SlideShare a Scribd company logo
1 of 70
Download to read offline
เรื่อง ระบบหมุนเวียนเลือด
รายวิชาชีววิทยาเพิ่มเติม 2
ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2559
คุณครูฐิตารีย์ สาเภา
โรงเรียนท่ามะกาวิทยาคม
สานักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเขต 8 (กาญจนบุรี-ราชบุรี)
สืบค้นข้อมูล ทดลอง อภิปราย และอธิบายการลาเลียงในร่างกายของ
สัตว์บางชนิด
สืบค้นข้อมูล ทดลอง อภิปราย และสรุปเกี่ยวกับการลาเลียงสารใน
ร่างกายของคน
สืบค้นข้อมูล ศึกษา อภิปราย และสรุปเกี่ยวกับส่วนประกอบและ
หน้าที่ของเลือด
จุดประสงค์การเรียนรู้
 เพื่อให้เซลล์หรือทุกๆ เซลล์สามารถนาสารที่จาเป็นต่อการดารงชีวิตไปใช้ให้
เป็นประโยชน์ และสามารถนาสารที่เซลล์ไม่ต้องการมากาจัดออกนอกร่างกาย
 สัตว์ขนาดเล็ก โครงสร้างร่างกายไม่ซับซ้อน การลาเลียงสารอาศัยการแพร่
ระหว่างเซลล์กับสิ่งแวดล้อมหรือระหว่างเซลล์กับเซลล์
 สัตว์ชั้นสูง โครงสร้างร่างกายซับซ้อนจาเป็นจะต้องมีระบบลาเลียงสารที่มี
ประสิทธิภาพ
ความจาเป็นของการลาเลียงสาร
 สิ่งมีชีวิตเซลล์เดียว
 ไม่มีอวัยวะที่ทาหน้าที่เป็นระบบลาเลียงสาร
 โมเลกุลอาหารหรือก๊าชต่างๆ จะแพร่เข้าออก
ระหว่างเยื่อหุ้มเซลล์และสิ่งแวดล้อมโดยตรง
การลาเลียงสารในร่างกายสัตว์ที่ไม่มีระบบเลือด
โพรโตซัว
ฟองน้าและไฮดรา
 สิ่งมีชีวิตขนาดเล็ก
 การรับและกาจัดสารเกิดขึ้นโดยการแพร่ผ่าน
ช่องแกสโตรวาสคิวลาร์ (Gastrovascular
Cavity) ทาหน้าที่เป็นทั้งทางเดินอาหารและ
ระบบหมุนเวียน
 การรับและกาจัดสารเกิดขึ้นโดยการแพร่ผ่านช่อง แกสโตรวาสคิวลาร์
(Gastrovascular Cavity) ทาหน้าที่เป็นทั้งทางเดินอาหารและระบบหมุนเวียน
การลาเลียงสารในร่างกายสัตว์ที่ไม่มีระบบเลือด
หนอนตัวแบน (Flat worm)
 ไม่มีระบบเลือด
 ใช้การหมุนเวียนของเหลวใน Pseudo coelom
หนอนตัวกลม (P. Nematoda)
การลาเลียงสารในร่างกายสัตว์ไม่มีระบบเลือด
ดาวทะเล (P. Echinodermata)
 ใช้ระบบลาเลียงน้า (Water vascular
system) ในการแลกเปลี่ยนแก๊สกับสิ่งแวดล้อม
 มีท่อรัศมีที่แยกมาจากท่อวงแหวน เป็นทางน้า
ผ่านทาหน้าที่ลาเลียงนั่นเอง
 มีระบบลาเลียงที่มีประสิทธิภาพสูงเรียกว่า
ระบบหมุนเวียนเลือด (Circulatory
system)
 เลือด: เซลล์เม็ดเลือด และน้าเลือด ทา
หน้าที่ลาเลียงแก๊ส อาหาร ฮอร์โมน และ
ของเสีย
 หลอดเลือด: เป็นท่อลาเลียงเลือดและสาร
ต่างๆ ที่ละลายในเลือด ช่วยให้การ
ลาเลียงมีประสิทธิภาพสูง
 หัวใจ: เป็นอวัยวะที่ใช้ในการสูบฉีดเลือด
เกิดการไหลเวียนในหลอดเลือดได้
การลาเลียงสารในสัตว์ที่มีโครงสร้างร่างกายซับซ้อน
 ระบบหมุนเวียนเลือดแบบปิด (Clased circulatory system): เลือดจะไหลเวียน
ภายในท่อของหลอดเลือดและหัวใจตลอดเวลา พบในสัตว์พวกแอนเนลิดเป็นพวก
แรก
 ระบบหมุนเวียนเลือดแบบเปิด (Open circulatory system): เลือดออกจากหัวใจ
แล้วไม่ได้ไหลเวียนเฉพาะในหลอดเลือด แต่จะไหลผ่านช่องว่างของลาตัวและที่ว่าง
ระหว่างอวัยวะต่างๆ ในร่างกาย เลือดและน้าเหลืองปะปนกันและมีส่วนประกอบ
เหมือนกัน เรียกว่า Hemolymph และช่องว่างระหว่างเนื้อเยื่อที่เป็นทางผ่านของ
Hemolymph เรียกว่า Hemocoel
ระบบหมุนเวียนเลือด
 ระบบหมุนเวียนเลือดแบบเปิด
 หัวใจ (Heart): ส่วนของหลอดเลือดที่โป่งออก
 ซ้ายและขวาของหัวใจที่โป่งออก มีรูเล็กๆ ที่มีลิ้น
ปิด-เปิด เรียกว่า ออสเทีย (Ostia)
 จากหัวใจมีหลอดเลือดพาดตามยาวไปที่หัวของ
แมลง
 หัวใจบีบตัว: เลือดไหลไปตามหลอดเลือดและ
ปะปนในช่องว่างในลาตัว (Haemocel)
 หัวใจคลายตัว: ลิ้นหัวใจที่ Ostia เปิดเลือด
จากเนื้อเยื่อไหลเข้าสู่หัวใจ
 ลิ้นหัวใจเปิด-ปิดเป็นจังหวะเลือดไหลไปทาง
เดียวตลอด
ระบบหมุนเวียนเลือดในแมลง
 ระบบหมุนเวียนเลือดแบบเปิด
 ส่วนใหญ่มีหัวใจ 3 ห้อง สูบฉีดเลือดไหลออกจากเส้นเลือดไปสู่ช่องว่างลาตัวรอบ
อวัยวะต่างๆ จากนั้นไหลไปที่เหงือก แล้วกลับสู่หัวใจทางเส้นเลือด
ระบบหมุนเวียนเลือดในหอย
 พวกแรกที่มีระบบหมุนเวียนเลือดแบบปิด
 เลือด: น้าเลือด+เม็ดเลือด
 เฮโมโกลบิล ละลายอยู่ในน้าเลือดทาหน้าที่ลาเลียง
O2 ไปให้เซลล์
 ห่วงหลอดเลือดพองออกรอบๆ หลอดอาหาร
ประมาณ 5 ห่วง เรียกว่า หัวใจเทียม
(Pseudoheart) ทาหน้าที่สูบฉีดเลือด
 การแลกเปลี่ยนแก๊สเกิดที่เนื้อเยื่อและหลอดเลือด
ฝอย
 เลือดจากหลอดเลือดฝอยรวมตัวเป็นหลอดเลือด
ขนาดใหญ่และส่งเลือดสู่หลอดเลือดด้านหลัง เมื่อ
หลอดเลือดบีบตัวจะส่งเลือดเข้าหัวใจเทียม
ระบบหมุนเวียนเลือดในไส้เดือนดิน
 อวัยวะสูบฉีดเลือด 3 แห่ง
 Gill heart: มี 2 แห่ง ทาหน้าที่สูบฉีดเลือดที่มี O2 ต่า ที่ส่งมาจากอวัยวะภายในไป
ยังเหงือกเพื่อแลกเปลี่ยนแก๊ส
 Systemic heart: มี 1 แห่ง หน้าที่สูบฉีดเลือดที่มี O2 สูงไปยังอวัยวะภายในและ
เนื้อเยื่อต่างๆ
 เลือดที่มี O2 ที่ส่งมาจาก Systemic heart เป็นเลือดที่ฟอกแล้วจากเหงือก
ระบบหมุนเวียนเลือดในปลาหมึก
 มีหัวใจ 2 ห้อง : 1 Atrium และ 1 Ventricle
 เลือดที่ไหลผ่านหัวใจจะเป็นเลือดที่มี O2 ต่าเท่านั้น
 เลือดที่ใช้แล้วเข้าสู่หัวใจทาง Atrium และถูกส่งออกทาง Ventricle ไปยัง Gill เพื่อ
แลกเปลี่ยนแก๊ส
 เลือดที่ออกจาก Gill เป็นเลือดที่มี O2 มากจะถูกส่งไปเลี้ยงส่วนต่างๆ ของร่างกาย
ระบบหมุนเวียนเลือดในปลา
 มีหัวใจ 3 ห้อง: 2 Atrium และ 1 Ventricle
 Right Atrium: รับเลือดที่ใช้แล้วซึ่งมี CO2 สูงจากหลอดเลือด Vein
 Left Atrium: รับเลือดที่ฟอกแล้วจาก lung ซึ่งมี O2 สูง
 เลือดจาก Atrium ทั้ง 2 ถูกส่งมาที่ Ventricle ซึ่งเลือดจะปะปนกันเล็กน้อย
ระบบหมุนเวียนเลือดในสัตว์สะเทินน้าสะเทินบก
 มีหัวใจ 4 ห้อง แต่ผนังกล้ามเนื้อกั้นห้อง
Ventricle ยังแบ่งไม่สมบูรณ์
 ถือว่ามีหัวใจ 4 ห้อง ไม่สมบูรณ์ ยกเว้น
จระเข้ที่มีหัวใจ 4 ห้องสมบูรณ์
ระบบหมุนเวียนเลือดในสัตว์เลื้อยคลาน
 มีหัวใจ 4 ห้องสมบูรณ์: 2 Atrium และ 2 Ventricle
 มีประสิทธิภาพในการทางานสูงเพราะแยกเลือดที่มี O2 สูง และเลือดที่มี CO2 สูงออก
จากกันโดยเด็ดขาด
ระบบหมุนเวียนเลือดในนกและสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม
ระบบหมุนเวียนเลือดในสัตว์ต่างๆ
ระบบหมุนเวียนเลือดในสัตว์ต่างๆ
 หัวใจ (Heart)
 การเต้นของหัวใจ (conducting system)
 ความดันเลือด (Blood pressure)
 หลอดเลือด (Blood vessel)
 ส่วนประกอบของเลือด
 หมู่เลือดและการให้เลือด
โครงสร้างที่เกี่ยวข้องกับการหมุนเวียนเลือดในคน
 โครงสร้างของหัวใจ: กว้าง 9 cm ยาว 12 cm และหนา 5 cm
 กล้ามเนื้อหัวใจ: เนื้อเยื่อ 3 ชั้น:
 ชั้นนอก (Epicardium): ชั้นเยื่อหุ้มหัวใจ มีไขมันมาก ผนังด้านนอกมีหลอด
เลือดนาเลือดมาเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจ เรียกว่า Coronary artery
 ชั้นกลาง (Myocardium): หนาที่สุด ประกอบขึ้นจาก Cardiac muscle
 ชั้นใน (Endocardium): ประกอบด้วยเนื้อเยื่อบุผิวกล้ามเนื้อเรียบและเนื้อเยื่อ
เกี่ยวพัน
หัวใจ (HEART)
 การหดตัวและคลายตัวเป็นจังหวะเลือดสูบฉีดไปเลี้ยงทั่วร่างกาย
 หัวใจคนมีอัตราการเต้นประมาณ 72 ครั้ง/นาที
 กล้ามเนื้อหัวใจมีเนื้อเยื่อพิเศษ สามารถบีบตัวได้เอง
 ขณะกล้ามเนื้อหัวใจหดและคลายตัวชักนาให้เกิดความต่างศักย์ไฟฟ้า
 เครื่องมือที่ใช้วัดความต่างศักย์ไฟฟ้าของหัวใจเรียกว่า Electrocardiogram
(เครื่องตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ) แสดงผลเป็นกราฟ  แพทย์ใช้ตรวจสอบการเต้นของ
หัวใจ วินิจฉัยโรคเกี่ยวกับหัวใจ
หัวใจ (HEART) : การทางานของกล้ามเนื้อหัวใจ
 มี 4 ห้อง: 2 Atrium และ 2 Ventricle
 Right Atrium: หัวใจห้องบนขวา ขนาด
เล็ก ผนังกล้ามเนื้อบาง รับเลือดที่ใช้แล้ว
จาก Superior vena cava (เลือดจากหัว
และแขน) และ Inferior vena cava (เลือด
จากลาตัว และขา)
 Right Ventricle: หัวใจห้องล่างขวา ขนาด
เล็ก ช่องภายในเป็นรูปสามเหลี่ยม หน้าที่รับ
เลือดจาก Right Atrium แล้วส่งไปฟอกที่
ปอด โดยส่งไปทาง Pulmonary artery
หัวใจ (HEART) : ห้องหัวใจ
 มี 4 ห้อง: 2 Atrium และ 2 Ventricle
 Left Atrium: หัวใจห้องบนซ้าย ขนาดเล็ก
ผนังบาง หน้าที่รับเลือดที่ฟอกแล้ว
(Oxygenated blood) จากปอดที่ลาเลียง
มากับหลอดเลือด Pulmonary vein
 Left Ventricle: หัวใจห้องล่างซ้าย ผนัง
กล้ามเนื้อหนาที่สุด หน้าที่รับเลือดจาก Left
Atrium แล้วสูบฉีดไปเลี้ยงส่วนต่างๆ ของ
ร่างกาย โดยส่งไปทาง หลอดเลือด Aorta
หัวใจ (HEART) : ห้องหัวใจ
หัวใจ (HEART) : การทางานของหัวใจห้องต่างๆ
หัวใจ (HEART) : ลิ้นหัวใจ
 ป้องกันเลือดไม่ให้ไหลย้อนกลับ
 Tricuspid valve:
 อยู่ระหว่างหัวใจห้อง Right
Atrium กับ Right Ventricle
 ลักษณะเป็น 3 แผ่น
 ลิ้นหัวใจนี้ฝังตัวอยู่ในผนังหัวใจ
ห้อง Ventricle โดยอาศัย
chordae tendineae เป็นตัวยืด
เพื่อควบคุมการเปิดปิดลิ้น
 ป้องกันไม่ให้เลือดใน Ventricle
ไหลย้อนกลับขึ้นสู่ Atrium
หัวใจ (HEART) : ลิ้นหัวใจ
 ป้องกันเลือดไม่ให้ไหลย้อนกลับ
 Pulmonary valve หรือ
Semilunar valve :
 อยู่ที่โคนของหลอดเลือด
Pulmonary artery
 ลักษณะเป็นถุงรูปพระจันทร์ครึ่ง
เสี้ยว 3 ใบบรรจบกันแต่ไม่ยึด
ติดกันด้วย chordae tendineae
 หน้าที่กั้นไม่ให้เลือดไหลกลับลงสู่
Right Ventricle
หัวใจ (HEART) : ลิ้นหัวใจ
 ป้องกันเลือดไม่ให้ไหลย้อนกลับ
 Bicuspid valve หรือ Mitral valve:
 อยู่ระหว่างหัวใจห้อง Left
Atrium และ Left Ventricle
 คล้ายกับ Tricuspid valve แต่มี
2 แผ่น ยึดติดกันด้วยเนื้อเยื่อ
เกี่ยวพัน chordae tendineae
 หน้าที่กั้นไม่ให้เลือดใน Left
Ventricle ไหลย้อนกลับขึ้นไปที่
Left Atrium
หัวใจ (HEART) : ลิ้นหัวใจ
 ป้องกันเลือดไม่ให้ไหลย้อนกลับ
 Aortic valve หรือ Semilunar
valve :
 อยู่ที่โคนของหลอดเลือด Aorta
 ลักษณะเป็นวงรูปพระจันทร์ครึ่ง
เสี้ยว
 หน้าที่ป้องกันไม่ให้เลือดไหล
ย้อนกลับลงมาใน Left
Ventricle
หัวใจ (HEART) : ลิ้นหัวใจ
 เกิดจากการบีบตัวและคลายตัวของกล้ามเนื้อ
หัวใจเป็นจังหวะสม่าเสมอ เรียกว่า ชีพจร
 วัดได้จากหลอดเลือดแดงหรือ artery วัด
เป็นจานวนครั้งต่อนาที เรียกว่า อัตราการเต้น
ของหัวใจ
 คนปกติมีอัตราการเต้นอยู่ระหว่าง 72-85
ครั้ง/นาที ขึ้นอยู่กับ กิจกรรมที่ทา อายุ วัย
และเพศ
 การบีบและคลายตัวของกล้ามเนื้อหัวใจส่งผล
ให้เกิดความต่างศักย์ไฟฟ้า เรียกว่า
คลื่นไฟฟ้าหัวใจ (electrocardiogram)
หัวใจ (HEART) : การเต้นของหัวใจ
 SA node นากระแสความรู้สึกได้เอง เพราะมีผู้ให้จังหวะคือ pace marker
 เริ่มจาก SA node กระจายความรู้สึกไปให้ เอเตรียมซ้ายatrium ขวาและซ้าย
บีบตัวส่งกระแสประสาทไปยัง AV node ที่ฐานของ atrium ขวา
หัวใจ (HEART) : กลไกการเต้นของหัวใจ
 AV node ส่งความรู้สึกไปไม่ทั่ว Ventricle  Ventricle ไม่สามารถบีบตัว
ก่อนที่ Atrium คลายตัว
 บริเวณ AV node มี bundle of his เป็นเส้นใยแยกไป Ventricle ซ้ายและขวา
โดยแตกเป็นกิ่งเล็กๆ เรียกว่า purkinje fiber กระตุ้นให้ Ventricle บีบตัว
พร้อมกันบีบตัวมาก เกิดแรงดันเลือดส่งไปตามกระแสเลือดทั่วร่างกาย
 เครื่องมือตรวจฟังของแพทย์ : stetoscope
หัวใจ (HEART) : กลไกการเต้นของหัวใจ
 เกิดจากการบีบตัวของหัวใจห้องเวนตริเคิลซ้าย ทา
ให้เลือดไหลออกจากหลอดเลือดแดงเอออร์ตา
 ความดันซิสโทลิก (systolic pressure) เป็น
ค่าสูงสุดที่หัวใจบีบตัวปกติ คนปกติมีค่าประมาณ
120 mmHg
 ความดันไดแอสโทลิก (diastolic pressure) :
เป็นค่าความดันที่หัวใจกาลังคลายตัว ปกติมี
ค่าประมาณ 80 mmHg
 บันทึกค่าความดัน 2 ค่าเป็น 120/80
 ขณะนอนราบกับพื้น ความดันปลายเท้าใกล้เคียง
ความดันที่อก เลือดหมุนเวียนในแนวนอน
 ขณะยืนความดันบริเวณขาสูงที่สุด และศีรษะน้อย
ที่สุด เพราะเลือดไหลลงตามแรงดึงดูดของโลก
ความดันเลือด (BLOOD PRESSURE : BP)
 ความดันเลือดต่า (Hypotension): สภาวะที่ความดันเลือดในขณะพักต่ากว่า
ความดันปกติของคนทั่วไป ในเพศและวัยเดียวกัน
 ความดันเลือดสูง (Hypertension): สภาวะที่ความดันเลือดในขณะพักสูงกว่า
ความดันปกติของคนทั่วไป ในเพศและวัยเดียวกัน
ความผิดปกติเกี่ยวกับความดันเลือด
หลอดเลือด (BLOOD VESSEL)
หลอดเลือด (BLOOD VESSEL)
 ระบบอาร์เทอรี (Arterial system) : มีทิศทางออกจากหัวใจไปยังปอดและส่วน
ต่างๆ ของร่างกาย
 ระบบเวน (Venous system): ทิศทางออกจากปอด และส่วนต่างๆ ของร่างกาย
และมีทิศเข้าสู่หัวใจ
 ระบบหลอดเลือดฝอย (Capillarial system): แทรกอยู่ตามเนื้อเยื่อ และเชื่อมต่อ
ระหว่างระบบอาร์เทอรี กับ ระบบเวน
 เรียงลาดับจากหัวใจต่อเนื่องไปจากใหญ่ไปเล็ก : AortaArteryArteriole
ระบบอาร์เทอรี (ARTERIAL SYSTEM)
 ชั้นนอกสุด: เป็นเนื้อเยื่อเกี่ยวพันมี
หลอดเลือดซาวาโซรัมมาเลี้ยงผนัง
หลอดเลือด
 ชั้นกลาง: ชั้นกล้ามเนื้อเรียบและ
เนื้อเยื่อเกี่ยวพัน มี Elastic fibers
ทาให้ยืดหยุ่นได้ดี
 ชั้นในสุด: เนื้อเยื่อบุผิวแบนบางและ
เนื้อเยื่อเกี่ยวพัน มี Elastic fibers
โครงสร้างและหน้าที่ของหลอดเลือดระบบอาร์เทอรี
 ขนาดเล็ก ผนังบาง
 ประกอบด้วยเซลล์เอนโดทีเลียล เรียง
ตัวชั้นเดียว
 ไม่มีกล้ามเนื้อและเส้นใยอิลาสติน
 สานกันเป็นร่างแหตามเนื้อเยื่อ
เชื่อมต่อระหว่าง อาร์เทอริโอล
และเวนูล
 ทาหน้าที่แลกเปลี่ยนอาหาร แก๊ส และ
สารต่างๆ
ระบบหลอดเลือดฝอย (CAPILLARY)
 หน้าที่นาเลือดจากปอดและส่วนต่างๆ
ของร่างกายกลับเข้าหัวใจ
 Vena cavaVeinVenule
 มีผนัง 3 ชั้น
 ผนังบางกว่า อาร์เทอรีเนื่องจาก
กล้ามเนื้อน้อยกว่า
 แรงดันเลือดในหลอดเลือดเวนต่ากว่า
อาร์เทอรี ใกล้หัวใจแรงดันเลือดจะต่า
เนื่องจากอยู่ห่างแรงบีบของหัวใจ
 ผนังยืด ขยายได้
 หลอดเลือนเวนขนาดใหญ่จะมีลิ้นกั้น
เป็นระยะ ป้องกันไม่ให้เลือดไหล
ย้อนกลับ ยกเว้น pulmonary vein
หลอดเลือดเวน
 veinใหญ่ๆจะมี one-way valve กั้น ที่ยอมให้เลือดไหลเข้าสู่หัวใจเท่านั้น
หลอดเลือดเวน
ความดันเลือดในหลอดเลือดต่างๆ
 ให้นักเรียนเปรียบเทียบหลอดเลือดอาร์เทอรี เวน และหลอดเลือดฝอยในหัวข้อ
 1. ทิศทางการไหลของเลือดในหลอดเลือด
 2. ลักษณะของเลือดในหลอดเลือด
 3. ลิ้นในหลอดเลือด
 4. ความหนาของผนังหลอดเลือด
 5. ปริมาณเลือดในหลอดเลือด
 6. การมองเห็นจากภายนอก
 7. ความเร็วของกระแสเลือดในหลอดเลือด
 8. การไหลของเลือดในหลอดเลือด
 9. แรงดันเลือด
หลอดเลือด
เลือดเป็นเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน
พลาสมา (plasma): ของเหลว = น้าเลือด
เซลล์เม็ดเลือด (blood corpuscle):
เซลล์เม็ดเลือดแดง เซลล์เม็ดเลือดขาว
และเพลตเลต
ส่วนประกอบของเลือด
ของเหลวใส
หน้าที่ลาเลียงสาร
H2O 90% : ตัวพาเซลล์เม็ดเลือดให้หมุนเวียน
ในหลอดเลือด
Protein: albumin ทาให้เกิดแรงดันออสโม
ซิส, α-globulin เป็นตัวพา bilirubin ไปที่
ตับ, ß-globulin เป็นส่วนประกอบของ
antibody, fibrinogen และ prothrombin
เกี่ยวข้องกับการแข็งตัวของเลือด
 น้าตาล ไขมัน แอนติบอดี เซรัม และของเสีย
ส่วนประกอบของเลือด : พลาสมา (PLASMA)
 สร้างจากไขกระดูก (bone marrow)
 ในไขกระดูก: มีนิวเคลียส,
 เข้าหลอดเลือด นิวเคลียสของ RBC และ
platelets สลายไป
 Red blood cell : RBC หรือ erythrocyte
 White blood cell : WBC หรือ leucocyte
 platelets
ส่วนประกอบของเลือด : เซลล์เม็ดเลือด (BLOOD CELL)
 รูปร่าง : กลม ตรงกลางบุ๋ม พื้นผิวเป็นโปรตีน
Hemoglobin มีธาตุเหล็กเป็นองค์ประกอบ
 ระยะเอ็มบริโอ : สร้างจากถุงไข่แดง (yolk sac),
ม้าม (spleen), ตับ ต่อมน้าเหลือง ไขกระดูก
 หลังคลอด สร้างที่ไขกระดูก
 ขณะสร้าง : เม็ดเลือดแดงมีนิวเคลียส
 อายุ: 100-120 วัน
 โตเต็มที่ : นิวเคลียสสลายพร้อมไมโทคอนเดรีย
และไรโบโซม
 ทาลายเซลล์เม็ดเลือดแดง: ตับ ม้าม
 หน้าที่: ขนส่ง O2 ลาเลียง O2 ไปเลี้ยงร่างกาย
โดย O2 จับกับ hemoglobin ได้เป็น
oxyhemoglobin
RED BLOOD CELL
 โตกว่า จานวนน้อยกว่าเม็ดเลือดแดง มี
นิวเคลียส
 อายุ: 2-3 วัน
 สร้างจาก: ไขกระดูก ม้าม ต่อมไทมัส ต่อม
น้าเหลือง
 ถูกทาลาย: โดยเชื้อโรค
 จานวนเพิ่มขึ้นเมื่อติดเชื้อ (infection)
 เด็ก > ผู้ใหญ่
 หน้าที่: ป้องกันหรือทาลายเชื้อโรคและต่อต้าน
สิ่งแปลกปลอมที่เข้าสู่ร่างกาย โดยวิธี
phagocytosis
 แบ่งเป็น 2 ชนิด: granulocyte และ
agranulocyte
WHITE BLOOD CELL
 อยู่ในไซโทพลาซึม มีนิวเคลียสใหญ่คอดเป็นพู (lobe) มี 3 ชนิด
 Neutrophil: แกรนูลละเอียด ติดสีชมพู นิวเคลียสแยกเป็นพู
หน้าที่จับแบคทีเรีย โดย phagocytosis มี lysosome มาย่อย
เรียกว่า microphage
 Basophil: แกรนูลใหญ่ ย้อมติดสีม่วง นิวเคลียสคล้ายตัว S ทา
หน้าที่สร้าง histamine serotonin (ทาให้กล้ามเนื้อผนังหลอด
เลือดหดตัว) และเฮปารีน (ทาให้เลือดในหลอดเลือดเหลว
ตลอดเวลา) หน้าที่กินแบคทีเรีย ช้ามาก
GRANULOCYTE
Eosinophil/acidophil: แกรนูลน้อย ย้อมติดสีชมพู
นิวเคลียส 2 พู หน้าที่จับแบคทีเรีย โดย phagocytosis
กาจัดฤทธิ์ของ histamin ที่ปล่อยออกมาจากโรคภูมิแพ้
GRANULOCYTE
 นิวเคลียสใหญ่ มี 2 ชนิด
 Lymphocyte: นิวเคลียสกลม เกือบเต็ม
เซลล์ เคลื่อนที่ได้ หน้าที่สร้างแอนติบอดี
สร้างสารต่อต้านสิ่งแปลกปลอม
 มี 2 ชนิด คือ T-cell (สร้างที่กระดูก
เจริญที่ต่อมไทมัส) และ B-cell (สร้าง
และเจริญในไขกระดุก)
 Monocyte: ใหญ่ที่สุด นิวเคลียสรีคล้าย
รูปไตเกือบเต็มเซลล์ ทาลายสิ่ง
แปลกปลอม เคลื่อนที่ได้โดยวิธี
phagocytosis ทางานร่วมกับ
Neutrophil กินสิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่
เรียกว่า macrophage
 เม็ดเลือดขาวสามาเคลื่อนที่ผ่านผนัง
หลอดเลือดออกมาที่เนื้อเยื่อได้
AGRANULOCYTE
WHITE BLOOD CELL
 รูปร่างไม่แน่นอน ชิ้นเล็กๆ ในน้าเลือด
 เกิดจาก: cytoplasm และ megakaryocyte
ในไขกระดูก
 megakaryocyte 1 cell สร้าง platelets ได้
3,000-4,000 platelets
 ไม่มีนิวเคลียส
 เลือด 1 ml มี 250,000 platelets
 อายุ: ประมาณ 7-10 วัน
PLATELETS
กลไกการแข็งตัวของเลือด
Thromboplastin Thrombin Fibrin
 ขั้นที่ 1 : Thromboplastin จาก platelet และเนื้อเยือที่ได้รับอันตราย
 ขั้นที่ 2 : Thromboplastin เปลี่ยน Prothrombin ให้เป็น Thrombin โดย
อาศัย Ca2+ และปัจจัยในการแข็งตัวของเลือดใน plasma
 ขั้นที่ 3 : Thrombin ไปเปลี่ยน Fibrinogen เป็น Fibrin
 ขั้นที่ 4 : Fibrin เส้นเล็กๆ รวมตัวเป็นเส้นใยไฟบริน และไปประสานกันเป็น
ร่างแห และมี platelet เม็ดเลือดต่างๆ มาเกาะติดอยู่ภายใน เกิดเป็นก้อนแข็ง
ร่างแห Fibrin หดตัวรัดเข้าช่วยตึงบาดแผลให้เข้าชิดกันและปิดปากแผล
 หลังการแข็งตัวของเลือด: ของเหลวในร่างแหไฟบรินถูกบีบออกข้างนอก เป็นน้า
ใสๆ เรียกว่า Serum ซึ่งไม่มี Fibrinogen หรือ Fibrin
กลไกการแข็งตัวของเลือด (BLOOD CLOTTING)
 เยื่อหุ้มเซลล์ของเม็ดเลือดแดงมีสารไกลโคโปรตีน (Antigen) หลายชนิด ทาให้
จาแนกหมูเลือดในร่างกายออกเป็นหมู่ต่างๆ เช่น ระบบ ABO ระบบ Rh และระบบ
MN
 Antibody อยู่ใน plasma
หมู่เลือดและการให้เลือด
หมู่เลือดระบบ ABO
การตรวจสอบหมู่เลือด
หมู่เลือด Anti-A serum Anti-B serum
O - -
A + -
B - +
AB + +
- หมายถึง ไม่เกิดการตกตะกอนของเลือด
+ หมายถึง เกิดการตกตะกอนของเลือด
การให้และรับเลือด
 Rh+: มี Antigen Rh ที่เยื่อหุ้มเซลล์เม็ดเลือดแดง ไม่มี Antibody Rh ในพลาสมา
 Rh-: ไม่มีทั้ง Antigen Rh ที่เยื่อหุ้มเซลล์เม็ดเลือดแดง และ Antibody Rh ใน
พลาสมา แต่สามารถสร้าง antibody ได้เมื่อได้รับการกระตุ้นจาก Antigen
 Rh- รับเลือดได้จากคนที่มี Rh- เหมือนกันเท่านั้น
 Rh+ รับเลือดได้ทั้งชนิด Rh+ และ Rh-
หมู่เลือดระบบ RH
หมู่เลือดระบบ RH
 ถ้าผู้รับเลือด Rh- ได้รับเลือด Rh+ เข้าไป ร่างกายของผู้รับจะสร้าง Antibody Rh
ขึ้น ในตอนแรกยังไม่เป็นอันตราย แต่ถ้าได้รับเลือด Rh+ ในครั้งต่อไป Antibody Rh
ในร่างกายผู้รับจะต่อต้าน Antigen Rh ของผู้ให้ทาให้เป็นอันตราย
 ถ้ามารดามี Rh- แต่ลูกมี Rh+ เลือดจากทารก Rh+ ผ่านเข้าไปในระบบเลือดของ
มารดา กระตุ้นให้เลือดของมารดาสร้าง Antibody Rh และ Antibody จะทา
ปฏิกิริยาต่อแอนติเจน Rh ที่เยื่อหุ้มเซลล์เม็ดเลือดแดงของลูก ทาให้เซลล์เม็ดเลือด
แดงจับตัวและถูกทาลาย เกิดอันตรายถึงขั้นเสียชีวิต เรียกว่า erythroblastosis
fetalis
1. คุณสมบัติที่ทาให้ผิวหนังของไส้เดือนดินสามารถเปลี่ยนก๊าชได้คือ
 ก หนาและมีขนช่วยพัดโบกออกซิเจน
 ข ชุ่มชื้นและมีต่อมมากมาย
 ค มีพื้นที่ผิวมาก
 ง บางและชุ่มชื้น
แนวข้อสอบ
2. เหตุใดการแลกเปลี่ยนแก๊สผ่านเหงือกของสัตว์น้าจึงเกิดได้น้อยกว่าการ
แลกเปลี่ยนแก๊สผ่านปอดของสัตว์บก
 ก เหงือกมีพื้นที่ผิวน้อยกว่าปอด
 ข น้ามีความหนาแน่นมากกว่าอากาศ
 ค ออกซิเจนละลายน้าได้น้อยกว่าในอากาศ
 ง ความชื้นที่เหงือกมีมากเกินไปจนรบกวนการแลกเปลี่ยน
แนวข้อสอบ
3. ในขณะที่เกิดการบีบตัวของเวนตริเคิล โครงสร้างใดในหัวใจของสัตว์เลี้ยง
ลูกด้วยนมทาหน้าที่ป้องกันไม่ให้เลือดไหลเข้าไปยังเอเทียม
ก ลิ้นเซมิลูนาร์
ข ไซนัสเวโนซัส
ค ไซโนแอเทรียลโนด
ง ลิ้นแอทริโอเวนทริคูลาร์
แนวข้อสอบ
4. ข้อใดไม่ถูกต้อง เกี่ยวกับระบบหมุนเวียนเลือด
ก เลือดจากปอดที่นาออกซิเจนไปให้กล้ามเนื้อหัวใจ ต้องผ่านลิ้น
ไตรคัสปิดและเซมิลูนาร์ในหัวใจ
ข ความดันเลือดในพัลโมนารีอาร์เตอรี สูงกว่าในพัลโมนารีเวน
ค อัตราการเต้นของหัวใจ สามารถวัดได้จากการเต้นของชีพจร
ง ถ้าโคโรนารีอาร์เตอรี ตีบหรือแห้ง จาทาให้กล้ามเนื้อหัวใจตาย
แนวข้อสอบ
5. กรณีในข้อใดที่ทาให้ทารกในครรภ์คนที่ 2 มีโอกาสเกิด อีรีโทรบลาสโทซิส
ฟีทาลิส
ก แม่มีหมู่เลือด Rh+ ทารกในครรภ์คนแรกมีหมู่เลือด Rh+ คนที่ 2
มีหมู่เลือด Rh-
ข แม่มีหมู่เลือด Rh+ ทารกในครรภ์คนแรกและคนที่ 2 มีหมู่เลือด
Rh-
ค แม่มีหมู่เลือด Rh- ทารกในครรภ์คนแรกมีหมู่เลือด Rh- คนที่ 2 มี
หมู่เลือด Rh+
ง แม่มีหมู่เลือด Rh- ทารกในครรภ์คนแรกและคนที่ 2 มีหมู่เลือด
Rh+
แนวข้อสอบ
6. ข้อใดถูกต้องเกี่ยวกับหมู่เลือด
ก คนที่มีหมู่เลือด O สามารถรับเลือดจากคนหมู่เลือด B ได้โดยไม่
เป็นอันตราย เพราะหมู่เลือด O ไม่มีแอนติเจน A ที่จับกับแอนติบอดี A ของ
หมู่เลือด B
ข คนที่มีหมู่เลือด A ไม่สามารถรับเลือดจากคนหมู่เลือด AB ได้
เพราะแอนติเจน B จากหมู่เลือด AB จะจับกับแอนติบอดี B ของหมู่เลือด A
ค. คนที่มีหมู่เลือด Rh- สามารถรับเลือดได้จากทั้งหมู่เลือด Rh- และ
Rh+
ง แม่ที่มีหมู่เลือด Rh+ ถ้ามีทารกในครรภ์คนที่ 2 หรือ 3 เป็น Rh-
อาจทาให้ทารกเกิดอีรีโทรบลาสโทซิสฟีทาลิสได้
แนวข้อสอบ
ระบบหมุนเวียนเลือด

More Related Content

What's hot

ระบบขับถ่าย
ระบบขับถ่าย ระบบขับถ่าย
ระบบขับถ่าย Thitaree Samphao
 
ระบบหายใจ
ระบบหายใจ ระบบหายใจ
ระบบหายใจ Thitaree Samphao
 
ใบงานที่ 13 การแบ่งเซลล์แบบไมโทซิส
ใบงานที่ 13 การแบ่งเซลล์แบบไมโทซิสใบงานที่ 13 การแบ่งเซลล์แบบไมโทซิส
ใบงานที่ 13 การแบ่งเซลล์แบบไมโทซิสAomiko Wipaporn
 
ระบบหมุนเวียนเลือด
ระบบหมุนเวียนเลือดระบบหมุนเวียนเลือด
ระบบหมุนเวียนเลือดWan Ngamwongwan
 
การสังเคราะห์ด้วยแสงของพืช
การสังเคราะห์ด้วยแสงของพืชการสังเคราะห์ด้วยแสงของพืช
การสังเคราะห์ด้วยแสงของพืชsukanya petin
 
การสืบพันธุ์ของพืชดอกโครงสร้างดอก
การสืบพันธุ์ของพืชดอกโครงสร้างดอกการสืบพันธุ์ของพืชดอกโครงสร้างดอก
การสืบพันธุ์ของพืชดอกโครงสร้างดอกThanyamon Chat.
 
โครงสร้างและหน้าที่ของใบ
โครงสร้างและหน้าที่ของใบโครงสร้างและหน้าที่ของใบ
โครงสร้างและหน้าที่ของใบThanyamon Chat.
 
บทที่ 1 ชีวิตกับสิ่งแวดล้อม
บทที่ 1 ชีวิตกับสิ่งแวดล้อมบทที่ 1 ชีวิตกับสิ่งแวดล้อม
บทที่ 1 ชีวิตกับสิ่งแวดล้อมWichai Likitponrak
 
ระบบน้ำเหลืองและระบบภูมิคุ้มกัน
ระบบน้ำเหลืองและระบบภูมิคุ้มกัน ระบบน้ำเหลืองและระบบภูมิคุ้มกัน
ระบบน้ำเหลืองและระบบภูมิคุ้มกัน Thitaree Samphao
 
6แบบทดสอบการลำเลียงสารผ่านเซลล์
6แบบทดสอบการลำเลียงสารผ่านเซลล์6แบบทดสอบการลำเลียงสารผ่านเซลล์
6แบบทดสอบการลำเลียงสารผ่านเซลล์สำเร็จ นางสีคุณ
 
ชีววิทยาเรื่องการหายใจ respiration system
ชีววิทยาเรื่องการหายใจ respiration system ชีววิทยาเรื่องการหายใจ respiration system
ชีววิทยาเรื่องการหายใจ respiration system kasidid20309
 
ชีววิทยาเรื่องระบบไหลเวียนเลือด circulatory system
ชีววิทยาเรื่องระบบไหลเวียนเลือด circulatory systemชีววิทยาเรื่องระบบไหลเวียนเลือด circulatory system
ชีววิทยาเรื่องระบบไหลเวียนเลือด circulatory systemkasidid20309
 
แบบรายงานการแสดงทางวิทยาศาสตร์
แบบรายงานการแสดงทางวิทยาศาสตร์แบบรายงานการแสดงทางวิทยาศาสตร์
แบบรายงานการแสดงทางวิทยาศาสตร์สมศรี หอมเนียม
 
การรับรู้และตอบสนอง
การรับรู้และตอบสนอง การรับรู้และตอบสนอง
การรับรู้และตอบสนอง Thitaree Samphao
 
บทที่ 1 พันธุกรรมกับหมู่เลือด
บทที่ 1 พันธุกรรมกับหมู่เลือดบทที่ 1 พันธุกรรมกับหมู่เลือด
บทที่ 1 พันธุกรรมกับหมู่เลือดPinutchaya Nakchumroon
 
การแลกเปลี่ยนแก๊ส การคายน้ำ และการลำเลียงสารในพืช
การแลกเปลี่ยนแก๊ส การคายน้ำ และการลำเลียงสารในพืชการแลกเปลี่ยนแก๊ส การคายน้ำ และการลำเลียงสารในพืช
การแลกเปลี่ยนแก๊ส การคายน้ำ และการลำเลียงสารในพืชLi Yu Ling
 
โครงงานวิทยาศาสตร์ประเภททดลอง เรื่อง การทดลองการเจริญเติบโตของยีสต์ในน้ำหมักช...
โครงงานวิทยาศาสตร์ประเภททดลอง เรื่อง การทดลองการเจริญเติบโตของยีสต์ในน้ำหมักช...โครงงานวิทยาศาสตร์ประเภททดลอง เรื่อง การทดลองการเจริญเติบโตของยีสต์ในน้ำหมักช...
โครงงานวิทยาศาสตร์ประเภททดลอง เรื่อง การทดลองการเจริญเติบโตของยีสต์ในน้ำหมักช...ssuser858855
 
บรรยากาศ
บรรยากาศบรรยากาศ
บรรยากาศSupaluk Juntap
 

What's hot (20)

ระบบย่อยอาหาร (Digestive System)
ระบบย่อยอาหาร (Digestive System)ระบบย่อยอาหาร (Digestive System)
ระบบย่อยอาหาร (Digestive System)
 
ระบบขับถ่าย
ระบบขับถ่าย ระบบขับถ่าย
ระบบขับถ่าย
 
ระบบหายใจ
ระบบหายใจ ระบบหายใจ
ระบบหายใจ
 
ย่อยอาหาร
ย่อยอาหารย่อยอาหาร
ย่อยอาหาร
 
ใบงานที่ 13 การแบ่งเซลล์แบบไมโทซิส
ใบงานที่ 13 การแบ่งเซลล์แบบไมโทซิสใบงานที่ 13 การแบ่งเซลล์แบบไมโทซิส
ใบงานที่ 13 การแบ่งเซลล์แบบไมโทซิส
 
ระบบหมุนเวียนเลือด
ระบบหมุนเวียนเลือดระบบหมุนเวียนเลือด
ระบบหมุนเวียนเลือด
 
การสังเคราะห์ด้วยแสงของพืช
การสังเคราะห์ด้วยแสงของพืชการสังเคราะห์ด้วยแสงของพืช
การสังเคราะห์ด้วยแสงของพืช
 
การสืบพันธุ์ของพืชดอกโครงสร้างดอก
การสืบพันธุ์ของพืชดอกโครงสร้างดอกการสืบพันธุ์ของพืชดอกโครงสร้างดอก
การสืบพันธุ์ของพืชดอกโครงสร้างดอก
 
โครงสร้างและหน้าที่ของใบ
โครงสร้างและหน้าที่ของใบโครงสร้างและหน้าที่ของใบ
โครงสร้างและหน้าที่ของใบ
 
บทที่ 1 ชีวิตกับสิ่งแวดล้อม
บทที่ 1 ชีวิตกับสิ่งแวดล้อมบทที่ 1 ชีวิตกับสิ่งแวดล้อม
บทที่ 1 ชีวิตกับสิ่งแวดล้อม
 
ระบบน้ำเหลืองและระบบภูมิคุ้มกัน
ระบบน้ำเหลืองและระบบภูมิคุ้มกัน ระบบน้ำเหลืองและระบบภูมิคุ้มกัน
ระบบน้ำเหลืองและระบบภูมิคุ้มกัน
 
6แบบทดสอบการลำเลียงสารผ่านเซลล์
6แบบทดสอบการลำเลียงสารผ่านเซลล์6แบบทดสอบการลำเลียงสารผ่านเซลล์
6แบบทดสอบการลำเลียงสารผ่านเซลล์
 
ชีววิทยาเรื่องการหายใจ respiration system
ชีววิทยาเรื่องการหายใจ respiration system ชีววิทยาเรื่องการหายใจ respiration system
ชีววิทยาเรื่องการหายใจ respiration system
 
ชีววิทยาเรื่องระบบไหลเวียนเลือด circulatory system
ชีววิทยาเรื่องระบบไหลเวียนเลือด circulatory systemชีววิทยาเรื่องระบบไหลเวียนเลือด circulatory system
ชีววิทยาเรื่องระบบไหลเวียนเลือด circulatory system
 
แบบรายงานการแสดงทางวิทยาศาสตร์
แบบรายงานการแสดงทางวิทยาศาสตร์แบบรายงานการแสดงทางวิทยาศาสตร์
แบบรายงานการแสดงทางวิทยาศาสตร์
 
การรับรู้และตอบสนอง
การรับรู้และตอบสนอง การรับรู้และตอบสนอง
การรับรู้และตอบสนอง
 
บทที่ 1 พันธุกรรมกับหมู่เลือด
บทที่ 1 พันธุกรรมกับหมู่เลือดบทที่ 1 พันธุกรรมกับหมู่เลือด
บทที่ 1 พันธุกรรมกับหมู่เลือด
 
การแลกเปลี่ยนแก๊ส การคายน้ำ และการลำเลียงสารในพืช
การแลกเปลี่ยนแก๊ส การคายน้ำ และการลำเลียงสารในพืชการแลกเปลี่ยนแก๊ส การคายน้ำ และการลำเลียงสารในพืช
การแลกเปลี่ยนแก๊ส การคายน้ำ และการลำเลียงสารในพืช
 
โครงงานวิทยาศาสตร์ประเภททดลอง เรื่อง การทดลองการเจริญเติบโตของยีสต์ในน้ำหมักช...
โครงงานวิทยาศาสตร์ประเภททดลอง เรื่อง การทดลองการเจริญเติบโตของยีสต์ในน้ำหมักช...โครงงานวิทยาศาสตร์ประเภททดลอง เรื่อง การทดลองการเจริญเติบโตของยีสต์ในน้ำหมักช...
โครงงานวิทยาศาสตร์ประเภททดลอง เรื่อง การทดลองการเจริญเติบโตของยีสต์ในน้ำหมักช...
 
บรรยากาศ
บรรยากาศบรรยากาศ
บรรยากาศ
 

Similar to ระบบหมุนเวียนเลือด

หัวใจและระบบเลือด
หัวใจและระบบเลือดหัวใจและระบบเลือด
หัวใจและระบบเลือดtuiye
 
หัวใจและระบบเลือด
หัวใจและระบบเลือดหัวใจและระบบเลือด
หัวใจและระบบเลือดtuiye
 
หัวใจและระบบเลือด
หัวใจและระบบเลือดหัวใจและระบบเลือด
หัวใจและระบบเลือดkrutoyou
 
ระบบหมุนเวียนเลือด
ระบบหมุนเวียนเลือดระบบหมุนเวียนเลือด
ระบบหมุนเวียนเลือดjoongka3332
 
ระบบหมุนเวียนโลหิต
ระบบหมุนเวียนโลหิตระบบหมุนเวียนโลหิต
ระบบหมุนเวียนโลหิตJanejira Meezong
 
ระบบหมุนเวียนเลือด
ระบบหมุนเวียนเลือดระบบหมุนเวียนเลือด
ระบบหมุนเวียนเลือดNookPiyathida
 
บทเรียนสำเร็จรูประบบไหลเวียนเลือด
บทเรียนสำเร็จรูประบบไหลเวียนเลือด บทเรียนสำเร็จรูประบบไหลเวียนเลือด
บทเรียนสำเร็จรูประบบไหลเวียนเลือด Krupol Phato
 
ระบบหมุนเวียนเลือด.Pdf
ระบบหมุนเวียนเลือด.Pdfระบบหมุนเวียนเลือด.Pdf
ระบบหมุนเวียนเลือด.Pdfthimakorn
 
Urinary (นำเสนอข้อมูลจาก CD) Physiology by Jiradet
Urinary (นำเสนอข้อมูลจาก CD) Physiology by JiradetUrinary (นำเสนอข้อมูลจาก CD) Physiology by Jiradet
Urinary (นำเสนอข้อมูลจาก CD) Physiology by JiradetJiradet Dongroong
 

Similar to ระบบหมุนเวียนเลือด (20)

หัวใจและระบบเลือด
หัวใจและระบบเลือดหัวใจและระบบเลือด
หัวใจและระบบเลือด
 
หัวใจและระบบเลือด
หัวใจและระบบเลือดหัวใจและระบบเลือด
หัวใจและระบบเลือด
 
Transportation body
Transportation bodyTransportation body
Transportation body
 
หัวใจและระบบเลือด
หัวใจและระบบเลือดหัวใจและระบบเลือด
หัวใจและระบบเลือด
 
ระบบหมุนเวียนเลือด
ระบบหมุนเวียนเลือดระบบหมุนเวียนเลือด
ระบบหมุนเวียนเลือด
 
ระบบหมุนเวียนโลหิต
ระบบหมุนเวียนโลหิตระบบหมุนเวียนโลหิต
ระบบหมุนเวียนโลหิต
 
ระบบหมุนเวียนเลือด
ระบบหมุนเวียนเลือดระบบหมุนเวียนเลือด
ระบบหมุนเวียนเลือด
 
Heart
HeartHeart
Heart
 
หัวใจคน
หัวใจคนหัวใจคน
หัวใจคน
 
Powp08
Powp08Powp08
Powp08
 
Ccs (2)
Ccs (2)Ccs (2)
Ccs (2)
 
Lesson 1 homeostasis
Lesson 1 homeostasisLesson 1 homeostasis
Lesson 1 homeostasis
 
Ppt circuratory
Ppt circuratoryPpt circuratory
Ppt circuratory
 
Body system
Body systemBody system
Body system
 
การดำรงชีพ
การดำรงชีพการดำรงชีพ
การดำรงชีพ
 
บทเรียนสำเร็จรูประบบไหลเวียนเลือด
บทเรียนสำเร็จรูประบบไหลเวียนเลือด บทเรียนสำเร็จรูประบบไหลเวียนเลือด
บทเรียนสำเร็จรูประบบไหลเวียนเลือด
 
ระบบหมุนเวียนเลือด.Pdf
ระบบหมุนเวียนเลือด.Pdfระบบหมุนเวียนเลือด.Pdf
ระบบหมุนเวียนเลือด.Pdf
 
Urinary (นำเสนอข้อมูลจาก CD) Physiology by Jiradet
Urinary (นำเสนอข้อมูลจาก CD) Physiology by JiradetUrinary (นำเสนอข้อมูลจาก CD) Physiology by Jiradet
Urinary (นำเสนอข้อมูลจาก CD) Physiology by Jiradet
 
การรับรู้และการตอบสนอง
การรับรู้และการตอบสนองการรับรู้และการตอบสนอง
การรับรู้และการตอบสนอง
 
G2
G2G2
G2
 

More from Thitaree Samphao

การหายใจแสง พืช C4 พืช cam (t)
การหายใจแสง พืช C4 พืช cam (t)การหายใจแสง พืช C4 พืช cam (t)
การหายใจแสง พืช C4 พืช cam (t)Thitaree Samphao
 
การสืบพันธุ์ของพืชดอก (T)
การสืบพันธุ์ของพืชดอก (T)การสืบพันธุ์ของพืชดอก (T)
การสืบพันธุ์ของพืชดอก (T)Thitaree Samphao
 
การสังเคราะห์ด้วยแสง การค้นคว้า (T)
การสังเคราะห์ด้วยแสง การค้นคว้า (T)การสังเคราะห์ด้วยแสง การค้นคว้า (T)
การสังเคราะห์ด้วยแสง การค้นคว้า (T)Thitaree Samphao
 
การถ่ายละอองเรณู (T)
การถ่ายละอองเรณู (T)การถ่ายละอองเรณู (T)
การถ่ายละอองเรณู (T)Thitaree Samphao
 
กระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสง (T)
กระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสง (T)กระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสง (T)
กระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสง (T)Thitaree Samphao
 
เนื้อเยื่อพืช (T)
เนื้อเยื่อพืช (T)เนื้อเยื่อพืช (T)
เนื้อเยื่อพืช (T)Thitaree Samphao
 
ระบบน้ำเหลืองและระบบภูมิคุ้มกัน (Web)
ระบบน้ำเหลืองและระบบภูมิคุ้มกัน (Web)ระบบน้ำเหลืองและระบบภูมิคุ้มกัน (Web)
ระบบน้ำเหลืองและระบบภูมิคุ้มกัน (Web)Thitaree Samphao
 

More from Thitaree Samphao (8)

การหายใจแสง พืช C4 พืช cam (t)
การหายใจแสง พืช C4 พืช cam (t)การหายใจแสง พืช C4 พืช cam (t)
การหายใจแสง พืช C4 พืช cam (t)
 
การสืบพันธุ์ของพืชดอก (T)
การสืบพันธุ์ของพืชดอก (T)การสืบพันธุ์ของพืชดอก (T)
การสืบพันธุ์ของพืชดอก (T)
 
การสังเคราะห์ด้วยแสง การค้นคว้า (T)
การสังเคราะห์ด้วยแสง การค้นคว้า (T)การสังเคราะห์ด้วยแสง การค้นคว้า (T)
การสังเคราะห์ด้วยแสง การค้นคว้า (T)
 
การถ่ายละอองเรณู (T)
การถ่ายละอองเรณู (T)การถ่ายละอองเรณู (T)
การถ่ายละอองเรณู (T)
 
กระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสง (T)
กระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสง (T)กระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสง (T)
กระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสง (T)
 
ราก (T)
ราก (T)ราก (T)
ราก (T)
 
เนื้อเยื่อพืช (T)
เนื้อเยื่อพืช (T)เนื้อเยื่อพืช (T)
เนื้อเยื่อพืช (T)
 
ระบบน้ำเหลืองและระบบภูมิคุ้มกัน (Web)
ระบบน้ำเหลืองและระบบภูมิคุ้มกัน (Web)ระบบน้ำเหลืองและระบบภูมิคุ้มกัน (Web)
ระบบน้ำเหลืองและระบบภูมิคุ้มกัน (Web)
 

ระบบหมุนเวียนเลือด

  • 1. เรื่อง ระบบหมุนเวียนเลือด รายวิชาชีววิทยาเพิ่มเติม 2 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2559 คุณครูฐิตารีย์ สาเภา โรงเรียนท่ามะกาวิทยาคม สานักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเขต 8 (กาญจนบุรี-ราชบุรี)
  • 2. สืบค้นข้อมูล ทดลอง อภิปราย และอธิบายการลาเลียงในร่างกายของ สัตว์บางชนิด สืบค้นข้อมูล ทดลอง อภิปราย และสรุปเกี่ยวกับการลาเลียงสารใน ร่างกายของคน สืบค้นข้อมูล ศึกษา อภิปราย และสรุปเกี่ยวกับส่วนประกอบและ หน้าที่ของเลือด จุดประสงค์การเรียนรู้
  • 3.  เพื่อให้เซลล์หรือทุกๆ เซลล์สามารถนาสารที่จาเป็นต่อการดารงชีวิตไปใช้ให้ เป็นประโยชน์ และสามารถนาสารที่เซลล์ไม่ต้องการมากาจัดออกนอกร่างกาย  สัตว์ขนาดเล็ก โครงสร้างร่างกายไม่ซับซ้อน การลาเลียงสารอาศัยการแพร่ ระหว่างเซลล์กับสิ่งแวดล้อมหรือระหว่างเซลล์กับเซลล์  สัตว์ชั้นสูง โครงสร้างร่างกายซับซ้อนจาเป็นจะต้องมีระบบลาเลียงสารที่มี ประสิทธิภาพ ความจาเป็นของการลาเลียงสาร
  • 4.  สิ่งมีชีวิตเซลล์เดียว  ไม่มีอวัยวะที่ทาหน้าที่เป็นระบบลาเลียงสาร  โมเลกุลอาหารหรือก๊าชต่างๆ จะแพร่เข้าออก ระหว่างเยื่อหุ้มเซลล์และสิ่งแวดล้อมโดยตรง การลาเลียงสารในร่างกายสัตว์ที่ไม่มีระบบเลือด โพรโตซัว ฟองน้าและไฮดรา  สิ่งมีชีวิตขนาดเล็ก  การรับและกาจัดสารเกิดขึ้นโดยการแพร่ผ่าน ช่องแกสโตรวาสคิวลาร์ (Gastrovascular Cavity) ทาหน้าที่เป็นทั้งทางเดินอาหารและ ระบบหมุนเวียน
  • 5.  การรับและกาจัดสารเกิดขึ้นโดยการแพร่ผ่านช่อง แกสโตรวาสคิวลาร์ (Gastrovascular Cavity) ทาหน้าที่เป็นทั้งทางเดินอาหารและระบบหมุนเวียน การลาเลียงสารในร่างกายสัตว์ที่ไม่มีระบบเลือด หนอนตัวแบน (Flat worm)
  • 6.  ไม่มีระบบเลือด  ใช้การหมุนเวียนของเหลวใน Pseudo coelom หนอนตัวกลม (P. Nematoda) การลาเลียงสารในร่างกายสัตว์ไม่มีระบบเลือด ดาวทะเล (P. Echinodermata)  ใช้ระบบลาเลียงน้า (Water vascular system) ในการแลกเปลี่ยนแก๊สกับสิ่งแวดล้อม  มีท่อรัศมีที่แยกมาจากท่อวงแหวน เป็นทางน้า ผ่านทาหน้าที่ลาเลียงนั่นเอง
  • 7.  มีระบบลาเลียงที่มีประสิทธิภาพสูงเรียกว่า ระบบหมุนเวียนเลือด (Circulatory system)  เลือด: เซลล์เม็ดเลือด และน้าเลือด ทา หน้าที่ลาเลียงแก๊ส อาหาร ฮอร์โมน และ ของเสีย  หลอดเลือด: เป็นท่อลาเลียงเลือดและสาร ต่างๆ ที่ละลายในเลือด ช่วยให้การ ลาเลียงมีประสิทธิภาพสูง  หัวใจ: เป็นอวัยวะที่ใช้ในการสูบฉีดเลือด เกิดการไหลเวียนในหลอดเลือดได้ การลาเลียงสารในสัตว์ที่มีโครงสร้างร่างกายซับซ้อน
  • 8.  ระบบหมุนเวียนเลือดแบบปิด (Clased circulatory system): เลือดจะไหลเวียน ภายในท่อของหลอดเลือดและหัวใจตลอดเวลา พบในสัตว์พวกแอนเนลิดเป็นพวก แรก  ระบบหมุนเวียนเลือดแบบเปิด (Open circulatory system): เลือดออกจากหัวใจ แล้วไม่ได้ไหลเวียนเฉพาะในหลอดเลือด แต่จะไหลผ่านช่องว่างของลาตัวและที่ว่าง ระหว่างอวัยวะต่างๆ ในร่างกาย เลือดและน้าเหลืองปะปนกันและมีส่วนประกอบ เหมือนกัน เรียกว่า Hemolymph และช่องว่างระหว่างเนื้อเยื่อที่เป็นทางผ่านของ Hemolymph เรียกว่า Hemocoel ระบบหมุนเวียนเลือด
  • 9.  ระบบหมุนเวียนเลือดแบบเปิด  หัวใจ (Heart): ส่วนของหลอดเลือดที่โป่งออก  ซ้ายและขวาของหัวใจที่โป่งออก มีรูเล็กๆ ที่มีลิ้น ปิด-เปิด เรียกว่า ออสเทีย (Ostia)  จากหัวใจมีหลอดเลือดพาดตามยาวไปที่หัวของ แมลง  หัวใจบีบตัว: เลือดไหลไปตามหลอดเลือดและ ปะปนในช่องว่างในลาตัว (Haemocel)  หัวใจคลายตัว: ลิ้นหัวใจที่ Ostia เปิดเลือด จากเนื้อเยื่อไหลเข้าสู่หัวใจ  ลิ้นหัวใจเปิด-ปิดเป็นจังหวะเลือดไหลไปทาง เดียวตลอด ระบบหมุนเวียนเลือดในแมลง
  • 10.  ระบบหมุนเวียนเลือดแบบเปิด  ส่วนใหญ่มีหัวใจ 3 ห้อง สูบฉีดเลือดไหลออกจากเส้นเลือดไปสู่ช่องว่างลาตัวรอบ อวัยวะต่างๆ จากนั้นไหลไปที่เหงือก แล้วกลับสู่หัวใจทางเส้นเลือด ระบบหมุนเวียนเลือดในหอย
  • 11.  พวกแรกที่มีระบบหมุนเวียนเลือดแบบปิด  เลือด: น้าเลือด+เม็ดเลือด  เฮโมโกลบิล ละลายอยู่ในน้าเลือดทาหน้าที่ลาเลียง O2 ไปให้เซลล์  ห่วงหลอดเลือดพองออกรอบๆ หลอดอาหาร ประมาณ 5 ห่วง เรียกว่า หัวใจเทียม (Pseudoheart) ทาหน้าที่สูบฉีดเลือด  การแลกเปลี่ยนแก๊สเกิดที่เนื้อเยื่อและหลอดเลือด ฝอย  เลือดจากหลอดเลือดฝอยรวมตัวเป็นหลอดเลือด ขนาดใหญ่และส่งเลือดสู่หลอดเลือดด้านหลัง เมื่อ หลอดเลือดบีบตัวจะส่งเลือดเข้าหัวใจเทียม ระบบหมุนเวียนเลือดในไส้เดือนดิน
  • 12.  อวัยวะสูบฉีดเลือด 3 แห่ง  Gill heart: มี 2 แห่ง ทาหน้าที่สูบฉีดเลือดที่มี O2 ต่า ที่ส่งมาจากอวัยวะภายในไป ยังเหงือกเพื่อแลกเปลี่ยนแก๊ส  Systemic heart: มี 1 แห่ง หน้าที่สูบฉีดเลือดที่มี O2 สูงไปยังอวัยวะภายในและ เนื้อเยื่อต่างๆ  เลือดที่มี O2 ที่ส่งมาจาก Systemic heart เป็นเลือดที่ฟอกแล้วจากเหงือก ระบบหมุนเวียนเลือดในปลาหมึก
  • 13.  มีหัวใจ 2 ห้อง : 1 Atrium และ 1 Ventricle  เลือดที่ไหลผ่านหัวใจจะเป็นเลือดที่มี O2 ต่าเท่านั้น  เลือดที่ใช้แล้วเข้าสู่หัวใจทาง Atrium และถูกส่งออกทาง Ventricle ไปยัง Gill เพื่อ แลกเปลี่ยนแก๊ส  เลือดที่ออกจาก Gill เป็นเลือดที่มี O2 มากจะถูกส่งไปเลี้ยงส่วนต่างๆ ของร่างกาย ระบบหมุนเวียนเลือดในปลา
  • 14.  มีหัวใจ 3 ห้อง: 2 Atrium และ 1 Ventricle  Right Atrium: รับเลือดที่ใช้แล้วซึ่งมี CO2 สูงจากหลอดเลือด Vein  Left Atrium: รับเลือดที่ฟอกแล้วจาก lung ซึ่งมี O2 สูง  เลือดจาก Atrium ทั้ง 2 ถูกส่งมาที่ Ventricle ซึ่งเลือดจะปะปนกันเล็กน้อย ระบบหมุนเวียนเลือดในสัตว์สะเทินน้าสะเทินบก
  • 15.  มีหัวใจ 4 ห้อง แต่ผนังกล้ามเนื้อกั้นห้อง Ventricle ยังแบ่งไม่สมบูรณ์  ถือว่ามีหัวใจ 4 ห้อง ไม่สมบูรณ์ ยกเว้น จระเข้ที่มีหัวใจ 4 ห้องสมบูรณ์ ระบบหมุนเวียนเลือดในสัตว์เลื้อยคลาน
  • 16.  มีหัวใจ 4 ห้องสมบูรณ์: 2 Atrium และ 2 Ventricle  มีประสิทธิภาพในการทางานสูงเพราะแยกเลือดที่มี O2 สูง และเลือดที่มี CO2 สูงออก จากกันโดยเด็ดขาด ระบบหมุนเวียนเลือดในนกและสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม
  • 19.  หัวใจ (Heart)  การเต้นของหัวใจ (conducting system)  ความดันเลือด (Blood pressure)  หลอดเลือด (Blood vessel)  ส่วนประกอบของเลือด  หมู่เลือดและการให้เลือด โครงสร้างที่เกี่ยวข้องกับการหมุนเวียนเลือดในคน
  • 20.  โครงสร้างของหัวใจ: กว้าง 9 cm ยาว 12 cm และหนา 5 cm  กล้ามเนื้อหัวใจ: เนื้อเยื่อ 3 ชั้น:  ชั้นนอก (Epicardium): ชั้นเยื่อหุ้มหัวใจ มีไขมันมาก ผนังด้านนอกมีหลอด เลือดนาเลือดมาเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจ เรียกว่า Coronary artery  ชั้นกลาง (Myocardium): หนาที่สุด ประกอบขึ้นจาก Cardiac muscle  ชั้นใน (Endocardium): ประกอบด้วยเนื้อเยื่อบุผิวกล้ามเนื้อเรียบและเนื้อเยื่อ เกี่ยวพัน หัวใจ (HEART)
  • 21.
  • 22.  การหดตัวและคลายตัวเป็นจังหวะเลือดสูบฉีดไปเลี้ยงทั่วร่างกาย  หัวใจคนมีอัตราการเต้นประมาณ 72 ครั้ง/นาที  กล้ามเนื้อหัวใจมีเนื้อเยื่อพิเศษ สามารถบีบตัวได้เอง  ขณะกล้ามเนื้อหัวใจหดและคลายตัวชักนาให้เกิดความต่างศักย์ไฟฟ้า  เครื่องมือที่ใช้วัดความต่างศักย์ไฟฟ้าของหัวใจเรียกว่า Electrocardiogram (เครื่องตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ) แสดงผลเป็นกราฟ  แพทย์ใช้ตรวจสอบการเต้นของ หัวใจ วินิจฉัยโรคเกี่ยวกับหัวใจ หัวใจ (HEART) : การทางานของกล้ามเนื้อหัวใจ
  • 23.  มี 4 ห้อง: 2 Atrium และ 2 Ventricle  Right Atrium: หัวใจห้องบนขวา ขนาด เล็ก ผนังกล้ามเนื้อบาง รับเลือดที่ใช้แล้ว จาก Superior vena cava (เลือดจากหัว และแขน) และ Inferior vena cava (เลือด จากลาตัว และขา)  Right Ventricle: หัวใจห้องล่างขวา ขนาด เล็ก ช่องภายในเป็นรูปสามเหลี่ยม หน้าที่รับ เลือดจาก Right Atrium แล้วส่งไปฟอกที่ ปอด โดยส่งไปทาง Pulmonary artery หัวใจ (HEART) : ห้องหัวใจ
  • 24.  มี 4 ห้อง: 2 Atrium และ 2 Ventricle  Left Atrium: หัวใจห้องบนซ้าย ขนาดเล็ก ผนังบาง หน้าที่รับเลือดที่ฟอกแล้ว (Oxygenated blood) จากปอดที่ลาเลียง มากับหลอดเลือด Pulmonary vein  Left Ventricle: หัวใจห้องล่างซ้าย ผนัง กล้ามเนื้อหนาที่สุด หน้าที่รับเลือดจาก Left Atrium แล้วสูบฉีดไปเลี้ยงส่วนต่างๆ ของ ร่างกาย โดยส่งไปทาง หลอดเลือด Aorta หัวใจ (HEART) : ห้องหัวใจ
  • 25. หัวใจ (HEART) : การทางานของหัวใจห้องต่างๆ
  • 26. หัวใจ (HEART) : ลิ้นหัวใจ  ป้องกันเลือดไม่ให้ไหลย้อนกลับ  Tricuspid valve:  อยู่ระหว่างหัวใจห้อง Right Atrium กับ Right Ventricle  ลักษณะเป็น 3 แผ่น  ลิ้นหัวใจนี้ฝังตัวอยู่ในผนังหัวใจ ห้อง Ventricle โดยอาศัย chordae tendineae เป็นตัวยืด เพื่อควบคุมการเปิดปิดลิ้น  ป้องกันไม่ให้เลือดใน Ventricle ไหลย้อนกลับขึ้นสู่ Atrium
  • 27. หัวใจ (HEART) : ลิ้นหัวใจ  ป้องกันเลือดไม่ให้ไหลย้อนกลับ  Pulmonary valve หรือ Semilunar valve :  อยู่ที่โคนของหลอดเลือด Pulmonary artery  ลักษณะเป็นถุงรูปพระจันทร์ครึ่ง เสี้ยว 3 ใบบรรจบกันแต่ไม่ยึด ติดกันด้วย chordae tendineae  หน้าที่กั้นไม่ให้เลือดไหลกลับลงสู่ Right Ventricle
  • 28. หัวใจ (HEART) : ลิ้นหัวใจ  ป้องกันเลือดไม่ให้ไหลย้อนกลับ  Bicuspid valve หรือ Mitral valve:  อยู่ระหว่างหัวใจห้อง Left Atrium และ Left Ventricle  คล้ายกับ Tricuspid valve แต่มี 2 แผ่น ยึดติดกันด้วยเนื้อเยื่อ เกี่ยวพัน chordae tendineae  หน้าที่กั้นไม่ให้เลือดใน Left Ventricle ไหลย้อนกลับขึ้นไปที่ Left Atrium
  • 29. หัวใจ (HEART) : ลิ้นหัวใจ  ป้องกันเลือดไม่ให้ไหลย้อนกลับ  Aortic valve หรือ Semilunar valve :  อยู่ที่โคนของหลอดเลือด Aorta  ลักษณะเป็นวงรูปพระจันทร์ครึ่ง เสี้ยว  หน้าที่ป้องกันไม่ให้เลือดไหล ย้อนกลับลงมาใน Left Ventricle
  • 30. หัวใจ (HEART) : ลิ้นหัวใจ
  • 31.
  • 32.
  • 33.  เกิดจากการบีบตัวและคลายตัวของกล้ามเนื้อ หัวใจเป็นจังหวะสม่าเสมอ เรียกว่า ชีพจร  วัดได้จากหลอดเลือดแดงหรือ artery วัด เป็นจานวนครั้งต่อนาที เรียกว่า อัตราการเต้น ของหัวใจ  คนปกติมีอัตราการเต้นอยู่ระหว่าง 72-85 ครั้ง/นาที ขึ้นอยู่กับ กิจกรรมที่ทา อายุ วัย และเพศ  การบีบและคลายตัวของกล้ามเนื้อหัวใจส่งผล ให้เกิดความต่างศักย์ไฟฟ้า เรียกว่า คลื่นไฟฟ้าหัวใจ (electrocardiogram) หัวใจ (HEART) : การเต้นของหัวใจ
  • 34.  SA node นากระแสความรู้สึกได้เอง เพราะมีผู้ให้จังหวะคือ pace marker  เริ่มจาก SA node กระจายความรู้สึกไปให้ เอเตรียมซ้ายatrium ขวาและซ้าย บีบตัวส่งกระแสประสาทไปยัง AV node ที่ฐานของ atrium ขวา หัวใจ (HEART) : กลไกการเต้นของหัวใจ
  • 35.  AV node ส่งความรู้สึกไปไม่ทั่ว Ventricle  Ventricle ไม่สามารถบีบตัว ก่อนที่ Atrium คลายตัว  บริเวณ AV node มี bundle of his เป็นเส้นใยแยกไป Ventricle ซ้ายและขวา โดยแตกเป็นกิ่งเล็กๆ เรียกว่า purkinje fiber กระตุ้นให้ Ventricle บีบตัว พร้อมกันบีบตัวมาก เกิดแรงดันเลือดส่งไปตามกระแสเลือดทั่วร่างกาย  เครื่องมือตรวจฟังของแพทย์ : stetoscope หัวใจ (HEART) : กลไกการเต้นของหัวใจ
  • 36.  เกิดจากการบีบตัวของหัวใจห้องเวนตริเคิลซ้าย ทา ให้เลือดไหลออกจากหลอดเลือดแดงเอออร์ตา  ความดันซิสโทลิก (systolic pressure) เป็น ค่าสูงสุดที่หัวใจบีบตัวปกติ คนปกติมีค่าประมาณ 120 mmHg  ความดันไดแอสโทลิก (diastolic pressure) : เป็นค่าความดันที่หัวใจกาลังคลายตัว ปกติมี ค่าประมาณ 80 mmHg  บันทึกค่าความดัน 2 ค่าเป็น 120/80  ขณะนอนราบกับพื้น ความดันปลายเท้าใกล้เคียง ความดันที่อก เลือดหมุนเวียนในแนวนอน  ขณะยืนความดันบริเวณขาสูงที่สุด และศีรษะน้อย ที่สุด เพราะเลือดไหลลงตามแรงดึงดูดของโลก ความดันเลือด (BLOOD PRESSURE : BP)
  • 37.  ความดันเลือดต่า (Hypotension): สภาวะที่ความดันเลือดในขณะพักต่ากว่า ความดันปกติของคนทั่วไป ในเพศและวัยเดียวกัน  ความดันเลือดสูง (Hypertension): สภาวะที่ความดันเลือดในขณะพักสูงกว่า ความดันปกติของคนทั่วไป ในเพศและวัยเดียวกัน ความผิดปกติเกี่ยวกับความดันเลือด
  • 39. หลอดเลือด (BLOOD VESSEL)  ระบบอาร์เทอรี (Arterial system) : มีทิศทางออกจากหัวใจไปยังปอดและส่วน ต่างๆ ของร่างกาย  ระบบเวน (Venous system): ทิศทางออกจากปอด และส่วนต่างๆ ของร่างกาย และมีทิศเข้าสู่หัวใจ  ระบบหลอดเลือดฝอย (Capillarial system): แทรกอยู่ตามเนื้อเยื่อ และเชื่อมต่อ ระหว่างระบบอาร์เทอรี กับ ระบบเวน
  • 40.  เรียงลาดับจากหัวใจต่อเนื่องไปจากใหญ่ไปเล็ก : AortaArteryArteriole ระบบอาร์เทอรี (ARTERIAL SYSTEM)
  • 41.  ชั้นนอกสุด: เป็นเนื้อเยื่อเกี่ยวพันมี หลอดเลือดซาวาโซรัมมาเลี้ยงผนัง หลอดเลือด  ชั้นกลาง: ชั้นกล้ามเนื้อเรียบและ เนื้อเยื่อเกี่ยวพัน มี Elastic fibers ทาให้ยืดหยุ่นได้ดี  ชั้นในสุด: เนื้อเยื่อบุผิวแบนบางและ เนื้อเยื่อเกี่ยวพัน มี Elastic fibers โครงสร้างและหน้าที่ของหลอดเลือดระบบอาร์เทอรี
  • 42.  ขนาดเล็ก ผนังบาง  ประกอบด้วยเซลล์เอนโดทีเลียล เรียง ตัวชั้นเดียว  ไม่มีกล้ามเนื้อและเส้นใยอิลาสติน  สานกันเป็นร่างแหตามเนื้อเยื่อ เชื่อมต่อระหว่าง อาร์เทอริโอล และเวนูล  ทาหน้าที่แลกเปลี่ยนอาหาร แก๊ส และ สารต่างๆ ระบบหลอดเลือดฝอย (CAPILLARY)
  • 43.  หน้าที่นาเลือดจากปอดและส่วนต่างๆ ของร่างกายกลับเข้าหัวใจ  Vena cavaVeinVenule  มีผนัง 3 ชั้น  ผนังบางกว่า อาร์เทอรีเนื่องจาก กล้ามเนื้อน้อยกว่า  แรงดันเลือดในหลอดเลือดเวนต่ากว่า อาร์เทอรี ใกล้หัวใจแรงดันเลือดจะต่า เนื่องจากอยู่ห่างแรงบีบของหัวใจ  ผนังยืด ขยายได้  หลอดเลือนเวนขนาดใหญ่จะมีลิ้นกั้น เป็นระยะ ป้องกันไม่ให้เลือดไหล ย้อนกลับ ยกเว้น pulmonary vein หลอดเลือดเวน
  • 44.  veinใหญ่ๆจะมี one-way valve กั้น ที่ยอมให้เลือดไหลเข้าสู่หัวใจเท่านั้น หลอดเลือดเวน
  • 46.  ให้นักเรียนเปรียบเทียบหลอดเลือดอาร์เทอรี เวน และหลอดเลือดฝอยในหัวข้อ  1. ทิศทางการไหลของเลือดในหลอดเลือด  2. ลักษณะของเลือดในหลอดเลือด  3. ลิ้นในหลอดเลือด  4. ความหนาของผนังหลอดเลือด  5. ปริมาณเลือดในหลอดเลือด  6. การมองเห็นจากภายนอก  7. ความเร็วของกระแสเลือดในหลอดเลือด  8. การไหลของเลือดในหลอดเลือด  9. แรงดันเลือด หลอดเลือด
  • 47. เลือดเป็นเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน พลาสมา (plasma): ของเหลว = น้าเลือด เซลล์เม็ดเลือด (blood corpuscle): เซลล์เม็ดเลือดแดง เซลล์เม็ดเลือดขาว และเพลตเลต ส่วนประกอบของเลือด
  • 48. ของเหลวใส หน้าที่ลาเลียงสาร H2O 90% : ตัวพาเซลล์เม็ดเลือดให้หมุนเวียน ในหลอดเลือด Protein: albumin ทาให้เกิดแรงดันออสโม ซิส, α-globulin เป็นตัวพา bilirubin ไปที่ ตับ, ß-globulin เป็นส่วนประกอบของ antibody, fibrinogen และ prothrombin เกี่ยวข้องกับการแข็งตัวของเลือด  น้าตาล ไขมัน แอนติบอดี เซรัม และของเสีย ส่วนประกอบของเลือด : พลาสมา (PLASMA)
  • 49.  สร้างจากไขกระดูก (bone marrow)  ในไขกระดูก: มีนิวเคลียส,  เข้าหลอดเลือด นิวเคลียสของ RBC และ platelets สลายไป  Red blood cell : RBC หรือ erythrocyte  White blood cell : WBC หรือ leucocyte  platelets ส่วนประกอบของเลือด : เซลล์เม็ดเลือด (BLOOD CELL)
  • 50.  รูปร่าง : กลม ตรงกลางบุ๋ม พื้นผิวเป็นโปรตีน Hemoglobin มีธาตุเหล็กเป็นองค์ประกอบ  ระยะเอ็มบริโอ : สร้างจากถุงไข่แดง (yolk sac), ม้าม (spleen), ตับ ต่อมน้าเหลือง ไขกระดูก  หลังคลอด สร้างที่ไขกระดูก  ขณะสร้าง : เม็ดเลือดแดงมีนิวเคลียส  อายุ: 100-120 วัน  โตเต็มที่ : นิวเคลียสสลายพร้อมไมโทคอนเดรีย และไรโบโซม  ทาลายเซลล์เม็ดเลือดแดง: ตับ ม้าม  หน้าที่: ขนส่ง O2 ลาเลียง O2 ไปเลี้ยงร่างกาย โดย O2 จับกับ hemoglobin ได้เป็น oxyhemoglobin RED BLOOD CELL
  • 51.  โตกว่า จานวนน้อยกว่าเม็ดเลือดแดง มี นิวเคลียส  อายุ: 2-3 วัน  สร้างจาก: ไขกระดูก ม้าม ต่อมไทมัส ต่อม น้าเหลือง  ถูกทาลาย: โดยเชื้อโรค  จานวนเพิ่มขึ้นเมื่อติดเชื้อ (infection)  เด็ก > ผู้ใหญ่  หน้าที่: ป้องกันหรือทาลายเชื้อโรคและต่อต้าน สิ่งแปลกปลอมที่เข้าสู่ร่างกาย โดยวิธี phagocytosis  แบ่งเป็น 2 ชนิด: granulocyte และ agranulocyte WHITE BLOOD CELL
  • 52.  อยู่ในไซโทพลาซึม มีนิวเคลียสใหญ่คอดเป็นพู (lobe) มี 3 ชนิด  Neutrophil: แกรนูลละเอียด ติดสีชมพู นิวเคลียสแยกเป็นพู หน้าที่จับแบคทีเรีย โดย phagocytosis มี lysosome มาย่อย เรียกว่า microphage  Basophil: แกรนูลใหญ่ ย้อมติดสีม่วง นิวเคลียสคล้ายตัว S ทา หน้าที่สร้าง histamine serotonin (ทาให้กล้ามเนื้อผนังหลอด เลือดหดตัว) และเฮปารีน (ทาให้เลือดในหลอดเลือดเหลว ตลอดเวลา) หน้าที่กินแบคทีเรีย ช้ามาก GRANULOCYTE
  • 53. Eosinophil/acidophil: แกรนูลน้อย ย้อมติดสีชมพู นิวเคลียส 2 พู หน้าที่จับแบคทีเรีย โดย phagocytosis กาจัดฤทธิ์ของ histamin ที่ปล่อยออกมาจากโรคภูมิแพ้ GRANULOCYTE
  • 54.  นิวเคลียสใหญ่ มี 2 ชนิด  Lymphocyte: นิวเคลียสกลม เกือบเต็ม เซลล์ เคลื่อนที่ได้ หน้าที่สร้างแอนติบอดี สร้างสารต่อต้านสิ่งแปลกปลอม  มี 2 ชนิด คือ T-cell (สร้างที่กระดูก เจริญที่ต่อมไทมัส) และ B-cell (สร้าง และเจริญในไขกระดุก)  Monocyte: ใหญ่ที่สุด นิวเคลียสรีคล้าย รูปไตเกือบเต็มเซลล์ ทาลายสิ่ง แปลกปลอม เคลื่อนที่ได้โดยวิธี phagocytosis ทางานร่วมกับ Neutrophil กินสิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่ เรียกว่า macrophage  เม็ดเลือดขาวสามาเคลื่อนที่ผ่านผนัง หลอดเลือดออกมาที่เนื้อเยื่อได้ AGRANULOCYTE
  • 56.  รูปร่างไม่แน่นอน ชิ้นเล็กๆ ในน้าเลือด  เกิดจาก: cytoplasm และ megakaryocyte ในไขกระดูก  megakaryocyte 1 cell สร้าง platelets ได้ 3,000-4,000 platelets  ไม่มีนิวเคลียส  เลือด 1 ml มี 250,000 platelets  อายุ: ประมาณ 7-10 วัน PLATELETS
  • 58.  ขั้นที่ 1 : Thromboplastin จาก platelet และเนื้อเยือที่ได้รับอันตราย  ขั้นที่ 2 : Thromboplastin เปลี่ยน Prothrombin ให้เป็น Thrombin โดย อาศัย Ca2+ และปัจจัยในการแข็งตัวของเลือดใน plasma  ขั้นที่ 3 : Thrombin ไปเปลี่ยน Fibrinogen เป็น Fibrin  ขั้นที่ 4 : Fibrin เส้นเล็กๆ รวมตัวเป็นเส้นใยไฟบริน และไปประสานกันเป็น ร่างแห และมี platelet เม็ดเลือดต่างๆ มาเกาะติดอยู่ภายใน เกิดเป็นก้อนแข็ง ร่างแห Fibrin หดตัวรัดเข้าช่วยตึงบาดแผลให้เข้าชิดกันและปิดปากแผล  หลังการแข็งตัวของเลือด: ของเหลวในร่างแหไฟบรินถูกบีบออกข้างนอก เป็นน้า ใสๆ เรียกว่า Serum ซึ่งไม่มี Fibrinogen หรือ Fibrin กลไกการแข็งตัวของเลือด (BLOOD CLOTTING)
  • 59.  เยื่อหุ้มเซลล์ของเม็ดเลือดแดงมีสารไกลโคโปรตีน (Antigen) หลายชนิด ทาให้ จาแนกหมูเลือดในร่างกายออกเป็นหมู่ต่างๆ เช่น ระบบ ABO ระบบ Rh และระบบ MN  Antibody อยู่ใน plasma หมู่เลือดและการให้เลือด
  • 60. หมู่เลือดระบบ ABO การตรวจสอบหมู่เลือด หมู่เลือด Anti-A serum Anti-B serum O - - A + - B - + AB + + - หมายถึง ไม่เกิดการตกตะกอนของเลือด + หมายถึง เกิดการตกตะกอนของเลือด
  • 62.  Rh+: มี Antigen Rh ที่เยื่อหุ้มเซลล์เม็ดเลือดแดง ไม่มี Antibody Rh ในพลาสมา  Rh-: ไม่มีทั้ง Antigen Rh ที่เยื่อหุ้มเซลล์เม็ดเลือดแดง และ Antibody Rh ใน พลาสมา แต่สามารถสร้าง antibody ได้เมื่อได้รับการกระตุ้นจาก Antigen  Rh- รับเลือดได้จากคนที่มี Rh- เหมือนกันเท่านั้น  Rh+ รับเลือดได้ทั้งชนิด Rh+ และ Rh- หมู่เลือดระบบ RH
  • 63. หมู่เลือดระบบ RH  ถ้าผู้รับเลือด Rh- ได้รับเลือด Rh+ เข้าไป ร่างกายของผู้รับจะสร้าง Antibody Rh ขึ้น ในตอนแรกยังไม่เป็นอันตราย แต่ถ้าได้รับเลือด Rh+ ในครั้งต่อไป Antibody Rh ในร่างกายผู้รับจะต่อต้าน Antigen Rh ของผู้ให้ทาให้เป็นอันตราย  ถ้ามารดามี Rh- แต่ลูกมี Rh+ เลือดจากทารก Rh+ ผ่านเข้าไปในระบบเลือดของ มารดา กระตุ้นให้เลือดของมารดาสร้าง Antibody Rh และ Antibody จะทา ปฏิกิริยาต่อแอนติเจน Rh ที่เยื่อหุ้มเซลล์เม็ดเลือดแดงของลูก ทาให้เซลล์เม็ดเลือด แดงจับตัวและถูกทาลาย เกิดอันตรายถึงขั้นเสียชีวิต เรียกว่า erythroblastosis fetalis
  • 64. 1. คุณสมบัติที่ทาให้ผิวหนังของไส้เดือนดินสามารถเปลี่ยนก๊าชได้คือ  ก หนาและมีขนช่วยพัดโบกออกซิเจน  ข ชุ่มชื้นและมีต่อมมากมาย  ค มีพื้นที่ผิวมาก  ง บางและชุ่มชื้น แนวข้อสอบ
  • 65. 2. เหตุใดการแลกเปลี่ยนแก๊สผ่านเหงือกของสัตว์น้าจึงเกิดได้น้อยกว่าการ แลกเปลี่ยนแก๊สผ่านปอดของสัตว์บก  ก เหงือกมีพื้นที่ผิวน้อยกว่าปอด  ข น้ามีความหนาแน่นมากกว่าอากาศ  ค ออกซิเจนละลายน้าได้น้อยกว่าในอากาศ  ง ความชื้นที่เหงือกมีมากเกินไปจนรบกวนการแลกเปลี่ยน แนวข้อสอบ
  • 67. 4. ข้อใดไม่ถูกต้อง เกี่ยวกับระบบหมุนเวียนเลือด ก เลือดจากปอดที่นาออกซิเจนไปให้กล้ามเนื้อหัวใจ ต้องผ่านลิ้น ไตรคัสปิดและเซมิลูนาร์ในหัวใจ ข ความดันเลือดในพัลโมนารีอาร์เตอรี สูงกว่าในพัลโมนารีเวน ค อัตราการเต้นของหัวใจ สามารถวัดได้จากการเต้นของชีพจร ง ถ้าโคโรนารีอาร์เตอรี ตีบหรือแห้ง จาทาให้กล้ามเนื้อหัวใจตาย แนวข้อสอบ
  • 68. 5. กรณีในข้อใดที่ทาให้ทารกในครรภ์คนที่ 2 มีโอกาสเกิด อีรีโทรบลาสโทซิส ฟีทาลิส ก แม่มีหมู่เลือด Rh+ ทารกในครรภ์คนแรกมีหมู่เลือด Rh+ คนที่ 2 มีหมู่เลือด Rh- ข แม่มีหมู่เลือด Rh+ ทารกในครรภ์คนแรกและคนที่ 2 มีหมู่เลือด Rh- ค แม่มีหมู่เลือด Rh- ทารกในครรภ์คนแรกมีหมู่เลือด Rh- คนที่ 2 มี หมู่เลือด Rh+ ง แม่มีหมู่เลือด Rh- ทารกในครรภ์คนแรกและคนที่ 2 มีหมู่เลือด Rh+ แนวข้อสอบ
  • 69. 6. ข้อใดถูกต้องเกี่ยวกับหมู่เลือด ก คนที่มีหมู่เลือด O สามารถรับเลือดจากคนหมู่เลือด B ได้โดยไม่ เป็นอันตราย เพราะหมู่เลือด O ไม่มีแอนติเจน A ที่จับกับแอนติบอดี A ของ หมู่เลือด B ข คนที่มีหมู่เลือด A ไม่สามารถรับเลือดจากคนหมู่เลือด AB ได้ เพราะแอนติเจน B จากหมู่เลือด AB จะจับกับแอนติบอดี B ของหมู่เลือด A ค. คนที่มีหมู่เลือด Rh- สามารถรับเลือดได้จากทั้งหมู่เลือด Rh- และ Rh+ ง แม่ที่มีหมู่เลือด Rh+ ถ้ามีทารกในครรภ์คนที่ 2 หรือ 3 เป็น Rh- อาจทาให้ทารกเกิดอีรีโทรบลาสโทซิสฟีทาลิสได้ แนวข้อสอบ