เคล็ดลับที่ 1
การหาหัวข้อวิจัย
1.1 หาหัวข้อวิจัยจากไหนดี ?
	 ผมเชื่อว่าปัญหาใหญ่ปัญหาแรกสุดส�ำหรับนิสิตนักศึกษา    
หรือนักวิจัยหลายคนนั้นก็คือ การหาหัวข้อวิจัย หลายคนใช้เวลากับ
ขั้นตอนนี้ค่อนข้างยาวนานมาก บางคนอาจใช้เวลาหลายเดือนหรือ   
อาจจะเป็นปีกว่าจะได้หัวข้อวิจัยที่สนใจมา 1 หัวข้อ แต่เมื่อได้ท�ำการ
ศึกษาไปซักระยะก็ต้องตัดสินใจทิ้งหัวข้อวิจัยนั้นเสีย เนื่องจากพบว่า
ไม่สามารถท�ำงานวิจัยในเรื่องดังกล่าวต่อไปได้ อย่างว่าล่ะครับ ขึ้นชื่อ
ว่างานวิจัย แน่นอนว่าต้องเป็นสิ่งใหม่ ๆ ดังนั้น การหาหัวข้อที่จะ
ท�ำวิจัยจึงอาจมีความยากล�ำบากอยู่บ้าง เพื่อเป็นการช่วยแก้ปัญหา
ดังกล่าว ผมจึงขอแนะน�ำ 5 แนวทางที่ผมมักจะใช้ในการหาหัวข้อ
วิจัยดังต่อไปนี้
2 เขียนข้อเสนอวิจัย (Proposal) ท�ำได้ง่าย ๆ
	 1)	 พิจารณาจากปัญหาที่พบในการท�ำงาน
	 วิธีการดังกล่าวเป็นวิธีการคิดหัวข้อวิจัยที่ดี เนื่องจากหัวข้อวิจัยที่
ได้จะเป็นแนวทางในการแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นจริง เหมาะกับกรณีที่นักวิจัยมี
ประสบการณ์ท�ำงาน หรือถ้าไม่มีประสบการณ์ก็อาจใช้การอ่านจากข่าวหรือ
วารสารที่เกี่ยวข้อง หรืออาจใช้วิธีสอบถามหรือพูดคุยกับผู้ที่ท�ำงานในด้านที่
สนใจอยู่ก็ได้
	 2)	 การศึกษาขอบเขตและข้อเสนอแนะของงานวิจัยที่ท�ำ        
ก่อนหน้า
	 ขอบเขตของงานวิจัย ซึ่งจะอยู่ในบทน�ำ (บทที่ 1) ของงานวิจัย จะเป็น
ส่วนที่ผู้วิจัยจะบอกให้ผู้อ่านทราบว่าในงานวิจัยที่อ่านอยู่นั้น ผู้วิจัยจะท�ำการ
วิจัยส่วนใด และส่วนใดไม่ท�ำ ซึ่งบางครั้งผู้วิจัยของงานวิจัยที่ท�ำก่อนหน้าจ�ำเป็น
ต้องจ�ำกัดขอบเขตด้านเนื้อหา ด้านพื้นที่ที่ท�ำการศึกษา หรือด้านผู้ที่ให้ข้อมูล
ให้อยู่ในวงที่ไม่กว้างมากนัก เพื่อให้ผลการวิจัยที่ได้มีความถูกต้อง น่าเชื่อถือ
หรือในหลาย ๆ ครั้งมีขอบเขตของเวลาหรือทุนวิจัยมาบีบขอบเขตของงาน
วิจัยให้แคบลง ซึ่งหากนักวิจัยเห็นว่าขอบเขตใด ๆ ที่ผู้วิจัยของงานวิจัยที่ท�ำ
ก่อนหน้ายังไม่ได้ท�ำการวิจัย และเห็นว่าเป็นประเด็นที่น่าสนใจ มีความเป็น
ไปได้ และคุ้มค่ากับการน�ำมาท�ำการวิจัย นักวิจัยสามารถน�ำงานวิจัยดังกล่าว
มาท�ำการวิจัยต่อยอดได้	
	 นอกจากนี้ อีกส่วนประกอบของงานวิจัยที่ท�ำก่อนหน้าที่ท�ำหน้าที่เป็น
เหมือนโคมไฟส่องให้เราพบกับหัวข้อวิจัยได้คือ ข้อเสนอแนะในการวิจัยครั้ง
ต่อไปซึ่งอยู่ในบทสุดท้ายของรายงานวิจัย ซึ่งในส่วนดังกล่าวผู้วิจัยของงาน
วิจัยที่ท�ำก่อนหน้าจะบอกข้อเสนอแนะไปถึงผู้วิจัยที่ก�ำลังสนใจมาท�ำงานวิจัย
3เคล็ดลับที่ 1 การหาหัวข้อวิจัย
ต่อยอดงานวิจัยของตน โดยสามารถน�ำข้อเสนอแนะดังกล่าวไปพิจารณาหา
แนวทางท�ำวิจัยต่อไปได้ครับ
	 การพิจารณาหาหัวข้อวิจัยจากส่วนประกอบของงานวิจัยที่ท�ำก่อนหน้า
ทั้ง 2 ส่วนดังกล่าวข้างต้น นอกจากนักวิจัยจะได้พบหัวข้อวิจัยที่มีความเป็นไป
ได้ในทางปฏิบัติแล้ว นักวิจัยยังอาจน�ำแนวทางการท�ำการวิจัยของงานวิจัยที่
ท�ำก่อนหน้ามาปรับใช้ได้ อีกทั้งยังสามารถอ้างอิงงานวิจัยที่ท�ำก่อนหน้าได้อีก
ด้วยครับ
	 3)	 พิจารณาจากหัวข้อวิจัยจากผู้ให้ทุนวิจัยต่าง ๆ
	 ทุนวิจัยบางทุนจะมีการก�ำหนดหัวข้อวิจัยไว้ให้แล้ว เนื่องจากผู้ให้ทุน
วิจัยค่อนข้างคาดหวังและต้องการแสวงหาค�ำตอบของปัญหาที่ถูกตั้งขึ้นเพื่อน�ำ
ไปใช้ต่อไป ซึ่งหากผู้อ่านและอาจารย์ที่ปรึกษาของผู้อ่าน (ในบางทุน ผู้ขอรับ
ทุนจะต้องเป็นอาจารย์ที่ปรึกษา) มีคุณสมบัติตรงกับคุณสมบัติที่ก�ำหนดไว้โดย
ผู้ให้ทุนวิจัย ก็สามารถขอรับทุนวิจัยดังกล่าวได้
	 4)	 การเปรียบเทียบกับต่างอุตสาหกรรมหรือต่างประเทศ
	 หากเราสังเกตดี ๆ จะพบว่า ไม่ว่าจะเป็นในอุตสาหกรรมใด ๆ ในประเทศ
ใด ๆ ก็มักจะหนีไม่พ้นความพยายามแก้ปัญหาอย่างเดียวกัน นั่นคือ การเพิ่ม
ยอดขาย บริหารระยะเวลา ลดต้นทุน หรือการบริหารคุณภาพของผลิตภัณฑ์
หรือบริการ ดังนั้น องค์ความรู้หรือเทคโนโลยีที่มีการคิดค้นขึ้นมาใหม่ เมื่อถูก
น�ำมาใช้ในอุตสาหกรรมหนึ่ง ๆ หรือในประเทศหนึ่ง ๆ แล้วประสบผลส�ำเร็จ
ก็มักจะมีผู้น�ำมาประยุกต์ใช้ในอุตสาหกรรมหรือประเทศที่มีความใกล้เคียงกัน
ซึ่งอาจมีเงื่อนไขหรือสภาพแวดล้อมที่แตกต่างกันอยู่เสมอ ๆ ยกตัวอย่างเช่น
การน�ำเทคนิคการบริหารงานแบบทันเวลา (Just In Time: JIT) หรือแนวคิด
4 เขียนข้อเสนอวิจัย (Proposal) ท�ำได้ง่าย ๆ
แบบลีน (Lean Thinking) จากอุตสาหกรรมการผลิตมาใช้ในอุตสาหกรรม
ก่อสร้าง หรือการที่ประเทศไทยมีการน�ำนวัตกรรมต่าง ๆ จากต่างประเทศมา
ประยุกต์ใช้ให้เข้ากับสภาพแวดล้อมแบบไทย ๆ เช่น รูปแบบสัญญามาตรฐาน
ใหม่ ๆ หรือแบบจ�ำลองทางธุรกิจใหม่ ๆ หรือถ้ายกอีกตัวอย่างที่เห็นได้ง่าย ๆ
หากผู้อ่านมองทางด้านเกษตรกรรมจะพบว่ามีการศึกษาและพัฒนาเทคโนโลยี
การเกษตรให้สามารถปลูกต้นไม้ ที่เดิมต้องน�ำเข้าดอกผลจากต่างประเทศภาย
ใต้สภาพแวดล้อมในประเทศไทย เป็นต้น ซึ่งหากผู้อ่านเข้าใจความจริงข้อนี้
แล้วก็จะพบว่ามีหัวข้อวิจัยที่น่าสนใจอีกมากมายรอให้ผู้อ่านค้นพบและน�ำไป
ท�ำการวิจัยต่อไปครับ
	 5)	 การสร้างสถิติใหม่ ๆ
	 ตัวอย่างหัวข้อวิจัยกลุ่มนี้ เช่น การวิจัยเพื่อหาส่วนผสมคอนกรีตที่ท�ำให้
คอนกรีตมีก�ำลังอัดสูงกว่าที่มีผู้อื่นเคยท�ำได้ การหาวิธีออกแบบห้องชุดให้มีพื้นที่
เล็กที่สุดแต่ยังคงหน้าที่ใช้สอยได้ ซึ่งวิธีดังกล่าวเป็นวิธีหาหัวข้อวิจัยที่ใช้วิธีคิด
แบบง่าย ๆ และมีประโยชน์ แต่มีข้อควรระวังคือ การหาค�ำตอบของโจทย์วิจัย
ในลักษณะนี้จะค่อนข้างยาก เพราะต้องท�ำแข่งขันกับคนอื่น ซึ่งผู้ท�ำวิจัยจะต้อง
มีแนวคิดและอาจรวมถึงวัสดุอุปกรณ์ที่ดีกว่าผู้อื่นเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีกว่า นัก
วิจัยจึงควรประเมินถึงความเป็นไปได้ในการท�ำงานวิจัยให้แล้วเสร็จด้วย
	 เอาล่ะครับ ตอนนี้ผู้อ่านก็ได้ทราบแนวทางส�ำหรับหาหัวข้อวิจัยทั้ง 5
แนวทางแล้ว ลองคิดหัวข้อวิจัยที่สนใจไว้นะครับ โดยอาจคิดหัวข้อที่เข้าเค้าไว้
ซักหลาย ๆ หัวข้อก็ได้ ในหัวข้อต่อไปผมจะบอกวิธีในการเลือกว่าหัวข้อไหน
เป็นหัวข้อวิจัยที่ควรท�ำหรือไม่ควรท�ำ หรือมีความน่าสนใจมากน้อยเพียงไร
โปรดติดตามตอนต่อไปครับ
5เคล็ดลับที่ 1 การหาหัวข้อวิจัย
1.2 เทคนิคการเลือกหัวข้อวิจัย
	 หัวข้อวิจัยใด ๆ จะเป็นหัวข้อที่ควรน�ำมาท�ำวิจัยหรือไม่ เป็นอีกเรื่อง
หนึ่งที่นักวิจัยควรทราบ จากประสบการณ์ของผมที่ผ่านมา ผมมีหลักเกณฑ์ที่
ใช้ในการพิจารณา 5 ประการ จึงขอน�ำมาเล่าสู่กันฟังดังนี้ครับ
	 1)	 ต้องเป็นองค์ความรู้ใหม่ (originality)
	 เนื่องจากการวิจัยเป็นการหาค�ำตอบของโจทย์ที่ตั้งไว้โดยใช้กระบวนการ
เก็บรวบรวมข้อมูล การวิเคราะห์และสรุปผลข้อมูลตามหลักวิชาการ โจทย์
วิจัยที่จะท�ำการวิจัยจึงควรเป็นโจทย์วิจัยที่ยังไม่เคยมีการหาค�ำตอบมาก่อน
มิฉะนั้นจะกลายเป็นการหาค�ำตอบในโจทย์ที่มีผู้ได้ท�ำการตอบไปแล้ว ไม่    
ก่อให้เกิดประโยชน์แต่อย่างใด อย่างไรก็ตาม หากนักวิจัยพบว่างานวิจัยที่ท�ำ
ก่อนหน้ายังตอบโจทย์วิจัยได้ไม่ครบถ้วน เช่น ผู้วิจัยก่อนหน้าใช้วิธีการที่ยังไม่
เหมาะสม หรือยังไม่ได้ค�ำนึงถึงตัวแปรที่ส�ำคัญบางตัว หรือระยะเวลาที่ท�ำการ
วิจัยผ่านไปนานจนผลการวิจัยน่าจะไม่สามารถตอบค�ำถามที่ตั้งไว้ในปัจจุบันได้
อย่างถูกต้องแล้ว ผู้อ่านอาจเลือกโจทย์วิจัยนั้นมาท�ำการวิจัยใหม่ได้ แต่ขอย�้ำ
นะครับว่า ผู้อ่านต้องมีความมั่นใจจริง ๆ และมีข้อมูลมารองรับมากพอที่จะ
บอกว่างานวิจัยที่ท�ำก่อนหน้าไม่ทันสมัยแล้วหรือไม่ถูกต้อง
	 2)	 ต้องมีความเกี่ยวข้องกับสาขาวิชาที่ผู้อ่านก�ำลังศึกษาอยู่
	 ในกรณีที่เป็นงานวิจัยในการศึกษาระดับปริญญาโทหรือปริญญาเอก
หรืองานวิจัยเพื่อขอรับทุนวิจัย ผู้อ่านควรตรวจสอบว่าหัวข้อวิจัยนั้นมีความ
เกี่ยวข้องกับหลักสูตรที่ผู้อ่านก�ำลังศึกษาหรือต้องการขอรับทุนหรือไม่ มิฉะนั้น
อาจจะโดนคณะกรรมการสอบวิทยานิพนธ์หรือคณะกรรมการพิจารณาทุน
6 เขียนข้อเสนอวิจัย (Proposal) ท�ำได้ง่าย ๆ
โต้แย้งหัวข้อวิจัยนั้นในภายหลัง ในกรณีที่เลวร้ายอาจต้องเปลี่ยนหัวข้อวิจัย
ใหม่หรือโดนปฏิเสธการให้ทุนเลยก็ได้
	 3)	 ต้องมีความเป็นไปได้ในการท�ำวิจัย
	 ถ้ามองกันให้ดี ๆ แล้ว การท�ำวิจัยถือเป็นการท�ำโครงการโครงการหนึ่ง
ซึ่งผู้ท�ำวิจัยควรมีการประเมินความเป็นไปได้ในการท�ำงานวิจัยดังกล่าวให้แล้ว
เสร็จเหมือนกับการที่นักลงทุนหรือผู้บริหารโครงการต้องท�ำการศึกษาความเป็น
ไปได้ของโครงการก่อนลงมือท�ำจริง ซึ่งประการนี้ผู้อ่านควรให้ความส�ำคัญใน
การพิจารณาหาหัวข้อวิจัยเป็นอย่างมาก ทั้งนี้ เพื่อป้องกันความล้มเหลวที่อาจ
จะเกิดขึ้นในภายหลัง ในการท�ำการวิจัยควรท�ำการประเมินความเป็นไปได้ใน
หลาย ๆ ด้าน ได้แก่
	 	 3.1)	 ความเป็นไปได้ด้านระยะเวลา
	 	 งานวิจัยมักจะมีข้อจ�ำกัดด้านเวลาก�ำหนดไว้เสมอ เช่น ระยะเวลา
ตามหลักสูตรการศึกษา หรือระยะเวลาที่ก�ำหนดโดยผู้ให้ทุนวิจัย ซึ่งผู้อ่านควร
ประมาณระยะเวลาที่ต้องใช้และเปรียบเทียบกับข้อจ�ำกัดด้านเวลาที่มีว่าน่าจะ
สามารถท�ำให้แล้วเสร็จก่อนระยะเวลาที่ก�ำหนดไว้ได้หรือไม่ เพื่อเป็นเกณฑ์ใน
การตัดสินใจท�ำวิจัยทุกครั้ง
	 	 3.2)	 ความเป็นไปได้ด้านงบประมาณ
	 	 การท�ำวิจัยประกอบด้วยขั้นตอนหลายขั้นตอน ตั้งแต่การตั้งโจทย์
วิจัย การรวบรวมข้อมูล การวิเคราะห์และสรุปผลข้อมูล ซึ่งกิจกรรมแต่ละขั้น
ตอนจะมีค่าใช้จ่ายเกิดขึ้นทั้งสิ้น ซึ่งหากผู้อ่านไม่ได้ท�ำการประเมินงบประมาณ
ที่จะต้องใช้ว่าจะต้องใช้งบประมาณเท่าใด และต้องใช้แหล่งเงินทุนจากที่ใดล่วง
7เคล็ดลับที่ 1 การหาหัวข้อวิจัย
หน้าแล้ว ผู้อ่านอาจประสบปัญหาในระหว่างการท�ำวิจัยในภายหลังได้ หรือ
บางทีงานวิจัยต้องหยุดชะงักเนื่องจากทุนวิจัยหมด ซึ่งทุก ๆ ครั้งก่อนจะเริ่ม
ท�ำงานวิจัย ผู้วิจัยควรแบ่งกระบวนการท�ำวิจัยออกเป็นกิจกรรมย่อย ๆ เพื่อ
ประมาณหางบประมาณที่คาดว่าจะใช้ และเผื่องบประมาณไว้กรณีฉุกเฉิน
ร้อยละ 10-15 ของงบประมาณที่ตั้งขึ้น ทั้งนี้ เพื่อให้มีงบประมาณเพียงพอใน
การท�ำวิจัยให้แล้วเสร็จ
	 	 3.3)	 ความเป็นไปได้ในการรวบรวมข้อมูล
	 	 จากประสบการณ์ผมทางด้านงานวิจัยพบว่า การท�ำวิจัยในบาง
เรื่อง เช่น เรื่องที่เกี่ยวข้องกับต้นทุน ค่าใช้จ่าย หรือเคล็ดลับการด�ำเนินธุรกิจ
(know-how) หรือประเด็นในด้านลบของบริษัทหรือองค์กร มักจะมีความ
ยากล�ำบากในการเก็บรวบรวมข้อมูล เนื่องจากผู้ให้ข้อมูลไม่ค่อยเต็มใจที่จะให้
หรือบางทีข้อมูลที่ให้มาไม่ได้เป็นข้อมูลที่แท้จริง หรือได้ข้อมูลมาวิจัยเพียงบาง
ส่วน อาจเนื่องจากผู้ให้ข้อมูลมักจะกลัวว่าข้อมูลดังกล่าวอาจก่อให้เกิดผลเสีย
ต่อองค์กรของตน หรือไม่แน่ใจว่าผู้บังคับบัญชาจะอนุญาตให้เปิดเผยข้อมูลได้
หรือไม่ ซึ่งผู้อ่านควรมีการประเมินความเป็นไปได้ในกรณีดังกล่าวและคิดหา
วิธีแก้ไขปัญหาไว้ล่วงหน้า เช่น การเพิ่มจ�ำนวนผู้ให้ข้อมูลที่ขอเก็บข้อมูล การ
แจ้งให้ผู้บังคับบัญชาของผู้ให้ข้อมูลทราบล่วงหน้าและขอความร่วมมือให้ช่วย
มอบหมายผู้ให้ข้อมูลที่เหมาะสมให้การพิจารณาเลือกใช้ความคลาดเคลื่อนที่
ยอมรับได้ที่เหมาะสม (เนื่องจากในทางสถิติ ความคลาดเคลื่อนของผลลัพธ์ที่
ได้จะเพิ่มขึ้นหากจ�ำนวนตัวอย่างที่ใช้มีจ�ำนวนน้อยลง) หรือแม้แต่การตัดสินใจ
ไม่เลือกหัวข้อดังกล่าวมาท�ำวิจัยตั้งแต่ต้นก็เป็นวิธีการหนึ่งที่อาจเป็นทางเลือก
ที่ดีที่สุดก็เป็นได้
8 เขียนข้อเสนอวิจัย (Proposal) ท�ำได้ง่าย ๆ
	 	 3.4)	 ความเป็นไปได้ในด้านองค์ความรู้ที่รองรับการวิจัย
	 	 การท�ำวิจัยคือการต่อยอดความรู้ที่มีอยู่เพื่อหาค�ำตอบของโจทย์
วิจัยที่ผู้วิจัยตั้งไว้ ซึ่งวิธีที่จะน�ำมาใช้หาค�ำตอบดังกล่าวจะต้องเป็นวิธีที่ถูกต้อง
ตามหลักวิชาการ มีแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือรองรับ แต่ในบางกรณีหากผู้อ่าน
ตั้งโจทย์วิจัยไกลจากองค์ความรู้ที่มีอยู่มากเกินไป ผู้อ่านก็จะไม่สามารถหา
ค�ำตอบของโจทย์วิจัยนั้นได้ หรือถ้าหาได้ก็อาจจะไม่มีน�้ำหนักน่าเชื่อถือเท่าที่
ควร ตัวอย่างเช่น ผู้อ่านไม่ควรตั้งโจทย์วิจัยถึงแนวทางการเลือกวิธีการลงทุน
ที่ให้ผลตอบแทนที่ดีที่สุด หากยังไม่สามารถหาข้อมูลได้ว่ารูปแบบการลงทุนมี
รูปแบบใดบ้าง
	 	 สิ่งที่ต้องระวังในการพิจารณาเรื่องความเป็นไปได้ในเรื่ององค์ความ
รู้ที่รองรับการวิจัย ได้แก่ การที่ผู้อ่านจะสรุปได้ว่า องค์ความรู้ที่มีอยู่มีไม่เพียง
พอที่จะท�ำการวิจัยต่อไปได้ ผู้อ่านจ�ำเป็นต้องท�ำการทบทวนวรรณกรรมให้
มากเพียงพอ มิฉะนั้นจะไม่สามารถสรุปว่างานวิจัยมีข้อจ�ำกัดดังกล่าวหรือเป็น
เพราะผู้อ่านยังทบทวนวรรณกรรมมาไม่ดีพอ (ถ้าไปบอกว่าหัวข้อที่คิดอยู่มีข้อ
จ�ำกัดเรื่ององค์ความรู้ที่มีอยู่แล้วโดนอาจารย์ที่ปรึกษาย้อนถามแบบนี้ อาจจะ
รู้สึกเครียดได้ครับ เพราะฉะนั้นทบทวนวรรณกรรมไปให้ดี ๆ ก่อนครับ)
	 	 3.5)	 ความเป็นไปได้ด้านกฎหมายและจริยธรรม
	 	 การท�ำการรวบรวมข้อมูลในบางกรณีอาจจะไม่สามารถท�ำได้ตาม
กฎหมาย หรืออาจเป็นการผิดจริยธรรมในการท�ำวิจัยหากผู้วิจัยจะด�ำเนินการ
ดังกล่าว เช่น การท�ำการทดลองหาผลลัพธ์ของสารเคมีบางชนิดกับมนุษย์หรือ
สิ่งมีชีวิต หรือการเก็บข้อมูลโดยที่ผู้ให้ข้อมูลไม่ให้ความยินยอมในการให้ข้อมูล
9เคล็ดลับที่ 1 การหาหัวข้อวิจัย
	 4)	 ต้องมีความเหมาะสมของปริมาณงานที่จะต้องท�ำ
	 ผู้อ่านควรพิจารณาปริมาณงานที่ต้องท�ำให้เหมาะสมกับประเภทของ
งานวิจัยที่ก�ำลังด�ำเนินการ เนื่องจากงานวิจัยตามข้อก�ำหนดในหลักสูตรการ
ศึกษาจะมีหลายประเภท ได้แก่ การค้นคว้าอิสระ สารนิพนธ์ วิทยานิพนธ์
ระดับปริญญาโท และวิทยานิพนธ์ระดับปริญญาเอก ซึ่งจะมีปริมาณงานและ
ความลึกซึ้งมากขึ้นตามล�ำดับ (วิธีการหนึ่งที่ผมใช้พิจารณาในการเปรียบเทียบ
ส�ำหรับงานวิจัยตามหลักสูตรการศึกษาคือ ใช้การสังเกตปริมาณงานที่ผู้วิจัย
ควรจะต้องท�ำจากจ�ำนวนหน่วยกิตของงานวิจัย ดังจะกล่าวถึงในล�ำดับต่อไป)
ซึ่งหลักเกณฑ์ที่ใช้แบ่งว่าหัวข้อใดควรเป็นงานวิจัยแบบใดนั้น ไม่มีหลักเกณฑ์
ตายตัว แต่อาจารย์ที่ปรึกษาจะเป็นผู้ที่ช่วยดูความเหมาะสมให้ โดยเบื้องต้น
ผู้อ่านอาจดูว่าปริมาณงานเหมาะสมแล้วหรือไม่จากการลองเปรียบเทียบกับ
งานวิจัยอื่น ๆ ในระดับเดียวกันของหลักสูตรที่ผู้อ่านก�ำลังศึกษาอยู่
	 ขอย้อนกลับมาเรื่องการพิจารณาปริมาณงานจากหน่วยกิตของงานวิจัย
ส�ำหรับงานวิจัยที่เป็นข้อก�ำหนดในหลักสูตรการศึกษา ในฐานะที่ผมได้มีโอกาส
ท�ำหน้าที่เป็นอาจารย์ที่ปรึกษาของงานวิจัยหลายประเภท ทั้งการค้นคว้าอิสระ
วิทยานิพนธ์ระดับปริญญาโท และวิทยานิพนธ์ระดับปริญญาเอกในเวลาเดียวกัน
ผมจึงจ�ำเป็นต้องมีการก�ำหนดปริมาณงานของงานวิจัยในแต่ละประเภทให้มี
ความเหมาะสม ไม่มากหรือน้อยเกินไปจนเกิดปัญหา เช่น วิทยานิพนธ์ปริญญา
โทควรมีปริมาณงานมากกว่าการค้นคว้าอิสระ แต่น้อยกว่าวิทยานิพนธ์ระดับ
ปริญญาเอก ซึ่งหลักเกณฑ์หนึ่งซึ่งผมใช้ในการพิจารณาความเหมาะสมของ
ปริมาณงานได้แก่ การเปรียบเทียบจ�ำนวนหน่วยกิตของงานวิจัยแต่ละประเภท
โดยไม่นับหน่วยกิตที่ใช้ในการจัดท�ำข้อเสนอวิจัย (แม้ว่าผู้ที่ท�ำวิทยานิพนธ์จะ
10 เขียนข้อเสนอวิจัย (Proposal) ท�ำได้ง่าย ๆ
ต้องทบทวนวรรณกรรมมากกว่าผู้ที่ท�ำการค้นคว้าอิสระเนื่องจากจ�ำนวนตัวแปร
มากกว่า อาจถือว่าพอ ๆ กัน ไม่ต่างกันเท่าไร) เช่น ในหลักสูตรปริญญาโทที่
ผมสอนอยู่ การค้นคว้าอิสระระดับปริญญาโทจะมีหน่วยกิตในช่วงการลงมือ
ท�ำเท่ากับ 3 หน่วยกิต (หน่วยกิตทั้งหมด 6 หน่วยกิต แบ่งเป็น 2 เทอม เทอม
ละ 3 หน่วยกิต) ในขณะที่วิทยานิพนธ์ระดับปริญญาโทมีจ�ำนวนหน่วยกิตใน
ช่วงการลงมือท�ำการวิจัยเท่ากับ 9 หน่วยกิต (หน่วยกิตทั้งหมด 12 หน่วยกิต
แบ่งเป็น 2 เทอม โดยมีจ�ำนวนหน่วยกิต 3 และ 9 หน่วยกิต ตามล�ำดับ)
ดังนั้น ในวิทยานิพนธ์ระดับปริญญาโทจึงควรมีเนื้องาน (หรือความยาก) เป็น
ประมาณ 2-3 เท่าของการค้นคว้าอิสระ ขอย�้ำอีกครั้งว่าหลักเกณฑ์นี้ไม่ใช่หลัก
เกณฑ์ตายตัว แต่เป็นเกณฑ์เบื้องต้นที่ผมใช้พิจารณาจากประสบการณ์การเป็น
อาจารย์ที่ปรึกษาที่ผ่านมาเท่านั้น
	 ส�ำหรับงานวิจัยประเภทอื่น ๆ ซึ่งไม่ใช่งานวิจัยตามข้อก�ำหนดของ
หลักสูตรการศึกษา หลัก ๆ แล้วผู้อ่านควรค�ำนึงถึงความเหมาะสมกับระยะ
เวลาและงบประมาณในการวิจัยซึ่งผู้อ่านมีอยู่ โดยปกติแล้วขอบเขตของงาน
วิจัยย่อมแปรผันตรงกับระยะเวลาและงบประมาณนะครับ
	 5)	 ต้องมีความสามารถในการน�ำไปใช้ประโยชน์ได้ในกรณี      
อื่น ๆ (generalization)
	 งานวิจัยที่ดีควรสามารถน�ำความรู้ที่ได้ไปประยุกต์ใช้ในโอกาสอื่น ๆ
ได้ ดังนั้น ผู้วิจัยจึงควรมีการก�ำหนดขอบเขตของการศึกษาให้เหมาะสม หาก
ก�ำหนดขอบเขตแคบเกินไปอาจจะท�ำให้เกิดค�ำถามว่าองค์ความรู้ที่ได้จะสามารถ
น�ำไปใช้กับกรณีอื่น ๆ ได้จริงหรือไม่ เช่น เมื่อผมได้มีโอกาสเป็นกรรมการ
สอบวิทยานิพนธ์ของงานวิจัยที่มีการระบุขอบเขตของงานวิจัย ตัวอย่างเช่น

9789740335795

  • 1.
    เคล็ดลับที่ 1 การหาหัวข้อวิจัย 1.1 หาหัวข้อวิจัยจากไหนดี? ผมเชื่อว่าปัญหาใหญ่ปัญหาแรกสุดส�ำหรับนิสิตนักศึกษา หรือนักวิจัยหลายคนนั้นก็คือ การหาหัวข้อวิจัย หลายคนใช้เวลากับ ขั้นตอนนี้ค่อนข้างยาวนานมาก บางคนอาจใช้เวลาหลายเดือนหรือ อาจจะเป็นปีกว่าจะได้หัวข้อวิจัยที่สนใจมา 1 หัวข้อ แต่เมื่อได้ท�ำการ ศึกษาไปซักระยะก็ต้องตัดสินใจทิ้งหัวข้อวิจัยนั้นเสีย เนื่องจากพบว่า ไม่สามารถท�ำงานวิจัยในเรื่องดังกล่าวต่อไปได้ อย่างว่าล่ะครับ ขึ้นชื่อ ว่างานวิจัย แน่นอนว่าต้องเป็นสิ่งใหม่ ๆ ดังนั้น การหาหัวข้อที่จะ ท�ำวิจัยจึงอาจมีความยากล�ำบากอยู่บ้าง เพื่อเป็นการช่วยแก้ปัญหา ดังกล่าว ผมจึงขอแนะน�ำ 5 แนวทางที่ผมมักจะใช้ในการหาหัวข้อ วิจัยดังต่อไปนี้
  • 2.
    2 เขียนข้อเสนอวิจัย (Proposal)ท�ำได้ง่าย ๆ 1) พิจารณาจากปัญหาที่พบในการท�ำงาน วิธีการดังกล่าวเป็นวิธีการคิดหัวข้อวิจัยที่ดี เนื่องจากหัวข้อวิจัยที่ ได้จะเป็นแนวทางในการแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นจริง เหมาะกับกรณีที่นักวิจัยมี ประสบการณ์ท�ำงาน หรือถ้าไม่มีประสบการณ์ก็อาจใช้การอ่านจากข่าวหรือ วารสารที่เกี่ยวข้อง หรืออาจใช้วิธีสอบถามหรือพูดคุยกับผู้ที่ท�ำงานในด้านที่ สนใจอยู่ก็ได้ 2) การศึกษาขอบเขตและข้อเสนอแนะของงานวิจัยที่ท�ำ ก่อนหน้า ขอบเขตของงานวิจัย ซึ่งจะอยู่ในบทน�ำ (บทที่ 1) ของงานวิจัย จะเป็น ส่วนที่ผู้วิจัยจะบอกให้ผู้อ่านทราบว่าในงานวิจัยที่อ่านอยู่นั้น ผู้วิจัยจะท�ำการ วิจัยส่วนใด และส่วนใดไม่ท�ำ ซึ่งบางครั้งผู้วิจัยของงานวิจัยที่ท�ำก่อนหน้าจ�ำเป็น ต้องจ�ำกัดขอบเขตด้านเนื้อหา ด้านพื้นที่ที่ท�ำการศึกษา หรือด้านผู้ที่ให้ข้อมูล ให้อยู่ในวงที่ไม่กว้างมากนัก เพื่อให้ผลการวิจัยที่ได้มีความถูกต้อง น่าเชื่อถือ หรือในหลาย ๆ ครั้งมีขอบเขตของเวลาหรือทุนวิจัยมาบีบขอบเขตของงาน วิจัยให้แคบลง ซึ่งหากนักวิจัยเห็นว่าขอบเขตใด ๆ ที่ผู้วิจัยของงานวิจัยที่ท�ำ ก่อนหน้ายังไม่ได้ท�ำการวิจัย และเห็นว่าเป็นประเด็นที่น่าสนใจ มีความเป็น ไปได้ และคุ้มค่ากับการน�ำมาท�ำการวิจัย นักวิจัยสามารถน�ำงานวิจัยดังกล่าว มาท�ำการวิจัยต่อยอดได้ นอกจากนี้ อีกส่วนประกอบของงานวิจัยที่ท�ำก่อนหน้าที่ท�ำหน้าที่เป็น เหมือนโคมไฟส่องให้เราพบกับหัวข้อวิจัยได้คือ ข้อเสนอแนะในการวิจัยครั้ง ต่อไปซึ่งอยู่ในบทสุดท้ายของรายงานวิจัย ซึ่งในส่วนดังกล่าวผู้วิจัยของงาน วิจัยที่ท�ำก่อนหน้าจะบอกข้อเสนอแนะไปถึงผู้วิจัยที่ก�ำลังสนใจมาท�ำงานวิจัย
  • 3.
    3เคล็ดลับที่ 1 การหาหัวข้อวิจัย ต่อยอดงานวิจัยของตนโดยสามารถน�ำข้อเสนอแนะดังกล่าวไปพิจารณาหา แนวทางท�ำวิจัยต่อไปได้ครับ การพิจารณาหาหัวข้อวิจัยจากส่วนประกอบของงานวิจัยที่ท�ำก่อนหน้า ทั้ง 2 ส่วนดังกล่าวข้างต้น นอกจากนักวิจัยจะได้พบหัวข้อวิจัยที่มีความเป็นไป ได้ในทางปฏิบัติแล้ว นักวิจัยยังอาจน�ำแนวทางการท�ำการวิจัยของงานวิจัยที่ ท�ำก่อนหน้ามาปรับใช้ได้ อีกทั้งยังสามารถอ้างอิงงานวิจัยที่ท�ำก่อนหน้าได้อีก ด้วยครับ 3) พิจารณาจากหัวข้อวิจัยจากผู้ให้ทุนวิจัยต่าง ๆ ทุนวิจัยบางทุนจะมีการก�ำหนดหัวข้อวิจัยไว้ให้แล้ว เนื่องจากผู้ให้ทุน วิจัยค่อนข้างคาดหวังและต้องการแสวงหาค�ำตอบของปัญหาที่ถูกตั้งขึ้นเพื่อน�ำ ไปใช้ต่อไป ซึ่งหากผู้อ่านและอาจารย์ที่ปรึกษาของผู้อ่าน (ในบางทุน ผู้ขอรับ ทุนจะต้องเป็นอาจารย์ที่ปรึกษา) มีคุณสมบัติตรงกับคุณสมบัติที่ก�ำหนดไว้โดย ผู้ให้ทุนวิจัย ก็สามารถขอรับทุนวิจัยดังกล่าวได้ 4) การเปรียบเทียบกับต่างอุตสาหกรรมหรือต่างประเทศ หากเราสังเกตดี ๆ จะพบว่า ไม่ว่าจะเป็นในอุตสาหกรรมใด ๆ ในประเทศ ใด ๆ ก็มักจะหนีไม่พ้นความพยายามแก้ปัญหาอย่างเดียวกัน นั่นคือ การเพิ่ม ยอดขาย บริหารระยะเวลา ลดต้นทุน หรือการบริหารคุณภาพของผลิตภัณฑ์ หรือบริการ ดังนั้น องค์ความรู้หรือเทคโนโลยีที่มีการคิดค้นขึ้นมาใหม่ เมื่อถูก น�ำมาใช้ในอุตสาหกรรมหนึ่ง ๆ หรือในประเทศหนึ่ง ๆ แล้วประสบผลส�ำเร็จ ก็มักจะมีผู้น�ำมาประยุกต์ใช้ในอุตสาหกรรมหรือประเทศที่มีความใกล้เคียงกัน ซึ่งอาจมีเงื่อนไขหรือสภาพแวดล้อมที่แตกต่างกันอยู่เสมอ ๆ ยกตัวอย่างเช่น การน�ำเทคนิคการบริหารงานแบบทันเวลา (Just In Time: JIT) หรือแนวคิด
  • 4.
    4 เขียนข้อเสนอวิจัย (Proposal)ท�ำได้ง่าย ๆ แบบลีน (Lean Thinking) จากอุตสาหกรรมการผลิตมาใช้ในอุตสาหกรรม ก่อสร้าง หรือการที่ประเทศไทยมีการน�ำนวัตกรรมต่าง ๆ จากต่างประเทศมา ประยุกต์ใช้ให้เข้ากับสภาพแวดล้อมแบบไทย ๆ เช่น รูปแบบสัญญามาตรฐาน ใหม่ ๆ หรือแบบจ�ำลองทางธุรกิจใหม่ ๆ หรือถ้ายกอีกตัวอย่างที่เห็นได้ง่าย ๆ หากผู้อ่านมองทางด้านเกษตรกรรมจะพบว่ามีการศึกษาและพัฒนาเทคโนโลยี การเกษตรให้สามารถปลูกต้นไม้ ที่เดิมต้องน�ำเข้าดอกผลจากต่างประเทศภาย ใต้สภาพแวดล้อมในประเทศไทย เป็นต้น ซึ่งหากผู้อ่านเข้าใจความจริงข้อนี้ แล้วก็จะพบว่ามีหัวข้อวิจัยที่น่าสนใจอีกมากมายรอให้ผู้อ่านค้นพบและน�ำไป ท�ำการวิจัยต่อไปครับ 5) การสร้างสถิติใหม่ ๆ ตัวอย่างหัวข้อวิจัยกลุ่มนี้ เช่น การวิจัยเพื่อหาส่วนผสมคอนกรีตที่ท�ำให้ คอนกรีตมีก�ำลังอัดสูงกว่าที่มีผู้อื่นเคยท�ำได้ การหาวิธีออกแบบห้องชุดให้มีพื้นที่ เล็กที่สุดแต่ยังคงหน้าที่ใช้สอยได้ ซึ่งวิธีดังกล่าวเป็นวิธีหาหัวข้อวิจัยที่ใช้วิธีคิด แบบง่าย ๆ และมีประโยชน์ แต่มีข้อควรระวังคือ การหาค�ำตอบของโจทย์วิจัย ในลักษณะนี้จะค่อนข้างยาก เพราะต้องท�ำแข่งขันกับคนอื่น ซึ่งผู้ท�ำวิจัยจะต้อง มีแนวคิดและอาจรวมถึงวัสดุอุปกรณ์ที่ดีกว่าผู้อื่นเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีกว่า นัก วิจัยจึงควรประเมินถึงความเป็นไปได้ในการท�ำงานวิจัยให้แล้วเสร็จด้วย เอาล่ะครับ ตอนนี้ผู้อ่านก็ได้ทราบแนวทางส�ำหรับหาหัวข้อวิจัยทั้ง 5 แนวทางแล้ว ลองคิดหัวข้อวิจัยที่สนใจไว้นะครับ โดยอาจคิดหัวข้อที่เข้าเค้าไว้ ซักหลาย ๆ หัวข้อก็ได้ ในหัวข้อต่อไปผมจะบอกวิธีในการเลือกว่าหัวข้อไหน เป็นหัวข้อวิจัยที่ควรท�ำหรือไม่ควรท�ำ หรือมีความน่าสนใจมากน้อยเพียงไร โปรดติดตามตอนต่อไปครับ
  • 5.
    5เคล็ดลับที่ 1 การหาหัวข้อวิจัย 1.2เทคนิคการเลือกหัวข้อวิจัย หัวข้อวิจัยใด ๆ จะเป็นหัวข้อที่ควรน�ำมาท�ำวิจัยหรือไม่ เป็นอีกเรื่อง หนึ่งที่นักวิจัยควรทราบ จากประสบการณ์ของผมที่ผ่านมา ผมมีหลักเกณฑ์ที่ ใช้ในการพิจารณา 5 ประการ จึงขอน�ำมาเล่าสู่กันฟังดังนี้ครับ 1) ต้องเป็นองค์ความรู้ใหม่ (originality) เนื่องจากการวิจัยเป็นการหาค�ำตอบของโจทย์ที่ตั้งไว้โดยใช้กระบวนการ เก็บรวบรวมข้อมูล การวิเคราะห์และสรุปผลข้อมูลตามหลักวิชาการ โจทย์ วิจัยที่จะท�ำการวิจัยจึงควรเป็นโจทย์วิจัยที่ยังไม่เคยมีการหาค�ำตอบมาก่อน มิฉะนั้นจะกลายเป็นการหาค�ำตอบในโจทย์ที่มีผู้ได้ท�ำการตอบไปแล้ว ไม่ ก่อให้เกิดประโยชน์แต่อย่างใด อย่างไรก็ตาม หากนักวิจัยพบว่างานวิจัยที่ท�ำ ก่อนหน้ายังตอบโจทย์วิจัยได้ไม่ครบถ้วน เช่น ผู้วิจัยก่อนหน้าใช้วิธีการที่ยังไม่ เหมาะสม หรือยังไม่ได้ค�ำนึงถึงตัวแปรที่ส�ำคัญบางตัว หรือระยะเวลาที่ท�ำการ วิจัยผ่านไปนานจนผลการวิจัยน่าจะไม่สามารถตอบค�ำถามที่ตั้งไว้ในปัจจุบันได้ อย่างถูกต้องแล้ว ผู้อ่านอาจเลือกโจทย์วิจัยนั้นมาท�ำการวิจัยใหม่ได้ แต่ขอย�้ำ นะครับว่า ผู้อ่านต้องมีความมั่นใจจริง ๆ และมีข้อมูลมารองรับมากพอที่จะ บอกว่างานวิจัยที่ท�ำก่อนหน้าไม่ทันสมัยแล้วหรือไม่ถูกต้อง 2) ต้องมีความเกี่ยวข้องกับสาขาวิชาที่ผู้อ่านก�ำลังศึกษาอยู่ ในกรณีที่เป็นงานวิจัยในการศึกษาระดับปริญญาโทหรือปริญญาเอก หรืองานวิจัยเพื่อขอรับทุนวิจัย ผู้อ่านควรตรวจสอบว่าหัวข้อวิจัยนั้นมีความ เกี่ยวข้องกับหลักสูตรที่ผู้อ่านก�ำลังศึกษาหรือต้องการขอรับทุนหรือไม่ มิฉะนั้น อาจจะโดนคณะกรรมการสอบวิทยานิพนธ์หรือคณะกรรมการพิจารณาทุน
  • 6.
    6 เขียนข้อเสนอวิจัย (Proposal)ท�ำได้ง่าย ๆ โต้แย้งหัวข้อวิจัยนั้นในภายหลัง ในกรณีที่เลวร้ายอาจต้องเปลี่ยนหัวข้อวิจัย ใหม่หรือโดนปฏิเสธการให้ทุนเลยก็ได้ 3) ต้องมีความเป็นไปได้ในการท�ำวิจัย ถ้ามองกันให้ดี ๆ แล้ว การท�ำวิจัยถือเป็นการท�ำโครงการโครงการหนึ่ง ซึ่งผู้ท�ำวิจัยควรมีการประเมินความเป็นไปได้ในการท�ำงานวิจัยดังกล่าวให้แล้ว เสร็จเหมือนกับการที่นักลงทุนหรือผู้บริหารโครงการต้องท�ำการศึกษาความเป็น ไปได้ของโครงการก่อนลงมือท�ำจริง ซึ่งประการนี้ผู้อ่านควรให้ความส�ำคัญใน การพิจารณาหาหัวข้อวิจัยเป็นอย่างมาก ทั้งนี้ เพื่อป้องกันความล้มเหลวที่อาจ จะเกิดขึ้นในภายหลัง ในการท�ำการวิจัยควรท�ำการประเมินความเป็นไปได้ใน หลาย ๆ ด้าน ได้แก่ 3.1) ความเป็นไปได้ด้านระยะเวลา งานวิจัยมักจะมีข้อจ�ำกัดด้านเวลาก�ำหนดไว้เสมอ เช่น ระยะเวลา ตามหลักสูตรการศึกษา หรือระยะเวลาที่ก�ำหนดโดยผู้ให้ทุนวิจัย ซึ่งผู้อ่านควร ประมาณระยะเวลาที่ต้องใช้และเปรียบเทียบกับข้อจ�ำกัดด้านเวลาที่มีว่าน่าจะ สามารถท�ำให้แล้วเสร็จก่อนระยะเวลาที่ก�ำหนดไว้ได้หรือไม่ เพื่อเป็นเกณฑ์ใน การตัดสินใจท�ำวิจัยทุกครั้ง 3.2) ความเป็นไปได้ด้านงบประมาณ การท�ำวิจัยประกอบด้วยขั้นตอนหลายขั้นตอน ตั้งแต่การตั้งโจทย์ วิจัย การรวบรวมข้อมูล การวิเคราะห์และสรุปผลข้อมูล ซึ่งกิจกรรมแต่ละขั้น ตอนจะมีค่าใช้จ่ายเกิดขึ้นทั้งสิ้น ซึ่งหากผู้อ่านไม่ได้ท�ำการประเมินงบประมาณ ที่จะต้องใช้ว่าจะต้องใช้งบประมาณเท่าใด และต้องใช้แหล่งเงินทุนจากที่ใดล่วง
  • 7.
    7เคล็ดลับที่ 1 การหาหัวข้อวิจัย หน้าแล้วผู้อ่านอาจประสบปัญหาในระหว่างการท�ำวิจัยในภายหลังได้ หรือ บางทีงานวิจัยต้องหยุดชะงักเนื่องจากทุนวิจัยหมด ซึ่งทุก ๆ ครั้งก่อนจะเริ่ม ท�ำงานวิจัย ผู้วิจัยควรแบ่งกระบวนการท�ำวิจัยออกเป็นกิจกรรมย่อย ๆ เพื่อ ประมาณหางบประมาณที่คาดว่าจะใช้ และเผื่องบประมาณไว้กรณีฉุกเฉิน ร้อยละ 10-15 ของงบประมาณที่ตั้งขึ้น ทั้งนี้ เพื่อให้มีงบประมาณเพียงพอใน การท�ำวิจัยให้แล้วเสร็จ 3.3) ความเป็นไปได้ในการรวบรวมข้อมูล จากประสบการณ์ผมทางด้านงานวิจัยพบว่า การท�ำวิจัยในบาง เรื่อง เช่น เรื่องที่เกี่ยวข้องกับต้นทุน ค่าใช้จ่าย หรือเคล็ดลับการด�ำเนินธุรกิจ (know-how) หรือประเด็นในด้านลบของบริษัทหรือองค์กร มักจะมีความ ยากล�ำบากในการเก็บรวบรวมข้อมูล เนื่องจากผู้ให้ข้อมูลไม่ค่อยเต็มใจที่จะให้ หรือบางทีข้อมูลที่ให้มาไม่ได้เป็นข้อมูลที่แท้จริง หรือได้ข้อมูลมาวิจัยเพียงบาง ส่วน อาจเนื่องจากผู้ให้ข้อมูลมักจะกลัวว่าข้อมูลดังกล่าวอาจก่อให้เกิดผลเสีย ต่อองค์กรของตน หรือไม่แน่ใจว่าผู้บังคับบัญชาจะอนุญาตให้เปิดเผยข้อมูลได้ หรือไม่ ซึ่งผู้อ่านควรมีการประเมินความเป็นไปได้ในกรณีดังกล่าวและคิดหา วิธีแก้ไขปัญหาไว้ล่วงหน้า เช่น การเพิ่มจ�ำนวนผู้ให้ข้อมูลที่ขอเก็บข้อมูล การ แจ้งให้ผู้บังคับบัญชาของผู้ให้ข้อมูลทราบล่วงหน้าและขอความร่วมมือให้ช่วย มอบหมายผู้ให้ข้อมูลที่เหมาะสมให้การพิจารณาเลือกใช้ความคลาดเคลื่อนที่ ยอมรับได้ที่เหมาะสม (เนื่องจากในทางสถิติ ความคลาดเคลื่อนของผลลัพธ์ที่ ได้จะเพิ่มขึ้นหากจ�ำนวนตัวอย่างที่ใช้มีจ�ำนวนน้อยลง) หรือแม้แต่การตัดสินใจ ไม่เลือกหัวข้อดังกล่าวมาท�ำวิจัยตั้งแต่ต้นก็เป็นวิธีการหนึ่งที่อาจเป็นทางเลือก ที่ดีที่สุดก็เป็นได้
  • 8.
    8 เขียนข้อเสนอวิจัย (Proposal)ท�ำได้ง่าย ๆ 3.4) ความเป็นไปได้ในด้านองค์ความรู้ที่รองรับการวิจัย การท�ำวิจัยคือการต่อยอดความรู้ที่มีอยู่เพื่อหาค�ำตอบของโจทย์ วิจัยที่ผู้วิจัยตั้งไว้ ซึ่งวิธีที่จะน�ำมาใช้หาค�ำตอบดังกล่าวจะต้องเป็นวิธีที่ถูกต้อง ตามหลักวิชาการ มีแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือรองรับ แต่ในบางกรณีหากผู้อ่าน ตั้งโจทย์วิจัยไกลจากองค์ความรู้ที่มีอยู่มากเกินไป ผู้อ่านก็จะไม่สามารถหา ค�ำตอบของโจทย์วิจัยนั้นได้ หรือถ้าหาได้ก็อาจจะไม่มีน�้ำหนักน่าเชื่อถือเท่าที่ ควร ตัวอย่างเช่น ผู้อ่านไม่ควรตั้งโจทย์วิจัยถึงแนวทางการเลือกวิธีการลงทุน ที่ให้ผลตอบแทนที่ดีที่สุด หากยังไม่สามารถหาข้อมูลได้ว่ารูปแบบการลงทุนมี รูปแบบใดบ้าง สิ่งที่ต้องระวังในการพิจารณาเรื่องความเป็นไปได้ในเรื่ององค์ความ รู้ที่รองรับการวิจัย ได้แก่ การที่ผู้อ่านจะสรุปได้ว่า องค์ความรู้ที่มีอยู่มีไม่เพียง พอที่จะท�ำการวิจัยต่อไปได้ ผู้อ่านจ�ำเป็นต้องท�ำการทบทวนวรรณกรรมให้ มากเพียงพอ มิฉะนั้นจะไม่สามารถสรุปว่างานวิจัยมีข้อจ�ำกัดดังกล่าวหรือเป็น เพราะผู้อ่านยังทบทวนวรรณกรรมมาไม่ดีพอ (ถ้าไปบอกว่าหัวข้อที่คิดอยู่มีข้อ จ�ำกัดเรื่ององค์ความรู้ที่มีอยู่แล้วโดนอาจารย์ที่ปรึกษาย้อนถามแบบนี้ อาจจะ รู้สึกเครียดได้ครับ เพราะฉะนั้นทบทวนวรรณกรรมไปให้ดี ๆ ก่อนครับ) 3.5) ความเป็นไปได้ด้านกฎหมายและจริยธรรม การท�ำการรวบรวมข้อมูลในบางกรณีอาจจะไม่สามารถท�ำได้ตาม กฎหมาย หรืออาจเป็นการผิดจริยธรรมในการท�ำวิจัยหากผู้วิจัยจะด�ำเนินการ ดังกล่าว เช่น การท�ำการทดลองหาผลลัพธ์ของสารเคมีบางชนิดกับมนุษย์หรือ สิ่งมีชีวิต หรือการเก็บข้อมูลโดยที่ผู้ให้ข้อมูลไม่ให้ความยินยอมในการให้ข้อมูล
  • 9.
    9เคล็ดลับที่ 1 การหาหัวข้อวิจัย 4) ต้องมีความเหมาะสมของปริมาณงานที่จะต้องท�ำ ผู้อ่านควรพิจารณาปริมาณงานที่ต้องท�ำให้เหมาะสมกับประเภทของ งานวิจัยที่ก�ำลังด�ำเนินการ เนื่องจากงานวิจัยตามข้อก�ำหนดในหลักสูตรการ ศึกษาจะมีหลายประเภท ได้แก่ การค้นคว้าอิสระ สารนิพนธ์ วิทยานิพนธ์ ระดับปริญญาโท และวิทยานิพนธ์ระดับปริญญาเอก ซึ่งจะมีปริมาณงานและ ความลึกซึ้งมากขึ้นตามล�ำดับ (วิธีการหนึ่งที่ผมใช้พิจารณาในการเปรียบเทียบ ส�ำหรับงานวิจัยตามหลักสูตรการศึกษาคือ ใช้การสังเกตปริมาณงานที่ผู้วิจัย ควรจะต้องท�ำจากจ�ำนวนหน่วยกิตของงานวิจัย ดังจะกล่าวถึงในล�ำดับต่อไป) ซึ่งหลักเกณฑ์ที่ใช้แบ่งว่าหัวข้อใดควรเป็นงานวิจัยแบบใดนั้น ไม่มีหลักเกณฑ์ ตายตัว แต่อาจารย์ที่ปรึกษาจะเป็นผู้ที่ช่วยดูความเหมาะสมให้ โดยเบื้องต้น ผู้อ่านอาจดูว่าปริมาณงานเหมาะสมแล้วหรือไม่จากการลองเปรียบเทียบกับ งานวิจัยอื่น ๆ ในระดับเดียวกันของหลักสูตรที่ผู้อ่านก�ำลังศึกษาอยู่ ขอย้อนกลับมาเรื่องการพิจารณาปริมาณงานจากหน่วยกิตของงานวิจัย ส�ำหรับงานวิจัยที่เป็นข้อก�ำหนดในหลักสูตรการศึกษา ในฐานะที่ผมได้มีโอกาส ท�ำหน้าที่เป็นอาจารย์ที่ปรึกษาของงานวิจัยหลายประเภท ทั้งการค้นคว้าอิสระ วิทยานิพนธ์ระดับปริญญาโท และวิทยานิพนธ์ระดับปริญญาเอกในเวลาเดียวกัน ผมจึงจ�ำเป็นต้องมีการก�ำหนดปริมาณงานของงานวิจัยในแต่ละประเภทให้มี ความเหมาะสม ไม่มากหรือน้อยเกินไปจนเกิดปัญหา เช่น วิทยานิพนธ์ปริญญา โทควรมีปริมาณงานมากกว่าการค้นคว้าอิสระ แต่น้อยกว่าวิทยานิพนธ์ระดับ ปริญญาเอก ซึ่งหลักเกณฑ์หนึ่งซึ่งผมใช้ในการพิจารณาความเหมาะสมของ ปริมาณงานได้แก่ การเปรียบเทียบจ�ำนวนหน่วยกิตของงานวิจัยแต่ละประเภท โดยไม่นับหน่วยกิตที่ใช้ในการจัดท�ำข้อเสนอวิจัย (แม้ว่าผู้ที่ท�ำวิทยานิพนธ์จะ
  • 10.
    10 เขียนข้อเสนอวิจัย (Proposal)ท�ำได้ง่าย ๆ ต้องทบทวนวรรณกรรมมากกว่าผู้ที่ท�ำการค้นคว้าอิสระเนื่องจากจ�ำนวนตัวแปร มากกว่า อาจถือว่าพอ ๆ กัน ไม่ต่างกันเท่าไร) เช่น ในหลักสูตรปริญญาโทที่ ผมสอนอยู่ การค้นคว้าอิสระระดับปริญญาโทจะมีหน่วยกิตในช่วงการลงมือ ท�ำเท่ากับ 3 หน่วยกิต (หน่วยกิตทั้งหมด 6 หน่วยกิต แบ่งเป็น 2 เทอม เทอม ละ 3 หน่วยกิต) ในขณะที่วิทยานิพนธ์ระดับปริญญาโทมีจ�ำนวนหน่วยกิตใน ช่วงการลงมือท�ำการวิจัยเท่ากับ 9 หน่วยกิต (หน่วยกิตทั้งหมด 12 หน่วยกิต แบ่งเป็น 2 เทอม โดยมีจ�ำนวนหน่วยกิต 3 และ 9 หน่วยกิต ตามล�ำดับ) ดังนั้น ในวิทยานิพนธ์ระดับปริญญาโทจึงควรมีเนื้องาน (หรือความยาก) เป็น ประมาณ 2-3 เท่าของการค้นคว้าอิสระ ขอย�้ำอีกครั้งว่าหลักเกณฑ์นี้ไม่ใช่หลัก เกณฑ์ตายตัว แต่เป็นเกณฑ์เบื้องต้นที่ผมใช้พิจารณาจากประสบการณ์การเป็น อาจารย์ที่ปรึกษาที่ผ่านมาเท่านั้น ส�ำหรับงานวิจัยประเภทอื่น ๆ ซึ่งไม่ใช่งานวิจัยตามข้อก�ำหนดของ หลักสูตรการศึกษา หลัก ๆ แล้วผู้อ่านควรค�ำนึงถึงความเหมาะสมกับระยะ เวลาและงบประมาณในการวิจัยซึ่งผู้อ่านมีอยู่ โดยปกติแล้วขอบเขตของงาน วิจัยย่อมแปรผันตรงกับระยะเวลาและงบประมาณนะครับ 5) ต้องมีความสามารถในการน�ำไปใช้ประโยชน์ได้ในกรณี อื่น ๆ (generalization) งานวิจัยที่ดีควรสามารถน�ำความรู้ที่ได้ไปประยุกต์ใช้ในโอกาสอื่น ๆ ได้ ดังนั้น ผู้วิจัยจึงควรมีการก�ำหนดขอบเขตของการศึกษาให้เหมาะสม หาก ก�ำหนดขอบเขตแคบเกินไปอาจจะท�ำให้เกิดค�ำถามว่าองค์ความรู้ที่ได้จะสามารถ น�ำไปใช้กับกรณีอื่น ๆ ได้จริงหรือไม่ เช่น เมื่อผมได้มีโอกาสเป็นกรรมการ สอบวิทยานิพนธ์ของงานวิจัยที่มีการระบุขอบเขตของงานวิจัย ตัวอย่างเช่น