SlideShare a Scribd company logo
บทที่ 5การปฏิสนธิและ
การเจริญเติบโตของสัตว์
รายวิชาชีววิทยา 4 (ว30244)
ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2558
• นายวิชัย ลิขิตพรรักษ์ตาแหน่งครู คศ.1 เอกวิชาชีววิทยา
ประวัติการศึกษา:
• พ.ศ. 2549 วิทยาศาสตรบัณฑิต (เกีรยตินิยมอันดับ2) สาขาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์
มหาวิทยาลัยมหิดล
• พ.ศ. 2551 ศึกษาศาสตรบัณฑิตสาขาวิชาศึกษาศาสตร์ เอกเทคโนโลยีและสื่อสารการศึกษา
มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช
• พ.ศ. 2552 ประกาศนียบัตรบัณฑิตวิชาชีพครูคณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต
• พ.ศ. 2555 สาธารณสุขศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาวิทยาศาสตร์สุขภาพ เอกสาธารณสุขศาสตร์
มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช
• พ.ศ. 2558 ศึกษาศาสตรมหาบัณฑิตสาขาวิชาการประเมินและการวิจัยทางการศึกษา
เอกวิจัยทางการศึกษาคณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคาแหง
ครูผู้สอน
The human life cycle
(1) ไข่ระยะ secondary oocyte ซึ่งพร้อมที่จะผสมพันธุ์หลุดออกจากรังไข่ (ovulation) เข้าไปอยูใน
ท่อนาไข่ (oviduct) การปฏิสนธิเกิดขึ้นภายในท่อนาไข่ได้เป็นไซโกต (zygote)
(2) cleavage เริ่มเกิดขึ้นขณะที่เอมบริโอเคลื่อนตัวมาสู่มดลูกสิ้นสุดจะได้กกลุ่มเซลล์ เรียกว่า morula
(3) ขณะที่มาถึงมดลูกเอมบริโอจะมีการเคลื่อนที่ของกลุ่มเซลล์แยกเป็น2 กลุ่ม ได้แก่
3.1 trophoblast เป็นกลุ่มเซลล์ที่เรียงตัวกันชั้นเดียวอยู่รอบนอกซึ่งต่อไปจะเจริญรวมกับเนื้อเยื่อของ
ผนังมดลูกกลายเป็นรก(placenta) 3.2 กลุ่มเซลล์ที่อยู่ภายใน เรียกว่า inner cell mass เป็นส่วนที่
จะเจริญต่อไปเป็นเอมบริโอ เรียกเอมบริโอระยะนี้ว่าblastocyst
(4) blastocyst จะฝังตัวในผนังมดลูก ซึ่งเอมบริโอเจริญมาได้ประมาณ 7 วันหลังการปฏิสนธิ
ชนิดไข่ของสัตว์สามารถจาแนกได้ดังนี้
1. จาแนกได้เป็น 4 ชนิด ตามการกระจายของไข่แดง
• 1.1 Isolecithal egg เป็นพวกที่มีไข่แดงน้อยและกระจายทั่วไปภายในเซลล์ ตัวอย่าง เช่น ไข่หอยเม่น ไข่
ปลาดาว และไข่สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม
• 1.2 Mesolecithal egg เป็นพวกที่มีไข่แดงปานกลางและไข่แดงมักจะอยู่หนาแน่นที่ขั้วใดขั้วหนึ่งของ เซลล์
ตัวอย่างเช่น ไข่กบ
• 1.3 Telolecithal egg เป็นพวกที่มีไข่แดงมากและไข่แดงอยู่หนาแน่น ตัวอย่างเช่น ไข่นก ไข่ไก่ไข่ปลา และไข่
ของสัตว์เลี้อยคลาน
• 1.4 Centrolecithal egg เป็นพวกที่มีไข่แดงอยู่ตรงกลาง ตัวอย่าง เช่น ไข่แมลง
2. ชนิดของไข่ จาแนกออกตามปริมาณมากน้อยของไข่แดงได้ดังนี้ คือ
• 2.1 Alecithal egg เป็นไข่ชนิดที่มีไข่แดงน้อยมากจนเกือบไม่มีเลย ขนาดของไข่จึงเล็กมาก ตัวอ่อนที่ เกิดจาก
ไข่ชนิดนี้ต้องอาศัยอาหารจากแม่ทางรก ได้แก่ ไข่ของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม
• 2.2 Microlecithal egg เป็นไข่ชนิดที่มีไข่แดงน้อย เช่น ไข่ของหอยเม่น ดาวทะเล เป็นต้น
• 2.3 Mesolecithal egg เป็นไข่ชนิดที่มีไข่แดงปานกลาง ไข่มีขนาดใหญ่ขึ้น เช่น ไข่ของสัตว์สะเทินน้าสะเทินบก
• 2.4 Polylecithal egg เป็นไข่ชนิดที่มีไข่แดงมาก จนทาให้ส่วนของนิวเคลียสและไซโทพลาสซึมถูกดันไปอยู่
ด้านบนของไข่ ได้แก่ ไข่ของสัตว์ปีก สัตว์เลื้อยคลาน รวมทั้งไข่แมลงด้วย
ชนิดไข่ของสัตว์สามารถจาแนกได้ดังนี้
• 3. แอนิมัลโพล (Animal pole) แบ่งออกเป็น 3 ชนิดคือ
• 3.1 ไข่ชนิดมอเดอเรทลี เทโลเลซิทัล (Moderately telolecithal egg) เป็นไข่ชนิดที่ไข่แดงกระจายอยู่ในไซ
โทพลาสซึม ไม่สม่าเสมอจะไปอยู่กันหนาแน่นที่ข้างใดข้างหนึ่งของเซลล์ ได้แก่ ไข่ของสัตว์ สะเทินน้าสะเทินบก
• 3.2 ไข่ชนิดเฮพวิลี เทโลเลซิทัล (Heavily telolecithal egg) เป็น ไข่ที่มีไข่แดงมารวมกันเป็นกลุ่มก้อน
ด้านล่างของไข่ ส่วนนิวเคลียสและไซโทพลาสซึมที่เหลือ จะรวมกันเป็นแผ่นเล็กๆ เรียกว่า บลาสโตดิสต์
(Blastodisc) ซึ่งจะถูกดันให้ไปอยู่ที่ ขอบเซลล์ ได้แก่ ไข่ของนก สัตว์เลื้อยคลาน และปลากระดูกแข็ง
• 3.3 ไข่ชนิดเซนโทรเลซิทัล (Centrolecithal egg) เป็นไข่ที่มีไข่แดงจับกลุ่มกันอยู่ตรงกลาง ที่มีไซโทพลาสซึม
ล้อมรอบ ได้แก่ ไข่ของพวกแมลง
การปฏิสนธิของคน(FertilizationinHuman)
• ในคนปกติไข่จะตกหลังจากมีประจาเดือนวันแรก14 วัน หรือ 2 สัปดาห์เมื่อมีการร่วมเพศฝ่ายชาย
จะหลั่งน้าอสุจิ ซึ่งประกอบด้วยอสุจิเป็นจานวนล้านๆ ตัวเข้าไปในช่องคลอดของฝ่ายหญิงอสุจิจะ
แหวกว่ายจากช่องคลอดเข้าไปยังมดลูก และปีกมดลูกด้วยความเร็ว 1.5 - 3 มิลลิเมตรต่อนาที ถ้า
ตรงกับช่วงไข่ตกพอดีไข่และอสุจิจะผสมกันที่บริเวณปีกมดลูกเกิดการปฎิสนธิขึ้น
• ในสัตว์บางชนิดเมื่ออสุจิเข้าไปถึงไข่พร้อมๆ กัน อสุจิทุกตัวจะพยายามเจาะไข่ การที่อสุจิเจาะไข่ได้
มากกว่า 1 ตัว เรียกลักษณะเช่นนี้ว่าPOLYSPERMAE เพราะฉะนั้น ไข่จะมีการป้องกันไม่ให้อสุจิ
เข้าไปในไข่มากกว่า 1 ตัวโดยการสร้างสารบางอย่างขึ้นมาล้อมรอบไข่หลังจากที่อสุจิตัวแรกเจาะ
เข้าไข่แล้ว ไข่จะมีการเปลี่ยนแปลงทางเคมีและจะไม่ยอมให้
• อสุจิตัวอื่นผ่านเข้าไปได้อีกในคนปฏิกิริยาเช่นนี้เรียกว่า ZONAREACTION
การปฏิสนธิของคน(Human fertilization)
การตั้งครรภ์ (Pregnancy)
• เมื่อเกิดการตกไข่และไข่รวมกับตัวอสุจิ ที่เรียกว่า การปฏิสนธิ ไข่ที่ถูกผสมแล้วจะเริ่มมี
การแบ่งตัวจนเป็นกลุ่มเซลล์ ที่เราเรียกว่า เอ็มบริโอ (Embryo) ขณะที่เซลล์เกิดการ
แบ่งเซลล์ ก็จะเคลื่อนที่ไปตามท่อนาไข่ และเคลื่อนที่ไปฝังตัวที่ผนังมดลูกชั้นในที่สร้าง
หนาขึ้นการเจริญเติบโตของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม ในระยะ CLEAVAGE นั้นคล้ายกับ
สัตว์อื่นๆ แต่ในระยะ Blastula ไข่ที่เป็น Isolecithal คือ พวกที่มีไข่แดงน้อย
และกระจายอยู่ทั่วไปภายในเซลล์จะมีช่องที่เรียกว่า Blastocyst cavity ส่วนกลุ่ม
เซลล์ที่เห็นเรียงตัวกันอยู่รอบนอก เรียกว่า Trophoblast และยังมีกลุ่มเซลล์อีกกลุ่ม
หนึ่งอยู่ทางด้านใน เรียกกลุ่มเซลล์นี้ว่า Inner cell mass จากนั้นเอ็มบริโอก็จะมี
การเปลี่ยนแปลงรูปร่างไปเรื่อยๆ จนอายุครบ 8สัปดาห์ (2เดือน) จึงมีอวัยวะครบ และมี
ลักษณะทุกอย่างเหมือนคน กระดูกอ่อนก็จะเปลี่ยนเป็นกระดูกแข็ง เรียกระยะที่มีอวัยวะ
ทุกอย่างครบ และมีลักษณะเหมือนคนทุกประการ เรียกว่า ฟี ตัส (Fetus) ต่อมาฟี ตัสก็
จะเจริญต่อไปในท้องแม่ อีกประมาณ 7เดือน จึงคลอดออกมาเป็น “ทารก”
การทดสอบการตั้งครรภ์นั้นมีอยู่ 2แบบคือ
การทดสอบตั้งครรภ์ด้วยปัสสาวะ
• ชุดทดสอบการตั้งครรภ์จะให้ผลแม่นยาที่สุดเมื่อทาการทดสอบหลังจากรอบเดือนขาดไปแล้วหนึ่ง
สัปดาห์ แม้ว่าชุดทดสอบการตั้งครรภ์ส่วนใหญ่จะได้รับการกล่าวอ้างว่า ให้ผลการทดสอบที่แม่นยาถึง
ร้อยละ 99 ก็ตาม ผลการทดสอบอาจมีความคลาดเคลื่อนได้ เพราะโอกาสที่ตัวอ่อนจะฝังตัวบนผนัง
มดลูกหลังจากประจาเดือนไม่มาวันแรกมีสูงถึงร้อยละ 10 ซึ่งในกรณีนี้ ระดับฮอร์โมน hCG อาจจะยัง
ไม่สูงพอที่จะวัดได้
• อย่างไรก็ตามผลการศึกษาชี้ให้เห็นว่าชุดทดสอบการตั้งครรภ์ส่วนใหญ่สามารถตรวจวัดระดับฮอร์โมน
hCG หลังจากประจาเดือนไม่มาเพียงวันเดียวได้ค่อนข้างแม่นยา อีกทั้งการทดสอบด้วยตัวอย่างน้า
ปัสสาวะแรกหลังจากตื่นนอนนั้นจะให้ค่าระดับฮอร์โมน hCG สูงที่สุด
การตรวจเลือด (beta hCG)
• หากไม่ต้องการรอนาน การทดสอบแบบนี้อาจเป็นทางเลือกที่เหมาะสมที่สุด เพราะสามารถทดสอบการ
ตั้งครรภ์ได้แม้ฮอร์โมน hCG มีระดับต่า โดยอาศัยการนับระยะของการตกไข่ การทดสอบเลือดนี้
สามารถทดสอบได้ตั้งแต่ช่วงวันที่ 6-8 หลังจากไข่ตก ขณะที่การทดสอบปัสสาวะนั้น ปกติจะทาการ
ทดสอบหลังจากไข่ตกแล้วประมาณ 14-21 วัน
ภาพแสดงการพัฒนาตัวอ่อนหลังการปฏิสนธิ
Embryonic development
เป็นการศึกษาช่วงระยะการเจริญของเอมบริโอ ซึ่งจะเริ่มต้นหลังจากไข่เกิดการ
ปฏิสนธิแล้ว เอมบริโอระยะแรกคือไซโกต ระยะเอมบริโอจะสิ้นสุดเมื่อเกิดอวัยวะต่างๆครบ
ในสัตว์ชนิดต่างๆจะมีช่วงเวลาของการเกิดเอมบริโอแตกต่างกัน เช่นในคน
ประมาณ 8-10 สัปดาห์ ไก่ประมาณ 4 วัน และกบประมาณ 2 วัน เป็นต้น
จากไซโกตซึ่งเป็นเซลล์เดี่ยวไปสู่สภาพที่ซับซ้อนขึ้น โดยเกิดขึ้นเป็นลาดับขั้นตอน
ต่างๆดังนี้
1. Cleavage
2. Blastula
3. Gastrulation
4. Organogenesis
1.Cleavage
2. Blastula
3. Gastrulation
4. Organogenesis
1
2
3 4
Embryonic development : Cleavage
เป็นกระบวนการที่ไซโกตมีการแบ่งเซลล์แบบ mitotic division อย่างรวดเร็วทาให้
ได้เอมบริโอที่มีหลายเซลล์
Zygote ประกอบด้วย 2 ส่วน ได้แก่
1. vegetal pole
2. animal pole
•ไข่กบ 2 ส่วนนี้มีสีแตกต่างกัน
•cytoplasm ของไข่กบจัดเรียงตัวใหม่ขณะ
เกิด fertilization ทาให้เกิดบริเวณสีเทา ที่
เรียกว่า gray crescent ซึ่งเกิดบริเวณตรง
กลางของไข่ด้านตรงข้ามกับที่ sperm เจาะ
เข้าไป
•Cleavage ที่ animal pole เกิดขึ้นเร็วกว่าที่
vegetal pole
•ผลของ cleavage ได้เอมบริโอมีลักษณะ
เป็นก้อนกลมตัน เรียกว่า morula
•ต่อมาเกิดช่องว่างที่มีของเหลวบรรจุอยู่
(blastocoel) ภายใน morula เรียกเอมบริโอ
ระยะนี้ว่า blastula (blastulation)
คลีเวจของเอมบริโอสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้า
คลีเวจของเอมบริโอสัตว์ปีกและสัตว์เลื้อยคลาน
สาหรับไข่พวกนกและสัตว์เลื้อยคลานเป็นไข่ที่มีไข่แดงมาก คลีเวจเป็นแบบ
meroblastic คือเซลล์ไม่แบ่งตัวตลอดไข่ แนวการแบ่งจะเกิดเฉพาะบริเวณด้านบนของ
ไข่ซึ่งมีไซโตพลาสซึมและนิวเคลียสอยู่เท่านั้น คือบริเวณ germinal disc
Embryonic development : blastulation
เป็นขั้นการเจริญของตัวอ่อนสัตว์ที่มีต่อจากระยะคลีเวจ โดยเซลล์บลาสโตเมียร์ จะมาจัดเรียงตัวใหม่
อย่างเป็นระเบียบเป็นชั้นเดียวอยู่ที่ผิว ทาให้มีลักษณะคล้ายลูกบอลที่มีโพรงอยู่ข้างใน เรียกว่า บลาสโท
ซีล (Blastocoel) ตัวอ่อนในระยะนี้เรียกว่า บลาสทูลา (Blastula) และชั้นของเซลล์ เรียกว่า บลาสโท
เดิร์ม (Blastoderm)
Blastula ของเอมบริโอ สัตว์ปีกและสัตว์เลื้อยคลาน
ลักษณะของ blastula เห็นเป็ นแผ่นเรียกว่า
bastodisc ซึ่งจะเรียงตัวแยกเป็ น 2 ชั้น ชั้นนอกเรียก
epiblast และชั้นในเรียก hypoblast ช่องว่างตรงกลางเรียก
blastocoel (blasstulation)
Embryonicdevelopment: Gastrulation
Gastrulationเป็นกระบวนการเกิดเนื้อเยื่อ 3ชั้น เรียก embryonicgerm layers
1.ectoderm เนื้อชั้นนอกของgastrula
2.mesoderm เนื้อชั้นกลาง
3.Endoderm เนื้อชั้นในซึ่งเป็นท่อยาว
ระยะเอมบริโอนี้เรียกว่า Gastrula
ระยะนี้เกิด cell motility / changes in cell shape/ changes in cellularadhesion
กลุ่มเซลล์ทางด้านบนมีการแบ่งตัว
อย่างรวดเร็ว และเคลื่อนที่แผ่ลงคลุม
เซลล์ทางด้านล่าง พร้อมกันนั้นตรง
บริเวณที่จะเกิดเกิดเป็น blastoporeจะ
มีการบุ๋มตัวของกลุ่มเซลล์เหล่านี้ กลุ่ม
เซลล์ที่เคลื่อนที่จะลงมาจากด้านบน
และม้วนตัวผ่านตรง blastoporeเข้าสู่
ภายใน ทาให้ได้เป็นเอมบริโอที่มีเนื้อ 3
ชั้น ช่องว่างภายในที่เกิดขึ้นใหม่คือ
archenteron
Gastrulation ของกบ
Gastrulation ของไก่
ระยะ gastrulationกลุ่มเซลล์ epiblast ด้านขวาและซ้ายจะเคลื่อนที่เข้าสู่แนวกลางเรียกว่า primitive
streak และกลุ่มเซลล์จะม้วนตัวเข้าไปข้างใน โดยกลุ่มเซลล์ทางด้านหน้าสุดของ primitivestreak ที่
เรียกว่า Hensen’s nodeม้วนตัวเข้าไปก่อนเกิดเป็นแท่ง notochordบางกลุ่มเจริญเป็นชั้น mesoderm บาง
กลุ่มเคลื่อนที่ลงไปด้านล่างเกิดเป็น endoderm และกลุ่มเซลล์ที่อยู่ด้านนอกเกิดเป็น ectoderm
Embryonicdevelopment: Organogenesis
การเกิดอวัยวะต่างๆ จากเนื้อเยื่อ 3 ชั้น
•neutral tube และ notochord เป็นอวัยวะแรกที่เกิดขึ้นในกบ และ สัตว์พวก chordate อื่นๆ
•dorsal mesoderm เหนือ archenteron รวมกันเกิดเป็น notochord
•ectoderm เหนือ notochord หนาตัวขึ้นเกิดเป็น neutral plate แล้วบุ๋มลงไปเป็น neutral tube ซึ่ง
ต่อไปจะเจริญเป็น brain, spinal cord
•อวัยวะอื่นๆ เกิดขึ้นตามมา
Ectoderm ระบบสปกคลุมร่างกาย (หนังกาพร้า, ผม,เล็บ). ระบบประสาท (สมอง, ไขสันหลัง, เรติ
นา,pituitarygland), สารเคลือบฟัน (enamel),adrenalmedulla, เลนส์ตา
Mesoderm ระบบหมุนเวียนและน้าเหลือง,ระบบขับถ่าย, ระบบสืบพันธุ์, adrenalcortex,กล้ามเนื้อ
และกระดูก, notochord,หนังแท้, เนื้อฟัน,เนื้อเยื่อเกี่ยวพัน
Endoderm Parathyroidgland,thyroid gland,ต่อมทอนซิล, ต่อมไทมัส, ตับ, ตับอ่อน, ทางเดิน
อาหาร, ทางเดินอากาศ, กระเพาะปัสสาวะ
Organogenesis
เมื่อกระบวนการ gastrulationเสร็จสิ้นลง เอมบริโอเข้าสู่ขั้นที่เตรียมพร้อมที่จะเติบโตอย่าง
อิสระ เนื้อเยื่อต่างๆจะเรียงตัวตามตาแหน่งที่จะปรากฏในขั้นเต็มวัย จับกลุ่มกันขึ้นเป็นเนื้อเยื่อและ
อวัยวะตามตาแหน่งที่เฉพาะเจาะจง และเริ่มอย่างมีอิสระแต่มีการประสานงานกัน มีการจับกลุ่มกัน
ของเซลล์ขึ้นเป็นรูปร่าง
Originofananimal’sbodyparts
Cell differentiation
ในระยะเอมบริโอของสัตว์มีกระดูกสันหลัง มี pharyngeal pouches และ gill clefts
การเจริญของ extraembryonicmembranesของไก่ ประกอบด้วย 4ชั้น ได้แก่
Yolk sacมีลักษณะเป็นถุงหุ้มไข่แดง มีเซลล์ย่อยสลายไข่แดง และเยื่อหุ้มเจริญเป็นเส้นเลือด
ทาหน้าที่ลาเลียงอาหาร ด้านข้างแผ่เข้าไปคลุมเอมบริโอและในที่สุดเชื่อมติดกัน ทาให้เกิดเยื่ออีก 2 ชั้น
ได้แก่ amnionและ chorion เกิดเป็นช่องว่างหุ้มเอมบริโอไว้ เพื่อป้องกันอันตราย amnionเป็นถุงหุ้ม
เอมบริโอภายในมีน้าคร่า (amnioticfluid)โดยมี chorionหุ้มอยู่อีกชั้นหนึ่ง นอกจากนี้มีถุงยื่นออกมา
จากส่วนทางเดินอาหาร ทาหน้าที่กาจัดของเสีย เรียกว่าallantoisซึ่งจะแผ่ไปถึงและดันให้ chorion ติด
กับเยื่อชั้นในของเปลือกไข่ (vitellinemembrane) allantoisและ chorion รวมกันเจริญเป็นอวัยวะช่วย
ในการหายใจ โดยมีเส้นเลือดที่เจริญมาจาก allantoisทาหน้าที่ลาเลียงออกซิเจน
(1)หลังจากcleavage ได้ blastocyst ซึ่งประกอบด้วย
trophoblast และinner cellmass มีช่องblastocoel
(2)blastocyst เป็นระยะที่จะฝังตัวเข้าไปในมดลูก และ
gastrulationจะเกิดขึ้นทันทีtrophoblastเป็นกลุ่มเซลล์ที่
เรียงอยู่ด้านนอกซึ่งจะเจริญรวมกับผนังมดลูกกลุ่มเซลล์
inner cell mass แยกตัวเป็น epiblast ซึ่งจะเจริญเป็นเนื้อ3
ชั้นและ hypoblast ซึ่งจะแผ่ตัวเป็นเยื่อชั้นในเป็นyolksac
(3)ระยะนี้trophoblast เริ่มเจริญร่วมกับผนังมดลูกเป็น
chorion ส่วน epiblastเจริญเป็น amnion ภายในมี
ของเหลวเรียกว่าน้าคร่า(amniotic fluid)บางส่วนของ
epiblast แยกเป็น mesodermal cell เจริญรวมกับchorion
เป็นรก(placenta)
(4)กลุ่มเซลล์ epiblast มีการม้วนตัวเข้าสู่แนวกลางตัวเกิด
primitive streakและมีการม้วนตัวเข้าไปข้างในเกิดเป็น
เนื้อ 3 ชั้น อยู่ภายใน extraembryonic membranes
การเจริญของเอมบริโอของคนและextraembryonic membranes
การเจริญหลังระยะเอมบริโอ
•ในสัตว์บางชนิดเมื่อเอมบริโอเจริญมากขึ้นจนครบกาหนดแล้ว จะเจริญเป็นตัวเต็มวัยเลย
•สัตว์บางชนิดจะผ่านระยะที่เรียกว่า larvaซึ่งเริ่มตั้งแต่เอมบริโอฝักเป็นตัวจะกระทั่งมีการ
เปลี่ยนแปลง metamorphosisเกิดขึ้นเช่นลูกอ๊อดของกบ แล้วจึงเจริญเป็นตัวเต็มวัย
•สาหรับในคน การเจริญระยะหลังเอมบริโอส่วนใหญ่เป็นการเติบโตที่มีการเพิ่มขนาด ปริมาตร
น้าหนักอัตราการเติบโตของส่วนต่างๆของร่างกายจะไม่เท่ากัน
Becareful
This opposite
the normal
circulation
Human fetal development
การเจริญเติบโตของสิ่งมีชีวิต
1.ความหมายของการเติบโต (growth) ของสิ่งมีชีวิต
1.1 สิ่งมีชีวิตเซลล์เดียว การเจริญเติบโตของสิ่งมีชีวิตเซลล์เดียว เช่น โพรโทซัว แบตทีเรียและสิ่งมีชีวิต
อื่น ๆ พบว่าการเติบโตประกอบด้วย
1.การสร้างไซโทพลาซึม
2.การขยายขนาดของเซลล์
การเติบโต = การสร้างไซโทพลาซึม + การขยายขนาดของเซลล์
1.2สิ่งมีชีวิตหลายเซลล์ การเติบโตของสิ่งมีชีวิตหลายเซลล์ เช่นพืช สัตว์ สาหร่าย เห็ดรา ทั่ว ๆ ไป
พบว่าการเติบโตประกอบด้วย
1.การแบ่งเซลล์ เพื่อเพิ่มจานวนเซลล์โดยมีการแบ่งแบบไมโทซิส
2.การสร้างไซโทพลาซึม ทาให้เซลล์เพิ่มมวลมากขึ้น
3.การขยายขนาดของเซลล์ เพื่อทาให้เซลล์เพิ่มปริมาตรมากขึ้น
การเติบโตของสิ่งมีชีวิต = การเพิ่มปริมาณโพรโทพลาซึม + การขยายขนาดของเซลล์ + การเพิ่มจานวน
เซลล์
การวัดอัตราการเจริญเติบโตของสิ่งมีชีวิต
1.การนับจานวนเซลล์ที่เพิ่มขึ้นวิธีนี้กระทาได้ยาก ไม่สะดวก
2.การวัดความสูง เป็นเพียงการคาดคะเนการเติบโต เพราะความสูงอาจไม่เพิ่มในอัตราส่วนเดียวกันกับ
มวลโดยเฉพาะพืชที่เจริญกันอย่างหนาแน่นมาก ๆ
3.การวัดมวลทั้งหมดของสิ่งมีชีวิต นิยมใช้มากที่สุด แต่ไม่ใช่เกณฑ์ที่ดีที่สุดเพราะน้าหนักที่เพิ่มขึ้นอาจ
เนื่องมาจากปริมาตรของของเหลวที่เพิ่มขึ้นในร่างกาย
4.การวัดน้าหนักแห้งหรือน้าหนักคงที่เป็นเกณฑ์วัดการเติบโตดีที่สุด เพราะน้าหนักแห้งเป็นน้าหนักของ
มวลอินทรีย์ที่เกิดจากการเติบโตที่แม้จริงเพราะน้าหนักแห้งมาจากการสร้างไซโทพลาซึมของเซลล์
กราฟแสดงการเติบโตของสิ่งมีชีวิต
กราฟแสดงการเติบโตของสิ่งมีชีวิต มี3 ลักษณะ คือ
1.กราฟรูปตัวเอส (s – shaped curve) พบในสัตว์ทั่ว ๆ ไป ยกเว้นอาร์โทรพอดและพบในพืช
ล้มลุก โดยการแบ่งการเติบโตเป็น 3 ระยะ คือ
1.ระยะ Iมีอัตราการเติบโตต่า
2.ระยะ IIมีอัตราการเติบโตสูงสุด
3.ระยะ III มีอัตราการเติบโตต่าสุด
2.กราฟรูปตัวเอสต่อเนื่อง พบในไม้ยืนต้นที่มีเนื้อไม้ ซึ่งมีการเจริญเติบโตในแต่ละฤดูกาลไม่
เท่ากัน โดยในฤดูน้ามากจะมีอัตราการเติบโตสูง ส่วนฤดูแล้งจะมีอัตราการเติบโตต่า
3.กราฟรูปขั้นบันได พบในอาร์โทรพอดทุกชนิด ซึ่งมีการลอกคราบเพื่อการเติบโต
2.การเจริญเติบโตของสิ่งมีชีวิต (Development)
การเจริญของสิ่งมีชีวิต เป็นกระบวนการที่ร่างกายของสิ่งมีชีวิตเปลี่ยนแปลงไปโดยเพิ่มจานวนเซลล์ เพิ่ม
ขนาดของเซลล์หรือเปลี่ยนแปลงสภาพของเซลล์อย่างใดอย่างหนึ่งหรือหลายอย่างพร้อม ๆ กัน ทาให้เกิด
เนื้อเยื่อและอวัยวะต่างๆ
s – shapedcurve
กราฟรูปตัวเอสต่อเนื่องกราฟรูปขั้นบันได
สรุป: กระบวนการเจริญเติบโตของเอ็มบริโอของสัตว์
• ไข่เมื่อได้รับการผสมแล้วจะกลายเป็นไซโกต (Zygote) แล้วมีการแบ่งนิวเคลียสแบบไมโทซีส ไซโกตจะ
มีการเปลี่ยนแปลง ต่อเนื่องกัน 4 ระยะ คือ
• 1.CLEAVAGE เริ่มจากไซโกตแบ่งตัวจาก 1  2  4  8 ... จนกระทั้งเซลล์มาเกาะกันเป็นก้อน
กลมๆ เรียกก้อนกลมๆนี้ว่า โมรูลา (MORULA) มีลักษณะคล้ายลูกน้อยหน่า
• 2.BLASTULAเป็นตัวอ่อนในระยะที่มีการเคลื่อนที่ของเซลล์เพื่อให้ได้ช่องว่างในตัวอ่อนเรียกช่องว่าง
นี้ว่า BLASTOCOELและเรียกเซลล์ที่ล้อมช่องว่างว่า BLASTODERM
สรุป: กระบวนการเจริญเติบโตของเอ็มบริโอของสัตว์
• 3 GASTRULA เป็นตัวอ่อนที่ต่อจากระยะ BLASTULA คือเซลล์แบ่งตัวแล้วเคลื่อนที่
เข้าข้างในเห็นตัวอ่อนเป็นรูปถ้วยซึ่งดูคล้ายมีผนัง 2ชั้น คือ ชั้นนอกและชั้นในและ
ในตอนนี้จะเห็นมีช่องว่าง 2 ช่อง คือ BLASTOCOEL และ ARCHENTERON ซึ่งช่อง
ARCHENTERON ต่อไปจะเจริญไปเป็นทางเดินอาหาร ต่อมาจะเกิดเนื้อเยื่อแทรก
ระหว่างเนื้อเยื่อชั้นนอกและเนื้อเยื่อชั้นในเนื้อเยื่อที่เกิดขึ้นใหม่นี้คือเนื้อเยื่อชั้นกลางใน
ตอนท้ายระยะ GASTRULA จะมการสร้าง ระบบประสาทขึ้น
• 4 DIFFERENTIATION คือขบวนการที่เนื้อเยื่อ 3ชั้น คือ ชนนอก (ectoderm) ชั้นกลาง
(mesoderm) ชนใน (endoderm) เปลี่ยนแปลงไปเป็นโครงสร้างต่างๆของร่างกาย คือ
DIFFERENTIATION
• Ectoderm (เนื้อเยื่อชั้นนอก) เปลี่ยนแปลงไปเป็น
• ผิวหนังขนเขา เล็บ เกล็ด กีบเท้าสัตว์
• ระบบประสาท (สมอง,ไขสันหลัง)
• ต่อมใต้สมองส่วนหน้า และส่วนกลาง
• สารเคลือบฟัน ต่อมน้าลาย
• ต่อมหมวกไตชั้นใน ต่อมใต้สมองส่วนท้าย
• Mesoderm (เนื้อเยื่อชั้นกลาง) เปลี่ยนแปลงไปเป็น
• ระบบโครงกระดูก ระบบกล้ามเนื้อ
• ระบบหมุนเวียนโลหิต(หัวใจ เส้นเลือด เลือด ม้าม)
• ระบบขับถ่าย (ไต) - ระบบสืบพันธุ์ (อัณฑะ รังไข่)
DIFFERENTIATION
• Endoderm (เนื้อเยื่อชั้นใน)เปลี่ยนแปลงไปเป็น
• ระบบทางเดินอาหาร (หลอดอาหาร,กระเพาะอาหาร , ลาไส้ , ตับ , ตับอ่อน)
• ระบบหายใจ (หลอดลม , ปอด) - ต่อมทอนซิล หูส่วนกลาง ต่อมไทรอยด์
• ต่อมพาราไทรอยด์ อัลแลนตอยด์ ถุงไข่แดง
• กระเพาะปัสสาวะ ท่อปัสสาวะ
• เซลล์ที่จะเจริญเป็นเซลล์สืบพันธุ์ (primordial germ cell)
• การคลอด (Parturition) การตั้งครรภ์ในคน กินเวลาประมาณ 270วัน นับตั้งแต่การ
ผสมของไข่ หรือ284วัน นับตั้งแต่วันแรกของประจาเดือนครั้งสุดท้าย ในระยะสุดท้าย
ของการตั้งครรภ์ มดลูกจะบีบตัวเป็นครั้งคราว และการบีบตัวนี้จะเกิดบ่อยขึ้น ในระยะนี้
กล้ามเนื้อมดลูกจะมีความไวในการตอบสนองต่อ ออกซิโทซิน (oxcytocin) มากขึ้น
เมื่อเริ่มเจ็บท้อง ศีรษะของเด็กที่ดันขยายส่วนล่างของมดลูก จะมีผลกระตุ้นให้มีการขับออก
ซิโทซินออกมามากขึ้น มีผลทาให้มดลูกบีบตัวแรงขึ้น ทาให้เกิดการคลอดได้
พัฒนาการ-ของทารกในครรภ์ช่วง9เดือนภายในครรภ์มารดา
• พัฒนาการทารกในครรภ์ นั้นเริ่มนับตั้งแต่วันแรกของการมีประจาเดือนครั้งสุดท้าย แม้
คุณหมอจะบอกคุณว่าตั้งครรภ์ได้ 1 เดือน แต่ความเป็นจริงคือ 2 สัปดาห์หลังจากการ
ปฏิสนธิ การตั้งครรภ์โดยปกตินั้นมีระยะเวลาเฉลี่ยคือ 40 สัปดาห์
• 1 เดือนแรก (3 สัปดาห์นับจากวันแรกของประจาเดือนครั้งสุดท้าย) เป็นช่วงเวลาที่ไข่ได้
ผสมกับอสุจิกลายเป็นตัวอ่อน โดยไข่ที่ได้รับการผสมแล้วจะเคลื่อนตัวช้าๆ ผ่านท่อนาไข่
มายังโพรงมดลูก ขณะเคลื่อนตัวก็จะมีการแบ่งเซลล์เพิ่มจานวนมากขึ้นเรื่อยๆ จะกระทั่ง
ถึงโพรงมดลูกไข่จะมีลักษณะเป็นลูกกลม ประกอบไปด้วยเซลล์ราว 100 เซลล์ และยังคง
เจริญเติบโตต่อไป ไข่ที่ผ่านการผสมแล้วจะฝังตัวลงในเยื่อบุโพรงมดลูกซึ่งมีลักษณะนุ่ม
และหนา จนเมื่อยึดเกาะติดมั่นคงดีแล้วจึงถือได้ว่าการปฏิสนธิเป็นไปอย่างสมบูรณ์
• ช่วงเดือนที่ 2 (เริ่มสังเกตเห็นทารกชัดเจน) เมื่อไข่ที่ผสมแล้วยึดเกาะติดฝังตัวลงในเยื่อบุ
โพรงมดลูกเรียบร้อยดีแล้ว ช่วงเดือนที่ 2 ของพัฒนาการทารกในครรภ์นี้ทารกเริ่ม
มองเห็นเป็นตัวแล้ว การพัฒนาการของทารกในครรภ์สังเกตได้อย่างชัดเจนจากหัวของ
ทารกที่จะโตกว่าส่วนอื่น รูปหน้า มือและเท้า ปรากฎให้เห็น ช่วงปลายเดือนถ้าอัลตรา
ซาวด์จะเห็นการเคลื่อนไหวและจับการเต้นหัวใจได้ ทั้งมองเห็นสายรกโดยรกนี้ทาหน้าที่
เสมือนเป็นปอดแลกเปลี่ยนคาร์บอนไดออกไซด์กับออกซิเจนจากคุณแม่ และยังเป็น
เสมือนสายใยที่คอยลาเลียงอาหารจากคุณแม่สู่ทารกในครรภ์อีกด้วย
พัฒนาการ-ของทารกในครรภ์ช่วง9เดือนภายในครรภ์มารดา
• ช่วงเดือนที่ 3 (หัวใจจะเป็นรูปเป็นร่างเต็มที่ ) ในเดือนที่ 3 โครงสร้างใบหน้าของทารก
เริ่มสมบูรณ์ แต่เปลือกตายังปิดอยู่ การทางานของระบบสมอง และกล้ามเนื้อเริ่มมี
ความสัมพันธ์กัน กล้ามเนื้อต่างๆ มีการเจริญเติบโต แขนขาเริ่มยืดออก และเคลื่อนไหว
ได้ ข้อต่างๆ เริ่มเชื่อมต่อกัน นิ้วมือนิ้วเท้าสมบูรณ์ และเริ่มงอได้ ปลายนิ้วมีเล็บ ทารกจะ
หัดดูดนิ้ว และเริ่มกลืนน้าคร่าได้ โดยตัวทารกนั้นจะลอยอยู่ในน้าคร่าภายมดลูก ซึ่ง
น้าคร่านี้เองทาหน้าที่ปกป้องและห่อหุ้มทารกไม่ให้ได้รับความกระทบกระเทือน
• คุณแม่พึงระมัดระวังคือ ช่วงมีครรภ์ 3 เดือนแรกนี้ มีอัตราเสี่ยงในการแท้งค่อนข้างสูง
ต้องดูแลตัวเองอย่างมาก และระมัดระวังเรื่องยาที่รับประทาน ถ้ามีความจาเป็นต้องใช้ยา
ควรปรึกษาแพทย์ก่อน
• ช่วงเดือนที่ 4 (การเติบโตของทารกที่ใกล้จะสมบูรณ์) เดือนที่ 4 ของการพัฒนาทารกใน
ครรภ์ แขนและข้อต่อต่างๆ พัฒนาอย่างสมบูรณ์ กล้ามเนื้อมีความแข็งแรงขึ้น ทารก
สามารถเคลื่อนไหวได้อย่างกระฉับกระเฉง แต่คุณแม่อาจจะยังไม่รู้สึกว่าลูกเคลื่อนไหว
เริ่มมีขนอ่อนปกคลุมตามส่วนต่างๆ ของร่างกายทารก สามารถได้ยินเสียงหัวใจเต้น เริ่ม
มีไตที่ทางานได้เหมือนผู้ใหญ่ นอกจากนี้ทารกยังมีจานวนเส้นประสาทและกล้ามเนื้อ
มากกว่าเดือนที่แล้วถึง 3 เท่า สามารถเตะ งอนิ้วมือนิ้วเท้า กลอกตาได้อวัยวะเพศพัฒนา
มากขึ้นจนสามารถบอกได้ว่าเป็นเพศใด
Sex organformationinFetus
พัฒนาการ-ของทารกในครรภ์ช่วง9เดือนภายในครรภ์มารดา
• ช่วงเดือนที่5 ของพัฒนาการทารกในครรภ์?(ทารกเริ่มรู้สึกกับสิ่งแวดล้อมภายนอกได้)
เดือนที่5 พัฒนาการของทารกในครรภ์จะมีการเจริญเติบโตอย่างรวดเร็วระยะนี้คุณแม่จะ
เริ่มรู้สึกแล้วว่าทารกดิ้นหรือมีการเคลื่อนไหวเป็นระยะๆโดยฟันจะถูกสร้างขึ้นมาแต่จะอยู่
ใต้ขากรรไกรเริ่มมีผมบนศีรษะกล้ามเนื้อต่างๆมีความแข็งแรงมากขึ้น ทารกเคลื่อนไหว
มากขึ้นลาตัวทารกช่วงนี้ยาวประมาณ9 นิ้วและร่างกายจะผลิตสารสีขาวข้นที่เรียกว่าเวอร์
นิกซ์ ขึ้นมาเคลือบเพื่อปกป้องผิวเส้นผมคิ้วและขนตาเริ่มงอกเริ่มพัฒนาประสาทสัมผัสคือ
รับรู้รส ได้กลิ่นและได้ยินตายังปิดอยู่แต่รับรู้แสงสว่างจ้าได้ดังนั้นเวลาคุณพูดแกจะได้ยิน
หรือเวลาที่คุณลูบท้องแกก็จะรู้สึกเช่นกันช่วงปลายเดือนนั้นทารกยังเริ่มถ่ายปัสสาวะลงสู่
น้าคร่าได้อีกด้วย
• ช่วงเดือนที่6 ของพัฒนาการทารกในครรภ์?(การตอบสนองของทารกชัดเจน)
ร่างกายของทารกเริ่มเติบโตช้ากว่าเดิมเพื่อให้อวัยวะภายในเช่นปอด ระบบย่อยอาหาร
และระบบภูมิคุ้มกันได้พัฒนาอย่างเต็มที่ที่น่าอัศจรรย์คือทารกสามารถควบคุมการ
เคลื่อนไหวทาให้คุณแม่รู้สึกได้โดยเฉพาะตอนนอนพักทารกสามารถได้ยินเสียงหัวใจเต้น
เสียงพูดเสียงดนตรีและสามารถตอบสนองการกระตุ้นของแม่ทารกในช่วงนี้อาจจะดูผอม
บาง เนื่องจากมีไขมันสะสมอยู่ใต้ผิวหนังน้อย
พัฒนาการ-ของทารกในครรภ์ช่วง9เดือนภายในครรภ์มารดา
• ช่วงเดือนที่7 ของพัฒนาการทารกในครรภ์?(พัฒนาการพร้อมออกสู่โลกกว้าง)
ทารกในครรภ์เดือนที่7 มีการสร้างไขมาปกคลุมผิวหนังลาตัวเพื่อความอบอุ่น
และป้องกันผิวหนังจากน้าปอดของทารกพัฒนาอย่างสมบูรณ์เปลือกตาเริ่ม
เปิด และนัยน์ตาพัฒนาไปมากจนมองเห็นแสงที่ผ่านมาทางหน้าทองแม่ได้
เสียงดังๆทาให้ทารกเคลื่อนไหวและการเต้นของหัวใจเปลี่ยนไปตามเสียงและ
แสงไฟต่อมรับรสของทารกพัฒนาไปมากถ้าทารกเกิดคลอดออกมาช่วงเวลานี้
จะมีโอกาศรอดค่อนข้างสูงเพราะอวัยวะสาคัญทั้งหลาย
• ช่วงเดือนที่8 ของพัฒนาการทารกในครรภ์?(ทารกกลับตัวพร้อมออกมาลืมตา
ดูโลก)
เดือนที่8 แห่งพัฒนาการของทารกทารกจะมีขนาดและสัดส่วนใกล้เคียงกับ
เด็กแรกเกิดมีความแข็งแรงมากขึ้นในช่วงนี้ทารกจะเริ่มกลับหัวเข้าสู่อุ้งเชิง
กรานการดิ้นของทารกจะสามารถสังเกตเห็นได้จากหน้าทองของแม่ช่วงนี้
ก่อนคลอดหนึ่งเดือนคุณแม่อาจมีอาการมดลูกบีบรัดตัวซึ่งเป้นอาการที่เรียกว่า
เจ็บท้องหลอกการหดตัวรัดตัวนี้ก็เพื่อดันตัวทารกมาประชิดปากมดลุกเพื่อ
เตรียมพร้อมที่จะคลอด
พัฒนาการ-ของทารกในครรภ์ช่วง9เดือนภายในครรภ์มารดา
• ช่วงเดือนที่ 9 ของพัฒนาการทารกในครรภ์?(เตรียมตัวเป็นแม่คน)
ในเดือนนี้ทารกจะอยู่ในท่าที่พร้อมจะคลอด เล็บมีการเจริญเติบโต และยาวครอบคลุมปลายนิ้ว ผมบน
ศีรษะมีความยาวประมาณ 1-2 นิ้ว ถ้าเป็นครรภ์แรกศีรษะของทารกจะเคลื่อนเข้าไปอยู่ในอุ้งเชิงกราน
ดังนั้นคุณแม่อาจคลอดตอนไหนก็ได้ในช่วงนี้ ทารกส่วนใหญ่จะคลอดตามกาหนดหรือช้าไป 2 สัปดาห์
หลังกาหนด
ภาพแสดงการตั้งครรภ์และการคลอด
ภาพแสดงการตั้งครรภ์และการคลอด
ภาพแสดงการตั้งครรภ์และการคลอด
ความผิดปกติของการตั้งครรภ์
• 1.ครรภ์เป็นพิษ หรือที่เรียกว่า Toxemia of Pregnancy มักมีอาการเมื่อตั้งครรภ์ได้ 5-6 เดือน ขึ้นไป
จนกระทั่งหลังคลอดหนึ่งสัปดาห์ สาเหตุยังไม่ทราบแน่ชัด มักพบในครรภ์แรก ครรภ์แฝด ครรภ์ไข่ปลาอุก และ
ในผู้หญิงที่เคยเป็นเบาหวาน หรือโรคความดันโลหิตสูง หรือโรคไตอยู่ก่อน ภาวะครรภ์เป็นพิษแบ่งเป็นสองชนิด
ชนิดแรกผู้ป่ วยมีอาการบวม ความดันโลหิตสูง และตรวจพบโปรตีนหรือไข่ขาวในปัสสาวะ อีกชนิดเป็นแบบ
ร้ายแรง โดยจะมีอาการชักหรือหมดสติร่วมด้วย ซึ่งเป็นอันตรายถึงกับเสียชีวิตได้
• 2. ฝาแฝด ตามปกติร่างกายของคนเรามีการตั้งครรภ์และคลอดทารกคราวละ 1 คน แต่บางกรณีร่างกายของ
คนเราอาจมีโอกาสตั้งครรภ์และคลอดทารกครั้งละมากกว่า 1 คน เรียกว่า “ ฝาแฝด ” ซึ่งถือเป็นความผิดปกติ
ของการตั้งครรภ์แบบหนึ่ง ฝาแฝดมี 2 ประเภท คือแฝดร่วมไข่ และ แฝดต่างไข่
• 3. การท้องนอกมดลูก มีบางครั้งที่เหตุการณ์ของการตั้งครรภ์ไม่ได้เป็นตามปกติ กล่าวคือ ภายหลังการผสม ไข่
ที่ถูกผสมไม่ อย่างไรก็ตาม การตั้งครรภ์นอกมดลูกที่พบบ่อยที่สุดคือ การตั้งครรภ์ที่ท่อนาไข่ สาหรับการ
ตั้งครรภ์ที่รังไข่หรือช่องท้องพบได้น้อยมาก ได้เดินกลับมาฝังที่มดลูก บางรายฝังที่ท่อนาไข่เลย เรียกว่า การ
ตั้งครรภ์ที่ท่อนาไข่ บางรายไข่ที่ผสมแล้วกลับเดินทางต่อไปฝังตัวที่รังไข่ เรียกว่า การตั้งครรภ์ที่รังไข่ หรือบาง
รายไข่ที่ผสมแล้วหลุดจากท่อนาไข่แล้วไปฝังอยู่ในช่องท้องเรียกว่า การตั้งครรภ์ในช่องท้อง การตั้งครรภ์ต่างๆ
เหล่านี้ คือการตั้งครรภ์นอกมดลูกหรือท้องนอกมดลูกทั้งสิ้น
สาวมาด เมกะแดนซ์ ครรภ์เป็นพิษ หามส่งไอซียู การท้องนอกมดลูก
ความผิดปกติของการตั้งครรภ์
• 4.รกเกาะต่า ภาวะตกเลือดในสตรี ในช่วงท้าย ๆของการตั้งครรภ์ หรือการคลอด ส่วนใหญ่จะมาจากสาเหตุของ
รกเกาะต่า ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องระวังและอาจเกิดได้ประมาณ 1ใน 200 การตั้งครรภ์ ภาวะรกเกาะต่า หรือ
placenta previa (placenta=รก) หมายถึงภาวะ ที่การเกาะของรก เกาะต่าลงจากปกติที่อยู่สูงขึ้นไป
ในมดลูก บางครั้ง เกาะต่าลงมาถึงปากช่องคลอด และทาให้เกิดปัญหา คือเลือดออกในช่วงที่ปากช่องคลอด
ขยายตัว คือช่วงครึ่งหลัง (3-8 เดือน)ของการตั้งครรภ์ และถ้าเป็นมาก อาจทาให้ตกเลือด เด็กไม่สามารถคลอด
ตามปกติ ต้องผ่า เพราะมีรกขวางอยู่
การมีลูกแฝด(Twins)
• เกิดจากการแบ่งเซลล์ ของไข่ที่ได้รับการผสมแล้วผิดปกติ หรือเกิดจากการสุกของไข่
ผิดปกติ ฝาแฝดแบ่งออกเป็น 2 ลักษณะ คือ
1. ฝาแฝดแท้ (Identical Twins) เกิดจากไข่ใบเดียวผสมกับอสุจิตัวเดียว แต่เมื่อมี
การแบ่งเซลล์แล้ว เกิดแยก ออกเป็น 2กลุ่ม ฝังตัวอยู่ในผนังมดลูกที่เดียวกัน ยีนเหมือนกัน
เด็กเพศเดียวกันหน้าเหมือนกัน
2. ฝาแฝดเทียม(Fraternal Twins) เกิดจากไข่ 2ใบและอสุจิ 2ตัวผสมกัน ฝังตัว
ในผนังมดลูกคนละฝั่งกัน รก และถุงหุ้มตัวอ่อนแยกจากกัน แต่ละส่วนจะแบ่งเซลล์ด้วย
ตัวเองยีนต่างกัน เด็กจะไม่ติดกัน อาจเป็นเพศเดียวกันหรือ ต่างเพศ กันก็ได้
สรุป : การเกิดฝาแฝด (Twin formation)
มี 2 ประเภท คือ ฝาแฝดร่วมไข่ และฝาแฝดต่างไข่
1. แฝดร่วมไข่ เป็นฝาแฝดที่เกิดจากการรวมตัวกันของเซลล์ไข่ 1 ใบ และอสุจิ 1 ตัว ขณะที่กาลังเจริญเติบโต
เอ็มบริโอมีการแบ่งเซลล์เช่น จาก 1 เป็น 2 และแยกขาดออกจากัน แต่ละส่วนจะเจริญเติบโตเป็นทารกที่มี
อวัยวะครบสมบูรณ์จนกระทั่งคลอด แฝดประเภทนี้จะเป็นเพศเดียวกันเสมอมีรูปร่างลักษณะเหมือนกัน และถ้า
ได้รับการเลี้ยงดูในสภาพแวดล้อเดียวกันจะมีอุปนิสัยและความสามารถที่คล้ายกันมาก ในกรณีที่เอ็มบริโอแบ่งตัว
ออกเป็น 2 แต่ไม่แยกออกจากกัน เมื่อทารก เจริญเติบโตจะได้ทารกตัวติดกัน
2. แฝดต่างไข่ เป็นแฝดที่เกิดจากมีไข่สุกมากกว่า 1 ใบ ไข่แต่ละใบจะมีโอกาสเข้าผสมกับตัวอสุจิแต่ละตัวและ
เกิดการปฏิสนธิในเวลาใกล้เคียงกัน จะได้เอ็มบริโอ เจริญเติบโตอยู่ภายในมดลูกเดียวกัน แต่แยกรกกันและทารก
จะคลอดออกมาในเวลาใกล้เคียงกัน ฝาแฝดชนิดนี้อาจเป็นเพศเดียวกันหรือต่างเพศกันก็ได้ ส่วนหน้าตาและ
ลักษณะทางพันธุกรรมจะมีลักษณะคล้ายกัน
Identical Twins
What is this twin type ?
การคุมกาเนิด(contraception)
• การคุมกาเนิดเป็นวิธีป้องกันการตั้งครรภ์สาหรับหญิงที่ไม่พร้อมจะมีบุตร การคุมกาเนิดมีหลายวิธีให้
เลือกใช้ตามความเหมาะสม แบ่งออกเป็น 3 วิธีใหญ่ๆ คือการป้องกันการเกิดปฏิสนธิ (prevent
sperm and egg from meeting) การป้องกันการฝังตัวของตัวอ่อน (pervent
implantation) และการยับยั้งการตกไข่และสเปิร์ม (prevent release of gamete)
1. การป้องกันการปฏิสนธิ (prevent sperm and egg from meeting)
• 1.1การคุมกาเนิดแบบนับวัน (rhythm method) เป็นวิธีการหลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์
ในช่วงไข่ตก จากการศึกษาพบว่าไข่ที่ตกออกมาสามารถมีชีวิตอยู่ในท่อนาไข่ได้นาน 24 ถึง 48
ชั่วโมง ส่วนสเปิร์มอยู่ในท่อนาไข่ได้นานถึง 72 ชั่วโมง ดังนั้น การคุมกาเนิดโดยวิธีนี้จึงควรหลีกเลี่ยง
การมีเพศสัมพันธ์ในช่วง 7วันก่อนและหลังไข่ตก ประสิทธิภาพของการคุมกาเนิดด้วยวิธีการนี้ต้องใช้
ควบคู่ไปกับความรู้เรื่องการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิในร่างกาย การเปลี่ยนแปลง ของเมือกในช่อง
คลอด เป็นต้น อัตราการตั้งครรภ์จากการคุมกาเนิดแบบนับวัน คือ10 ถึง 20เปอร์เซ็นต์
• 1.2การใช้ถุงยางอนามัย (condoms method) เป็นกลไกคุมกาเนิดที่ใช้กับฝ่ ายชายเป็นวิธี
ป้องกันสเปิร์ม เข้าไปในระยะสืบพันธุ์ของเพศหญิงขอดีของวิธีการใช้ถุงยางอนามัยนอกจากใช้
คุมกาเนิดแล้วและวิธีนี้ยังสามารถป้องกันโรคเอดส์และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้
การคุมกาเนิด(contraception)
• 1.3การใช้ไดอะแฟรม (diaphragm) เป็นวิธีการคุมกาเนิดโดยใช้ฝาครอบปากมดลูก เพื่อป้องกันการเข้า
ไปปฏิสนธิของสเปิร์ม การคุมกาเนิดโดยวิธีนี้ก่อนใช้มักจะทาครีมลงบนไดอะแฟรมเพื่อฆ่าสเปิ ร์ม อัตราการ
ตั้งครรภ์โดย วิธีการใช้ถุงยางอนามัยและการใช้ไดอะแฟรม น้อยกว่า 10เปอร์เซ็นต์
• 1.4การหลั่งภายนอก (withdrawal method) วิธีคุมกาเนิดโดยฝ่ ายชายจะหลั่งซีเมนภายนอกระบบ
สืบพันธุ์เพศหญิง การคุมกาเนิดด้วยวิธีนี้พบว่าโอกาสในการตั้งครรภ์มีสูงถึง 22 เปอร์เซ็นต์
• 1.5การทาหมันถาวร (sterilization) การคมกาเนิดแบบถาวร เป็นวิธีการคุมกาเนิดที่นิยมอย่าง
แพร่หลายใน สตรีที่มีอายุเกิน 30ปี อัตราการตั้งครรภ์ 0.15 เปอร์เซ็นต์ การคุมกาเนิดแบบถาวรมี 2 ประเภท
• 1) การทาหมันหญิง (tubal ligation) โดยการตัดท่อนาไข่แล้วผูกปลายแต่ละส่วนที่ตัดออก วิธีนี้เพศ
หญิง 1ใน 4เลือกใช้
• 2) การทาหมันชาย (vasectomy) โดยการตัดท่อนาสเปิร์มหรือวาสดิเฟรนส์ (vas deference)
แล้วผูกปลายแต่ละส่วนที่ถูกตัดออกเพื่อยับยั้งการเคลื่อนที่ของสเปิร์มออกนอกร่างกาย ไม่มีผลข้างเคียง
เกิดขึ้น การผลิตสเปิร์มปกติแต่อาจช้าลงและถูกเซลล์เม็ดเลือดขาวจับกิน ส่วนของปริมาณซีเมนต์ผลิตได้ใน
ปริมาณปกติ การผ่าตัดกลับคืนสู่สภาพเดิมพบว่า ประสบความสาเร็จ 70 เปอร์เซ็นต์ แต่ในการทาหมันเกิน
10 ปีขึ้นไป โอกาสจะกลายเป็นหมันสูงถึง 70 เปอร์เซ็นต์ ทั้งนี้ เพราะการพัฒนาแอนติบอดีในร่างกายที่เข้า
ทาลายสเปิร์มของตนเอง
ตารางแสดงความแตกต่างการทาหมันชายและการทาหมันหญิง
ความแตกต่าง ชาย (Vassectomy) หญิง (Tubal Ligation)
จุดมุ่งหมาย ไม่ให้อสุจิผ่านท่ออสุจิออกมา ไม่ให้ไข่ผ่านท่อนาไข่มาผสมกับ
อสุจิ
วิธีการ ตัดท่อ Vas Deferens ออก
ส่วนหนึ่ง
ตัดท่อนาไข่ออกส่วนหนึ่งและผูก
ปลายไว้
ผล อสุจิถูกดูดซึมกลับเข้าไปใน
อัณฑะน้าอสุจิจะไมมีอสุจิอยู่
ไข่ยังคงมีการเจริญแต่ผ่านออกไป
ผสมไม่ได้
การแก้หมัน การเชื่อมต่อท่อ Vas
Deferens
การเชื่อมต่อท่อนาไข่
การคุมกาเนิด(contraception)
• 2. การป้องกันการฝังตัวของตัวอ่อน(pervent implantation)เป็นวิธีการคุมกาเนิดโดยวิธีการใส่ห่วง
(intrauterine device หรือIUD) ซึ่งเป็นพลาสติกรูปกลมหรอโค้งขนาดเล็กสอดเข้าไปในมดลูกโดย
แพทย์ผู้ชานาญการใส่ครั้งหนึ่งอาจทิ้งไว้ได้นานถึง10ปี หรือจนต้องการมีบุตรวิธีการคุมกาเนิดแบบนี้มี
ประสิทธิภาพถึง90เปอร์เซ็นต์กลไกการทางานของวิธีการนี้ยังไม่สามารถระบุได้ชัดแต่พบว่าร่างกายผลิตเม็ดเลือด
ขาวออกมาต่อต้านสิ่งแปลกปลอมข้อเสียของการคุมกาเนิดแบบใส่ห่วงคือ เลือดไหลกระปิดกระปอยและเป็นลิ่ม
เสี่ยงต่อการอักเสบของมดลูกปัจจุบันไม่เป็นที่นิยมใช้
• 3. การยับยั้งการตกไข่และสเปิร์ม(prevent release of gamete)เป็นการคุมกาเนิดโดยการใช้ฮอร์โมน
เป็นการป้องกันการตกไข่มีหลายประเภทให้เลือกใช้เช่นรับประทานยาคุมกาเนิด (oral pill) การฉีดยาคุมกาเนิด
(DMPA หรือDepo-Provera) การฝังแคปซูลใต้ผิวหนัง(Norplant)
• 3.1 รับประทานยาเม็ดคุมกาเนิดเป็นการป้องกันการตกไข่จากการสารวจพบว่า80เปอร์เซ็นต์ที่สตรีทั่วโลก
นิยมใช้ ยาเม็ดคุมกาเนิดเป็นยาที่ประกอบด้วยฮอร์โมน2ชนิด คือ ฮอร์โมนโพรเจสติน (โพรเจสเทอโรน
สังเคราะห์)และ เอสโทรเจน(เอสโทรเจนสังเคราะห์)ซึ่งมีผลไปยับยั้งการหลั่งLH และFSH วิธีการใช้ คือ
รับประทานครั้งละ1 เม็ดเป็นเวลา3 สัปดาห์แล้วหยุดสัปดาห์ต่อไปจะเว้นการรับประทานแต่บางบริษัทจะให้
รับประทานน้าตาลหรือวิตามินอัดเม็ดโดยไม่มีการเว้นหลังจากนั้นเมื่อขาดฮอร์โมนประจาเดือนจะไหลพบว่า
เมื่อใช้อย่างถูกวิธีการคุมกาเนิดด้วยวิธีนี้จะมีประสิทธิภาพสูงถึง99.7เปอร์เซ็นต์จากการศึกษาพบว่าการใช้ยา
คุมกาเนิดที่ใช้โดสต่างๆพบว่าเป็นผลดีต่อสตรีที่ไม่สูบบุหรี่จนเข้าสู่วัยทองแต่สตรีที่มีอายุเลย35ปีขึ้นไปที่มี
พฤติกรรมในการสูบบุหรี่หรือมีความดันโลหิตสูงการใช้ยาคุมกาเนิดจะเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจ
การคุมกาเนิด(contraception)
• 3.2การคุมกาเนิดแบบฉุกเฉิน (emergency contraception) ยาเม็ดคุมกาเนิดแบบ
ฉุกเฉินนี้ เป็นยาที่ใช้หลังการมีเพศสัมพันธ์ ภายใน 72 ชั่วโมง แพทย์ให้ใช้สาหรับสตรีที่ถูก
ข่มขืนและกรณีอื่นๆ ที่ไม่สามารถป้องกันได้ในขณะมี เพศสัมพันธ์ได้ ยาที่ใช้ต้องมีความเข้มข้น
(dose)ที่สูงมากและไปมีผลทาให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในผนังมดลูกชั้นเอนโดมีเทรียม มี
ประสิทธิภาพในการป้องกันการตั้งครรภ์ได้ 75 เปอร์เซ็นต์ และพบว่าถ้าใส่ห่วงเข้าไปเสริมทัน
ในสัปดาห์แรก มีประสิทธิภาพถึง 95เปอร์เซ็นต์ การคุมกาเนิดด้วยวิธีการนี้ไม่จัดเป็นการทา
แท้ง เพราะถ้าการคุมกาเนิดไม่ได้ผลและเกิดการตั้งครรภ์ขึ้นทารกจะไม่ได้รับอันตรายแต่อย่างใด
• 3.3การฉีดยาคุมกาเนิด เป็นการป้องกันการตกไข่ได้อีกวิธีหนึ่ง เป็นการฉีดฮอร์โมนโพรเจสติน
ซึ่งจะออกฤทธิ์ โดยกดการทางานของต่อมใต้สมองส่วนหน้า วิธีใช้คือ ฉีดเขากล้ามเนื้อของสตรีที่
ต้องการคุมกาเนิดทุก ๆ3 เดือน
• 3.4การฝังแคปซูลเข้าใต้ผิวหนัง เป็นการฝังฮอร์โมนโพรเจสตินที่เป็นแคปซูลบริเวณใต้
ท้องแขนฮอร์โมนนี้จะถูกปล่อยออกจากแคปซูลแต่น้อย ๆอย่างต่อเนื่องในกระแสเลือด ไปมีผล
ยับยั้งการตกไข่และกระตุ้นการหลั่งเมือกเหนียวในช่องคลอด การฝังแคปซูลนี้จะอยู่ได้ 5 ปีแต่มี
ผลข้างเคียงสาหรับผู้ใช้ คือการมีประจาเดือนกระปิดกระปอยอาจนานถึง 1ปี
การเจริญเติบโตหลังระยะเอ็มบริโอของสัตว์อื่นๆ(Metamorphosis)
1. Ametamorphosis การเจริญเติบโตที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลงรูปร่างลักษณะเป็ นขั้นๆ ในระหว่าง
เจริญเติบโตตัวอ่อนจะมีลักษณะรูปร่างเหมือนตัวเต็มวัยทุกประการเพียงแต่มีขนาดเล็กกว่าสัตว์มีกระดูกสันหลัง
(ยกเว้น สัตว์ครึ่งบกครึ่งน้า) ดาวทะเล ไส้เดือนดิน หนอนตัวแบน ฯลฯ
2. Metamorphosis การเจริญเติบโตที่มีการเปลี่ยนแปลงรูปร่างลักษณะเป็ นขั้น ๆ ในระหว่างเจริญเติบโตตัว
อ่อนจะมีลักษณะรูปร่างแตกต่างจากตัวเต็มวัย สัตว์ครึ่งบกครึ่งน้า แมลง
• การเจริญเติบโตของแมลง จะแบ่งได้ 4 ลักษณะ คือ
• 1) Ametamorphosis การเจริญเติบโตที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลงรูปร่างลักษณะเป็ นขั้น ๆ ในระหว่าง
เจริญเติบโต ตัวอ่อนจะมีลักษณะรูปร่างเหมือนตัวเต็มวัยทุกประการเพียงแต่มีขนาดเล็กกว่า ได้แก่ แมลงสอง
ง่าม แมลงหางดีด
• 2) Gradual Metamorphosis เมตามอร์โฟซีสแบบค่อยเป็นค่อยไป คือแมลงที่มีการเปลี่ยนแปลง
รูปร่างทีละน้อย มีการเปลี่ยนแปลงรูปร่างเพียง 3 ขั้น ได้แก่ ตั๊กแตน จิ้งหรีด ปลวก แมลงสาบ
• 3) Incomplete Metamorphosis เมตามอร์โฟซีสแบบไม่สมบูรณ์ คือแมลงที่มีการ
เปลี่ยนแปลงรูปร่าง ไม่ครบขั้น มีการเปลี่ยนแปลงรูปร่างเพียง 3 ขั้น ได้แก่ แมลงปอ ชีปะขาว
• 4) Complete Metamorphosis เมตามอร์โฟซีสแบบสมบูรณ์ คือ แมลงที่มีการเปลี่ยนแปลง
รูปร่างครบ 4 ขั้น ได้แก่ ยุง ผีเสื้อ มด ต่อ ผึ้ง เต่าทอง ฯลฯ
Gradual Metamorphosis
Incomplete Metamorphosis
Ametamorphosis
complete Metamorphosis
การผสมเทียมartificialinsemination
• 1. กิฟท์ (GIFT, Gamete intrafallopian transfer) คือวิธีการที่ใส่เชื้ออสุจิ (ที่เตรียม
แล้ว) และไข่ (sperm and egg) เข้าไปในท่อนาไข่ของฝ่ ายหญิง 1 หรือ 2 ข้าง ทั่วๆ ไปจะใส่ไข่ 2
ฟองร่วมกับตัวเชื้ออสุจิ 5 หมื่นถึง 1แสนตัวต่อท่อ 1 ข้างการฉีดเชื้อ ผสมเทียมในโพรงมดลูก (IUI)
คือ การฉีดเชื้ออสุจิเข้าไปในโพรงมดลูกโดยตรง โดยใช้ท่อพลาสติกเล็กๆ สอดผ่านปากมดลูกแล้วฉีดเชื้อ
อสุจิเข้าไปในช่วงที่มีหรือใกล้กับเวลาที่มีไข่ตก วิธีนี้นิยมในกรณีที่ฝ่ ายชายมีเชื้ออสุจิผิดปกติ คือ จานวน
น้อยเกินไปหรือเชื้ออสุจิแข็งแรงน้อยเกินไป หรือมีปัญหามีปฏิกิริยากับปากมดลูกได้ง่าย เข้าไปในโพรง
มดลูก ไม่ได้นอกจากนี้ยังทาในกรณีที่ฝ่ ายชายไม่สามารถปล่อยน้าอสุจิในชองคลอดได้เอง
• 2. ซิฟท์ (ZIFT, Zygote intrafollopian transfer) เป็นวิธีการเก็บเซลล์สืบพันธุ์ทั้งไข่
และอสุจิมาผสมกันให้เกิดการปฏิสนธินอกร่างกายก่อน แล้วจึงนาตัวอ่อนในระยะ Zygote ใส่กลับเข้า
ไปในท่อนาไข่ ความสาเร็จในการตั้งครรภ แต่ละครั้งประมาณ ร้อยละ20-30 ใช้วิธีการคล้ายกับ GIFT
แต่รอจนกระทั่งไข่ และ sperm ผสมกันและปฏิสนธิเกิดขึ้น ภายนอกร่างกายเสียก่อน จนเจริญเป็นตัว
อ่อนระยะ 1 เซลล์ ที่เราเรียกว่า Zygote แล้วจึงทาการผ่าตัดทางหน้าท้อง เช่นเดียวกับวิธีการ Gift
เพื่อใส่ตัวอ่อนที่เป็น Zygote เข้าไปในท่อนาไข่
การผสมเทียมartificialinsemination
• 3. อิกซี่ (ICSI , IntraCytoplasmic Sperm Injection) เป็นวิธีการคัดเชื้ออสุจิที่
แข็งแรงสมบูรณ์เพียงตัวเดียว เพื่อฉีดเข้าไปในไข่โดยตรง ซึ่งช่วยให้ตัวอสุจิและไข่เกิดการปฏิสนธิ ใน
รายที่ฝ่ ายชายมีจานวนตัวอสุจิน้อยมาก หรือ เคลื่อนไหวช้า จะใช้ในกรณที่เด็กหลอดแก้วธรรมดาไม่
ประสบความสาเร็จ วิธีการนี้จะมความสาเร็จในการตั้งครรภ์แต่ละ ครั้งประมาณร้อยละ 25-30 ใน
รายที่ฝุายชายไม่มีตัวอสุจ ซึ่งเดิมถือว่าเป็นหมันไม่มทางรักษานั้น ในปัจจุบันแพทย์สามารถช่วยคู่
สมรสเหล่านี้ ได้ โดยการดูดตัวอสุจออกมาจากบริเวณถุงพักน้าเชื้อ หรือที่เรียกว่า PESA
(Percutaneous Epididymal Sperm Aspiration) ซึ่งหากได้ตัวอสุจเพียงเล็กน้อย
ก็เพียงพอที่จะนาไปฉีดเข้าไปในไข่ การใช้เข็มดูดนี้ เหมาะกับรายที่ท่อนา น้าเชอตันแต่กาเนิด หรือ
ภายหลังผ่าตัดทาหมันชาย สาหรับในกรณีทการดูดจากถุงพกน้าเชื้อไม่ได้ตัวอสุจ ก็อาจลองดูด จาก
ลูกอณฑะโดยตรง หรือที่เรียกว่า TESA (Testicular Sperm Extraction)
สรุปเน้นความสาคัญ:
- การผสมเทียมในหลอดแก้วแล้วถ่ายฝากตัวอ่อน(In Vitro Fertilization Embryo Transfer
หรือ IVF& ET )
- การทาอิ๊กซี่ ( Intra Cytoplasmic Sperm Injection หรือ ICSI) คัดเชื้ออสุจิที่สมบูรณ์เพียงตัวเดียว
ฉีดเข้าไปในไข่โดยตรง ใช้ในกรณีที่เด็กหลอดแก้วธรรมดาไม่ประสบความสาเร็จ
- การทากิฟท์ ( Gamete IntraFollopain Transfer หรือ GIFT) นาเซลล์สืบพันธุ์ไข่และอสุจิมาผสม
กัน แล้วใส่กลับเข้าสู่ท่อนาไข่ทันทีอาศัยให้อสุจิและไข่ปฏิสนธิกันเองตามธรรมชาติ
- การทาซิฟท์ ( Zygote IntraFollopain Transfer หรือ ZIFT) เซลล์สืบพันธุ์ไข่และอสุจิมาปฏิสนธิ
นอกร่างกายก่อน แล้วจึงนาตัวอ่อนในระยะ Zygote ใส่กลับเข้าไปในท่อนาไข่
การแท้ง (Abortion)
การแท้งบุตรหมายถึงการตั้งครรภ์ไม่สามารถดาเนินต่อ ทาให้เด็กออกมาก่อนกาหนด
ภายใน 20 สัปดาห์ของการการตั้งครรภ์ จากการศึกษาพบว่าร้อยละ 10-25ของการตั้งครรภ์มีการแท้ง
โดยที่ไม่รู้ตัว
การแท้งส่วนใหญ่จะเกิดในช่วง 13สัปดาห์ของการตั้งครรภ์ ดังนั้นช่วงนี้เป็นช่วงที่คุณแม่
ต้องดูแลตัวเอง โดยการลดความเสี่ยงของการแท้ง
ภาวะสิ้นสุดการตั้งครรภ์ก่อนถึงกาหนดคลอดตามปกติ เนื่องจากการตายของตัวอ่อนหรือ
ทารก แบ่งออกเป็น 3 ประเภท คือ
1. การแท้เอง (Spontaneous Abortion) เกิดจากความผิดปกติของตัวอ่อนเอง พบ
ประมาณ 1 ใน 3 ของหญิงตั้งครรภ์
2. การทาแท้งเพื่อการรักษา (Therapeutic Abortion) เป็นวิธีการทาเพื่อรักษาชีวิตของ
แม่ที่มีปัญหาด้านสุขภาพทางกายหรือจิตใจ หรือเมื่อพพบความผิดปกติของตัวอ่อน
3. การทาแท้งเพื่อการคุมกาเนิด ซึ่งเป็นการทาแท้งที่ใช้วิธีแตกต่างกันตามอายุทารก เช่นช่วง3
เดือนแรกใช้วิธีการดูดออก หลังจาก 3 เดือนขึ้นไปใช้วิธีการถ่างขยายปากมดลูกและดูดออก
เป็นต้น
สาเหตุของการแท้ง
สาเหตุของการแท้งมีได้หลายสาเหตุ แต่สาเหตุที่พบบ่อยที่สุดคือเกิดความผิดปกติของโครโมโซม
ซึ่งอาจจะเกิดความผิดปกติที่ไข่ หรือตัวเชื้ออสุจิ หรือช่วงที่ตัวอ่อนแบ่งตัว สาเหตุอื่นๆได้แก่
• ปัญหาเกี่ยวกับฮอร์โมน พบว่ามารดาที่มีระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนและโปรเจสเตอโรนต่า ซึ่งมีผลต่อเยื่อบุโพรง
มดลูกซึ่งเป็นที่อยู่ของตัวอ่อน และเป็นแหล่งอาหารสาหรับ การเจริญเติบโต หากฮอร์โมนน้อยเยื่อบุโพรงมดลูกก็มี
สภาพไม่เหมาะสมต่อการเจริญเติบโต ตัวอ่อนก็เจริญต่อไม่ได้จะทาให้เกิดการแท้งขึ้น
• ปัญหาเกี่ยวกับการติดเชื้อโรคของคุณแม่
•ปัญหาเกี่ยวกับสุขภาพของคุณแม่ความผิดปกติของทารก ทารกที่แท้งในช่วงไตรมาสแรกมักมีสาเหตุมาจากความ
ผิดปกติของ โครโมโซมของทารก สาเหตุของการแท้งส่วนใหญ่เกิดจากความผิดปกติของโครโมโซมของ ทารก
และการตั้งครรภ์ไข่ฝ่ อ (Blighted ovum) คือ การท้องที่มีการฝังตัวของรกแต่ไม่เกิดตัวเด็ก ซึ่งเชื่อว่า
เป็นการสุ่มเลือกของธรรมชาติ สิ่งมีชีวิตที่มีความผิดปกติหรืออ่อนแอก็จะตายไป
• เกี่ยวกับวิถีการดาเนินชีวิตของคุณแม่ เช่น การสูบบุหรี่ การดื่มสุรา การดื่มกาแฟปริมาณมาก การขาดสารอาหาร
การสัมผัสรังสีหรือสารเคมี เป็นต้น
• มีความผิดปกติมดลูกและ ปากมดลูกของมารดาที่ทาให้มีปัญหาการเติบโตของทารก เช่นโพรงมดลูกมีผนังกั้นตรง
กลาง มีมดลูกสองอัน ปากมดลูกสองอัน ช่องคลอดสองอัน หรือมีเนื้องอกของมดลูก
• อายุคุณแม่
• การได้รับอุบัติเหตุ ความเครียด นอนพักผ่อนไม่เพียงพอ การทางานหนัก ยกของหนัก และการกระทบกระเทือน
“THE END”
THANK YOU FOR YOUR ATTENTION !

More Related Content

What's hot

แบบทดสอบวิวัฒน
แบบทดสอบวิวัฒนแบบทดสอบวิวัฒน
แบบทดสอบวิวัฒน
Wichai Likitponrak
 
Astronomy 03
Astronomy 03Astronomy 03
Astronomy 03
Chay Kung
 
ใบความรู้เรื่องเซลล์ของสิ่งมีชีวิต1
ใบความรู้เรื่องเซลล์ของสิ่งมีชีวิต1ใบความรู้เรื่องเซลล์ของสิ่งมีชีวิต1
ใบความรู้เรื่องเซลล์ของสิ่งมีชีวิต1Sumarin Sanguanwong
 
ระบบขับถ่าย
ระบบขับถ่ายระบบขับถ่าย
ระบบขับถ่ายWan Ngamwongwan
 
รวมเล่มโครงการสอน
รวมเล่มโครงการสอนรวมเล่มโครงการสอน
รวมเล่มโครงการสอนWichai Likitponrak
 
กล้องจุลทรรศน์ (Microscope)
กล้องจุลทรรศน์ (Microscope)กล้องจุลทรรศน์ (Microscope)
กล้องจุลทรรศน์ (Microscope)
ครูเสกสรรค์ สุวรรณสุข
 
สอบกลางภาคชีวะ51 2m-5
สอบกลางภาคชีวะ51 2m-5สอบกลางภาคชีวะ51 2m-5
สอบกลางภาคชีวะ51 2m-5Wichai Likitponrak
 
แบบทดสอบ บทที่ 6 การถ่ายทอดลักษณะทางพันธูกรรม
แบบทดสอบ บทที่  6  การถ่ายทอดลักษณะทางพันธูกรรมแบบทดสอบ บทที่  6  การถ่ายทอดลักษณะทางพันธูกรรม
แบบทดสอบ บทที่ 6 การถ่ายทอดลักษณะทางพันธูกรรม
dnavaroj
 
ความหลากหลายของสิ่งมีชีวิต02
ความหลากหลายของสิ่งมีชีวิต02ความหลากหลายของสิ่งมีชีวิต02
ความหลากหลายของสิ่งมีชีวิต02
oranuch_u
 
การสังเคราะห์ด้วยแสงของพืช
การสังเคราะห์ด้วยแสงของพืชการสังเคราะห์ด้วยแสงของพืช
การสังเคราะห์ด้วยแสงของพืช
sukanya petin
 
ข้อสอบปลายภาค ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2555 ชั้น ม.6
ข้อสอบปลายภาค ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2555 ชั้น ม.6ข้อสอบปลายภาค ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2555 ชั้น ม.6
ข้อสอบปลายภาค ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2555 ชั้น ม.6Nattapong Boonpong
 
Lesson4 animalrepro2561
Lesson4 animalrepro2561Lesson4 animalrepro2561
Lesson4 animalrepro2561
Wichai Likitponrak
 
การรักษาดุลยภาพของสิ่งมีชีวิต
การรักษาดุลยภาพของสิ่งมีชีวิตการรักษาดุลยภาพของสิ่งมีชีวิต
การรักษาดุลยภาพของสิ่งมีชีวิตIssara Mo
 
เล่มที่ 3 การเคลื่อนที่ของสัตว์มีกระดูกสันหลัง
เล่มที่  3 การเคลื่อนที่ของสัตว์มีกระดูกสันหลังเล่มที่  3 การเคลื่อนที่ของสัตว์มีกระดูกสันหลัง
เล่มที่ 3 การเคลื่อนที่ของสัตว์มีกระดูกสันหลัง
กมลรัตน์ ฉิมพาลี
 
ข้อสอบวิชาชีววิทยา+เฉลย By: Meriya Lertsirikarn
ข้อสอบวิชาชีววิทยา+เฉลย By: Meriya Lertsirikarnข้อสอบวิชาชีววิทยา+เฉลย By: Meriya Lertsirikarn
ข้อสอบวิชาชีววิทยา+เฉลย By: Meriya Lertsirikarnflimgold
 
เล่มที่ 2 โครงสร้างของราก
เล่มที่ 2 โครงสร้างของรากเล่มที่ 2 โครงสร้างของราก
เล่มที่ 2 โครงสร้างของราก
kanyamadcharoen
 
บทที่ 6 โมเมนตัมและการชน
บทที่ 6 โมเมนตัมและการชนบทที่ 6 โมเมนตัมและการชน
บทที่ 6 โมเมนตัมและการชน
Thepsatri Rajabhat University
 
ข้อสอบวิทยาศาสตร์ O net (โลก ดาราศาสตร์ และอวกาศ)
ข้อสอบวิทยาศาสตร์ O net (โลก ดาราศาสตร์ และอวกาศ)ข้อสอบวิทยาศาสตร์ O net (โลก ดาราศาสตร์ และอวกาศ)
ข้อสอบวิทยาศาสตร์ O net (โลก ดาราศาสตร์ และอวกาศ)สำเร็จ นางสีคุณ
 

What's hot (20)

แบบทดสอบวิวัฒน
แบบทดสอบวิวัฒนแบบทดสอบวิวัฒน
แบบทดสอบวิวัฒน
 
Astronomy 03
Astronomy 03Astronomy 03
Astronomy 03
 
ใบความรู้เรื่องเซลล์ของสิ่งมีชีวิต1
ใบความรู้เรื่องเซลล์ของสิ่งมีชีวิต1ใบความรู้เรื่องเซลล์ของสิ่งมีชีวิต1
ใบความรู้เรื่องเซลล์ของสิ่งมีชีวิต1
 
ระบบขับถ่าย
ระบบขับถ่ายระบบขับถ่าย
ระบบขับถ่าย
 
รวมเล่มโครงการสอน
รวมเล่มโครงการสอนรวมเล่มโครงการสอน
รวมเล่มโครงการสอน
 
ย่อยอาหาร
ย่อยอาหารย่อยอาหาร
ย่อยอาหาร
 
กล้องจุลทรรศน์ (Microscope)
กล้องจุลทรรศน์ (Microscope)กล้องจุลทรรศน์ (Microscope)
กล้องจุลทรรศน์ (Microscope)
 
สอบกลางภาคชีวะ51 2m-5
สอบกลางภาคชีวะ51 2m-5สอบกลางภาคชีวะ51 2m-5
สอบกลางภาคชีวะ51 2m-5
 
แบบทดสอบ บทที่ 6 การถ่ายทอดลักษณะทางพันธูกรรม
แบบทดสอบ บทที่  6  การถ่ายทอดลักษณะทางพันธูกรรมแบบทดสอบ บทที่  6  การถ่ายทอดลักษณะทางพันธูกรรม
แบบทดสอบ บทที่ 6 การถ่ายทอดลักษณะทางพันธูกรรม
 
ความหลากหลายของสิ่งมีชีวิต02
ความหลากหลายของสิ่งมีชีวิต02ความหลากหลายของสิ่งมีชีวิต02
ความหลากหลายของสิ่งมีชีวิต02
 
การสังเคราะห์ด้วยแสงของพืช
การสังเคราะห์ด้วยแสงของพืชการสังเคราะห์ด้วยแสงของพืช
การสังเคราะห์ด้วยแสงของพืช
 
ข้อสอบปลายภาค ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2555 ชั้น ม.6
ข้อสอบปลายภาค ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2555 ชั้น ม.6ข้อสอบปลายภาค ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2555 ชั้น ม.6
ข้อสอบปลายภาค ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2555 ชั้น ม.6
 
Lesson4 animalrepro2561
Lesson4 animalrepro2561Lesson4 animalrepro2561
Lesson4 animalrepro2561
 
การรักษาดุลยภาพของสิ่งมีชีวิต
การรักษาดุลยภาพของสิ่งมีชีวิตการรักษาดุลยภาพของสิ่งมีชีวิต
การรักษาดุลยภาพของสิ่งมีชีวิต
 
แผนBioม.4 1
แผนBioม.4 1แผนBioม.4 1
แผนBioม.4 1
 
เล่มที่ 3 การเคลื่อนที่ของสัตว์มีกระดูกสันหลัง
เล่มที่  3 การเคลื่อนที่ของสัตว์มีกระดูกสันหลังเล่มที่  3 การเคลื่อนที่ของสัตว์มีกระดูกสันหลัง
เล่มที่ 3 การเคลื่อนที่ของสัตว์มีกระดูกสันหลัง
 
ข้อสอบวิชาชีววิทยา+เฉลย By: Meriya Lertsirikarn
ข้อสอบวิชาชีววิทยา+เฉลย By: Meriya Lertsirikarnข้อสอบวิชาชีววิทยา+เฉลย By: Meriya Lertsirikarn
ข้อสอบวิชาชีววิทยา+เฉลย By: Meriya Lertsirikarn
 
เล่มที่ 2 โครงสร้างของราก
เล่มที่ 2 โครงสร้างของรากเล่มที่ 2 โครงสร้างของราก
เล่มที่ 2 โครงสร้างของราก
 
บทที่ 6 โมเมนตัมและการชน
บทที่ 6 โมเมนตัมและการชนบทที่ 6 โมเมนตัมและการชน
บทที่ 6 โมเมนตัมและการชน
 
ข้อสอบวิทยาศาสตร์ O net (โลก ดาราศาสตร์ และอวกาศ)
ข้อสอบวิทยาศาสตร์ O net (โลก ดาราศาสตร์ และอวกาศ)ข้อสอบวิทยาศาสตร์ O net (โลก ดาราศาสตร์ และอวกาศ)
ข้อสอบวิทยาศาสตร์ O net (โลก ดาราศาสตร์ และอวกาศ)
 

Viewers also liked

ระบบสืบพันธุ์ (Reproductive System)
ระบบสืบพันธุ์ (Reproductive System)ระบบสืบพันธุ์ (Reproductive System)
ระบบสืบพันธุ์ (Reproductive System)
ครูเสกสรรค์ สุวรรณสุข
 
เสถียรธรรมสถาน1 Copy
เสถียรธรรมสถาน1   Copyเสถียรธรรมสถาน1   Copy
เสถียรธรรมสถาน1 CopyVolunteer SdsElite
 
5. พัฒนาการด้านการเคลื่อนไหวในแต่ละวัย (1 57) wk 9-10
5. พัฒนาการด้านการเคลื่อนไหวในแต่ละวัย  (1 57) wk 9-105. พัฒนาการด้านการเคลื่อนไหวในแต่ละวัย  (1 57) wk 9-10
5. พัฒนาการด้านการเคลื่อนไหวในแต่ละวัย (1 57) wk 9-10
pop Jaturong
 
ชีววิทยา . สืบพันธุ์&เจริญเติบโต
ชีววิทยา . สืบพันธุ์&เจริญเติบโตชีววิทยา . สืบพันธุ์&เจริญเติบโต
ชีววิทยา . สืบพันธุ์&เจริญเติบโต
Iced Megi
 
บทที่ 11 การสืบพันธ์และการเจริญเติบโต
บทที่ 11 การสืบพันธ์และการเจริญเติบโตบทที่ 11 การสืบพันธ์และการเจริญเติบโต
บทที่ 11 การสืบพันธ์และการเจริญเติบโตฟลุ๊ค ลำพูน
 
เอกสารเรื่องการสืบพันธุ์และการเจริญเติบโตของสัตว์
เอกสารเรื่องการสืบพันธุ์และการเจริญเติบโตของสัตว์เอกสารเรื่องการสืบพันธุ์และการเจริญเติบโตของสัตว์
เอกสารเรื่องการสืบพันธุ์และการเจริญเติบโตของสัตว์
natthineechobmee
 
3rd week of development and derivatives of germ
3rd week of development and derivatives of germ3rd week of development and derivatives of germ
3rd week of development and derivatives of germ
Abdul Ansari
 
Guided Reading: Making the Most of It
Guided Reading: Making the Most of ItGuided Reading: Making the Most of It
Guided Reading: Making the Most of It
Jennifer Jones
 

Viewers also liked (12)

ระบบสืบพันธุ์ (Reproductive System)
ระบบสืบพันธุ์ (Reproductive System)ระบบสืบพันธุ์ (Reproductive System)
ระบบสืบพันธุ์ (Reproductive System)
 
เสถียรธรรมสถาน1 Copy
เสถียรธรรมสถาน1   Copyเสถียรธรรมสถาน1   Copy
เสถียรธรรมสถาน1 Copy
 
Chapter6
Chapter6Chapter6
Chapter6
 
การสืบพันธ์
การสืบพันธ์การสืบพันธ์
การสืบพันธ์
 
5. พัฒนาการด้านการเคลื่อนไหวในแต่ละวัย (1 57) wk 9-10
5. พัฒนาการด้านการเคลื่อนไหวในแต่ละวัย  (1 57) wk 9-105. พัฒนาการด้านการเคลื่อนไหวในแต่ละวัย  (1 57) wk 9-10
5. พัฒนาการด้านการเคลื่อนไหวในแต่ละวัย (1 57) wk 9-10
 
5555555
55555555555555
5555555
 
ชีววิทยา . สืบพันธุ์&เจริญเติบโต
ชีววิทยา . สืบพันธุ์&เจริญเติบโตชีววิทยา . สืบพันธุ์&เจริญเติบโต
ชีววิทยา . สืบพันธุ์&เจริญเติบโต
 
บทที่ 11 การสืบพันธ์และการเจริญเติบโต
บทที่ 11 การสืบพันธ์และการเจริญเติบโตบทที่ 11 การสืบพันธ์และการเจริญเติบโต
บทที่ 11 การสืบพันธ์และการเจริญเติบโต
 
สืบพันธุ์
สืบพันธุ์สืบพันธุ์
สืบพันธุ์
 
เอกสารเรื่องการสืบพันธุ์และการเจริญเติบโตของสัตว์
เอกสารเรื่องการสืบพันธุ์และการเจริญเติบโตของสัตว์เอกสารเรื่องการสืบพันธุ์และการเจริญเติบโตของสัตว์
เอกสารเรื่องการสืบพันธุ์และการเจริญเติบโตของสัตว์
 
3rd week of development and derivatives of germ
3rd week of development and derivatives of germ3rd week of development and derivatives of germ
3rd week of development and derivatives of germ
 
Guided Reading: Making the Most of It
Guided Reading: Making the Most of ItGuided Reading: Making the Most of It
Guided Reading: Making the Most of It
 

Similar to บท5เจริญสัตว์

Human embryo 341 group 5
Human embryo   341 group 5Human embryo   341 group 5
Human embryo 341 group 5
NutthaprapaKhwanwong
 
Lesson5animalgrowth
Lesson5animalgrowthLesson5animalgrowth
Lesson5animalgrowth
Wichai Likitponrak
 
Lesson 2
Lesson 2Lesson 2
บท4วิวัฒนาการ
บท4วิวัฒนาการบท4วิวัฒนาการ
บท4วิวัฒนาการ
Wichai Likitponrak
 
การแนะนำบทเรียน ม5-1
การแนะนำบทเรียน ม5-1การแนะนำบทเรียน ม5-1
การแนะนำบทเรียน ม5-1Wichai Likitponrak
 
1 ecosystem 2
1 ecosystem 21 ecosystem 2
1 ecosystem 2
Wichai Likitponrak
 
บท4สืบพันธุ์สัตว์
บท4สืบพันธุ์สัตว์บท4สืบพันธุ์สัตว์
บท4สืบพันธุ์สัตว์
Wichai Likitponrak
 
การแนะนำบทเรียน ม6-1
การแนะนำบทเรียน ม6-1การแนะนำบทเรียน ม6-1
การแนะนำบทเรียน ม6-1Wichai Likitponrak
 
Newsletterphlibv2n3
Newsletterphlibv2n3Newsletterphlibv2n3
Newsletterphlibv2n3
Yuwadee
 
แผนวิทยาศาสตร์ป.6
แผนวิทยาศาสตร์ป.6แผนวิทยาศาสตร์ป.6
แผนวิทยาศาสตร์ป.6rainacid
 
เทคโนโลยีชีวภาพ (Biotechnology)
เทคโนโลยีชีวภาพ (Biotechnology)เทคโนโลยีชีวภาพ (Biotechnology)
เทคโนโลยีชีวภาพ (Biotechnology)
ครูเสกสรรค์ สุวรรณสุข
 
ชีวิตตามแนวคิดทางวิทยาศาสตร์
ชีวิตตามแนวคิดทางวิทยาศาสตร์ชีวิตตามแนวคิดทางวิทยาศาสตร์
ชีวิตตามแนวคิดทางวิทยาศาสตร์
ppompuy pantham
 
เฉลยสอวนBio60
เฉลยสอวนBio60เฉลยสอวนBio60
เฉลยสอวนBio60
Wichai Likitponrak
 
7ติวข้อสอบสสวทอวัยวะและอาหาร
7ติวข้อสอบสสวทอวัยวะและอาหาร7ติวข้อสอบสสวทอวัยวะและอาหาร
7ติวข้อสอบสสวทอวัยวะและอาหาร
Wichai Likitponrak
 
การทำหมันในเพศชายและหญิง 335
การทำหมันในเพศชายและหญิง 335การทำหมันในเพศชายและหญิง 335
การทำหมันในเพศชายและหญิง 335
pungS1
 
Female reproduction 2 825
Female reproduction 2 825Female reproduction 2 825
Female reproduction 2 825
WongsathonWongsusawa
 
การแนะนำบทเรียน ม. 6 เทอม 2
การแนะนำบทเรียน ม. 6 เทอม 2การแนะนำบทเรียน ม. 6 เทอม 2
การแนะนำบทเรียน ม. 6 เทอม 2
Wichai Likitponrak
 
การแนะนำบทเรียนม.4เทอม2
การแนะนำบทเรียนม.4เทอม2การแนะนำบทเรียนม.4เทอม2
การแนะนำบทเรียนม.4เทอม2Wichai Likitponrak
 
ชุดกิจกรรมการเรียนรู้ เรื่องการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรมและความหลากหลายทางชีว...
ชุดกิจกรรมการเรียนรู้ เรื่องการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรมและความหลากหลายทางชีว...ชุดกิจกรรมการเรียนรู้ เรื่องการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรมและความหลากหลายทางชีว...
ชุดกิจกรรมการเรียนรู้ เรื่องการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรมและความหลากหลายทางชีว...
surapha97
 

Similar to บท5เจริญสัตว์ (20)

Human embryo 341 group 5
Human embryo   341 group 5Human embryo   341 group 5
Human embryo 341 group 5
 
Lesson5animalgrowth
Lesson5animalgrowthLesson5animalgrowth
Lesson5animalgrowth
 
Lesson 2
Lesson 2Lesson 2
Lesson 2
 
บท4วิวัฒนาการ
บท4วิวัฒนาการบท4วิวัฒนาการ
บท4วิวัฒนาการ
 
การแนะนำบทเรียน ม5-1
การแนะนำบทเรียน ม5-1การแนะนำบทเรียน ม5-1
การแนะนำบทเรียน ม5-1
 
1 ecosystem 2
1 ecosystem 21 ecosystem 2
1 ecosystem 2
 
บท4สืบพันธุ์สัตว์
บท4สืบพันธุ์สัตว์บท4สืบพันธุ์สัตว์
บท4สืบพันธุ์สัตว์
 
การแนะนำบทเรียน ม6-1
การแนะนำบทเรียน ม6-1การแนะนำบทเรียน ม6-1
การแนะนำบทเรียน ม6-1
 
News phli bv2n3
News phli bv2n3News phli bv2n3
News phli bv2n3
 
Newsletterphlibv2n3
Newsletterphlibv2n3Newsletterphlibv2n3
Newsletterphlibv2n3
 
แผนวิทยาศาสตร์ป.6
แผนวิทยาศาสตร์ป.6แผนวิทยาศาสตร์ป.6
แผนวิทยาศาสตร์ป.6
 
เทคโนโลยีชีวภาพ (Biotechnology)
เทคโนโลยีชีวภาพ (Biotechnology)เทคโนโลยีชีวภาพ (Biotechnology)
เทคโนโลยีชีวภาพ (Biotechnology)
 
ชีวิตตามแนวคิดทางวิทยาศาสตร์
ชีวิตตามแนวคิดทางวิทยาศาสตร์ชีวิตตามแนวคิดทางวิทยาศาสตร์
ชีวิตตามแนวคิดทางวิทยาศาสตร์
 
เฉลยสอวนBio60
เฉลยสอวนBio60เฉลยสอวนBio60
เฉลยสอวนBio60
 
7ติวข้อสอบสสวทอวัยวะและอาหาร
7ติวข้อสอบสสวทอวัยวะและอาหาร7ติวข้อสอบสสวทอวัยวะและอาหาร
7ติวข้อสอบสสวทอวัยวะและอาหาร
 
การทำหมันในเพศชายและหญิง 335
การทำหมันในเพศชายและหญิง 335การทำหมันในเพศชายและหญิง 335
การทำหมันในเพศชายและหญิง 335
 
Female reproduction 2 825
Female reproduction 2 825Female reproduction 2 825
Female reproduction 2 825
 
การแนะนำบทเรียน ม. 6 เทอม 2
การแนะนำบทเรียน ม. 6 เทอม 2การแนะนำบทเรียน ม. 6 เทอม 2
การแนะนำบทเรียน ม. 6 เทอม 2
 
การแนะนำบทเรียนม.4เทอม2
การแนะนำบทเรียนม.4เทอม2การแนะนำบทเรียนม.4เทอม2
การแนะนำบทเรียนม.4เทอม2
 
ชุดกิจกรรมการเรียนรู้ เรื่องการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรมและความหลากหลายทางชีว...
ชุดกิจกรรมการเรียนรู้ เรื่องการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรมและความหลากหลายทางชีว...ชุดกิจกรรมการเรียนรู้ เรื่องการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรมและความหลากหลายทางชีว...
ชุดกิจกรรมการเรียนรู้ เรื่องการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรมและความหลากหลายทางชีว...
 

More from Wichai Likitponrak

บันทึกข้อความประเมินรับสมัครGS2565_ครูวิชัย
บันทึกข้อความประเมินรับสมัครGS2565_ครูวิชัยบันทึกข้อความประเมินรับสมัครGS2565_ครูวิชัย
บันทึกข้อความประเมินรับสมัครGS2565_ครูวิชัย
Wichai Likitponrak
 
บันทึกข้อความประเมินดับเพลิง2565_ครูวิชัย
บันทึกข้อความประเมินดับเพลิง2565_ครูวิชัยบันทึกข้อความประเมินดับเพลิง2565_ครูวิชัย
บันทึกข้อความประเมินดับเพลิง2565_ครูวิชัย
Wichai Likitponrak
 
บันทึกข้อความประเมินสอวนชีวะ2565_ครูวิชัย
บันทึกข้อความประเมินสอวนชีวะ2565_ครูวิชัยบันทึกข้อความประเมินสอวนชีวะ2565_ครูวิชัย
บันทึกข้อความประเมินสอวนชีวะ2565_ครูวิชัย
Wichai Likitponrak
 
บันทึกข้อความประเมินทัศนศึกษา2565_ครูวิชัย
บันทึกข้อความประเมินทัศนศึกษา2565_ครูวิชัยบันทึกข้อความประเมินทัศนศึกษา2565_ครูวิชัย
บันทึกข้อความประเมินทัศนศึกษา2565_ครูวิชัย
Wichai Likitponrak
 
SAR64-วิชัย(ชีววิทยา).pdf
SAR64-วิชัย(ชีววิทยา).pdfSAR64-วิชัย(ชีววิทยา).pdf
SAR64-วิชัย(ชีววิทยา).pdf
Wichai Likitponrak
 
การสำรวจพืช Globe tu64
การสำรวจพืช Globe tu64การสำรวจพืช Globe tu64
การสำรวจพืช Globe tu64
Wichai Likitponrak
 
การสำรวจบรรยากาศ Globe tu64
การสำรวจบรรยากาศ Globe tu64การสำรวจบรรยากาศ Globe tu64
การสำรวจบรรยากาศ Globe tu64
Wichai Likitponrak
 
การสำรวจน้ำ Globe tu64
การสำรวจน้ำ Globe tu64การสำรวจน้ำ Globe tu64
การสำรวจน้ำ Globe tu64
Wichai Likitponrak
 
การสำรวจดิน Globe tu64
การสำรวจดิน Globe tu64การสำรวจดิน Globe tu64
การสำรวจดิน Globe tu64
Wichai Likitponrak
 
แนวข้อสอบสามัญชีวะ2564
แนวข้อสอบสามัญชีวะ2564แนวข้อสอบสามัญชีวะ2564
แนวข้อสอบสามัญชีวะ2564
Wichai Likitponrak
 
Biotest kku60
Biotest kku60Biotest kku60
Biotest kku60
Wichai Likitponrak
 
Key biotestku60 kruwichaitu
Key biotestku60 kruwichaituKey biotestku60 kruwichaitu
Key biotestku60 kruwichaitu
Wichai Likitponrak
 
Bi opat2 onet2564_kru_wichai
Bi opat2 onet2564_kru_wichaiBi opat2 onet2564_kru_wichai
Bi opat2 onet2564_kru_wichai
Wichai Likitponrak
 
BiOsaman2564
BiOsaman2564BiOsaman2564
BiOsaman2564
Wichai Likitponrak
 
Biosaman63 kruwichai
Biosaman63 kruwichaiBiosaman63 kruwichai
Biosaman63 kruwichai
Wichai Likitponrak
 
Ijs obio62 testing
Ijs obio62 testingIjs obio62 testing
Ijs obio62 testing
Wichai Likitponrak
 
Pptgst uprojectplant62
Pptgst uprojectplant62Pptgst uprojectplant62
Pptgst uprojectplant62
Wichai Likitponrak
 
Pptgst uprojectpaper62
Pptgst uprojectpaper62Pptgst uprojectpaper62
Pptgst uprojectpaper62
Wichai Likitponrak
 
Pptgst uprojectnickle61
Pptgst uprojectnickle61Pptgst uprojectnickle61
Pptgst uprojectnickle61
Wichai Likitponrak
 
Pptgst uprojectflower61
Pptgst uprojectflower61Pptgst uprojectflower61
Pptgst uprojectflower61
Wichai Likitponrak
 

More from Wichai Likitponrak (20)

บันทึกข้อความประเมินรับสมัครGS2565_ครูวิชัย
บันทึกข้อความประเมินรับสมัครGS2565_ครูวิชัยบันทึกข้อความประเมินรับสมัครGS2565_ครูวิชัย
บันทึกข้อความประเมินรับสมัครGS2565_ครูวิชัย
 
บันทึกข้อความประเมินดับเพลิง2565_ครูวิชัย
บันทึกข้อความประเมินดับเพลิง2565_ครูวิชัยบันทึกข้อความประเมินดับเพลิง2565_ครูวิชัย
บันทึกข้อความประเมินดับเพลิง2565_ครูวิชัย
 
บันทึกข้อความประเมินสอวนชีวะ2565_ครูวิชัย
บันทึกข้อความประเมินสอวนชีวะ2565_ครูวิชัยบันทึกข้อความประเมินสอวนชีวะ2565_ครูวิชัย
บันทึกข้อความประเมินสอวนชีวะ2565_ครูวิชัย
 
บันทึกข้อความประเมินทัศนศึกษา2565_ครูวิชัย
บันทึกข้อความประเมินทัศนศึกษา2565_ครูวิชัยบันทึกข้อความประเมินทัศนศึกษา2565_ครูวิชัย
บันทึกข้อความประเมินทัศนศึกษา2565_ครูวิชัย
 
SAR64-วิชัย(ชีววิทยา).pdf
SAR64-วิชัย(ชีววิทยา).pdfSAR64-วิชัย(ชีววิทยา).pdf
SAR64-วิชัย(ชีววิทยา).pdf
 
การสำรวจพืช Globe tu64
การสำรวจพืช Globe tu64การสำรวจพืช Globe tu64
การสำรวจพืช Globe tu64
 
การสำรวจบรรยากาศ Globe tu64
การสำรวจบรรยากาศ Globe tu64การสำรวจบรรยากาศ Globe tu64
การสำรวจบรรยากาศ Globe tu64
 
การสำรวจน้ำ Globe tu64
การสำรวจน้ำ Globe tu64การสำรวจน้ำ Globe tu64
การสำรวจน้ำ Globe tu64
 
การสำรวจดิน Globe tu64
การสำรวจดิน Globe tu64การสำรวจดิน Globe tu64
การสำรวจดิน Globe tu64
 
แนวข้อสอบสามัญชีวะ2564
แนวข้อสอบสามัญชีวะ2564แนวข้อสอบสามัญชีวะ2564
แนวข้อสอบสามัญชีวะ2564
 
Biotest kku60
Biotest kku60Biotest kku60
Biotest kku60
 
Key biotestku60 kruwichaitu
Key biotestku60 kruwichaituKey biotestku60 kruwichaitu
Key biotestku60 kruwichaitu
 
Bi opat2 onet2564_kru_wichai
Bi opat2 onet2564_kru_wichaiBi opat2 onet2564_kru_wichai
Bi opat2 onet2564_kru_wichai
 
BiOsaman2564
BiOsaman2564BiOsaman2564
BiOsaman2564
 
Biosaman63 kruwichai
Biosaman63 kruwichaiBiosaman63 kruwichai
Biosaman63 kruwichai
 
Ijs obio62 testing
Ijs obio62 testingIjs obio62 testing
Ijs obio62 testing
 
Pptgst uprojectplant62
Pptgst uprojectplant62Pptgst uprojectplant62
Pptgst uprojectplant62
 
Pptgst uprojectpaper62
Pptgst uprojectpaper62Pptgst uprojectpaper62
Pptgst uprojectpaper62
 
Pptgst uprojectnickle61
Pptgst uprojectnickle61Pptgst uprojectnickle61
Pptgst uprojectnickle61
 
Pptgst uprojectflower61
Pptgst uprojectflower61Pptgst uprojectflower61
Pptgst uprojectflower61
 

Recently uploaded

3_ปัญหาและเฉลยข้อสอบบาลีสนามหลวง วิชา แปลมคธเป็นไทย ประโยค ป.ธ.3 (2500-2567).pdf
3_ปัญหาและเฉลยข้อสอบบาลีสนามหลวง วิชา แปลมคธเป็นไทย ประโยค ป.ธ.3 (2500-2567).pdf3_ปัญหาและเฉลยข้อสอบบาลีสนามหลวง วิชา แปลมคธเป็นไทย ประโยค ป.ธ.3 (2500-2567).pdf
3_ปัญหาและเฉลยข้อสอบบาลีสนามหลวง วิชา แปลมคธเป็นไทย ประโยค ป.ธ.3 (2500-2567).pdf
สุเมธี​​​​ ตี่พนมโอรัล / សុមេធី ទីភ្នំឱរ៉ាល់ (Sumedhi TyPhnomAoral)
 
ภาษาอังกฤษเพื่อการปฏิบัติกรรมฐานในพระพุทธศาสนา
ภาษาอังกฤษเพื่อการปฏิบัติกรรมฐานในพระพุทธศาสนาภาษาอังกฤษเพื่อการปฏิบัติกรรมฐานในพระพุทธศาสนา
ภาษาอังกฤษเพื่อการปฏิบัติกรรมฐานในพระพุทธศาสนา
Faculty of BuddhismMahachulalongkornrajavidyalaya Roi Et Buddhist College
 
1-2_ปัญหาและเฉลยข้อสอบบาลีสนามหลวง วิชา แปลมคธเป็นไทย ประโยค 1-2 (2510-2567).pdf
1-2_ปัญหาและเฉลยข้อสอบบาลีสนามหลวง วิชา แปลมคธเป็นไทย ประโยค 1-2 (2510-2567).pdf1-2_ปัญหาและเฉลยข้อสอบบาลีสนามหลวง วิชา แปลมคธเป็นไทย ประโยค 1-2 (2510-2567).pdf
1-2_ปัญหาและเฉลยข้อสอบบาลีสนามหลวง วิชา แปลมคธเป็นไทย ประโยค 1-2 (2510-2567).pdf
สุเมธี​​​​ ตี่พนมโอรัล / សុមេធី ទីភ្នំឱរ៉ាល់ (Sumedhi TyPhnomAoral)
 
ภาษาอังกฤษเพื่อการฝึกสมาธิในพระพุทธศาสนา
ภาษาอังกฤษเพื่อการฝึกสมาธิในพระพุทธศาสนาภาษาอังกฤษเพื่อการฝึกสมาธิในพระพุทธศาสนา
ภาษาอังกฤษเพื่อการฝึกสมาธิในพระพุทธศาสนา
Faculty of BuddhismMahachulalongkornrajavidyalaya Roi Et Buddhist College
 
งานนำเสนอ ภาษากับการสื่อสาร เพื่อการพัฒนา.pdf
งานนำเสนอ ภาษากับการสื่อสาร เพื่อการพัฒนา.pdfงานนำเสนอ ภาษากับการสื่อสาร เพื่อการพัฒนา.pdf
งานนำเสนอ ภาษากับการสื่อสาร เพื่อการพัฒนา.pdf
Faculty of BuddhismMahachulalongkornrajavidyalaya Roi Et Buddhist College
 
แนวความเชื่อ วิธีการปฎิบัติ พระพุทธศาสนามหายาน.pdf
แนวความเชื่อ วิธีการปฎิบัติ พระพุทธศาสนามหายาน.pdfแนวความเชื่อ วิธีการปฎิบัติ พระพุทธศาสนามหายาน.pdf
แนวความเชื่อ วิธีการปฎิบัติ พระพุทธศาสนามหายาน.pdf
Faculty of BuddhismMahachulalongkornrajavidyalaya Roi Et Buddhist College
 
การเขียนข้อเสนอโครงการวิจัย (Research Proposal)
การเขียนข้อเสนอโครงการวิจัย (Research Proposal)การเขียนข้อเสนอโครงการวิจัย (Research Proposal)
การเขียนข้อเสนอโครงการวิจัย (Research Proposal)
Prachyanun Nilsook
 
3_ปัญหาและเฉลยข้อสอบบาลีสนามหลวง วิชา สัมพันธ์ไทย ประโยค ป.ธ.3 (2500-2567).pdf
3_ปัญหาและเฉลยข้อสอบบาลีสนามหลวง วิชา สัมพันธ์ไทย ประโยค ป.ธ.3 (2500-2567).pdf3_ปัญหาและเฉลยข้อสอบบาลีสนามหลวง วิชา สัมพันธ์ไทย ประโยค ป.ธ.3 (2500-2567).pdf
3_ปัญหาและเฉลยข้อสอบบาลีสนามหลวง วิชา สัมพันธ์ไทย ประโยค ป.ธ.3 (2500-2567).pdf
สุเมธี​​​​ ตี่พนมโอรัล / សុមេធី ទីភ្នំឱរ៉ាល់ (Sumedhi TyPhnomAoral)
 
1-2_ปัญหาและเฉลยข้อสอบบาลีสนามหลวง วิชา บาลีไวยากรณ์ ประโยค 1-2 (2511-2567).pdf
1-2_ปัญหาและเฉลยข้อสอบบาลีสนามหลวง วิชา บาลีไวยากรณ์ ประโยค 1-2 (2511-2567).pdf1-2_ปัญหาและเฉลยข้อสอบบาลีสนามหลวง วิชา บาลีไวยากรณ์ ประโยค 1-2 (2511-2567).pdf
1-2_ปัญหาและเฉลยข้อสอบบาลีสนามหลวง วิชา บาลีไวยากรณ์ ประโยค 1-2 (2511-2567).pdf
สุเมธี​​​​ ตี่พนมโอรัล / សុមេធី ទីភ្នំឱរ៉ាល់ (Sumedhi TyPhnomAoral)
 
4_ปัญหาและเฉลยข้อสอบบาลีสนามหลวง วิชา แปลไทยเป็นมคธ ประโยค ป.ธ.4 (2505-2567).pdf
4_ปัญหาและเฉลยข้อสอบบาลีสนามหลวง วิชา แปลไทยเป็นมคธ ประโยค ป.ธ.4 (2505-2567).pdf4_ปัญหาและเฉลยข้อสอบบาลีสนามหลวง วิชา แปลไทยเป็นมคธ ประโยค ป.ธ.4 (2505-2567).pdf
4_ปัญหาและเฉลยข้อสอบบาลีสนามหลวง วิชา แปลไทยเป็นมคธ ประโยค ป.ธ.4 (2505-2567).pdf
สุเมธี​​​​ ตี่พนมโอรัล / សុមេធី ទីភ្នំឱរ៉ាល់ (Sumedhi TyPhnomAoral)
 

Recently uploaded (10)

3_ปัญหาและเฉลยข้อสอบบาลีสนามหลวง วิชา แปลมคธเป็นไทย ประโยค ป.ธ.3 (2500-2567).pdf
3_ปัญหาและเฉลยข้อสอบบาลีสนามหลวง วิชา แปลมคธเป็นไทย ประโยค ป.ธ.3 (2500-2567).pdf3_ปัญหาและเฉลยข้อสอบบาลีสนามหลวง วิชา แปลมคธเป็นไทย ประโยค ป.ธ.3 (2500-2567).pdf
3_ปัญหาและเฉลยข้อสอบบาลีสนามหลวง วิชา แปลมคธเป็นไทย ประโยค ป.ธ.3 (2500-2567).pdf
 
ภาษาอังกฤษเพื่อการปฏิบัติกรรมฐานในพระพุทธศาสนา
ภาษาอังกฤษเพื่อการปฏิบัติกรรมฐานในพระพุทธศาสนาภาษาอังกฤษเพื่อการปฏิบัติกรรมฐานในพระพุทธศาสนา
ภาษาอังกฤษเพื่อการปฏิบัติกรรมฐานในพระพุทธศาสนา
 
1-2_ปัญหาและเฉลยข้อสอบบาลีสนามหลวง วิชา แปลมคธเป็นไทย ประโยค 1-2 (2510-2567).pdf
1-2_ปัญหาและเฉลยข้อสอบบาลีสนามหลวง วิชา แปลมคธเป็นไทย ประโยค 1-2 (2510-2567).pdf1-2_ปัญหาและเฉลยข้อสอบบาลีสนามหลวง วิชา แปลมคธเป็นไทย ประโยค 1-2 (2510-2567).pdf
1-2_ปัญหาและเฉลยข้อสอบบาลีสนามหลวง วิชา แปลมคธเป็นไทย ประโยค 1-2 (2510-2567).pdf
 
ภาษาอังกฤษเพื่อการฝึกสมาธิในพระพุทธศาสนา
ภาษาอังกฤษเพื่อการฝึกสมาธิในพระพุทธศาสนาภาษาอังกฤษเพื่อการฝึกสมาธิในพระพุทธศาสนา
ภาษาอังกฤษเพื่อการฝึกสมาธิในพระพุทธศาสนา
 
งานนำเสนอ ภาษากับการสื่อสาร เพื่อการพัฒนา.pdf
งานนำเสนอ ภาษากับการสื่อสาร เพื่อการพัฒนา.pdfงานนำเสนอ ภาษากับการสื่อสาร เพื่อการพัฒนา.pdf
งานนำเสนอ ภาษากับการสื่อสาร เพื่อการพัฒนา.pdf
 
แนวความเชื่อ วิธีการปฎิบัติ พระพุทธศาสนามหายาน.pdf
แนวความเชื่อ วิธีการปฎิบัติ พระพุทธศาสนามหายาน.pdfแนวความเชื่อ วิธีการปฎิบัติ พระพุทธศาสนามหายาน.pdf
แนวความเชื่อ วิธีการปฎิบัติ พระพุทธศาสนามหายาน.pdf
 
การเขียนข้อเสนอโครงการวิจัย (Research Proposal)
การเขียนข้อเสนอโครงการวิจัย (Research Proposal)การเขียนข้อเสนอโครงการวิจัย (Research Proposal)
การเขียนข้อเสนอโครงการวิจัย (Research Proposal)
 
3_ปัญหาและเฉลยข้อสอบบาลีสนามหลวง วิชา สัมพันธ์ไทย ประโยค ป.ธ.3 (2500-2567).pdf
3_ปัญหาและเฉลยข้อสอบบาลีสนามหลวง วิชา สัมพันธ์ไทย ประโยค ป.ธ.3 (2500-2567).pdf3_ปัญหาและเฉลยข้อสอบบาลีสนามหลวง วิชา สัมพันธ์ไทย ประโยค ป.ธ.3 (2500-2567).pdf
3_ปัญหาและเฉลยข้อสอบบาลีสนามหลวง วิชา สัมพันธ์ไทย ประโยค ป.ธ.3 (2500-2567).pdf
 
1-2_ปัญหาและเฉลยข้อสอบบาลีสนามหลวง วิชา บาลีไวยากรณ์ ประโยค 1-2 (2511-2567).pdf
1-2_ปัญหาและเฉลยข้อสอบบาลีสนามหลวง วิชา บาลีไวยากรณ์ ประโยค 1-2 (2511-2567).pdf1-2_ปัญหาและเฉลยข้อสอบบาลีสนามหลวง วิชา บาลีไวยากรณ์ ประโยค 1-2 (2511-2567).pdf
1-2_ปัญหาและเฉลยข้อสอบบาลีสนามหลวง วิชา บาลีไวยากรณ์ ประโยค 1-2 (2511-2567).pdf
 
4_ปัญหาและเฉลยข้อสอบบาลีสนามหลวง วิชา แปลไทยเป็นมคธ ประโยค ป.ธ.4 (2505-2567).pdf
4_ปัญหาและเฉลยข้อสอบบาลีสนามหลวง วิชา แปลไทยเป็นมคธ ประโยค ป.ธ.4 (2505-2567).pdf4_ปัญหาและเฉลยข้อสอบบาลีสนามหลวง วิชา แปลไทยเป็นมคธ ประโยค ป.ธ.4 (2505-2567).pdf
4_ปัญหาและเฉลยข้อสอบบาลีสนามหลวง วิชา แปลไทยเป็นมคธ ประโยค ป.ธ.4 (2505-2567).pdf
 

บท5เจริญสัตว์

  • 2. • นายวิชัย ลิขิตพรรักษ์ตาแหน่งครู คศ.1 เอกวิชาชีววิทยา ประวัติการศึกษา: • พ.ศ. 2549 วิทยาศาสตรบัณฑิต (เกีรยตินิยมอันดับ2) สาขาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล • พ.ศ. 2551 ศึกษาศาสตรบัณฑิตสาขาวิชาศึกษาศาสตร์ เอกเทคโนโลยีและสื่อสารการศึกษา มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช • พ.ศ. 2552 ประกาศนียบัตรบัณฑิตวิชาชีพครูคณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต • พ.ศ. 2555 สาธารณสุขศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาวิทยาศาสตร์สุขภาพ เอกสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช • พ.ศ. 2558 ศึกษาศาสตรมหาบัณฑิตสาขาวิชาการประเมินและการวิจัยทางการศึกษา เอกวิจัยทางการศึกษาคณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคาแหง ครูผู้สอน
  • 4. (1) ไข่ระยะ secondary oocyte ซึ่งพร้อมที่จะผสมพันธุ์หลุดออกจากรังไข่ (ovulation) เข้าไปอยูใน ท่อนาไข่ (oviduct) การปฏิสนธิเกิดขึ้นภายในท่อนาไข่ได้เป็นไซโกต (zygote) (2) cleavage เริ่มเกิดขึ้นขณะที่เอมบริโอเคลื่อนตัวมาสู่มดลูกสิ้นสุดจะได้กกลุ่มเซลล์ เรียกว่า morula (3) ขณะที่มาถึงมดลูกเอมบริโอจะมีการเคลื่อนที่ของกลุ่มเซลล์แยกเป็น2 กลุ่ม ได้แก่ 3.1 trophoblast เป็นกลุ่มเซลล์ที่เรียงตัวกันชั้นเดียวอยู่รอบนอกซึ่งต่อไปจะเจริญรวมกับเนื้อเยื่อของ ผนังมดลูกกลายเป็นรก(placenta) 3.2 กลุ่มเซลล์ที่อยู่ภายใน เรียกว่า inner cell mass เป็นส่วนที่ จะเจริญต่อไปเป็นเอมบริโอ เรียกเอมบริโอระยะนี้ว่าblastocyst (4) blastocyst จะฝังตัวในผนังมดลูก ซึ่งเอมบริโอเจริญมาได้ประมาณ 7 วันหลังการปฏิสนธิ
  • 5. ชนิดไข่ของสัตว์สามารถจาแนกได้ดังนี้ 1. จาแนกได้เป็น 4 ชนิด ตามการกระจายของไข่แดง • 1.1 Isolecithal egg เป็นพวกที่มีไข่แดงน้อยและกระจายทั่วไปภายในเซลล์ ตัวอย่าง เช่น ไข่หอยเม่น ไข่ ปลาดาว และไข่สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม • 1.2 Mesolecithal egg เป็นพวกที่มีไข่แดงปานกลางและไข่แดงมักจะอยู่หนาแน่นที่ขั้วใดขั้วหนึ่งของ เซลล์ ตัวอย่างเช่น ไข่กบ • 1.3 Telolecithal egg เป็นพวกที่มีไข่แดงมากและไข่แดงอยู่หนาแน่น ตัวอย่างเช่น ไข่นก ไข่ไก่ไข่ปลา และไข่ ของสัตว์เลี้อยคลาน • 1.4 Centrolecithal egg เป็นพวกที่มีไข่แดงอยู่ตรงกลาง ตัวอย่าง เช่น ไข่แมลง 2. ชนิดของไข่ จาแนกออกตามปริมาณมากน้อยของไข่แดงได้ดังนี้ คือ • 2.1 Alecithal egg เป็นไข่ชนิดที่มีไข่แดงน้อยมากจนเกือบไม่มีเลย ขนาดของไข่จึงเล็กมาก ตัวอ่อนที่ เกิดจาก ไข่ชนิดนี้ต้องอาศัยอาหารจากแม่ทางรก ได้แก่ ไข่ของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม • 2.2 Microlecithal egg เป็นไข่ชนิดที่มีไข่แดงน้อย เช่น ไข่ของหอยเม่น ดาวทะเล เป็นต้น • 2.3 Mesolecithal egg เป็นไข่ชนิดที่มีไข่แดงปานกลาง ไข่มีขนาดใหญ่ขึ้น เช่น ไข่ของสัตว์สะเทินน้าสะเทินบก • 2.4 Polylecithal egg เป็นไข่ชนิดที่มีไข่แดงมาก จนทาให้ส่วนของนิวเคลียสและไซโทพลาสซึมถูกดันไปอยู่ ด้านบนของไข่ ได้แก่ ไข่ของสัตว์ปีก สัตว์เลื้อยคลาน รวมทั้งไข่แมลงด้วย
  • 6.
  • 7.
  • 8. ชนิดไข่ของสัตว์สามารถจาแนกได้ดังนี้ • 3. แอนิมัลโพล (Animal pole) แบ่งออกเป็น 3 ชนิดคือ • 3.1 ไข่ชนิดมอเดอเรทลี เทโลเลซิทัล (Moderately telolecithal egg) เป็นไข่ชนิดที่ไข่แดงกระจายอยู่ในไซ โทพลาสซึม ไม่สม่าเสมอจะไปอยู่กันหนาแน่นที่ข้างใดข้างหนึ่งของเซลล์ ได้แก่ ไข่ของสัตว์ สะเทินน้าสะเทินบก • 3.2 ไข่ชนิดเฮพวิลี เทโลเลซิทัล (Heavily telolecithal egg) เป็น ไข่ที่มีไข่แดงมารวมกันเป็นกลุ่มก้อน ด้านล่างของไข่ ส่วนนิวเคลียสและไซโทพลาสซึมที่เหลือ จะรวมกันเป็นแผ่นเล็กๆ เรียกว่า บลาสโตดิสต์ (Blastodisc) ซึ่งจะถูกดันให้ไปอยู่ที่ ขอบเซลล์ ได้แก่ ไข่ของนก สัตว์เลื้อยคลาน และปลากระดูกแข็ง • 3.3 ไข่ชนิดเซนโทรเลซิทัล (Centrolecithal egg) เป็นไข่ที่มีไข่แดงจับกลุ่มกันอยู่ตรงกลาง ที่มีไซโทพลาสซึม ล้อมรอบ ได้แก่ ไข่ของพวกแมลง
  • 9. การปฏิสนธิของคน(FertilizationinHuman) • ในคนปกติไข่จะตกหลังจากมีประจาเดือนวันแรก14 วัน หรือ 2 สัปดาห์เมื่อมีการร่วมเพศฝ่ายชาย จะหลั่งน้าอสุจิ ซึ่งประกอบด้วยอสุจิเป็นจานวนล้านๆ ตัวเข้าไปในช่องคลอดของฝ่ายหญิงอสุจิจะ แหวกว่ายจากช่องคลอดเข้าไปยังมดลูก และปีกมดลูกด้วยความเร็ว 1.5 - 3 มิลลิเมตรต่อนาที ถ้า ตรงกับช่วงไข่ตกพอดีไข่และอสุจิจะผสมกันที่บริเวณปีกมดลูกเกิดการปฎิสนธิขึ้น • ในสัตว์บางชนิดเมื่ออสุจิเข้าไปถึงไข่พร้อมๆ กัน อสุจิทุกตัวจะพยายามเจาะไข่ การที่อสุจิเจาะไข่ได้ มากกว่า 1 ตัว เรียกลักษณะเช่นนี้ว่าPOLYSPERMAE เพราะฉะนั้น ไข่จะมีการป้องกันไม่ให้อสุจิ เข้าไปในไข่มากกว่า 1 ตัวโดยการสร้างสารบางอย่างขึ้นมาล้อมรอบไข่หลังจากที่อสุจิตัวแรกเจาะ เข้าไข่แล้ว ไข่จะมีการเปลี่ยนแปลงทางเคมีและจะไม่ยอมให้ • อสุจิตัวอื่นผ่านเข้าไปได้อีกในคนปฏิกิริยาเช่นนี้เรียกว่า ZONAREACTION
  • 10.
  • 11.
  • 12.
  • 13.
  • 15. การตั้งครรภ์ (Pregnancy) • เมื่อเกิดการตกไข่และไข่รวมกับตัวอสุจิ ที่เรียกว่า การปฏิสนธิ ไข่ที่ถูกผสมแล้วจะเริ่มมี การแบ่งตัวจนเป็นกลุ่มเซลล์ ที่เราเรียกว่า เอ็มบริโอ (Embryo) ขณะที่เซลล์เกิดการ แบ่งเซลล์ ก็จะเคลื่อนที่ไปตามท่อนาไข่ และเคลื่อนที่ไปฝังตัวที่ผนังมดลูกชั้นในที่สร้าง หนาขึ้นการเจริญเติบโตของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม ในระยะ CLEAVAGE นั้นคล้ายกับ สัตว์อื่นๆ แต่ในระยะ Blastula ไข่ที่เป็น Isolecithal คือ พวกที่มีไข่แดงน้อย และกระจายอยู่ทั่วไปภายในเซลล์จะมีช่องที่เรียกว่า Blastocyst cavity ส่วนกลุ่ม เซลล์ที่เห็นเรียงตัวกันอยู่รอบนอก เรียกว่า Trophoblast และยังมีกลุ่มเซลล์อีกกลุ่ม หนึ่งอยู่ทางด้านใน เรียกกลุ่มเซลล์นี้ว่า Inner cell mass จากนั้นเอ็มบริโอก็จะมี การเปลี่ยนแปลงรูปร่างไปเรื่อยๆ จนอายุครบ 8สัปดาห์ (2เดือน) จึงมีอวัยวะครบ และมี ลักษณะทุกอย่างเหมือนคน กระดูกอ่อนก็จะเปลี่ยนเป็นกระดูกแข็ง เรียกระยะที่มีอวัยวะ ทุกอย่างครบ และมีลักษณะเหมือนคนทุกประการ เรียกว่า ฟี ตัส (Fetus) ต่อมาฟี ตัสก็ จะเจริญต่อไปในท้องแม่ อีกประมาณ 7เดือน จึงคลอดออกมาเป็น “ทารก”
  • 16.
  • 17.
  • 18.
  • 19. การทดสอบการตั้งครรภ์นั้นมีอยู่ 2แบบคือ การทดสอบตั้งครรภ์ด้วยปัสสาวะ • ชุดทดสอบการตั้งครรภ์จะให้ผลแม่นยาที่สุดเมื่อทาการทดสอบหลังจากรอบเดือนขาดไปแล้วหนึ่ง สัปดาห์ แม้ว่าชุดทดสอบการตั้งครรภ์ส่วนใหญ่จะได้รับการกล่าวอ้างว่า ให้ผลการทดสอบที่แม่นยาถึง ร้อยละ 99 ก็ตาม ผลการทดสอบอาจมีความคลาดเคลื่อนได้ เพราะโอกาสที่ตัวอ่อนจะฝังตัวบนผนัง มดลูกหลังจากประจาเดือนไม่มาวันแรกมีสูงถึงร้อยละ 10 ซึ่งในกรณีนี้ ระดับฮอร์โมน hCG อาจจะยัง ไม่สูงพอที่จะวัดได้ • อย่างไรก็ตามผลการศึกษาชี้ให้เห็นว่าชุดทดสอบการตั้งครรภ์ส่วนใหญ่สามารถตรวจวัดระดับฮอร์โมน hCG หลังจากประจาเดือนไม่มาเพียงวันเดียวได้ค่อนข้างแม่นยา อีกทั้งการทดสอบด้วยตัวอย่างน้า ปัสสาวะแรกหลังจากตื่นนอนนั้นจะให้ค่าระดับฮอร์โมน hCG สูงที่สุด การตรวจเลือด (beta hCG) • หากไม่ต้องการรอนาน การทดสอบแบบนี้อาจเป็นทางเลือกที่เหมาะสมที่สุด เพราะสามารถทดสอบการ ตั้งครรภ์ได้แม้ฮอร์โมน hCG มีระดับต่า โดยอาศัยการนับระยะของการตกไข่ การทดสอบเลือดนี้ สามารถทดสอบได้ตั้งแต่ช่วงวันที่ 6-8 หลังจากไข่ตก ขณะที่การทดสอบปัสสาวะนั้น ปกติจะทาการ ทดสอบหลังจากไข่ตกแล้วประมาณ 14-21 วัน
  • 21. Embryonic development เป็นการศึกษาช่วงระยะการเจริญของเอมบริโอ ซึ่งจะเริ่มต้นหลังจากไข่เกิดการ ปฏิสนธิแล้ว เอมบริโอระยะแรกคือไซโกต ระยะเอมบริโอจะสิ้นสุดเมื่อเกิดอวัยวะต่างๆครบ ในสัตว์ชนิดต่างๆจะมีช่วงเวลาของการเกิดเอมบริโอแตกต่างกัน เช่นในคน ประมาณ 8-10 สัปดาห์ ไก่ประมาณ 4 วัน และกบประมาณ 2 วัน เป็นต้น จากไซโกตซึ่งเป็นเซลล์เดี่ยวไปสู่สภาพที่ซับซ้อนขึ้น โดยเกิดขึ้นเป็นลาดับขั้นตอน ต่างๆดังนี้ 1. Cleavage 2. Blastula 3. Gastrulation 4. Organogenesis
  • 23. Embryonic development : Cleavage เป็นกระบวนการที่ไซโกตมีการแบ่งเซลล์แบบ mitotic division อย่างรวดเร็วทาให้ ได้เอมบริโอที่มีหลายเซลล์
  • 24. Zygote ประกอบด้วย 2 ส่วน ได้แก่ 1. vegetal pole 2. animal pole •ไข่กบ 2 ส่วนนี้มีสีแตกต่างกัน •cytoplasm ของไข่กบจัดเรียงตัวใหม่ขณะ เกิด fertilization ทาให้เกิดบริเวณสีเทา ที่ เรียกว่า gray crescent ซึ่งเกิดบริเวณตรง กลางของไข่ด้านตรงข้ามกับที่ sperm เจาะ เข้าไป •Cleavage ที่ animal pole เกิดขึ้นเร็วกว่าที่ vegetal pole •ผลของ cleavage ได้เอมบริโอมีลักษณะ เป็นก้อนกลมตัน เรียกว่า morula •ต่อมาเกิดช่องว่างที่มีของเหลวบรรจุอยู่ (blastocoel) ภายใน morula เรียกเอมบริโอ ระยะนี้ว่า blastula (blastulation) คลีเวจของเอมบริโอสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้า
  • 25. คลีเวจของเอมบริโอสัตว์ปีกและสัตว์เลื้อยคลาน สาหรับไข่พวกนกและสัตว์เลื้อยคลานเป็นไข่ที่มีไข่แดงมาก คลีเวจเป็นแบบ meroblastic คือเซลล์ไม่แบ่งตัวตลอดไข่ แนวการแบ่งจะเกิดเฉพาะบริเวณด้านบนของ ไข่ซึ่งมีไซโตพลาสซึมและนิวเคลียสอยู่เท่านั้น คือบริเวณ germinal disc
  • 26. Embryonic development : blastulation เป็นขั้นการเจริญของตัวอ่อนสัตว์ที่มีต่อจากระยะคลีเวจ โดยเซลล์บลาสโตเมียร์ จะมาจัดเรียงตัวใหม่ อย่างเป็นระเบียบเป็นชั้นเดียวอยู่ที่ผิว ทาให้มีลักษณะคล้ายลูกบอลที่มีโพรงอยู่ข้างใน เรียกว่า บลาสโท ซีล (Blastocoel) ตัวอ่อนในระยะนี้เรียกว่า บลาสทูลา (Blastula) และชั้นของเซลล์ เรียกว่า บลาสโท เดิร์ม (Blastoderm)
  • 27. Blastula ของเอมบริโอ สัตว์ปีกและสัตว์เลื้อยคลาน ลักษณะของ blastula เห็นเป็ นแผ่นเรียกว่า bastodisc ซึ่งจะเรียงตัวแยกเป็ น 2 ชั้น ชั้นนอกเรียก epiblast และชั้นในเรียก hypoblast ช่องว่างตรงกลางเรียก blastocoel (blasstulation)
  • 28. Embryonicdevelopment: Gastrulation Gastrulationเป็นกระบวนการเกิดเนื้อเยื่อ 3ชั้น เรียก embryonicgerm layers 1.ectoderm เนื้อชั้นนอกของgastrula 2.mesoderm เนื้อชั้นกลาง 3.Endoderm เนื้อชั้นในซึ่งเป็นท่อยาว ระยะเอมบริโอนี้เรียกว่า Gastrula ระยะนี้เกิด cell motility / changes in cell shape/ changes in cellularadhesion
  • 29.
  • 30.
  • 31. กลุ่มเซลล์ทางด้านบนมีการแบ่งตัว อย่างรวดเร็ว และเคลื่อนที่แผ่ลงคลุม เซลล์ทางด้านล่าง พร้อมกันนั้นตรง บริเวณที่จะเกิดเกิดเป็น blastoporeจะ มีการบุ๋มตัวของกลุ่มเซลล์เหล่านี้ กลุ่ม เซลล์ที่เคลื่อนที่จะลงมาจากด้านบน และม้วนตัวผ่านตรง blastoporeเข้าสู่ ภายใน ทาให้ได้เป็นเอมบริโอที่มีเนื้อ 3 ชั้น ช่องว่างภายในที่เกิดขึ้นใหม่คือ archenteron Gastrulation ของกบ
  • 32. Gastrulation ของไก่ ระยะ gastrulationกลุ่มเซลล์ epiblast ด้านขวาและซ้ายจะเคลื่อนที่เข้าสู่แนวกลางเรียกว่า primitive streak และกลุ่มเซลล์จะม้วนตัวเข้าไปข้างใน โดยกลุ่มเซลล์ทางด้านหน้าสุดของ primitivestreak ที่ เรียกว่า Hensen’s nodeม้วนตัวเข้าไปก่อนเกิดเป็นแท่ง notochordบางกลุ่มเจริญเป็นชั้น mesoderm บาง กลุ่มเคลื่อนที่ลงไปด้านล่างเกิดเป็น endoderm และกลุ่มเซลล์ที่อยู่ด้านนอกเกิดเป็น ectoderm
  • 33. Embryonicdevelopment: Organogenesis การเกิดอวัยวะต่างๆ จากเนื้อเยื่อ 3 ชั้น •neutral tube และ notochord เป็นอวัยวะแรกที่เกิดขึ้นในกบ และ สัตว์พวก chordate อื่นๆ •dorsal mesoderm เหนือ archenteron รวมกันเกิดเป็น notochord •ectoderm เหนือ notochord หนาตัวขึ้นเกิดเป็น neutral plate แล้วบุ๋มลงไปเป็น neutral tube ซึ่ง ต่อไปจะเจริญเป็น brain, spinal cord •อวัยวะอื่นๆ เกิดขึ้นตามมา
  • 34. Ectoderm ระบบสปกคลุมร่างกาย (หนังกาพร้า, ผม,เล็บ). ระบบประสาท (สมอง, ไขสันหลัง, เรติ นา,pituitarygland), สารเคลือบฟัน (enamel),adrenalmedulla, เลนส์ตา Mesoderm ระบบหมุนเวียนและน้าเหลือง,ระบบขับถ่าย, ระบบสืบพันธุ์, adrenalcortex,กล้ามเนื้อ และกระดูก, notochord,หนังแท้, เนื้อฟัน,เนื้อเยื่อเกี่ยวพัน Endoderm Parathyroidgland,thyroid gland,ต่อมทอนซิล, ต่อมไทมัส, ตับ, ตับอ่อน, ทางเดิน อาหาร, ทางเดินอากาศ, กระเพาะปัสสาวะ Organogenesis เมื่อกระบวนการ gastrulationเสร็จสิ้นลง เอมบริโอเข้าสู่ขั้นที่เตรียมพร้อมที่จะเติบโตอย่าง อิสระ เนื้อเยื่อต่างๆจะเรียงตัวตามตาแหน่งที่จะปรากฏในขั้นเต็มวัย จับกลุ่มกันขึ้นเป็นเนื้อเยื่อและ อวัยวะตามตาแหน่งที่เฉพาะเจาะจง และเริ่มอย่างมีอิสระแต่มีการประสานงานกัน มีการจับกลุ่มกัน ของเซลล์ขึ้นเป็นรูปร่าง
  • 35.
  • 38.
  • 39.
  • 40.
  • 42. การเจริญของ extraembryonicmembranesของไก่ ประกอบด้วย 4ชั้น ได้แก่ Yolk sacมีลักษณะเป็นถุงหุ้มไข่แดง มีเซลล์ย่อยสลายไข่แดง และเยื่อหุ้มเจริญเป็นเส้นเลือด ทาหน้าที่ลาเลียงอาหาร ด้านข้างแผ่เข้าไปคลุมเอมบริโอและในที่สุดเชื่อมติดกัน ทาให้เกิดเยื่ออีก 2 ชั้น ได้แก่ amnionและ chorion เกิดเป็นช่องว่างหุ้มเอมบริโอไว้ เพื่อป้องกันอันตราย amnionเป็นถุงหุ้ม เอมบริโอภายในมีน้าคร่า (amnioticfluid)โดยมี chorionหุ้มอยู่อีกชั้นหนึ่ง นอกจากนี้มีถุงยื่นออกมา จากส่วนทางเดินอาหาร ทาหน้าที่กาจัดของเสีย เรียกว่าallantoisซึ่งจะแผ่ไปถึงและดันให้ chorion ติด กับเยื่อชั้นในของเปลือกไข่ (vitellinemembrane) allantoisและ chorion รวมกันเจริญเป็นอวัยวะช่วย ในการหายใจ โดยมีเส้นเลือดที่เจริญมาจาก allantoisทาหน้าที่ลาเลียงออกซิเจน
  • 43.
  • 44. (1)หลังจากcleavage ได้ blastocyst ซึ่งประกอบด้วย trophoblast และinner cellmass มีช่องblastocoel (2)blastocyst เป็นระยะที่จะฝังตัวเข้าไปในมดลูก และ gastrulationจะเกิดขึ้นทันทีtrophoblastเป็นกลุ่มเซลล์ที่ เรียงอยู่ด้านนอกซึ่งจะเจริญรวมกับผนังมดลูกกลุ่มเซลล์ inner cell mass แยกตัวเป็น epiblast ซึ่งจะเจริญเป็นเนื้อ3 ชั้นและ hypoblast ซึ่งจะแผ่ตัวเป็นเยื่อชั้นในเป็นyolksac (3)ระยะนี้trophoblast เริ่มเจริญร่วมกับผนังมดลูกเป็น chorion ส่วน epiblastเจริญเป็น amnion ภายในมี ของเหลวเรียกว่าน้าคร่า(amniotic fluid)บางส่วนของ epiblast แยกเป็น mesodermal cell เจริญรวมกับchorion เป็นรก(placenta) (4)กลุ่มเซลล์ epiblast มีการม้วนตัวเข้าสู่แนวกลางตัวเกิด primitive streakและมีการม้วนตัวเข้าไปข้างในเกิดเป็น เนื้อ 3 ชั้น อยู่ภายใน extraembryonic membranes การเจริญของเอมบริโอของคนและextraembryonic membranes
  • 45.
  • 46.
  • 47.
  • 48.
  • 49.
  • 50.
  • 51.
  • 52.
  • 53.
  • 54. การเจริญหลังระยะเอมบริโอ •ในสัตว์บางชนิดเมื่อเอมบริโอเจริญมากขึ้นจนครบกาหนดแล้ว จะเจริญเป็นตัวเต็มวัยเลย •สัตว์บางชนิดจะผ่านระยะที่เรียกว่า larvaซึ่งเริ่มตั้งแต่เอมบริโอฝักเป็นตัวจะกระทั่งมีการ เปลี่ยนแปลง metamorphosisเกิดขึ้นเช่นลูกอ๊อดของกบ แล้วจึงเจริญเป็นตัวเต็มวัย •สาหรับในคน การเจริญระยะหลังเอมบริโอส่วนใหญ่เป็นการเติบโตที่มีการเพิ่มขนาด ปริมาตร น้าหนักอัตราการเติบโตของส่วนต่างๆของร่างกายจะไม่เท่ากัน
  • 57. การเจริญเติบโตของสิ่งมีชีวิต 1.ความหมายของการเติบโต (growth) ของสิ่งมีชีวิต 1.1 สิ่งมีชีวิตเซลล์เดียว การเจริญเติบโตของสิ่งมีชีวิตเซลล์เดียว เช่น โพรโทซัว แบตทีเรียและสิ่งมีชีวิต อื่น ๆ พบว่าการเติบโตประกอบด้วย 1.การสร้างไซโทพลาซึม 2.การขยายขนาดของเซลล์ การเติบโต = การสร้างไซโทพลาซึม + การขยายขนาดของเซลล์ 1.2สิ่งมีชีวิตหลายเซลล์ การเติบโตของสิ่งมีชีวิตหลายเซลล์ เช่นพืช สัตว์ สาหร่าย เห็ดรา ทั่ว ๆ ไป พบว่าการเติบโตประกอบด้วย 1.การแบ่งเซลล์ เพื่อเพิ่มจานวนเซลล์โดยมีการแบ่งแบบไมโทซิส 2.การสร้างไซโทพลาซึม ทาให้เซลล์เพิ่มมวลมากขึ้น 3.การขยายขนาดของเซลล์ เพื่อทาให้เซลล์เพิ่มปริมาตรมากขึ้น การเติบโตของสิ่งมีชีวิต = การเพิ่มปริมาณโพรโทพลาซึม + การขยายขนาดของเซลล์ + การเพิ่มจานวน เซลล์
  • 58. การวัดอัตราการเจริญเติบโตของสิ่งมีชีวิต 1.การนับจานวนเซลล์ที่เพิ่มขึ้นวิธีนี้กระทาได้ยาก ไม่สะดวก 2.การวัดความสูง เป็นเพียงการคาดคะเนการเติบโต เพราะความสูงอาจไม่เพิ่มในอัตราส่วนเดียวกันกับ มวลโดยเฉพาะพืชที่เจริญกันอย่างหนาแน่นมาก ๆ 3.การวัดมวลทั้งหมดของสิ่งมีชีวิต นิยมใช้มากที่สุด แต่ไม่ใช่เกณฑ์ที่ดีที่สุดเพราะน้าหนักที่เพิ่มขึ้นอาจ เนื่องมาจากปริมาตรของของเหลวที่เพิ่มขึ้นในร่างกาย 4.การวัดน้าหนักแห้งหรือน้าหนักคงที่เป็นเกณฑ์วัดการเติบโตดีที่สุด เพราะน้าหนักแห้งเป็นน้าหนักของ มวลอินทรีย์ที่เกิดจากการเติบโตที่แม้จริงเพราะน้าหนักแห้งมาจากการสร้างไซโทพลาซึมของเซลล์
  • 59. กราฟแสดงการเติบโตของสิ่งมีชีวิต กราฟแสดงการเติบโตของสิ่งมีชีวิต มี3 ลักษณะ คือ 1.กราฟรูปตัวเอส (s – shaped curve) พบในสัตว์ทั่ว ๆ ไป ยกเว้นอาร์โทรพอดและพบในพืช ล้มลุก โดยการแบ่งการเติบโตเป็น 3 ระยะ คือ 1.ระยะ Iมีอัตราการเติบโตต่า 2.ระยะ IIมีอัตราการเติบโตสูงสุด 3.ระยะ III มีอัตราการเติบโตต่าสุด 2.กราฟรูปตัวเอสต่อเนื่อง พบในไม้ยืนต้นที่มีเนื้อไม้ ซึ่งมีการเจริญเติบโตในแต่ละฤดูกาลไม่ เท่ากัน โดยในฤดูน้ามากจะมีอัตราการเติบโตสูง ส่วนฤดูแล้งจะมีอัตราการเติบโตต่า 3.กราฟรูปขั้นบันได พบในอาร์โทรพอดทุกชนิด ซึ่งมีการลอกคราบเพื่อการเติบโต 2.การเจริญเติบโตของสิ่งมีชีวิต (Development) การเจริญของสิ่งมีชีวิต เป็นกระบวนการที่ร่างกายของสิ่งมีชีวิตเปลี่ยนแปลงไปโดยเพิ่มจานวนเซลล์ เพิ่ม ขนาดของเซลล์หรือเปลี่ยนแปลงสภาพของเซลล์อย่างใดอย่างหนึ่งหรือหลายอย่างพร้อม ๆ กัน ทาให้เกิด เนื้อเยื่อและอวัยวะต่างๆ
  • 61.
  • 62. สรุป: กระบวนการเจริญเติบโตของเอ็มบริโอของสัตว์ • ไข่เมื่อได้รับการผสมแล้วจะกลายเป็นไซโกต (Zygote) แล้วมีการแบ่งนิวเคลียสแบบไมโทซีส ไซโกตจะ มีการเปลี่ยนแปลง ต่อเนื่องกัน 4 ระยะ คือ • 1.CLEAVAGE เริ่มจากไซโกตแบ่งตัวจาก 1  2  4  8 ... จนกระทั้งเซลล์มาเกาะกันเป็นก้อน กลมๆ เรียกก้อนกลมๆนี้ว่า โมรูลา (MORULA) มีลักษณะคล้ายลูกน้อยหน่า • 2.BLASTULAเป็นตัวอ่อนในระยะที่มีการเคลื่อนที่ของเซลล์เพื่อให้ได้ช่องว่างในตัวอ่อนเรียกช่องว่าง นี้ว่า BLASTOCOELและเรียกเซลล์ที่ล้อมช่องว่างว่า BLASTODERM
  • 63. สรุป: กระบวนการเจริญเติบโตของเอ็มบริโอของสัตว์ • 3 GASTRULA เป็นตัวอ่อนที่ต่อจากระยะ BLASTULA คือเซลล์แบ่งตัวแล้วเคลื่อนที่ เข้าข้างในเห็นตัวอ่อนเป็นรูปถ้วยซึ่งดูคล้ายมีผนัง 2ชั้น คือ ชั้นนอกและชั้นในและ ในตอนนี้จะเห็นมีช่องว่าง 2 ช่อง คือ BLASTOCOEL และ ARCHENTERON ซึ่งช่อง ARCHENTERON ต่อไปจะเจริญไปเป็นทางเดินอาหาร ต่อมาจะเกิดเนื้อเยื่อแทรก ระหว่างเนื้อเยื่อชั้นนอกและเนื้อเยื่อชั้นในเนื้อเยื่อที่เกิดขึ้นใหม่นี้คือเนื้อเยื่อชั้นกลางใน ตอนท้ายระยะ GASTRULA จะมการสร้าง ระบบประสาทขึ้น • 4 DIFFERENTIATION คือขบวนการที่เนื้อเยื่อ 3ชั้น คือ ชนนอก (ectoderm) ชั้นกลาง (mesoderm) ชนใน (endoderm) เปลี่ยนแปลงไปเป็นโครงสร้างต่างๆของร่างกาย คือ
  • 64. DIFFERENTIATION • Ectoderm (เนื้อเยื่อชั้นนอก) เปลี่ยนแปลงไปเป็น • ผิวหนังขนเขา เล็บ เกล็ด กีบเท้าสัตว์ • ระบบประสาท (สมอง,ไขสันหลัง) • ต่อมใต้สมองส่วนหน้า และส่วนกลาง • สารเคลือบฟัน ต่อมน้าลาย • ต่อมหมวกไตชั้นใน ต่อมใต้สมองส่วนท้าย • Mesoderm (เนื้อเยื่อชั้นกลาง) เปลี่ยนแปลงไปเป็น • ระบบโครงกระดูก ระบบกล้ามเนื้อ • ระบบหมุนเวียนโลหิต(หัวใจ เส้นเลือด เลือด ม้าม) • ระบบขับถ่าย (ไต) - ระบบสืบพันธุ์ (อัณฑะ รังไข่)
  • 65. DIFFERENTIATION • Endoderm (เนื้อเยื่อชั้นใน)เปลี่ยนแปลงไปเป็น • ระบบทางเดินอาหาร (หลอดอาหาร,กระเพาะอาหาร , ลาไส้ , ตับ , ตับอ่อน) • ระบบหายใจ (หลอดลม , ปอด) - ต่อมทอนซิล หูส่วนกลาง ต่อมไทรอยด์ • ต่อมพาราไทรอยด์ อัลแลนตอยด์ ถุงไข่แดง • กระเพาะปัสสาวะ ท่อปัสสาวะ • เซลล์ที่จะเจริญเป็นเซลล์สืบพันธุ์ (primordial germ cell) • การคลอด (Parturition) การตั้งครรภ์ในคน กินเวลาประมาณ 270วัน นับตั้งแต่การ ผสมของไข่ หรือ284วัน นับตั้งแต่วันแรกของประจาเดือนครั้งสุดท้าย ในระยะสุดท้าย ของการตั้งครรภ์ มดลูกจะบีบตัวเป็นครั้งคราว และการบีบตัวนี้จะเกิดบ่อยขึ้น ในระยะนี้ กล้ามเนื้อมดลูกจะมีความไวในการตอบสนองต่อ ออกซิโทซิน (oxcytocin) มากขึ้น เมื่อเริ่มเจ็บท้อง ศีรษะของเด็กที่ดันขยายส่วนล่างของมดลูก จะมีผลกระตุ้นให้มีการขับออก ซิโทซินออกมามากขึ้น มีผลทาให้มดลูกบีบตัวแรงขึ้น ทาให้เกิดการคลอดได้
  • 66. พัฒนาการ-ของทารกในครรภ์ช่วง9เดือนภายในครรภ์มารดา • พัฒนาการทารกในครรภ์ นั้นเริ่มนับตั้งแต่วันแรกของการมีประจาเดือนครั้งสุดท้าย แม้ คุณหมอจะบอกคุณว่าตั้งครรภ์ได้ 1 เดือน แต่ความเป็นจริงคือ 2 สัปดาห์หลังจากการ ปฏิสนธิ การตั้งครรภ์โดยปกตินั้นมีระยะเวลาเฉลี่ยคือ 40 สัปดาห์ • 1 เดือนแรก (3 สัปดาห์นับจากวันแรกของประจาเดือนครั้งสุดท้าย) เป็นช่วงเวลาที่ไข่ได้ ผสมกับอสุจิกลายเป็นตัวอ่อน โดยไข่ที่ได้รับการผสมแล้วจะเคลื่อนตัวช้าๆ ผ่านท่อนาไข่ มายังโพรงมดลูก ขณะเคลื่อนตัวก็จะมีการแบ่งเซลล์เพิ่มจานวนมากขึ้นเรื่อยๆ จะกระทั่ง ถึงโพรงมดลูกไข่จะมีลักษณะเป็นลูกกลม ประกอบไปด้วยเซลล์ราว 100 เซลล์ และยังคง เจริญเติบโตต่อไป ไข่ที่ผ่านการผสมแล้วจะฝังตัวลงในเยื่อบุโพรงมดลูกซึ่งมีลักษณะนุ่ม และหนา จนเมื่อยึดเกาะติดมั่นคงดีแล้วจึงถือได้ว่าการปฏิสนธิเป็นไปอย่างสมบูรณ์ • ช่วงเดือนที่ 2 (เริ่มสังเกตเห็นทารกชัดเจน) เมื่อไข่ที่ผสมแล้วยึดเกาะติดฝังตัวลงในเยื่อบุ โพรงมดลูกเรียบร้อยดีแล้ว ช่วงเดือนที่ 2 ของพัฒนาการทารกในครรภ์นี้ทารกเริ่ม มองเห็นเป็นตัวแล้ว การพัฒนาการของทารกในครรภ์สังเกตได้อย่างชัดเจนจากหัวของ ทารกที่จะโตกว่าส่วนอื่น รูปหน้า มือและเท้า ปรากฎให้เห็น ช่วงปลายเดือนถ้าอัลตรา ซาวด์จะเห็นการเคลื่อนไหวและจับการเต้นหัวใจได้ ทั้งมองเห็นสายรกโดยรกนี้ทาหน้าที่ เสมือนเป็นปอดแลกเปลี่ยนคาร์บอนไดออกไซด์กับออกซิเจนจากคุณแม่ และยังเป็น เสมือนสายใยที่คอยลาเลียงอาหารจากคุณแม่สู่ทารกในครรภ์อีกด้วย
  • 67. พัฒนาการ-ของทารกในครรภ์ช่วง9เดือนภายในครรภ์มารดา • ช่วงเดือนที่ 3 (หัวใจจะเป็นรูปเป็นร่างเต็มที่ ) ในเดือนที่ 3 โครงสร้างใบหน้าของทารก เริ่มสมบูรณ์ แต่เปลือกตายังปิดอยู่ การทางานของระบบสมอง และกล้ามเนื้อเริ่มมี ความสัมพันธ์กัน กล้ามเนื้อต่างๆ มีการเจริญเติบโต แขนขาเริ่มยืดออก และเคลื่อนไหว ได้ ข้อต่างๆ เริ่มเชื่อมต่อกัน นิ้วมือนิ้วเท้าสมบูรณ์ และเริ่มงอได้ ปลายนิ้วมีเล็บ ทารกจะ หัดดูดนิ้ว และเริ่มกลืนน้าคร่าได้ โดยตัวทารกนั้นจะลอยอยู่ในน้าคร่าภายมดลูก ซึ่ง น้าคร่านี้เองทาหน้าที่ปกป้องและห่อหุ้มทารกไม่ให้ได้รับความกระทบกระเทือน • คุณแม่พึงระมัดระวังคือ ช่วงมีครรภ์ 3 เดือนแรกนี้ มีอัตราเสี่ยงในการแท้งค่อนข้างสูง ต้องดูแลตัวเองอย่างมาก และระมัดระวังเรื่องยาที่รับประทาน ถ้ามีความจาเป็นต้องใช้ยา ควรปรึกษาแพทย์ก่อน • ช่วงเดือนที่ 4 (การเติบโตของทารกที่ใกล้จะสมบูรณ์) เดือนที่ 4 ของการพัฒนาทารกใน ครรภ์ แขนและข้อต่อต่างๆ พัฒนาอย่างสมบูรณ์ กล้ามเนื้อมีความแข็งแรงขึ้น ทารก สามารถเคลื่อนไหวได้อย่างกระฉับกระเฉง แต่คุณแม่อาจจะยังไม่รู้สึกว่าลูกเคลื่อนไหว เริ่มมีขนอ่อนปกคลุมตามส่วนต่างๆ ของร่างกายทารก สามารถได้ยินเสียงหัวใจเต้น เริ่ม มีไตที่ทางานได้เหมือนผู้ใหญ่ นอกจากนี้ทารกยังมีจานวนเส้นประสาทและกล้ามเนื้อ มากกว่าเดือนที่แล้วถึง 3 เท่า สามารถเตะ งอนิ้วมือนิ้วเท้า กลอกตาได้อวัยวะเพศพัฒนา มากขึ้นจนสามารถบอกได้ว่าเป็นเพศใด
  • 69. พัฒนาการ-ของทารกในครรภ์ช่วง9เดือนภายในครรภ์มารดา • ช่วงเดือนที่5 ของพัฒนาการทารกในครรภ์?(ทารกเริ่มรู้สึกกับสิ่งแวดล้อมภายนอกได้) เดือนที่5 พัฒนาการของทารกในครรภ์จะมีการเจริญเติบโตอย่างรวดเร็วระยะนี้คุณแม่จะ เริ่มรู้สึกแล้วว่าทารกดิ้นหรือมีการเคลื่อนไหวเป็นระยะๆโดยฟันจะถูกสร้างขึ้นมาแต่จะอยู่ ใต้ขากรรไกรเริ่มมีผมบนศีรษะกล้ามเนื้อต่างๆมีความแข็งแรงมากขึ้น ทารกเคลื่อนไหว มากขึ้นลาตัวทารกช่วงนี้ยาวประมาณ9 นิ้วและร่างกายจะผลิตสารสีขาวข้นที่เรียกว่าเวอร์ นิกซ์ ขึ้นมาเคลือบเพื่อปกป้องผิวเส้นผมคิ้วและขนตาเริ่มงอกเริ่มพัฒนาประสาทสัมผัสคือ รับรู้รส ได้กลิ่นและได้ยินตายังปิดอยู่แต่รับรู้แสงสว่างจ้าได้ดังนั้นเวลาคุณพูดแกจะได้ยิน หรือเวลาที่คุณลูบท้องแกก็จะรู้สึกเช่นกันช่วงปลายเดือนนั้นทารกยังเริ่มถ่ายปัสสาวะลงสู่ น้าคร่าได้อีกด้วย • ช่วงเดือนที่6 ของพัฒนาการทารกในครรภ์?(การตอบสนองของทารกชัดเจน) ร่างกายของทารกเริ่มเติบโตช้ากว่าเดิมเพื่อให้อวัยวะภายในเช่นปอด ระบบย่อยอาหาร และระบบภูมิคุ้มกันได้พัฒนาอย่างเต็มที่ที่น่าอัศจรรย์คือทารกสามารถควบคุมการ เคลื่อนไหวทาให้คุณแม่รู้สึกได้โดยเฉพาะตอนนอนพักทารกสามารถได้ยินเสียงหัวใจเต้น เสียงพูดเสียงดนตรีและสามารถตอบสนองการกระตุ้นของแม่ทารกในช่วงนี้อาจจะดูผอม บาง เนื่องจากมีไขมันสะสมอยู่ใต้ผิวหนังน้อย
  • 70. พัฒนาการ-ของทารกในครรภ์ช่วง9เดือนภายในครรภ์มารดา • ช่วงเดือนที่7 ของพัฒนาการทารกในครรภ์?(พัฒนาการพร้อมออกสู่โลกกว้าง) ทารกในครรภ์เดือนที่7 มีการสร้างไขมาปกคลุมผิวหนังลาตัวเพื่อความอบอุ่น และป้องกันผิวหนังจากน้าปอดของทารกพัฒนาอย่างสมบูรณ์เปลือกตาเริ่ม เปิด และนัยน์ตาพัฒนาไปมากจนมองเห็นแสงที่ผ่านมาทางหน้าทองแม่ได้ เสียงดังๆทาให้ทารกเคลื่อนไหวและการเต้นของหัวใจเปลี่ยนไปตามเสียงและ แสงไฟต่อมรับรสของทารกพัฒนาไปมากถ้าทารกเกิดคลอดออกมาช่วงเวลานี้ จะมีโอกาศรอดค่อนข้างสูงเพราะอวัยวะสาคัญทั้งหลาย • ช่วงเดือนที่8 ของพัฒนาการทารกในครรภ์?(ทารกกลับตัวพร้อมออกมาลืมตา ดูโลก) เดือนที่8 แห่งพัฒนาการของทารกทารกจะมีขนาดและสัดส่วนใกล้เคียงกับ เด็กแรกเกิดมีความแข็งแรงมากขึ้นในช่วงนี้ทารกจะเริ่มกลับหัวเข้าสู่อุ้งเชิง กรานการดิ้นของทารกจะสามารถสังเกตเห็นได้จากหน้าทองของแม่ช่วงนี้ ก่อนคลอดหนึ่งเดือนคุณแม่อาจมีอาการมดลูกบีบรัดตัวซึ่งเป้นอาการที่เรียกว่า เจ็บท้องหลอกการหดตัวรัดตัวนี้ก็เพื่อดันตัวทารกมาประชิดปากมดลุกเพื่อ เตรียมพร้อมที่จะคลอด
  • 71. พัฒนาการ-ของทารกในครรภ์ช่วง9เดือนภายในครรภ์มารดา • ช่วงเดือนที่ 9 ของพัฒนาการทารกในครรภ์?(เตรียมตัวเป็นแม่คน) ในเดือนนี้ทารกจะอยู่ในท่าที่พร้อมจะคลอด เล็บมีการเจริญเติบโต และยาวครอบคลุมปลายนิ้ว ผมบน ศีรษะมีความยาวประมาณ 1-2 นิ้ว ถ้าเป็นครรภ์แรกศีรษะของทารกจะเคลื่อนเข้าไปอยู่ในอุ้งเชิงกราน ดังนั้นคุณแม่อาจคลอดตอนไหนก็ได้ในช่วงนี้ ทารกส่วนใหญ่จะคลอดตามกาหนดหรือช้าไป 2 สัปดาห์ หลังกาหนด
  • 73.
  • 75.
  • 76.
  • 77.
  • 78.
  • 80. ความผิดปกติของการตั้งครรภ์ • 1.ครรภ์เป็นพิษ หรือที่เรียกว่า Toxemia of Pregnancy มักมีอาการเมื่อตั้งครรภ์ได้ 5-6 เดือน ขึ้นไป จนกระทั่งหลังคลอดหนึ่งสัปดาห์ สาเหตุยังไม่ทราบแน่ชัด มักพบในครรภ์แรก ครรภ์แฝด ครรภ์ไข่ปลาอุก และ ในผู้หญิงที่เคยเป็นเบาหวาน หรือโรคความดันโลหิตสูง หรือโรคไตอยู่ก่อน ภาวะครรภ์เป็นพิษแบ่งเป็นสองชนิด ชนิดแรกผู้ป่ วยมีอาการบวม ความดันโลหิตสูง และตรวจพบโปรตีนหรือไข่ขาวในปัสสาวะ อีกชนิดเป็นแบบ ร้ายแรง โดยจะมีอาการชักหรือหมดสติร่วมด้วย ซึ่งเป็นอันตรายถึงกับเสียชีวิตได้ • 2. ฝาแฝด ตามปกติร่างกายของคนเรามีการตั้งครรภ์และคลอดทารกคราวละ 1 คน แต่บางกรณีร่างกายของ คนเราอาจมีโอกาสตั้งครรภ์และคลอดทารกครั้งละมากกว่า 1 คน เรียกว่า “ ฝาแฝด ” ซึ่งถือเป็นความผิดปกติ ของการตั้งครรภ์แบบหนึ่ง ฝาแฝดมี 2 ประเภท คือแฝดร่วมไข่ และ แฝดต่างไข่ • 3. การท้องนอกมดลูก มีบางครั้งที่เหตุการณ์ของการตั้งครรภ์ไม่ได้เป็นตามปกติ กล่าวคือ ภายหลังการผสม ไข่ ที่ถูกผสมไม่ อย่างไรก็ตาม การตั้งครรภ์นอกมดลูกที่พบบ่อยที่สุดคือ การตั้งครรภ์ที่ท่อนาไข่ สาหรับการ ตั้งครรภ์ที่รังไข่หรือช่องท้องพบได้น้อยมาก ได้เดินกลับมาฝังที่มดลูก บางรายฝังที่ท่อนาไข่เลย เรียกว่า การ ตั้งครรภ์ที่ท่อนาไข่ บางรายไข่ที่ผสมแล้วกลับเดินทางต่อไปฝังตัวที่รังไข่ เรียกว่า การตั้งครรภ์ที่รังไข่ หรือบาง รายไข่ที่ผสมแล้วหลุดจากท่อนาไข่แล้วไปฝังอยู่ในช่องท้องเรียกว่า การตั้งครรภ์ในช่องท้อง การตั้งครรภ์ต่างๆ เหล่านี้ คือการตั้งครรภ์นอกมดลูกหรือท้องนอกมดลูกทั้งสิ้น
  • 81. สาวมาด เมกะแดนซ์ ครรภ์เป็นพิษ หามส่งไอซียู การท้องนอกมดลูก
  • 82. ความผิดปกติของการตั้งครรภ์ • 4.รกเกาะต่า ภาวะตกเลือดในสตรี ในช่วงท้าย ๆของการตั้งครรภ์ หรือการคลอด ส่วนใหญ่จะมาจากสาเหตุของ รกเกาะต่า ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องระวังและอาจเกิดได้ประมาณ 1ใน 200 การตั้งครรภ์ ภาวะรกเกาะต่า หรือ placenta previa (placenta=รก) หมายถึงภาวะ ที่การเกาะของรก เกาะต่าลงจากปกติที่อยู่สูงขึ้นไป ในมดลูก บางครั้ง เกาะต่าลงมาถึงปากช่องคลอด และทาให้เกิดปัญหา คือเลือดออกในช่วงที่ปากช่องคลอด ขยายตัว คือช่วงครึ่งหลัง (3-8 เดือน)ของการตั้งครรภ์ และถ้าเป็นมาก อาจทาให้ตกเลือด เด็กไม่สามารถคลอด ตามปกติ ต้องผ่า เพราะมีรกขวางอยู่
  • 83. การมีลูกแฝด(Twins) • เกิดจากการแบ่งเซลล์ ของไข่ที่ได้รับการผสมแล้วผิดปกติ หรือเกิดจากการสุกของไข่ ผิดปกติ ฝาแฝดแบ่งออกเป็น 2 ลักษณะ คือ 1. ฝาแฝดแท้ (Identical Twins) เกิดจากไข่ใบเดียวผสมกับอสุจิตัวเดียว แต่เมื่อมี การแบ่งเซลล์แล้ว เกิดแยก ออกเป็น 2กลุ่ม ฝังตัวอยู่ในผนังมดลูกที่เดียวกัน ยีนเหมือนกัน เด็กเพศเดียวกันหน้าเหมือนกัน 2. ฝาแฝดเทียม(Fraternal Twins) เกิดจากไข่ 2ใบและอสุจิ 2ตัวผสมกัน ฝังตัว ในผนังมดลูกคนละฝั่งกัน รก และถุงหุ้มตัวอ่อนแยกจากกัน แต่ละส่วนจะแบ่งเซลล์ด้วย ตัวเองยีนต่างกัน เด็กจะไม่ติดกัน อาจเป็นเพศเดียวกันหรือ ต่างเพศ กันก็ได้
  • 84. สรุป : การเกิดฝาแฝด (Twin formation) มี 2 ประเภท คือ ฝาแฝดร่วมไข่ และฝาแฝดต่างไข่ 1. แฝดร่วมไข่ เป็นฝาแฝดที่เกิดจากการรวมตัวกันของเซลล์ไข่ 1 ใบ และอสุจิ 1 ตัว ขณะที่กาลังเจริญเติบโต เอ็มบริโอมีการแบ่งเซลล์เช่น จาก 1 เป็น 2 และแยกขาดออกจากัน แต่ละส่วนจะเจริญเติบโตเป็นทารกที่มี อวัยวะครบสมบูรณ์จนกระทั่งคลอด แฝดประเภทนี้จะเป็นเพศเดียวกันเสมอมีรูปร่างลักษณะเหมือนกัน และถ้า ได้รับการเลี้ยงดูในสภาพแวดล้อเดียวกันจะมีอุปนิสัยและความสามารถที่คล้ายกันมาก ในกรณีที่เอ็มบริโอแบ่งตัว ออกเป็น 2 แต่ไม่แยกออกจากกัน เมื่อทารก เจริญเติบโตจะได้ทารกตัวติดกัน 2. แฝดต่างไข่ เป็นแฝดที่เกิดจากมีไข่สุกมากกว่า 1 ใบ ไข่แต่ละใบจะมีโอกาสเข้าผสมกับตัวอสุจิแต่ละตัวและ เกิดการปฏิสนธิในเวลาใกล้เคียงกัน จะได้เอ็มบริโอ เจริญเติบโตอยู่ภายในมดลูกเดียวกัน แต่แยกรกกันและทารก จะคลอดออกมาในเวลาใกล้เคียงกัน ฝาแฝดชนิดนี้อาจเป็นเพศเดียวกันหรือต่างเพศกันก็ได้ ส่วนหน้าตาและ ลักษณะทางพันธุกรรมจะมีลักษณะคล้ายกัน
  • 85.
  • 87.
  • 88. What is this twin type ?
  • 89. การคุมกาเนิด(contraception) • การคุมกาเนิดเป็นวิธีป้องกันการตั้งครรภ์สาหรับหญิงที่ไม่พร้อมจะมีบุตร การคุมกาเนิดมีหลายวิธีให้ เลือกใช้ตามความเหมาะสม แบ่งออกเป็น 3 วิธีใหญ่ๆ คือการป้องกันการเกิดปฏิสนธิ (prevent sperm and egg from meeting) การป้องกันการฝังตัวของตัวอ่อน (pervent implantation) และการยับยั้งการตกไข่และสเปิร์ม (prevent release of gamete) 1. การป้องกันการปฏิสนธิ (prevent sperm and egg from meeting) • 1.1การคุมกาเนิดแบบนับวัน (rhythm method) เป็นวิธีการหลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์ ในช่วงไข่ตก จากการศึกษาพบว่าไข่ที่ตกออกมาสามารถมีชีวิตอยู่ในท่อนาไข่ได้นาน 24 ถึง 48 ชั่วโมง ส่วนสเปิร์มอยู่ในท่อนาไข่ได้นานถึง 72 ชั่วโมง ดังนั้น การคุมกาเนิดโดยวิธีนี้จึงควรหลีกเลี่ยง การมีเพศสัมพันธ์ในช่วง 7วันก่อนและหลังไข่ตก ประสิทธิภาพของการคุมกาเนิดด้วยวิธีการนี้ต้องใช้ ควบคู่ไปกับความรู้เรื่องการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิในร่างกาย การเปลี่ยนแปลง ของเมือกในช่อง คลอด เป็นต้น อัตราการตั้งครรภ์จากการคุมกาเนิดแบบนับวัน คือ10 ถึง 20เปอร์เซ็นต์ • 1.2การใช้ถุงยางอนามัย (condoms method) เป็นกลไกคุมกาเนิดที่ใช้กับฝ่ ายชายเป็นวิธี ป้องกันสเปิร์ม เข้าไปในระยะสืบพันธุ์ของเพศหญิงขอดีของวิธีการใช้ถุงยางอนามัยนอกจากใช้ คุมกาเนิดแล้วและวิธีนี้ยังสามารถป้องกันโรคเอดส์และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้
  • 90.
  • 91.
  • 92. การคุมกาเนิด(contraception) • 1.3การใช้ไดอะแฟรม (diaphragm) เป็นวิธีการคุมกาเนิดโดยใช้ฝาครอบปากมดลูก เพื่อป้องกันการเข้า ไปปฏิสนธิของสเปิร์ม การคุมกาเนิดโดยวิธีนี้ก่อนใช้มักจะทาครีมลงบนไดอะแฟรมเพื่อฆ่าสเปิ ร์ม อัตราการ ตั้งครรภ์โดย วิธีการใช้ถุงยางอนามัยและการใช้ไดอะแฟรม น้อยกว่า 10เปอร์เซ็นต์ • 1.4การหลั่งภายนอก (withdrawal method) วิธีคุมกาเนิดโดยฝ่ ายชายจะหลั่งซีเมนภายนอกระบบ สืบพันธุ์เพศหญิง การคุมกาเนิดด้วยวิธีนี้พบว่าโอกาสในการตั้งครรภ์มีสูงถึง 22 เปอร์เซ็นต์ • 1.5การทาหมันถาวร (sterilization) การคมกาเนิดแบบถาวร เป็นวิธีการคุมกาเนิดที่นิยมอย่าง แพร่หลายใน สตรีที่มีอายุเกิน 30ปี อัตราการตั้งครรภ์ 0.15 เปอร์เซ็นต์ การคุมกาเนิดแบบถาวรมี 2 ประเภท • 1) การทาหมันหญิง (tubal ligation) โดยการตัดท่อนาไข่แล้วผูกปลายแต่ละส่วนที่ตัดออก วิธีนี้เพศ หญิง 1ใน 4เลือกใช้ • 2) การทาหมันชาย (vasectomy) โดยการตัดท่อนาสเปิร์มหรือวาสดิเฟรนส์ (vas deference) แล้วผูกปลายแต่ละส่วนที่ถูกตัดออกเพื่อยับยั้งการเคลื่อนที่ของสเปิร์มออกนอกร่างกาย ไม่มีผลข้างเคียง เกิดขึ้น การผลิตสเปิร์มปกติแต่อาจช้าลงและถูกเซลล์เม็ดเลือดขาวจับกิน ส่วนของปริมาณซีเมนต์ผลิตได้ใน ปริมาณปกติ การผ่าตัดกลับคืนสู่สภาพเดิมพบว่า ประสบความสาเร็จ 70 เปอร์เซ็นต์ แต่ในการทาหมันเกิน 10 ปีขึ้นไป โอกาสจะกลายเป็นหมันสูงถึง 70 เปอร์เซ็นต์ ทั้งนี้ เพราะการพัฒนาแอนติบอดีในร่างกายที่เข้า ทาลายสเปิร์มของตนเอง
  • 93.
  • 94. ตารางแสดงความแตกต่างการทาหมันชายและการทาหมันหญิง ความแตกต่าง ชาย (Vassectomy) หญิง (Tubal Ligation) จุดมุ่งหมาย ไม่ให้อสุจิผ่านท่ออสุจิออกมา ไม่ให้ไข่ผ่านท่อนาไข่มาผสมกับ อสุจิ วิธีการ ตัดท่อ Vas Deferens ออก ส่วนหนึ่ง ตัดท่อนาไข่ออกส่วนหนึ่งและผูก ปลายไว้ ผล อสุจิถูกดูดซึมกลับเข้าไปใน อัณฑะน้าอสุจิจะไมมีอสุจิอยู่ ไข่ยังคงมีการเจริญแต่ผ่านออกไป ผสมไม่ได้ การแก้หมัน การเชื่อมต่อท่อ Vas Deferens การเชื่อมต่อท่อนาไข่
  • 95. การคุมกาเนิด(contraception) • 2. การป้องกันการฝังตัวของตัวอ่อน(pervent implantation)เป็นวิธีการคุมกาเนิดโดยวิธีการใส่ห่วง (intrauterine device หรือIUD) ซึ่งเป็นพลาสติกรูปกลมหรอโค้งขนาดเล็กสอดเข้าไปในมดลูกโดย แพทย์ผู้ชานาญการใส่ครั้งหนึ่งอาจทิ้งไว้ได้นานถึง10ปี หรือจนต้องการมีบุตรวิธีการคุมกาเนิดแบบนี้มี ประสิทธิภาพถึง90เปอร์เซ็นต์กลไกการทางานของวิธีการนี้ยังไม่สามารถระบุได้ชัดแต่พบว่าร่างกายผลิตเม็ดเลือด ขาวออกมาต่อต้านสิ่งแปลกปลอมข้อเสียของการคุมกาเนิดแบบใส่ห่วงคือ เลือดไหลกระปิดกระปอยและเป็นลิ่ม เสี่ยงต่อการอักเสบของมดลูกปัจจุบันไม่เป็นที่นิยมใช้ • 3. การยับยั้งการตกไข่และสเปิร์ม(prevent release of gamete)เป็นการคุมกาเนิดโดยการใช้ฮอร์โมน เป็นการป้องกันการตกไข่มีหลายประเภทให้เลือกใช้เช่นรับประทานยาคุมกาเนิด (oral pill) การฉีดยาคุมกาเนิด (DMPA หรือDepo-Provera) การฝังแคปซูลใต้ผิวหนัง(Norplant) • 3.1 รับประทานยาเม็ดคุมกาเนิดเป็นการป้องกันการตกไข่จากการสารวจพบว่า80เปอร์เซ็นต์ที่สตรีทั่วโลก นิยมใช้ ยาเม็ดคุมกาเนิดเป็นยาที่ประกอบด้วยฮอร์โมน2ชนิด คือ ฮอร์โมนโพรเจสติน (โพรเจสเทอโรน สังเคราะห์)และ เอสโทรเจน(เอสโทรเจนสังเคราะห์)ซึ่งมีผลไปยับยั้งการหลั่งLH และFSH วิธีการใช้ คือ รับประทานครั้งละ1 เม็ดเป็นเวลา3 สัปดาห์แล้วหยุดสัปดาห์ต่อไปจะเว้นการรับประทานแต่บางบริษัทจะให้ รับประทานน้าตาลหรือวิตามินอัดเม็ดโดยไม่มีการเว้นหลังจากนั้นเมื่อขาดฮอร์โมนประจาเดือนจะไหลพบว่า เมื่อใช้อย่างถูกวิธีการคุมกาเนิดด้วยวิธีนี้จะมีประสิทธิภาพสูงถึง99.7เปอร์เซ็นต์จากการศึกษาพบว่าการใช้ยา คุมกาเนิดที่ใช้โดสต่างๆพบว่าเป็นผลดีต่อสตรีที่ไม่สูบบุหรี่จนเข้าสู่วัยทองแต่สตรีที่มีอายุเลย35ปีขึ้นไปที่มี พฤติกรรมในการสูบบุหรี่หรือมีความดันโลหิตสูงการใช้ยาคุมกาเนิดจะเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจ
  • 96.
  • 97. การคุมกาเนิด(contraception) • 3.2การคุมกาเนิดแบบฉุกเฉิน (emergency contraception) ยาเม็ดคุมกาเนิดแบบ ฉุกเฉินนี้ เป็นยาที่ใช้หลังการมีเพศสัมพันธ์ ภายใน 72 ชั่วโมง แพทย์ให้ใช้สาหรับสตรีที่ถูก ข่มขืนและกรณีอื่นๆ ที่ไม่สามารถป้องกันได้ในขณะมี เพศสัมพันธ์ได้ ยาที่ใช้ต้องมีความเข้มข้น (dose)ที่สูงมากและไปมีผลทาให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในผนังมดลูกชั้นเอนโดมีเทรียม มี ประสิทธิภาพในการป้องกันการตั้งครรภ์ได้ 75 เปอร์เซ็นต์ และพบว่าถ้าใส่ห่วงเข้าไปเสริมทัน ในสัปดาห์แรก มีประสิทธิภาพถึง 95เปอร์เซ็นต์ การคุมกาเนิดด้วยวิธีการนี้ไม่จัดเป็นการทา แท้ง เพราะถ้าการคุมกาเนิดไม่ได้ผลและเกิดการตั้งครรภ์ขึ้นทารกจะไม่ได้รับอันตรายแต่อย่างใด • 3.3การฉีดยาคุมกาเนิด เป็นการป้องกันการตกไข่ได้อีกวิธีหนึ่ง เป็นการฉีดฮอร์โมนโพรเจสติน ซึ่งจะออกฤทธิ์ โดยกดการทางานของต่อมใต้สมองส่วนหน้า วิธีใช้คือ ฉีดเขากล้ามเนื้อของสตรีที่ ต้องการคุมกาเนิดทุก ๆ3 เดือน • 3.4การฝังแคปซูลเข้าใต้ผิวหนัง เป็นการฝังฮอร์โมนโพรเจสตินที่เป็นแคปซูลบริเวณใต้ ท้องแขนฮอร์โมนนี้จะถูกปล่อยออกจากแคปซูลแต่น้อย ๆอย่างต่อเนื่องในกระแสเลือด ไปมีผล ยับยั้งการตกไข่และกระตุ้นการหลั่งเมือกเหนียวในช่องคลอด การฝังแคปซูลนี้จะอยู่ได้ 5 ปีแต่มี ผลข้างเคียงสาหรับผู้ใช้ คือการมีประจาเดือนกระปิดกระปอยอาจนานถึง 1ปี
  • 98.
  • 99. การเจริญเติบโตหลังระยะเอ็มบริโอของสัตว์อื่นๆ(Metamorphosis) 1. Ametamorphosis การเจริญเติบโตที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลงรูปร่างลักษณะเป็ นขั้นๆ ในระหว่าง เจริญเติบโตตัวอ่อนจะมีลักษณะรูปร่างเหมือนตัวเต็มวัยทุกประการเพียงแต่มีขนาดเล็กกว่าสัตว์มีกระดูกสันหลัง (ยกเว้น สัตว์ครึ่งบกครึ่งน้า) ดาวทะเล ไส้เดือนดิน หนอนตัวแบน ฯลฯ 2. Metamorphosis การเจริญเติบโตที่มีการเปลี่ยนแปลงรูปร่างลักษณะเป็ นขั้น ๆ ในระหว่างเจริญเติบโตตัว อ่อนจะมีลักษณะรูปร่างแตกต่างจากตัวเต็มวัย สัตว์ครึ่งบกครึ่งน้า แมลง • การเจริญเติบโตของแมลง จะแบ่งได้ 4 ลักษณะ คือ • 1) Ametamorphosis การเจริญเติบโตที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลงรูปร่างลักษณะเป็ นขั้น ๆ ในระหว่าง เจริญเติบโต ตัวอ่อนจะมีลักษณะรูปร่างเหมือนตัวเต็มวัยทุกประการเพียงแต่มีขนาดเล็กกว่า ได้แก่ แมลงสอง ง่าม แมลงหางดีด • 2) Gradual Metamorphosis เมตามอร์โฟซีสแบบค่อยเป็นค่อยไป คือแมลงที่มีการเปลี่ยนแปลง รูปร่างทีละน้อย มีการเปลี่ยนแปลงรูปร่างเพียง 3 ขั้น ได้แก่ ตั๊กแตน จิ้งหรีด ปลวก แมลงสาบ • 3) Incomplete Metamorphosis เมตามอร์โฟซีสแบบไม่สมบูรณ์ คือแมลงที่มีการ เปลี่ยนแปลงรูปร่าง ไม่ครบขั้น มีการเปลี่ยนแปลงรูปร่างเพียง 3 ขั้น ได้แก่ แมลงปอ ชีปะขาว • 4) Complete Metamorphosis เมตามอร์โฟซีสแบบสมบูรณ์ คือ แมลงที่มีการเปลี่ยนแปลง รูปร่างครบ 4 ขั้น ได้แก่ ยุง ผีเสื้อ มด ต่อ ผึ้ง เต่าทอง ฯลฯ
  • 100.
  • 102.
  • 103. การผสมเทียมartificialinsemination • 1. กิฟท์ (GIFT, Gamete intrafallopian transfer) คือวิธีการที่ใส่เชื้ออสุจิ (ที่เตรียม แล้ว) และไข่ (sperm and egg) เข้าไปในท่อนาไข่ของฝ่ ายหญิง 1 หรือ 2 ข้าง ทั่วๆ ไปจะใส่ไข่ 2 ฟองร่วมกับตัวเชื้ออสุจิ 5 หมื่นถึง 1แสนตัวต่อท่อ 1 ข้างการฉีดเชื้อ ผสมเทียมในโพรงมดลูก (IUI) คือ การฉีดเชื้ออสุจิเข้าไปในโพรงมดลูกโดยตรง โดยใช้ท่อพลาสติกเล็กๆ สอดผ่านปากมดลูกแล้วฉีดเชื้อ อสุจิเข้าไปในช่วงที่มีหรือใกล้กับเวลาที่มีไข่ตก วิธีนี้นิยมในกรณีที่ฝ่ ายชายมีเชื้ออสุจิผิดปกติ คือ จานวน น้อยเกินไปหรือเชื้ออสุจิแข็งแรงน้อยเกินไป หรือมีปัญหามีปฏิกิริยากับปากมดลูกได้ง่าย เข้าไปในโพรง มดลูก ไม่ได้นอกจากนี้ยังทาในกรณีที่ฝ่ ายชายไม่สามารถปล่อยน้าอสุจิในชองคลอดได้เอง • 2. ซิฟท์ (ZIFT, Zygote intrafollopian transfer) เป็นวิธีการเก็บเซลล์สืบพันธุ์ทั้งไข่ และอสุจิมาผสมกันให้เกิดการปฏิสนธินอกร่างกายก่อน แล้วจึงนาตัวอ่อนในระยะ Zygote ใส่กลับเข้า ไปในท่อนาไข่ ความสาเร็จในการตั้งครรภ แต่ละครั้งประมาณ ร้อยละ20-30 ใช้วิธีการคล้ายกับ GIFT แต่รอจนกระทั่งไข่ และ sperm ผสมกันและปฏิสนธิเกิดขึ้น ภายนอกร่างกายเสียก่อน จนเจริญเป็นตัว อ่อนระยะ 1 เซลล์ ที่เราเรียกว่า Zygote แล้วจึงทาการผ่าตัดทางหน้าท้อง เช่นเดียวกับวิธีการ Gift เพื่อใส่ตัวอ่อนที่เป็น Zygote เข้าไปในท่อนาไข่
  • 104.
  • 105. การผสมเทียมartificialinsemination • 3. อิกซี่ (ICSI , IntraCytoplasmic Sperm Injection) เป็นวิธีการคัดเชื้ออสุจิที่ แข็งแรงสมบูรณ์เพียงตัวเดียว เพื่อฉีดเข้าไปในไข่โดยตรง ซึ่งช่วยให้ตัวอสุจิและไข่เกิดการปฏิสนธิ ใน รายที่ฝ่ ายชายมีจานวนตัวอสุจิน้อยมาก หรือ เคลื่อนไหวช้า จะใช้ในกรณที่เด็กหลอดแก้วธรรมดาไม่ ประสบความสาเร็จ วิธีการนี้จะมความสาเร็จในการตั้งครรภ์แต่ละ ครั้งประมาณร้อยละ 25-30 ใน รายที่ฝุายชายไม่มีตัวอสุจ ซึ่งเดิมถือว่าเป็นหมันไม่มทางรักษานั้น ในปัจจุบันแพทย์สามารถช่วยคู่ สมรสเหล่านี้ ได้ โดยการดูดตัวอสุจออกมาจากบริเวณถุงพักน้าเชื้อ หรือที่เรียกว่า PESA (Percutaneous Epididymal Sperm Aspiration) ซึ่งหากได้ตัวอสุจเพียงเล็กน้อย ก็เพียงพอที่จะนาไปฉีดเข้าไปในไข่ การใช้เข็มดูดนี้ เหมาะกับรายที่ท่อนา น้าเชอตันแต่กาเนิด หรือ ภายหลังผ่าตัดทาหมันชาย สาหรับในกรณีทการดูดจากถุงพกน้าเชื้อไม่ได้ตัวอสุจ ก็อาจลองดูด จาก ลูกอณฑะโดยตรง หรือที่เรียกว่า TESA (Testicular Sperm Extraction)
  • 106.
  • 107. สรุปเน้นความสาคัญ: - การผสมเทียมในหลอดแก้วแล้วถ่ายฝากตัวอ่อน(In Vitro Fertilization Embryo Transfer หรือ IVF& ET ) - การทาอิ๊กซี่ ( Intra Cytoplasmic Sperm Injection หรือ ICSI) คัดเชื้ออสุจิที่สมบูรณ์เพียงตัวเดียว ฉีดเข้าไปในไข่โดยตรง ใช้ในกรณีที่เด็กหลอดแก้วธรรมดาไม่ประสบความสาเร็จ - การทากิฟท์ ( Gamete IntraFollopain Transfer หรือ GIFT) นาเซลล์สืบพันธุ์ไข่และอสุจิมาผสม กัน แล้วใส่กลับเข้าสู่ท่อนาไข่ทันทีอาศัยให้อสุจิและไข่ปฏิสนธิกันเองตามธรรมชาติ - การทาซิฟท์ ( Zygote IntraFollopain Transfer หรือ ZIFT) เซลล์สืบพันธุ์ไข่และอสุจิมาปฏิสนธิ นอกร่างกายก่อน แล้วจึงนาตัวอ่อนในระยะ Zygote ใส่กลับเข้าไปในท่อนาไข่
  • 108. การแท้ง (Abortion) การแท้งบุตรหมายถึงการตั้งครรภ์ไม่สามารถดาเนินต่อ ทาให้เด็กออกมาก่อนกาหนด ภายใน 20 สัปดาห์ของการการตั้งครรภ์ จากการศึกษาพบว่าร้อยละ 10-25ของการตั้งครรภ์มีการแท้ง โดยที่ไม่รู้ตัว การแท้งส่วนใหญ่จะเกิดในช่วง 13สัปดาห์ของการตั้งครรภ์ ดังนั้นช่วงนี้เป็นช่วงที่คุณแม่ ต้องดูแลตัวเอง โดยการลดความเสี่ยงของการแท้ง ภาวะสิ้นสุดการตั้งครรภ์ก่อนถึงกาหนดคลอดตามปกติ เนื่องจากการตายของตัวอ่อนหรือ ทารก แบ่งออกเป็น 3 ประเภท คือ 1. การแท้เอง (Spontaneous Abortion) เกิดจากความผิดปกติของตัวอ่อนเอง พบ ประมาณ 1 ใน 3 ของหญิงตั้งครรภ์ 2. การทาแท้งเพื่อการรักษา (Therapeutic Abortion) เป็นวิธีการทาเพื่อรักษาชีวิตของ แม่ที่มีปัญหาด้านสุขภาพทางกายหรือจิตใจ หรือเมื่อพพบความผิดปกติของตัวอ่อน 3. การทาแท้งเพื่อการคุมกาเนิด ซึ่งเป็นการทาแท้งที่ใช้วิธีแตกต่างกันตามอายุทารก เช่นช่วง3 เดือนแรกใช้วิธีการดูดออก หลังจาก 3 เดือนขึ้นไปใช้วิธีการถ่างขยายปากมดลูกและดูดออก เป็นต้น
  • 109. สาเหตุของการแท้ง สาเหตุของการแท้งมีได้หลายสาเหตุ แต่สาเหตุที่พบบ่อยที่สุดคือเกิดความผิดปกติของโครโมโซม ซึ่งอาจจะเกิดความผิดปกติที่ไข่ หรือตัวเชื้ออสุจิ หรือช่วงที่ตัวอ่อนแบ่งตัว สาเหตุอื่นๆได้แก่ • ปัญหาเกี่ยวกับฮอร์โมน พบว่ามารดาที่มีระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนและโปรเจสเตอโรนต่า ซึ่งมีผลต่อเยื่อบุโพรง มดลูกซึ่งเป็นที่อยู่ของตัวอ่อน และเป็นแหล่งอาหารสาหรับ การเจริญเติบโต หากฮอร์โมนน้อยเยื่อบุโพรงมดลูกก็มี สภาพไม่เหมาะสมต่อการเจริญเติบโต ตัวอ่อนก็เจริญต่อไม่ได้จะทาให้เกิดการแท้งขึ้น • ปัญหาเกี่ยวกับการติดเชื้อโรคของคุณแม่ •ปัญหาเกี่ยวกับสุขภาพของคุณแม่ความผิดปกติของทารก ทารกที่แท้งในช่วงไตรมาสแรกมักมีสาเหตุมาจากความ ผิดปกติของ โครโมโซมของทารก สาเหตุของการแท้งส่วนใหญ่เกิดจากความผิดปกติของโครโมโซมของ ทารก และการตั้งครรภ์ไข่ฝ่ อ (Blighted ovum) คือ การท้องที่มีการฝังตัวของรกแต่ไม่เกิดตัวเด็ก ซึ่งเชื่อว่า เป็นการสุ่มเลือกของธรรมชาติ สิ่งมีชีวิตที่มีความผิดปกติหรืออ่อนแอก็จะตายไป • เกี่ยวกับวิถีการดาเนินชีวิตของคุณแม่ เช่น การสูบบุหรี่ การดื่มสุรา การดื่มกาแฟปริมาณมาก การขาดสารอาหาร การสัมผัสรังสีหรือสารเคมี เป็นต้น • มีความผิดปกติมดลูกและ ปากมดลูกของมารดาที่ทาให้มีปัญหาการเติบโตของทารก เช่นโพรงมดลูกมีผนังกั้นตรง กลาง มีมดลูกสองอัน ปากมดลูกสองอัน ช่องคลอดสองอัน หรือมีเนื้องอกของมดลูก • อายุคุณแม่ • การได้รับอุบัติเหตุ ความเครียด นอนพักผ่อนไม่เพียงพอ การทางานหนัก ยกของหนัก และการกระทบกระเทือน
  • 110.
  • 111.
  • 112.
  • 113. “THE END” THANK YOU FOR YOUR ATTENTION !