SlideShare a Scribd company logo
1 of 77
Download to read offline
บทที่ 2 ประชากร และ บทที่ 3 มนุษย์กับความยั่งยืนของสิ่งแวดล้อม
รายวิชาชีววิทยา 5 (ว33245)
ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2556
 ระบบนิเวศ หมายถึง ความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งมีชีวิตกับสิ่งแวดล้อม (มีชีวิตและไม่มีชีวิต)
 เซลล์ → เนื้อเยื่อ → อวัยวะ → ระบบอวัยวะ → สิ่งมีชีวิต
 สิ่งมีชีวิต → ประชากร → กลุ่มสิ่งมีชีวิต → ระบบนิเวศ → โลกของสิ่งมีชีวิต
 มีองค์ประกอบที่สาคัญ 2 ส่วนสัมพันธ์กัน คือ
องค์ประกอบทางกายภาพ (ไม่มีชีวิต) เช่น แสง ดิน นา อุณหภูมิ
องค์ประกอบทางชีวภาพ (มีชีวิต) ได้แก่ คน พืช มอส เห็ด รา
1. ไบโอมบนบก * ใช้เกณฑ์ปริมาณน้าฝนและอุณหภูมิเป็นตัวกาหนด
 ไบโอมป่าดิบชื้น  ไบโอมป่าผลัดใบในเขตอบอุ่น
 ไบโอมทุ่งหญ้าเขตอบอุ่น  ไบโอมสะวันนา
 ไบโอมทุนดรา  ไบโอมทะเลทราย
 ไบโอมป่าสน
2. ไบโอมในน้า แบ่งเป็น 2 ประเภท คือ
 ไบโอมแหล่งน้าจืด  ไบโอมแหล่งน้าเค็ม
ได้แก่ แม่น้า - เขตน้าขึ้นน้าลง
- ทะเลและมหาสมุทร - แหล่งน้ากร่อย (ป่าชายเลน)
- แนวปะการัง - ทะเลสาบ
ไบโอม ( Biomes ) หรือชีวนิเวศ หมายถึง ระบบนิเวศ ที่มีองค์ประกอบของปัจจัยทางกายภาพ
และปัจจัยทางชีวภาพที่คล้ายคลึงกัน กระจายอยู่ในเขตภูมิศาสตร์ต่าง ๆ กัน
@@@ สิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่ในไบโอมนัน ๆ จะต้องปรับตัวให้เข้ากับปัจจัยทางกายภาพในแต่ละเขต
ภูมิศาสตร์นัน ๆ ด้วย
ไบโอมบนบก
ไบโอมในน้า
ไบโอมบนบก ( TERRESTRIAL BIOMES )
1. ไบโอมป่าดิบชื้น ( Tropical rain forest )
- พบบริเวณใกล้เขตเส้นศูนย์สูตรของโลกในทวีปอเมริกากลาง อเมริกาใต้
แอฟริกาใต้ หมู่เกาะแปซิฟิก แอฟริกา เอเชียใต้
- ลักษณะภูมิอากาศ ร้อน และชื้น
- มีฝนตกตลอดปี ปริมาณน้าฝน 200 – 400 ซม./ปี
- พบพืชและสัตว์หลากหลายนับพันสปีชีส์
- อุดมสมบูรณ์มาก
2. ไบโอมป่าผลัดใบในเขตอบอุ่น ( Temperate deciduous forest )
- พบบริเวณทวีปอเมริกาเหนือ, จีน และประเทศไทย
- ปริมาณน้าฝนเฉลี่ย 100 ซม./ปี
- มีความชื้นเพียงพอที่จะทาให้ต้นไม้ขนาดใหญ่โตได้
- อากาศค่อนข้างเย็น
- ต้นไม้จะผลัดใบก่อนถึงฤดูหนาว และจะผลิใบเมื่อผ่านฤดูหนาวไปแล้ว
- พืชเด่น ไม้ล้มลุก ไม้พุ่ม
 พืชเด่นที่พบ : ไม้พุ่ม ,พืชล้มลุก ,ไม้ต้น
 สัตว์ที่พบ : กวาง ,สุนัขจิ้งจอก
ไบโอมบนบก ( TERRESTRIAL BIOMES )
3. ป่าสน ( Coniferous forest )
- ป่าสน ป่าไทกา ( Taiga ) หรือป่าบอเรียล( Boreal )
- ต้นไม้เขียวชอุ่มตลอดปี
- พบทางตอนใต้ของแคนาดา จีน ฟินแลนด์
- ฤดูหนาวยาวนานมีหิมะ อากาศแห้ง และเย็น
- พืชเด่น สน ไพน์ ( Pine ) เฟอ ( Fir ) สพรูซ ( Spruce) แฮมลอค ( Hemlock )
 สัตว์ที่พบ : กวาง ,นกฮูกเทาใหญ่
- ไทยพบแถบภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคเหนือ
เช่นบนภูเรือ (ภูกระดึงมักพบสนสองใบและสนสามใบเป็นต้น)
ไบโอมบนบก ( TERRESTRIAL BIOMES )
Spruce Fir Pine
สนสองใบ สนสามใบ
4. ทุ่งหญ้าเขตอบอุ่น ( Temperate grassland )
- ปริมาณน้าฝน 25 – 50 ซม./ปี
- มักมีฝนตกในช่วงฤดูร้อน และแห้งแล้งในฤดูหนาว
- ทุ่งหญ้าเขตอบอุ่นนี้เหมาะสาหรับการทากสิกรและปศุสัตว์ เพราะดินมีความอุดมสมบูรณ์สูงมี
หญ้านานาชนิดขึ้นอยู่ ส่วนใหญ่พบมีการทาเกษตรกรรมควบคู่ในพื้นที่นี่ด้วย
- ทวีปอเมริกาเหนือ เรียกว่า แพรรี่ ( prairie ) ในเขตยูเรเชีย เรียก สเต็ปป์ (steppe) และในทวีป
อเมริกาใต้เรียก แพมพา (pampa)
- พืชที่พบ ไม้พุ่มที่มีหนาม มีไม้ต้นทนแล้ง และทนไฟป่า เช่น
เบาบับ (baobab) และพวกกระถิน (acacia)
- สัตว์ที่พบ เช่น ช้าง ม้าลาย สิงโต หมีโคลา จิงโจ้ และนกอีมู
ไบโอมบนบก ( TERRESTRIAL BIOMES )
5. สะวันนา (Savanna)
- พบได้ในทวีปแอฟริกาและพบบ้างทางตะวันออกเฉียงใต้ของทวีป เอเชีย
- อากาศร้อนยาวนาน
- พืชที่ขึ้นส่วนใหญ่เป็นหญ้าและมีต้นไม้กระจายเป็นหย่อม ๆ
- ในฤดูร้อนมักเกิดไฟป่า
- พืชที่ขึ้นมักทนต่อไฟป่าและความแห้งแล้งได้ดี
 สัตว์ที่พบคล้ายกับทุ่งหญ้าเขตอบอุ่น
ไบโอมบนบก ( TERRESTRIAL BIOMES )
 6. ทะเลทราย ( desert )
- ปริมาณฝนตกเฉลี่ยน้อยกว่า 25 เซนติเมตรต่อปี
- บางที่ฝนตกหนักแต่ดินเป็นทรายที่ไม่อุ้มน้า ทะเลทรายบางแห่งร้อนมากมีอุณหภูมิเหนือผิวดินสูง
ถึง 60 องศาเซลเซียส
- พืชที่พบในไบโอมทะเลทรายนี้มีการป้ องกันการสูญเสียน้า โดยใบลดรูปเป็นหนาม ลาต้นอวบ เก็บ
สะสมน้า และพืชปีเดียว
- ทะเลทรายซาฮารา (Sahara) ในทวีปแอฟริกา ทะเลทรายโกบี (Gobi) ในจีน และทะเลทรายโมฮาวี
(Mojave) ในรัฐแคลิฟอร์เนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา
- สัตว์ที่พบเลื้อยคลาน พวกงูและกิ้งก่า และสัตว์ใช้ฟันกัดแทะ เช่น พวกหนูชุกชุม สัตว์ส่วนใหญ่หา
กินกลางคืนเพื่อหลีกเลี่ยงอากาศร้อนในตอนกลางวัน
ไบโอมบนบก ( TERRESTRIAL BIOMES )
7. ทุนดรา (Tundra)
- พบเพียงตอนเหนือของทวีปอเมริกาเหนือ และยูเรเซีย ได้แก่ พื้นที่ของรัฐอะลาสก้า และไซบีเรีย
- ฤดูหนาวค่อนข้างยาวนาน มีหิมะ ฤดูร้อนช่วงสั้น ๆ
- ชั้นของดินที่อยู่ต่ากว่าจากผิวดินชั้นบนลงไปจะจับตัวเป็นน้าแข็ง
- ปริมาณฝนน้อย และถ้าในฤดูร้อนช่วงสั้น ๆ น้าแข็งที่ผิวหน้าดินจะละลาย แต่เนื่องจากน้าไม่สามารถซึม
ผ่านลงไปในชั้นน้าแข็งได้ในระยะสั้น ๆ
- สามารถปลูกพืชได้ระยะสั้นๆ
 พืช เด่น ได้แก่ ไลเคนส์ นอกจากนี้ยังมีมอส กก หญ้าเซดจ์(Sedge) และไม้พุ่มเตี้ย เช่น วิลโลแคระ
 สัตว์ที่พบ ได้แก่ นก สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม และแมลง สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมชนิดเด่น คือ กวางคาริบู กวาง
เรนเดียร์ กระต่ายป่าขั้วโลก หนูเลมมิง สุนัขป่าขั้วโลก นกชนิดเด่น คือ นกทามิแกน นกเค้าแมวหิมะ
นอกจากนี้ยังมีนกจากแหล่งอื่นอพยพเข้ามาในฤดูร้อน แมลง ยุง
ไบโอมบนบก ( TERRESTRIAL BIOMES )
ไบโอมในน้า ( AQUATIC BIOMES )
แหล่งน้าจืด ประกอบด้วย
 แหล่งน้ำนิ่ง เช่น สระ หนอง บึง และทะเลสาบ
 แหล่งน้ำไหล เช่น ธารน้าไหล และแม่น้า
แหล่งน้าเค็ม ประกอบด้วย
 ทะเลสาบ
 ทะเล
 มหาสมุทร
ซึ่งพบในปริมาณมาก ร้อยละ 71 ของพื้นผิวโลก
และมีความลึกมาก
ความแตกต่างระหว่างน้าจืดและน้าเค็ม
 น้ำขึ้นน้ำลงเป็นปัจจัยทำงกำยภำพสำคัญที่ทำให้แหล่งน้ำเค็มแตกต่ำงจำกแหล่งน้ำจืด
น้ากร่อย ( ESTUARIES )
 แหล่งน้ากร่อย หมายถึง คือช่วงรอยต่อของแหล่งน้าจืดและน้าเค็มที่มาบรรจบกัน ซึ่ง
มักจะพบตามปากแม่น้า การขึ้นลงของกระแสน้าที่อิทธิพลต่อการเปลี่ยนแปลงค่าความ
เค็มของน้าในแหล่ง น้ากร่อยเป็นอย่างมาก
 โดยทั่วไปแล้ว น้ากร่อยหรือน้าทะเลในสภาพปกติมีสภาพเป็นด่าง เหตุที่น้าทะเลมีสภาพ
เป็นด่างอ่อน ๆ เป็นเพราะในน้าทะเลมีแร่ธาตุหลายชนิด ที่ทาให้น้าเป็นด่างอ่อน
ระบบนิเวศในน้า
น้า เป็นทรัพยากรธรรมชาติที่มีความสาคัญต่อสิ่งมีชีวิตทุกชนิด แบ่งออกตามลักษณะ
แหล่งที่เกิดได้ ดังนี้
1. แหล่งน้าจืด
2. แหล่งน้ากร่อย
3. แหล่งน้าเค็ม
 ระบบนิเวศที่มีแหล่งที่อยู่อาศัยในน้าตามลักษณะของแหล่งน้าทั้ง 2 ประเภท ได้แก่
 1.แหล่งน้าจืด
 2.แหล่งน้าเค็ม
การแบ่งน้าลักษณะอย่างนี้
แบ่งโดยอาศัยค่าความเค็มเป็นตัวกาหนด
ระบบนิเวศแหล่งน้าจืด
 ระบบนิเวศน้าจืดแบ่งตามลักษณะของแหล่งน้าเป็น 3 ประเภท คือ
1. แหล่งน้านิ่ง เช่น ทะเลสาบ บึง ถ้าเป็นแหล่งน้าขนาดใหญ่
2. แหล่งน้าไหล เช่น แม่น้า ลาธาร
3. แหล่งน้ากร่อย
 1. แหล่งน้านิ่ง แบ่งเป็น 3 เขต คือ
1.1 เขตชายฝั่ง (Litoral zone) เป็นบริเวณรอบ ๆ แหล่งน้า
- แสงส่องได้ถึงก้นน้า
- ผู้ผลิต บริเวณชายฝั่ง เช่น กก บัว แห้วทรงกระเทียม สาหร่ายสีเขียว และไดอะตอม จอก
จอกหูหนู แหนแดง
- ผู้บริโภค ได้แก่ หอยขม หอยโข่ง ตัวอ่อนแมลงปอเข็ม แมลงปอชีปะขาว กุ้งก้ามกราม หอย
กาบเดียว หอยสองกาบ เต่า ปลา
1.2 ผิวน้าหรือเขตกลางน้า (Limnetic zone) นับจากชายฝั่งเข้ามาจนถึงระดับลึกที่แสงส่องถึง
 ความเข้มของแสงประมาณ 1 เปอร์เซ็นต์ของแสงจากดวงอาทิตย์
 สิ่งมีชีวิตส่วนใหญ่เป็นแพลงก์ตอน และพวกที่ว่ายน้าอิสระ มีจานวนชนิดและจานวนสมาชิก
น้อยกว่าเขตชายฝั่ง แพลงก์ตอนพืช ได้แก่ สาหร่ายสีเขียว ไดอะตอม สาหร่ายสีเขียวแกมน้าเงิน
 สัตว์เหล่านี้เป็นสัตว์ต่างชนิดกับเขตชายฝั่ง นอกจากนี้สัตว์อื่นๆ ในเขตกลางสระ เช่น ปลา
ระบบนิเวศแหล่งน้าจืด
1.3 เขตน้าชั้นล่าง (Profundal zone) เป็นส่วนที่อยู่ล่างสุดจนถึงหน้าดินของพื้นท้องน้า
_ แสงส่องไม่ถึง จึงไม่มีผู้ผลิต
- สิ่งมีชีวิตที่พบ ได้แก่ รา แบคทีเรียที่ไม่ใช้ออกซิเจน ตัวอ่อนยุง หอยสองกาบ หนอนตัว
กลม เป็นต้น
- สิ่งมีชีวิตเหล่านี้จะต้องปรับตัวให้เข้ากับสภาพที่มีออกซิเจนต่า
เช่น ตัวอ่อนของยุงน้าชนิดหนึ่ง (Phantom) มีถุงลมสาหรับช่วยในการลอยตัว และ
สาหรับเก็บออกซิเจนไว้ใช้
 2. แหล่งน้าไหล แบ่งเป็น 3 เขต คือ
2.1 เขตน้าเชี่ยว เป็นเขตที่มีกระแสน้าไหลแรง จึงไม่มีตะกอนสะสมใต้น้า
- สิ่งมีชีวิตมักเป็นพวกที่สามารถเกาะติดกับวัตถุใต้น้า หรือคืบคลานไปมาสะดวก
- สิ่งมีชีวิตที่ว่ายน้าได้จะต้องเป็นพวกที่ทนทานต่อการต้านกระแสน้า
- ไม่พบแพลงก์ตอนในบริเวณนี้
ระบบนิเวศแหล่งน้าจืด
 2.2 เขตน้าไหลเอื่อย เป็นช่วงที่มีความลึก ความเร็วของกระแสน้าลดลง
 อนุภาคต่างๆ จึงตกตะกอนทับถมกันหนาแน่นในเขตนี้
 ไม่มีสัตว์เกาะตามท้องน้า เขตนี้เหมาะกับพวกที่ขุดรูอยู่ เช่น หอยสองกาบ ตัวอ่อนของ
แมลงปอ ชีปะขาว แพลงก์ตอน และพวกที่ว่ายน้าได้
ระบบนิเวศแหล่งน้าจืด
การปรับตัวของสัตว์ในแหล่งน้าไหล
สัตว์มีการปรับตัวพิเศษเพื่อการอยู่รอดหลายวิธี
•มีโครงสร้างพิเศษสาหรับเกาะหรือดูดพื้นผิว เพื่อให้ติดแน่นกับพื้นผิว สิ่งมีชีวิตที่
มีอวัยวะพิเศษนี้ เช่น แมลงหนอนปลอกน้า
•สร้างเมือกเหนียว เพื่อใช้ยึดเกาะ เช่น พลานาเรีย หอยกาบเดียว
•มีรูปร่างเพรียว เพื่อลดความต้านทานต่อกระแสน้า เช่น ปลา
•ปรับตัวให้แบน เพื่อยึดติดกับท้องน้าได้แนบสนิทหรือเพื่อให้สามารถแทรกตัวอยู่
ในซอกแคบๆ หลีกเลี่ยงกระแสน้าแรงๆ
การปรับตัวของสัตว์ในแหล่งน้าไหล
ระบบนิเวศแหล่งน้ากร่อย
3. น้ากร่อย เป็นบริเวณที่น้ามาบรรจบกันระหว่างน้าจืดและน้าเค็ม ทาให้เป็นบริเวณที่
มีน้ากร่อยเกิดเป็นชุมชนรอยต่อระหว่างชุมชนน้าจืดและน้าเค็ม
 ลักษณะพิเศษที่เกิดขึ้นคือ มีสภาพทางชีววิทยาที่เอื้ออานวยที่จะให้ผลผลิตอย่างสูงต่อ
สังคมมนุษย์
 มีความอุดมสมบูรณ์ของธาตุอาหารสูง
 พบสัตว์เศรษฐกิจมากมาย เช่น กุ้ง หอย ปู ปลาต่าง ๆ
ระบบนิเวศแหล่งน้าเค็ม
 แหล่งน้าเค็ม ได้แก่ ทะเลและมหาสมุทร
 จัดเป็นแหล่งน้าไหลเนื่องจากมีกระแสคลื่นเกิดขึ้นตลอดเวลา
 ระบบนิเวศทางทะเลเป็นระบบนิเวศที่มีขนาดใหญ่ มีพื้นประมาณ 3 ใน 4 ส่วนของผิวโลก
 สามารถแบ่งเขตออกเป็น 2 บริเวณ คือ
- บริเวณชายฝั่งทะเล (coastal zone) เป็นบริเวณที่อยู่ติดกับพื้นดินที่มีความลาดชันน้อยและค่อนข้าง
อุดมสมบูรณ์ เนื่องจากได้รับอิทธิพลของกระแสน้าขึ้นน้าลง และได้รับธาตุอาหารจากการชะล้างผิวหน้าดิน
ลงสู่แหล่งน้า
- บริเวณทะเลเปิด (open sea) เป็นบริเวณที่อยู่ห่างออกจากชายฝั่ง พื้นที่มีความลาดชันเพิ่มขึ้นตาม
ความลึกของน้า
 สามารถแบ่งออกเป็นเขตต่างๆ ได้ 3 เขต คือ
1. เขตที่แสงส่องถึง
2. เขตที่มีแสงน้อย
3. เขตที่ไม่มีแสง
@@@นอกจากนี้ยังอาจแบ่งตามลักษณะพื้นผิวกายภาพได้เป็น หาดทราย หาดหิน และแนวประการัง
 หาดหิน (rocky shore)
 เป็นบริเวณที่ประกอบด้วยโขดหินไม่ราบเรียบ มีซอกและแอ่งน้าเป็นที่กาบังคลื่นลมและ
หลบซ่อนตัว
 สัตว์ที่อาศัยบริเวณนี้ต้องคงทนต่อการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิ ความชื้น (การขึ้น-ลง
ของกระแสน้า)
 ได้แก่ แมลงสาบทะเล (ligio) หอยนางรม ลิ่นทะเล หอยหมวกเจ๊ก (limpets)
เพรียงหิน เม่นทะเล ดอกไม้ทะเล สาหร่ายสีแดง
ระบบนิเวศแหล่งน้าเค็ม
 หาดทราย (sandy beach)
 เป็นบริเวณชายฝั่งตั้งแต่รระดับน้าลงต่าสุดจนถึงระดับน้าขึ้นที่ละอองน้าเค็มสาดซัดไปถึง
(ขนาดเม็ดทรายและความลาดชันแตกต่างกัน)
 สิ่งมีชีวิตที่อยู่ในระบบนี้ต้องมีการปรับตัวมาก เพราะคลื่นซัดทรายในสภาพที่รุนแรง
 เช่น ปูลม เคลื่อนที่ได้รวดเร็วและมีเหงือกใหญ่ชุ่มชื้นอยู่เสมอทนความแห้งแล้งได้ดี พวก
หอยเสียบ หอยทับทิม ชอบฝังตัวหรือขุดรูอยู่ในทราย
ระบบนิเวศแหล่งน้าเค็ม
 แนวปะการัง (coral reef)
 ปะการังเป็นสัตว์ไม่ใช่พืชสืบพันธุ์ด้วยการแตกหน่อเชื่อมติดกันมีสารหินปูนห่อหุ้มลาตัว
กลุ่มก้อนปะการังที่สวยงามมาก
 ได้แก่ ปะการังเขากวาง ปะการังสมอง ปะการังเห็ด ปะการังต้นไม้ ฯลฯ
 เป็นแหล่งที่ให้ความอุดมสมบูรณ์ทางด้านอาหาร ที่อยู่อาศัย แหล่งอนุบาลตัวอ่อนของ
สัตว์น้าแต่ละชนิด เป็นระบบนิเวศที่มีความหลากหลายและให้ผลผลิตสูงมากในทะเล
ระบบนิเวศแหล่งน้าเค็ม
ระบบนิเวศบนบก
 ระบบนิเวศป่าไม้ : ป่าไม้เป็นทรัพยากรธรรมชาติที่สาคัญยิ่งของประเทศ เป็นแหล่งรวม
พันธุ์ไม้และสัตว์ป่าชนิดต่างๆ เป็นแหล่งต้นน้าลาธาร ช่วยควบคุมอุณหภูมิ ผลิตก๊าซ
ออกซิเจน และก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ทาให้ฝนตกตามฤดูกาล
ป่าไม่ผลัดใบ (Evergeen forest) ได้แก่ ป่าดิบชื้น (Tropical rain forest) ,ป่าดิบแล้ง (Dry
evergreen forest) ,ป่าดิบเขา (Hill evergreen forest) ,ป่าสน (Coniferous forest) ,ป่า
ชายเลน (Mangrove swamp forest) ,ป่าพรุ (Peat Swamp)
ป่าผลัดใบ (Deciduous Forest) ได้แก่ ป่าเบญจพรรณ ,ป่าแดง ป่าแพะ หรือป่าเต็งรัง ,ป่า
หญ้า
ป่าไม่ผลัดใบ (EVERGEEN FOREST)
1. ป่าดิบชื้น (Tropical rain forest)
 พบทุกภาคของประเทศ และมากที่สุดแถบชายฝั่งภาคตะวันออก เช่น ระยอง จันทบุรี
และที่ภาคใต้
 กระจัดกระจายตามความสูงตั้งแต่ 0 - 100 เมตรจากระดับน้าทะเล
 มีปริมาณน้าฝนตกมากกว่าภาคอื่น ๆ
 ลักษณะทั่วไปมักเป็นป่ารกทึบ ประกอบด้วยพันธุ์ไม้มากมายหลายร้อยชนิด ต้นไม้
ส่วนใหญ่เป็นวงศ์ยาง ไม้ตะเคียน กะบาก อบเชย จาปาป่า ส่วนที่เป็นพืชชั้นล่างจะ
เป็นพวกปาล์ม ไผ่ ระกา หวาย บุกขอน เฟิร์น มอส กล้วยไม้ป่าและ เถาวัลย์ชนิด
ต่างๆ
2. ป่าดิบแล้ง (Dry evergreen forest)
 พบตามภาคต่าง ๆ ของประเทศ ตามที่ราบเรียบหรือตามหุบเขา
 ความสูงจากระดับน้าทะเลประมาณ 500 เมตร
 ปริมาณน้าฝน 1,000 - 1,500 ม.ม.
 พันธุ์ไม้ที่สาคัญ เช่น ยางแดง มะค่าโมง เป็นต้น พื้นที่ป่าชั้นล่างจะไม่หนาแน่นและ
ค่อนข้างโล่งเตียน
ป่าไม่ผลัดใบ (EVERGEEN FOREST)
 3. ป่าดิบเขา (Hill Evergreen Forest)
 อยู่สูงจากระดับน้าทะเล ตั้งแต่ 1,000 เมตรขึ้นไป
 ส่วนใหญ่อยู่บนเทือกเขาสูงทางภาคเหนือ ภาคกลาง และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เช่นที่
อุทยานแห่งชาติทุ่งแสลงหลวง และ อุทยานแห่งชาติน้าหนาว เป็นต้น
 มีปริมาณน้าฝนระหว่าง 1,000 ถึง 2,000 ม.
 พืชที่สาคัญได้แก่ไม้วงศ์ก่อ เช่น ก่อสีเสียด ก่อตาหมูน้อย อบเชย
 มีป่าเบจพรรณด้วย บางทีก็มีสนเขาขึ้นปะปนอยู่ด้วย ส่วนไม้พื้นล่างเป็นพวกเฟิร์น กล้วยไม้ดิน
มอส ต่าง ๆ
 ป่าชนิดนี้มักอยู่บริเวณต้นน้าลาธาร
ป่าไม่ผลัดใบ (EVERGEEN FOREST)
 4. ป่าสน (Coniferous Forest) : ป่าไทกา ป่าบอเรียล
 กระจายอยู่เป็นหย่อม ๆ ตามภาคเหนือ เช่น จังหวัดเชียงใหม่ แม่ฮ่องสอน ลาปาง และที่
ภาคตะวันออกเฉียงเหนือที่จังหวัดเลย
 ระดับความสูงจากน้าทะเลตั้งแต่ 200 เมตรขึ้นไป
 ป่าสนมักขึ้นในที่ดินไม่อุดมสมบูรณ์ เช่น สันเขาที่ค่อนข้างแห้งแล้ง
 ประเทศไทยมีสนเขาเพียง 2 ชนิดเท่านั้น คือสนสองใบและสนสามใบ และพวกก่อต่าง ๆ
ขึ้นปะปนอยู่ พืชชั้นล่างมีพวกหญ้าต่าง ๆ
ป่าไม่ผลัดใบ (EVERGEEN FOREST)
 5. ป่าพรุ (Swamp Forest, Peat Swamp Forest)
 เป็นสังคมป่าที่อยู่ถัดจากบริเวณสังคมป่าชายเลน
 เป็นพื้นที่ลุ่มที่มีการทับถมของซากพืชและอินทรียวัตถุที่ไม่สลายตัว และมีน้าท่วมขังหรือชื้นแฉะ
ตลอดปี
 พบในจังหวัดนราธิวาส นครศรีธรรมราช ชุมพร
 พื้นที่ส่วนใหญ่ถูกบุกรุกทาลายเพื่อเปลี่ยนแปลงสภาพเป็นสวนมะพร้าว นาข้าว และบ่อเลี้ยงกุ้งเลี้ยง
ปลา
 ป่าพรุโต๊ะแดง ที่นราธิวาสเป็นป่าพรุที่สมบูรณ์ที่สุด
ป่าไม่ผลัดใบ (EVERGEEN FOREST)
ป่าไม่ผลัดใบ (EVERGEEN FOREST)
 6. ป่าชายเลน (Mangrove Swamp Forest)
 พบตามชายฝั่งทะเลที่มีดินโคลน และน้าทะเลท่วมถึง
 เช่น ตามชายฝั่งตะวันตก ตั้งแต่ระนองถึงสตูล
 แหล่งอนุบาลตัวอ่อนของสัตว์น้าจาพวก กุ้ง หอย ปู ปลา
 ไม้ที่สาคัญเช่น ไม้โกงกางใบเล็ก โกงกางใบใหญ่ แสม ลาพู โพทะเล เป็นต้น
ป่าผลัดใบ (DECIDUOUS FOREST)
 เป็นสังคมที่ประกอบไปด้วยพรรณพืชที่ผลัดใบหรือทิ้งใบ
 การผลัดเปลี่ยนใบจะใช้เวลาค่อนข้างยาวนาน
 สังคมพืชกลุ่มนี้มีประมาณ 70 % ของเนื้อที่ป่าของประเทศไทย
 แบ่งเป็นชนิดย่อย ๆ คือ
1. ป่าเบญจพรรณ มีอยู่ทั่วไปตามภาคต่าง ๆ ของประเทศ
 ดินเป็นได้ตั้งแต่ดินเหนียว ดินร่วน จนถึงดินลูกรัง
 ปริมาณน้าฝนไม่เกิน 1,000 มิลลิเมตร ต่อปี
 เป็นสังคมพืชที่มีความหลากหลายมาก
 จะผลัดใบมากในฤดูแล้ง
 พรรณไม้หลัก เช่น สัก มะค่า แดง ประดู่ และชิงชัน
 2. ป่าเต็งรัง มีอยู่ทั่วไปตามภาคต่าง ๆ ของประเทศ
 ดินมักเป็นดินทรายและดินลูกรัง
 มีปริมาณน้าฝนไม่เกิน 1,000 มิลลิเมตรต่อปี
 พรรณไม้ที่ขึ้นมักเป็นชนิดที่ทนแล้งทนไฟป่า เช่น เต็ง รัง พลวง มะขามป้ อม มะกอก
ผักหวาน ฯลฯ เป็นต้น
 พืชชั้นล่างส่วนใหญ่เป็นพวกหญ้า ไผ่ต่าง ๆ พบมากที่สุดคือไผ่เพ็กหรือหญ้าเพ็ก พวกปรง
พวกขิง ข่า เป็นต้น
ป่าผลัดใบ (DECIDUOUS FOREST)
3. ป่าหญ้า เป็นป่าที่เกิดภายหลังจากที่ป่าธรรมชาติอื่น ๆ ได้ถูกทาลายไป
 ดินมีสภาพเสื่อมโทรม จนไม้ต้นไม่อาจเจริญงอกงามต่อไปได้
 หญ้าต่าง ๆ จึงเข้ามาแทนที่ พบได้ทางภาคเหนือ ภาคอีสาน
 เช่น แฝก หญ้าพง อ้อ เป็นต้น
 ไม้ต้นมีขึ้นกระจายห่าง ๆ กันบ้าง เช่น กระถินป่า ประดู่ ตานเหลือง และปรงป่า เป็นต้น ไม้เหล่านี้
ทนแล้งและทนไฟป่าได้ดี
ป่าผลัดใบ (DECIDUOUS FOREST)
ระบบนิเวศ = กลุ่มสิ่งมีชีวิต + แหล่งที่อยู่
 กลุ่มสิ่งมีชีวิต หมายถึง สิ่งมีชีวิตตังแต่ 2 ชนิด อยู่ร่วมกันต่างจากประชากร หมายถึง
สิ่งมีชีวิตชนิดเดียวอยู่ร่วมกัน
 สิ่งมีชีวิตต่างๆ ในระบบนิเวศต่างมีความสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน ดังนี
1. ผู้ผลิต = สร้างอาหารได้ โดยการสังเคราะห์ด้วยแสง เช่น พืช สาหร่าย หรือสังเคราะห์เคมี เช่น
แบคทีเรียสีเขียว
2. ผู้บริโภค = ไม่สามารถสร้างอาหารต้องบริโภคสิ่งมีชีวิตอื่นเป็นอาหาร ได้แก่ ผู้บริโภคสัตว์
ผู้บริโภคพืช ผู้บริโภคพืชและสัตว์เช่น วัว กวาง เสือ สิงโต มนุษย์
3. ผู้ย่อยสลายอินทรีย์สาร = ไม่สามารถสร้างอาหารได้ แต่ย่อยสลายอินทรีย์สารให้เป็นอนินทรีย์สาร
เป็นประโยชน์แก่พืช โดยการปล่อยน้าย่อยออกมา และดูดซึมสารอาหารเข้าสู่เซลล์ เช่น
แบคทีเรีย รา ยีตส์
การถ่ายทอดพลังงานและสารอาหารในระบบนิเวศ
 พลังงานจะสามารถถ่ายทอดได้เพียง 10% เท่านัน
( 90%จะถูกใช้ในกระบวนการดารงชีวิต ,เป็นพลังงานความร้อน และบางส่วนบริโภคไม่ได้
เช่น เปลือก กระดูก ขน เล็บ)
 การถ่ายทอดสารอาหารถึงผู้บริโภคล้าดับสูงสุด สารอาหารถูกสะสมในสิ่งมีชีวิตในรูปของ
อินทรียสารและเมื่อสิ่งมีชีวิตในระบบนิเวศตายจะเกิดการย่อยสลายโดยจุลินทรีย์ได้เป็นสา
รอนินทรีย์หมุนเวียนกลับไปยังผู้ผลิต
 พลังงานไม่สามารถหมุนเวียนได้ โดยมีผู้ย่อยสลายอินทรียสารเป็นผู้รับพลังงานขันสุดท้าย
1. พีระมิดจ้านวน เป็นแบบฐานกว้างหรือฐานแคบได้ขึนอยู่กับห่วงโซ่อาหาร
2. พีระมิดมวลชีวภาพ หรือน้าหนักแห้ง เป็นแบบฐานกว้างหรือฐานแคบได้ขึนกับห่วงโซ่อาหาร
3. พีระมิดของพลังงาน ที่ถ่ายทอดได้เพียง 10% จึงมีลักษณะฐานกว้างอย่างเดียว
พีระมิดทางนิเวศวิทยา (Ecological Pyramid) การเขียนเพื่อแสดงความสัมพันธ์ของสิ่งมีชีวิตในแต่
ละล้าดับขันของห่วงโซ่อาหาร โดยเริ่มจากผู้ผลิตจนกระทั่งผู้บริโภคสูงสุด
การสะสมสารพิษในสิ่งมีชีวิต
BIOLOGICAL MAGNIFICATION
O-NET 49
ความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งมีชีวิตกับปัจจัยทางกายภาพ
1. อุณหภูมิ
1.1 ปฏิกิริยาเคมีในร่างกาย: เอนไซม์เป็นตัวควบคุมอัตราการเกิดโดยปกติอุณหภูมิที่เหมาะแก่การทางานของเอนไซม์
จะอยู่ระหว่าง 25-40 องศาเซลเซียส (ไม่เสียสภาพ)
1.2 เปลี่ยนแปลงทางสรีรวิทยา คือ กลไกในการปรับอุณหภูมิ เช่น สัตว์เลือดอุ่นจะมีการปรับอุณหภูมิร่างกายให้คงที่
1.3 พฤติกรรมการอพยพ เช่น นกปากห่างอพยพมาจากเขตหนาวมาไทย ซึ่งเป็นเขตที่อบอุ่น
1.4 ปริมาณ O2 ที่ละลายในนาจะลดลงเมื่ออุณหภูมิสูงขึน ทาให ้สิ่งมีชีวิตในนาลดลง
2. แสง
2.1 การสังเคราะห์ด้วยแสง (อาหาร) ของพืชมากขึนถ้าแสงมีความเข้มมาก
2.2 พฤติกรรมการดารงชีวิต การออกหากินในเวลากลางวัน/กลางคืน เช่น นกเค้าแมว ค้างคาว ผีเสือกลางคืน
2.3 การหุบบานของดอกไม้ เช่น ดอกบัวจะบานในเวลาเช้า
ความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งมีชีวิตกับปัจจัยทางกายภาพ
3. น้้ำและควำมชื้น
3.1 การแพร่กระจายพันธุ์พืช เช่น เขตที่มีความชืนสูงจะมีความหลากหลายของสิ่งมีชีวิตมากกว่าเขตแห้งแล้ง
3.2 ปฏิกิริยาเคมี เช่น ปฏิกิริยาการย่อยอาหารต้องใช้นา
4. ดิน
4.1 แหล่งแร่ธาตุอาหารของพืช ทาให้พืชเจริญเติบโต
4.2 แหล่งที่อยู่อาศัยของสิ่งมีชีวิต
5. ควำมเป็นกรด-เบสของดินและน้้ำ
5.1 สิ่งมีชีวิตจะอาศัยอยู่ในดิน และแหล่งนาที่มีความเป็นกรด-เบสเหมาะสม (เจริญเติบโตและดารงชีวิตอยู่ได้)
5.2 ความเป็นกรด-เบสของดินและนาจะขึนอยู่กับปริมาณของแร่ธาตุที่ละลายปะปนอยู่
ความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งมีชีวิต
การปรับตัว (Adaptation) เพื่อดารงชีวิตและเผ่าพันธุ์ มี 3 แบบ ได้แก่
1. การปรับตัวทางด้านโครงสร้าง (รูปร่าง) เช่น
1.1 หมีขัวโลกหรือสัตว์ในเขตหนาวมีขนยาวปกคลุม และมีชันไขมันใต้ผิวหนังป้องกันความหนาว
1.2 จระเข้ผิวลาตัวเป็นเกล็ด ป้องกันการสูญเสียนาออกจากร่างกาย
1.3 โกงกางและพืชป่าชายเลน มีใบอวบนาเพื่อเก็บนาจืดและผลจะงอกตังแต่อยู่บนต้นเพื่อป้องนาพัด
1.4 ผักตบชวา มีกระเปาะเก็บอากาศ ช่วยให้ลอยนาได้
2. การปรับตัวทางด้านสรีระ (การทางานอวัยวะ) เช่น
2.1 การขับเหงื่อเพื่อลดอุณหภูมิร่างกาย
2.2 สัตว์เลือดอุ่นผลิตฮอร์โมนเพศการสืบพันธุ์เพิ่มขึน เมื่อปริมาณแสงต่อวันลดลง (เริ่มผสมพันธุ์ในฤดูใบไม้ร่วง)
2.3 หนูแกงการู อยู่ในทะเลทรายจะกินอาหารเป็นเมล็ดพืชที่แห้งและไม่ดื่มนาเลยแต่ได้จากเมแทบอลิซึม (อูฐ)
3. การปรับตัวทางด้านพฤติกรรม (ลักษณะนิสัย)
3.1 สัตว์ทะเลทรายออกหากินในเวลากลางคืน
3.2 การอพยพย้ายถิ่นฐานของนกจากเขตหนาวมาเขตอบอุ่น
3.3 สัตว์ป่ากินดินโป่งที่มีแร่ธาตุอาหารที่จาเป็นต่อการดารงชีวิต
 การปรับตัว (Adaptation)
 แร่ธาตุ และสารต่างๆ ในระบบนิเวศเป็นสิ่งจ้าเป็นในการด้ารงชีวิตของ
สิ่งมีชีวิต เช่น คาร์บอน ไฮโดรเจน ออกซิเจน ไนโตรเจน และฟอสฟอรัส เป็นต้น
 สารต่างๆ เหล่านีล้วนเป็นองค์ประกอบของโมเลกุลที่ส้าคัญในเซลล์สิ่งมีชีวิต เรียกว่า ชีวโมเลกุล
(biomolecules) เช่น ลิพิด โปรตีน คาร์โบไฮเดรต และกรดนิวคลีอิก
 ธาตุที่เป็นองค์ประกอบหลักเหล่านี มีการหมุนเวียนผ่านโซ่อาหารเป็นวัฏจักรเรียกว่า วัฏจักรสาร
(material cycle)
 วัฏจักรคาร์บอน พบในสารอินทรีย์ทุกชนิด
และหมุนเวียนผ่านหายใจและ
การสังเคราะห์ด้วยแสงในรูปแก๊ส CO2
 วัฏจักรไนโตรเจน องค์ประกอบของโปรตีนในสิ่งมีชีวิต โดยมีการหมุนเวียนผ่านพืช
สัตว์ และจุลินทรีย์
 วัฏจักรฟอสฟอรัส องค์ประกอบของกระดูก ฟันและสารพันธุกรรม และไม่พบการหมุนเวียนสู่
บรรยากาศ
 วัฏจักรก้ามะถันมีส้าคัญในการสังเคราะห์โปรตีนหลายชนิด ส่วนใหญ่สลายตัวของ
สารอินทรีย์มักอยู่ในรูปของสารประกอบซัลเฟอร์ไดออกไซด์ ไฮโดรเจนซัลไฟด์ และซัลเฟต
 วัฏจักรน้า มีมากในสิ่งมีชีวิตทุกชนิด ความส้าคัญ เช่น น้าช่วยล้าเลียงสารต่างๆ เป็น
ตัวกลางในการท้าปฏิกิริยา รักษาสมดุลของอุณหภูมิ
การเปลี่ยนแปลงแทนที่ทางนิเวศวิทยา = กลุ่มสิ่งมีชีวิตในที่ใดที่หนึ่งถูกแทนที่โดยกลุ่มใหม่อยู่เรื่อยๆ และจะหยุดลง
เมื่อสิ่งแวดล้อมไม่เปลี่ยนแปลงอีกต่อไปหรือคงตัว = กลุ่มสิ่งมีชีวิตขันสุด มี 2 แบบ
1. การเปลี่ยนแปลงแทนที่แบบปฐมภูมิ จากบริเวณที่ไม่เคยมีสิ่งมีชีวิตอยู่ก่อนเลยต่อมามีปรากฏขึนพวกแรก
(ผู้บุกเบิก)
ที่ว่าง → ไลเคน (Pioneer Species) → มอส ลิเวอร์เวิร์ต → ไม้พุ่ม → ไม้ยืนต้น → กลุ่มสิ่งมีชีวิตขันสุด
2. การเปลี่ยนแปลงแทนที่แบบทุติยภูมิ จากบริเวณที่มีสิ่งมีชีวิตขันสุดจากปฐมภูมิแล้วและถูกทาลาย จึงเกิดการ
เปลี่ยนแปลงแทนที่ เช่น เกิดไฟไหม้ป่า เกิดโรคระบาด ทาให้เสียสมดุล
 ประชากร หมายถึง สิ่งมีชีวิตชนิดเดียวกันที่อาศัยอยู่ในบริเวณเดียวกันในระยะเวลาใดเวลาหนึ่ง
N = จานวนประชากร A = พืนที่หรือปริมาตร
 การแพร่กระจายประชากร เนื่องจากสิ่งแวดล้อม ได้แก่
 ปัจจัยทางกายภาพ เช่น ความสูงจากระดับนาทะเล อุณหภูมิ แสง ความชืน และกรด-เบส
 ปัจจัยทางชีวภาพ เช่น สิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่ร่วมกันที่มีการแก่งแย่งแข่งขัน แย่งปัจจัยในการ
ดารงชีวิต
ควรรู้ไว้
 อัตราการเกิดเชิงประเมิน หมายถึง จานวนสิ่งมีชีวิตที่เกิดต่อจานวนสิ่งมีชีวิต 1,000 หน่วยใน
ประชากรนั้นในรอบปี เขียนแทนสูตรได้เป็น
 อัตราการตายเชิงประเมิน หมายถึง จานวนสิ่งมีชีวิตที่ตายต่อจานวนสิ่งมีชีวิต 1,000 หน่วยใน
ประชากรนั้นในรอบปี เขียนแทนสูตรได้เป็น
P = p
M m
ตัวอย่างเช่น นักเรียนจับหอยทากมาท้าเครื่องหมายทังหมด 10
ตัวแล้วปล่อยกลับคืน อีก 1 อาทิตย์ต่อมาจับหอยทากมาได้
ทังหมด 50 ตัว พบว่ามีหอยทากที่ท้าเครื่องหมาย 5 ตัว จงหา
จ้านวนของประชากรหอยทากนี
P = 50
10 5
การเพิ่มจานวนของประชากร
- แบบเอ็กโพเนนเชียล (exponential growth) หรือแบบทวีคูณนัน พบได้ในสิ่งมีชีวิตที่มีการสืบพันธุ์เพียง
ครังเดียวในช่วงชีวิตในแต่ละรุ่น ดังเช่นพวกแมลงต่างๆ เมื่อตัวเมียวางไข่แล้วก็ตาย
-- แบบลอจิสติก (logistic growth) เป็นการเพิ่มจานวนประชากรที่ขึนอยู่กับสภาพแวดล้อม หรือมีตัว
ต้านทานในสิ่งแวดล้อมเข้ามาเกี่ยวข้อง : แครีอิงคาพาซิตี (carrying capacty)
 สิ่งมีชีวิตแต่ละชนิดจะมีแบบแผนการรอดชีวิตของประชากรซึ่งขึนอยู่กับช่วงอายุขัย
(life span) ในช่วงวัยต่างๆ กันท้าให้ความหนาแน่นแตกต่างกันด้วย เรียกว่า กราฟ
การรอดชีวิตของประชากร
เช่น คน ช้าง ม้า สุนัข เป็นต้น
เช่น ไฮดรา นก เต่า เป็นต้น
เช่น ปลา หอย invert ส่วนใหญ่ เป็นต้น
โครงสร้างประชากรของมนุษย์
 แบบ ก ฐานกว้าง ยอดแหลม แสดงว่าประชากรเพิ่มขึนรวดเร็ว พบในกัวเตมาลา เคนยา ไนจีเรีย
 แบบ ข รูปกรวย ปากแคบ แสดงว่าประชากรเพิ่มขึนช้าๆ เช่น อเมริกา ออสเตรเลีย แคนาดา ไทย
 แบบ ค ระฆังคว่้า แสดงว่าประชากรมีขนาดคงที่ เช่น สเปน เดนมาร์ก ออสเตรีย อิตาลี
 แบบ ง รูปดอกบัวตูม แสดงว่าประชากรลดลง เช่น สิงคโปร์ เยอรมัน สวีเดน ฮังการี บัลกาเรีย
Eutrophication หรือ Algal
bloom เกิดเมื่อมีสารประกอบไน
เตรตและฟอสเฟตสะสมในแหล่งน้า
เป็นปริมาณมาก
การท้าลายโอโซนในชันบรรยากาศปรากฏการณ์เรือนกระจก
ทรัพยากรน้า
 เป็นทรัพยากรที่มีความสาคัญต่อสิ่งมีชีวิตทุกชนิด สิ่งมีชีวิตใช้ประโยชน์จากทรัพยากรนาเพื่อดารงชีวิตด้านต่างๆ เช่น เป็นที่
อยู่อาศัยและแพร่พันธุ์แบ่งออกเป็น 3 แหล่งใหญ่ ได้แก่
1. หยาดนาฟ้า 2. นาผิวดิน 3. นาใต้ดิน
(น้้ำในมหำสมุทร 97.41% ,น้้ำจืด 2.59% : ใช้ประโยชน์ได้ 0.014% ,น้้ำแข็งและภูเขำน้้ำแข็ง 1.984% และน้้ำใต้ดิน 0.592%)
ทรัพยากรดิน
 ดินป็นทรัพยากรที่เกิดขึนตามธรรมชาติประเภทที่ใช้แล้วเกิดทดแทนได้ และเป็นทรัพยากรพืนฐานที่มีความสัมพันธ์กับ
ทรัพยากรธรรมชาติอื่นๆ จาแนกตามลักษณะเนือดินได้ 3 ชนิด คือ
1. ดินเหนียว 2. ดินร่วน 3. ดินทราย
ทรัพยากรอากาศ
 อากาศจัดเป็นทรัพยากรธรรมชาติที่ไม่มีวันหมดสินและเป็นทรัพยากรที่มีความจาเป็นต่อการดารงชีวิตของสิ่งมีชีวิตทุกชนิด
องค์ประกอบของอากาศ ได้แก่
1. แก๊สไนโตรเจน 78%
2. แก๊สออกซิเจน 21%
3. แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ 0.03%
4. แก๊สอื่นๆ 0.07%
พิษตะกั่ว (โลหิตจาง,ปวดท้องรุงแรง) ,พิษปรอท (มินามาตะ : ประสาท) พิษแคดเมียม (อิไต อิไต : กระดูก)
สัดส่วนขององค์ประกอบของดิน
ชันของดินแสดงตามภาคตัดขวางของดิน
ทรัพยากรป่าไม้
 เป็นประเภทที่ใช้แล้วเกิดทดแทนได้มีประโยชน์ต่อสิ่งมีชีวิตและสิ่งแวดล้อม (ความหลากหลายทางชีวภาพ
เอืออานวยต่อปัจจัยสี่ ต้นนาลาธาร รักษาระดับอุณหภูมิโลก ควบคุมปริมาณนาฝน อนุรักษ์ดินและนาและเป็นแหล่ง
ที่อยู่อาศัยของสัตว์ป่า ในประเทศไทย แบ่งเป็น 2 ประเภท คือ
 ป่าดงดิบหรือป่าไม่ผลัดใบ (Evergeen forest) เป็นระบบนิเวศน์ของป่าไม้ชนิดที่ประกอบด้วยพันธุ์ไม้ชนิดไม่ผลัด
ใบคือมีใบเขียวตลอดเวลา แบ่งออกเป็น 4 ชนิด คือ
1. ป่าดิบเมืองร้อน (Tropical evergreen forest)
2. ป่าสน (Coniferous forest)
3. ป่าพรุหรือป่าบึง (Swamp forest)
4. ป่าชายหาด (Beach forest)
 ป่าผลัดใบ (Deciduous Forest) เป็นระบบนิเวศน์ป่าชนิดที่ประกอบด้วยพันธุ์ไม้ชนิดผลัดใบหรือทิงใบเก่าในฤดู
แล้ง เพื่อจะแตกใบใหม่เมื่อเข้าฤดูฝน ยกเว้นพืชชันล่างจะไม่ผลัดใบ จะพบป่าชนิดนีตังแต่ระดับความสูง 50-800
เมตร เหนือระดับนาทะเล แบ่งออกเป็น 3 ประเภท คือ
1. ป่าเบญจพรรณ
2. ป่าแดง ป่าแพะ หรือป่าเต็งรัง
3. ป่าหญ้า
การกาหนดเขตพื้นที่ป่ าไม้
1. อุทยานแห่งชาติ หมายถึง “ที่ดินซึ่งรวมทังพืนที่ดินทั่วไป ภูเขา ห้วย หนอง คลอง บึง บาง ล้าน้า ทะเลสาบ
เกาะ และชายฝั่งที่ได้รับการก้าหนดให้เป็น อุทยานแห่งชาติ ลักษณะที่ดินดังกล่าวเป็นที่ที่มีสภาพธรรมชาติที่
น่าสนใจ และมิได้อยู่ในกรรมสิทธิ์หรือครอบครองโดยชอบด้วยกฎหมาย ของบุคคลใดซึ่งมิใช่ทบวงการเมือง
ทังนีการก้าหนดดังกล่าวก็เพื่อให้คงอยู่ในสภาพเดิม เพื่อสงวนไว้ให้เป็นประโยชน์แก่การศึกษาและ ความ
รื่นรมย์ของประชาชนสืบไป”
2. วนอุทยาน หมายถึง พืนที่ขนาดเล็ก จัดตังขึนเพื่อจุดประสงค์ส้าหรับการพักผ่อนหย่อนใจ โดยจะท้าการ
ปรับปรุงตกแต่ง สถานที่เหล่านีให้เหมาะสม มีความสวยงามและโดดเด่นในระดับท้องถิ่น จุดเด่นอาจจะ
ได้แก่ น้าตก หุบเหว หน้าผา ถ้า หรือ หาดทราย เป็นต้น
3. สวนพฤกษศาสตร์ เป็นสวนที่มีการรวบรวม และรักษาไว้ซึ่งพืช ที่ได้จ้าแนกหมวดหมู่ทางวิทยาศาสตร์ไว้
อย่างเป็นระเบียบ ส่วนมากจะมีการลงข้อมูลและติดป้ายชื่อไว้ และเปิดให้สาธารณชนเข้าชม เพื่อประโยชน์
ในการพักผ่อนหย่อนใจ การศึกษาและวิจัย
4. สวนรุกขชาติ คือ แหล่งรวบรวมพรรณไม้ของท้องถิ่นที่มีค่าทางเศรษฐกิจ รวมทังดอกไม้ที่มีในท้องถิ่นต่างๆ
ส้าหรับศึกษาด้านพันธุ์ไม้สวยงาม และเป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจ
5. เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า หมายถึง พืนที่ที่ก้าหนดขึนเพื่อให้เป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์ป่าโดยปลอดภัย เพื่อว่าสัตว์
ป่าในพืนที่ดังกล่าว จะได้มีโอกาสสืบพันธุ์และขยายพันธุ์ตามธรรมชาติได้มากขึน ท้าให้สัตว์ป่าบางส่วนมี
โอกาสกระจายจ้านวนออกไปในท้องที่แหล่งอื่น ๆ ที่อยู่ใกล้เคียง
การกาหนดเขตพื้นที่ป่ าไม้
6. พืนที่อนุรักษ์ธรรมชาติ หมายถึงพืนที่ธรรมชาติ เช่น เกาะ แก่ง ภูเขา ทะเลสาบ ซากดึกด้าบรรพ์ที่ควร
อนุรักษ์ไว้เพื่อประโยชน์ต่อเศรษฐกิจและสังคม
7. พืนที่สงวนชีวาลัย หมายถึง พืนที่ที่ก้าหนดขึนเพื่อรักษาความหลากหลายทางพันธุกรรมของพืชและสัตว์
เพื่อเป็นแหล่งศึกษาวิจัยทางด้านวิทยาศาสตร์
8. พืนที่มรดกโลก คือสถานที่ อันได้แก่ ป่าไม้ ภูเขา ทะเลสาบ ทะเลทราย อนุสาวรีย์ สิ่งก่อสร้างต่างๆ รวมไป
ถึงเมือง ซึ่งคัดเลือกโดยองค์การยูเนสโกตังแต่ปี พ.ศ. 2515 เพื่อเป็นการบ่งบอกถึงคุณค่าของสิ่งที่
มนุษยชาติ หรือธรรมชาติได้สร้างขึนมา และควรจะปกป้องสิ่งเหล่านันได้อย่างไร เพื่อให้ได้ตกทอดไปถึง
อนาคต
@ ประเทศไทยมี 4 แห่ง โดย 3 แห่งแรกเป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรม ได้แก่ เมืองประวัติศาสตร์สุโขทัยและ
เมืองบริวาร นครปประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยาและเมืองบริวาร แหล่งโบราณคดีบ้านเชียง และอีก
แห่งเป็นแหล่งมรดกโลกทางธรรมชาติ ได้แก่ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวรและห้วยขาแข้ง
จังหวัดอุทัยธานี
9. ป่าชายเลนอนุรักษ์ หมายถึง ป่าชายเลนที่สงวนไว้เพื่อสภาพแวดล้อมและระบบนิเวศ เป็นแหล่งเพาะพันธุ์
พืชและสัตว์น้าเศรษฐกิจ
การกาหนดเขตพื้นที่ป่าไม้
ทรัพยากรสัตว์ป่า
เป็นประเภทที่ใช้แล้วเกิดทดแทนได้ปัจจุบันพบว่าจานวนลดลงและมีแนวโน้มลดลงเรื่อยๆ เนื่องจากพืนที่ป่าไม้ซึ่ง
เป็นแหล่งที่อยู่อาศัย แหล่งหากิน และสืบพันธุ์ของสัตว์ป่าลดลง นอกจากนีการลดลงของสัตว์ป่ายังเกิดจากสาเหตุ
อื่นๆอีกที่มนุษย์เป็นผู้กระทา เช่น การล่าสัตว์ป่าเพื่อประโยชน์ทางด้านเศรษฐกิจ เป็นต้น
พระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2535
"สัตว์ป่า" ว่า "คือสัตว์ ทุกชนิด ไม่ว่า สัตว์บก สัตว์นา สัตว์ปีก แมลงหรือแมง ได้โดย สภาพ ธรรมชาติ ย่อมเกิด
และดารง ชีวิต อยู่ในป่า หรือในนา และให้ หมายความ รวมถึง ไข่ของสัตว์ ป่าเหล่า นันทุกชนิดด้วย แต่ไม่
หมำยควำม รวมถึง สัตว์พำหนะ ที่ได้ จดทะเบียน ท้ำตั๋ว รูปพรรณ ตำมกฎหมำย ว่ำด้วยสัตว์ พำหนะ แล้ว
และ สัตว์พำหนะ ที่ได้ มำจำก กำรสืบพันธุ์ ของสัตว์พำหนะ ดังกล่ำว" โดยแบ่งสัตว์ป่าไว้ 3 ประเภท คือ
1. สัตว์ป่าสงวน หมายถึง สัตว์ป่า ที่หายาก ซึ่งมีอยู่ ด้วยกัน 15 ชนิด คือ
(1) นกเจ้าฟ้าหญิงสิรินธร (2) แรด (3) กระซู่ (4) กูปรีหรือโคไพร (5) ควายป่า (6) ละอองหรือละมัง (7) สมัน
หรือเนือสมัน เคยมีในประเทศไทย แต่ปัจจุบันสูญพันธุ์แล้ว (8) เลียงผาหรือเยือหรือกูรา (9) กวางผา (10) นก
แต้วแล้วท้องดา (11) นกกระเรียน (12) แมวลายหินอ่อน (13) สมเสร็จ (14) เก้งหม้อ (15) พะยูนหรือหมูนา
(ห้ามล่า หรือห้ามมี ไว้ใน ครอบครอง ถือเป็น ความผิด เว้นแต่ ทาเพื่อ การศึกษา หรือวิจัย ทางวิชา การ หรือ
เพื่อ กิจการ สวนสาธารณะ ทังนี ต้องได้รับ อนุญาต จากอธิบดี กรมป่าไม้)
2. สัตว์ป่า คุ้มครอง ประเภทที่ 1
หมายถึง สัตว์ป่า ซึ่งคน ไม่ใช้ เนือเป็น อาหาร ไม่ล่า เพื่อการ กีฬา เป็นสัตว์ ที่ทาลาย ศัตรูพืช หรือขจัด สิ่ง
ปฏิกูล หรือเป็น สัตว์ป่า ที่ควร สงวนไว้ เพื่อประดับ ความงาม ตามธรรมชาต ิหรือสงวน ไว้เพื่อ ไม่ให้ ลด จานวน
ลง สัตว์ป่า ห้ามไม่ให้ ล่าด้วย วิธีทา ให้ตาย เว้นแต่ จะท้ำ เพื่อกำร ศึกษำ วิจัยทำง วิชำกำร สัตว์ป่า ประเภท นีมี
ด้วยกัน 166 รายการ ส่วนใหญ่ เป็นนก ได้แก่ นกกานา ทุกชนิด นกกระสา นกกระทาดง ไก่ฟ้า ทุกชนิด นกเค้า
แมวทุกชนิด นกเงือกทุกชนิด นกตีทอง ฯลฯ นอกนัน ได้แก่ ค่างทุกชนิด ชะนีทุกชนิด ชะมด บ่าง แมวป่า ลิงลม
หรือนางอาย ลิงทุกชนิด สมเสร็จ เสือลายเมฆ เสือไฟ เสือปลา หมีขอ อีเห็น เป็นต้น
3. สัตว์ป่า คุ้มครอง ประเภทที่ 2
หมายถึง สัตว์ป่า ซึ่งตามปกติ คนใช้เนือ เป็นอาหาร หรือล่า เพื่อการกีฬา สัตว์ป่าประเภท นีมีทังหมด 23 รายการ
ด้วยกัน อาทิ กระทิง หรือเมย กระจงทุกชนิด กวาง วัวแดง หรือวัวดา หรือวัวเพลาะ เสือโครง เสือดาว หมีควาย
หรือหมีดา หมีหมา หรือหมีคน อีเก้ง หรือฟาน ส่วนใหญ่ เป็นสัตว์ ประเภท นกอีก เช่นเดียวกัน ได้แก่ นกกระสา
นกกระทา ไก่ป่า นกแขวก นกเป็ดนา นกปลาซ่อม ทุกชนิด นกพริก นกอีลุ้ม ฯลฯ ตามกฎหมำย อนุญำต ให้ล่ำได้
ให้มี ไว้ใน ครอบครอง ได้แต่ต้อง ได้รับ อนุญำต และมีใบอนุญำต ติดตัว อยู่ตลอด เวลำ
หลักการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ
1. การใช้แบบยั่งยืน (sustainable utilization) หมายถึง การใช้ทรัพยากรธรรชาติอย่างเหมาะสมให้ได้ประโยชน์สูงสุด
เมื่อใช้แล้วเกิดมลพิษน้อยสุดหรือไม่เกิดเลย หรือเมื่อเกิดของเสียและมลพิษในสิ่งแวดล้อมก็ต้องหาวิธีการบาบัด
กาจัด ให้คืนสภาพหรือรีไซเคิล เพื่อให้มลพิษในสิ่งแวดล้อมลดน้อยลง
2. การเก็บกัก (storage) หมายถึง การรวบรวมและเก็บกักทรัพยากรที่มีแนวโน้มจะขาดแคลนได้ เพื่อเอาไว้ใช้ในอนาคต
ซึ่งมีวัตถุประสงค์แตกต่างกันไป
3. การรักษาซ่อมแซม (repair) เมื่อทรัพยากรถูกทาลายโดยมนุษย์หรือโดยธรรมชาติก็ตามมีความจาเป็นที่จะต้องรักษา
หรือซ่อมแซมให้กลับเป็นปกติ
4. การฟื้นฟู (rehabilitation) เมื่อทรัพยากรธรรมชาติเกิดความเสื่อมโทรมไปไม่ว่าจะมากหรือน้อยก็ตาม จึงมีความ
จาเป็นที่จะต้องฟื้นฟูให้เป็นสภาพปกติเพื่อให้สามารถใช้ทรัพยากรได้อีก
5. การป้องกัน (prevention) การป้องกันเป็นวิธีการที่ปกป้องคุ้มครองทรัพยากรที่กาลังถูกทาลายหรือมีแนวโน้มว่าจะ
ถูกทาลายให้สามารถอยู่ในสภาพปกติได้
ชนิดพันธุ์ต่างถิ่นที่ส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศ
 เอเลียนสปีชีส์ หมายถึงสิ่งมีชีวิตที่เกิดขึนในที่ที่แตกต่างจากพืนที่การแพร่กระจายตามธรรมชาติ โดยสามารถจาแนก
ออกได้เป็น 2 ประเภท ตามบทบาทที่มีผลต่อระบบนิเวศ คือ
1. ชนิดพันธุ์ต่างถิ่นที่ไม่รุกราน จัดเป็นชนิดพันธุ์ต่างถิ่นที่ไม่มีผลกระทบต่อระบบนิเวศโดยตรง
2. ชนิดพันธุ์ต่างถิ่นที่รุกราน จัดเป็นชนิดพันธุ์ต่างถิ่นที่จะมาแทนที่พันธุ์พืนเมื่องเดิมที่มีอยู่ได้และยังสามารถขัดขาวงการ
เจริญของพันธุ์อื่นๆ ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อระบบนิเวศ
แนวทางและมาตรการในการป้องกัน
1. การระมัดระวัง
2. แนวทางบันไดสามขัน ได้แก่ 2.1 การป้องกัน 2.2 การสืบพบ 2.3 การกาจัด
3. แนวทางเชิงระบบนิเวศ
4. ความรับผิดชอบของคนในสังคม
5. การวิจัยและติดตาม
6. การให้การศึกษาและเสริมสร้างความตระหนักแก่สาธารณชน
“THE END”
THANK YOU FOR YOUR ATTENTION!

More Related Content

What's hot

โครงสร้างและหน้าที่ของใบ
โครงสร้างและหน้าที่ของใบโครงสร้างและหน้าที่ของใบ
โครงสร้างและหน้าที่ของใบThanyamon Chat.
 
Power point การถ่ายทอดทางพันธุกรรม
Power point   การถ่ายทอดทางพันธุกรรมPower point   การถ่ายทอดทางพันธุกรรม
Power point การถ่ายทอดทางพันธุกรรมThanyamon Chat.
 
แบบทดสอบย่อย เรื่องกล้องจุลทรรศน์
แบบทดสอบย่อย เรื่องกล้องจุลทรรศน์แบบทดสอบย่อย เรื่องกล้องจุลทรรศน์
แบบทดสอบย่อย เรื่องกล้องจุลทรรศน์Phattarawan Wai
 
วิวัฒนาการ
วิวัฒนาการวิวัฒนาการ
วิวัฒนาการWichai Likitponrak
 
ใบงานที่ 2 การจัดเรียงอิเล็กตรอน
ใบงานที่ 2 การจัดเรียงอิเล็กตรอนใบงานที่ 2 การจัดเรียงอิเล็กตรอน
ใบงานที่ 2 การจัดเรียงอิเล็กตรอนSukanya Nak-on
 
บทที่ 1 ชีวิตกับสิ่งแวดล้อม
บทที่ 1 ชีวิตกับสิ่งแวดล้อมบทที่ 1 ชีวิตกับสิ่งแวดล้อม
บทที่ 1 ชีวิตกับสิ่งแวดล้อมWichai Likitponrak
 
แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ๋ทางการเรียน หน่วย งานและพลังงาน
แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ๋ทางการเรียน    หน่วย งานและพลังงานแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ๋ทางการเรียน    หน่วย งานและพลังงาน
แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ๋ทางการเรียน หน่วย งานและพลังงานdnavaroj
 
การลำเลียงในพืช
การลำเลียงในพืชการลำเลียงในพืช
การลำเลียงในพืชพัน พัน
 
Aแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง การถ่ายโอนพลังงานความร้อน
Aแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง การถ่ายโอนพลังงานความร้อนAแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง การถ่ายโอนพลังงานความร้อน
Aแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง การถ่ายโอนพลังงานความร้อนkrupornpana55
 
บทที่ 2 เคมีที่เป็นพื้นฐานของสิ่งมีชีวิต
บทที่ 2  เคมีที่เป็นพื้นฐานของสิ่งมีชีวิตบทที่ 2  เคมีที่เป็นพื้นฐานของสิ่งมีชีวิต
บทที่ 2 เคมีที่เป็นพื้นฐานของสิ่งมีชีวิตPinutchaya Nakchumroon
 
โครงสร้างและหน้าที่ของราก
โครงสร้างและหน้าที่ของรากโครงสร้างและหน้าที่ของราก
โครงสร้างและหน้าที่ของรากThanyamon Chat.
 
ใบงานที่ 14สารพันธุกรรม
ใบงานที่ 14สารพันธุกรรมใบงานที่ 14สารพันธุกรรม
ใบงานที่ 14สารพันธุกรรมAomiko Wipaporn
 
ระบบหมุนเวียนเลือด
ระบบหมุนเวียนเลือดระบบหมุนเวียนเลือด
ระบบหมุนเวียนเลือดWan Ngamwongwan
 
แบบทดสอบความหลากหลายทางชีวภาพ
แบบทดสอบความหลากหลายทางชีวภาพแบบทดสอบความหลากหลายทางชีวภาพ
แบบทดสอบความหลากหลายทางชีวภาพyangclang22
 

What's hot (20)

โครงสร้างและหน้าที่ของใบ
โครงสร้างและหน้าที่ของใบโครงสร้างและหน้าที่ของใบ
โครงสร้างและหน้าที่ของใบ
 
Power point การถ่ายทอดทางพันธุกรรม
Power point   การถ่ายทอดทางพันธุกรรมPower point   การถ่ายทอดทางพันธุกรรม
Power point การถ่ายทอดทางพันธุกรรม
 
แบบทดสอบย่อย เรื่องกล้องจุลทรรศน์
แบบทดสอบย่อย เรื่องกล้องจุลทรรศน์แบบทดสอบย่อย เรื่องกล้องจุลทรรศน์
แบบทดสอบย่อย เรื่องกล้องจุลทรรศน์
 
วิวัฒนาการ
วิวัฒนาการวิวัฒนาการ
วิวัฒนาการ
 
ใบงานที่ 2 การจัดเรียงอิเล็กตรอน
ใบงานที่ 2 การจัดเรียงอิเล็กตรอนใบงานที่ 2 การจัดเรียงอิเล็กตรอน
ใบงานที่ 2 การจัดเรียงอิเล็กตรอน
 
บทที่ 1 ชีวิตกับสิ่งแวดล้อม
บทที่ 1 ชีวิตกับสิ่งแวดล้อมบทที่ 1 ชีวิตกับสิ่งแวดล้อม
บทที่ 1 ชีวิตกับสิ่งแวดล้อม
 
แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ๋ทางการเรียน หน่วย งานและพลังงาน
แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ๋ทางการเรียน    หน่วย งานและพลังงานแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ๋ทางการเรียน    หน่วย งานและพลังงาน
แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ๋ทางการเรียน หน่วย งานและพลังงาน
 
การลำเลียงในพืช
การลำเลียงในพืชการลำเลียงในพืช
การลำเลียงในพืช
 
Aแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง การถ่ายโอนพลังงานความร้อน
Aแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง การถ่ายโอนพลังงานความร้อนAแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง การถ่ายโอนพลังงานความร้อน
Aแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง การถ่ายโอนพลังงานความร้อน
 
บทที่ 2 เคมีที่เป็นพื้นฐานของสิ่งมีชีวิต
บทที่ 2  เคมีที่เป็นพื้นฐานของสิ่งมีชีวิตบทที่ 2  เคมีที่เป็นพื้นฐานของสิ่งมีชีวิต
บทที่ 2 เคมีที่เป็นพื้นฐานของสิ่งมีชีวิต
 
โครงสร้างและหน้าที่ของราก
โครงสร้างและหน้าที่ของรากโครงสร้างและหน้าที่ของราก
โครงสร้างและหน้าที่ของราก
 
ใบงานที่ 14สารพันธุกรรม
ใบงานที่ 14สารพันธุกรรมใบงานที่ 14สารพันธุกรรม
ใบงานที่ 14สารพันธุกรรม
 
ระบบหมุนเวียนเลือด
ระบบหมุนเวียนเลือดระบบหมุนเวียนเลือด
ระบบหมุนเวียนเลือด
 
แบบทดสอบความหลากหลายทางชีวภาพ
แบบทดสอบความหลากหลายทางชีวภาพแบบทดสอบความหลากหลายทางชีวภาพ
แบบทดสอบความหลากหลายทางชีวภาพ
 
5แบบทดสอบส่วนประกอบของเซลล์
5แบบทดสอบส่วนประกอบของเซลล์5แบบทดสอบส่วนประกอบของเซลล์
5แบบทดสอบส่วนประกอบของเซลล์
 
6.ชุด 3 การแพร่
6.ชุด 3 การแพร่6.ชุด 3 การแพร่
6.ชุด 3 การแพร่
 
การแยกสาร (Purification)
การแยกสาร (Purification)การแยกสาร (Purification)
การแยกสาร (Purification)
 
ระบบประสาท (Nervous System)
ระบบประสาท (Nervous System)ระบบประสาท (Nervous System)
ระบบประสาท (Nervous System)
 
12แบบทดสอบการแบ่งเซลล์
12แบบทดสอบการแบ่งเซลล์12แบบทดสอบการแบ่งเซลล์
12แบบทดสอบการแบ่งเซลล์
 
ไบโอม
ไบโอมไบโอม
ไบโอม
 

Viewers also liked

สอบกลางภาคชีวะ51 1
สอบกลางภาคชีวะ51 1สอบกลางภาคชีวะ51 1
สอบกลางภาคชีวะ51 1Wichai Likitponrak
 
สอบปลายภาคชีวะ51 2
สอบปลายภาคชีวะ51 2สอบปลายภาคชีวะ51 2
สอบปลายภาคชีวะ51 2Wichai Likitponrak
 
สอบปลายภาคชีวะ51 1m-5
สอบปลายภาคชีวะ51 1m-5สอบปลายภาคชีวะ51 1m-5
สอบปลายภาคชีวะ51 1m-5Wichai Likitponrak
 
สอบกลางภาคชีวะ51 2
สอบกลางภาคชีวะ51 2สอบกลางภาคชีวะ51 2
สอบกลางภาคชีวะ51 2Wichai Likitponrak
 
1.รับรู้ตอบสนอง
1.รับรู้ตอบสนอง1.รับรู้ตอบสนอง
1.รับรู้ตอบสนองWichai Likitponrak
 
สอบปลายภาคชีวะ51 1
สอบปลายภาคชีวะ51 1สอบปลายภาคชีวะ51 1
สอบปลายภาคชีวะ51 1Wichai Likitponrak
 
สอบกลางภาคชีวะ51 1m-5
สอบกลางภาคชีวะ51 1m-5สอบกลางภาคชีวะ51 1m-5
สอบกลางภาคชีวะ51 1m-5Wichai Likitponrak
 
สอบกลางภาคชีวะ51 2m-5
สอบกลางภาคชีวะ51 2m-5สอบกลางภาคชีวะ51 2m-5
สอบกลางภาคชีวะ51 2m-5Wichai Likitponrak
 
ยีนเเละโครโมโซม
ยีนเเละโครโมโซมยีนเเละโครโมโซม
ยีนเเละโครโมโซมWichai Likitponrak
 
พันธุเทคโน
พันธุเทคโนพันธุเทคโน
พันธุเทคโนWichai Likitponrak
 
สอบปลายภาคชีวะ51 2m.5
สอบปลายภาคชีวะ51 2m.5สอบปลายภาคชีวะ51 2m.5
สอบปลายภาคชีวะ51 2m.5Wichai Likitponrak
 
พันธุกรรมเพิ่ม
พันธุกรรมเพิ่มพันธุกรรมเพิ่ม
พันธุกรรมเพิ่มWichai Likitponrak
 

Viewers also liked (17)

Final1 m6 51
Final1 m6 51Final1 m6 51
Final1 m6 51
 
สอบกลางภาคชีวะ51 1
สอบกลางภาคชีวะ51 1สอบกลางภาคชีวะ51 1
สอบกลางภาคชีวะ51 1
 
สอบปลายภาคชีวะ51 2
สอบปลายภาคชีวะ51 2สอบปลายภาคชีวะ51 2
สอบปลายภาคชีวะ51 2
 
สอบปลายภาคชีวะ51 1m-5
สอบปลายภาคชีวะ51 1m-5สอบปลายภาคชีวะ51 1m-5
สอบปลายภาคชีวะ51 1m-5
 
สอบกลางภาคชีวะ51 2
สอบกลางภาคชีวะ51 2สอบกลางภาคชีวะ51 2
สอบกลางภาคชีวะ51 2
 
1.รับรู้ตอบสนอง
1.รับรู้ตอบสนอง1.รับรู้ตอบสนอง
1.รับรู้ตอบสนอง
 
Midterm2 m6 51
Midterm2 m6 51Midterm2 m6 51
Midterm2 m6 51
 
สอบปลายภาคชีวะ51 1
สอบปลายภาคชีวะ51 1สอบปลายภาคชีวะ51 1
สอบปลายภาคชีวะ51 1
 
Midterm1 m6 51
Midterm1 m6 51Midterm1 m6 51
Midterm1 m6 51
 
Final 2 m6 51
Final 2 m6 51Final 2 m6 51
Final 2 m6 51
 
สอบกลางภาคชีวะ51 1m-5
สอบกลางภาคชีวะ51 1m-5สอบกลางภาคชีวะ51 1m-5
สอบกลางภาคชีวะ51 1m-5
 
สอบกลางภาคชีวะ51 2m-5
สอบกลางภาคชีวะ51 2m-5สอบกลางภาคชีวะ51 2m-5
สอบกลางภาคชีวะ51 2m-5
 
ยีนเเละโครโมโซม
ยีนเเละโครโมโซมยีนเเละโครโมโซม
ยีนเเละโครโมโซม
 
พันธุเทคโน
พันธุเทคโนพันธุเทคโน
พันธุเทคโน
 
สอบปลายภาคชีวะ51 2m.5
สอบปลายภาคชีวะ51 2m.5สอบปลายภาคชีวะ51 2m.5
สอบปลายภาคชีวะ51 2m.5
 
พันธุกรรมเพิ่ม
พันธุกรรมเพิ่มพันธุกรรมเพิ่ม
พันธุกรรมเพิ่ม
 
ม.6biodiver
ม.6biodiverม.6biodiver
ม.6biodiver
 

Similar to ม.6 นิเวศ

ติวสอบเตรียมนิเวศสิ่งแวดล้อม
ติวสอบเตรียมนิเวศสิ่งแวดล้อมติวสอบเตรียมนิเวศสิ่งแวดล้อม
ติวสอบเตรียมนิเวศสิ่งแวดล้อมWichai Likitponrak
 
ชีวิตกับสิ่งแวดล้อม
ชีวิตกับสิ่งแวดล้อมชีวิตกับสิ่งแวดล้อม
ชีวิตกับสิ่งแวดล้อมKittiya GenEnjoy
 
ระบบนิเวศ
ระบบนิเวศระบบนิเวศ
ระบบนิเวศJira Boonjira
 
สิ่งแวดล้อม(ใช้โปรแกรมCaptivate)
สิ่งแวดล้อม(ใช้โปรแกรมCaptivate)สิ่งแวดล้อม(ใช้โปรแกรมCaptivate)
สิ่งแวดล้อม(ใช้โปรแกรมCaptivate)rdschool
 
สิ่งแวดล้อม(ใช้โปรแกรมCaptivate)
สิ่งแวดล้อม(ใช้โปรแกรมCaptivate)สิ่งแวดล้อม(ใช้โปรแกรมCaptivate)
สิ่งแวดล้อม(ใช้โปรแกรมCaptivate)rdschool
 
สิ่งแวดล้อม(ใช้โปรแกรมCaptivate)
สิ่งแวดล้อม(ใช้โปรแกรมCaptivate)สิ่งแวดล้อม(ใช้โปรแกรมCaptivate)
สิ่งแวดล้อม(ใช้โปรแกรมCaptivate)rdschool
 
โครงการปลูกป่าชายเลน1
โครงการปลูกป่าชายเลน1โครงการปลูกป่าชายเลน1
โครงการปลูกป่าชายเลน1nananattie
 
Biome ชีวะนิเวศน์
Biome ชีวะนิเวศน์Biome ชีวะนิเวศน์
Biome ชีวะนิเวศน์phrontip intarasakun
 
หน่วยที่ 2 ระบบนิเวศ
หน่วยที่ 2 ระบบนิเวศหน่วยที่ 2 ระบบนิเวศ
หน่วยที่ 2 ระบบนิเวศmaleela
 
หน่วยที่ 2 ระบบนิเวศ
หน่วยที่ 2 ระบบนิเวศหน่วยที่ 2 ระบบนิเวศ
หน่วยที่ 2 ระบบนิเวศcrunui
 
การแก้ไขปัญหาทรัพยากรป่าไม้
การแก้ไขปัญหาทรัพยากรป่าไม้การแก้ไขปัญหาทรัพยากรป่าไม้
การแก้ไขปัญหาทรัพยากรป่าไม้siwimon12090noonuch
 

Similar to ม.6 นิเวศ (20)

Biohmes55
Biohmes55Biohmes55
Biohmes55
 
ติวสอบเตรียมนิเวศสิ่งแวดล้อม
ติวสอบเตรียมนิเวศสิ่งแวดล้อมติวสอบเตรียมนิเวศสิ่งแวดล้อม
ติวสอบเตรียมนิเวศสิ่งแวดล้อม
 
ชีวิตกับสิ่งแวดล้อม
ชีวิตกับสิ่งแวดล้อมชีวิตกับสิ่งแวดล้อม
ชีวิตกับสิ่งแวดล้อม
 
Pw ecosystem
Pw ecosystemPw ecosystem
Pw ecosystem
 
ระบบนิเวศ
ระบบนิเวศระบบนิเวศ
ระบบนิเวศ
 
Ecology (2) 3
Ecology (2) 3Ecology (2) 3
Ecology (2) 3
 
สิ่งแวดล้อม(ใช้โปรแกรมCaptivate)
สิ่งแวดล้อม(ใช้โปรแกรมCaptivate)สิ่งแวดล้อม(ใช้โปรแกรมCaptivate)
สิ่งแวดล้อม(ใช้โปรแกรมCaptivate)
 
สิ่งแวดล้อม(ใช้โปรแกรมCaptivate)
สิ่งแวดล้อม(ใช้โปรแกรมCaptivate)สิ่งแวดล้อม(ใช้โปรแกรมCaptivate)
สิ่งแวดล้อม(ใช้โปรแกรมCaptivate)
 
สิ่งแวดล้อม(ใช้โปรแกรมCaptivate)
สิ่งแวดล้อม(ใช้โปรแกรมCaptivate)สิ่งแวดล้อม(ใช้โปรแกรมCaptivate)
สิ่งแวดล้อม(ใช้โปรแกรมCaptivate)
 
โครงการปลูกป่าชายเลน1
โครงการปลูกป่าชายเลน1โครงการปลูกป่าชายเลน1
โครงการปลูกป่าชายเลน1
 
Biome ชีวะนิเวศน์
Biome ชีวะนิเวศน์Biome ชีวะนิเวศน์
Biome ชีวะนิเวศน์
 
ความหลากหลายทางระบบนิเวศ
ความหลากหลายทางระบบนิเวศความหลากหลายทางระบบนิเวศ
ความหลากหลายทางระบบนิเวศ
 
1 ecosystem 1
1 ecosystem 11 ecosystem 1
1 ecosystem 1
 
ว30103
ว30103ว30103
ว30103
 
Ecosys 1 62_new
Ecosys 1 62_newEcosys 1 62_new
Ecosys 1 62_new
 
หน่วยที่ 2 ระบบนิเวศ
หน่วยที่ 2 ระบบนิเวศหน่วยที่ 2 ระบบนิเวศ
หน่วยที่ 2 ระบบนิเวศ
 
หน่วยที่ 2 ระบบนิเวศ
หน่วยที่ 2 ระบบนิเวศหน่วยที่ 2 ระบบนิเวศ
หน่วยที่ 2 ระบบนิเวศ
 
Ecosystem part 2
Ecosystem part 2Ecosystem part 2
Ecosystem part 2
 
การแก้ไขปัญหาทรัพยากรป่าไม้
การแก้ไขปัญหาทรัพยากรป่าไม้การแก้ไขปัญหาทรัพยากรป่าไม้
การแก้ไขปัญหาทรัพยากรป่าไม้
 
ecosystem
ecosystemecosystem
ecosystem
 

More from Wichai Likitponrak

บันทึกข้อความประเมินรับสมัครGS2565_ครูวิชัย
บันทึกข้อความประเมินรับสมัครGS2565_ครูวิชัยบันทึกข้อความประเมินรับสมัครGS2565_ครูวิชัย
บันทึกข้อความประเมินรับสมัครGS2565_ครูวิชัยWichai Likitponrak
 
บันทึกข้อความประเมินดับเพลิง2565_ครูวิชัย
บันทึกข้อความประเมินดับเพลิง2565_ครูวิชัยบันทึกข้อความประเมินดับเพลิง2565_ครูวิชัย
บันทึกข้อความประเมินดับเพลิง2565_ครูวิชัยWichai Likitponrak
 
บันทึกข้อความประเมินสอวนชีวะ2565_ครูวิชัย
บันทึกข้อความประเมินสอวนชีวะ2565_ครูวิชัยบันทึกข้อความประเมินสอวนชีวะ2565_ครูวิชัย
บันทึกข้อความประเมินสอวนชีวะ2565_ครูวิชัยWichai Likitponrak
 
บันทึกข้อความประเมินทัศนศึกษา2565_ครูวิชัย
บันทึกข้อความประเมินทัศนศึกษา2565_ครูวิชัยบันทึกข้อความประเมินทัศนศึกษา2565_ครูวิชัย
บันทึกข้อความประเมินทัศนศึกษา2565_ครูวิชัยWichai Likitponrak
 
SAR64-วิชัย(ชีววิทยา).pdf
SAR64-วิชัย(ชีววิทยา).pdfSAR64-วิชัย(ชีววิทยา).pdf
SAR64-วิชัย(ชีววิทยา).pdfWichai Likitponrak
 
การสำรวจพืช Globe tu64
การสำรวจพืช Globe tu64การสำรวจพืช Globe tu64
การสำรวจพืช Globe tu64Wichai Likitponrak
 
การสำรวจบรรยากาศ Globe tu64
การสำรวจบรรยากาศ Globe tu64การสำรวจบรรยากาศ Globe tu64
การสำรวจบรรยากาศ Globe tu64Wichai Likitponrak
 
การสำรวจน้ำ Globe tu64
การสำรวจน้ำ Globe tu64การสำรวจน้ำ Globe tu64
การสำรวจน้ำ Globe tu64Wichai Likitponrak
 
การสำรวจดิน Globe tu64
การสำรวจดิน Globe tu64การสำรวจดิน Globe tu64
การสำรวจดิน Globe tu64Wichai Likitponrak
 
แนวข้อสอบสามัญชีวะ2564
แนวข้อสอบสามัญชีวะ2564แนวข้อสอบสามัญชีวะ2564
แนวข้อสอบสามัญชีวะ2564Wichai Likitponrak
 

More from Wichai Likitponrak (20)

บันทึกข้อความประเมินรับสมัครGS2565_ครูวิชัย
บันทึกข้อความประเมินรับสมัครGS2565_ครูวิชัยบันทึกข้อความประเมินรับสมัครGS2565_ครูวิชัย
บันทึกข้อความประเมินรับสมัครGS2565_ครูวิชัย
 
บันทึกข้อความประเมินดับเพลิง2565_ครูวิชัย
บันทึกข้อความประเมินดับเพลิง2565_ครูวิชัยบันทึกข้อความประเมินดับเพลิง2565_ครูวิชัย
บันทึกข้อความประเมินดับเพลิง2565_ครูวิชัย
 
บันทึกข้อความประเมินสอวนชีวะ2565_ครูวิชัย
บันทึกข้อความประเมินสอวนชีวะ2565_ครูวิชัยบันทึกข้อความประเมินสอวนชีวะ2565_ครูวิชัย
บันทึกข้อความประเมินสอวนชีวะ2565_ครูวิชัย
 
บันทึกข้อความประเมินทัศนศึกษา2565_ครูวิชัย
บันทึกข้อความประเมินทัศนศึกษา2565_ครูวิชัยบันทึกข้อความประเมินทัศนศึกษา2565_ครูวิชัย
บันทึกข้อความประเมินทัศนศึกษา2565_ครูวิชัย
 
SAR64-วิชัย(ชีววิทยา).pdf
SAR64-วิชัย(ชีววิทยา).pdfSAR64-วิชัย(ชีววิทยา).pdf
SAR64-วิชัย(ชีววิทยา).pdf
 
การสำรวจพืช Globe tu64
การสำรวจพืช Globe tu64การสำรวจพืช Globe tu64
การสำรวจพืช Globe tu64
 
การสำรวจบรรยากาศ Globe tu64
การสำรวจบรรยากาศ Globe tu64การสำรวจบรรยากาศ Globe tu64
การสำรวจบรรยากาศ Globe tu64
 
การสำรวจน้ำ Globe tu64
การสำรวจน้ำ Globe tu64การสำรวจน้ำ Globe tu64
การสำรวจน้ำ Globe tu64
 
การสำรวจดิน Globe tu64
การสำรวจดิน Globe tu64การสำรวจดิน Globe tu64
การสำรวจดิน Globe tu64
 
แนวข้อสอบสามัญชีวะ2564
แนวข้อสอบสามัญชีวะ2564แนวข้อสอบสามัญชีวะ2564
แนวข้อสอบสามัญชีวะ2564
 
Biotest kku60
Biotest kku60Biotest kku60
Biotest kku60
 
Key biotestku60 kruwichaitu
Key biotestku60 kruwichaituKey biotestku60 kruwichaitu
Key biotestku60 kruwichaitu
 
Bi opat2 onet2564_kru_wichai
Bi opat2 onet2564_kru_wichaiBi opat2 onet2564_kru_wichai
Bi opat2 onet2564_kru_wichai
 
BiOsaman2564
BiOsaman2564BiOsaman2564
BiOsaman2564
 
Biosaman63 kruwichai
Biosaman63 kruwichaiBiosaman63 kruwichai
Biosaman63 kruwichai
 
Ijs obio62 testing
Ijs obio62 testingIjs obio62 testing
Ijs obio62 testing
 
Pptgst uprojectplant62
Pptgst uprojectplant62Pptgst uprojectplant62
Pptgst uprojectplant62
 
Pptgst uprojectpaper62
Pptgst uprojectpaper62Pptgst uprojectpaper62
Pptgst uprojectpaper62
 
Pptgst uprojectnickle61
Pptgst uprojectnickle61Pptgst uprojectnickle61
Pptgst uprojectnickle61
 
Pptgst uprojectflower61
Pptgst uprojectflower61Pptgst uprojectflower61
Pptgst uprojectflower61
 

ม.6 นิเวศ

  • 1. บทที่ 2 ประชากร และ บทที่ 3 มนุษย์กับความยั่งยืนของสิ่งแวดล้อม รายวิชาชีววิทยา 5 (ว33245) ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2556
  • 2.  ระบบนิเวศ หมายถึง ความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งมีชีวิตกับสิ่งแวดล้อม (มีชีวิตและไม่มีชีวิต)  เซลล์ → เนื้อเยื่อ → อวัยวะ → ระบบอวัยวะ → สิ่งมีชีวิต  สิ่งมีชีวิต → ประชากร → กลุ่มสิ่งมีชีวิต → ระบบนิเวศ → โลกของสิ่งมีชีวิต  มีองค์ประกอบที่สาคัญ 2 ส่วนสัมพันธ์กัน คือ องค์ประกอบทางกายภาพ (ไม่มีชีวิต) เช่น แสง ดิน นา อุณหภูมิ องค์ประกอบทางชีวภาพ (มีชีวิต) ได้แก่ คน พืช มอส เห็ด รา
  • 3. 1. ไบโอมบนบก * ใช้เกณฑ์ปริมาณน้าฝนและอุณหภูมิเป็นตัวกาหนด  ไบโอมป่าดิบชื้น  ไบโอมป่าผลัดใบในเขตอบอุ่น  ไบโอมทุ่งหญ้าเขตอบอุ่น  ไบโอมสะวันนา  ไบโอมทุนดรา  ไบโอมทะเลทราย  ไบโอมป่าสน 2. ไบโอมในน้า แบ่งเป็น 2 ประเภท คือ  ไบโอมแหล่งน้าจืด  ไบโอมแหล่งน้าเค็ม ได้แก่ แม่น้า - เขตน้าขึ้นน้าลง - ทะเลและมหาสมุทร - แหล่งน้ากร่อย (ป่าชายเลน) - แนวปะการัง - ทะเลสาบ ไบโอม ( Biomes ) หรือชีวนิเวศ หมายถึง ระบบนิเวศ ที่มีองค์ประกอบของปัจจัยทางกายภาพ และปัจจัยทางชีวภาพที่คล้ายคลึงกัน กระจายอยู่ในเขตภูมิศาสตร์ต่าง ๆ กัน @@@ สิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่ในไบโอมนัน ๆ จะต้องปรับตัวให้เข้ากับปัจจัยทางกายภาพในแต่ละเขต ภูมิศาสตร์นัน ๆ ด้วย
  • 6. ไบโอมบนบก ( TERRESTRIAL BIOMES ) 1. ไบโอมป่าดิบชื้น ( Tropical rain forest ) - พบบริเวณใกล้เขตเส้นศูนย์สูตรของโลกในทวีปอเมริกากลาง อเมริกาใต้ แอฟริกาใต้ หมู่เกาะแปซิฟิก แอฟริกา เอเชียใต้ - ลักษณะภูมิอากาศ ร้อน และชื้น - มีฝนตกตลอดปี ปริมาณน้าฝน 200 – 400 ซม./ปี - พบพืชและสัตว์หลากหลายนับพันสปีชีส์ - อุดมสมบูรณ์มาก
  • 7. 2. ไบโอมป่าผลัดใบในเขตอบอุ่น ( Temperate deciduous forest ) - พบบริเวณทวีปอเมริกาเหนือ, จีน และประเทศไทย - ปริมาณน้าฝนเฉลี่ย 100 ซม./ปี - มีความชื้นเพียงพอที่จะทาให้ต้นไม้ขนาดใหญ่โตได้ - อากาศค่อนข้างเย็น - ต้นไม้จะผลัดใบก่อนถึงฤดูหนาว และจะผลิใบเมื่อผ่านฤดูหนาวไปแล้ว - พืชเด่น ไม้ล้มลุก ไม้พุ่ม  พืชเด่นที่พบ : ไม้พุ่ม ,พืชล้มลุก ,ไม้ต้น  สัตว์ที่พบ : กวาง ,สุนัขจิ้งจอก ไบโอมบนบก ( TERRESTRIAL BIOMES )
  • 8. 3. ป่าสน ( Coniferous forest ) - ป่าสน ป่าไทกา ( Taiga ) หรือป่าบอเรียล( Boreal ) - ต้นไม้เขียวชอุ่มตลอดปี - พบทางตอนใต้ของแคนาดา จีน ฟินแลนด์ - ฤดูหนาวยาวนานมีหิมะ อากาศแห้ง และเย็น - พืชเด่น สน ไพน์ ( Pine ) เฟอ ( Fir ) สพรูซ ( Spruce) แฮมลอค ( Hemlock )  สัตว์ที่พบ : กวาง ,นกฮูกเทาใหญ่ - ไทยพบแถบภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคเหนือ เช่นบนภูเรือ (ภูกระดึงมักพบสนสองใบและสนสามใบเป็นต้น) ไบโอมบนบก ( TERRESTRIAL BIOMES )
  • 10. 4. ทุ่งหญ้าเขตอบอุ่น ( Temperate grassland ) - ปริมาณน้าฝน 25 – 50 ซม./ปี - มักมีฝนตกในช่วงฤดูร้อน และแห้งแล้งในฤดูหนาว - ทุ่งหญ้าเขตอบอุ่นนี้เหมาะสาหรับการทากสิกรและปศุสัตว์ เพราะดินมีความอุดมสมบูรณ์สูงมี หญ้านานาชนิดขึ้นอยู่ ส่วนใหญ่พบมีการทาเกษตรกรรมควบคู่ในพื้นที่นี่ด้วย - ทวีปอเมริกาเหนือ เรียกว่า แพรรี่ ( prairie ) ในเขตยูเรเชีย เรียก สเต็ปป์ (steppe) และในทวีป อเมริกาใต้เรียก แพมพา (pampa) - พืชที่พบ ไม้พุ่มที่มีหนาม มีไม้ต้นทนแล้ง และทนไฟป่า เช่น เบาบับ (baobab) และพวกกระถิน (acacia) - สัตว์ที่พบ เช่น ช้าง ม้าลาย สิงโต หมีโคลา จิงโจ้ และนกอีมู ไบโอมบนบก ( TERRESTRIAL BIOMES )
  • 11. 5. สะวันนา (Savanna) - พบได้ในทวีปแอฟริกาและพบบ้างทางตะวันออกเฉียงใต้ของทวีป เอเชีย - อากาศร้อนยาวนาน - พืชที่ขึ้นส่วนใหญ่เป็นหญ้าและมีต้นไม้กระจายเป็นหย่อม ๆ - ในฤดูร้อนมักเกิดไฟป่า - พืชที่ขึ้นมักทนต่อไฟป่าและความแห้งแล้งได้ดี  สัตว์ที่พบคล้ายกับทุ่งหญ้าเขตอบอุ่น ไบโอมบนบก ( TERRESTRIAL BIOMES )
  • 12.  6. ทะเลทราย ( desert ) - ปริมาณฝนตกเฉลี่ยน้อยกว่า 25 เซนติเมตรต่อปี - บางที่ฝนตกหนักแต่ดินเป็นทรายที่ไม่อุ้มน้า ทะเลทรายบางแห่งร้อนมากมีอุณหภูมิเหนือผิวดินสูง ถึง 60 องศาเซลเซียส - พืชที่พบในไบโอมทะเลทรายนี้มีการป้ องกันการสูญเสียน้า โดยใบลดรูปเป็นหนาม ลาต้นอวบ เก็บ สะสมน้า และพืชปีเดียว - ทะเลทรายซาฮารา (Sahara) ในทวีปแอฟริกา ทะเลทรายโกบี (Gobi) ในจีน และทะเลทรายโมฮาวี (Mojave) ในรัฐแคลิฟอร์เนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา - สัตว์ที่พบเลื้อยคลาน พวกงูและกิ้งก่า และสัตว์ใช้ฟันกัดแทะ เช่น พวกหนูชุกชุม สัตว์ส่วนใหญ่หา กินกลางคืนเพื่อหลีกเลี่ยงอากาศร้อนในตอนกลางวัน ไบโอมบนบก ( TERRESTRIAL BIOMES )
  • 13. 7. ทุนดรา (Tundra) - พบเพียงตอนเหนือของทวีปอเมริกาเหนือ และยูเรเซีย ได้แก่ พื้นที่ของรัฐอะลาสก้า และไซบีเรีย - ฤดูหนาวค่อนข้างยาวนาน มีหิมะ ฤดูร้อนช่วงสั้น ๆ - ชั้นของดินที่อยู่ต่ากว่าจากผิวดินชั้นบนลงไปจะจับตัวเป็นน้าแข็ง - ปริมาณฝนน้อย และถ้าในฤดูร้อนช่วงสั้น ๆ น้าแข็งที่ผิวหน้าดินจะละลาย แต่เนื่องจากน้าไม่สามารถซึม ผ่านลงไปในชั้นน้าแข็งได้ในระยะสั้น ๆ - สามารถปลูกพืชได้ระยะสั้นๆ  พืช เด่น ได้แก่ ไลเคนส์ นอกจากนี้ยังมีมอส กก หญ้าเซดจ์(Sedge) และไม้พุ่มเตี้ย เช่น วิลโลแคระ  สัตว์ที่พบ ได้แก่ นก สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม และแมลง สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมชนิดเด่น คือ กวางคาริบู กวาง เรนเดียร์ กระต่ายป่าขั้วโลก หนูเลมมิง สุนัขป่าขั้วโลก นกชนิดเด่น คือ นกทามิแกน นกเค้าแมวหิมะ นอกจากนี้ยังมีนกจากแหล่งอื่นอพยพเข้ามาในฤดูร้อน แมลง ยุง ไบโอมบนบก ( TERRESTRIAL BIOMES )
  • 14. ไบโอมในน้า ( AQUATIC BIOMES ) แหล่งน้าจืด ประกอบด้วย  แหล่งน้ำนิ่ง เช่น สระ หนอง บึง และทะเลสาบ  แหล่งน้ำไหล เช่น ธารน้าไหล และแม่น้า แหล่งน้าเค็ม ประกอบด้วย  ทะเลสาบ  ทะเล  มหาสมุทร ซึ่งพบในปริมาณมาก ร้อยละ 71 ของพื้นผิวโลก และมีความลึกมาก ความแตกต่างระหว่างน้าจืดและน้าเค็ม  น้ำขึ้นน้ำลงเป็นปัจจัยทำงกำยภำพสำคัญที่ทำให้แหล่งน้ำเค็มแตกต่ำงจำกแหล่งน้ำจืด
  • 15. น้ากร่อย ( ESTUARIES )  แหล่งน้ากร่อย หมายถึง คือช่วงรอยต่อของแหล่งน้าจืดและน้าเค็มที่มาบรรจบกัน ซึ่ง มักจะพบตามปากแม่น้า การขึ้นลงของกระแสน้าที่อิทธิพลต่อการเปลี่ยนแปลงค่าความ เค็มของน้าในแหล่ง น้ากร่อยเป็นอย่างมาก  โดยทั่วไปแล้ว น้ากร่อยหรือน้าทะเลในสภาพปกติมีสภาพเป็นด่าง เหตุที่น้าทะเลมีสภาพ เป็นด่างอ่อน ๆ เป็นเพราะในน้าทะเลมีแร่ธาตุหลายชนิด ที่ทาให้น้าเป็นด่างอ่อน
  • 16. ระบบนิเวศในน้า น้า เป็นทรัพยากรธรรมชาติที่มีความสาคัญต่อสิ่งมีชีวิตทุกชนิด แบ่งออกตามลักษณะ แหล่งที่เกิดได้ ดังนี้ 1. แหล่งน้าจืด 2. แหล่งน้ากร่อย 3. แหล่งน้าเค็ม  ระบบนิเวศที่มีแหล่งที่อยู่อาศัยในน้าตามลักษณะของแหล่งน้าทั้ง 2 ประเภท ได้แก่  1.แหล่งน้าจืด  2.แหล่งน้าเค็ม การแบ่งน้าลักษณะอย่างนี้ แบ่งโดยอาศัยค่าความเค็มเป็นตัวกาหนด
  • 17. ระบบนิเวศแหล่งน้าจืด  ระบบนิเวศน้าจืดแบ่งตามลักษณะของแหล่งน้าเป็น 3 ประเภท คือ 1. แหล่งน้านิ่ง เช่น ทะเลสาบ บึง ถ้าเป็นแหล่งน้าขนาดใหญ่ 2. แหล่งน้าไหล เช่น แม่น้า ลาธาร 3. แหล่งน้ากร่อย
  • 18.  1. แหล่งน้านิ่ง แบ่งเป็น 3 เขต คือ 1.1 เขตชายฝั่ง (Litoral zone) เป็นบริเวณรอบ ๆ แหล่งน้า - แสงส่องได้ถึงก้นน้า - ผู้ผลิต บริเวณชายฝั่ง เช่น กก บัว แห้วทรงกระเทียม สาหร่ายสีเขียว และไดอะตอม จอก จอกหูหนู แหนแดง - ผู้บริโภค ได้แก่ หอยขม หอยโข่ง ตัวอ่อนแมลงปอเข็ม แมลงปอชีปะขาว กุ้งก้ามกราม หอย กาบเดียว หอยสองกาบ เต่า ปลา 1.2 ผิวน้าหรือเขตกลางน้า (Limnetic zone) นับจากชายฝั่งเข้ามาจนถึงระดับลึกที่แสงส่องถึง  ความเข้มของแสงประมาณ 1 เปอร์เซ็นต์ของแสงจากดวงอาทิตย์  สิ่งมีชีวิตส่วนใหญ่เป็นแพลงก์ตอน และพวกที่ว่ายน้าอิสระ มีจานวนชนิดและจานวนสมาชิก น้อยกว่าเขตชายฝั่ง แพลงก์ตอนพืช ได้แก่ สาหร่ายสีเขียว ไดอะตอม สาหร่ายสีเขียวแกมน้าเงิน  สัตว์เหล่านี้เป็นสัตว์ต่างชนิดกับเขตชายฝั่ง นอกจากนี้สัตว์อื่นๆ ในเขตกลางสระ เช่น ปลา ระบบนิเวศแหล่งน้าจืด
  • 19. 1.3 เขตน้าชั้นล่าง (Profundal zone) เป็นส่วนที่อยู่ล่างสุดจนถึงหน้าดินของพื้นท้องน้า _ แสงส่องไม่ถึง จึงไม่มีผู้ผลิต - สิ่งมีชีวิตที่พบ ได้แก่ รา แบคทีเรียที่ไม่ใช้ออกซิเจน ตัวอ่อนยุง หอยสองกาบ หนอนตัว กลม เป็นต้น - สิ่งมีชีวิตเหล่านี้จะต้องปรับตัวให้เข้ากับสภาพที่มีออกซิเจนต่า เช่น ตัวอ่อนของยุงน้าชนิดหนึ่ง (Phantom) มีถุงลมสาหรับช่วยในการลอยตัว และ สาหรับเก็บออกซิเจนไว้ใช้  2. แหล่งน้าไหล แบ่งเป็น 3 เขต คือ 2.1 เขตน้าเชี่ยว เป็นเขตที่มีกระแสน้าไหลแรง จึงไม่มีตะกอนสะสมใต้น้า - สิ่งมีชีวิตมักเป็นพวกที่สามารถเกาะติดกับวัตถุใต้น้า หรือคืบคลานไปมาสะดวก - สิ่งมีชีวิตที่ว่ายน้าได้จะต้องเป็นพวกที่ทนทานต่อการต้านกระแสน้า - ไม่พบแพลงก์ตอนในบริเวณนี้ ระบบนิเวศแหล่งน้าจืด
  • 20.  2.2 เขตน้าไหลเอื่อย เป็นช่วงที่มีความลึก ความเร็วของกระแสน้าลดลง  อนุภาคต่างๆ จึงตกตะกอนทับถมกันหนาแน่นในเขตนี้  ไม่มีสัตว์เกาะตามท้องน้า เขตนี้เหมาะกับพวกที่ขุดรูอยู่ เช่น หอยสองกาบ ตัวอ่อนของ แมลงปอ ชีปะขาว แพลงก์ตอน และพวกที่ว่ายน้าได้ ระบบนิเวศแหล่งน้าจืด การปรับตัวของสัตว์ในแหล่งน้าไหล สัตว์มีการปรับตัวพิเศษเพื่อการอยู่รอดหลายวิธี •มีโครงสร้างพิเศษสาหรับเกาะหรือดูดพื้นผิว เพื่อให้ติดแน่นกับพื้นผิว สิ่งมีชีวิตที่ มีอวัยวะพิเศษนี้ เช่น แมลงหนอนปลอกน้า •สร้างเมือกเหนียว เพื่อใช้ยึดเกาะ เช่น พลานาเรีย หอยกาบเดียว •มีรูปร่างเพรียว เพื่อลดความต้านทานต่อกระแสน้า เช่น ปลา •ปรับตัวให้แบน เพื่อยึดติดกับท้องน้าได้แนบสนิทหรือเพื่อให้สามารถแทรกตัวอยู่ ในซอกแคบๆ หลีกเลี่ยงกระแสน้าแรงๆ
  • 22. ระบบนิเวศแหล่งน้ากร่อย 3. น้ากร่อย เป็นบริเวณที่น้ามาบรรจบกันระหว่างน้าจืดและน้าเค็ม ทาให้เป็นบริเวณที่ มีน้ากร่อยเกิดเป็นชุมชนรอยต่อระหว่างชุมชนน้าจืดและน้าเค็ม  ลักษณะพิเศษที่เกิดขึ้นคือ มีสภาพทางชีววิทยาที่เอื้ออานวยที่จะให้ผลผลิตอย่างสูงต่อ สังคมมนุษย์  มีความอุดมสมบูรณ์ของธาตุอาหารสูง  พบสัตว์เศรษฐกิจมากมาย เช่น กุ้ง หอย ปู ปลาต่าง ๆ
  • 23. ระบบนิเวศแหล่งน้าเค็ม  แหล่งน้าเค็ม ได้แก่ ทะเลและมหาสมุทร  จัดเป็นแหล่งน้าไหลเนื่องจากมีกระแสคลื่นเกิดขึ้นตลอดเวลา  ระบบนิเวศทางทะเลเป็นระบบนิเวศที่มีขนาดใหญ่ มีพื้นประมาณ 3 ใน 4 ส่วนของผิวโลก  สามารถแบ่งเขตออกเป็น 2 บริเวณ คือ - บริเวณชายฝั่งทะเล (coastal zone) เป็นบริเวณที่อยู่ติดกับพื้นดินที่มีความลาดชันน้อยและค่อนข้าง อุดมสมบูรณ์ เนื่องจากได้รับอิทธิพลของกระแสน้าขึ้นน้าลง และได้รับธาตุอาหารจากการชะล้างผิวหน้าดิน ลงสู่แหล่งน้า - บริเวณทะเลเปิด (open sea) เป็นบริเวณที่อยู่ห่างออกจากชายฝั่ง พื้นที่มีความลาดชันเพิ่มขึ้นตาม ความลึกของน้า  สามารถแบ่งออกเป็นเขตต่างๆ ได้ 3 เขต คือ 1. เขตที่แสงส่องถึง 2. เขตที่มีแสงน้อย 3. เขตที่ไม่มีแสง @@@นอกจากนี้ยังอาจแบ่งตามลักษณะพื้นผิวกายภาพได้เป็น หาดทราย หาดหิน และแนวประการัง
  • 24.
  • 25.  หาดหิน (rocky shore)  เป็นบริเวณที่ประกอบด้วยโขดหินไม่ราบเรียบ มีซอกและแอ่งน้าเป็นที่กาบังคลื่นลมและ หลบซ่อนตัว  สัตว์ที่อาศัยบริเวณนี้ต้องคงทนต่อการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิ ความชื้น (การขึ้น-ลง ของกระแสน้า)  ได้แก่ แมลงสาบทะเล (ligio) หอยนางรม ลิ่นทะเล หอยหมวกเจ๊ก (limpets) เพรียงหิน เม่นทะเล ดอกไม้ทะเล สาหร่ายสีแดง ระบบนิเวศแหล่งน้าเค็ม
  • 26.  หาดทราย (sandy beach)  เป็นบริเวณชายฝั่งตั้งแต่รระดับน้าลงต่าสุดจนถึงระดับน้าขึ้นที่ละอองน้าเค็มสาดซัดไปถึง (ขนาดเม็ดทรายและความลาดชันแตกต่างกัน)  สิ่งมีชีวิตที่อยู่ในระบบนี้ต้องมีการปรับตัวมาก เพราะคลื่นซัดทรายในสภาพที่รุนแรง  เช่น ปูลม เคลื่อนที่ได้รวดเร็วและมีเหงือกใหญ่ชุ่มชื้นอยู่เสมอทนความแห้งแล้งได้ดี พวก หอยเสียบ หอยทับทิม ชอบฝังตัวหรือขุดรูอยู่ในทราย ระบบนิเวศแหล่งน้าเค็ม
  • 27.  แนวปะการัง (coral reef)  ปะการังเป็นสัตว์ไม่ใช่พืชสืบพันธุ์ด้วยการแตกหน่อเชื่อมติดกันมีสารหินปูนห่อหุ้มลาตัว กลุ่มก้อนปะการังที่สวยงามมาก  ได้แก่ ปะการังเขากวาง ปะการังสมอง ปะการังเห็ด ปะการังต้นไม้ ฯลฯ  เป็นแหล่งที่ให้ความอุดมสมบูรณ์ทางด้านอาหาร ที่อยู่อาศัย แหล่งอนุบาลตัวอ่อนของ สัตว์น้าแต่ละชนิด เป็นระบบนิเวศที่มีความหลากหลายและให้ผลผลิตสูงมากในทะเล ระบบนิเวศแหล่งน้าเค็ม
  • 28. ระบบนิเวศบนบก  ระบบนิเวศป่าไม้ : ป่าไม้เป็นทรัพยากรธรรมชาติที่สาคัญยิ่งของประเทศ เป็นแหล่งรวม พันธุ์ไม้และสัตว์ป่าชนิดต่างๆ เป็นแหล่งต้นน้าลาธาร ช่วยควบคุมอุณหภูมิ ผลิตก๊าซ ออกซิเจน และก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ทาให้ฝนตกตามฤดูกาล ป่าไม่ผลัดใบ (Evergeen forest) ได้แก่ ป่าดิบชื้น (Tropical rain forest) ,ป่าดิบแล้ง (Dry evergreen forest) ,ป่าดิบเขา (Hill evergreen forest) ,ป่าสน (Coniferous forest) ,ป่า ชายเลน (Mangrove swamp forest) ,ป่าพรุ (Peat Swamp) ป่าผลัดใบ (Deciduous Forest) ได้แก่ ป่าเบญจพรรณ ,ป่าแดง ป่าแพะ หรือป่าเต็งรัง ,ป่า หญ้า
  • 29. ป่าไม่ผลัดใบ (EVERGEEN FOREST) 1. ป่าดิบชื้น (Tropical rain forest)  พบทุกภาคของประเทศ และมากที่สุดแถบชายฝั่งภาคตะวันออก เช่น ระยอง จันทบุรี และที่ภาคใต้  กระจัดกระจายตามความสูงตั้งแต่ 0 - 100 เมตรจากระดับน้าทะเล  มีปริมาณน้าฝนตกมากกว่าภาคอื่น ๆ  ลักษณะทั่วไปมักเป็นป่ารกทึบ ประกอบด้วยพันธุ์ไม้มากมายหลายร้อยชนิด ต้นไม้ ส่วนใหญ่เป็นวงศ์ยาง ไม้ตะเคียน กะบาก อบเชย จาปาป่า ส่วนที่เป็นพืชชั้นล่างจะ เป็นพวกปาล์ม ไผ่ ระกา หวาย บุกขอน เฟิร์น มอส กล้วยไม้ป่าและ เถาวัลย์ชนิด ต่างๆ
  • 30. 2. ป่าดิบแล้ง (Dry evergreen forest)  พบตามภาคต่าง ๆ ของประเทศ ตามที่ราบเรียบหรือตามหุบเขา  ความสูงจากระดับน้าทะเลประมาณ 500 เมตร  ปริมาณน้าฝน 1,000 - 1,500 ม.ม.  พันธุ์ไม้ที่สาคัญ เช่น ยางแดง มะค่าโมง เป็นต้น พื้นที่ป่าชั้นล่างจะไม่หนาแน่นและ ค่อนข้างโล่งเตียน ป่าไม่ผลัดใบ (EVERGEEN FOREST)
  • 31.  3. ป่าดิบเขา (Hill Evergreen Forest)  อยู่สูงจากระดับน้าทะเล ตั้งแต่ 1,000 เมตรขึ้นไป  ส่วนใหญ่อยู่บนเทือกเขาสูงทางภาคเหนือ ภาคกลาง และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เช่นที่ อุทยานแห่งชาติทุ่งแสลงหลวง และ อุทยานแห่งชาติน้าหนาว เป็นต้น  มีปริมาณน้าฝนระหว่าง 1,000 ถึง 2,000 ม.  พืชที่สาคัญได้แก่ไม้วงศ์ก่อ เช่น ก่อสีเสียด ก่อตาหมูน้อย อบเชย  มีป่าเบจพรรณด้วย บางทีก็มีสนเขาขึ้นปะปนอยู่ด้วย ส่วนไม้พื้นล่างเป็นพวกเฟิร์น กล้วยไม้ดิน มอส ต่าง ๆ  ป่าชนิดนี้มักอยู่บริเวณต้นน้าลาธาร ป่าไม่ผลัดใบ (EVERGEEN FOREST)
  • 32.  4. ป่าสน (Coniferous Forest) : ป่าไทกา ป่าบอเรียล  กระจายอยู่เป็นหย่อม ๆ ตามภาคเหนือ เช่น จังหวัดเชียงใหม่ แม่ฮ่องสอน ลาปาง และที่ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือที่จังหวัดเลย  ระดับความสูงจากน้าทะเลตั้งแต่ 200 เมตรขึ้นไป  ป่าสนมักขึ้นในที่ดินไม่อุดมสมบูรณ์ เช่น สันเขาที่ค่อนข้างแห้งแล้ง  ประเทศไทยมีสนเขาเพียง 2 ชนิดเท่านั้น คือสนสองใบและสนสามใบ และพวกก่อต่าง ๆ ขึ้นปะปนอยู่ พืชชั้นล่างมีพวกหญ้าต่าง ๆ ป่าไม่ผลัดใบ (EVERGEEN FOREST)
  • 33.  5. ป่าพรุ (Swamp Forest, Peat Swamp Forest)  เป็นสังคมป่าที่อยู่ถัดจากบริเวณสังคมป่าชายเลน  เป็นพื้นที่ลุ่มที่มีการทับถมของซากพืชและอินทรียวัตถุที่ไม่สลายตัว และมีน้าท่วมขังหรือชื้นแฉะ ตลอดปี  พบในจังหวัดนราธิวาส นครศรีธรรมราช ชุมพร  พื้นที่ส่วนใหญ่ถูกบุกรุกทาลายเพื่อเปลี่ยนแปลงสภาพเป็นสวนมะพร้าว นาข้าว และบ่อเลี้ยงกุ้งเลี้ยง ปลา  ป่าพรุโต๊ะแดง ที่นราธิวาสเป็นป่าพรุที่สมบูรณ์ที่สุด ป่าไม่ผลัดใบ (EVERGEEN FOREST)
  • 34. ป่าไม่ผลัดใบ (EVERGEEN FOREST)  6. ป่าชายเลน (Mangrove Swamp Forest)  พบตามชายฝั่งทะเลที่มีดินโคลน และน้าทะเลท่วมถึง  เช่น ตามชายฝั่งตะวันตก ตั้งแต่ระนองถึงสตูล  แหล่งอนุบาลตัวอ่อนของสัตว์น้าจาพวก กุ้ง หอย ปู ปลา  ไม้ที่สาคัญเช่น ไม้โกงกางใบเล็ก โกงกางใบใหญ่ แสม ลาพู โพทะเล เป็นต้น
  • 35. ป่าผลัดใบ (DECIDUOUS FOREST)  เป็นสังคมที่ประกอบไปด้วยพรรณพืชที่ผลัดใบหรือทิ้งใบ  การผลัดเปลี่ยนใบจะใช้เวลาค่อนข้างยาวนาน  สังคมพืชกลุ่มนี้มีประมาณ 70 % ของเนื้อที่ป่าของประเทศไทย  แบ่งเป็นชนิดย่อย ๆ คือ 1. ป่าเบญจพรรณ มีอยู่ทั่วไปตามภาคต่าง ๆ ของประเทศ  ดินเป็นได้ตั้งแต่ดินเหนียว ดินร่วน จนถึงดินลูกรัง  ปริมาณน้าฝนไม่เกิน 1,000 มิลลิเมตร ต่อปี  เป็นสังคมพืชที่มีความหลากหลายมาก  จะผลัดใบมากในฤดูแล้ง  พรรณไม้หลัก เช่น สัก มะค่า แดง ประดู่ และชิงชัน
  • 36.  2. ป่าเต็งรัง มีอยู่ทั่วไปตามภาคต่าง ๆ ของประเทศ  ดินมักเป็นดินทรายและดินลูกรัง  มีปริมาณน้าฝนไม่เกิน 1,000 มิลลิเมตรต่อปี  พรรณไม้ที่ขึ้นมักเป็นชนิดที่ทนแล้งทนไฟป่า เช่น เต็ง รัง พลวง มะขามป้ อม มะกอก ผักหวาน ฯลฯ เป็นต้น  พืชชั้นล่างส่วนใหญ่เป็นพวกหญ้า ไผ่ต่าง ๆ พบมากที่สุดคือไผ่เพ็กหรือหญ้าเพ็ก พวกปรง พวกขิง ข่า เป็นต้น ป่าผลัดใบ (DECIDUOUS FOREST)
  • 37. 3. ป่าหญ้า เป็นป่าที่เกิดภายหลังจากที่ป่าธรรมชาติอื่น ๆ ได้ถูกทาลายไป  ดินมีสภาพเสื่อมโทรม จนไม้ต้นไม่อาจเจริญงอกงามต่อไปได้  หญ้าต่าง ๆ จึงเข้ามาแทนที่ พบได้ทางภาคเหนือ ภาคอีสาน  เช่น แฝก หญ้าพง อ้อ เป็นต้น  ไม้ต้นมีขึ้นกระจายห่าง ๆ กันบ้าง เช่น กระถินป่า ประดู่ ตานเหลือง และปรงป่า เป็นต้น ไม้เหล่านี้ ทนแล้งและทนไฟป่าได้ดี ป่าผลัดใบ (DECIDUOUS FOREST)
  • 38. ระบบนิเวศ = กลุ่มสิ่งมีชีวิต + แหล่งที่อยู่  กลุ่มสิ่งมีชีวิต หมายถึง สิ่งมีชีวิตตังแต่ 2 ชนิด อยู่ร่วมกันต่างจากประชากร หมายถึง สิ่งมีชีวิตชนิดเดียวอยู่ร่วมกัน  สิ่งมีชีวิตต่างๆ ในระบบนิเวศต่างมีความสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน ดังนี 1. ผู้ผลิต = สร้างอาหารได้ โดยการสังเคราะห์ด้วยแสง เช่น พืช สาหร่าย หรือสังเคราะห์เคมี เช่น แบคทีเรียสีเขียว 2. ผู้บริโภค = ไม่สามารถสร้างอาหารต้องบริโภคสิ่งมีชีวิตอื่นเป็นอาหาร ได้แก่ ผู้บริโภคสัตว์ ผู้บริโภคพืช ผู้บริโภคพืชและสัตว์เช่น วัว กวาง เสือ สิงโต มนุษย์ 3. ผู้ย่อยสลายอินทรีย์สาร = ไม่สามารถสร้างอาหารได้ แต่ย่อยสลายอินทรีย์สารให้เป็นอนินทรีย์สาร เป็นประโยชน์แก่พืช โดยการปล่อยน้าย่อยออกมา และดูดซึมสารอาหารเข้าสู่เซลล์ เช่น แบคทีเรีย รา ยีตส์
  • 39. การถ่ายทอดพลังงานและสารอาหารในระบบนิเวศ  พลังงานจะสามารถถ่ายทอดได้เพียง 10% เท่านัน ( 90%จะถูกใช้ในกระบวนการดารงชีวิต ,เป็นพลังงานความร้อน และบางส่วนบริโภคไม่ได้ เช่น เปลือก กระดูก ขน เล็บ)  การถ่ายทอดสารอาหารถึงผู้บริโภคล้าดับสูงสุด สารอาหารถูกสะสมในสิ่งมีชีวิตในรูปของ อินทรียสารและเมื่อสิ่งมีชีวิตในระบบนิเวศตายจะเกิดการย่อยสลายโดยจุลินทรีย์ได้เป็นสา รอนินทรีย์หมุนเวียนกลับไปยังผู้ผลิต  พลังงานไม่สามารถหมุนเวียนได้ โดยมีผู้ย่อยสลายอินทรียสารเป็นผู้รับพลังงานขันสุดท้าย
  • 40.
  • 41. 1. พีระมิดจ้านวน เป็นแบบฐานกว้างหรือฐานแคบได้ขึนอยู่กับห่วงโซ่อาหาร 2. พีระมิดมวลชีวภาพ หรือน้าหนักแห้ง เป็นแบบฐานกว้างหรือฐานแคบได้ขึนกับห่วงโซ่อาหาร 3. พีระมิดของพลังงาน ที่ถ่ายทอดได้เพียง 10% จึงมีลักษณะฐานกว้างอย่างเดียว พีระมิดทางนิเวศวิทยา (Ecological Pyramid) การเขียนเพื่อแสดงความสัมพันธ์ของสิ่งมีชีวิตในแต่ ละล้าดับขันของห่วงโซ่อาหาร โดยเริ่มจากผู้ผลิตจนกระทั่งผู้บริโภคสูงสุด
  • 43. ความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งมีชีวิตกับปัจจัยทางกายภาพ 1. อุณหภูมิ 1.1 ปฏิกิริยาเคมีในร่างกาย: เอนไซม์เป็นตัวควบคุมอัตราการเกิดโดยปกติอุณหภูมิที่เหมาะแก่การทางานของเอนไซม์ จะอยู่ระหว่าง 25-40 องศาเซลเซียส (ไม่เสียสภาพ) 1.2 เปลี่ยนแปลงทางสรีรวิทยา คือ กลไกในการปรับอุณหภูมิ เช่น สัตว์เลือดอุ่นจะมีการปรับอุณหภูมิร่างกายให้คงที่ 1.3 พฤติกรรมการอพยพ เช่น นกปากห่างอพยพมาจากเขตหนาวมาไทย ซึ่งเป็นเขตที่อบอุ่น 1.4 ปริมาณ O2 ที่ละลายในนาจะลดลงเมื่ออุณหภูมิสูงขึน ทาให ้สิ่งมีชีวิตในนาลดลง 2. แสง 2.1 การสังเคราะห์ด้วยแสง (อาหาร) ของพืชมากขึนถ้าแสงมีความเข้มมาก 2.2 พฤติกรรมการดารงชีวิต การออกหากินในเวลากลางวัน/กลางคืน เช่น นกเค้าแมว ค้างคาว ผีเสือกลางคืน 2.3 การหุบบานของดอกไม้ เช่น ดอกบัวจะบานในเวลาเช้า
  • 44. ความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งมีชีวิตกับปัจจัยทางกายภาพ 3. น้้ำและควำมชื้น 3.1 การแพร่กระจายพันธุ์พืช เช่น เขตที่มีความชืนสูงจะมีความหลากหลายของสิ่งมีชีวิตมากกว่าเขตแห้งแล้ง 3.2 ปฏิกิริยาเคมี เช่น ปฏิกิริยาการย่อยอาหารต้องใช้นา 4. ดิน 4.1 แหล่งแร่ธาตุอาหารของพืช ทาให้พืชเจริญเติบโต 4.2 แหล่งที่อยู่อาศัยของสิ่งมีชีวิต 5. ควำมเป็นกรด-เบสของดินและน้้ำ 5.1 สิ่งมีชีวิตจะอาศัยอยู่ในดิน และแหล่งนาที่มีความเป็นกรด-เบสเหมาะสม (เจริญเติบโตและดารงชีวิตอยู่ได้) 5.2 ความเป็นกรด-เบสของดินและนาจะขึนอยู่กับปริมาณของแร่ธาตุที่ละลายปะปนอยู่
  • 46.
  • 47. การปรับตัว (Adaptation) เพื่อดารงชีวิตและเผ่าพันธุ์ มี 3 แบบ ได้แก่ 1. การปรับตัวทางด้านโครงสร้าง (รูปร่าง) เช่น 1.1 หมีขัวโลกหรือสัตว์ในเขตหนาวมีขนยาวปกคลุม และมีชันไขมันใต้ผิวหนังป้องกันความหนาว 1.2 จระเข้ผิวลาตัวเป็นเกล็ด ป้องกันการสูญเสียนาออกจากร่างกาย 1.3 โกงกางและพืชป่าชายเลน มีใบอวบนาเพื่อเก็บนาจืดและผลจะงอกตังแต่อยู่บนต้นเพื่อป้องนาพัด 1.4 ผักตบชวา มีกระเปาะเก็บอากาศ ช่วยให้ลอยนาได้ 2. การปรับตัวทางด้านสรีระ (การทางานอวัยวะ) เช่น 2.1 การขับเหงื่อเพื่อลดอุณหภูมิร่างกาย 2.2 สัตว์เลือดอุ่นผลิตฮอร์โมนเพศการสืบพันธุ์เพิ่มขึน เมื่อปริมาณแสงต่อวันลดลง (เริ่มผสมพันธุ์ในฤดูใบไม้ร่วง) 2.3 หนูแกงการู อยู่ในทะเลทรายจะกินอาหารเป็นเมล็ดพืชที่แห้งและไม่ดื่มนาเลยแต่ได้จากเมแทบอลิซึม (อูฐ) 3. การปรับตัวทางด้านพฤติกรรม (ลักษณะนิสัย) 3.1 สัตว์ทะเลทรายออกหากินในเวลากลางคืน 3.2 การอพยพย้ายถิ่นฐานของนกจากเขตหนาวมาเขตอบอุ่น 3.3 สัตว์ป่ากินดินโป่งที่มีแร่ธาตุอาหารที่จาเป็นต่อการดารงชีวิต
  • 49.  แร่ธาตุ และสารต่างๆ ในระบบนิเวศเป็นสิ่งจ้าเป็นในการด้ารงชีวิตของ สิ่งมีชีวิต เช่น คาร์บอน ไฮโดรเจน ออกซิเจน ไนโตรเจน และฟอสฟอรัส เป็นต้น  สารต่างๆ เหล่านีล้วนเป็นองค์ประกอบของโมเลกุลที่ส้าคัญในเซลล์สิ่งมีชีวิต เรียกว่า ชีวโมเลกุล (biomolecules) เช่น ลิพิด โปรตีน คาร์โบไฮเดรต และกรดนิวคลีอิก  ธาตุที่เป็นองค์ประกอบหลักเหล่านี มีการหมุนเวียนผ่านโซ่อาหารเป็นวัฏจักรเรียกว่า วัฏจักรสาร (material cycle)
  • 51.  วัฏจักรไนโตรเจน องค์ประกอบของโปรตีนในสิ่งมีชีวิต โดยมีการหมุนเวียนผ่านพืช สัตว์ และจุลินทรีย์
  • 52.  วัฏจักรฟอสฟอรัส องค์ประกอบของกระดูก ฟันและสารพันธุกรรม และไม่พบการหมุนเวียนสู่ บรรยากาศ
  • 54.  วัฏจักรน้า มีมากในสิ่งมีชีวิตทุกชนิด ความส้าคัญ เช่น น้าช่วยล้าเลียงสารต่างๆ เป็น ตัวกลางในการท้าปฏิกิริยา รักษาสมดุลของอุณหภูมิ
  • 55. การเปลี่ยนแปลงแทนที่ทางนิเวศวิทยา = กลุ่มสิ่งมีชีวิตในที่ใดที่หนึ่งถูกแทนที่โดยกลุ่มใหม่อยู่เรื่อยๆ และจะหยุดลง เมื่อสิ่งแวดล้อมไม่เปลี่ยนแปลงอีกต่อไปหรือคงตัว = กลุ่มสิ่งมีชีวิตขันสุด มี 2 แบบ 1. การเปลี่ยนแปลงแทนที่แบบปฐมภูมิ จากบริเวณที่ไม่เคยมีสิ่งมีชีวิตอยู่ก่อนเลยต่อมามีปรากฏขึนพวกแรก (ผู้บุกเบิก) ที่ว่าง → ไลเคน (Pioneer Species) → มอส ลิเวอร์เวิร์ต → ไม้พุ่ม → ไม้ยืนต้น → กลุ่มสิ่งมีชีวิตขันสุด 2. การเปลี่ยนแปลงแทนที่แบบทุติยภูมิ จากบริเวณที่มีสิ่งมีชีวิตขันสุดจากปฐมภูมิแล้วและถูกทาลาย จึงเกิดการ เปลี่ยนแปลงแทนที่ เช่น เกิดไฟไหม้ป่า เกิดโรคระบาด ทาให้เสียสมดุล
  • 56.  ประชากร หมายถึง สิ่งมีชีวิตชนิดเดียวกันที่อาศัยอยู่ในบริเวณเดียวกันในระยะเวลาใดเวลาหนึ่ง N = จานวนประชากร A = พืนที่หรือปริมาตร  การแพร่กระจายประชากร เนื่องจากสิ่งแวดล้อม ได้แก่  ปัจจัยทางกายภาพ เช่น ความสูงจากระดับนาทะเล อุณหภูมิ แสง ความชืน และกรด-เบส  ปัจจัยทางชีวภาพ เช่น สิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่ร่วมกันที่มีการแก่งแย่งแข่งขัน แย่งปัจจัยในการ ดารงชีวิต
  • 57. ควรรู้ไว้  อัตราการเกิดเชิงประเมิน หมายถึง จานวนสิ่งมีชีวิตที่เกิดต่อจานวนสิ่งมีชีวิต 1,000 หน่วยใน ประชากรนั้นในรอบปี เขียนแทนสูตรได้เป็น  อัตราการตายเชิงประเมิน หมายถึง จานวนสิ่งมีชีวิตที่ตายต่อจานวนสิ่งมีชีวิต 1,000 หน่วยใน ประชากรนั้นในรอบปี เขียนแทนสูตรได้เป็น
  • 58. P = p M m ตัวอย่างเช่น นักเรียนจับหอยทากมาท้าเครื่องหมายทังหมด 10 ตัวแล้วปล่อยกลับคืน อีก 1 อาทิตย์ต่อมาจับหอยทากมาได้ ทังหมด 50 ตัว พบว่ามีหอยทากที่ท้าเครื่องหมาย 5 ตัว จงหา จ้านวนของประชากรหอยทากนี P = 50 10 5
  • 59. การเพิ่มจานวนของประชากร - แบบเอ็กโพเนนเชียล (exponential growth) หรือแบบทวีคูณนัน พบได้ในสิ่งมีชีวิตที่มีการสืบพันธุ์เพียง ครังเดียวในช่วงชีวิตในแต่ละรุ่น ดังเช่นพวกแมลงต่างๆ เมื่อตัวเมียวางไข่แล้วก็ตาย -- แบบลอจิสติก (logistic growth) เป็นการเพิ่มจานวนประชากรที่ขึนอยู่กับสภาพแวดล้อม หรือมีตัว ต้านทานในสิ่งแวดล้อมเข้ามาเกี่ยวข้อง : แครีอิงคาพาซิตี (carrying capacty)
  • 60.  สิ่งมีชีวิตแต่ละชนิดจะมีแบบแผนการรอดชีวิตของประชากรซึ่งขึนอยู่กับช่วงอายุขัย (life span) ในช่วงวัยต่างๆ กันท้าให้ความหนาแน่นแตกต่างกันด้วย เรียกว่า กราฟ การรอดชีวิตของประชากร เช่น คน ช้าง ม้า สุนัข เป็นต้น เช่น ไฮดรา นก เต่า เป็นต้น เช่น ปลา หอย invert ส่วนใหญ่ เป็นต้น
  • 61. โครงสร้างประชากรของมนุษย์  แบบ ก ฐานกว้าง ยอดแหลม แสดงว่าประชากรเพิ่มขึนรวดเร็ว พบในกัวเตมาลา เคนยา ไนจีเรีย  แบบ ข รูปกรวย ปากแคบ แสดงว่าประชากรเพิ่มขึนช้าๆ เช่น อเมริกา ออสเตรเลีย แคนาดา ไทย  แบบ ค ระฆังคว่้า แสดงว่าประชากรมีขนาดคงที่ เช่น สเปน เดนมาร์ก ออสเตรีย อิตาลี  แบบ ง รูปดอกบัวตูม แสดงว่าประชากรลดลง เช่น สิงคโปร์ เยอรมัน สวีเดน ฮังการี บัลกาเรีย
  • 62. Eutrophication หรือ Algal bloom เกิดเมื่อมีสารประกอบไน เตรตและฟอสเฟตสะสมในแหล่งน้า เป็นปริมาณมาก
  • 63.
  • 65. ทรัพยากรน้า  เป็นทรัพยากรที่มีความสาคัญต่อสิ่งมีชีวิตทุกชนิด สิ่งมีชีวิตใช้ประโยชน์จากทรัพยากรนาเพื่อดารงชีวิตด้านต่างๆ เช่น เป็นที่ อยู่อาศัยและแพร่พันธุ์แบ่งออกเป็น 3 แหล่งใหญ่ ได้แก่ 1. หยาดนาฟ้า 2. นาผิวดิน 3. นาใต้ดิน (น้้ำในมหำสมุทร 97.41% ,น้้ำจืด 2.59% : ใช้ประโยชน์ได้ 0.014% ,น้้ำแข็งและภูเขำน้้ำแข็ง 1.984% และน้้ำใต้ดิน 0.592%) ทรัพยากรดิน  ดินป็นทรัพยากรที่เกิดขึนตามธรรมชาติประเภทที่ใช้แล้วเกิดทดแทนได้ และเป็นทรัพยากรพืนฐานที่มีความสัมพันธ์กับ ทรัพยากรธรรมชาติอื่นๆ จาแนกตามลักษณะเนือดินได้ 3 ชนิด คือ 1. ดินเหนียว 2. ดินร่วน 3. ดินทราย ทรัพยากรอากาศ  อากาศจัดเป็นทรัพยากรธรรมชาติที่ไม่มีวันหมดสินและเป็นทรัพยากรที่มีความจาเป็นต่อการดารงชีวิตของสิ่งมีชีวิตทุกชนิด องค์ประกอบของอากาศ ได้แก่ 1. แก๊สไนโตรเจน 78% 2. แก๊สออกซิเจน 21% 3. แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ 0.03% 4. แก๊สอื่นๆ 0.07% พิษตะกั่ว (โลหิตจาง,ปวดท้องรุงแรง) ,พิษปรอท (มินามาตะ : ประสาท) พิษแคดเมียม (อิไต อิไต : กระดูก)
  • 67. ทรัพยากรป่าไม้  เป็นประเภทที่ใช้แล้วเกิดทดแทนได้มีประโยชน์ต่อสิ่งมีชีวิตและสิ่งแวดล้อม (ความหลากหลายทางชีวภาพ เอืออานวยต่อปัจจัยสี่ ต้นนาลาธาร รักษาระดับอุณหภูมิโลก ควบคุมปริมาณนาฝน อนุรักษ์ดินและนาและเป็นแหล่ง ที่อยู่อาศัยของสัตว์ป่า ในประเทศไทย แบ่งเป็น 2 ประเภท คือ  ป่าดงดิบหรือป่าไม่ผลัดใบ (Evergeen forest) เป็นระบบนิเวศน์ของป่าไม้ชนิดที่ประกอบด้วยพันธุ์ไม้ชนิดไม่ผลัด ใบคือมีใบเขียวตลอดเวลา แบ่งออกเป็น 4 ชนิด คือ 1. ป่าดิบเมืองร้อน (Tropical evergreen forest) 2. ป่าสน (Coniferous forest) 3. ป่าพรุหรือป่าบึง (Swamp forest) 4. ป่าชายหาด (Beach forest)  ป่าผลัดใบ (Deciduous Forest) เป็นระบบนิเวศน์ป่าชนิดที่ประกอบด้วยพันธุ์ไม้ชนิดผลัดใบหรือทิงใบเก่าในฤดู แล้ง เพื่อจะแตกใบใหม่เมื่อเข้าฤดูฝน ยกเว้นพืชชันล่างจะไม่ผลัดใบ จะพบป่าชนิดนีตังแต่ระดับความสูง 50-800 เมตร เหนือระดับนาทะเล แบ่งออกเป็น 3 ประเภท คือ 1. ป่าเบญจพรรณ 2. ป่าแดง ป่าแพะ หรือป่าเต็งรัง 3. ป่าหญ้า
  • 68. การกาหนดเขตพื้นที่ป่ าไม้ 1. อุทยานแห่งชาติ หมายถึง “ที่ดินซึ่งรวมทังพืนที่ดินทั่วไป ภูเขา ห้วย หนอง คลอง บึง บาง ล้าน้า ทะเลสาบ เกาะ และชายฝั่งที่ได้รับการก้าหนดให้เป็น อุทยานแห่งชาติ ลักษณะที่ดินดังกล่าวเป็นที่ที่มีสภาพธรรมชาติที่ น่าสนใจ และมิได้อยู่ในกรรมสิทธิ์หรือครอบครองโดยชอบด้วยกฎหมาย ของบุคคลใดซึ่งมิใช่ทบวงการเมือง ทังนีการก้าหนดดังกล่าวก็เพื่อให้คงอยู่ในสภาพเดิม เพื่อสงวนไว้ให้เป็นประโยชน์แก่การศึกษาและ ความ รื่นรมย์ของประชาชนสืบไป” 2. วนอุทยาน หมายถึง พืนที่ขนาดเล็ก จัดตังขึนเพื่อจุดประสงค์ส้าหรับการพักผ่อนหย่อนใจ โดยจะท้าการ ปรับปรุงตกแต่ง สถานที่เหล่านีให้เหมาะสม มีความสวยงามและโดดเด่นในระดับท้องถิ่น จุดเด่นอาจจะ ได้แก่ น้าตก หุบเหว หน้าผา ถ้า หรือ หาดทราย เป็นต้น 3. สวนพฤกษศาสตร์ เป็นสวนที่มีการรวบรวม และรักษาไว้ซึ่งพืช ที่ได้จ้าแนกหมวดหมู่ทางวิทยาศาสตร์ไว้ อย่างเป็นระเบียบ ส่วนมากจะมีการลงข้อมูลและติดป้ายชื่อไว้ และเปิดให้สาธารณชนเข้าชม เพื่อประโยชน์ ในการพักผ่อนหย่อนใจ การศึกษาและวิจัย 4. สวนรุกขชาติ คือ แหล่งรวบรวมพรรณไม้ของท้องถิ่นที่มีค่าทางเศรษฐกิจ รวมทังดอกไม้ที่มีในท้องถิ่นต่างๆ ส้าหรับศึกษาด้านพันธุ์ไม้สวยงาม และเป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจ 5. เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า หมายถึง พืนที่ที่ก้าหนดขึนเพื่อให้เป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์ป่าโดยปลอดภัย เพื่อว่าสัตว์ ป่าในพืนที่ดังกล่าว จะได้มีโอกาสสืบพันธุ์และขยายพันธุ์ตามธรรมชาติได้มากขึน ท้าให้สัตว์ป่าบางส่วนมี โอกาสกระจายจ้านวนออกไปในท้องที่แหล่งอื่น ๆ ที่อยู่ใกล้เคียง
  • 69. การกาหนดเขตพื้นที่ป่ าไม้ 6. พืนที่อนุรักษ์ธรรมชาติ หมายถึงพืนที่ธรรมชาติ เช่น เกาะ แก่ง ภูเขา ทะเลสาบ ซากดึกด้าบรรพ์ที่ควร อนุรักษ์ไว้เพื่อประโยชน์ต่อเศรษฐกิจและสังคม 7. พืนที่สงวนชีวาลัย หมายถึง พืนที่ที่ก้าหนดขึนเพื่อรักษาความหลากหลายทางพันธุกรรมของพืชและสัตว์ เพื่อเป็นแหล่งศึกษาวิจัยทางด้านวิทยาศาสตร์ 8. พืนที่มรดกโลก คือสถานที่ อันได้แก่ ป่าไม้ ภูเขา ทะเลสาบ ทะเลทราย อนุสาวรีย์ สิ่งก่อสร้างต่างๆ รวมไป ถึงเมือง ซึ่งคัดเลือกโดยองค์การยูเนสโกตังแต่ปี พ.ศ. 2515 เพื่อเป็นการบ่งบอกถึงคุณค่าของสิ่งที่ มนุษยชาติ หรือธรรมชาติได้สร้างขึนมา และควรจะปกป้องสิ่งเหล่านันได้อย่างไร เพื่อให้ได้ตกทอดไปถึง อนาคต @ ประเทศไทยมี 4 แห่ง โดย 3 แห่งแรกเป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรม ได้แก่ เมืองประวัติศาสตร์สุโขทัยและ เมืองบริวาร นครปประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยาและเมืองบริวาร แหล่งโบราณคดีบ้านเชียง และอีก แห่งเป็นแหล่งมรดกโลกทางธรรมชาติ ได้แก่ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวรและห้วยขาแข้ง จังหวัดอุทัยธานี 9. ป่าชายเลนอนุรักษ์ หมายถึง ป่าชายเลนที่สงวนไว้เพื่อสภาพแวดล้อมและระบบนิเวศ เป็นแหล่งเพาะพันธุ์ พืชและสัตว์น้าเศรษฐกิจ
  • 71. ทรัพยากรสัตว์ป่า เป็นประเภทที่ใช้แล้วเกิดทดแทนได้ปัจจุบันพบว่าจานวนลดลงและมีแนวโน้มลดลงเรื่อยๆ เนื่องจากพืนที่ป่าไม้ซึ่ง เป็นแหล่งที่อยู่อาศัย แหล่งหากิน และสืบพันธุ์ของสัตว์ป่าลดลง นอกจากนีการลดลงของสัตว์ป่ายังเกิดจากสาเหตุ อื่นๆอีกที่มนุษย์เป็นผู้กระทา เช่น การล่าสัตว์ป่าเพื่อประโยชน์ทางด้านเศรษฐกิจ เป็นต้น พระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2535 "สัตว์ป่า" ว่า "คือสัตว์ ทุกชนิด ไม่ว่า สัตว์บก สัตว์นา สัตว์ปีก แมลงหรือแมง ได้โดย สภาพ ธรรมชาติ ย่อมเกิด และดารง ชีวิต อยู่ในป่า หรือในนา และให้ หมายความ รวมถึง ไข่ของสัตว์ ป่าเหล่า นันทุกชนิดด้วย แต่ไม่ หมำยควำม รวมถึง สัตว์พำหนะ ที่ได้ จดทะเบียน ท้ำตั๋ว รูปพรรณ ตำมกฎหมำย ว่ำด้วยสัตว์ พำหนะ แล้ว และ สัตว์พำหนะ ที่ได้ มำจำก กำรสืบพันธุ์ ของสัตว์พำหนะ ดังกล่ำว" โดยแบ่งสัตว์ป่าไว้ 3 ประเภท คือ 1. สัตว์ป่าสงวน หมายถึง สัตว์ป่า ที่หายาก ซึ่งมีอยู่ ด้วยกัน 15 ชนิด คือ (1) นกเจ้าฟ้าหญิงสิรินธร (2) แรด (3) กระซู่ (4) กูปรีหรือโคไพร (5) ควายป่า (6) ละอองหรือละมัง (7) สมัน หรือเนือสมัน เคยมีในประเทศไทย แต่ปัจจุบันสูญพันธุ์แล้ว (8) เลียงผาหรือเยือหรือกูรา (9) กวางผา (10) นก แต้วแล้วท้องดา (11) นกกระเรียน (12) แมวลายหินอ่อน (13) สมเสร็จ (14) เก้งหม้อ (15) พะยูนหรือหมูนา (ห้ามล่า หรือห้ามมี ไว้ใน ครอบครอง ถือเป็น ความผิด เว้นแต่ ทาเพื่อ การศึกษา หรือวิจัย ทางวิชา การ หรือ เพื่อ กิจการ สวนสาธารณะ ทังนี ต้องได้รับ อนุญาต จากอธิบดี กรมป่าไม้)
  • 72.
  • 73. 2. สัตว์ป่า คุ้มครอง ประเภทที่ 1 หมายถึง สัตว์ป่า ซึ่งคน ไม่ใช้ เนือเป็น อาหาร ไม่ล่า เพื่อการ กีฬา เป็นสัตว์ ที่ทาลาย ศัตรูพืช หรือขจัด สิ่ง ปฏิกูล หรือเป็น สัตว์ป่า ที่ควร สงวนไว้ เพื่อประดับ ความงาม ตามธรรมชาต ิหรือสงวน ไว้เพื่อ ไม่ให้ ลด จานวน ลง สัตว์ป่า ห้ามไม่ให้ ล่าด้วย วิธีทา ให้ตาย เว้นแต่ จะท้ำ เพื่อกำร ศึกษำ วิจัยทำง วิชำกำร สัตว์ป่า ประเภท นีมี ด้วยกัน 166 รายการ ส่วนใหญ่ เป็นนก ได้แก่ นกกานา ทุกชนิด นกกระสา นกกระทาดง ไก่ฟ้า ทุกชนิด นกเค้า แมวทุกชนิด นกเงือกทุกชนิด นกตีทอง ฯลฯ นอกนัน ได้แก่ ค่างทุกชนิด ชะนีทุกชนิด ชะมด บ่าง แมวป่า ลิงลม หรือนางอาย ลิงทุกชนิด สมเสร็จ เสือลายเมฆ เสือไฟ เสือปลา หมีขอ อีเห็น เป็นต้น 3. สัตว์ป่า คุ้มครอง ประเภทที่ 2 หมายถึง สัตว์ป่า ซึ่งตามปกติ คนใช้เนือ เป็นอาหาร หรือล่า เพื่อการกีฬา สัตว์ป่าประเภท นีมีทังหมด 23 รายการ ด้วยกัน อาทิ กระทิง หรือเมย กระจงทุกชนิด กวาง วัวแดง หรือวัวดา หรือวัวเพลาะ เสือโครง เสือดาว หมีควาย หรือหมีดา หมีหมา หรือหมีคน อีเก้ง หรือฟาน ส่วนใหญ่ เป็นสัตว์ ประเภท นกอีก เช่นเดียวกัน ได้แก่ นกกระสา นกกระทา ไก่ป่า นกแขวก นกเป็ดนา นกปลาซ่อม ทุกชนิด นกพริก นกอีลุ้ม ฯลฯ ตามกฎหมำย อนุญำต ให้ล่ำได้ ให้มี ไว้ใน ครอบครอง ได้แต่ต้อง ได้รับ อนุญำต และมีใบอนุญำต ติดตัว อยู่ตลอด เวลำ
  • 74.
  • 75. หลักการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ 1. การใช้แบบยั่งยืน (sustainable utilization) หมายถึง การใช้ทรัพยากรธรรชาติอย่างเหมาะสมให้ได้ประโยชน์สูงสุด เมื่อใช้แล้วเกิดมลพิษน้อยสุดหรือไม่เกิดเลย หรือเมื่อเกิดของเสียและมลพิษในสิ่งแวดล้อมก็ต้องหาวิธีการบาบัด กาจัด ให้คืนสภาพหรือรีไซเคิล เพื่อให้มลพิษในสิ่งแวดล้อมลดน้อยลง 2. การเก็บกัก (storage) หมายถึง การรวบรวมและเก็บกักทรัพยากรที่มีแนวโน้มจะขาดแคลนได้ เพื่อเอาไว้ใช้ในอนาคต ซึ่งมีวัตถุประสงค์แตกต่างกันไป 3. การรักษาซ่อมแซม (repair) เมื่อทรัพยากรถูกทาลายโดยมนุษย์หรือโดยธรรมชาติก็ตามมีความจาเป็นที่จะต้องรักษา หรือซ่อมแซมให้กลับเป็นปกติ 4. การฟื้นฟู (rehabilitation) เมื่อทรัพยากรธรรมชาติเกิดความเสื่อมโทรมไปไม่ว่าจะมากหรือน้อยก็ตาม จึงมีความ จาเป็นที่จะต้องฟื้นฟูให้เป็นสภาพปกติเพื่อให้สามารถใช้ทรัพยากรได้อีก 5. การป้องกัน (prevention) การป้องกันเป็นวิธีการที่ปกป้องคุ้มครองทรัพยากรที่กาลังถูกทาลายหรือมีแนวโน้มว่าจะ ถูกทาลายให้สามารถอยู่ในสภาพปกติได้
  • 76. ชนิดพันธุ์ต่างถิ่นที่ส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศ  เอเลียนสปีชีส์ หมายถึงสิ่งมีชีวิตที่เกิดขึนในที่ที่แตกต่างจากพืนที่การแพร่กระจายตามธรรมชาติ โดยสามารถจาแนก ออกได้เป็น 2 ประเภท ตามบทบาทที่มีผลต่อระบบนิเวศ คือ 1. ชนิดพันธุ์ต่างถิ่นที่ไม่รุกราน จัดเป็นชนิดพันธุ์ต่างถิ่นที่ไม่มีผลกระทบต่อระบบนิเวศโดยตรง 2. ชนิดพันธุ์ต่างถิ่นที่รุกราน จัดเป็นชนิดพันธุ์ต่างถิ่นที่จะมาแทนที่พันธุ์พืนเมื่องเดิมที่มีอยู่ได้และยังสามารถขัดขาวงการ เจริญของพันธุ์อื่นๆ ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อระบบนิเวศ แนวทางและมาตรการในการป้องกัน 1. การระมัดระวัง 2. แนวทางบันไดสามขัน ได้แก่ 2.1 การป้องกัน 2.2 การสืบพบ 2.3 การกาจัด 3. แนวทางเชิงระบบนิเวศ 4. ความรับผิดชอบของคนในสังคม 5. การวิจัยและติดตาม 6. การให้การศึกษาและเสริมสร้างความตระหนักแก่สาธารณชน
  • 77. “THE END” THANK YOU FOR YOUR ATTENTION!