้ง กฎที่อาศัยสถานการณ์ และความรับผิดชอบ เป็นต้น 3.3 Likert เป็นผู้ที่สนใจด้านพฤติกรรมของมนุษย์ในองค์การ ผลงานที่มีชื่อ เสียงมาก คือ The Human Organization : Its management and Value และหนังสือ New Patterns of Management 4. ยุค Behavioral Science เป็นยุคที่มความพยายามศึกษา และวิเคราะห์วิจัย มีการปรับปรุง เปลี่ยนแปลง ี และค้นคว้าทฤษฎีใหม่ ๆ เพื่อนำาไปเป็นประโยชน์ต่อการบริหารให้เกิดประสิทธิภาพมากที่สุด นักบริหารที่ สำาคัญของยุคนี้ ได้แก่ Chester I. Barnard, Herbert A. Simon, Abraham Maslow, Getzels and Guba, Douglas McGregor, Victor H. Vroom, Robert Blank and Jane S. Mouton, William J. Reddin, Robert Tannenbaum and Warren Schmidt และ Paul Hersey and Kenneth H. Blanchard เป็นต้น ทฤษฎีท ี่ค วรทราบ ทฤษฎีต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการบริหารการศึกษา ได้รับการพัฒนาเปลี่ยนแปลงไปตามยุคตามสมัยตั้งแต่ สมัยโบราณ ยุควิทยาศาสตร์ ยุคมนุษยสัมพันธ์ จนถึงยุคปัจจุบัน ซึ่งอาศัยทฤษฎีองค์การสมัยใหม่ ที่มการ ี ปรับปรุงพัฒนาและสังเคราะห์แนวความคิดเกี่ยวกับการจัดการอย่างกว้างขว้างยิ่งขึ้น แต่ถึงอย่างไร การ บริหารงานสมัยใหม่นี้มุ่งเน้นทั้งคน งาน และผลผลิต จึงต้องมีการผสมผสานแนวคิดต่าง ๆ ทุกยุค ทุกสมัย
  • 6.
    เพื่อนำามาประยุกต์ใช้ให้เหมาะสมกับสภาพการณ์และสิ่งแวดล้อมที่เป็นจริงในปัจจุบัน ในที่นี้จะขอนำาเสนอ ทฤษฎีทางการบริหารการศึกษาพื้นฐานที่ควรทราบ ดังต่อไปนี้ ทฤษฎีวิเ คราะห์ร ะบบ (System Approach หรือ General System Theory) ทฤษฎีวิเคราะห์ระบบเป็นทฤษฎีที่มีคุณค่าในการตรวจสอบ หาข้อบกพร่องของกระบวนการบริหารทั้งปวง รวมทั้งการบริหารการศึกษาด้วย โดยการวิเคราะห์สิ่งนำาเข้า วิเคราะห์กระบวนการ และวิเคราะห์ผลผลิตว่า สิ่งที่ลงทุนไปคุ้มค่าหรือไม่ แล้วรวบรวมข้อมูลหาจุดบกพร้องแล้วปรับปรุงแก้ไขต่อไป ทฤษฎีร ะบบสัง คม (Social System Theory) ทฤษฎีนี้ Getzels และ Guba ได้สร้างขึ้นเพื่อวิเคราะห์พฤติกรรมในองค์การต่าง ๆ ที่จัดขึ้นเป็นระบบสังคม แบ่งออกเป็น 2 ด้าน คือ ด้านสถาบันมิติ (Nomothetic Dimension) และด้านบุคลามิติ (Idiographic Dimension) ดังรูป
  • 7.
    1. ด้านสถาบันมิติ ประกอบด้วย 1.1 สถาบัน (institution) ได้แก่ หน่วยงานหรือองค์การ ซึ่งจะเป็น กรม กอง โรงเรียน โรงพยาบาล บริษัท ร้านค้า หรือโรงงานต่าง ๆ ที่มีวัฒนธรรม (culture) ของหน่วยงานหรือองค์การนั้น ครอบคลุมอยู่ 1.2 บทบาทตามหน้าที่ (role) สถาบันจะกำาหนดบทบาท หน้าที่ และตำาแหน่ง ต่าง ๆ ให้บคคล ุ ปฏิบติ มีกฎและหลักการอย่างเป็นทางการ และมีธรรมเนียม (ethics) การปฏิบัติที่มอิทธิพลต่อ ั ี บทบาทอยู่ 1.3 ความคาดหวังของสถาบันหรือบุคคลภายนอก (expectations) เป็นความ คาดหวังที่สถาบัน หรือบุคคลภายนอกคาดว่าสถาบันจะทำางานให้บรรลุเป้าหมาย เช่น โรงเรียนมีความคาดหวังที่จะ ต้องผลิตนักเรียนที่ดีมคุณภาพ ความคาดหวังมีค่านิยม (values) ของสังคมครอบคลุมอยู่ ี 2. ด้านบุคลามิติ ประกอบด้วย 2.1 บุคลากรแต่ละคน (individual) ซึ่งปฏิบัติงานอยูในสถาบันนั้น ๆ เป็นบุคคล ในระดับต่าง ๆ ่ เช่น ในโรงเรียนมีผู้บริหารโรงเรียน ครู อาจารย์ คนงาน ภารโรง มีวฒนธรรมย่อยที่ครอบคลุม ั ต่างไปจากวัฒนธรรมโดยส่วนรวม 2.2 บุคลิกภาพ (personality) หมายถึง ความรู้ ความถนัด ความสามารถ เจตคติ อารมณ์ และ แนวคิด ซึ่งบุคคลที่เข้ามาทำางานในสถาบันนั้นจะมีความแตกต่างปะปนกันอยู่และมีธรรมเนียม ของแต่ละบุคคลเป็นอิทธิพลครอบงำาอยู่ 2.3 ความต้องการส่วนตัว (need - dispositions) บุคคลที่มาทำางานสถาบันมี ความต้องการที่แตก ต่างกันไป บางคนทำางานเพราะต้องการเงินเลี้ยงชีพ บางคนทำางานเพราะความรัก บางคน
  • 8.
    ต้องการเกียรติยศชื่อเสียง ความก้าวหน้า บางคนต้องการการยอมรับบางคนต้องการความมั่นคง ปลอดภัย เป็นต้น นอกจากนั้นยังมีค่านิยมของตนเองครอบคลุมอยู่ จากรูปพอสรุปได้วา ในด้านสถาบันมิตินั้นจะยึดถือเรื่องสถาบันซึ่งมีบทบาท ต่าง ๆ เป็นสำาคัญ บทบาทที่ ่ สถาบันได้คิดหรือกำาหนดไว้จะต้องชี้แจงให้บุคลากรในสถาบันได้ทราบอย่างเด่นชัด เพื่อจะได้กำาหนดการ คาดหวังที่สถาบันได้กำาหนดไว้ในบทบาทของตนออกมา ตรงกับความต้องการของผลผลิตของสถาบันนั้น ส่วนในด้านบุคลามิติ ประกอบด้วย ตัวบุคคลที่ปฏิบติงานอยู่ในสถาบันนั้น ซึ่งบุคคลที่ปฏิบัติงานอยูก็มี ั ่ บุคลิกภาพที่เป็นตัวเองทีไม่เหมือนกัน ในแต่ละคนต่างก็มีความต้องการในตำาแหน่งหน้าที่การงานที่แตก ่ ต่างกันออกไป ทั้งสองมิตินี้ระบบสังคมเป็นสิ่งที่มีอิทธิพลต่อการบริหารงานเป็นอันมาก ถ้าหากว่าทุกสิ่งทุก อย่างราบรื่นดี การบริหารงานนั้นสามารถที่จะสังเกตพฤติกรรมได้ (social behavior or observed behavior) ทฤษฎีจ ูง ใจในการปฏิบ ัต ิง านของมาสโลว์ Abraham H. Maslow เป็นบุคคลแรกทีได้ตั้งทฤษฎีทั่วไปเกี่ยวกับการจูงใจ (Maslow's general theory of ่ human and motivation) ไว้และได้ตั้งสมมติฐานเกี่ยวกับพฤติกรรมของมนุษย์ไว้ 3 ประการ ดังนี้ 1. มนุษย์มีความต้องการ ความต้องการมีอยู่เสมอและไม่มีสิ้นสุด แต่สิ่งที่ มนุษย์ตองการนั้นขึ้นอยู่กับว่าเขา ้ มีสิ่งนั้นอยู่แล้วหรือยัง ขณะที่ความต้องการใดได้รบการตอบสนองแล้วความต้องการอย่างอื่นจะเข้ามา ั แทนที่ กระบวนการนีไม่มีที่สิ้นสุด และจะเริ่มต้นตั้งแต่เกิดจนกระทั่งตาย ้ 2. ความต้องการที่ได้รับการตอบสนองแล้ว จะไม่เป็นสิ่งจูงใจของ พฤติกรรมอีกต่อไป ความต้องการที่ไม่ ได้รับตอบสนองเท่านั้น ที่เป็นสิ่งจูงใจของพฤติกรรม 3. ความต้องการของมนุษย์ มีเป็นลำาดับขั้นตามลำาดับความสำาคัญ กล่าวคือ เมื่อความต้องการในระดับตำ่า ได้รับการตอบสนองแล้ว ความต้องการระดับสูงก็จะเรียกร้องให้มีการตอบสนองทันที Maslow ได้แบ่งลำาดับขั้นความต้องการของมนุษย์ไว้ดังนี้ (Maslow's Need-hierachy Theory) ทฤษฎีก ารจูง ใจ - สุข อนามัย ของเฮอร์เ บอร์ก (Herzberg's Motivation Hygiene Theory)
  • 9.
    ทฤษฎีเกี่ยวกับการจูงใจของ เฮอร์เบอร์กนี้มีชื่อเรียกกันหลายอย่าง เช่นMotivation Maintenance Theory, dual Factor Theory Motivation-Hygiene Theory และ The two - Factor Theory ทฤษฎีนได้ตั้งสมมติฐาน ี้ เกี่ยวกับองค์ประกอบทีจะสนับสนุนความพอใจในการทำางาน (Job Satisfaction) และองค์ประกอบที่ ่ สนับสนุนความไม่พอใจในการทำางาน (Job dissatisfaction) ดังนี้ พวกที่ 1 ตัวกระตุ้น (Motivator) คือ องค์ประกอบทีทำาให้เกิดความพอใจ ่ - งานที่ปฏิบัติ - ความรู้สึกเกี่ยวกับความสำาเร็จของงาน - ความรับผิดชอบ - โอกาสก้าวหน้าในหน้าที่การงาน พวกที่ 2 ปัจจัยสุขอนามัย (Hygiene) หรือ องค์ประกอบที่สนับสนุนความ ไม่พอใจในการทำางาน ได้แก่ - แบบการบังคับบัญชา - ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล - เงินเดือนค่าตอบแทน - นโยบายของการบริหาร ทฤษฎี X และ ทฤษฎี Y Douglas McGregor ได้เสนอทฤษฎีนี้ใน ค.ศ. 1957 โดยเสนอสมมติฐานในทฤษฎี X ว่า 1. ธรรมชาติของมนุษย์โดยทั่วไปไม่ชอบทำางาน พยายามเลี่ยงงาน หลบหลีก บิดพลิ้ว เมื่อมีโอกาส 2. มนุษย์มีนิสัยเกียจคร้าน จึงต้องใช้วิธีการข่มขู่ ควบคุม สั่งการ หรือบังคับให้ ทำางานตามจุดประสงค์ของ องค์การให้สำาเร็จ 3. โดยทั่วไปนิสัยมนุษย์ชอบทำางานตามคำาสั่ง ต้องการที่จะหลีกเลี่ยง ความรับผิดชอบ แต่ตองการความ ้ มั่นคง อบอุ่นและปลอดภัยมากกว่าสิ่งอื่น ทฤษฎี Y มีสมมติฐานว่า 1. การที่ร่างกายและจิตใจได้พยายามทำางานนั้น เป็นการตอบสนองความพอใจ อย่างหนึ่งเช่นเดียวกับการ เล่นและพักผ่อน 2. มนุษย์ชอบนำาตนเอง ควบคุมตนเอง เพื่อดำาเนินงานที่ตนรับผิดชอบ ให้บรรลุ จุดประสงค์อยู่แล้ว ดังนั้น การบังคับควบคุม ข่มขู่ ลงโทษ จึงไม่ใช่วิธการเพียงอย่างเดียว ที่จะทำาให้มนุษย์ดำาเนินงานจนบรรลุจด ี ุ ประสงค์ขององค์การ 3. มนุษย์ผูกพันตนเองกับงานองค์การก็เพื่อหวังรางวัลหรือสิ่งตอบแทน เมื่อองค์ การประสบความสำาเร็จ 4. เมื่อสถานการณ์เหมาะสม มนุษย์โดยทั่วไปจะเกิดการเรียนรู้ ทั้งด้านการยอม รับ ความรับผิดชอบ และ แสวงหาความรับผิดชอบ ควบคู่กันไปด้วย 5. มนุษย์ทั้งหลายย่อมมีคุณสมบัติที่ดกระจายอยู่ทั่วไปทุกคน เช่น มีนโนภาพ มี ความฉลาดเฉลียวและ ี ว่องไว มีความสามารถในการแก้ปัญหาต่าง ๆ ขององค์การ 6. สถานการณ์ของการดำารงชีวิตในระบบอุตสาหกรรมยุคใหม่ มนุษย์ยังไม่มี โอกาสใช้สติปัญญาได้เต็มที่ Andrew F Sikula เปรียบเทียบทฤษฎี X และ Y ไว้ดังนี้ ทฤษฎี X ทฤษฎี Y 1. มนุษย์มักเกียจคร้าน 1. มนุษย์จะขยันขันแข็ง 2. การทำางานของมนุษย์ก็เหมือนกับ 2. มนุษย์ชอบหลีกเลี่ยงงาน การเล่น การพักผ่อนตามธรรมชาติ
  • 10.
    3. มนุษย์ชอบทำางานตามคำาสั่งและ 3. มนุษย์รู้จกกระตุ้นตนเองให้อยาก ั ต้องการให้มีผู้ควบคุม ทำางาน 4. ต้องใช้วินัยของหมู่คณะบังคับ 4. มนุษย์มีวินัยในตนเอง 5. มนุษย์มักหลีกเลียงไม่อยากรับผิด ่ 5. มนุษย์มักแสวงหาความรับผิดชอบ ชอบ 6. มนุษย์ไม่เฉลียวฉลาดขาดความรับ 6. มนุษย์มีสมรรถภาพในการทำางาน ผิดชอบ และมีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ เอกสารอ้า งอิง กิติมา ปรีดดิลก. ทฤษฎีบริหารองค์การ. กรุงเทพมหานคร : ธนะการพิมพ์, 2529. ี จรูญ ดอกบัวแก้ว และคณะ. ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับการบริหารการศึกษา. ปัตตานี : มหาวิทยาลัยสงขลา นครินทร์ , 2535. ติน ปรัชญพฤทธ์. ทฤษฎีองค์การ. กรุงเทพมหานคร : ไทยวัฒนาพานิช. 2527. ธีรวุฒิ ประทุมนพรัตน์. ทฤษฎีการบริหารและการจัดองค์การ. สงขลา : มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ, 2531. บุญทัน ดอกไธสง. ทฤษฎี : การบริหารองค์การ. กรุงเทพมหานคร : โอเดียนสโตร์ , 2523. ผุสสดี สัตยมานะ และสุพัตรา เพชรมุนี. ระบบบริหารและระเบียบวิธีปฏิบติราชการ. กรุงเทพมหานคร : ั ประชาชน, 2521. วิจตร ศรีสอ้าน และคณะ. หลักและระบบบริหารการศึกษา. กรุงเทพมหานคร : มหาวิทยาลัยสุโขทัยธร ิ รมาธิราช, 2523. บทที่ 1 แนวคิด ทางการจัด การ และองค์ก าร ความหมายของการจัด การ กระบวนการบริหารที่มีประสิทธิภาพ ที่ทำาให้องค์การธำารงอยู่และเกิด สัมฤทธิผลตามเป้าหมายที่กำาหนดไว้ โดยการรู้ จักใช้เทคนิควิธีต่าง ๆ ที่จะ นำาองค์การไปสู่เป้าหมายหรือจุดมุ่งหมายขององค์การ
  • 11.
    การจัด การ นิยมใช้ในวงการธุรกิจ การบริห าร นิยมใช้ในวงการรัฐบาลหรือรัฐวิสาหกิจ ซึ่งทั้งสองคำามี ความหมายไม่แตกต่างกัน ส่ว นประกอบขององค์ก าร คือ บุคคล (Man) เงิน (Money) เครื่องจักร (Machine) และวัสดุ (Materials) เทคนิคและวิธีการต่าง ๆ ในจัดการส่วนประกอบขององค์การ เช่น เทคนิค การจัดการสารสนเทศ อาจเกี่ยวกับ บุคคล การเงิน การผลิต เป็นต้น ขึ้นอยู่ กับผู้บริหารที่จะรู้จักนำาไปใช้ประโยชน์ โดยมีการจัดการข้อมูลและขั้นตอน วิธีการที่ดี ที่จะได้มาซึ่งประสิทธิภาพสูงสุดขององค์การ ความสำา คัญ ของการจัด การ 1. มีกระบวนการจัดการที่ดี จะทำาให้องค์การประสบความสำาเร็จตาม เป้าหมายที่กำาหนดไว้ 2. การจัดการเป็นเทคนิคที่ทำาให้สมาชิกในองค์การเกิดจิตสำานึกร่วม กัน ในการปฏิบัติงาน มีความตั้งใจ 3. การจัดการเป็นกำาหนดขอบเขตการทำางานของสมาชิกในองค์การ 4. การจัดการเป็นการแสวงหาวิธีการที่ดีที่สุดในการปฏิบัติงาน การจัด การเป็น ศาสตร์แ ละศิล ปะ การจัดการเป็นศาสตร์ (Management is a Science) เพราะความ รู้ที่ได้มาเป็นระบบ เป็นหลักการ กฎ ทฤษฎี หลังจากได้พิสูจน์ ทดสอบ และ นำาไปใช้แก้ปัญหาได้แล้ว และนำาความรู้ต่าง ๆ นี้มาพัฒนาต่อไป เช่น วิชา รัฐประศาสนศาสตร์ (Public Administration) , การบริหารธุรกิจ (Business Administration) เป็นต้น การจัดการเป็นศิลปะ (Management is also an art) เพราะ การนำาเอาความรู้ประยุกต์ใช้งานหรือเป็นเทคนิค ในการพัฒนา องค์การให้ เกิดผลตามที่องค์การต้องการ โดยให้มีความเหมาะสมกับสภาพแวดล้อมที่ เป็นอยู่จริง ศาสตร์อนให้มีความรู้ วิชาการ ศิลปะสอนให้รู้จักการปฏิบัติ ศาสตร์และศิลปะเป็นสิ่งประกอบให้เกิดผล และต้องมีการพัฒนาความรู้ใหม่ ๆ และนำามา ประยุกต์ใช้ นำามาแก้ปัญหาในการจัดการบุคคล เงิน เครื่องจักร และวัสดุ ขององค์การให้ดำาเนินไปได้ด้วยดี การจัด การกับ ระบบสารสนเทศ ระบบสารสนเทศจะต้องมีปริมาณและคุณภาพที่เพียงพอ จึงจะเป็นประโยชน์ ต่อองค์การดังนี้ 1. การกำาหนดเป้าหมาย เป็นจุดหมายหรือเป้าหมายที่องค์การจะต้อง ทำาให้สำาเร็จ 2. การวางแผนและการตัดสินใจ เป็นการวางขั้นตอน วิธีการดำาเนิน การหรืองานต่าง ๆ โดยเป็นหน้าที่ของผู้บริหาร 3. การจัดและปรับปรุงโครงสร้างองค์การ เป็นการกำาหนดหนทาง การทำางาน การบังคับบัญชา ความรับผิดชอบ
  • 12.
    4. การบริหารงานบุคคล เป็นการวางแผนบุคคลการสรรหาและ เลือกสรร การพัฒนา ต้องอาศัยข้อมูลของบุคคล 5. การอำานวยการและการสั่งการ เป็นการชักจูงให้คนงานปฏิบัติงาน อย่างดีที่สุด เป็นหน้าที่ของผู้บริหารที่ต้องหาวิธี 6. การควบคุม เป็นการบังคับให้กิจกรรมต่าง เป็นไปตามแผนงานที่ กำาหนดไว้ ความหมายขององค์ก าร มี 3 ลักษณะใหญ่ ๆ คือ 1. องค์การทางสังคม 2. องค์การทางราชการ 3. องค์การทางเอก ชน องค์การ คือ การรวมตัวกันของคนตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป โดยมีจุดมุ่งหมายร่วม กันในการทำากิจกรรม หรือ งานอย่างใดอย่างหนึ่ง โดยอาศัยกระบวนการ จัดโครงสร้างของกิจกรรมหรืองานนั้น ออกเป็นประเภทต่าง ๆ เพื่อแบ่งงาน ให้แก่สมาชิกในองค์การดำาเนินการปฏิบัติให้บรรลุเป้าหมาย ์์ ลัก ษณะขององค์ก าร 1. องค์การคือกลุ่มของบุคคล (Organization as a Group of People) เป็นกลุ่มของบุคคลที่มีเป้าหมายร่วมกัน ต้องอาศัยความร่วมมือ ร่วมใจ 2. องค์การคือโครงสร้างของความสัมพันธ์ (Organization as a Structure of Relationship) เป็นความรับผิดชอบระหว่างหน่วยงานต่าง ๆ 3. องค์การเป็นหน้าที่ส่วนหนึ่งของการจัดการ (Organization as a Function of Management) เป็นรูปของการจัดกิจกรรม หรืองานต่าง ๆ ที่มีลักษณะคล้ายคลึงกันเข้าไว้ด้วยกัน โดยกำาหนดหน้าที่ (authority) ความรับผิดชอบ (Responsibility) 4. องค์การคือกระบวนการ (Organization as a Process) ลำาดับ ขั้นตอน ความต่อเนื่อง การดำาเนินงาน ก่อให้เกิดความรวดเร็ว ถูกต้อง และ ประหยัด มีขั้นตอนดังนี้ การกำาหนดเป้าหมาย (Determination of objectives) การแบ่งงาน (Division of activities) การจัดบุคคลเข้าทำางาน (Fitting individuals into activities) การสร้างความสัมพันธ์ (Developing relationships) 5. องค์การเป็นระบบอย่างหนึ่ง (Organization as a System) ส่วนรวมของสิ่งใด ๆ ที่ประกอบด้วยส่วนย่อย ๆ ที่จดเรียงลำาดับมีความ ั เกี่ยวข้องกัน เป้าหมายขององค์การ (Organization Goal) คือ จุดหมายปลาย ทางที่กำาหนดขั้นเพื่อให้การจัดสรรทรัพยากร และกิจกรรมต่าง ๆ ของ องค์การเอื้ออำานวยประโยชน์ต่อทิศทางสุดท้ายที่กำาหนดไว้ในองค์การนั้น ๆ เช่น กำาไรสูงสุด
  • 13.
    ความสำา คัญ ในการกำาหนดเป้า หมายขององค์ก าร 1. ใช้เป็นแนวทางในการปฏิบัติกิจกรรมขององค์การ 2. เป็นการอำานวยความถูกต้องตามระเบียบแบบแผน 3. เป็นมาตราฐานที่สมาชิกในองค์การและนอกองค์การสามารถวัด ความสำาเร็จได้ วัต ถุป ระสงค์ข ององค์ก าร (Organization objectives) 1. วัตถุประสงค์ทางเศรษฐกิจหรือกำาไร (Economic or Profit objectives) กำาไรสูงสุด ผลตอบแทนจากการลงทุน 2. วัตถุประสงค์เกี่ยวกับการให้บริการ (Service objectives) เพื่อ สนองต่อความต้องการของประชาชน 3. วัตถุประสงค์ทางด้านสังคม (social objectives) สนองความ ต้องการของประชาชน ความรับผิดชอบทางสังคม ประเภทขององค์ก าร 1. องค์การแบบปฐมภูมิ และองค์การแบบทุติยภูมิ องค์การแบบปฐมภูมิ (Primary Organization) องค์การที่เกิดขึ้นเองตาม ธรรมชาติ เช่น ครอบครับ เพื่อน องค์การแบบทุติยภูมิ (Secondary Organization) องค์การที่เกิดขึ้นด้วย บทบาท หน้าที่ เหตุผล เช่น ธุรกิจ 2. องค์การแบบมีรูปแบบ และองค์การแบบไร้รูปแบบ องค์การแบบมีรูปแบบ (Formal Organization) คือองค์การที่มีโครงสร้าง อย่างมีรูปแบบ มีกฏเกณฑ์ ระเบียบแบบแผน หรือองค์การทางราชการ หรือ การบริหารจากบนลงล่าง (Top-down Management) หรือการบริหาร แบบแนวดิ่ง (Vertical) องค์ประกอบที่สำาคัญขององค์การแบบมีรูปแบบ 1. การแบ่งระดับชั้นสายการบังคับบัญชา (Hierarchy) การบริหารระดับต้น (Lower Management) การบริหารระดับกลาง (Middle Management) การบริหารระดับสูง(Top Management) 2. การแบ่งงาน (Division of Labor) 3. ช่วงการควบคุม (span of Control) 4. เอกภาพในการบริหารงาน (Unity of Command) องค์การแบบไร้รูปแบบ (Informal Organization) หรือองค์การที่ไม่เป็น ทางการ ไม่มีโครงสร้าง ไม่มี ระเบียบแบบแผน ไม่มีการกำาหนดหน้าที่ ไม่มี สายบังคับบัญชา ข้อดี 1 งานบางอย่างดำาเนินไปอย่างรวดเร็ว 2. ส่งเสริมขวัญและกำาลังใจ 3. เป็นทางออกที่บำาบัดความไม่พอใจ 4. ลดภาระของหัวหน้างานลงได้บ้าง ข้อเสีย 1 เกิดการต่อต้านกับองค์การมีรูปแบบ
  • 14.
    2. เกิดการแตกแยกเป็นกลุ่ม ทำาให้เสียแบบแผน ทฤษฎีองค์ก าร (Organization Theory) การวิเคราะห์ถึงความจริงที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติรอบตัว อย่างมีระบบและ แบบแผนในเชิงวิทยาศาสตร์ 1. ทฤษฎีองค์การสมัยดั้งเดิม (Classical Theory) - Frederick Taylor แนวคิดการบริหารงานแบบวิทยาศาสตร์ - Max weber แนวคิด ระบบราชการ เป็นสังคมในยุคสังคมอุตสาหกรรม มีโครงสร้างที่แน่นอน มี ระเบียบแบบแผน มุ่งให้ผลผลิตมีประสิทธิภาพ (efficient and effective Productivity) มองมนุษย์เหมือนเครื่องจักร (Mechanistic) ในองค์การ 2. ทฤษฎีองค์การสมัยใหม่ (Neo-Classical Theory of Organization) - Hugo Munsterberg ผู้เริ่มต้น วิชาจิตวิทยา อุตสาหกรรม เน้นสภาพสังคมที่มีผลต่อการปฏิบัติงาน มองมนุษย์เป็นสิ่งมี ชีวิต ที่มีความรู้สึก มีจิตใจ (Organic) นำาความรู้ด้าน มนุษย์สัมพันธ์มาใช้ 3. ทฤษฎีองค์การสมัยปัจจุบัน (Modern Theory of Organization) เน้นสังคมเศรษฐศาสตร์ (Socioeconomic) มองมนุษย์ เป็นสิ่งมีชีวิตที่มีความรู้สึก มีจิตใจ นำาความรู้ด้านมนุษย์สัมพันธ์มาใช้ นำาสิ่ง แวดล้อมมาพิจารณา ใช้แนวความคิด .นเชิงระบบ คำานึงถึงความเป็นอิสระ และสิ่งแวดล้อมภายใน และภายนอก (ทฤษฎีองค์การตามสถานการณ์และกรณี(Contingency Theory))