SlideShare a Scribd company logo
21 วิธ ีส อน
       ในการจัดการเรียนการสอน ผู้สอนสามารถจัดกิจกรรมการเรียน
การสอนได้หลากหลายวิธีและสามารถเลือกใช้ได้ ตามความเหมาะสม
กับผู้เรียน กับแต่ละสถานการณ์ และแต่ละสิ่งแวดล้อม การสอนแบบ
บรรยายอย่างเดียวไม่เพียงพอ ครูผู้สอนต้องใช้วิธีสอน เทคนิคการสอน
ที่หลากหลายเข้ามาใช้บูรณาการในการจัดการเรียนการสอน ซึ่งวิธีการ
สอนต่างๆ มีตัวอย่างดังนี้

1. วิธ ีส อนแบบสาธิต (Demonstration Method)
ความหมาย

        วิ ธ ี ส อ น แ บ บ ส า ธิ ต หมายถึ ง การที่ ค รู ห รื อ นั ก เรี ย นคนใดคน
หนึ่ง แสดงบางสิ่งบางอย่างให้นักเรียนดู หรือให้เพื่อนๆดู อาจเป็นการ
แสดงการใช้เครื่องมือแสดงให้เห็นกระบวนการวิธีการ กลวิธีหรือการ
ทดลองที่มีอันตราย ซึ่งไม่เหมาะที่จะให้นักเรียนทำาการทดลอง การสอน
วิธีนี้ช่วยให้นักเรียนเกิดความรู้ความเข้าใจและสามารถทำา ในสิ่งนั้นได้
ถูกต้อง และ ยังเป็นการสอนให้นักเรียนได้ใช้ทักษะในการสังเกต และ
ถือว่าเป็นการได้ประสบการณ์ตรงวิธีหนึ่ง วิธีสอนแบบสาธิต จึงเป็นการ
สอนที่ยึดผู้สอนเป็นศูนย์กลาง เพราะผู้สอนเป็ นผู้ วางแผน ดำา เนิ นการ
และลงมื อ ปฏิ บั ติ ผู้ เ รี ย นอาจมี ส่ ว นร่ ว มบ้ า งเล็ ก น้ อ ย วิ ธี ส อนแบบนี้ จึ ง
เหมาะสำาหรับ จุดประสงค์การสอนที่ต้องการให้ผู้เรียนเห็นขั้นตอนการ
ปฏิบัติ เช่น วิชาพลศึกษา ศิลปศึกษา อุตสาหกรรมศิลป์ วิชาในกลุ่มการ
งานและพื้นฐานอาชีพ เป็นต้น

ความมุ่ง หมาย

      เพื่อแสดงให้ผู้เรียนได้เห็นขั้นตอนการปฏิบัติต่างๆ ซึ่งจะช่วยให้ผู้
เรียนเกิดความเข้าใจได้อย่างแจ่มแจ้ง และสามารถปฏิบัติตามได้

       เมื่อ ใดจึง จะใช้ก ารสอนแบบสาธิต
1. เมื่อนำาเข้าสู่บทเรียน ผู้สอนสาธิตให้ผู้ดูเพื่อให้ผู้เรียนตั้งปัญหาและ
เกิดความอยากรู้
    อยากเห็น อยากค้นหาคำาตอบต่อไป
2. เพื่อสร้างปัญหาให้ผู้เรียนคิด
3. เพื่อต้องการสร้างความเข้าใจในความคิดรวบยอด ความจริงหลัก
ทฤษฎี โดยนักเรียน
   สามารถมองเห็นโดยตรง
4. เมื่ออธิบายเครื่องมือวิทยาศาสตร์ส่วนไหนทำาหน้าที่อะไร
5. เมื่อเครื่องมือที่จะทำาการทดลองมีราคาแพง หรือเกิดอันตรายได้ง่าย
6. ควรคำานึงถึงฤดูกาล

     โอการในการใช้
  1. เพื่อกระตุ้นความสนใจของนักเรียนให้มีความสนใจในบทเรียน
  2. ช่วยอธิบายเนื้อหาวิชาที่ยาก ต้องใช้เวลานานให้เข้าใจง่ายขึ้น
     และประหยัดเวลา
  3. เพื่อแสดงวิธีการหรือกลไกวิธีในการปฏิบัติงานซึ่งไม่สามารถ
     อธิบายได้ด้วยคำาพูด เช่น การทำากิจกรรม วิชาศิลปะ หัตถกรรม
     งานประดิษฐ์ นาฏศิลป์
  4. เพื่อช่วยสรุปบทเรียน
  5. เพื่อใช้ทบทวนบทเรียน
  6. เพื่อสร้างความเข้าใจ ความคิดรวบยอด ความจริง หลักทฤษฎี
     โดยนักเรียนมองเห็นได้โดยตรง เพื่อทดสอบหรือยืนยันการ
     สังเกตในครั้งก่อนๆ ว่าผลเหมือนเดิมหรือไม่
ประเภทของการสาธิต
  แบบที่ 1
     1. สาธิต ให้ด ูท ั้ง ชั้น การสาธิตให้ดูทั้งชั้นผู้สอนจะต้องระวังให้
     ทุ กคนมองเห็นและเข้าใจการสาธิ ต ในแต่ ล ะครั้ ง อย่างไรก็ ต าม
     การสาธิตให้ดูทั้งชั้นย่อมมีผู้เรียนบางคนไม่เข้าใจดีพอเนื่องจาก
     บางคนมีพื้นความรู้หรือประสบการณ์แตกต่างกัน
     2. การสาธิต ให้ด ูเ ป็น กลุ่ม ห รือ เป็น ห มู่ เมื่อมีผู้เรียนจำานวน
     หนึ่ง เรียนไม่เข้าใจดีพอ จึงจำา เป็นต้องสาธิตให้ดูใหม่เป็นกลุ่ม
     เล็ก ในแต่ละชั้นเรียนอาจมีผู้เรียนได้เร็วมาก ปานกลางหรือช้า
     ไปบ้าง การสาธิตให้ดูเป็นหมู่ เฉพาะที่มีความรู้ไล่เลี่ย กันจะเป็น
     แรงจูงใจให้ผู้เรียนแต่ละหมู่ทำางานอย่างเต็มความสามารถของตน
     3. การสาธิต ให้ด ูเ ป็น รายบุค คล เมื่อผู้สอนสาธิตให้ดูเป็นหมู่
     เป็ น กลุ่ ม แต่ ผู้ เ รี ย นบางคนไม่ อ าจจะเข้ า ใจการสาธิ ต ทั้ ง ชั้ น หรื อ
     เป็นกลุ่มได้ หรือผู้เรียนบางคนไม่ได้เข้าร่วม ผู้สอนจึงต้องสาธิต
     ให้ดูเป็นรายบุคคล
  แบบที่ 2
     1. ครูแสดงการสาธิตคนเดียว ( Teacher- Demonstration)
     2. ครูและนักเรียนช่วยกันแสดงสาธิต (Teacher-Student-
Demonstration )
  3. กลุ่มนักเรียนล้วนเป็นผู้สาธิต (Student Group
  Demonstration )
  4. นักเรียนคนเดียวเป็นผู้สาธิต (Individual Student
  Demonstration )
  5. วิทยากรเป็นผู้สาธิต ( Guest Demonstration )


ขั้น ตอนการสอน
    1. ขันเตรียมการสอน
         ้
        − กำาหนดจุดประสงค์ในการสาธิตให้ชัดเจน
        − จัดลำาดับเนื้อหาตามขั้นตอนให้เหมาะสม
        − เตรียมกิจกรรมการเรียนการสอน สิ่งที่จะให้นักเรียน
        ปฏิบัติ ตลอดจนคำาถามที่จะใช้ให้รอบคอบ
        − เตรียมสื่อการเรียนการสอนและเอกสารประกอบให้พร้อม
        − กำาหนดเวลาในการสาธิตให้พอเหมาะ
        − กำาหนดวิธีการวัดผลประเมินผลที่ชัดเจน
        − เตรียมสภาพห้องเรียนให้เหมาะสมเพื่อให้นักเรียนมอง
        เห็นการสาธิตให้ทั่วถึง
        − ทดลองสาธิตเพื่อให้แน่ใจว่าไม่เกิดการติดขัด
    2. ขันตอนการสาธิต
           ้
        − บอกจุดประสงค์การสาธิตให้นักเรียนทราบ
        − บอกกิจกรรมที่นักเรียนจะต้องปฏิบัติ เช่น นักเรียนจะ
        ต้องจดบันทึก สังเกตกระบวนการ สรุปขั้นตอน ตอบคำาถาม
        เป็นต้น
        − ดำาเนินการสาธิตตามลำาดับขั้นตอนที่เตรียมไว้ ประกอบ
        กับอธิบายตัวอย่างชัดเจน
    3. ขันสรุปและประเมินผล
             ้
        − ผู้สอนเป็นผู้สรุปความสำาคัญ ขันตอนของสิ่งที่สาธิตนั้น
                                           ้
        ด้วยตนเอง
        − ให้ผู้เรียนเป็นผู้สรุป เพื่อประเมินว่าผู้เรียนมีความเข้าใจ
        ในบทเรียนนั้นๆมากน้องเพียงใด
        − ผู้สอนอาจใช้วิธีการต่างๆ เพื่อประเมินว่าผู้เรียนเข้าใจ
        เนื้อเรื่อง ขันตอนการสาธิตมากน้อยเพียงใด เช่น ให้ตอบ
                      ้
        คำาถาม ให้เขียนรายงาน ให้แสดงสาธิตให้ดู ฯลฯ
− ผู้สอนควรเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้ซักถามหรือแสดงความ
          คิดเห็นภายหลังจากการสาธิตแล้ว

2. วิธ ีก ารสอนโดยใช้ก ารแสดงละคร
(Dramatization)
             เป็น กระบวนการที่ช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้
ตามวัตถุประสงค์ โดยการให้ผู้เรียนแสดงละคร ซึ่งเป็นเรื่องราว
ที่ต้องการให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ตามเนื้อหาและบทละครที่ ได้
กำาหนดไว้ (ทิศนา แขมมณี, 2543) และนำาเรื่องราวที่
แสดงออกมา และการแสดงของผู้แสดงมาอภิปรายร่วมกัน


วัต ถุป ระสงค์
         1. เพื่อให้ผู้เรียนเห็นภาพเรื่องราวที่ชัดเจน และสามารถจดจำา
         เรื่องราวได้นาน
         2. เพื่อนนักเรียนได้มีส่วนร่วมในการจัดการเรียนการสอน
         และฝึกทักษะต่าง ๆ
ขั้น ตอนการสอน
       1. ผู้ส อน / ผู้เ รีย นเตรีย มบทละคร ผู้สอนและผู้เรียนควร
อภิปรายวัตถุประสงค์ในการเลือกใช้ละครเป็นวิธีการเพื่อ ให้เกิดการ
เรียนรู้ นักเรียนควรจะมีส่วนในการเลือกเรื่องราวที่จะแสดง ในการเตรี
ยมบทละครผู้สอนอาจเตรียมให้หรือผู้เรียนเตรียมกันเอง แต่ตองมีการ
                                                            ้
ศึกษาเนื้อหาหรือเรื่องราวให้เข้าใจ ได้เนื้อหาที่ครบถ้วนสมบูรณ์ให้มาก
ที่สุด
       2. ผู้เ รีย นศึก ษาบทละครและเลือ กบทบาทที่จ ะแสดง ใน
การเลือกละคร ควรคำานึงถึงความเหมาะสมกับความสามารถของผู้เรียน
กับบทที่จะแสดง แต่ในบางกรณีผู้สอนอาจเลือกผู้เรียนที่มีบุคลิกภาพไม่
ตรงกับบทที่จะแสดง เพื่อให้นักเรียนได้รับประสบการณ์ในการแสดง แต่
ผู้แสดงควรมีความเต็มใจที่จะแสดง เพื่อให้การแสดงออกมาดีที่สุด
       3. ผู้เ รีย นซ้อ มการแสดง ใน การซ้อมการแสดงต้องมีการฝึก
ซ้อมการแสดงร่วมกัน และในบางกรณีอาจจำาเป็นจะต้องเปลี่ยนตัวผู้
แสดงคนใหม่ เพื่อให้การแสดงสมบทบาทและสื่อความหมายได้ถูกต้อง
ส่วนผู้เรียนที่ไม่ได้มีส่วนร่วมในการแสดง ผูสอนจะต้องแนะนำาในการ
                                            ้
ชมการแสดงว่า ควรสังเกตและให้ความสนใจที่เรื่องอะไรบ้าง จุดไหน
บ้าง
4. ผู้เ รีย นแสดงและชมการแสดง ในขณะแสดง ผูสวนและผู้ ้
ชมไม่ควรขัดการแสดงกลางคัน และควรให้กำาลังใจผู้แสดง ผู้ชมควร
ตั้งใจสังเกตการแสดงในเรื่องราวที่สำาคัญที่ผู้สอนได้แนะนำา
      5. อภิป รายการแสดง ในการอภิปรายต้องมุ่งไปที่เรื่องราวที่
แสดงออกมา และการแสดงของผู้แสดงว่า สามารถแสดงได้สมจริงเพียง
ใด
ข้อ ดีแ ละข้อ จำา กัด
             ข้อ ดี
               1. ทำาให้ผู้เรียนได้มีประสบการณ์จริง
               2. ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการจัดการเรียนการสอน
               3. นักเรียนได้ฝึกทักษะต่าง ๆ เช่น ทักษะการพูด การ
               เขียน การแสดงออก การจัดการ การแสวงหาความรู้ และ
               การทำางานเป็นกลุ่มเป็นต้น
     ข้อ จำา กัด
               1. ใช้เวลาในการจัดกิจกรรมมาก
               2. มีค่าใช้จ่ายในการจัดกิจกรรม
               3. ต้องอาศัยความชำานาญในการเขียนบท

3. วิธ ีก ารสอนโดยใช้บ ทบาทสมมติ (Role Playing)
      เป็น กระบวนการที่ช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ตามวัตถุประสงค์
โดยการให้ผู้เรียนสวมบทบาทในสถานการณ์ซึ่งมีความใกล้เคียงกับ
ความเป็นจริง และแสดงออกตามความรู้สึกนึกคิดของตนและนำาเอาการ
แสดงออกของผู้แสดง ทั้งทางด้านความรู้ ความคิด ความรู้สึก และ
พฤติกรรมที่สังเกตพบ มาเป็นข้อมูลในการอภิปราย เพื่อให้ผู้เรียนเกิด
การเรียนรู้ตามวัตถุประสงค์ (ทิศนา แขมมณี , 2543)
วัต ถุป ระสงค์
         1. เพื่อให้ผู้เรียนเกิดความเข้าใจในเรื่องต่าง ๆ เกี่ยวกับ
         บทบาทสมมติที่ตนแสดง
         2. เพื่อนนักเรียนได้มีส่วนร่วมในการจัดการเรียนการสอน
         และฝึกทักษะต่าง ๆ
ขั้น ตอนการสอน
   1. ผู้ส อน / ผู้เ รีย นนำา เสนอสถานการณ์ส มมติแ ละบทบาท
สมมติ บทบาทสมมติที่กำาหนดขึ้นควรมีความใกล้เคียงกับความเป็นจริง
ไม่มีบทให้ ผู้สวมบทบาทจะต้องคิดแสดงเอง หรืออาจให้บทบาทสมมติ
แบบแก้ปัญหาซึ่งจะกำาหนดสถานการณ์ที่มีปัญหาหรือความขัด แย้งให้
และผู้สวมบทบาทแก้ปัญหาตามความคิดของตน
2. ผู้ส อน / ผู้เ รีย นเลือ กผู้แ สดงบทบาท ในการเลือกผู้แสดง
ควรคำานึงถึงความเหมาะสมกับความสามารถของผู้เรียนกับบทที่จะแสดง
แต่ในบางกรณีผู้สอนอาจเลือกผู้เรียนที่มีบุคลิกภาพไม่ตรงกับบทที่จะ
แสดง เพื่อให้นักเรียนได้รับประสบการณ์ในการแสดง แต่ผู้แสดงควรมี
ความเต็มใจที่จะแสดง เพื่อให้การแสดงออกมาดีที่สุด
   3. ผู้ส อนเตรีย มผู้ส ัง เกตการณ์ห รือ ผู้ช ม ผู้สอนควรแนะนำาการ
ชมว่า ควรสังเกตอะไร และควรบันทึกข้อมูลอย่างไร หรือผู้สอนอาจจัด
ทำาแบบสังเกตการณ์ให้ผู้ชมใช้ในการสังเกตด้วยก็ได้
   4. ผู้เ รีย นแสดงบทบาท ผู้ชมและผู้สอนสังเกตพฤติกรรมที่
แสดงออก
   5. ผู้เ รีย นและผู้ส อนอภิป รายร่ว มกัน เกี่ยวกับความรู้ ความคิด
ความรู้สึก และพฤติกรรมที่แสดงออกของผู้แสดง
ข้อ ดีแ ละข้อ จำา กัด
             ข้อ ดี
               1. ผู้เรียนเกิดความเข้าใจความรู้สึกและพฤติกรรมของผู้
               อื่น
               2. ผู้เรียนเกิดการเปลี่ยนแปลงเจตคติและพฤติกรรมของ
               ตน
               3. พัฒนาทักษะในการเผชิญสถานการณ์ ตัดสินใจและ
               แก้ปัญหา
               4. เปิดโอกาสให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการเรียนมาก
     ข้อ จำา กัด
               1. ใช้เวลาในการจัดกิจกรรมมาก
               2. ต้อง อาศัยความสามารถของผู้สอนในการแก้ปัญหา
               เนื่องจากการแสดงของผู้เรียนอาจไม่ เป็นไปตามความ
               คาดหมายของผู้สอน ผู้สอนจะต้องสามารถแก้ปัญหาหรือ
               ปรับสถานการณ์และประเด็นให้ผู้เรียนเกิดการ เรียนรู้ได้

4. วิธ ีก ารสอนโดยใช้ก รณีต ัว อย่า ง (Case)
      คือ กระบวน การที่ช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ตามวัตถุประสงค์
โดยการให้ผู้เรียนศึกษาเรื่องที่สมมติขึ้นจากความเป็นจริง และตอบ
ประเด็นคำาถามเกี่ยวกับเรื่องนั้น แล้วนำาคำาตอบและเหตุผลที่มาของคำา
ตอบนั้นมาใช้เป็นข้อมูลในการอภิปราย เพื่อให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้
(ทิศนา แขมมณี , 2543)
วัต ถุป ระสงค์
    1. เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้เรียนคิดวิเคราะห์และเรียนรู้ความคิดของผู้
อื่น
       2. ช่วยให้ผู้เรียนมีมุมมองที่กว้างขึ้น
ขั้น ตอนการสอน
   1. ผู้ส อน / ผู้เ รีย นนำา เสนอกรณีต ัว อย่า ง กรณี ตัวอย่างส่วน
ใหญ่มักเป็นเรื่องราวที่มีสถานการณ์เป็นปัญหาขัดแย้ง ผูสอนอาจใช้วิธี
                                                          ้
การตั้งประเด็นคำาถามที่ท้าทายให้ผู้เรียนคิดก็ได้ ใช้ เรื่องจริงหรือเรื่อง
จากหนังสือพิมพ์ รวมทั้งสื่อต่าง ๆ ผูสอนต้องเตรียมประเด็นคำาถาม
                                    ้
สำาหรับการอภิปรายเพื่อนำาไปสู่การเรียนรู้ที่ ต้องการ ในการเสนอทำาได้
หลายวิธี เช่น การพิมพ์เป็นข้อมูลมาให้ผู้เรียนอ่าน การเล่ากรณี
ตัวอย่างให้ฟัง หรือนำาเสนอโดยใช้สื่ออื่น
   2. ผู้เ รีย นศึก ษากรณีต ัว อย่า ง ผู้สอนควรแบ่งกลุ่มย่อยในการ
ศึกษากรณีตัวอย่าง ไม่ควรให้ผู้เรียนตอบประเด็นคำาถามทันที
   3. ผู้เ รีย นอภิป รายประเด็น คำา ถามเพื่อ หาคำา ตอบ ผู้เรียน
แต่ละคนควรมีคำาตอบของตนเตรียมไว้ก่อน แล้วจึงร่วมกันอภิปราย
เป็นกลุ่ม และนำาเสนอผลการอภิปรายระหว่างกลุ่ม
   4. ผู้ส อนและผู้เ รีย นอภิป รายคำา ตอบ นำา เสนอผลการอภิปราย
ระหว่างกลุ่ม คำาถามสำาหรับการอภิปรายนี้ ไม่มีคำาตอบที่ถูกหรือผิดอย่าง
ชัดเจนแน่นอน แต่ต้องการให้ผู้เรียนเห็นคำาตอบและเหตุผลที่หลาก
หลาย ทำาให้ผู้เรียนมีมุมมองที่กว้างขึ้น ช่วยให้การตัดสินใจมีความ
รอบคอบขึ้น การอภิปรายควรมุ่งความสนใจไปที่เหตุผลหรือที่มาของ
ความคิดที่ผู้เรียนใช้ใน การแก้ปัญหาเป็นสำาคัญ
   5. ผู้ส อนและผู้เ รีย นอภิป รายเกี่ย วกับ ปัญ หาของผู้เ รีย น และ
สรุป การเรีย นรู้ท ี่ไ ด้ร ับ
ข้อ ดีแ ละข้อ จำา กัด
                 ข้อ ดี
               1. ผู้เรียนได้พัฒนาทักษะการคิดวิเคราะห์ การคิดอย่างมี
               วิจารณญาณ และคิดแก้ปัญหา
               2. ผู้เรียนมีมุมมองที่กว้างขึ้น
               3. ช่วยให้เกิดความพร้อมที่จะแก้ปัญหาเมือเผชิญปัญหา
               นั้นในสถานการณ์จริง
         ข้อ จำา กัด
            1. แม้ ปัญหาและสถานการณ์จะใกล้เคียงกับความเป็นจริง แต่
         ก็ไม่ได้เกิดขึ้นจริง ๆ กับผู้เรียน ความคิดในการแก้ปัญหาจึงมัก
         เป็นไปตามเหตุผลที่ถูกที่ควรซึ่งอาจไม่ตรงกับการ ปฏิบัติจริงได้

5. วิธ ีก ารสอนโดยใช้เ กม (Game)
คือ กระบวน การที่ช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ตามวัตถุประสงค์
โดยการให้ผู้เรียนเล่นเกมตามกติกา และนำาเนื้อหาและข้อมูลของเกม
พฤติกรรมการเล่น วิธีการเล่น และผลการเล่นเกมของผู้เรียนมาใช้ใน
การอภิปรายเพื่อสรุปการเรียนรู้ (ทิศนา แขมมณี, 2543)
วัต ถุป ระสงค์
      1. ช่วยให้ผู้เรียนได้เรียนรู้เรื่องต่าง ๆ อย่างสนุกสนานและ
      ท้าทายความสามารถ
      2. ทำาให้เกิดประสบการณ์ตรง
      3. เป็นวิธีที่เปิดโอกาสให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมสูง
ขั้น ตอนการสอน
    1. ผู้ส อนนำา เสนอเกม ชี้แ จงวิธ ีก ารเล่น และกติก าการเล่น
เกม เกม ที่ได้รับการออกแบบให้เป็นเกมการศึกษาโดยตรงมีอยู่ด้วย
กัน 3 ประเภท คือ 1) เกมแบบไม่มีการแข่งขัน 2) เกมแบบแข่งขัน 3)
เกมจำาลองสถานการณ์ การ เลือกเกมเพื่อนำามาใช้สอนทำาได้หลายวิธีผู้
สอนอาจเป็นผู้สร้างเกมขึ้น หรืออาจนำาเกมที่มีผู้สร้างขึ้นแล้วมาปรับ
ดัดแปลงให้เหมาะสมกับวัตถุประสงค์ และควรชี้แจงกติกาการเล่นเกม
ให้เข้าใจ
    2. ผู้เ รีย นเล่น เกมตามกติก า ผูสอนควรติดตามสังเกตพฤติกรรม
                                     ้
การเล่นของผู้เรียนอย่างใกล้ชิด และควรบันทึกข้อมูลที่จะเป็นประโยชน์
ต่อการเรียนของผู้เรียน
    3. ผู้ส อนและผู้เ รีย นอภิป รายผล ควร อภิปรายผลเกี่ยวกับผล
การเล่น และวิธีการหรือพฤติกรรมการเล่นของผู้เรียนที่ได้จากการ
สังเกตจดบันทึกไว้ และในการอภิปรายผลควรให้เป็นไปตาม
วัตถุประสงค์ การใช้เกมในการสอนโดยทั่ว ๆ ไป มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1)
ฝึกฝนเทคนิคหรือทักษะต่าง ๆ 2) เรียนรู้เนื้อหาสาระจากเกม
3) เรียนรู้ความเป็นจริงตามสถานการณ์ต่าง ๆ ดังนั้นการอภิปรายควร
มุ่งประเด็นไปตามวัตถุประสงค์ของ การสอน

ข้อ ดีแ ละข้อ จำา กัด
             ข้อ ดี
           1. ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการเรียนรู้สูง
           2. ผู้เรียนได้รับความสนุกสนาน และเกิดการเรียนรู้จาก
           การเล่น
     ข้อ จำา กัด
           1. เป็น วิธีการสอนที่ผู้สอนต้องมีทักษะในการนำาการ
           อภิปรายที่มีประสิทธิภาพ จึงจะสามารถช่วยให้ผู้เรียน
ประมวลและสรุปการเรียนรู้ได้ตามวัตถุประสงค์

6. วิธ ีก ารสอนโดยใช้ส ถานการณ์จ ำา ลอง (Simulation)
      กระบวน การที่ช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ตามวัตถุประสงค์ โดย
การให้ผู้เรียนลงไปเล่นในสถานการณ์ที่มีบทบาท ข้อมูล และกติกาการ
เล่น ที่สะท้อนความเป็นจริง และมีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งต่าง ๆ ทีอยู่ใน
                                                           ่
สถานการณ์นั้น โดยข้อมูลที่มีสภาพคล้ายกับข้อมูลในความเป็นจริง ใน
การตัดสินใจและแก้ปัญหาต่าง ๆ ซึ่งการตัดสินใจนั้นจะส่งผลถึงผู้เล่น
ในลักษณะเดียวกันกับที่เกิดขึ้นใน สถานการณ์จริง (ทิศนา แขมมณี,
2543)
วัต ถุป ระสงค์
      1. ช่วยให้ผู้เรียนได้รู้สภาพความเป็นจริง เกิดความเข้าใจใน
      สถานการณ์
ขั้น ตอนการสอน
    1. ผู้ส อนเตรีย มสถานการณ์จ ำา ลอง สถานการณ์จำาลองโดย
ทั่วไปมีอยู่ 2 ลักษณะ คือ 1) สถานการณ์จ ำา ลองแท้ จะเป็น
สถานการณ์การเล่นที่ให้ผู้เรียนได้เล่น เพื่อเรียนรู้จริง 2)
สถานการณ์จ ำา ลองแบบเกม มีลักษณะเป็นเกมการเล่น แต่เกมการ
เล่นนี้มีลักษณะที่สะท้อนความเป็นจริง ในขณะที่เกมธรรมดาทั่ว ๆ ไป
อาจจะไม่ได้สะท้อนความเป็นจริงอะไร
    2. ผู้ส อนนำา เสนอสถานการณ์จ ำา ลอง บทบาท ข้อ มูล และ
กติก าการเล่น ใน การนำาเสนอ ผูสอนควรเริ่มด้วยการบอกเหตุผล
                                       ้
และวัตถุประสงค์กว้าง ๆ แก่ผู้เรียนว่า การเล่นในสถานการณ์จำาลองนี้
จะให้อะไรและเหตุใดจึงมาเล่นกัน ต่อไปจึงให้ภาพรวมทั้งของ
สถานการณ์จำาลองทั้งหมด แล้วจึงให้รายละเอียดที่จำาเป็น
    3. ผู้เ รีย นเลือ กบทบาทที่จ ะเล่น หรือ ผู้ส อนกำา หนดบทบาท
ให้ ผู้ เรียนทุกคนควรได้รับบทบาทในการเล่น ซึ่งผู้เรียนอาจะเป็นผู้
เลือกเองหรือผู้สอนกำาหนดบทบาทให้ผู้เรียนบางคน ซึ่งจะช่วยให้เกิด
การเรียนรู้ตรงตามความต้องการ
    4. ผู้เ รีย นเล่น ตามกติก าที่ก ำา หนด ในขณะที่ผู้เรียนกำาลังเล่นผู้
สอนควรติดตามพฤติกรรมอย่างใกล้ชิดและคอยให้คำาปรึกษาตามความ
จำาเป็น
    5. ผู้ส อนและผู้เ รีย นร่ว มกัน อภิป ราย ควรมุ่งไปประเด็นไปที่การ
เรียนรู้ความเป็นจริง อะไรเป็นปัจจัยที่มีอิทธิพล ผู้เรียนควรได้เรียนรู้
จากการเล่นของตน
    6. ผู้ส อนและผู้เ รีย นสรุป การเรีย นรู้ท ี่ไ ด้ร ับ จากการเล่น
ข้อ ดีแ ละข้อ จำา กัด
              ข้อ ดี
            1. ผู้เรียนได้เรียนรู้เรื่องที่มีความซับซ้อน อย่างเข้าใจ
            เนื่องจากได้มีประสบการณ์ด้วยตัวเอง
            2. ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการเรียนสูง
            3. ผู้เรียนมีโอกาสฝึกทักษะกระบวนการต่าง ๆ จำานวนมาก
      ข้อ จำา กัด
            1. ใช้ค่าใช้จ่ายสูง และใช้เวลามาก
            2. ผูสอนต้องอาศัยการเตรียมการมาก
                   ้
            3. ถ้าไม่มีสถานการณ์จำาลองต้องสร้างสถานการณ์ขึ้นมา
            เอง


7. **วิธ ีก ารสอนมโนทัศ น์ (Concept Attainment
Model)


                             1. ทฤษฎี/หลัก การ/แนวคิด ของรูป
แบบ

                 จอยส์และวีล(Joyce & Weil, 1996: 161-178)
พัฒนารูปแบบนี้ขึ้นโดยใช้แนวคิดของ

บรุนเนอร์ กู๊ดนาว และออสติน (Bruner, Goodnow, และ Austin)
การ เรียนรู้มโนทัศน์ของสิ่งใดสิ่งหนึ่งนั้น สามารถทำาได้โดยการค้นหา
คุณสมบัติเฉพาะที่สำาคัญของสิ่งนั้น เพื่อใช้เป็นเกณฑ์ในการจำาแนกสิ่งที่
ใช่และไม่ใช่สิ่งนั้นออกจากกันได้

                   2. วัต ถุป ระสงค์ข องรูป แบบ

                        เพื่อช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้มโนทัศน์ของ
เนื้อหาสาระต่าง ๆ อย่างเข้าใจ และสามารถให้คำานิยามของมโนทัศน์
นั้นด้วยตนเอง
3.   กระบวนการเรีย นการสอนของรูป แบบ

                          ขั้น ที่ 1 ผู้สอนเตรียมข้อมูลสำาหรับให้ผู้เรียน
ฝึกหัดจำาแนก

ผู้สอนเตรียมข้อมูล 2 ชุด ชุดหนึ่งเป็นตัวอย่างของมโนทัศน์ที่ต้องการ
สอน

อีกชุดหนึ่งไม่ใช่ตัวอย่างของมโนทัศน์ที่ต้องการสอน

ในการเลือกตัวอย่างข้อมูล 2 ชุดข้างต้น ผู้สอนจะต้องเลือกหาตัวอย่าง
ที่มีจำานวน

มากพอที่จะครอบคลุมลักษณะของมโนทัศน์ที่ต้องการนั้น

ถ้ามโนทัศน์ที่ต้องการสอนเป็นเรื่องยากและซับซ้อนหรือเป็นนามธรรม
อาจใช้

วิธีการยกเป็นตัวอย่างเรื่องสั้น ๆ ที่ผู้สอนแต่งขึ้นเองนำาเสนอแก่ผู้เรียน



ผู้สอนเตรียมสื่อการสอนที่เหมาะสมจะใช้นำาเสนอตัวอย่างมโนทัศน์เพื่อ
แสดง

ให้เห็นลักษณะต่าง ๆ ของมโนทัศน์ที่ต้องการสอนอย่างชัดเจน

                          ขั้นที่ 2 ผูสอนอธิบายกติกาในการเรียนให้ผู้
                                      ้
เรียนรู้และเข้าใจตรงกัน

                                   ผู้ สอนชี้แจงวิธีการเรียนรู้ให้ผู้
เรียนเข้าใจก่อนเริ่มกิจกรรมโดยอาจสาธิตวิธี การและให้ผู้เรียนลองทำา
ตามที่ผู้สอนบอกจนกระทั่งผู้เรียนเกิดความเข้าใจพอ สมควร

                       ขั้นที่ 3 ผูสอนเสนอข้อมูลตัวอย่างของมโน
                                   ้
ทัศน์ที่ต้องการสอน และข้อมูลที่ไม่ใช่ตัวอย่างของมโนทัศน์ที่ต้องการ
สอน

                  การนำาเสนอข้อมูลตัวอย่างนี้ทำาได้หลายแบบ แต่ละ
แบบมีจุดเด่น- จุดด้อย ดังต่อไปนี้

1) นำาเสนอข้อมูลที่เป็นตัวอย่างของสิ่งที่จะสอนทีละข้อมูลจนหมดทั้ง
ชุด โดย

บอก ให้ผู้เรียนรู้ว่าเป็นตัวอย่างของสิ่งที่จะสอนแล้วตามด้วยข้อมูลที่
ไม่ใช่ ตัวอย่างของสิ่งที่จะสอนทีละข้อมูลจนครบหมดทั้งชุดเช่นกัน โดย
บอกให้ผู้เรียนรู้ว่าข้อมูลชุดหลังนี้ไม่ใช่สิ่งที่จะสอน ผู้เรียนจะต้องสังเกต
ตัวอย่างทั้ง 2 ชุด และคิดหาคุณสมบัติร่วมและคุณสมบัติที่แตกต่างกัน
เทคนิควิธีนี้สามารถช่วยให้ผู้เรียนสร้างมโนทัศน์ได้เร็วแต่ใช้
กระบวนการคิดน้อย

2) เสนอข้อมูลที่ใช่และไม่ใช่ตัวอย่างของสิ่งที่จะสอนสลับกันไปจน
ครบ

เทคนิควิธีนี้ช่วยสร้างมโนทัศน์ได้ช้ากว่าเทคนิคแรก แต่ได้ใช้
กระบวนการคิดมากกว่า

                                           3) เสนอข้อมูลที่ใช่และ
ไม่ใช่ตัวอย่างของสิ่งที่จะสอนอย่างละ 1 ข้อมูล แล้วเสนอข้อมูลที่เหลือ
ทั้งหมดทีละข้อมูลโดยให้ผู้เรียนตอบว่าข้อมูลแต่ละ ข้อมูลที่เหลือนั้นใช่
หรือไม่ใช่ตัวอย่างที่จะสอน เมื่อผู้เรียนตอบ ผู้สอนจะเฉลยว่าถูกหรือผิด
วิธีนี้ผู้เรียนจะได้ใช้กระบวนการคิดในการทดสอบสมมติฐานของตนไป
ทีละขั้นตอน.

                                             4) เสนอข้อมูลที่ใช่และ
ไม่ใช่ตัวอย่างสิ่งที่จะสอนอย่างละ 1 ข้อมูล แล้วให้ผู้เรียนช่วยกันยก
ตัวอย่างข้อมูลที่ผู้เรียนคิดว่าใช่ตัวอย่างของ สิ่งที่จะสอน โดยผู้สอนจะ
เป็นผู้ตอบว่าใช่หรือไม่ใช่ วิธีนี้ผู้เรียนจะมีโอกาสคิดมากขึ้นอีก

                           ขันที่ 4 ให้ผู้เรียนบอกคุณสมบัติเฉพาะของ
                             ้
สิ่งที่ต้องการสอน

                        จาก กิจกรรมที่ผ่านมาในขั้นต้น ๆ ผู้เรียนจะ
ต้องพยามหาคุณสมบัติเฉพาะของตัวอย่างที่ใช่และไม่ใช่สิ่งที่ผู้ เรียน
ต้องการสอนและทดสอบคำาตอบของตน หากคำาตอบของตนผิดผู้เรียนก็
จะต้องหาคำาตอบใหม่ซึ่งก็หมายความว่าต้องเปลี่ยน สมมติฐานที่เป็น
ฐานของคำาตอบเดิม ด้วยวิธีนี้ผู้เรียนจะค่อย ๆ สร้างความคิดรวบยอด
ของสิ่งนั้นขึ้นมา ซึ่งก็จะมาจากคุณสมบัติเฉพาะของสิ่งนั้นนั่นเอง

                          ขันที่ 5 ให้ผู้เรียนสรุปและให้คำาจำากัดความ
                            ้
ของสิ่งที่ต้องการสอน

                                    เมื่อผู้เรียนได้รายการของ
คุณสมบัติเฉพาะของสิ่งที่ต้องการสอนแล้ว ผู้สอนให้ผู้เรียนช่วยกันเรียบ
เรียงให้เป็นคำานิยามหรือคำาจำากัดความ

                          ขั้นที่ 6 ผูสอนและผู้เรียนอภิปรายร่วมกันถึง
                                      ้
วิธีการที่ผู้เรียนใช้ในการหาคำาตอบ

ให้ผู้เรียนได้เรียนรู้เกี่ยวกับกระบวนการคิดของตัวเอง

                    4. ผลที่ผ ู้เ รีย นจะได้ร ับ จากการเรีย นตามรูป
แบบ

                            เนื่อง จากผู้เรียนเกิดการเรียนรู้มโนทัศน์
จากการคิด วิเคราะห์และตัวอย่างที่หลากหลาย ดังนั้นผลที่ผู้เรียนจะได้
รับโดยตรงคือ จะเกิดความเข้าใจในมโนทัศน์นั้น และได้เรียนรู้ทักษะ
การสร้างมโนทัศน์ซึ่งสามารถนำาไปใช้ในการทำาความเข้าใจ มโนทัศน์
อื่น ๆต่อไปได้ รวมทั้งช่วยพัฒนาทักษะการใช้เหตุผลโดยการ
อุปนัย(inductive reasoning) อีกด้วย


8. การสอนแบบค้น พบความรู้
            การสอนแบบค้นพบความรู้ (Discovery) คือ วิธีสอนที่ผู้เรียน
ค้นพบคำาตอบหรือความรู้ด้วยตนเอง คำาว่าค้นพบความรู้ไม่ได้หมาย
ถึงว่าผู้เรียนเป็นคนค้นพบความรู้หรือคำาตอบนั้นเป็นคนแรก สิ่งที่ค้นพบ
นั้นจะมีผู้ค้นพบมาก่อนแล้วและผู้เรียนก็ค้นพบความรู้หรือคำาตอบนั้น
ด้วยตนเอง ไม่ใช่ทราบจากการบอกเล่าของคนอื่นหรือจากการอ่านคำา
ตอบที่มีผู้เขียนไว้ ในการใช้วิธีสอนแบบนี้ผู้สอนจะสร้างสถานการณ์ใน
รูปที่ผู้เรียนจะเผชิญกับปัญหา ในการแก้ปัญหานั้นผู้เรียนจะใช้ข้อมูล
และปฏิบัติในลักษณะตรงกับธรรมชาติของวิชาและปัญหานั้น นั่นคือ ผู้
เรียนจะศึกษาประวัติศาสตร์ในวิธีเดียวกับที่นักประวัติศาสตร์กระทำา
ศึกษาชีววิทยา ในวิธีเดียวกันกับที่นักชีววิทยาศึกษา เป็นวิธีสอนที่เน้น
กระบวนการซึ่งเหมาะสมสำาหรับวิชาวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ แต่ก็
สามารถใช้ได้กับวิชาอื่นๆ



9. วิธ ีก ารสอนตามแนวคิด ของกานเย (Gagne’s
Instructional Model)


1. ทฤษฎี/หลัก การ/แนวคิด ของรูป แบบ

กานเย (Gagne, 1985: 70-90) ได้พัฒนาทฤษฎีเงื่อนไขการเรียนรู้
(Condition of

Learning) ซึ่งมี 2 ส่วนใหญ่ ๆ คือ ทฤษฎีการเรียนรู้ และทฤษฎีการ
จัดการเรียนการสอน ทฤษฎีการเรียนรู้ของกานเยอธิบายว่า
ปรากฏการณ์การเรียนรู้มีองค์ประกอบ 3 ส่วนคือ

                          1) ผลการเรียนรู้หรือความสามารถด้านต่าง
ๆ ของมนุษย์ ซึ่งมีอยู่ 5 ประเภทคือ

ทักษะทางปัญญา (intellectual skill ) ซึ่งประกอบด้วยการจำาแนก
แยกแยะ การสร้างความคิดรวบยอด การสร้างกฎ การสร้างกระบวนการ
หรือกฎชั้นสูง ความสามารถด้านต่อไปคือ กลวิธีในการเรียน
รู้(cognitive

Strategy) ภาษาหรือคำาพูด (verbal information) ทักษะการ
เคลื่อนไหว(motor skill) และเจตคติ(attitude)

                      2) กระบวนการเรียนรู้และจดจำาของมนุษย์
มนุษย์มีกระบวนการจัดกระทำาข้อมูล

ใน สมอง ซึ่งมนุษย์จะอาศัยข้อมูลที่สะสมไว้มาพิจารณาเลือกจัดกระทำา
สิ่งใดสิ่งหนึ่ง และขณะที่กระบวนการจัดกระทำาข้อมูลภายในสมองกำาลัง
เกิดขึ้นเหตุการณ์ภาย นอกร่างกายมนุษย์มีอิทธิพลต่อการส่งเสริมหรือ
การ

ยับยั้ง การเรียนรู้ที่เกิดขึ้นภายในได้ ดังนั้นในการจัดการเรียนการสอน
กานเยจึงได้เสนอแนะว่า ควรมีการจัดสภาพการเรียนการสอนให้เหมาะ
สมกับการเรียนรู้แต่ละประเภท ซึ่งมีลักษณะเฉพาะที่แตกต่างกัน และส่ง
เสริมกระบวนการเรียนรู้ภายในสมอง โดยจัดสภาพการณ์ภายนอกให้
เอื้อต่อกระบวนการเรียนรู้ภายในของผู้เรียน

                     2. วัต ถุป ระสงค์ข องรูป แบบ

                          เพื่อช่วยให้ผู้เรียนสามารถเรียนรู้เนื้อหาสาระ
ต่าง ๆ ได้อย่างดี รวดเร็ว และสามารถจดจำาสิ่งที่เรียนได้นาน

                     3.    กระบวนการเรีย นการสอนของรูป แบบ

                การเรียนการสอนตามรูปแบบของกานเย ประกอบ
ด้วยการดำาเนินการเป็นลำาดับ

ขั้นตอนรวม 9 ขันดังนี้
               ้

                           ขั้นที่ 1 การกระตุ้นและดึงดูดความสนใจของ
ผู้เรียน เป็นการช่วยให้ผู้เรียนสามารถรับสิ่งเร้า หรือสิ่งที่จะเรียนรู้ได้ดี

                        ขั้นที่ 2 การแจ้งวัตถุประสงค์ของการเรียนให้
ผู้เรียนทราบ เป็นการช่วยให้ผู้เรียนได้รับรู้ความคาดหวัง

                         ขั้นที่ 3 การกระตุ้นให้ระลึกถึงความรู้เดิม
เป็นการช่วยให้ผู้เรียนดึงข้อมูลเดิมที่อยู่ในหน่วยความจำาระยะยาวให้มา
อยู่ ในหน่วยความจำาเพื่อใช้งาน(working memory) ซึ่งจะช่วยให้ผู้
เรียนเกิดความพร้อมในการเชื่อมโยงความรู้ใหม่กับความรู้เดิม

                        ขั้นที่ 4 การนำาเสนอสิ่งเร้าหรือเนื้อหาสาระ
ใหม่ ผูสอนควรจะจัดสิ่งเร้าให้ผู้เรียนเห็นความสำาคัญของสิ่งเร้านั้น
       ้
อย่างชัดเจน เพื่อความสะดวกในการเลือกรับรู้ของผู้เรียน

                         ขั้นที่ 5 การให้แนวการเรียนรู้ หรือการจัด
ระบบข้อมูลให้มีความหมาย เพื่อช่วยให้ผู้เรียนสามารถทำาความเข้าใจ
กับสาระที่เรียนได้ง่ายและเร็วขึ้น

                          ขั้นที่ 6 การ กระตุ้นให้ผู้เรียนแสดงความ
สามารถ เพื่อให้ผู้เรียนมีโอกาสตอบสนองต่อสิ่งเร้าหรือสาระที่เรียน ซึ่ง
จะช่วยให้ทราบถึงการเรียนรู้ที่เกิดขึ้นในตัวผู้เรียน
ขั้นที่ 7 การให้ข้อมูลป้อนกลับ เป็นการ
ให้การเสริมแรงแก่ผู้เรียน และข้อมูลที่เป็นประโยชน์กับผู้เรียน

                           ขั้นที่ 8 การประเมินผลการแสดงออกของผู้
เรียน เพื่อช่วยให้ผู้เรียนทราบว่าตนเองสามารถบรรลุวัตถุประสงค์มาก
น้อยเพียงใด

                        ขั้นที่ 9 การส่งเสริมความคงทนและการถ่าย
โอนการเรียนรู้ โดยการให้โอกาสผู้เรียนได้มีการฝึกฝนอย่างพอเพียง
และในสถานการณ์ที่หลากหลาย เพื่อช่วยให้ผู้เรียนเกิดความเข้าใจที่
ลึกซึ้งขึ้น และสามารถถ่ายโอนการเรียนรู้ไปสู่สถานการณ์อื่น ๆ ได้

                    4. ผลที่ผ ู้เ รีย นจะได้ร ับ จากการเรีย นตามรูป
แบบ

                         เนื่อง จากการเรียนการสอนตามรูปแบบนี้ จัด
ขึ้นให้ส่งเสริมกระบวนการเรียนรู้และจดจำาของมนุษย์ ดังนั้น ผู้เรียนจะ
สามารถเรียนรู้สาระที่นำาเสนอได้อย่างดี รวดเร็วและจดจำาสิ่งที่เรียนรู้ได้
นาน นอกจากนั้นผู้เรียนยังได้เพิ่มพูนทักษะในการจัดระบบข้อมูล สร้าง
ความหมายของข้อมูล รวมทั้งการแสดงความสามารถของตนด้วย

10. การสอนแบบปฏิบ ัต ิก าร
       การสอนแบบปฏิบัติการ (Laboratory) คือ การสอนที่ให้ผู้
เรียนกระทำากิจกรรมการเรียนภายใต้การแนะนำาช่วยเหลืออย่างใกล้ชิด
โดยทำาการทดลองปฏิบัติฝึกการใช้ทฤษฎีโดยผ่านการสังเกตการ
ทดลอง ภายใต้สภาพที่ควบคุม
11. การสอนโดยใช้โ สตทัศ นูป กรณ์
        การสอนโดยใช้โสตทัศนูปกรณ์ (Audio – visual Media)
หมายถึง การสอนโดยใช้อุปกรณ์การสอนต่างๆ เช่น รูปภาพ สไลด์
ภาพยนตร์ วีดิทัศน์ หุนจำาลอง เทปบันทึกเสียง เครื่องฉายภาพข้าม
                      ่
ศีรษะ เป็นต้น เนื่องจากโสตทัศนูปกรณ์แต่ละชนิดต่างก็มีจุดเด่น ข้อ
จำากัดเฉพาะตัว จึงไม่ขอกล่าวถึงจุดเด่นและข้อจำากัดโดยรวมๆ ในการ
พัฒนาการใช้สื่อต่างๆ

12. การสอนแบบให้ผ ู้เ รีย นเสนอรายงานในชั้น เรีย น
       การสอนแบบให้ผู้เรียนเสนอรายงานในชั้น คือ เทคนิคการสอน
ที่มอบหมายให้ผู้เรียนไปศึกษาค้นคว้าสาระความรู้ เรื่องราย ฯลฯ แล้ว
นำามาเสนอรายงานในชั้น โดยทั่วไปจะเสนอด้วยวาจา ผู้สอนอาจมอบ
หมายให้ผู้เรียนไปศึกษาค้นคว้าเป็นรายบุคคลหรือกลุ่มก็ได้

13.การสอนโดยใช้ค ำา ถาม
         การสอนโดยใช้คำาถามเป็นการสอนที่ผู้สอนป้อนคำาถามให้ผู้
เรียนตอบ อาจตอบเป็นรายบุคคลหรือตอบเป็นกลุ่มย่อย หรือตอบทั้งชั้น
การตอบใช้วิธีพูดตอบผู้สอนจะพิจารณาคำาตอบแล้วให้ข้อมูลสะท้อน
กลับ หรือถามคนอื่นหรือกลุ่มอื่นจนกว่าจะได้คำาตอบที่ถูกต้องเหมาะสม
         เทคนิคการสอนหลากหลายวิธีดังกล่าวมาแล้ว เป็นเพียง
แนวทางการสอนที่มีผู้ค้นคิดขึ้น ซึ่งผู้สอนเองจะต้องทำาความเข้าใจ และ
เลือกใช้ ประยุกต์ใช้ ปรับปรุงและพัฒนาให้เหมาะสมกับเนื้อหาสาระ
ของการสอน ผู้เรียน วัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรม เวลา เครื่องมือ
บรรยากาศ สถานที่ และข้อจำากัดต่างๆ รวมถึงความถนัดของผู้สอน แต่
ทั้งนี้ในการเลือกใช้ที่ดีควรจะผสมผสานหลายเทคนิคที่เหมาะสมเข้า
ด้วยกัน จะก่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดได้


14. เทคนิค การใช้ผ ัง กราฟิก ( graphic
organizers ) ประเภท
            ผัง ความคิด ( A Mind MAP ) เป็นผังที่แสดงความ
สัมพันธ์ของสาระหรือความคิดต่าง ๆ ให้เห็นเป็นโครงสร้างในภาพรวม
โดยใช้ เส้น คำา ระยะห่างจากจุดศูนย์กลาง สี เครื่องหมาย รูปทรง
เรขาคณิตและภาพ แสดงความหมายและความเชื่อมโยงของความคิด
หรือสาระนั้น ๆ โดยมีขั้นตอนหลัก ๆ ในการทำาดังนี้
            แผนที่ความคิด บางทีเรียกว่า( Webbing semantic
Net working, Momory mapping)
โทนี่ บูซานได้พัฒนาแผนที่ความคิดขึ้น โดย บูรณาการ การทำางาน
ของสมองด้านซ้ายและด้านขวา สมองด้า นซ้า ย จะทำาหน้าที่ในการ
วิเคราะห์คำา สัญลักษณ์ ตรรกวิทยา ภาษา ระบบ ลำาดับ ความเป็น
เหตุผล
            สมองด้า นขวา จำาทำาหน้าที่ในการสังเคราะห์รูปแบบ
สี รูปร่าง วิเคราะห์คิดสร้างสรรค์ จินตนาการ ความงาม ศิลปะ
แผนที่ความคิดไม่เพียงแต่จะใช้คำาต่าง ๆ เท่านั้น แต่ยังใช้สัญลักษณ์
และภาพต่าง ๆ ด้วย นอกจากนี้แผนที่ความคิดยังเป็นกระบวนการจัด
ระบบการจำาและการจัดกระทำาข้อมูล เป็นการ บูรณาการภาพ สี คำา
ศัพท์ และเชื่อมโยงกระบวนการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วมกับแผนที่ความคิด
บุค คลทั่ว ไป   --ใช้ในชีวิตส่วนตัว ในการวางแผน การ
ตัดสินใจ
                                 -- ชีวิตการทำางาน การช่วย
จำา การแก้ปัญหา การนนำาเสนอ การเขียนหนังสือ
            ครูผ ู้ส อน   -- การวางแผนการจัดการเรียนรู้
                                 -- การจัดกิจกรรมต่าง ๆ ในการ
เรียนรู้
            นัก เรีย น    -- ช่วยในการคิด จำา บันทึก เสนอ
ข้อมูล
                                 -- ทำาให้เข้าใจเนื้อหา

                                        -- ช่วยแก้ปัญหาอย่างเป็นรูป
ธรรม

                                        -- ทำาให้การเรียนรู้เป็นเรื่อง
สนุกสนาน มีชีวิตชีวา




หลัก การทำา    Mind Map

1. เริ่มต้นด้วยภาพสีตรงกึ่งกลางหน้ากระดาษ

2. ใช้ภาพให้มากที่สุด ใช้ภาพก่อนคำาสำาคัญ ( Key word ) หรือรหัส
เป็นการช่วยการทำางานของสมอง ดึงดูดสายตาและช่วยจำา

3. เขียนคำาสำาคัญตัวใหญ่ อ่านง่าย ชัดเจน ช่วยให้สามารถประหยัด
เวลาเมื่อย้อนกลับมาอ่านอีกครั้ง

4. เขียนคำาสำาคัญเหนือเส้น และแต่ละเส้นต้องเชื่อมต่อกับเส้นอื่น ๆ

5. คำาสำาคัญควรมีลักษณะเป็น “ หน่วย “ คำาสำาคัญ 1 คำาต่อ 1 เส้น

6. ระบายสีให้ทั่ว Mind Map เพราะสีช่วยยกระดับความจำา เพลิน
ตา กระตุ้นสมองซีกขวา

7. เพื่อให้เกิดความคิดสร้างสรรค์ใหม่ ๆ ควรปล่อยให้หัวคิดมีอิสระมาก
ที่สุด

       ใช้ร ูป ทรงเรขาคณิต แสดงขอบเขตของคำาที่มีลักษณะของคำา
ใกล้เคียงกัน
          ใช้ภ าพ รูปสามมิติ เพื่อให้โดดเด่น
                    การระดมสมอง เป็นการนำาความรู้ที่อยู่แล้วออก
มาใช้ ทำาให้ผู้เรียนมีความรู้สึกอิสระในทางความคิด ปล่อยจิตใจให้มี
อำานาจเหนือสมอง ไม่ต้องกังวลว่าสิ่งที่คิดออกมานี้สัมพันธ์กับประเด็นที่
ตั้งหรือไม่
                    การระดมพลังสมองใช้ได้ทั้งงานเดี่ยวและงานกลุ่ม
        งานเดี่ย ว ให้ผู้เรียนใช้เวลาประมาณ 5 นาที แล้วเขียน
หัวข้อ เรื่องปัญหาหรือประเด็นที่มอบหมายให้ลงในแผ่นกระดาษ จาก
นั้นเขียนทุกสิ่งทุกอย่างที่ผู้เขียนทราบ เกี่ยวกับสิ่งนั้นในขณะนั้น ให้
เร็วที่สุด
        งานกลุ่ม ต้องให้สมาชิกทุกคนในกลุ่มมีโอกาสคิดอย่างอิสระ
ที่สุดโดยประวิงการประเมินความคิดออกไปไม่มีการวิพากษ์ วิจารณ์
ในระหว่างที่มีการคิดจุดประสงค์เพื่อนำาไปสู่ การที่สามารถแก้ปัญหา
ได้

15. การสอนแบบโครงการ (The Project Approach)
หลัก การ
         โครงการ คือการสืบค้นหาข้อมูลอย่างลึกตามหัวเรื่องที่เด็ก
สนใจควรแก่การเรียนรู้ โดยปกติการสืบค้นจะทำาโดยเด็กกลุ่มเล็กๆ ทีอยู่่
ในชั้นเรียน หรือเด็กทั้งชั้นร่วมกัน หรือบางโอกาสอาจเป็นเพียงเด็กคน
ใดคนหนึ่งเท่านั้น จุดเด่นของโครงการคือความพยายามที่จะค้นหาคำา
ตอบจากคำาถามที่เกี่ยวกับหัว เรื่อง ไม่ว่าคำาถามนั้นจะมาจากเด็ก จากครู
หรือจากเด็กและครูร่วมกันก็ตาม จุดประสงค์ของโครงการคือการเรียนรู้
เกี่ยวกับหัวเรื่อง มากกว่าการเสาะแสวงหาคำาตอบที่ถูกต้องเพื่อตอบคำา
ถามที่ครูเป็นผู้ถาม (Katz,1994)
         การทำา โครงการไม่สามารถทดแทนหลักสูตรทั้งหมดได้ สำาหรับ
เด็กปฐมวัยถือเป็นส่วนที่เสริมเพิ่มเติมให้สมบูรณ์อย่างไม่เป็นทาง การ
เพียงส่วนหนึ่งของหลักสูตรเท่านั้น งานโครงการจะไม่แยกเป็นรายวิชา
เช่น ภาษาไทย คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ ฯลฯ แต่จะบูรณาการทุกวิชา
เข้าด้วยกัน โดยเฉพาะเด็กปฐมวัยต้องการครูเป็นผู้ชี้แนะ และเป็นที่
ปรึกษาในการทำาโครงการ
         ส่วน เวลาที่ใช้ในการทำางานแต่ละโครงการนั้นอาจใช้เวลา
หลายวัน หลายสัปดาห์ หรือหนึ่งสัปดาห์ขึ้นอยู่กับหัวเรื่อง อายุ และ
ความสนใจของเด็ก (Katz, 1994)


กระบวนการ
โครงการ ถือเป็นตัวอย่างที่ดีของการเรียนรู้ที่เต็มไปด้วยความหมาย
เหมาะกับพัฒนาการ เด็ก เป็นการศึกษาอย่างลึกในช่วงเวลาที่ขยายได้
ตามความสนใจของเด็กแต่ละคน แต่ละกลุ่มย่อย หรือแต่ละชั้นและตาม
แต่หัวเรื่องที่ต้องการศึกษา ในหนังสือ Project Approach "A
Practical Guide for Teachers" ของ Sylvia C. Chard
(1992,1994) ได้กล่าวถึงลักษณะโครงสร้างของการปฏิบัติโครงการ
ไว้ 5 ข้อ คือ
          1. การอภิปรายกลุ่ม ในงานโครงการครูสามารถแนะนำาการ
เรียนรู้ให้เด็ก และช่วยให้เด็กแต่ละคนมีโอกาสแลกเปลี่ยนสิ่งที่ตนทำากับ
เพื่อน
การพบประสนทนากันในกลุ่มย่อย หรือกลุ่มใหญ่ทั้งชั้น ทำาให้เด็กมี
โอกาสที่จะอภิปรายแลกเปลี่ยนความคิดเห็น ซึ่งกันและกัน
          2. การ ศึกษานอกสถานที่ สำาหรับเด็กปฐมวัยไม่จำาเป็นต้องเสีย
เงินเป็นจำานวนมาก เพื่อพาเด็กไปยังสถานที่ไกลๆ ประสบการณ์ในระยะ
แรกครูอาจพาไปทัศนศึกษานอกห้องเรียน เรียนรู้สิ่งก่อสร้างต่างๆที่อยู่
รอบบริเวณโรงเรียน เช่น ร้านค้า ถนนหนทาง ป้ายสัญญาณ งาน
บริการต่างๆ ฯลฯ จะช่วยให้เด็กเข้าโลกที่แวดล้อม มีโอกาสพบปะกับ
บุคคลที่มีความรู้เชี่ยวชาญในหัวเรื่องที่เด็กสนใจ ซึ่งถือเป็น
ประสบการณ์เรียนรู้ขั้นแรกของงานศึกษาค้นคว้า
          3. การ นำาเสนอประสบการณ์เดิม เด็กสามารถที่จะทบทวน
ประสบการณ์เดิมในหัวเรื่องที่ตนสนใจ มีการอภิปราย แสดงความคิด
เห็นในประสบการณ์ที่เหมือนหรือแตกต่างกับเพื่อน รวมทั้งแสดงคำาถาม
ที่ต้องการสืบค้นในหัวเรื่องนั้นๆ นอกจากนี้เด็กแต่ละคนสามารถที่จะ
เสนอประสบการณ์ที่ตนมีให้เพื่อนในชั้นได้ รู้ด้วยวิธีการอันหลากหลาย
เสมือนเป็นการพัฒนาทักษะเบื้องต้น ไม่ว่าจะเป็นการเขียนภาพ การ
เขียน การใช้สัญลักษณ์ทางคณิตศาสตร์ การเล่นบทบาทสมมติ และการ
ก่อสร้างแบบต่างๆ
          4. การ สืบค้น งานโครงการเปิดกว้างให้ใช้แหล่งค้นคว้าข้อมูล
อย่างหลากหลายตามหัวเรื่องที่ สนใจเด็กสามารถสัมภาษณ์พ่อแม่ ผู้
ปกครองของตนเอง บุคคลในครอบครัว เพื่อนนอกโรงเรียน สามารถ
หาคำาตอบของตนด้วยการศึกษานอกสถานที่ สัมภาษณ์วิทยากรท้องถิ่น
ที่มีความรอบรู้ในหัวเรื่อง อาจสำารวจวิเคราะห์วัตถุสิ่งของด้วยตนเอง
เขียนโครงร่าง หรือใช้แว่นขยายส่องดูวัตถุต่างๆ หรืออาจใช้หนังสือใน
ชั้นเรียนหรือในห้องสมุดทำาการค้นคว้า
         5. การ จัดแสดง การจัดแสดงทำาได้หลายรูปแบบ อาจใช้ฝา
ผนังหรือป้ายจัดแสดงงานของเด็ก เป็นการแลกเปลี่ยนความคิด ความรู้
ที่ได้จากการสืบค้นแก่เพื่อนในชั้น ครูสามารถให้เด็กในชั้นได้รับทราบ
ความก้าวหน้าในการสืบค้นโดยจัดให้มีการ อภิปราย หรือการจัดแสดง
ทั้งจะเป็นโอกาสให้เด็กและครูได้เล่าเรื่องงานโครงการที่ทำาแก่ผู้มาเยี่ยม
เยียนโรงเรียนอีกด้วย
16. การสอนแบบมอนเตสซอรี่
หลัก การ
Morrison (998 : 96 - 1 0 ) และบุคคลต่างๆ ได้สังเคราะห์แนวคิด
และแนวปฏิบัติของมอนเตสซอรี่ สรุปเป็นหลักการของการสอนได้ 5
ประเด็น ดังนี้
         1. เด็ก จะต้อ งได้ร ับ การยอมรับ นับ ถือ (Respect for the
child)
         เพราะ เด็กแต่ละคนมีลักษณะเฉพาะของเขา ดังนั้นการจัดการ
ศึกษาให้แก่เด็กควรจะเหมาะกับเด็กแต่ละคน มอนเตสซอรี่ยืนยันใน
ความเชื่อของตนเองที่ว่า ชีวิตของเด็กต้องได้รับการดูแลที่แตกต่างไป
จากผู้ใหญ่ไม่จัดการศึกษาให้แก่ เด็กตามที่ผู้ใหญ่ต้องการให้เป็น โดย
นักการศึกษาและผู้ปกครองจะแสดงความเคารพนับถือเด็กได้หลายวิถี
ทางช่วยให้เด็กทำางานได้ด้วยตนเอง ส่งเสริมความเป็นอิสระให้แก่เด็ก
และเคารพความต้องการของเด็กแต่ละคน
         2. เด็ก มีจ ิต ที่ซ ึม ซาบได้ (The Absorbent Mind)
          มอน เตสซอรี่เชื่อว่า เด็กแต่ละคนไม่ได้รับการศึกษามาจากคน
อื่น แต่เด็กคือผู้ให้การศึกษาแก่ตนเอง เราใช้จิตในการแสวงหาความรู้
เด็กซึมซาบข้อมูลต่างๆ เข้าไปในจิตของตนเองได้ กระบวนนี้เห็นได้ชัด
จากการที่เด็กเรียนภาษาแม่ได้เอง

พัฒนาการของจิตที่ซึมซาบได้มี 2 ระดับคือ
         อายุตั้งแต่แรกเกิดถึง 3 ปีเป็นช่วงที่จิตซึมซาบโดยไม่รู้สึกตัว
(Unconscious absorbent mind) เป็นการพัฒนาประสาทสัมผัส
ของการมองเห็น (seeing) การได้ยิน (hearing) การชิมรส (tasting)
การดมกลิ่น (smelling) และการสัมผัส (touching) เด็กจะซึมซาบทุก
สิ่งทุกอย่างรอบตัว
         อายุ 3-6 ปี เป็นช่วงที่จิตซึมซาบโดยรู้สึกตัว (conscious
absorbent mind) โดย เลือกสิ่งที่ประทับใจจากสิ่งแวดล้อม และ
พัฒนาประสาทสัมผัสต่างๆ การเลือกสรรมีความละเอียดลออเพิ่มขึ้น ใน
ช่วงที่จิตซึมซาบโดยไม่รู้สึกตัว เด็กจะเห็นและซึมซาบสีโดยไม่ได้
แยกแยะความแตกต่างของสีเหล่านี้เมื่ออายุ 3 ปีขึ้นไป เด็กจะพัฒนา
ความสามารถในการที่จะแยกแยะ จับคู่ และเรียงลำาดับสีได้
         มอน เตสซอรี่ ได้ท้าทายให้ครูคิดเกี่ยวกับเรื่องจิตที่ซึมซาบได้
ของเด็ก ว่าสิ่งที่เด็กเรียนรู้ส่วนใหญ่จะขึ้นอยู่กับคนที่อยู่รอบตัว สิ่งที่คน
เหล่านั้นพูดและทำา และปฏิกิริยาของคนเหล่านั้น
          3. ช่ว งเวลาหลัก ของชีว ิต (Sensitive Periods)
         วัย 3-6 ปี ช่วงเวลานี้เด็กจะรับรู้ได้ไวและเรียนรู้ทักษะเฉพาะ
อย่างได้ดี ครูจึงต้องสังเกตเด็ก เพื่อจัดการเรียนการสอนให้แก่เด็กได้
สมบูรณ์ที่สุด ถึงแม้เด็กจะอยู่ในช่วงเวลาหลักเหมือนกัน แต่ขั้นตอนและ
จังหวะเวลาของเด็กแต่ละคนจะแตกต่างกัน ดังนั้นครูของมอนเตสซอรี ่่
หรือผู้ปกครองจำาเป็นจะต้องหาช่วงเวลาของเด็กจัดให้เด็กประสบความ
สำาเร็จ ได้สูงสุด การสังเกตจึงสำาคัญสำาหรับครูและผู้ปกครอง นักการ
ศึกษาหลายคนเชื่อว่าข้อมูลที่ได้จากการสังเกตถูกต้องมากกว่าการใช้
แบบ สอบ
         4. การตระเตรีย มสิ่ง แวดล้อ ม (The Prepared
Environment)
          เด็ก จะเรียนรู้ได้ดี ในสิ่งแวดล้อมที่ได้ตระเตรียมเอาไว้ใน
สถานที่ใดก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นห้องเรียน ห้องที่บ้าน ห้องเด็กเล็ก หรือ
สนามเด็กเล่น จุดมุ่งหมายเพียงเพื่อให้เด็กมีอิสระจากการควบคุมของ
ผู้ใหญ่เป็นสถานที่ที่ เด็กจะได้ทำาสิ่งต่างๆ เพื่อตนเอง ห้องเรียนใน
อุดมคติของมอนเตสซอรี่ คือเด็กเป็นศูนย์กลางและมีส่วนร่วมในการ
เรียน
         ใน สิ่งแวดล้อมที่ตระเตรียมไว้ เด็กจะเรียนได้ตามความต้องการ
ตัดสินใจเลือกอุปกรณ์ที่ต้องทำา มอนเตสซอรี่จะจัดโต๊ะ เก้าอี้ขนาดเด็ก
ให้เด็กได้ทำางานเป็นรายบุคคล เป็นกลุ่มในห้องเรียน มีการทำางานบน
พื้น มอนเตสซอรี่เห็นว่าโต๊ะครูไม่จำาเป็น เพราะครูต้องไปทำางานกับเด็ก
อยู่แล้ว เธอได้เสนอแนะให้จัดเฟอร์นิเจอร์ทุกอย่างเป็นขนาดเด็ก กระ
ดานดำาขนาดตำ่าพอที่เด็กจะใช้ พื้นที่ภายนอกซึ่งเด็กสามารถทำาสวน
หรือทำากิจกรรมกลางแจ้งได้
         โดย เฉพาะห้องเรียน ต้องเป็นที่ที่เด็กสามารถทำาสิ่งต่างๆ ได้
เล่นอุปกรณ์ที่วางไว้อย่างมีจุดมุ่งหมายและให้การศึกษาแก่ตน อิสระเป็น
ลักษณะที่สำาคัญของการตระเตรียมสิ่งแวดล้อม เมื่อเด็กมีอิสระภายในสิ่ง
แวดล้อม เลือกทำาอุปกรณ์ด้วยตนเอง เขาจะซึมซาบสิ่งต่างๆจากตรงนั้น
         ผู้ใหญ่มักจะกลัวว่าเด็กจะใช้อิสระไม่เป็น เด็กจะมีอิสระในการ
ใช้อุปกรณ์ที่จัดไว้ ภายใต้กรอบในการเลือกที่ครูได้จัดให้การเลือก
(Choice) คือผลผลิตของวินัยและการควบคุมตนเองที่จะได้รู้จากสิ่ง
แวดล้อม
         5. การศึก ษาด้ว ยตนเอง (Self-or Auto Education)
         มอน เตสซอรี่เน้นความสนใจไปที่ความสามารถของมนุษย์
ศิลปะของการสอนรวมถึงการตระเตรียมสิ่งแวดล้อม เพื่อเด็กจะได้เข้า
ไปทำางานและเรียนรู้ด้วยตนเอง เด็กสามารถเรียนรู้ได้ด้วยตนเอง จาก
การที่เด็กมีอิสระในสิ่งแวดล้อมที่จัดเตรียมไว้อย่างสมบูรณ์การมีอิสระ นี้
มอนเตสซอรี่กล่าวว่า ไม่ใช่สัญลักษณืของเสรีภาพเท่านั้น แต่หมายถึง
เส้นทางไปสู่การศึกษา เด็กมีสิทธิ์ที่จะเรียนรู้ระเบียบวินัยของชีวิต ได้มี
โอกาสแก้ไขข้อบกพร่องของตนเอง สามารถควบคุมการเคลื่อนไหวของ
ตนเองได้

17.     การจัด การเรีย นการสอนแบบโครงงาน
      แนวคิด

       การสอนแบบโครงงานเป็นการเปิดโอกาสให้ผู้เรียน เรียนรู้เรื่อง
ใดเรื่องหนึ่งตามความสนใจของผู้เรียนอย่างลุ่มลึก โดยผ่าน
กระบวนการหลักคือ กระบวนการแก้ปัญหา ผู้เรียนจะเป็นผู้ลงมือปฏิบัติ
เพื่อค้นหาคำาตอบด้วยตนเอง จึงเป็นการเรียนรู้จากการได้มี
ประสบการณ์ตรงจากแหล่งเรียนรู้

      วัต ถุป ระสงค์
              การจัดการเรียนการสอนแบบโครงงานมีวัตถุประสงค์เพื่อ
      ให้นักเรียน
      1. มีประสบการณ์โดยตรง
      2. ได้ทำาการทดลองและพิสูจน์สิ่งต่าง ๆ ด้วยตนเอง
      3. รู้จักการทำางานอย่างมีระบบ มีขั้นตอน
      4. ฝึกการเป็นผู้นำาและผู้ตามที่ดี
      5. ได้เรียนรู้วิธีการแก้ปัญหา
      6. ได้รู้จักวิธีการต่าง ๆ ในการแก้ปัญหา
      7. ฝึกวิเคราะห์ และประเมินตนเอง

      ประเภทของโครงงาน
      1. โครงงานแบบสำารวจ
      2. โครงงานแบบทดลอง
21 วิธีการสอน และเอกสารฝ่ายวิชาการ
21 วิธีการสอน และเอกสารฝ่ายวิชาการ
21 วิธีการสอน และเอกสารฝ่ายวิชาการ
21 วิธีการสอน และเอกสารฝ่ายวิชาการ
21 วิธีการสอน และเอกสารฝ่ายวิชาการ
21 วิธีการสอน และเอกสารฝ่ายวิชาการ

More Related Content

What's hot

ค่าอำนาจจำแนก
ค่าอำนาจจำแนก ค่าอำนาจจำแนก
ค่าอำนาจจำแนก Jeerapob Seangboonme
 
คำกล่าวเปิดค่ายจริยธรรม
คำกล่าวเปิดค่ายจริยธรรมคำกล่าวเปิดค่ายจริยธรรม
คำกล่าวเปิดค่ายจริยธรรม
niralai
 
แบบประเมินทักษะกระบวนการ
แบบประเมินทักษะกระบวนการแบบประเมินทักษะกระบวนการ
แบบประเมินทักษะกระบวนการ
somdetpittayakom school
 
การวัดพฤติกรรมด้านจิตพิสัย
การวัดพฤติกรรมด้านจิตพิสัยการวัดพฤติกรรมด้านจิตพิสัย
การวัดพฤติกรรมด้านจิตพิสัย
TupPee Zhouyongfang
 
รูปแบบการสอนดร.ทิศนา แขมณี
รูปแบบการสอนดร.ทิศนา แขมณีรูปแบบการสอนดร.ทิศนา แขมณี
รูปแบบการสอนดร.ทิศนา แขมณีParichart Ampon
 
กระดาษคำตอบ20ข้อ
กระดาษคำตอบ20ข้อกระดาษคำตอบ20ข้อ
กระดาษคำตอบ20ข้อ
wisheskerdsilp
 
องค์ประกอบของหลักสูตร
องค์ประกอบของหลักสูตรองค์ประกอบของหลักสูตร
องค์ประกอบของหลักสูตร
Sunisa199444
 
ใบงานที่ 1.1 หน่วยการเรียนรู้ที่ 3 เรื่อง เครื่องมือเกษตร ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4
ใบงานที่ 1.1 หน่วยการเรียนรู้ที่ 3 เรื่อง เครื่องมือเกษตร ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4ใบงานที่ 1.1 หน่วยการเรียนรู้ที่ 3 เรื่อง เครื่องมือเกษตร ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4
ใบงานที่ 1.1 หน่วยการเรียนรู้ที่ 3 เรื่อง เครื่องมือเกษตร ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4
Thanawut Rattanadon
 
คำกริยาที่บ่งบอกพฤติกรรมการเรียนรู้ KPA
คำกริยาที่บ่งบอกพฤติกรรมการเรียนรู้ KPAคำกริยาที่บ่งบอกพฤติกรรมการเรียนรู้ KPA
คำกริยาที่บ่งบอกพฤติกรรมการเรียนรู้ KPAณัฐพล แสงทวี
 
หัวกระดาษข้อสอบ
หัวกระดาษข้อสอบหัวกระดาษข้อสอบ
หัวกระดาษข้อสอบ
worapanthewaha
 
คำกล่าวต้อนรับคณะกรรมการประเมิน
คำกล่าวต้อนรับคณะกรรมการประเมินคำกล่าวต้อนรับคณะกรรมการประเมิน
คำกล่าวต้อนรับคณะกรรมการประเมิน
pupphawittayacom
 
เขียนเรื่องจากจินตนาการ ป.3
เขียนเรื่องจากจินตนาการ ป.3เขียนเรื่องจากจินตนาการ ป.3
เขียนเรื่องจากจินตนาการ ป.3
เกษสุดา สนน้อย
 
Testแนวการออกข้อสอบวัดการคิดระดับสังเคราะห์
  Testแนวการออกข้อสอบวัดการคิดระดับสังเคราะห์  Testแนวการออกข้อสอบวัดการคิดระดับสังเคราะห์
Testแนวการออกข้อสอบวัดการคิดระดับสังเคราะห์
Nonsawan Exschool
 
การเขียนข้อสอบวัดพฤติกรรมด้านพุทธิพิสัย
การเขียนข้อสอบวัดพฤติกรรมด้านพุทธิพิสัยการเขียนข้อสอบวัดพฤติกรรมด้านพุทธิพิสัย
การเขียนข้อสอบวัดพฤติกรรมด้านพุทธิพิสัยBenjapron Seesukong
 
มาตรฐานและตัวบ่งชี้ สมศ.รอบสี่
มาตรฐานและตัวบ่งชี้ สมศ.รอบสี่มาตรฐานและตัวบ่งชี้ สมศ.รอบสี่
มาตรฐานและตัวบ่งชี้ สมศ.รอบสี่
Apirak Potpipit
 
ระดับภาษา 2
ระดับภาษา 2ระดับภาษา 2
ตัวอย่างแผนการสอนคอมพิวเตอร์
ตัวอย่างแผนการสอนคอมพิวเตอร์ตัวอย่างแผนการสอนคอมพิวเตอร์
ตัวอย่างแผนการสอนคอมพิวเตอร์srkschool
 
กิจกรรมสะเต็มศึกษา (สสวท.)
กิจกรรมสะเต็มศึกษา (สสวท.)กิจกรรมสะเต็มศึกษา (สสวท.)
กิจกรรมสะเต็มศึกษา (สสวท.)
kroofon fon
 
ตัวอย่างแผนการสอนวิชาแนะแนว
ตัวอย่างแผนการสอนวิชาแนะแนวตัวอย่างแผนการสอนวิชาแนะแนว
ตัวอย่างแผนการสอนวิชาแนะแนว
ทับทิม เจริญตา
 
วิทย์ ป.2
วิทย์ ป.2วิทย์ ป.2

What's hot (20)

ค่าอำนาจจำแนก
ค่าอำนาจจำแนก ค่าอำนาจจำแนก
ค่าอำนาจจำแนก
 
คำกล่าวเปิดค่ายจริยธรรม
คำกล่าวเปิดค่ายจริยธรรมคำกล่าวเปิดค่ายจริยธรรม
คำกล่าวเปิดค่ายจริยธรรม
 
แบบประเมินทักษะกระบวนการ
แบบประเมินทักษะกระบวนการแบบประเมินทักษะกระบวนการ
แบบประเมินทักษะกระบวนการ
 
การวัดพฤติกรรมด้านจิตพิสัย
การวัดพฤติกรรมด้านจิตพิสัยการวัดพฤติกรรมด้านจิตพิสัย
การวัดพฤติกรรมด้านจิตพิสัย
 
รูปแบบการสอนดร.ทิศนา แขมณี
รูปแบบการสอนดร.ทิศนา แขมณีรูปแบบการสอนดร.ทิศนา แขมณี
รูปแบบการสอนดร.ทิศนา แขมณี
 
กระดาษคำตอบ20ข้อ
กระดาษคำตอบ20ข้อกระดาษคำตอบ20ข้อ
กระดาษคำตอบ20ข้อ
 
องค์ประกอบของหลักสูตร
องค์ประกอบของหลักสูตรองค์ประกอบของหลักสูตร
องค์ประกอบของหลักสูตร
 
ใบงานที่ 1.1 หน่วยการเรียนรู้ที่ 3 เรื่อง เครื่องมือเกษตร ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4
ใบงานที่ 1.1 หน่วยการเรียนรู้ที่ 3 เรื่อง เครื่องมือเกษตร ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4ใบงานที่ 1.1 หน่วยการเรียนรู้ที่ 3 เรื่อง เครื่องมือเกษตร ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4
ใบงานที่ 1.1 หน่วยการเรียนรู้ที่ 3 เรื่อง เครื่องมือเกษตร ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4
 
คำกริยาที่บ่งบอกพฤติกรรมการเรียนรู้ KPA
คำกริยาที่บ่งบอกพฤติกรรมการเรียนรู้ KPAคำกริยาที่บ่งบอกพฤติกรรมการเรียนรู้ KPA
คำกริยาที่บ่งบอกพฤติกรรมการเรียนรู้ KPA
 
หัวกระดาษข้อสอบ
หัวกระดาษข้อสอบหัวกระดาษข้อสอบ
หัวกระดาษข้อสอบ
 
คำกล่าวต้อนรับคณะกรรมการประเมิน
คำกล่าวต้อนรับคณะกรรมการประเมินคำกล่าวต้อนรับคณะกรรมการประเมิน
คำกล่าวต้อนรับคณะกรรมการประเมิน
 
เขียนเรื่องจากจินตนาการ ป.3
เขียนเรื่องจากจินตนาการ ป.3เขียนเรื่องจากจินตนาการ ป.3
เขียนเรื่องจากจินตนาการ ป.3
 
Testแนวการออกข้อสอบวัดการคิดระดับสังเคราะห์
  Testแนวการออกข้อสอบวัดการคิดระดับสังเคราะห์  Testแนวการออกข้อสอบวัดการคิดระดับสังเคราะห์
Testแนวการออกข้อสอบวัดการคิดระดับสังเคราะห์
 
การเขียนข้อสอบวัดพฤติกรรมด้านพุทธิพิสัย
การเขียนข้อสอบวัดพฤติกรรมด้านพุทธิพิสัยการเขียนข้อสอบวัดพฤติกรรมด้านพุทธิพิสัย
การเขียนข้อสอบวัดพฤติกรรมด้านพุทธิพิสัย
 
มาตรฐานและตัวบ่งชี้ สมศ.รอบสี่
มาตรฐานและตัวบ่งชี้ สมศ.รอบสี่มาตรฐานและตัวบ่งชี้ สมศ.รอบสี่
มาตรฐานและตัวบ่งชี้ สมศ.รอบสี่
 
ระดับภาษา 2
ระดับภาษา 2ระดับภาษา 2
ระดับภาษา 2
 
ตัวอย่างแผนการสอนคอมพิวเตอร์
ตัวอย่างแผนการสอนคอมพิวเตอร์ตัวอย่างแผนการสอนคอมพิวเตอร์
ตัวอย่างแผนการสอนคอมพิวเตอร์
 
กิจกรรมสะเต็มศึกษา (สสวท.)
กิจกรรมสะเต็มศึกษา (สสวท.)กิจกรรมสะเต็มศึกษา (สสวท.)
กิจกรรมสะเต็มศึกษา (สสวท.)
 
ตัวอย่างแผนการสอนวิชาแนะแนว
ตัวอย่างแผนการสอนวิชาแนะแนวตัวอย่างแผนการสอนวิชาแนะแนว
ตัวอย่างแผนการสอนวิชาแนะแนว
 
วิทย์ ป.2
วิทย์ ป.2วิทย์ ป.2
วิทย์ ป.2
 

Viewers also liked

การสอนแบบจัดมโนมติล่วงหน้า
การสอนแบบจัดมโนมติล่วงหน้าการสอนแบบจัดมโนมติล่วงหน้า
การสอนแบบจัดมโนมติล่วงหน้า
Dueansc
 
เทคนิคการสอนและรูปแบบที่ยึดผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง
เทคนิคการสอนและรูปแบบที่ยึดผู้เรียนเป็นศูนย์กลางเทคนิคการสอนและรูปแบบที่ยึดผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง
เทคนิคการสอนและรูปแบบที่ยึดผู้เรียนเป็นศูนย์กลางKunwater Tianmongkon
 
ทฤษฎีการเรียนรู้เพื่อการจัดการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง
ทฤษฎีการเรียนรู้เพื่อการจัดการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลางทฤษฎีการเรียนรู้เพื่อการจัดการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง
ทฤษฎีการเรียนรู้เพื่อการจัดการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลางNampeung Kero
 
การเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ
การเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ
การเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ
อรรถกร ใจชาย
 
รูปแบบการเรียนการสอนโดยยึดผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง
รูปแบบการเรียนการสอนโดยยึดผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง รูปแบบการเรียนการสอนโดยยึดผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง
รูปแบบการเรียนการสอนโดยยึดผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง
Proud N. Boonrak
 
รูปแบบการเรียนการสอน
รูปแบบการเรียนการสอนรูปแบบการเรียนการสอน
รูปแบบการเรียนการสอนwannaphakdee
 

Viewers also liked (7)

การสอนแบบจัดมโนมติล่วงหน้า
การสอนแบบจัดมโนมติล่วงหน้าการสอนแบบจัดมโนมติล่วงหน้า
การสอนแบบจัดมโนมติล่วงหน้า
 
เทคนิคการสอนและรูปแบบที่ยึดผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง
เทคนิคการสอนและรูปแบบที่ยึดผู้เรียนเป็นศูนย์กลางเทคนิคการสอนและรูปแบบที่ยึดผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง
เทคนิคการสอนและรูปแบบที่ยึดผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง
 
ทฤษฎีการเรียนรู้เพื่อการจัดการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง
ทฤษฎีการเรียนรู้เพื่อการจัดการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลางทฤษฎีการเรียนรู้เพื่อการจัดการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง
ทฤษฎีการเรียนรู้เพื่อการจัดการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง
 
การเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ
การเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ
การเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ
 
รูปแบบการเรียนการสอนโดยยึดผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง
รูปแบบการเรียนการสอนโดยยึดผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง รูปแบบการเรียนการสอนโดยยึดผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง
รูปแบบการเรียนการสอนโดยยึดผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง
 
แผนการสอน..
แผนการสอน..แผนการสอน..
แผนการสอน..
 
รูปแบบการเรียนการสอน
รูปแบบการเรียนการสอนรูปแบบการเรียนการสอน
รูปแบบการเรียนการสอน
 

Similar to 21 วิธีการสอน และเอกสารฝ่ายวิชาการ

ภารกิจระดับครูผู้ช่วย
ภารกิจระดับครูผู้ช่วยภารกิจระดับครูผู้ช่วย
ภารกิจระดับครูผู้ช่วยpanggoo
 
ครูผู้ช่วย
ครูผู้ช่วยครูผู้ช่วย
ครูผู้ช่วยChaya Kunnock
 
ระดับครผู้ช่วย
ระดับครผู้ช่วยระดับครผู้ช่วย
ระดับครผู้ช่วยtyehh
 
ระดับครูผู้ช่วย
ระดับครูผู้ช่วยระดับครูผู้ช่วย
ระดับครูผู้ช่วยVachii Ra
 
ครูผู้ช่วย ภารกิจ
ครูผู้ช่วย ภารกิจครูผู้ช่วย ภารกิจ
ครูผู้ช่วย ภารกิจShe's Kukkik Kanokporn
 
ภารกิจระดับครูผู้ช่วย2
ภารกิจระดับครูผู้ช่วย2ภารกิจระดับครูผู้ช่วย2
ภารกิจระดับครูผู้ช่วย2Jiramet Ponyiam
 
นำเสนองานสื่อกิจกรรม
นำเสนองานสื่อกิจกรรมนำเสนองานสื่อกิจกรรม
นำเสนองานสื่อกิจกรรมnutchakaka
 
ภารกิจระดับครูผู้ช่วย
ภารกิจระดับครูผู้ช่วยภารกิจระดับครูผู้ช่วย
ภารกิจระดับครูผู้ช่วยนภสร ยั่งยืน
 
ภารกิจครูผู้ช่วย
ภารกิจครูผู้ช่วยภารกิจครูผู้ช่วย
ภารกิจครูผู้ช่วยArm Watcharin
 
ระดับครผู้ช่วย
ระดับครผู้ช่วยระดับครผู้ช่วย
ระดับครผู้ช่วยtyehh
 
เทคนิคการสอน
เทคนิคการสอนเทคนิคการสอน
เทคนิคการสอนkittitach06709
 
ภารกิจระดับครูปฏิบัติการ
ภารกิจระดับครูปฏิบัติการภารกิจระดับครูปฏิบัติการ
ภารกิจระดับครูปฏิบัติการArpaporn Mapun
 
จรรยาบรรณในวิชาชีพครู
จรรยาบรรณในวิชาชีพครูจรรยาบรรณในวิชาชีพครู
จรรยาบรรณในวิชาชีพครูพรรณภา ดาวตก
 
ระดับครผู้ช่วย
ระดับครผู้ช่วยระดับครผู้ช่วย
ระดับครผู้ช่วยtyehh
 

Similar to 21 วิธีการสอน และเอกสารฝ่ายวิชาการ (20)

ภารกิจระดับครูผู้ช่วย
ภารกิจระดับครูผู้ช่วยภารกิจระดับครูผู้ช่วย
ภารกิจระดับครูผู้ช่วย
 
ครูผู้ช่วย
ครูผู้ช่วยครูผู้ช่วย
ครูผู้ช่วย
 
ระดับครผู้ช่วย
ระดับครผู้ช่วยระดับครผู้ช่วย
ระดับครผู้ช่วย
 
ครูผู้ช่วย
ครูผู้ช่วยครูผู้ช่วย
ครูผู้ช่วย
 
ครูผู้ช่วย
ครูผู้ช่วยครูผู้ช่วย
ครูผู้ช่วย
 
ระดับครูผู้ช่วย
ระดับครูผู้ช่วยระดับครูผู้ช่วย
ระดับครูผู้ช่วย
 
ระดับครูผู้ช่วยนวัตกรรม
ระดับครูผู้ช่วยนวัตกรรมระดับครูผู้ช่วยนวัตกรรม
ระดับครูผู้ช่วยนวัตกรรม
 
ระดับครูผู้ช่วยนวัตกรรม
ระดับครูผู้ช่วยนวัตกรรมระดับครูผู้ช่วยนวัตกรรม
ระดับครูผู้ช่วยนวัตกรรม
 
ครูผู้ช่วย ภารกิจ
ครูผู้ช่วย ภารกิจครูผู้ช่วย ภารกิจ
ครูผู้ช่วย ภารกิจ
 
ภารกิจระดับครูผู้ช่วย2
ภารกิจระดับครูผู้ช่วย2ภารกิจระดับครูผู้ช่วย2
ภารกิจระดับครูผู้ช่วย2
 
ครูมืออาชีพ
ครูมืออาชีพครูมืออาชีพ
ครูมืออาชีพ
 
นำเสนองานสื่อกิจกรรม
นำเสนองานสื่อกิจกรรมนำเสนองานสื่อกิจกรรม
นำเสนองานสื่อกิจกรรม
 
ภารกิจระดับครูผู้ช่วย
ภารกิจระดับครูผู้ช่วยภารกิจระดับครูผู้ช่วย
ภารกิจระดับครูผู้ช่วย
 
ภารกิจครูผู้ช่วย
ภารกิจครูผู้ช่วยภารกิจครูผู้ช่วย
ภารกิจครูผู้ช่วย
 
ระดับครผู้ช่วย
ระดับครผู้ช่วยระดับครผู้ช่วย
ระดับครผู้ช่วย
 
เทคนิคการสอน
เทคนิคการสอนเทคนิคการสอน
เทคนิคการสอน
 
ภารกิจระดับครูปฏิบัติการ
ภารกิจระดับครูปฏิบัติการภารกิจระดับครูปฏิบัติการ
ภารกิจระดับครูปฏิบัติการ
 
จรรยาบรรณในวิชาชีพครู
จรรยาบรรณในวิชาชีพครูจรรยาบรรณในวิชาชีพครู
จรรยาบรรณในวิชาชีพครู
 
Assure
AssureAssure
Assure
 
ระดับครผู้ช่วย
ระดับครผู้ช่วยระดับครผู้ช่วย
ระดับครผู้ช่วย
 

More from Proud N. Boonrak

สมุดประจำตัวลูกเสือ
สมุดประจำตัวลูกเสือสมุดประจำตัวลูกเสือ
สมุดประจำตัวลูกเสือ
Proud N. Boonrak
 
เศรษฐกิจพอเพียง
เศรษฐกิจพอเพียงเศรษฐกิจพอเพียง
เศรษฐกิจพอเพียง
Proud N. Boonrak
 
ทฤษฏีไวก็อตสกี้
ทฤษฏีไวก็อตสกี้ทฤษฏีไวก็อตสกี้
ทฤษฏีไวก็อตสกี้
Proud N. Boonrak
 
มาตรา ๒๔ พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๔๒
มาตรา ๒๔ พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๔๒มาตรา ๒๔ พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๔๒
มาตรา ๒๔ พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๔๒
Proud N. Boonrak
 
ภาวะผู้นำสำหรับผู้บริหารสถานศึกษาในอนาคต
ภาวะผู้นำสำหรับผู้บริหารสถานศึกษาในอนาคตภาวะผู้นำสำหรับผู้บริหารสถานศึกษาในอนาคต
ภาวะผู้นำสำหรับผู้บริหารสถานศึกษาในอนาคต
Proud N. Boonrak
 
พหุปัญญา
พหุปัญญาพหุปัญญา
พหุปัญญา
Proud N. Boonrak
 
การจัดกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน Br
การจัดกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน Brการจัดกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน Br
การจัดกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน Br
Proud N. Boonrak
 
ใบความรู้ศาสนาคริสต์
ใบความรู้ศาสนาคริสต์ใบความรู้ศาสนาคริสต์
ใบความรู้ศาสนาคริสต์
Proud N. Boonrak
 
แผนการจัดการเรียนรู้ เรื่อง อาชีพ
แผนการจัดการเรียนรู้ เรื่อง อาชีพแผนการจัดการเรียนรู้ เรื่อง อาชีพ
แผนการจัดการเรียนรู้ เรื่อง อาชีพ
Proud N. Boonrak
 
ร่างยุทธศาสตร์การศึกษา
ร่างยุทธศาสตร์การศึกษาร่างยุทธศาสตร์การศึกษา
ร่างยุทธศาสตร์การศึกษา
Proud N. Boonrak
 
รูปแบบการเรียนการสอนโดยยึดผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง
รูปแบบการเรียนการสอนโดยยึดผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง รูปแบบการเรียนการสอนโดยยึดผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง
รูปแบบการเรียนการสอนโดยยึดผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง Proud N. Boonrak
 
การนิเทศแบบสอนแนะิ Coaching
การนิเทศแบบสอนแนะิ Coachingการนิเทศแบบสอนแนะิ Coaching
การนิเทศแบบสอนแนะิ CoachingProud N. Boonrak
 
ปรัชญาพิพัฒนาการนิยม
ปรัชญาพิพัฒนาการนิยมปรัชญาพิพัฒนาการนิยม
ปรัชญาพิพัฒนาการนิยม
Proud N. Boonrak
 

More from Proud N. Boonrak (15)

สมุดประจำตัวลูกเสือ
สมุดประจำตัวลูกเสือสมุดประจำตัวลูกเสือ
สมุดประจำตัวลูกเสือ
 
Present simple
Present simplePresent simple
Present simple
 
เศรษฐกิจพอเพียง
เศรษฐกิจพอเพียงเศรษฐกิจพอเพียง
เศรษฐกิจพอเพียง
 
ทฤษฏีไวก็อตสกี้
ทฤษฏีไวก็อตสกี้ทฤษฏีไวก็อตสกี้
ทฤษฏีไวก็อตสกี้
 
มาตรา ๒๔ พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๔๒
มาตรา ๒๔ พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๔๒มาตรา ๒๔ พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๔๒
มาตรา ๒๔ พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๔๒
 
ภาวะผู้นำสำหรับผู้บริหารสถานศึกษาในอนาคต
ภาวะผู้นำสำหรับผู้บริหารสถานศึกษาในอนาคตภาวะผู้นำสำหรับผู้บริหารสถานศึกษาในอนาคต
ภาวะผู้นำสำหรับผู้บริหารสถานศึกษาในอนาคต
 
พหุปัญญา
พหุปัญญาพหุปัญญา
พหุปัญญา
 
การจัดกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน Br
การจัดกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน Brการจัดกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน Br
การจัดกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน Br
 
ใบความรู้ศาสนาคริสต์
ใบความรู้ศาสนาคริสต์ใบความรู้ศาสนาคริสต์
ใบความรู้ศาสนาคริสต์
 
ASEAN
ASEANASEAN
ASEAN
 
แผนการจัดการเรียนรู้ เรื่อง อาชีพ
แผนการจัดการเรียนรู้ เรื่อง อาชีพแผนการจัดการเรียนรู้ เรื่อง อาชีพ
แผนการจัดการเรียนรู้ เรื่อง อาชีพ
 
ร่างยุทธศาสตร์การศึกษา
ร่างยุทธศาสตร์การศึกษาร่างยุทธศาสตร์การศึกษา
ร่างยุทธศาสตร์การศึกษา
 
รูปแบบการเรียนการสอนโดยยึดผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง
รูปแบบการเรียนการสอนโดยยึดผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง รูปแบบการเรียนการสอนโดยยึดผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง
รูปแบบการเรียนการสอนโดยยึดผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง
 
การนิเทศแบบสอนแนะิ Coaching
การนิเทศแบบสอนแนะิ Coachingการนิเทศแบบสอนแนะิ Coaching
การนิเทศแบบสอนแนะิ Coaching
 
ปรัชญาพิพัฒนาการนิยม
ปรัชญาพิพัฒนาการนิยมปรัชญาพิพัฒนาการนิยม
ปรัชญาพิพัฒนาการนิยม
 

Recently uploaded

4_ปัญหาและเฉลยข้อสอบบาลีสนามหลวง วิชา แปลไทยเป็นมคธ ประโยค ป.ธ.4 (2505-2567).pdf
4_ปัญหาและเฉลยข้อสอบบาลีสนามหลวง วิชา แปลไทยเป็นมคธ ประโยค ป.ธ.4 (2505-2567).pdf4_ปัญหาและเฉลยข้อสอบบาลีสนามหลวง วิชา แปลไทยเป็นมคธ ประโยค ป.ธ.4 (2505-2567).pdf
4_ปัญหาและเฉลยข้อสอบบาลีสนามหลวง วิชา แปลไทยเป็นมคธ ประโยค ป.ธ.4 (2505-2567).pdf
สุเมธี​​​​ ตี่พนมโอรัล / សុមេធី ទីភ្នំឱរ៉ាល់ (Sumedhi TyPhnomAoral)
 
ภาษาอังกฤษเพื่อการปฏิบัติกรรมฐานในพระพุทธศาสนา
ภาษาอังกฤษเพื่อการปฏิบัติกรรมฐานในพระพุทธศาสนาภาษาอังกฤษเพื่อการปฏิบัติกรรมฐานในพระพุทธศาสนา
ภาษาอังกฤษเพื่อการปฏิบัติกรรมฐานในพระพุทธศาสนา
Faculty of BuddhismMahachulalongkornrajavidyalaya Roi Et Buddhist College
 
การเขียนข้อเสนอโครงการวิจัย (Research Proposal)
การเขียนข้อเสนอโครงการวิจัย (Research Proposal)การเขียนข้อเสนอโครงการวิจัย (Research Proposal)
การเขียนข้อเสนอโครงการวิจัย (Research Proposal)
Prachyanun Nilsook
 
atwordfamily words with Thai translationtx
atwordfamily words with Thai translationtxatwordfamily words with Thai translationtx
atwordfamily words with Thai translationtx
Bangkok, Thailand
 
1-2_ปัญหาและเฉลยข้อสอบบาลีสนามหลวง วิชา แปลมคธเป็นไทย ประโยค 1-2 (2510-2567).pdf
1-2_ปัญหาและเฉลยข้อสอบบาลีสนามหลวง วิชา แปลมคธเป็นไทย ประโยค 1-2 (2510-2567).pdf1-2_ปัญหาและเฉลยข้อสอบบาลีสนามหลวง วิชา แปลมคธเป็นไทย ประโยค 1-2 (2510-2567).pdf
1-2_ปัญหาและเฉลยข้อสอบบาลีสนามหลวง วิชา แปลมคธเป็นไทย ประโยค 1-2 (2510-2567).pdf
สุเมธี​​​​ ตี่พนมโอรัล / សុមេធី ទីភ្នំឱរ៉ាល់ (Sumedhi TyPhnomAoral)
 
3_ปัญหาและเฉลยข้อสอบบาลีสนามหลวง วิชา แปลมคธเป็นไทย ประโยค ป.ธ.3 (2500-2567).pdf
3_ปัญหาและเฉลยข้อสอบบาลีสนามหลวง วิชา แปลมคธเป็นไทย ประโยค ป.ธ.3 (2500-2567).pdf3_ปัญหาและเฉลยข้อสอบบาลีสนามหลวง วิชา แปลมคธเป็นไทย ประโยค ป.ธ.3 (2500-2567).pdf
3_ปัญหาและเฉลยข้อสอบบาลีสนามหลวง วิชา แปลมคธเป็นไทย ประโยค ป.ธ.3 (2500-2567).pdf
สุเมธี​​​​ ตี่พนมโอรัล / សុមេធី ទីភ្នំឱរ៉ាល់ (Sumedhi TyPhnomAoral)
 
งานนำเสนอ ภาษากับการสื่อสาร เพื่อการพัฒนา.pdf
งานนำเสนอ ภาษากับการสื่อสาร เพื่อการพัฒนา.pdfงานนำเสนอ ภาษากับการสื่อสาร เพื่อการพัฒนา.pdf
งานนำเสนอ ภาษากับการสื่อสาร เพื่อการพัฒนา.pdf
Faculty of BuddhismMahachulalongkornrajavidyalaya Roi Et Buddhist College
 
1-2_ปัญหาและเฉลยข้อสอบบาลีสนามหลวง วิชา บาลีไวยากรณ์ ประโยค 1-2 (2511-2567).pdf
1-2_ปัญหาและเฉลยข้อสอบบาลีสนามหลวง วิชา บาลีไวยากรณ์ ประโยค 1-2 (2511-2567).pdf1-2_ปัญหาและเฉลยข้อสอบบาลีสนามหลวง วิชา บาลีไวยากรณ์ ประโยค 1-2 (2511-2567).pdf
1-2_ปัญหาและเฉลยข้อสอบบาลีสนามหลวง วิชา บาลีไวยากรณ์ ประโยค 1-2 (2511-2567).pdf
สุเมธี​​​​ ตี่พนมโอรัล / សុមេធី ទីភ្នំឱរ៉ាល់ (Sumedhi TyPhnomAoral)
 
3_ปัญหาและเฉลยข้อสอบบาลีสนามหลวง วิชา สัมพันธ์ไทย ประโยค ป.ธ.3 (2500-2567).pdf
3_ปัญหาและเฉลยข้อสอบบาลีสนามหลวง วิชา สัมพันธ์ไทย ประโยค ป.ธ.3 (2500-2567).pdf3_ปัญหาและเฉลยข้อสอบบาลีสนามหลวง วิชา สัมพันธ์ไทย ประโยค ป.ธ.3 (2500-2567).pdf
3_ปัญหาและเฉลยข้อสอบบาลีสนามหลวง วิชา สัมพันธ์ไทย ประโยค ป.ธ.3 (2500-2567).pdf
สุเมธี​​​​ ตี่พนมโอรัล / សុមេធី ទីភ្នំឱរ៉ាល់ (Sumedhi TyPhnomAoral)
 
แนวความเชื่อ วิธีการปฎิบัติ พระพุทธศาสนามหายาน.pdf
แนวความเชื่อ วิธีการปฎิบัติ พระพุทธศาสนามหายาน.pdfแนวความเชื่อ วิธีการปฎิบัติ พระพุทธศาสนามหายาน.pdf
แนวความเชื่อ วิธีการปฎิบัติ พระพุทธศาสนามหายาน.pdf
Faculty of BuddhismMahachulalongkornrajavidyalaya Roi Et Buddhist College
 

Recently uploaded (10)

4_ปัญหาและเฉลยข้อสอบบาลีสนามหลวง วิชา แปลไทยเป็นมคธ ประโยค ป.ธ.4 (2505-2567).pdf
4_ปัญหาและเฉลยข้อสอบบาลีสนามหลวง วิชา แปลไทยเป็นมคธ ประโยค ป.ธ.4 (2505-2567).pdf4_ปัญหาและเฉลยข้อสอบบาลีสนามหลวง วิชา แปลไทยเป็นมคธ ประโยค ป.ธ.4 (2505-2567).pdf
4_ปัญหาและเฉลยข้อสอบบาลีสนามหลวง วิชา แปลไทยเป็นมคธ ประโยค ป.ธ.4 (2505-2567).pdf
 
ภาษาอังกฤษเพื่อการปฏิบัติกรรมฐานในพระพุทธศาสนา
ภาษาอังกฤษเพื่อการปฏิบัติกรรมฐานในพระพุทธศาสนาภาษาอังกฤษเพื่อการปฏิบัติกรรมฐานในพระพุทธศาสนา
ภาษาอังกฤษเพื่อการปฏิบัติกรรมฐานในพระพุทธศาสนา
 
การเขียนข้อเสนอโครงการวิจัย (Research Proposal)
การเขียนข้อเสนอโครงการวิจัย (Research Proposal)การเขียนข้อเสนอโครงการวิจัย (Research Proposal)
การเขียนข้อเสนอโครงการวิจัย (Research Proposal)
 
atwordfamily words with Thai translationtx
atwordfamily words with Thai translationtxatwordfamily words with Thai translationtx
atwordfamily words with Thai translationtx
 
1-2_ปัญหาและเฉลยข้อสอบบาลีสนามหลวง วิชา แปลมคธเป็นไทย ประโยค 1-2 (2510-2567).pdf
1-2_ปัญหาและเฉลยข้อสอบบาลีสนามหลวง วิชา แปลมคธเป็นไทย ประโยค 1-2 (2510-2567).pdf1-2_ปัญหาและเฉลยข้อสอบบาลีสนามหลวง วิชา แปลมคธเป็นไทย ประโยค 1-2 (2510-2567).pdf
1-2_ปัญหาและเฉลยข้อสอบบาลีสนามหลวง วิชา แปลมคธเป็นไทย ประโยค 1-2 (2510-2567).pdf
 
3_ปัญหาและเฉลยข้อสอบบาลีสนามหลวง วิชา แปลมคธเป็นไทย ประโยค ป.ธ.3 (2500-2567).pdf
3_ปัญหาและเฉลยข้อสอบบาลีสนามหลวง วิชา แปลมคธเป็นไทย ประโยค ป.ธ.3 (2500-2567).pdf3_ปัญหาและเฉลยข้อสอบบาลีสนามหลวง วิชา แปลมคธเป็นไทย ประโยค ป.ธ.3 (2500-2567).pdf
3_ปัญหาและเฉลยข้อสอบบาลีสนามหลวง วิชา แปลมคธเป็นไทย ประโยค ป.ธ.3 (2500-2567).pdf
 
งานนำเสนอ ภาษากับการสื่อสาร เพื่อการพัฒนา.pdf
งานนำเสนอ ภาษากับการสื่อสาร เพื่อการพัฒนา.pdfงานนำเสนอ ภาษากับการสื่อสาร เพื่อการพัฒนา.pdf
งานนำเสนอ ภาษากับการสื่อสาร เพื่อการพัฒนา.pdf
 
1-2_ปัญหาและเฉลยข้อสอบบาลีสนามหลวง วิชา บาลีไวยากรณ์ ประโยค 1-2 (2511-2567).pdf
1-2_ปัญหาและเฉลยข้อสอบบาลีสนามหลวง วิชา บาลีไวยากรณ์ ประโยค 1-2 (2511-2567).pdf1-2_ปัญหาและเฉลยข้อสอบบาลีสนามหลวง วิชา บาลีไวยากรณ์ ประโยค 1-2 (2511-2567).pdf
1-2_ปัญหาและเฉลยข้อสอบบาลีสนามหลวง วิชา บาลีไวยากรณ์ ประโยค 1-2 (2511-2567).pdf
 
3_ปัญหาและเฉลยข้อสอบบาลีสนามหลวง วิชา สัมพันธ์ไทย ประโยค ป.ธ.3 (2500-2567).pdf
3_ปัญหาและเฉลยข้อสอบบาลีสนามหลวง วิชา สัมพันธ์ไทย ประโยค ป.ธ.3 (2500-2567).pdf3_ปัญหาและเฉลยข้อสอบบาลีสนามหลวง วิชา สัมพันธ์ไทย ประโยค ป.ธ.3 (2500-2567).pdf
3_ปัญหาและเฉลยข้อสอบบาลีสนามหลวง วิชา สัมพันธ์ไทย ประโยค ป.ธ.3 (2500-2567).pdf
 
แนวความเชื่อ วิธีการปฎิบัติ พระพุทธศาสนามหายาน.pdf
แนวความเชื่อ วิธีการปฎิบัติ พระพุทธศาสนามหายาน.pdfแนวความเชื่อ วิธีการปฎิบัติ พระพุทธศาสนามหายาน.pdf
แนวความเชื่อ วิธีการปฎิบัติ พระพุทธศาสนามหายาน.pdf
 

21 วิธีการสอน และเอกสารฝ่ายวิชาการ

  • 1. 21 วิธ ีส อน ในการจัดการเรียนการสอน ผู้สอนสามารถจัดกิจกรรมการเรียน การสอนได้หลากหลายวิธีและสามารถเลือกใช้ได้ ตามความเหมาะสม กับผู้เรียน กับแต่ละสถานการณ์ และแต่ละสิ่งแวดล้อม การสอนแบบ บรรยายอย่างเดียวไม่เพียงพอ ครูผู้สอนต้องใช้วิธีสอน เทคนิคการสอน ที่หลากหลายเข้ามาใช้บูรณาการในการจัดการเรียนการสอน ซึ่งวิธีการ สอนต่างๆ มีตัวอย่างดังนี้ 1. วิธ ีส อนแบบสาธิต (Demonstration Method) ความหมาย วิ ธ ี ส อ น แ บ บ ส า ธิ ต หมายถึ ง การที่ ค รู ห รื อ นั ก เรี ย นคนใดคน หนึ่ง แสดงบางสิ่งบางอย่างให้นักเรียนดู หรือให้เพื่อนๆดู อาจเป็นการ แสดงการใช้เครื่องมือแสดงให้เห็นกระบวนการวิธีการ กลวิธีหรือการ ทดลองที่มีอันตราย ซึ่งไม่เหมาะที่จะให้นักเรียนทำาการทดลอง การสอน วิธีนี้ช่วยให้นักเรียนเกิดความรู้ความเข้าใจและสามารถทำา ในสิ่งนั้นได้ ถูกต้อง และ ยังเป็นการสอนให้นักเรียนได้ใช้ทักษะในการสังเกต และ ถือว่าเป็นการได้ประสบการณ์ตรงวิธีหนึ่ง วิธีสอนแบบสาธิต จึงเป็นการ สอนที่ยึดผู้สอนเป็นศูนย์กลาง เพราะผู้สอนเป็ นผู้ วางแผน ดำา เนิ นการ และลงมื อ ปฏิ บั ติ ผู้ เ รี ย นอาจมี ส่ ว นร่ ว มบ้ า งเล็ ก น้ อ ย วิ ธี ส อนแบบนี้ จึ ง เหมาะสำาหรับ จุดประสงค์การสอนที่ต้องการให้ผู้เรียนเห็นขั้นตอนการ ปฏิบัติ เช่น วิชาพลศึกษา ศิลปศึกษา อุตสาหกรรมศิลป์ วิชาในกลุ่มการ งานและพื้นฐานอาชีพ เป็นต้น ความมุ่ง หมาย เพื่อแสดงให้ผู้เรียนได้เห็นขั้นตอนการปฏิบัติต่างๆ ซึ่งจะช่วยให้ผู้ เรียนเกิดความเข้าใจได้อย่างแจ่มแจ้ง และสามารถปฏิบัติตามได้ เมื่อ ใดจึง จะใช้ก ารสอนแบบสาธิต 1. เมื่อนำาเข้าสู่บทเรียน ผู้สอนสาธิตให้ผู้ดูเพื่อให้ผู้เรียนตั้งปัญหาและ เกิดความอยากรู้ อยากเห็น อยากค้นหาคำาตอบต่อไป 2. เพื่อสร้างปัญหาให้ผู้เรียนคิด 3. เพื่อต้องการสร้างความเข้าใจในความคิดรวบยอด ความจริงหลัก
  • 2. ทฤษฎี โดยนักเรียน สามารถมองเห็นโดยตรง 4. เมื่ออธิบายเครื่องมือวิทยาศาสตร์ส่วนไหนทำาหน้าที่อะไร 5. เมื่อเครื่องมือที่จะทำาการทดลองมีราคาแพง หรือเกิดอันตรายได้ง่าย 6. ควรคำานึงถึงฤดูกาล โอการในการใช้ 1. เพื่อกระตุ้นความสนใจของนักเรียนให้มีความสนใจในบทเรียน 2. ช่วยอธิบายเนื้อหาวิชาที่ยาก ต้องใช้เวลานานให้เข้าใจง่ายขึ้น และประหยัดเวลา 3. เพื่อแสดงวิธีการหรือกลไกวิธีในการปฏิบัติงานซึ่งไม่สามารถ อธิบายได้ด้วยคำาพูด เช่น การทำากิจกรรม วิชาศิลปะ หัตถกรรม งานประดิษฐ์ นาฏศิลป์ 4. เพื่อช่วยสรุปบทเรียน 5. เพื่อใช้ทบทวนบทเรียน 6. เพื่อสร้างความเข้าใจ ความคิดรวบยอด ความจริง หลักทฤษฎี โดยนักเรียนมองเห็นได้โดยตรง เพื่อทดสอบหรือยืนยันการ สังเกตในครั้งก่อนๆ ว่าผลเหมือนเดิมหรือไม่ ประเภทของการสาธิต แบบที่ 1 1. สาธิต ให้ด ูท ั้ง ชั้น การสาธิตให้ดูทั้งชั้นผู้สอนจะต้องระวังให้ ทุ กคนมองเห็นและเข้าใจการสาธิ ต ในแต่ ล ะครั้ ง อย่างไรก็ ต าม การสาธิตให้ดูทั้งชั้นย่อมมีผู้เรียนบางคนไม่เข้าใจดีพอเนื่องจาก บางคนมีพื้นความรู้หรือประสบการณ์แตกต่างกัน 2. การสาธิต ให้ด ูเ ป็น กลุ่ม ห รือ เป็น ห มู่ เมื่อมีผู้เรียนจำานวน หนึ่ง เรียนไม่เข้าใจดีพอ จึงจำา เป็นต้องสาธิตให้ดูใหม่เป็นกลุ่ม เล็ก ในแต่ละชั้นเรียนอาจมีผู้เรียนได้เร็วมาก ปานกลางหรือช้า ไปบ้าง การสาธิตให้ดูเป็นหมู่ เฉพาะที่มีความรู้ไล่เลี่ย กันจะเป็น แรงจูงใจให้ผู้เรียนแต่ละหมู่ทำางานอย่างเต็มความสามารถของตน 3. การสาธิต ให้ด ูเ ป็น รายบุค คล เมื่อผู้สอนสาธิตให้ดูเป็นหมู่ เป็ น กลุ่ ม แต่ ผู้ เ รี ย นบางคนไม่ อ าจจะเข้ า ใจการสาธิ ต ทั้ ง ชั้ น หรื อ เป็นกลุ่มได้ หรือผู้เรียนบางคนไม่ได้เข้าร่วม ผู้สอนจึงต้องสาธิต ให้ดูเป็นรายบุคคล แบบที่ 2 1. ครูแสดงการสาธิตคนเดียว ( Teacher- Demonstration) 2. ครูและนักเรียนช่วยกันแสดงสาธิต (Teacher-Student-
  • 3. Demonstration ) 3. กลุ่มนักเรียนล้วนเป็นผู้สาธิต (Student Group Demonstration ) 4. นักเรียนคนเดียวเป็นผู้สาธิต (Individual Student Demonstration ) 5. วิทยากรเป็นผู้สาธิต ( Guest Demonstration ) ขั้น ตอนการสอน 1. ขันเตรียมการสอน ้ − กำาหนดจุดประสงค์ในการสาธิตให้ชัดเจน − จัดลำาดับเนื้อหาตามขั้นตอนให้เหมาะสม − เตรียมกิจกรรมการเรียนการสอน สิ่งที่จะให้นักเรียน ปฏิบัติ ตลอดจนคำาถามที่จะใช้ให้รอบคอบ − เตรียมสื่อการเรียนการสอนและเอกสารประกอบให้พร้อม − กำาหนดเวลาในการสาธิตให้พอเหมาะ − กำาหนดวิธีการวัดผลประเมินผลที่ชัดเจน − เตรียมสภาพห้องเรียนให้เหมาะสมเพื่อให้นักเรียนมอง เห็นการสาธิตให้ทั่วถึง − ทดลองสาธิตเพื่อให้แน่ใจว่าไม่เกิดการติดขัด 2. ขันตอนการสาธิต ้ − บอกจุดประสงค์การสาธิตให้นักเรียนทราบ − บอกกิจกรรมที่นักเรียนจะต้องปฏิบัติ เช่น นักเรียนจะ ต้องจดบันทึก สังเกตกระบวนการ สรุปขั้นตอน ตอบคำาถาม เป็นต้น − ดำาเนินการสาธิตตามลำาดับขั้นตอนที่เตรียมไว้ ประกอบ กับอธิบายตัวอย่างชัดเจน 3. ขันสรุปและประเมินผล ้ − ผู้สอนเป็นผู้สรุปความสำาคัญ ขันตอนของสิ่งที่สาธิตนั้น ้ ด้วยตนเอง − ให้ผู้เรียนเป็นผู้สรุป เพื่อประเมินว่าผู้เรียนมีความเข้าใจ ในบทเรียนนั้นๆมากน้องเพียงใด − ผู้สอนอาจใช้วิธีการต่างๆ เพื่อประเมินว่าผู้เรียนเข้าใจ เนื้อเรื่อง ขันตอนการสาธิตมากน้อยเพียงใด เช่น ให้ตอบ ้ คำาถาม ให้เขียนรายงาน ให้แสดงสาธิตให้ดู ฯลฯ
  • 4. − ผู้สอนควรเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้ซักถามหรือแสดงความ คิดเห็นภายหลังจากการสาธิตแล้ว 2. วิธ ีก ารสอนโดยใช้ก ารแสดงละคร (Dramatization) เป็น กระบวนการที่ช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ ตามวัตถุประสงค์ โดยการให้ผู้เรียนแสดงละคร ซึ่งเป็นเรื่องราว ที่ต้องการให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ตามเนื้อหาและบทละครที่ ได้ กำาหนดไว้ (ทิศนา แขมมณี, 2543) และนำาเรื่องราวที่ แสดงออกมา และการแสดงของผู้แสดงมาอภิปรายร่วมกัน วัต ถุป ระสงค์ 1. เพื่อให้ผู้เรียนเห็นภาพเรื่องราวที่ชัดเจน และสามารถจดจำา เรื่องราวได้นาน 2. เพื่อนนักเรียนได้มีส่วนร่วมในการจัดการเรียนการสอน และฝึกทักษะต่าง ๆ ขั้น ตอนการสอน 1. ผู้ส อน / ผู้เ รีย นเตรีย มบทละคร ผู้สอนและผู้เรียนควร อภิปรายวัตถุประสงค์ในการเลือกใช้ละครเป็นวิธีการเพื่อ ให้เกิดการ เรียนรู้ นักเรียนควรจะมีส่วนในการเลือกเรื่องราวที่จะแสดง ในการเตรี ยมบทละครผู้สอนอาจเตรียมให้หรือผู้เรียนเตรียมกันเอง แต่ตองมีการ ้ ศึกษาเนื้อหาหรือเรื่องราวให้เข้าใจ ได้เนื้อหาที่ครบถ้วนสมบูรณ์ให้มาก ที่สุด 2. ผู้เ รีย นศึก ษาบทละครและเลือ กบทบาทที่จ ะแสดง ใน การเลือกละคร ควรคำานึงถึงความเหมาะสมกับความสามารถของผู้เรียน กับบทที่จะแสดง แต่ในบางกรณีผู้สอนอาจเลือกผู้เรียนที่มีบุคลิกภาพไม่ ตรงกับบทที่จะแสดง เพื่อให้นักเรียนได้รับประสบการณ์ในการแสดง แต่ ผู้แสดงควรมีความเต็มใจที่จะแสดง เพื่อให้การแสดงออกมาดีที่สุด 3. ผู้เ รีย นซ้อ มการแสดง ใน การซ้อมการแสดงต้องมีการฝึก ซ้อมการแสดงร่วมกัน และในบางกรณีอาจจำาเป็นจะต้องเปลี่ยนตัวผู้ แสดงคนใหม่ เพื่อให้การแสดงสมบทบาทและสื่อความหมายได้ถูกต้อง ส่วนผู้เรียนที่ไม่ได้มีส่วนร่วมในการแสดง ผูสอนจะต้องแนะนำาในการ ้ ชมการแสดงว่า ควรสังเกตและให้ความสนใจที่เรื่องอะไรบ้าง จุดไหน บ้าง
  • 5. 4. ผู้เ รีย นแสดงและชมการแสดง ในขณะแสดง ผูสวนและผู้ ้ ชมไม่ควรขัดการแสดงกลางคัน และควรให้กำาลังใจผู้แสดง ผู้ชมควร ตั้งใจสังเกตการแสดงในเรื่องราวที่สำาคัญที่ผู้สอนได้แนะนำา 5. อภิป รายการแสดง ในการอภิปรายต้องมุ่งไปที่เรื่องราวที่ แสดงออกมา และการแสดงของผู้แสดงว่า สามารถแสดงได้สมจริงเพียง ใด ข้อ ดีแ ละข้อ จำา กัด ข้อ ดี 1. ทำาให้ผู้เรียนได้มีประสบการณ์จริง 2. ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการจัดการเรียนการสอน 3. นักเรียนได้ฝึกทักษะต่าง ๆ เช่น ทักษะการพูด การ เขียน การแสดงออก การจัดการ การแสวงหาความรู้ และ การทำางานเป็นกลุ่มเป็นต้น ข้อ จำา กัด 1. ใช้เวลาในการจัดกิจกรรมมาก 2. มีค่าใช้จ่ายในการจัดกิจกรรม 3. ต้องอาศัยความชำานาญในการเขียนบท 3. วิธ ีก ารสอนโดยใช้บ ทบาทสมมติ (Role Playing) เป็น กระบวนการที่ช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ตามวัตถุประสงค์ โดยการให้ผู้เรียนสวมบทบาทในสถานการณ์ซึ่งมีความใกล้เคียงกับ ความเป็นจริง และแสดงออกตามความรู้สึกนึกคิดของตนและนำาเอาการ แสดงออกของผู้แสดง ทั้งทางด้านความรู้ ความคิด ความรู้สึก และ พฤติกรรมที่สังเกตพบ มาเป็นข้อมูลในการอภิปราย เพื่อให้ผู้เรียนเกิด การเรียนรู้ตามวัตถุประสงค์ (ทิศนา แขมมณี , 2543) วัต ถุป ระสงค์ 1. เพื่อให้ผู้เรียนเกิดความเข้าใจในเรื่องต่าง ๆ เกี่ยวกับ บทบาทสมมติที่ตนแสดง 2. เพื่อนนักเรียนได้มีส่วนร่วมในการจัดการเรียนการสอน และฝึกทักษะต่าง ๆ ขั้น ตอนการสอน 1. ผู้ส อน / ผู้เ รีย นนำา เสนอสถานการณ์ส มมติแ ละบทบาท สมมติ บทบาทสมมติที่กำาหนดขึ้นควรมีความใกล้เคียงกับความเป็นจริง ไม่มีบทให้ ผู้สวมบทบาทจะต้องคิดแสดงเอง หรืออาจให้บทบาทสมมติ แบบแก้ปัญหาซึ่งจะกำาหนดสถานการณ์ที่มีปัญหาหรือความขัด แย้งให้ และผู้สวมบทบาทแก้ปัญหาตามความคิดของตน
  • 6. 2. ผู้ส อน / ผู้เ รีย นเลือ กผู้แ สดงบทบาท ในการเลือกผู้แสดง ควรคำานึงถึงความเหมาะสมกับความสามารถของผู้เรียนกับบทที่จะแสดง แต่ในบางกรณีผู้สอนอาจเลือกผู้เรียนที่มีบุคลิกภาพไม่ตรงกับบทที่จะ แสดง เพื่อให้นักเรียนได้รับประสบการณ์ในการแสดง แต่ผู้แสดงควรมี ความเต็มใจที่จะแสดง เพื่อให้การแสดงออกมาดีที่สุด 3. ผู้ส อนเตรีย มผู้ส ัง เกตการณ์ห รือ ผู้ช ม ผู้สอนควรแนะนำาการ ชมว่า ควรสังเกตอะไร และควรบันทึกข้อมูลอย่างไร หรือผู้สอนอาจจัด ทำาแบบสังเกตการณ์ให้ผู้ชมใช้ในการสังเกตด้วยก็ได้ 4. ผู้เ รีย นแสดงบทบาท ผู้ชมและผู้สอนสังเกตพฤติกรรมที่ แสดงออก 5. ผู้เ รีย นและผู้ส อนอภิป รายร่ว มกัน เกี่ยวกับความรู้ ความคิด ความรู้สึก และพฤติกรรมที่แสดงออกของผู้แสดง ข้อ ดีแ ละข้อ จำา กัด ข้อ ดี 1. ผู้เรียนเกิดความเข้าใจความรู้สึกและพฤติกรรมของผู้ อื่น 2. ผู้เรียนเกิดการเปลี่ยนแปลงเจตคติและพฤติกรรมของ ตน 3. พัฒนาทักษะในการเผชิญสถานการณ์ ตัดสินใจและ แก้ปัญหา 4. เปิดโอกาสให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการเรียนมาก ข้อ จำา กัด 1. ใช้เวลาในการจัดกิจกรรมมาก 2. ต้อง อาศัยความสามารถของผู้สอนในการแก้ปัญหา เนื่องจากการแสดงของผู้เรียนอาจไม่ เป็นไปตามความ คาดหมายของผู้สอน ผู้สอนจะต้องสามารถแก้ปัญหาหรือ ปรับสถานการณ์และประเด็นให้ผู้เรียนเกิดการ เรียนรู้ได้ 4. วิธ ีก ารสอนโดยใช้ก รณีต ัว อย่า ง (Case) คือ กระบวน การที่ช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ตามวัตถุประสงค์ โดยการให้ผู้เรียนศึกษาเรื่องที่สมมติขึ้นจากความเป็นจริง และตอบ ประเด็นคำาถามเกี่ยวกับเรื่องนั้น แล้วนำาคำาตอบและเหตุผลที่มาของคำา ตอบนั้นมาใช้เป็นข้อมูลในการอภิปราย เพื่อให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ (ทิศนา แขมมณี , 2543) วัต ถุป ระสงค์ 1. เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้เรียนคิดวิเคราะห์และเรียนรู้ความคิดของผู้
  • 7. อื่น 2. ช่วยให้ผู้เรียนมีมุมมองที่กว้างขึ้น ขั้น ตอนการสอน 1. ผู้ส อน / ผู้เ รีย นนำา เสนอกรณีต ัว อย่า ง กรณี ตัวอย่างส่วน ใหญ่มักเป็นเรื่องราวที่มีสถานการณ์เป็นปัญหาขัดแย้ง ผูสอนอาจใช้วิธี ้ การตั้งประเด็นคำาถามที่ท้าทายให้ผู้เรียนคิดก็ได้ ใช้ เรื่องจริงหรือเรื่อง จากหนังสือพิมพ์ รวมทั้งสื่อต่าง ๆ ผูสอนต้องเตรียมประเด็นคำาถาม ้ สำาหรับการอภิปรายเพื่อนำาไปสู่การเรียนรู้ที่ ต้องการ ในการเสนอทำาได้ หลายวิธี เช่น การพิมพ์เป็นข้อมูลมาให้ผู้เรียนอ่าน การเล่ากรณี ตัวอย่างให้ฟัง หรือนำาเสนอโดยใช้สื่ออื่น 2. ผู้เ รีย นศึก ษากรณีต ัว อย่า ง ผู้สอนควรแบ่งกลุ่มย่อยในการ ศึกษากรณีตัวอย่าง ไม่ควรให้ผู้เรียนตอบประเด็นคำาถามทันที 3. ผู้เ รีย นอภิป รายประเด็น คำา ถามเพื่อ หาคำา ตอบ ผู้เรียน แต่ละคนควรมีคำาตอบของตนเตรียมไว้ก่อน แล้วจึงร่วมกันอภิปราย เป็นกลุ่ม และนำาเสนอผลการอภิปรายระหว่างกลุ่ม 4. ผู้ส อนและผู้เ รีย นอภิป รายคำา ตอบ นำา เสนอผลการอภิปราย ระหว่างกลุ่ม คำาถามสำาหรับการอภิปรายนี้ ไม่มีคำาตอบที่ถูกหรือผิดอย่าง ชัดเจนแน่นอน แต่ต้องการให้ผู้เรียนเห็นคำาตอบและเหตุผลที่หลาก หลาย ทำาให้ผู้เรียนมีมุมมองที่กว้างขึ้น ช่วยให้การตัดสินใจมีความ รอบคอบขึ้น การอภิปรายควรมุ่งความสนใจไปที่เหตุผลหรือที่มาของ ความคิดที่ผู้เรียนใช้ใน การแก้ปัญหาเป็นสำาคัญ 5. ผู้ส อนและผู้เ รีย นอภิป รายเกี่ย วกับ ปัญ หาของผู้เ รีย น และ สรุป การเรีย นรู้ท ี่ไ ด้ร ับ ข้อ ดีแ ละข้อ จำา กัด ข้อ ดี 1. ผู้เรียนได้พัฒนาทักษะการคิดวิเคราะห์ การคิดอย่างมี วิจารณญาณ และคิดแก้ปัญหา 2. ผู้เรียนมีมุมมองที่กว้างขึ้น 3. ช่วยให้เกิดความพร้อมที่จะแก้ปัญหาเมือเผชิญปัญหา นั้นในสถานการณ์จริง ข้อ จำา กัด 1. แม้ ปัญหาและสถานการณ์จะใกล้เคียงกับความเป็นจริง แต่ ก็ไม่ได้เกิดขึ้นจริง ๆ กับผู้เรียน ความคิดในการแก้ปัญหาจึงมัก เป็นไปตามเหตุผลที่ถูกที่ควรซึ่งอาจไม่ตรงกับการ ปฏิบัติจริงได้ 5. วิธ ีก ารสอนโดยใช้เ กม (Game)
  • 8. คือ กระบวน การที่ช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ตามวัตถุประสงค์ โดยการให้ผู้เรียนเล่นเกมตามกติกา และนำาเนื้อหาและข้อมูลของเกม พฤติกรรมการเล่น วิธีการเล่น และผลการเล่นเกมของผู้เรียนมาใช้ใน การอภิปรายเพื่อสรุปการเรียนรู้ (ทิศนา แขมมณี, 2543) วัต ถุป ระสงค์ 1. ช่วยให้ผู้เรียนได้เรียนรู้เรื่องต่าง ๆ อย่างสนุกสนานและ ท้าทายความสามารถ 2. ทำาให้เกิดประสบการณ์ตรง 3. เป็นวิธีที่เปิดโอกาสให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมสูง ขั้น ตอนการสอน 1. ผู้ส อนนำา เสนอเกม ชี้แ จงวิธ ีก ารเล่น และกติก าการเล่น เกม เกม ที่ได้รับการออกแบบให้เป็นเกมการศึกษาโดยตรงมีอยู่ด้วย กัน 3 ประเภท คือ 1) เกมแบบไม่มีการแข่งขัน 2) เกมแบบแข่งขัน 3) เกมจำาลองสถานการณ์ การ เลือกเกมเพื่อนำามาใช้สอนทำาได้หลายวิธีผู้ สอนอาจเป็นผู้สร้างเกมขึ้น หรืออาจนำาเกมที่มีผู้สร้างขึ้นแล้วมาปรับ ดัดแปลงให้เหมาะสมกับวัตถุประสงค์ และควรชี้แจงกติกาการเล่นเกม ให้เข้าใจ 2. ผู้เ รีย นเล่น เกมตามกติก า ผูสอนควรติดตามสังเกตพฤติกรรม ้ การเล่นของผู้เรียนอย่างใกล้ชิด และควรบันทึกข้อมูลที่จะเป็นประโยชน์ ต่อการเรียนของผู้เรียน 3. ผู้ส อนและผู้เ รีย นอภิป รายผล ควร อภิปรายผลเกี่ยวกับผล การเล่น และวิธีการหรือพฤติกรรมการเล่นของผู้เรียนที่ได้จากการ สังเกตจดบันทึกไว้ และในการอภิปรายผลควรให้เป็นไปตาม วัตถุประสงค์ การใช้เกมในการสอนโดยทั่ว ๆ ไป มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ฝึกฝนเทคนิคหรือทักษะต่าง ๆ 2) เรียนรู้เนื้อหาสาระจากเกม 3) เรียนรู้ความเป็นจริงตามสถานการณ์ต่าง ๆ ดังนั้นการอภิปรายควร มุ่งประเด็นไปตามวัตถุประสงค์ของ การสอน ข้อ ดีแ ละข้อ จำา กัด ข้อ ดี 1. ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการเรียนรู้สูง 2. ผู้เรียนได้รับความสนุกสนาน และเกิดการเรียนรู้จาก การเล่น ข้อ จำา กัด 1. เป็น วิธีการสอนที่ผู้สอนต้องมีทักษะในการนำาการ อภิปรายที่มีประสิทธิภาพ จึงจะสามารถช่วยให้ผู้เรียน
  • 9. ประมวลและสรุปการเรียนรู้ได้ตามวัตถุประสงค์ 6. วิธ ีก ารสอนโดยใช้ส ถานการณ์จ ำา ลอง (Simulation) กระบวน การที่ช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ตามวัตถุประสงค์ โดย การให้ผู้เรียนลงไปเล่นในสถานการณ์ที่มีบทบาท ข้อมูล และกติกาการ เล่น ที่สะท้อนความเป็นจริง และมีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งต่าง ๆ ทีอยู่ใน ่ สถานการณ์นั้น โดยข้อมูลที่มีสภาพคล้ายกับข้อมูลในความเป็นจริง ใน การตัดสินใจและแก้ปัญหาต่าง ๆ ซึ่งการตัดสินใจนั้นจะส่งผลถึงผู้เล่น ในลักษณะเดียวกันกับที่เกิดขึ้นใน สถานการณ์จริง (ทิศนา แขมมณี, 2543) วัต ถุป ระสงค์ 1. ช่วยให้ผู้เรียนได้รู้สภาพความเป็นจริง เกิดความเข้าใจใน สถานการณ์ ขั้น ตอนการสอน 1. ผู้ส อนเตรีย มสถานการณ์จ ำา ลอง สถานการณ์จำาลองโดย ทั่วไปมีอยู่ 2 ลักษณะ คือ 1) สถานการณ์จ ำา ลองแท้ จะเป็น สถานการณ์การเล่นที่ให้ผู้เรียนได้เล่น เพื่อเรียนรู้จริง 2) สถานการณ์จ ำา ลองแบบเกม มีลักษณะเป็นเกมการเล่น แต่เกมการ เล่นนี้มีลักษณะที่สะท้อนความเป็นจริง ในขณะที่เกมธรรมดาทั่ว ๆ ไป อาจจะไม่ได้สะท้อนความเป็นจริงอะไร 2. ผู้ส อนนำา เสนอสถานการณ์จ ำา ลอง บทบาท ข้อ มูล และ กติก าการเล่น ใน การนำาเสนอ ผูสอนควรเริ่มด้วยการบอกเหตุผล ้ และวัตถุประสงค์กว้าง ๆ แก่ผู้เรียนว่า การเล่นในสถานการณ์จำาลองนี้ จะให้อะไรและเหตุใดจึงมาเล่นกัน ต่อไปจึงให้ภาพรวมทั้งของ สถานการณ์จำาลองทั้งหมด แล้วจึงให้รายละเอียดที่จำาเป็น 3. ผู้เ รีย นเลือ กบทบาทที่จ ะเล่น หรือ ผู้ส อนกำา หนดบทบาท ให้ ผู้ เรียนทุกคนควรได้รับบทบาทในการเล่น ซึ่งผู้เรียนอาจะเป็นผู้ เลือกเองหรือผู้สอนกำาหนดบทบาทให้ผู้เรียนบางคน ซึ่งจะช่วยให้เกิด การเรียนรู้ตรงตามความต้องการ 4. ผู้เ รีย นเล่น ตามกติก าที่ก ำา หนด ในขณะที่ผู้เรียนกำาลังเล่นผู้ สอนควรติดตามพฤติกรรมอย่างใกล้ชิดและคอยให้คำาปรึกษาตามความ จำาเป็น 5. ผู้ส อนและผู้เ รีย นร่ว มกัน อภิป ราย ควรมุ่งไปประเด็นไปที่การ เรียนรู้ความเป็นจริง อะไรเป็นปัจจัยที่มีอิทธิพล ผู้เรียนควรได้เรียนรู้ จากการเล่นของตน 6. ผู้ส อนและผู้เ รีย นสรุป การเรีย นรู้ท ี่ไ ด้ร ับ จากการเล่น
  • 10. ข้อ ดีแ ละข้อ จำา กัด ข้อ ดี 1. ผู้เรียนได้เรียนรู้เรื่องที่มีความซับซ้อน อย่างเข้าใจ เนื่องจากได้มีประสบการณ์ด้วยตัวเอง 2. ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการเรียนสูง 3. ผู้เรียนมีโอกาสฝึกทักษะกระบวนการต่าง ๆ จำานวนมาก ข้อ จำา กัด 1. ใช้ค่าใช้จ่ายสูง และใช้เวลามาก 2. ผูสอนต้องอาศัยการเตรียมการมาก ้ 3. ถ้าไม่มีสถานการณ์จำาลองต้องสร้างสถานการณ์ขึ้นมา เอง 7. **วิธ ีก ารสอนมโนทัศ น์ (Concept Attainment Model) 1. ทฤษฎี/หลัก การ/แนวคิด ของรูป แบบ จอยส์และวีล(Joyce & Weil, 1996: 161-178) พัฒนารูปแบบนี้ขึ้นโดยใช้แนวคิดของ บรุนเนอร์ กู๊ดนาว และออสติน (Bruner, Goodnow, และ Austin) การ เรียนรู้มโนทัศน์ของสิ่งใดสิ่งหนึ่งนั้น สามารถทำาได้โดยการค้นหา คุณสมบัติเฉพาะที่สำาคัญของสิ่งนั้น เพื่อใช้เป็นเกณฑ์ในการจำาแนกสิ่งที่ ใช่และไม่ใช่สิ่งนั้นออกจากกันได้ 2. วัต ถุป ระสงค์ข องรูป แบบ เพื่อช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้มโนทัศน์ของ เนื้อหาสาระต่าง ๆ อย่างเข้าใจ และสามารถให้คำานิยามของมโนทัศน์ นั้นด้วยตนเอง
  • 11. 3. กระบวนการเรีย นการสอนของรูป แบบ ขั้น ที่ 1 ผู้สอนเตรียมข้อมูลสำาหรับให้ผู้เรียน ฝึกหัดจำาแนก ผู้สอนเตรียมข้อมูล 2 ชุด ชุดหนึ่งเป็นตัวอย่างของมโนทัศน์ที่ต้องการ สอน อีกชุดหนึ่งไม่ใช่ตัวอย่างของมโนทัศน์ที่ต้องการสอน ในการเลือกตัวอย่างข้อมูล 2 ชุดข้างต้น ผู้สอนจะต้องเลือกหาตัวอย่าง ที่มีจำานวน มากพอที่จะครอบคลุมลักษณะของมโนทัศน์ที่ต้องการนั้น ถ้ามโนทัศน์ที่ต้องการสอนเป็นเรื่องยากและซับซ้อนหรือเป็นนามธรรม อาจใช้ วิธีการยกเป็นตัวอย่างเรื่องสั้น ๆ ที่ผู้สอนแต่งขึ้นเองนำาเสนอแก่ผู้เรียน ผู้สอนเตรียมสื่อการสอนที่เหมาะสมจะใช้นำาเสนอตัวอย่างมโนทัศน์เพื่อ แสดง ให้เห็นลักษณะต่าง ๆ ของมโนทัศน์ที่ต้องการสอนอย่างชัดเจน ขั้นที่ 2 ผูสอนอธิบายกติกาในการเรียนให้ผู้ ้ เรียนรู้และเข้าใจตรงกัน ผู้ สอนชี้แจงวิธีการเรียนรู้ให้ผู้ เรียนเข้าใจก่อนเริ่มกิจกรรมโดยอาจสาธิตวิธี การและให้ผู้เรียนลองทำา ตามที่ผู้สอนบอกจนกระทั่งผู้เรียนเกิดความเข้าใจพอ สมควร ขั้นที่ 3 ผูสอนเสนอข้อมูลตัวอย่างของมโน ้ ทัศน์ที่ต้องการสอน และข้อมูลที่ไม่ใช่ตัวอย่างของมโนทัศน์ที่ต้องการ สอน การนำาเสนอข้อมูลตัวอย่างนี้ทำาได้หลายแบบ แต่ละ
  • 12. แบบมีจุดเด่น- จุดด้อย ดังต่อไปนี้ 1) นำาเสนอข้อมูลที่เป็นตัวอย่างของสิ่งที่จะสอนทีละข้อมูลจนหมดทั้ง ชุด โดย บอก ให้ผู้เรียนรู้ว่าเป็นตัวอย่างของสิ่งที่จะสอนแล้วตามด้วยข้อมูลที่ ไม่ใช่ ตัวอย่างของสิ่งที่จะสอนทีละข้อมูลจนครบหมดทั้งชุดเช่นกัน โดย บอกให้ผู้เรียนรู้ว่าข้อมูลชุดหลังนี้ไม่ใช่สิ่งที่จะสอน ผู้เรียนจะต้องสังเกต ตัวอย่างทั้ง 2 ชุด และคิดหาคุณสมบัติร่วมและคุณสมบัติที่แตกต่างกัน เทคนิควิธีนี้สามารถช่วยให้ผู้เรียนสร้างมโนทัศน์ได้เร็วแต่ใช้ กระบวนการคิดน้อย 2) เสนอข้อมูลที่ใช่และไม่ใช่ตัวอย่างของสิ่งที่จะสอนสลับกันไปจน ครบ เทคนิควิธีนี้ช่วยสร้างมโนทัศน์ได้ช้ากว่าเทคนิคแรก แต่ได้ใช้ กระบวนการคิดมากกว่า 3) เสนอข้อมูลที่ใช่และ ไม่ใช่ตัวอย่างของสิ่งที่จะสอนอย่างละ 1 ข้อมูล แล้วเสนอข้อมูลที่เหลือ ทั้งหมดทีละข้อมูลโดยให้ผู้เรียนตอบว่าข้อมูลแต่ละ ข้อมูลที่เหลือนั้นใช่ หรือไม่ใช่ตัวอย่างที่จะสอน เมื่อผู้เรียนตอบ ผู้สอนจะเฉลยว่าถูกหรือผิด วิธีนี้ผู้เรียนจะได้ใช้กระบวนการคิดในการทดสอบสมมติฐานของตนไป ทีละขั้นตอน. 4) เสนอข้อมูลที่ใช่และ ไม่ใช่ตัวอย่างสิ่งที่จะสอนอย่างละ 1 ข้อมูล แล้วให้ผู้เรียนช่วยกันยก ตัวอย่างข้อมูลที่ผู้เรียนคิดว่าใช่ตัวอย่างของ สิ่งที่จะสอน โดยผู้สอนจะ เป็นผู้ตอบว่าใช่หรือไม่ใช่ วิธีนี้ผู้เรียนจะมีโอกาสคิดมากขึ้นอีก ขันที่ 4 ให้ผู้เรียนบอกคุณสมบัติเฉพาะของ ้ สิ่งที่ต้องการสอน จาก กิจกรรมที่ผ่านมาในขั้นต้น ๆ ผู้เรียนจะ ต้องพยามหาคุณสมบัติเฉพาะของตัวอย่างที่ใช่และไม่ใช่สิ่งที่ผู้ เรียน ต้องการสอนและทดสอบคำาตอบของตน หากคำาตอบของตนผิดผู้เรียนก็ จะต้องหาคำาตอบใหม่ซึ่งก็หมายความว่าต้องเปลี่ยน สมมติฐานที่เป็น ฐานของคำาตอบเดิม ด้วยวิธีนี้ผู้เรียนจะค่อย ๆ สร้างความคิดรวบยอด
  • 13. ของสิ่งนั้นขึ้นมา ซึ่งก็จะมาจากคุณสมบัติเฉพาะของสิ่งนั้นนั่นเอง ขันที่ 5 ให้ผู้เรียนสรุปและให้คำาจำากัดความ ้ ของสิ่งที่ต้องการสอน เมื่อผู้เรียนได้รายการของ คุณสมบัติเฉพาะของสิ่งที่ต้องการสอนแล้ว ผู้สอนให้ผู้เรียนช่วยกันเรียบ เรียงให้เป็นคำานิยามหรือคำาจำากัดความ ขั้นที่ 6 ผูสอนและผู้เรียนอภิปรายร่วมกันถึง ้ วิธีการที่ผู้เรียนใช้ในการหาคำาตอบ ให้ผู้เรียนได้เรียนรู้เกี่ยวกับกระบวนการคิดของตัวเอง 4. ผลที่ผ ู้เ รีย นจะได้ร ับ จากการเรีย นตามรูป แบบ เนื่อง จากผู้เรียนเกิดการเรียนรู้มโนทัศน์ จากการคิด วิเคราะห์และตัวอย่างที่หลากหลาย ดังนั้นผลที่ผู้เรียนจะได้ รับโดยตรงคือ จะเกิดความเข้าใจในมโนทัศน์นั้น และได้เรียนรู้ทักษะ การสร้างมโนทัศน์ซึ่งสามารถนำาไปใช้ในการทำาความเข้าใจ มโนทัศน์ อื่น ๆต่อไปได้ รวมทั้งช่วยพัฒนาทักษะการใช้เหตุผลโดยการ อุปนัย(inductive reasoning) อีกด้วย 8. การสอนแบบค้น พบความรู้ การสอนแบบค้นพบความรู้ (Discovery) คือ วิธีสอนที่ผู้เรียน ค้นพบคำาตอบหรือความรู้ด้วยตนเอง คำาว่าค้นพบความรู้ไม่ได้หมาย ถึงว่าผู้เรียนเป็นคนค้นพบความรู้หรือคำาตอบนั้นเป็นคนแรก สิ่งที่ค้นพบ นั้นจะมีผู้ค้นพบมาก่อนแล้วและผู้เรียนก็ค้นพบความรู้หรือคำาตอบนั้น ด้วยตนเอง ไม่ใช่ทราบจากการบอกเล่าของคนอื่นหรือจากการอ่านคำา ตอบที่มีผู้เขียนไว้ ในการใช้วิธีสอนแบบนี้ผู้สอนจะสร้างสถานการณ์ใน รูปที่ผู้เรียนจะเผชิญกับปัญหา ในการแก้ปัญหานั้นผู้เรียนจะใช้ข้อมูล และปฏิบัติในลักษณะตรงกับธรรมชาติของวิชาและปัญหานั้น นั่นคือ ผู้ เรียนจะศึกษาประวัติศาสตร์ในวิธีเดียวกับที่นักประวัติศาสตร์กระทำา ศึกษาชีววิทยา ในวิธีเดียวกันกับที่นักชีววิทยาศึกษา เป็นวิธีสอนที่เน้น กระบวนการซึ่งเหมาะสมสำาหรับวิชาวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ แต่ก็
  • 14. สามารถใช้ได้กับวิชาอื่นๆ 9. วิธ ีก ารสอนตามแนวคิด ของกานเย (Gagne’s Instructional Model) 1. ทฤษฎี/หลัก การ/แนวคิด ของรูป แบบ กานเย (Gagne, 1985: 70-90) ได้พัฒนาทฤษฎีเงื่อนไขการเรียนรู้ (Condition of Learning) ซึ่งมี 2 ส่วนใหญ่ ๆ คือ ทฤษฎีการเรียนรู้ และทฤษฎีการ จัดการเรียนการสอน ทฤษฎีการเรียนรู้ของกานเยอธิบายว่า ปรากฏการณ์การเรียนรู้มีองค์ประกอบ 3 ส่วนคือ 1) ผลการเรียนรู้หรือความสามารถด้านต่าง ๆ ของมนุษย์ ซึ่งมีอยู่ 5 ประเภทคือ ทักษะทางปัญญา (intellectual skill ) ซึ่งประกอบด้วยการจำาแนก แยกแยะ การสร้างความคิดรวบยอด การสร้างกฎ การสร้างกระบวนการ หรือกฎชั้นสูง ความสามารถด้านต่อไปคือ กลวิธีในการเรียน รู้(cognitive Strategy) ภาษาหรือคำาพูด (verbal information) ทักษะการ เคลื่อนไหว(motor skill) และเจตคติ(attitude) 2) กระบวนการเรียนรู้และจดจำาของมนุษย์ มนุษย์มีกระบวนการจัดกระทำาข้อมูล ใน สมอง ซึ่งมนุษย์จะอาศัยข้อมูลที่สะสมไว้มาพิจารณาเลือกจัดกระทำา สิ่งใดสิ่งหนึ่ง และขณะที่กระบวนการจัดกระทำาข้อมูลภายในสมองกำาลัง เกิดขึ้นเหตุการณ์ภาย นอกร่างกายมนุษย์มีอิทธิพลต่อการส่งเสริมหรือ การ ยับยั้ง การเรียนรู้ที่เกิดขึ้นภายในได้ ดังนั้นในการจัดการเรียนการสอน กานเยจึงได้เสนอแนะว่า ควรมีการจัดสภาพการเรียนการสอนให้เหมาะ
  • 15. สมกับการเรียนรู้แต่ละประเภท ซึ่งมีลักษณะเฉพาะที่แตกต่างกัน และส่ง เสริมกระบวนการเรียนรู้ภายในสมอง โดยจัดสภาพการณ์ภายนอกให้ เอื้อต่อกระบวนการเรียนรู้ภายในของผู้เรียน 2. วัต ถุป ระสงค์ข องรูป แบบ เพื่อช่วยให้ผู้เรียนสามารถเรียนรู้เนื้อหาสาระ ต่าง ๆ ได้อย่างดี รวดเร็ว และสามารถจดจำาสิ่งที่เรียนได้นาน 3. กระบวนการเรีย นการสอนของรูป แบบ การเรียนการสอนตามรูปแบบของกานเย ประกอบ ด้วยการดำาเนินการเป็นลำาดับ ขั้นตอนรวม 9 ขันดังนี้ ้ ขั้นที่ 1 การกระตุ้นและดึงดูดความสนใจของ ผู้เรียน เป็นการช่วยให้ผู้เรียนสามารถรับสิ่งเร้า หรือสิ่งที่จะเรียนรู้ได้ดี ขั้นที่ 2 การแจ้งวัตถุประสงค์ของการเรียนให้ ผู้เรียนทราบ เป็นการช่วยให้ผู้เรียนได้รับรู้ความคาดหวัง ขั้นที่ 3 การกระตุ้นให้ระลึกถึงความรู้เดิม เป็นการช่วยให้ผู้เรียนดึงข้อมูลเดิมที่อยู่ในหน่วยความจำาระยะยาวให้มา อยู่ ในหน่วยความจำาเพื่อใช้งาน(working memory) ซึ่งจะช่วยให้ผู้ เรียนเกิดความพร้อมในการเชื่อมโยงความรู้ใหม่กับความรู้เดิม ขั้นที่ 4 การนำาเสนอสิ่งเร้าหรือเนื้อหาสาระ ใหม่ ผูสอนควรจะจัดสิ่งเร้าให้ผู้เรียนเห็นความสำาคัญของสิ่งเร้านั้น ้ อย่างชัดเจน เพื่อความสะดวกในการเลือกรับรู้ของผู้เรียน ขั้นที่ 5 การให้แนวการเรียนรู้ หรือการจัด ระบบข้อมูลให้มีความหมาย เพื่อช่วยให้ผู้เรียนสามารถทำาความเข้าใจ กับสาระที่เรียนได้ง่ายและเร็วขึ้น ขั้นที่ 6 การ กระตุ้นให้ผู้เรียนแสดงความ สามารถ เพื่อให้ผู้เรียนมีโอกาสตอบสนองต่อสิ่งเร้าหรือสาระที่เรียน ซึ่ง จะช่วยให้ทราบถึงการเรียนรู้ที่เกิดขึ้นในตัวผู้เรียน
  • 16. ขั้นที่ 7 การให้ข้อมูลป้อนกลับ เป็นการ ให้การเสริมแรงแก่ผู้เรียน และข้อมูลที่เป็นประโยชน์กับผู้เรียน ขั้นที่ 8 การประเมินผลการแสดงออกของผู้ เรียน เพื่อช่วยให้ผู้เรียนทราบว่าตนเองสามารถบรรลุวัตถุประสงค์มาก น้อยเพียงใด ขั้นที่ 9 การส่งเสริมความคงทนและการถ่าย โอนการเรียนรู้ โดยการให้โอกาสผู้เรียนได้มีการฝึกฝนอย่างพอเพียง และในสถานการณ์ที่หลากหลาย เพื่อช่วยให้ผู้เรียนเกิดความเข้าใจที่ ลึกซึ้งขึ้น และสามารถถ่ายโอนการเรียนรู้ไปสู่สถานการณ์อื่น ๆ ได้ 4. ผลที่ผ ู้เ รีย นจะได้ร ับ จากการเรีย นตามรูป แบบ เนื่อง จากการเรียนการสอนตามรูปแบบนี้ จัด ขึ้นให้ส่งเสริมกระบวนการเรียนรู้และจดจำาของมนุษย์ ดังนั้น ผู้เรียนจะ สามารถเรียนรู้สาระที่นำาเสนอได้อย่างดี รวดเร็วและจดจำาสิ่งที่เรียนรู้ได้ นาน นอกจากนั้นผู้เรียนยังได้เพิ่มพูนทักษะในการจัดระบบข้อมูล สร้าง ความหมายของข้อมูล รวมทั้งการแสดงความสามารถของตนด้วย 10. การสอนแบบปฏิบ ัต ิก าร การสอนแบบปฏิบัติการ (Laboratory) คือ การสอนที่ให้ผู้ เรียนกระทำากิจกรรมการเรียนภายใต้การแนะนำาช่วยเหลืออย่างใกล้ชิด โดยทำาการทดลองปฏิบัติฝึกการใช้ทฤษฎีโดยผ่านการสังเกตการ ทดลอง ภายใต้สภาพที่ควบคุม 11. การสอนโดยใช้โ สตทัศ นูป กรณ์ การสอนโดยใช้โสตทัศนูปกรณ์ (Audio – visual Media) หมายถึง การสอนโดยใช้อุปกรณ์การสอนต่างๆ เช่น รูปภาพ สไลด์ ภาพยนตร์ วีดิทัศน์ หุนจำาลอง เทปบันทึกเสียง เครื่องฉายภาพข้าม ่ ศีรษะ เป็นต้น เนื่องจากโสตทัศนูปกรณ์แต่ละชนิดต่างก็มีจุดเด่น ข้อ จำากัดเฉพาะตัว จึงไม่ขอกล่าวถึงจุดเด่นและข้อจำากัดโดยรวมๆ ในการ พัฒนาการใช้สื่อต่างๆ 12. การสอนแบบให้ผ ู้เ รีย นเสนอรายงานในชั้น เรีย น การสอนแบบให้ผู้เรียนเสนอรายงานในชั้น คือ เทคนิคการสอน ที่มอบหมายให้ผู้เรียนไปศึกษาค้นคว้าสาระความรู้ เรื่องราย ฯลฯ แล้ว
  • 17. นำามาเสนอรายงานในชั้น โดยทั่วไปจะเสนอด้วยวาจา ผู้สอนอาจมอบ หมายให้ผู้เรียนไปศึกษาค้นคว้าเป็นรายบุคคลหรือกลุ่มก็ได้ 13.การสอนโดยใช้ค ำา ถาม การสอนโดยใช้คำาถามเป็นการสอนที่ผู้สอนป้อนคำาถามให้ผู้ เรียนตอบ อาจตอบเป็นรายบุคคลหรือตอบเป็นกลุ่มย่อย หรือตอบทั้งชั้น การตอบใช้วิธีพูดตอบผู้สอนจะพิจารณาคำาตอบแล้วให้ข้อมูลสะท้อน กลับ หรือถามคนอื่นหรือกลุ่มอื่นจนกว่าจะได้คำาตอบที่ถูกต้องเหมาะสม เทคนิคการสอนหลากหลายวิธีดังกล่าวมาแล้ว เป็นเพียง แนวทางการสอนที่มีผู้ค้นคิดขึ้น ซึ่งผู้สอนเองจะต้องทำาความเข้าใจ และ เลือกใช้ ประยุกต์ใช้ ปรับปรุงและพัฒนาให้เหมาะสมกับเนื้อหาสาระ ของการสอน ผู้เรียน วัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรม เวลา เครื่องมือ บรรยากาศ สถานที่ และข้อจำากัดต่างๆ รวมถึงความถนัดของผู้สอน แต่ ทั้งนี้ในการเลือกใช้ที่ดีควรจะผสมผสานหลายเทคนิคที่เหมาะสมเข้า ด้วยกัน จะก่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดได้ 14. เทคนิค การใช้ผ ัง กราฟิก ( graphic organizers ) ประเภท ผัง ความคิด ( A Mind MAP ) เป็นผังที่แสดงความ สัมพันธ์ของสาระหรือความคิดต่าง ๆ ให้เห็นเป็นโครงสร้างในภาพรวม โดยใช้ เส้น คำา ระยะห่างจากจุดศูนย์กลาง สี เครื่องหมาย รูปทรง เรขาคณิตและภาพ แสดงความหมายและความเชื่อมโยงของความคิด หรือสาระนั้น ๆ โดยมีขั้นตอนหลัก ๆ ในการทำาดังนี้ แผนที่ความคิด บางทีเรียกว่า( Webbing semantic Net working, Momory mapping) โทนี่ บูซานได้พัฒนาแผนที่ความคิดขึ้น โดย บูรณาการ การทำางาน ของสมองด้านซ้ายและด้านขวา สมองด้า นซ้า ย จะทำาหน้าที่ในการ วิเคราะห์คำา สัญลักษณ์ ตรรกวิทยา ภาษา ระบบ ลำาดับ ความเป็น เหตุผล สมองด้า นขวา จำาทำาหน้าที่ในการสังเคราะห์รูปแบบ สี รูปร่าง วิเคราะห์คิดสร้างสรรค์ จินตนาการ ความงาม ศิลปะ แผนที่ความคิดไม่เพียงแต่จะใช้คำาต่าง ๆ เท่านั้น แต่ยังใช้สัญลักษณ์ และภาพต่าง ๆ ด้วย นอกจากนี้แผนที่ความคิดยังเป็นกระบวนการจัด ระบบการจำาและการจัดกระทำาข้อมูล เป็นการ บูรณาการภาพ สี คำา ศัพท์ และเชื่อมโยงกระบวนการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วมกับแผนที่ความคิด
  • 18. บุค คลทั่ว ไป --ใช้ในชีวิตส่วนตัว ในการวางแผน การ ตัดสินใจ -- ชีวิตการทำางาน การช่วย จำา การแก้ปัญหา การนนำาเสนอ การเขียนหนังสือ ครูผ ู้ส อน -- การวางแผนการจัดการเรียนรู้ -- การจัดกิจกรรมต่าง ๆ ในการ เรียนรู้ นัก เรีย น -- ช่วยในการคิด จำา บันทึก เสนอ ข้อมูล -- ทำาให้เข้าใจเนื้อหา -- ช่วยแก้ปัญหาอย่างเป็นรูป ธรรม -- ทำาให้การเรียนรู้เป็นเรื่อง สนุกสนาน มีชีวิตชีวา หลัก การทำา Mind Map 1. เริ่มต้นด้วยภาพสีตรงกึ่งกลางหน้ากระดาษ 2. ใช้ภาพให้มากที่สุด ใช้ภาพก่อนคำาสำาคัญ ( Key word ) หรือรหัส เป็นการช่วยการทำางานของสมอง ดึงดูดสายตาและช่วยจำา 3. เขียนคำาสำาคัญตัวใหญ่ อ่านง่าย ชัดเจน ช่วยให้สามารถประหยัด เวลาเมื่อย้อนกลับมาอ่านอีกครั้ง 4. เขียนคำาสำาคัญเหนือเส้น และแต่ละเส้นต้องเชื่อมต่อกับเส้นอื่น ๆ 5. คำาสำาคัญควรมีลักษณะเป็น “ หน่วย “ คำาสำาคัญ 1 คำาต่อ 1 เส้น 6. ระบายสีให้ทั่ว Mind Map เพราะสีช่วยยกระดับความจำา เพลิน ตา กระตุ้นสมองซีกขวา 7. เพื่อให้เกิดความคิดสร้างสรรค์ใหม่ ๆ ควรปล่อยให้หัวคิดมีอิสระมาก
  • 19. ที่สุด ใช้ร ูป ทรงเรขาคณิต แสดงขอบเขตของคำาที่มีลักษณะของคำา ใกล้เคียงกัน ใช้ภ าพ รูปสามมิติ เพื่อให้โดดเด่น การระดมสมอง เป็นการนำาความรู้ที่อยู่แล้วออก มาใช้ ทำาให้ผู้เรียนมีความรู้สึกอิสระในทางความคิด ปล่อยจิตใจให้มี อำานาจเหนือสมอง ไม่ต้องกังวลว่าสิ่งที่คิดออกมานี้สัมพันธ์กับประเด็นที่ ตั้งหรือไม่ การระดมพลังสมองใช้ได้ทั้งงานเดี่ยวและงานกลุ่ม งานเดี่ย ว ให้ผู้เรียนใช้เวลาประมาณ 5 นาที แล้วเขียน หัวข้อ เรื่องปัญหาหรือประเด็นที่มอบหมายให้ลงในแผ่นกระดาษ จาก นั้นเขียนทุกสิ่งทุกอย่างที่ผู้เขียนทราบ เกี่ยวกับสิ่งนั้นในขณะนั้น ให้ เร็วที่สุด งานกลุ่ม ต้องให้สมาชิกทุกคนในกลุ่มมีโอกาสคิดอย่างอิสระ ที่สุดโดยประวิงการประเมินความคิดออกไปไม่มีการวิพากษ์ วิจารณ์ ในระหว่างที่มีการคิดจุดประสงค์เพื่อนำาไปสู่ การที่สามารถแก้ปัญหา ได้ 15. การสอนแบบโครงการ (The Project Approach) หลัก การ โครงการ คือการสืบค้นหาข้อมูลอย่างลึกตามหัวเรื่องที่เด็ก สนใจควรแก่การเรียนรู้ โดยปกติการสืบค้นจะทำาโดยเด็กกลุ่มเล็กๆ ทีอยู่่ ในชั้นเรียน หรือเด็กทั้งชั้นร่วมกัน หรือบางโอกาสอาจเป็นเพียงเด็กคน ใดคนหนึ่งเท่านั้น จุดเด่นของโครงการคือความพยายามที่จะค้นหาคำา ตอบจากคำาถามที่เกี่ยวกับหัว เรื่อง ไม่ว่าคำาถามนั้นจะมาจากเด็ก จากครู หรือจากเด็กและครูร่วมกันก็ตาม จุดประสงค์ของโครงการคือการเรียนรู้ เกี่ยวกับหัวเรื่อง มากกว่าการเสาะแสวงหาคำาตอบที่ถูกต้องเพื่อตอบคำา ถามที่ครูเป็นผู้ถาม (Katz,1994) การทำา โครงการไม่สามารถทดแทนหลักสูตรทั้งหมดได้ สำาหรับ เด็กปฐมวัยถือเป็นส่วนที่เสริมเพิ่มเติมให้สมบูรณ์อย่างไม่เป็นทาง การ เพียงส่วนหนึ่งของหลักสูตรเท่านั้น งานโครงการจะไม่แยกเป็นรายวิชา เช่น ภาษาไทย คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ ฯลฯ แต่จะบูรณาการทุกวิชา เข้าด้วยกัน โดยเฉพาะเด็กปฐมวัยต้องการครูเป็นผู้ชี้แนะ และเป็นที่ ปรึกษาในการทำาโครงการ ส่วน เวลาที่ใช้ในการทำางานแต่ละโครงการนั้นอาจใช้เวลา
  • 20. หลายวัน หลายสัปดาห์ หรือหนึ่งสัปดาห์ขึ้นอยู่กับหัวเรื่อง อายุ และ ความสนใจของเด็ก (Katz, 1994) กระบวนการ โครงการ ถือเป็นตัวอย่างที่ดีของการเรียนรู้ที่เต็มไปด้วยความหมาย เหมาะกับพัฒนาการ เด็ก เป็นการศึกษาอย่างลึกในช่วงเวลาที่ขยายได้ ตามความสนใจของเด็กแต่ละคน แต่ละกลุ่มย่อย หรือแต่ละชั้นและตาม แต่หัวเรื่องที่ต้องการศึกษา ในหนังสือ Project Approach "A Practical Guide for Teachers" ของ Sylvia C. Chard (1992,1994) ได้กล่าวถึงลักษณะโครงสร้างของการปฏิบัติโครงการ ไว้ 5 ข้อ คือ 1. การอภิปรายกลุ่ม ในงานโครงการครูสามารถแนะนำาการ เรียนรู้ให้เด็ก และช่วยให้เด็กแต่ละคนมีโอกาสแลกเปลี่ยนสิ่งที่ตนทำากับ เพื่อน การพบประสนทนากันในกลุ่มย่อย หรือกลุ่มใหญ่ทั้งชั้น ทำาให้เด็กมี โอกาสที่จะอภิปรายแลกเปลี่ยนความคิดเห็น ซึ่งกันและกัน 2. การ ศึกษานอกสถานที่ สำาหรับเด็กปฐมวัยไม่จำาเป็นต้องเสีย เงินเป็นจำานวนมาก เพื่อพาเด็กไปยังสถานที่ไกลๆ ประสบการณ์ในระยะ แรกครูอาจพาไปทัศนศึกษานอกห้องเรียน เรียนรู้สิ่งก่อสร้างต่างๆที่อยู่ รอบบริเวณโรงเรียน เช่น ร้านค้า ถนนหนทาง ป้ายสัญญาณ งาน บริการต่างๆ ฯลฯ จะช่วยให้เด็กเข้าโลกที่แวดล้อม มีโอกาสพบปะกับ บุคคลที่มีความรู้เชี่ยวชาญในหัวเรื่องที่เด็กสนใจ ซึ่งถือเป็น ประสบการณ์เรียนรู้ขั้นแรกของงานศึกษาค้นคว้า 3. การ นำาเสนอประสบการณ์เดิม เด็กสามารถที่จะทบทวน ประสบการณ์เดิมในหัวเรื่องที่ตนสนใจ มีการอภิปราย แสดงความคิด เห็นในประสบการณ์ที่เหมือนหรือแตกต่างกับเพื่อน รวมทั้งแสดงคำาถาม ที่ต้องการสืบค้นในหัวเรื่องนั้นๆ นอกจากนี้เด็กแต่ละคนสามารถที่จะ เสนอประสบการณ์ที่ตนมีให้เพื่อนในชั้นได้ รู้ด้วยวิธีการอันหลากหลาย เสมือนเป็นการพัฒนาทักษะเบื้องต้น ไม่ว่าจะเป็นการเขียนภาพ การ เขียน การใช้สัญลักษณ์ทางคณิตศาสตร์ การเล่นบทบาทสมมติ และการ ก่อสร้างแบบต่างๆ 4. การ สืบค้น งานโครงการเปิดกว้างให้ใช้แหล่งค้นคว้าข้อมูล อย่างหลากหลายตามหัวเรื่องที่ สนใจเด็กสามารถสัมภาษณ์พ่อแม่ ผู้ ปกครองของตนเอง บุคคลในครอบครัว เพื่อนนอกโรงเรียน สามารถ หาคำาตอบของตนด้วยการศึกษานอกสถานที่ สัมภาษณ์วิทยากรท้องถิ่น ที่มีความรอบรู้ในหัวเรื่อง อาจสำารวจวิเคราะห์วัตถุสิ่งของด้วยตนเอง
  • 21. เขียนโครงร่าง หรือใช้แว่นขยายส่องดูวัตถุต่างๆ หรืออาจใช้หนังสือใน ชั้นเรียนหรือในห้องสมุดทำาการค้นคว้า 5. การ จัดแสดง การจัดแสดงทำาได้หลายรูปแบบ อาจใช้ฝา ผนังหรือป้ายจัดแสดงงานของเด็ก เป็นการแลกเปลี่ยนความคิด ความรู้ ที่ได้จากการสืบค้นแก่เพื่อนในชั้น ครูสามารถให้เด็กในชั้นได้รับทราบ ความก้าวหน้าในการสืบค้นโดยจัดให้มีการ อภิปราย หรือการจัดแสดง ทั้งจะเป็นโอกาสให้เด็กและครูได้เล่าเรื่องงานโครงการที่ทำาแก่ผู้มาเยี่ยม เยียนโรงเรียนอีกด้วย 16. การสอนแบบมอนเตสซอรี่ หลัก การ Morrison (998 : 96 - 1 0 ) และบุคคลต่างๆ ได้สังเคราะห์แนวคิด และแนวปฏิบัติของมอนเตสซอรี่ สรุปเป็นหลักการของการสอนได้ 5 ประเด็น ดังนี้ 1. เด็ก จะต้อ งได้ร ับ การยอมรับ นับ ถือ (Respect for the child) เพราะ เด็กแต่ละคนมีลักษณะเฉพาะของเขา ดังนั้นการจัดการ ศึกษาให้แก่เด็กควรจะเหมาะกับเด็กแต่ละคน มอนเตสซอรี่ยืนยันใน ความเชื่อของตนเองที่ว่า ชีวิตของเด็กต้องได้รับการดูแลที่แตกต่างไป จากผู้ใหญ่ไม่จัดการศึกษาให้แก่ เด็กตามที่ผู้ใหญ่ต้องการให้เป็น โดย นักการศึกษาและผู้ปกครองจะแสดงความเคารพนับถือเด็กได้หลายวิถี ทางช่วยให้เด็กทำางานได้ด้วยตนเอง ส่งเสริมความเป็นอิสระให้แก่เด็ก และเคารพความต้องการของเด็กแต่ละคน 2. เด็ก มีจ ิต ที่ซ ึม ซาบได้ (The Absorbent Mind) มอน เตสซอรี่เชื่อว่า เด็กแต่ละคนไม่ได้รับการศึกษามาจากคน อื่น แต่เด็กคือผู้ให้การศึกษาแก่ตนเอง เราใช้จิตในการแสวงหาความรู้ เด็กซึมซาบข้อมูลต่างๆ เข้าไปในจิตของตนเองได้ กระบวนนี้เห็นได้ชัด จากการที่เด็กเรียนภาษาแม่ได้เอง พัฒนาการของจิตที่ซึมซาบได้มี 2 ระดับคือ อายุตั้งแต่แรกเกิดถึง 3 ปีเป็นช่วงที่จิตซึมซาบโดยไม่รู้สึกตัว (Unconscious absorbent mind) เป็นการพัฒนาประสาทสัมผัส ของการมองเห็น (seeing) การได้ยิน (hearing) การชิมรส (tasting) การดมกลิ่น (smelling) และการสัมผัส (touching) เด็กจะซึมซาบทุก สิ่งทุกอย่างรอบตัว อายุ 3-6 ปี เป็นช่วงที่จิตซึมซาบโดยรู้สึกตัว (conscious absorbent mind) โดย เลือกสิ่งที่ประทับใจจากสิ่งแวดล้อม และ
  • 22. พัฒนาประสาทสัมผัสต่างๆ การเลือกสรรมีความละเอียดลออเพิ่มขึ้น ใน ช่วงที่จิตซึมซาบโดยไม่รู้สึกตัว เด็กจะเห็นและซึมซาบสีโดยไม่ได้ แยกแยะความแตกต่างของสีเหล่านี้เมื่ออายุ 3 ปีขึ้นไป เด็กจะพัฒนา ความสามารถในการที่จะแยกแยะ จับคู่ และเรียงลำาดับสีได้ มอน เตสซอรี่ ได้ท้าทายให้ครูคิดเกี่ยวกับเรื่องจิตที่ซึมซาบได้ ของเด็ก ว่าสิ่งที่เด็กเรียนรู้ส่วนใหญ่จะขึ้นอยู่กับคนที่อยู่รอบตัว สิ่งที่คน เหล่านั้นพูดและทำา และปฏิกิริยาของคนเหล่านั้น 3. ช่ว งเวลาหลัก ของชีว ิต (Sensitive Periods) วัย 3-6 ปี ช่วงเวลานี้เด็กจะรับรู้ได้ไวและเรียนรู้ทักษะเฉพาะ อย่างได้ดี ครูจึงต้องสังเกตเด็ก เพื่อจัดการเรียนการสอนให้แก่เด็กได้ สมบูรณ์ที่สุด ถึงแม้เด็กจะอยู่ในช่วงเวลาหลักเหมือนกัน แต่ขั้นตอนและ จังหวะเวลาของเด็กแต่ละคนจะแตกต่างกัน ดังนั้นครูของมอนเตสซอรี ่่ หรือผู้ปกครองจำาเป็นจะต้องหาช่วงเวลาของเด็กจัดให้เด็กประสบความ สำาเร็จ ได้สูงสุด การสังเกตจึงสำาคัญสำาหรับครูและผู้ปกครอง นักการ ศึกษาหลายคนเชื่อว่าข้อมูลที่ได้จากการสังเกตถูกต้องมากกว่าการใช้ แบบ สอบ 4. การตระเตรีย มสิ่ง แวดล้อ ม (The Prepared Environment) เด็ก จะเรียนรู้ได้ดี ในสิ่งแวดล้อมที่ได้ตระเตรียมเอาไว้ใน สถานที่ใดก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นห้องเรียน ห้องที่บ้าน ห้องเด็กเล็ก หรือ สนามเด็กเล่น จุดมุ่งหมายเพียงเพื่อให้เด็กมีอิสระจากการควบคุมของ ผู้ใหญ่เป็นสถานที่ที่ เด็กจะได้ทำาสิ่งต่างๆ เพื่อตนเอง ห้องเรียนใน อุดมคติของมอนเตสซอรี่ คือเด็กเป็นศูนย์กลางและมีส่วนร่วมในการ เรียน ใน สิ่งแวดล้อมที่ตระเตรียมไว้ เด็กจะเรียนได้ตามความต้องการ ตัดสินใจเลือกอุปกรณ์ที่ต้องทำา มอนเตสซอรี่จะจัดโต๊ะ เก้าอี้ขนาดเด็ก ให้เด็กได้ทำางานเป็นรายบุคคล เป็นกลุ่มในห้องเรียน มีการทำางานบน พื้น มอนเตสซอรี่เห็นว่าโต๊ะครูไม่จำาเป็น เพราะครูต้องไปทำางานกับเด็ก อยู่แล้ว เธอได้เสนอแนะให้จัดเฟอร์นิเจอร์ทุกอย่างเป็นขนาดเด็ก กระ ดานดำาขนาดตำ่าพอที่เด็กจะใช้ พื้นที่ภายนอกซึ่งเด็กสามารถทำาสวน หรือทำากิจกรรมกลางแจ้งได้ โดย เฉพาะห้องเรียน ต้องเป็นที่ที่เด็กสามารถทำาสิ่งต่างๆ ได้ เล่นอุปกรณ์ที่วางไว้อย่างมีจุดมุ่งหมายและให้การศึกษาแก่ตน อิสระเป็น ลักษณะที่สำาคัญของการตระเตรียมสิ่งแวดล้อม เมื่อเด็กมีอิสระภายในสิ่ง แวดล้อม เลือกทำาอุปกรณ์ด้วยตนเอง เขาจะซึมซาบสิ่งต่างๆจากตรงนั้น ผู้ใหญ่มักจะกลัวว่าเด็กจะใช้อิสระไม่เป็น เด็กจะมีอิสระในการ
  • 23. ใช้อุปกรณ์ที่จัดไว้ ภายใต้กรอบในการเลือกที่ครูได้จัดให้การเลือก (Choice) คือผลผลิตของวินัยและการควบคุมตนเองที่จะได้รู้จากสิ่ง แวดล้อม 5. การศึก ษาด้ว ยตนเอง (Self-or Auto Education) มอน เตสซอรี่เน้นความสนใจไปที่ความสามารถของมนุษย์ ศิลปะของการสอนรวมถึงการตระเตรียมสิ่งแวดล้อม เพื่อเด็กจะได้เข้า ไปทำางานและเรียนรู้ด้วยตนเอง เด็กสามารถเรียนรู้ได้ด้วยตนเอง จาก การที่เด็กมีอิสระในสิ่งแวดล้อมที่จัดเตรียมไว้อย่างสมบูรณ์การมีอิสระ นี้ มอนเตสซอรี่กล่าวว่า ไม่ใช่สัญลักษณืของเสรีภาพเท่านั้น แต่หมายถึง เส้นทางไปสู่การศึกษา เด็กมีสิทธิ์ที่จะเรียนรู้ระเบียบวินัยของชีวิต ได้มี โอกาสแก้ไขข้อบกพร่องของตนเอง สามารถควบคุมการเคลื่อนไหวของ ตนเองได้ 17. การจัด การเรีย นการสอนแบบโครงงาน แนวคิด การสอนแบบโครงงานเป็นการเปิดโอกาสให้ผู้เรียน เรียนรู้เรื่อง ใดเรื่องหนึ่งตามความสนใจของผู้เรียนอย่างลุ่มลึก โดยผ่าน กระบวนการหลักคือ กระบวนการแก้ปัญหา ผู้เรียนจะเป็นผู้ลงมือปฏิบัติ เพื่อค้นหาคำาตอบด้วยตนเอง จึงเป็นการเรียนรู้จากการได้มี ประสบการณ์ตรงจากแหล่งเรียนรู้ วัต ถุป ระสงค์ การจัดการเรียนการสอนแบบโครงงานมีวัตถุประสงค์เพื่อ ให้นักเรียน 1. มีประสบการณ์โดยตรง 2. ได้ทำาการทดลองและพิสูจน์สิ่งต่าง ๆ ด้วยตนเอง 3. รู้จักการทำางานอย่างมีระบบ มีขั้นตอน 4. ฝึกการเป็นผู้นำาและผู้ตามที่ดี 5. ได้เรียนรู้วิธีการแก้ปัญหา 6. ได้รู้จักวิธีการต่าง ๆ ในการแก้ปัญหา 7. ฝึกวิเคราะห์ และประเมินตนเอง ประเภทของโครงงาน 1. โครงงานแบบสำารวจ 2. โครงงานแบบทดลอง