SlideShare a Scribd company logo
1 of 102
แหล่ง
โครงงานคอมพิวเตอ
ผู้จัดทำา
ระบบโครงกระดทูกและกล้ามเนื้อ
eletal & Muscular system)
ระบบหายใจ
espiratory system)
ระบบย่อยอาหาร
Digestive system)
ระบบน้าเหลือง
(Lymphatic system)
ระบบต่อมไร้ำ่อ
(Endocrine System)
ระบบสืบพันธุ์
(Reproductive system)
ระบบภูมิคุ้มกัน
(Immune system
ระบบประสาำ
(Nervous System
ระบบการกาจัดทของเสีย
(Urinary system)
ระบบหมุนเวียนโลหิต
(Circulatory system)
แหล่งอ้างอิง
ผู้จัดทำา
ระบบโครงกระดูกและกล้ามเนื้อ
(Skeletal &
Muscular system)
ระบบโครงกระดทูกและกล้ามเนื้อของร่างกายำางานสัมพันธ์กัน
โดทยำี่โครงกระดทูกเป็นโครงสร้างำี่ใช้ค้าจุนร่างกาย ให้คงรูปร่าง
ป้ องกันส่วนำี่อ่อนนุ่มของร่างกาย และช่วยในการเคลื่อนไหว
ของร่างกายโดทยการำางานร่วมกันกับกล้ามเนื้อ
กระดทูก
(Bone)
กล้ามเนื้อ
(Muscle)
ข้อต่อและเอ็นเชื่อมกระดทูก
(Joint)
กระดูก
(Bone)
ระบบกระดทูกของมนุษย์ำาหน้าำี่พยุงและป้ องกันอวัยวะภายใน
ของร่างกายตลอดทจนเป็นำี่ยึดทเกาะของกล้ามเนื้อประกอบดท้วย
โครงกระดทูกมากกว่า 200 ชิ้น
กระดทูกรยางค์
(Appendicular
Skeleton)
กระดทูกแกน
(Axial Skeleton)
หน้าำี่ของโครงกระดทูก
โครงกระดูก มีหน้าที่สำคาค ดงนี้
1. ค้าจุนละรักษารูปร่างให้ำรงตัวอยู่ไดท้
2. ป้ องกันอวัยวะภายในร่างกาย เช่น กระดทูกซี่โครง
ป้ องกันหัวใจ ปอดท และตับกะโหลกศีรษะป้ องกัน
เนื้อเยื่อสมอง เป็นต้น
3. เป็นำี่ยึดทเกาะของเนื้อเยื่อและกล้ามเนื้อเยื่อช่วยใน
การเคลื่อนำี่
4. สร้างเม็ดทเลือดท ไขกระดทูกำี่อยู่ภายในกระดทูกจะำา
หน้าำี่สร้างเซลล์เม็ดทเลือดทแดทงและเม็ดทเลือดทขาว
5. เป็นแหล่งสะสมสาคัญของธาตุแคลเซียมละ
ฟอสฟอรัส
1.1 กระดทูกกะโหลกศีรษะ (Skull) ภายในกะโหลกศีรษะเป็นโพรง
สาหรับบรรจุสมอง จะมีกระดทูกกะโหลกศีรษะและกระดทูกย่อยหลายๆ ชิ้นเชื่อม
ติดทกัน กระดทูกกะโหลกศีรษะจึงำาหน้าำี่ห่อหุ้มและป้ องกันสมองดท้วย
1.2 กระดทูกสันหลัง (Vertebra) เป็นส่วนของกระดทูกแกนำี่ช่วย
ค้าจุนและรองรับน้าหนักของร่างกาย กระดทูกสันหลังเป็นแนวกระดทูกำี่ำอดทอยู่
ำางดท้านหลังของร่างกาย ประกอบดท้วยกระดทูกชิ้นเล็กๆ เป็นข้อๆ ติดทกันดท้วย
กล้ามเนื้อและเอ็นระหว่างกระดทูกสันหลังแต่ละข้อจะมีแผ่นกระดทูกอ่อนหรือำี่เรียก
ำั่วไปว่า “หมอนรองกระดทูก (Intervertebral disc)” ำาหน้าำี่
รองและเชื่อมกระดทูกสันหลังแต่ละข้อ เพื่อป้ องกันการเสียดท
1.3 กระดทูกซี่โครง (Ribe) มีลักษณะเป็นซี่ๆ มีำั้งหมดท 12 คู่ หรือ
24 ชิ้น ำาหน้าำี่เป็นกาแพงให้ส่วนอก กระดทูกซี่โครงจะเชื่อมกบกระดทูกอก
(Sternum) ดท้วยกระดทูกอ่อน ระหว่างกระดทูกซี่โครงมีกล้ามเนื้อยึดทซี่โครง
ำั้งแถบนอกและแถบใน การหดทตัวและการคลายตัวของกล้ามเนื้อ 2 ชุดทนี้
สลับกันเกิดทการเคลื่อนำี่เข้า-ออกของอากาศภายนอกและภายในช่องอก มีผลำา
ให้กระดทุกซี่โครงเคลื่อนขึ้นและลง และำาให้ปริมาตรภายในช่องอกเปลี่ยนแปลง
ตามไปดท้วย
กระดูกรยางค์ (Appendicular Skeleton) หมายถึงโครงกระดทูกำี่อยู่
รอบนอกกระดทูกแกนซึ่งช่วยในการเคลื่อนไหวของแขน ขา โดทยตรง รวมำั้งกระดทูกสะบัก
และกระดทูกเชิงกรานำี่เป็นฐานรองกระดทูกแขนและกระดทูกขา กระดทูกแขนเริ่มแต่บริเวณ
ไหล่ มีกระดทูกสะบักและกระดทูกไหปลาร้าำาหน้าำี่เป็นฐานรองแขน เชื่อมโยงระหว่าง
กระดทูกสันหลังดท้านบนของลาตัวกับกระดทูกต้นแขน กระดทูกขาเริ่มตั้งแต่บริเวณเชิงกรานำี่
ต่อกับกระดทูกต้นขา และจากกระดทูกต้นขา มีสะบ้าหัวเข่าำี่ฝังอยู่ในเอ็นของกล้ามเนื้อและ
ต่อกับกระดทูกแข็ง
ข้อต่อและเอ็นเชื่อมกระดูก
(Joint)
ข้อต่อเกิดทจากกระดทูกตั้งแต่ 2 ชิ้นขึ้นไปำี่อยู่ใกล้กัน
มาเชื่อมต่อกันโดทยมีเอ็นละกล้ามเนื้อช่วยยึดทเสริม
ความแข็งแรง ำาให้มีความยืดทหยุ่นในการ
เคลื่อนไหวไดท้สะดทวกขึ้น
ข้อต่อำี่เคลื่อนไหวไม่ไดท้
(Fibrous joint)
ข้อต่อำี่เคลื่อนไหวไดท้มาก
(Sylnovial joint)
ข้อต่อำี่เคลื่อนไหวไดท้เล็กน้อย
(Cartilagenous
joint)
1. ข้อต่อำี่เคลื่อนไหวไม่ไดท้ (
fibrous joint ) ไดท้แก่
ข้อต่อของกะโหลกศีรษะ
2. ข้อต่อำี่เคลื่อนไหวไดท้เล็กน้อย ( cartilagenous
joint ) เป็นข้อต่อำี่ประกอบดท้วยกระดทูกอ่อนอยู่ระหว่างปลาย
กระดทูกำั้งสองำี่มาต่อกัน สามารถเคลื่อนไหวไดท้เล็กน้อย เรียกว่าข้อต่อ
กระดทูกอ่อน ไดท้แก่ ข้อต่อกระดทูกสันหลัง ข้อต่อกระดทูกเชิงกราน
3. ข้อต่อำี่เคลื่อนไหวไดท้มาก ( sylnovial joint )
เป็นข้อต่อำี่มีช่องว่างอยู่ภายใน และภายในโพรงนี้จะมีเยื่อบุำี่ำาหน้าำี่
ขับของเหลวซึ่งมีลักษณะคล้ายไข่ขาว เรียกว่า น้าไขข้อ (
sylnovial fluid ) แบ่งออกเป็น
3.1 แบบบานพับ ( hinge joint ) การ
เคลื่อนไหวจะจากัดทไดท้เพียงำิศำางเดทียว ไดท้แก่ ข้อต่อบริเวณข้อศอก หัว
เข่า นิ้วมือ นิ้วเำ้า
3.2 แบบลูกกลมในเบ้ากระดทูก ( ball and
socket joint ) เคลื่อนไหวไดท้อิสระหลายำิศำาง ไดท้แก่ ข้อต่อ
หัวไหล่ ข้อต่อบริเวณกระดทูกโคนขากับกระดทูกเชิงกราน
3.3 แบบอานม้า ( saddle joint ) เคลื่อนไหวไดท้
2 แนว ไดท้แก่ ข้อต่อโคนนิ้วหัวแม่มือ
3.4 แบบเดทือย ( pivot joint ) เป็นข้อต่อำี่ำาให้
กระดทูกชิ้นหนึ่งเคลื่อนำี่ไปรอบๆแกนของกระดทูกอีกชิ้นหนึ่งไดท้แก่ ข้อต่อำี่
ต้นคอกับฐานของกะโหลกศีรษะ
กล้ามเนื้อ
(Muscle)เป็นเนื้อเยื่อยืดทหยุ่นพิเศษพบไดท้ำุส่วนของร่างกาย
กล้ามเนื้อบางชนิดทอยู่ใต้อานาจจิตใจ สามารถ
บังคับไดท้อีกกลุ่มหนึ่งเป็นกล้ามเนื้อนอกอานาจ
จิตใจหรือกล้ามเนื้อำี่ไม่สามารถบังคับไดท้
กล้ามเนื้อเรียบ
(Smooth Muscle)
กล้ามเนื้อหัวใจ
(Cardiac Muscle)
กล้ามเนื้อลาย
(Skeletal Muscle)
การำางานของกล้ามเนื้อ
กล้ามเนื้อลาย (Skeletal Muscle)
เป็นกล้ามเนื้อเดทียวำี่ยึดทติดทกับกระดทูก บางครั้งจึงเรียกว่า “กล้ามเนื้อ
กระดทูก” ถ้าดทูดท้วยกล้องจุลำรรศน์จะมองเห็นเป็นแถบลายขาวดทา
สลับกัน ในหนึ่งเซลล์จะมีหลายนิวเคลียส กล้ามเนื้อลายมีความแข็งแรง
และสามารถหดทตัวไดท้สูง ควบคุมการำางานโดทยระบบประสาำส่วนกลาง
เช่น กล้ามเนื้อแขน กล้ามเนื้อขากล้ามเนื้อลาตัว เป็นต้น
กล้ามเนื้อเรียบ (Smooth Muscle)
เป็นกล้ามเนื้อำี่มีลักษณะเรียบไม่มีลาย เซลล์
มีลักษณะแบนยาว ปลายแหลมเรียวรูปร่าง
คล้ายกระสวย ภายในมีนิวเคลียสอันเดทียว หดท
ตัวไดท้ ใช้พลังงานน้อย ควบคุมการำางานโดทย
ระบบประสาำอัตโนมัติ เช่น ผนังลาไส้ ปอดท
ผนังกระเพาะอาหาร เป็นต้น
กล้ามเนื้อหวใจ (Cardiac Muscle)
เป็นเซลล์กล้ามเนื้อหัวใจโยเฉพาะ เซลล์จะมีลายพาดทขวาง มีนิวเคลียส
หลายอันเหมือนกล้ามเนื้อลาย ควบคุมการำางานของระบบประสาำ
อัตโนมัติเช่นเดทียวกับกล้ามเนื้อเรียบ
การทคางานของกล้ามเนื้อ
1. การเคลื่อนไหวของร่างกาย เกิดทจากการำางานร่วมกันของโครงกระดทูก กล้ามเนื้อ
และระบบประสาำ โดทยมีการหดทตัวของกล้ามเนื้อำี่ยึดทติดทกับโครงกระดทูก ำาให้กระดทูก
และข้อต่อเกิดทการเคลื่อนไหว
2. การหดทตัวของกล้ามเนื้อ มีผลำาให้เกิดทการเคลื่อนเซลล์ของกล้ามเนื้อไดท้
พัฒนาขึ้นมาเป็นพิเศษเพื่อการหดทตัวโดทยเฉพาะ กล้ามเนื้อบางชนิดทสามารถหดทตัวไดท้
เร็วมาก เช่น การเคลื่อนไหวของนัยน์ตา หารเคลื่อนไหวจะเกิดทขึ้นเร็วหรือช้าก็ตาม
กล้ามเนื้อจะำางานโดทยการหดทตัว และเมื่อหยุดทำางานกล้ามเนื้อจะคลายตัว
ระบบหายใจ
(Respiratory
system)
เป็นการนาอากาศเข้าและออกจากร่างกาย ส่งผลให้
แก๊สออกซิเจนำาปฏิกิริยากับสารอาหารไดท้พลังงาน
น้า และแก๊สคาร์บอนไดทออกไซดท์ กระบวนการ
หายใจเกิดทขึ้นกับำุกเซลล์ตลอดทเวลา การหายใจ
จาเป็นต้องอาศัยโครงสร้าง 2 ชนิดทคือ กล้ามเนื้อ
กะบังลม และกระดทูกซี่โครง
ไอ จาม
หาวและสะอึก
อวัยวะำี่เกี่ยวข้อง
การหมุนเวียนของแก๊ส
กลไกการำางาน
1. การหายใจเข้า (Inspiration) กะบังลมจะเลื่อนต่าลง กระดทูกซี่โครงจะเลื่อน
สูงขึ้น ำาให้ปริมาตรของช่องอกเพิ่มขึ้น ความดทันอากาศในบริเวณรอบ ๆ ปอดทลดทต่าลงกว่า
อากาศภายนอก อากาศภายนอกจึงเคลื่อนเข้าสู่จมูก หลอดทลม และไปยังถุงลมปอดท
2. การหายใจออก (Expiration) กะบังลมจะเลื่อนสูง กระดทูกซี่โครงจะเลื่อนต่าลง
ำาให้ปริมาตรของช่องอกลดทน้อยลง ความดทันอากาศในบริเวณรอบ ๆ ปอดทสูงกว่าอากาศ
ภายนอก อากาศภายในถุงลมปอดทจึงเคลื่อนำี่จากถุงลมปอดทไปสู่หลอดทลมและออกำางจมูก
กลไกการทคางานของระบบหายใจ
สิ่งำี่กาหนดทอัตราการหายใจเข้าและออก คือ
ปริมาณก๊าซคาร์บอนไดทออกไซดท์ในเลือดท
•ถ้าปริมาณก๊าซคาร์บอนไดทออกไซดท์ใน
เลือดทในเลือดทต่าจะำาให้การหายใจช้าลง
เช่น การนอนหลับ
•ถ้าปริมาณก๊าซคาร์บอนไดทออกไซดท์ใน
เลือดทในเลือดทสูงจะำาให้การหายใจเร็วขึ้น
เช่น การออกกาลังกาย
การหมุนเวียนของแก๊สำ
.
การไอ การจาม
การหาวและการสำะอึก
1. การจาม เกิดทจากการหายใจเอาอากาศำี่ไม่สะอาดทเข้าไปในร่างกาย
ร่างกายจึงพยายามขับสิ่งแปลกปลอมเหล่านั้นออกมานอกร่างกาย โดทยการ
หายใจเข้าลึกแล้วหายใจออกำันำี
2. การหาว เกิดทจากการำี่มีปริมาณก๊าซคาร์บอนไดทออกไซดท์สะสมอยู่ใน
เลือดทมากเกินไป จึงต้องขับออกจากร่างกาย โดทยการหายใจเข้ายาวและลึก
เพื่อรับแก๊สออกซิเจนเข้าปอดทและแลกเปลี่ยนก๊าซคาร์บอนไดทออกไซดท์ออก
จากเลือดท
3. การสะอึก เกิดทจากกะบังลมหดทตัวเป็นจังหวะๆ ขณะหดทตัวอากาศจะถูก
ดทันผ่านลงสู่ปอดทำันำี ำาให้สายเสียงสั่น เกิดทเสียงขึ้น
4. การไอ เป็นการหายใจอย่างรุนแรงเพื่อป้ องกันไม่ให้สิ่งแปลกปลอมหลุดท
เข้าไปในกล่องเสียงและหลอดทลม ร่างกายจะมีการหายใจเข้ายาวและหายใจ
ออกอย่างแรง
อวยวะที่เกี่ยวข้องกบการหายใจ
1.จมูก (Nose) มีรูจมูเป็นำางผ่านของอากาศไปยังช่องจมูกและช่วยกรอง
ฝุ่นละออง
2. หลอดทคอ (Pharynx) เมื่ออากาศผ่านรูจมูกแล้วก็ผ่านเข้าสู่หลอดทคอ
ำี่ติดทต่อำั้งช่องปากและช่องจมูก มีเพดทานอ่อนเป็นตัวแยกสองส่วนนี้ออกจากกัน
ประกอบดท้วยกระดทูกอ่อน 9 ชิ้น ชิ้นำี่ใหญ่ำีสุดท คือ ลูกกระเดทือก
3. หลอดทเสียง (Larynx) เป็นหลอดทยาวประมาณ 4.5 หลอดทเสียง
เจริญเติบโตขึ้นมาเรื่อยๆ
4. หลอดทลม (Trachea) เป็นส่วนำี่ต่ออกมาจากหลอดทเสียง ยาวลงไป
ในอก เมื่อเข้าสู่ปอดทแตกแขนงเป็นหลอดทลมเล็กเรียกว่า หลอดทลมฝอย
(Bronchiole) และไปสุดทำี่ถุงลม (Aveolus) เป็นบริเวณ
แลกเปลี่ยนก๊าซออกซิเจน กับคาร์บอนไดทออกไซดท์
5. ปอดท (lung) มีอยู่สองข้าง ฐานของปอดทแต่ละข้างจะใหญ่และวางแนบ
สนิำกับกระบังลม ำาหน้าำี่นาก๊าซคาร์บอนไดทออกไซดท์ออกจากเลือดท และนา
ระบบย่อยอาหาร
(Digestive
system)
อาหารประเภำต่างๆำี่เราบริโภคโดทยเฉพาะสารอาหารำี่ให้พลังงานแก่ร่างกาย
คือคาร์โบไฮเดทรตโปรตีนและไขมันล้วนแต่มีโมเลกุลขนาดทใหญ่เกินกว่าำี่จะ
ลาเลียงเข้าสู่เซลล์ส่วนต่างๆของร่างกายไดท้ ยกเว้นวิตามินและเกลือแร่ซึ่งมี
อนุภาคขนาดทเล็กจึงจาเป็นต้องมีอวัยวะและกลไกการำางานต่างๆำี่จะำาให้
โมเลกุลของสารอาหาร เหล่านั้นมีขนาดทเล็กลงจนสามารถลาเลียงเข้าสู่เซลล์ไดท้
เรียกว่า “การย่อย”
ประเภำของการย่อยอาหาร อวัยวะในระบบย่อยอาหาร
การย่อยอาหาร
หมายถึง การำาให้สารอาหารำี่มีโมเลกุลขนาดท
ใหญ่กลายเป็นสารอาหารำี่มีโมเลกุลเล็กลงจนกระำั่งแพร่
ผ่านเยื่อหุ้มเซลล์ไดท้ การย่อยอาหารในร่างกายมี 2 วิธี
คือ
1. การย่อยเชิงกล คือ การบดทเคี้ยวอาหารโดทย
ฟัน เป็นการเปลี่ยนแปลงขนาดทโมเลกุลำาให้
สารอาหารมีขนาดทเล็กลง
2. การย่อยเชิงเคมี คือ การเปลี่ยนแปลงขนาดท
โมเลกุลของสารอาหารโดทยใช้เอนไซม์ำี่เกี่ยวข้อง
ำาให้โมเลกุลของสารอาหารเกิดทการเปลียนแปลง
ำางเคมีไดท้โมเลกุลำี่มีขนาดทเล็กลง
อวยวะในระบบย่อยอาหาร
อวัยวะำี่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการ
ย่อยอาหาร
อวัยวะำี่เป็นำางเดทินอาหาร
อวยวะที่มีสำ่วนเกี่ยวข้องกบการย่อยอาหาร
1.1 ตับ มีหน้ามี่สร้างน้าดทีส่งไปเก็บำี่ถุงน้าดที
1.2 ตับอ่อน มีหน้าำี่สร้างเอนไซม์ส่งไปย่อยอาหารำี่ลาไส้เล็ก
1.3 ลาไส้เล็ก สร้างเอนไซม์มอลเำส ซูเครส และแล็คเำสย่อยอาหารำี่ลาไส้
เล็ก
เอนไซม์
(enzyme)
เอนไซม์ (Enzyme)
เป็นสารประกอบประเภำโปรตีนำี่ร่างกายสร้างขึ้นเพื่อำาหน้าำี่เร่ง
อัตราการเกิดทปฏิกิริยาเคมีในร่างกาย เอนไซม์ำี่ใช้ในการย่อย
สารอาหารเรียกว่า “ น้าย่อย ”
สมบัติของเอนไซม์
การำางานของเอนไซม์
ปัจจัยำี่มีผลต่อการำางานของ
เอนไซม์
สำมบติของเอนไซม์
• เป็นสารประเภำโปรตีนำี่สร้างขึ้นจากเซลล์ของสิ่งมีชีวิต
• ช่วยเร่งปฏิกิริยาในการย่อยอาหารให้เร็วขึ้นและเมื่อเร่งปฏิกิริยาแล้ว
ยังคงมีสภาพเดทิมสามารถใช้เร่งปฏิกิริยาโมเลกุลอื่นไดท้อีก
• มีความจาเพาะต่อสารำี่เกิดทปฏิกิริยาชนิดทหนึ่งๆ
• เอนไซม์จะำางานไดท้ดทีเมื่ออยู่ในสภาวะแวดทล้อมำี่เหมาะสม
ปจจยที่มีผลต่อการทคางานของเอนไซม์
1. อุณหภูมิ เอนไซม์แต่ละชนิดทำางานไดท้ดทีำี่อุณหภูมิต่างกัน แต่เอนไซม์ใน
ร่างกายำางานไดท้ดที
ำี่อุณหภูมิ 37 องศาเซลเซียส
2. ความเป็นกรดท - เบส เอนไซม์บางชนิดทำางานไดท้ดทีเมื่อมีสภาพำี่เป็นกรดท
เช่น เอนไซม์เพปซิน ในกระเพาะอาหารเอนไซม์บางอย่างำางานไดท้ดทีใน
สภาพำี่เป็นเบส เช่น เอนไซม์ในลาไส้เล็ก เป็นต้น
3. ความเข้ม เอนไซม์ำี่มีความเข้มข้นมากจะำางานไดท้ดทีกว่าเอนไซม์ำี่มี
ความเข้มข้นน้อย
การทคางานของเอนไซม์
1. เอนไซม์ในน้าลาย ำางานไดท้ดทีในสภาวะเป็นเบสเล็กน้อยเป็นกลาง
หรือกรดทเล็กน้อยจะขึ้นอยู่กับชนิดทของน้าตาลและำี่อุณหภูมิปกติของ
ร่างกายประมาณ 37 องศาเซลเซียส
2. เอนไซม์ในกระเพาะอาหาร ำางานไดท้ดทีในสภาวะเป็นกรดทและำี่
อุณหภูมิปกติของร่างกาย
3. เอนไซม์ในลาไส้เล็ก ำางานไดท้ดทีในสภาวะเป็นเบสและอุณภูมิปกติ
ร่างกาย
สารอาหารำี่มีโมเลกุลขนาดทใหญ่จะถูกย่อยให้มีขนาดทโมเลกุลเล็กำี่สุดท
ดทังนี้
คาร์โบไฮเดทรต  กลูโคส
โปรตีน  กรดทอะมิโน
อวยวะที่เป็ นทางเดินอาหาร
ำาหน้าำี่ในการรับและส่งอาหารโดทยจะเคลื่อนำี่ผ่านอวัยวะำี่เกี่ยวข้องเพื่อเกิดทการ
ย่อยโดทยเริ่มจาก
ปาก  คอหอย  หลอดทอาหาร  กระเพาะ  ลาไส้เล็ก  ลาไส้ใหญ่
 ำวารหนัก
คอหอย
(pharynx)
หลอดทอาหาร
(esophagus)
ปาก
(mouth)
ลาไส้เล็ก
(small
intestine)
ลาไส้ใหญ่
(large
intestine)
กระเพาะอาหาร
(stomach)
ปาก (mouth)
มีการย่อยเชิงกล โดทยการบดทเคี้ยวของฟัน และมีการย่อยำางเคมีโดทยเอนไซม์อะ
ไมเลสหรือไำยาลีน ซึ่งำางานไดท้ดทีในสภาพำี่เป็นเบสเล็กน้อย
แป้ ง  น้าตาลมอลโตส (maltose)
มีต่อมน้าลาย 3 คู่ ไดท้แก่ ต่อมน้าลายใต้ลิ้น 1 คู่ ต่อมน้าลายใต้ขากรรไกรล่าง
1 คู่ ต่อมน้าลายใต้กกหู 1 คู่ ต่อมน้าลายจะผลิตน้าลายไดท้
วันละ 1 – 1.5 ลิตร
คอหอย (pharynx)
เป็นำางผ่านของอาหาร ซึ่งไม่มีการย่อย
ใดทๆ
หลอดอาหาร (esophagus) มี
ลักษณะเป็นกล้ามเนื้อเรียบมีการย่อยเชิงกลโดทยการบีบตัวของกล้ามเนื้อ
ำางเดทินอาหาร เป็นช่วงๆ เรียกว่า “ เพอริสตัสซิส
(peristalsis)” เพื่อให้อาหารเคลื่อนำี่ลงสู่กระเพาะอาหาร
กระเพาะอาหาร
(stomach)
มีการย่อยเชิงกลโดทยการบีบตัวของกล้ามเนื้อำางเดทินอาหารและมีการย่อยำางเคมีโดทยเอนไซม์
เพปซิน (pepsin) ซึ่งจะำางานไดท้ดทีในสภาพำี่เป็นกรดท โดทยชั้นในสุดทของกระเพาะจะมีต่อม
สร้างน้าย่อยซึ่งมีเอนไซม์เพปซินและกรดทไฮโดทรคลอริก เป็นส่วนประกอบเอนไซม์เพปซินจะย่อย
โปรตีนให้เป็นเพปไำดท์ (peptide)ในกระเพาะอาหารนี้ยังมีเอนไซม์อยู่อีกชนิดทหนึ่งชื่อว่า
“เรนนิน” ำาหน้าำี่ย่อยโปรตีนในน้านม ในขณะำี่ไม่มีอาหาร กระเพาะอาหารจะมีขนาดท 50
ลบ.ซมแต่เมื่อมีอาหารจะมีการขยายไดท้อีก 10 – 40 เำ่า
เพปซิน
โปรตีน  เพปไำดท์
การย่อยำี่กระเพาะอาหารจะมีการย่อยโปรตีนเพียง
อย่างเดทียวเำ่านั้น
ลคาไสำ้เล็ก (small
intestine)
เป็นบริเวณำี่มีการย่อยและการดทูดทซึมมากำี่สุดท โดทยเอนไซม์จะำางานไดท้ดทีในสภาพำี่เป็นเบส ไดท้แก่
1. มอลเำส (maltase) เป็นเอนไซม์ำี่ย่อยน้าตาลมอลโำสให้เป็นกลูโคส
2. ซูเครส (sucrase) เป็นเอนไซม์ำี่ย่อยน้าตาลำรายหรือน้าตาลซูโครส (sucrose)
ให้เป็นกลูโคสกับฟรักโำส (fructose)
3. แล็กเำส (lactase) เป็นเอนไซม์ำี่ย่อยน้าตาลแล็กโำส (lactose) ให้เป็นกลูโคส
กับกาแล็กโำส (galactose)
การย่อยอาหารำี่ลาไส้เล็กใช้เอนไซม์จากตับอ่อน (pancreas) มาช่วยย่อย เช่น
• ำริปซิน (trypsin) เป็นเอนไซม์ำี่ย่อยโปรตีนโปรตีนหรือเพปไำดท์ให้เป็นกรดทอะมิโน
• อะไมเลส (amylase) เป็นเอนไซม์ำี่ย่อยแป้ งให้เป็นน้าตาลมอลโำส
• ไลเปส (lipase) เป็นเอนไซม์ำี่ย่อยไขมันให้เป็นกรดทไขมันและกลีเซอรอล
น้าดที (bile)
การย่อยสารอาหาร
ประเภำต่างๆ
นค้าดี (bile)
เป็นสารำี่ผลิตมาจากตับ (liver) แล้วไปเก็บไว้ำี่ถุงน้าดที (gall
bladder) น้าดทีไม่ใช่เอนไซม์เพราะไม่ใช่สารประกอบประเภำ
โปรตีน น้าดทีจะำาหน้าำี่ย่อยโมเลกุลของโปรตีนให้เล็กลงแล้วน้าย่อยจาก
ตับอ่อนจะย่อยต่อำาให้ไดท้อนุภาคำี่เล็กำี่สุดทำี่สามารถแพร่เข้าสู่เซลล์
การย่อยสำารอาหารประเภทต่างๆในลคาไสำ้เล็ก
อาหารเมื่อถูกย่อยเป็นโมเลกุลเล็กำี่สุดทแล้ว จะถูกดทูดทซึมำี่ลาไส้เล็ก โดทยโครงสร้างำี่
เรียกว่า “วิลลัส (villus)” ซึ่งมีลักษณะคล้ายนิ้วมือยื่นออกมาจากผนังลาไส้
เล็ก ำาหน้าำี่เพิ่มเพิ่มพื้นำี่ผิวในการดทูดทซึมอาหาร
+
+
+
– +
– +
ลคาไสำ้ให ่ (large intestine)
ำี่ลาไส้ใหญ่ไม่มีการย่อย แต่ำาหน้าำี่เก็บกากอาหารและดทูดทซึมน้าออก
จากกากอาหาร ดทังนั้น ถ้าไม่ถ่ายอุจจาระเป็นเวลาหลายวันติดทต่อกันจะำา
ให้เกิดทอาการำ้องผูก ถ้าเป็นบ่อยๆจะำาให้เกิดทโรคริดทสีดทวงำวาร
ระบบนค้าเหลือง
(Lymphatic
system)
จะเป็นเครือข่ายำั่วร่างกายอยู่ควบคู่ไปกับหลอดทเลือดท เป็นระบบำี่
ำางานเกี่ยวข้องกับการไหลเวียนของน้าเหลืองำั่วร่างกาย เพื่อนา
น้าเหลืองกลับเข้าสู่หลอดทเลือดทดทา และเกี่ยวข้องกับระบบภูมิคุ้มกัน
ต้านำานโรคของร่างกาย
น้าเหลือง
(lymph)
ำ่อน้าเหลือง
(lymph vessel)
อวัยวะน้าเหลือง
(lymph organ)
นค้าเหลือง (lymph)
ส่วนประกอบของน้าเหลืองคล้ายกับในเลือดทแต่ไม่มีเม็ดทเลือดทแดทง เป็น
ของเหลวำี่ซึมผ่านผนังเส้นเลือดทฝอยออกมาอยู่ระหว่างเซลล์หรือรอบ ๆ
เซลล์ เพื่อหล่อเลี้ยงเซลล์ ในน้าเหลืองจะมีโปรตีนโมเลกุลเล็ก เช่น อัลบูมิน
และสารำี่มีโมเลกุลเล็ก ๆ เช่น ก๊าซ น้า น้าตาลกลูโคส
ท่อนค้าเหลือง (lymph vessel)
เป็นำ่อตันมีอยู่ำั่วร่างกายมีขนาดทต่าง ๆ กัน มีลักษณะคล้ายเส้นเลือดทเวน คือมีลิ้นกั้นป้ องกัน
การไหลกลับของน้าเหลือง
น้าเหลืองไหลไปตามำ่อน้าเหลือง โดทยอาศัยปัจจัย 3 ประการ คือ
- การหดทและคลายตัวของกล้ามเนื้อำี่จะไปกดทหรือคลายำ่อน้าเหลือง
- ความแตกต่างระหว่างความดทันไฮโดทรสเตติก ซึ่งำ่อน้าเหลืองขนาดทเล็กมีมากกว่า
ำ่อน้าเหลืองขนาดทใหญ่
- การหายใจเข้า ซึ่งไปมีผลขยายำรวงอกและลดทความดทันำาให้ำ่อน้าเหลืองขยายตัว
ำ่อน้าเหลืองขนาดทใหญ่
ท่อนค้าเหลืองขนาดให ่ มี 2 ท่อที่สำคาค คือ
- ำ่อน้าเหลืองำอราซิก (Thoracic duct ) เป็น
ำ่อน้าเหลืองขนาดทใหญ่ำี่สุดท ำาหน้าำี่รับน้าเหลืองจากส่วนต่างๆของ
ร่างกาย ยกเว้นำรวงอกขวาแขนขวาและส่วนขวาของหัวกับ คอ เข้า
เส้นเลือดทเวนแล้วเข้าสู่เวนนาคาวาก่อนเข้าสู่หัวใจ อยู่ำางซ้ายของ
ลาตัว
- ำ่อน้าเหลืองำางดท้านขวาของลาตัว ( Right
lymphatic duct ) รับน้าเหลืองจากำรวงอกขวาแขนขวา
และส่วนขวาของหัวกับคอเข้าเส้นเลือดทเวน แล้วเข้าสู่เวนนาคาวา เข้าสู่
หัวใจ จากนั้นน้าเหลืองำี่อยู่ในำ่อน้าเหลือง จะเข้าหัวใจปนกับเลือดท
เพื่อลาเลียงสารต่างๆต่อไป
อวยวะนค้าเหลือง ( Lymph organ
)
อวัยวะน้าเหลืองเป็นศูนย์กลางในการผลิตเซลล์ำี่ใช้ในการต่อต้านเชื้อโรคหรือสิ่ง
แปลก
ปลอมประกอบดท้วย ต่อมน้าเหลือง ต่อมำอนซิล ม้าม ต่อมไำมัส และเนื้อเยื่อ
น้าเหลืองำี่อยู่ำี่ลาไส้
ต่อมน้าเหลือง
(lymph
node)
ต่อมำอนซิล
(Thonsil
gland)
ม้าม
( spleen )
ต่อมไำมัส
(Thymus
gland)
ต่อมนค้าเหลือง ( Lymph node )
พบอยู่ระหว่างำางเดทินของำ่อน้าเหลืองำั่วไปในร่าง
กายลักษณะเป็นรูปไข่ กลม หรือรี เส้นผ่าน
ศูนย์กลางประมาณ 1.5 มิลลิเมตร จะมีำ่อ
น้าเหลืองเข้าและำ่อน้าเหลืองออกภายในเต็มไป
ดท้วยเม็ดทเลือดทขาวชนิดทฟาโกไซต์ ต่อมน้าเหลืองจะ
ำาหน้าำี่กรองน้าเหลืองให้สะอาดทำาลายแบคำีเรีย
และำาลายเม็ดทเลือดทขาวำี่อยู่ในวัยชรา
ต่อมทอนซิล ( Thonsil gland )
เป็นกลุ่มของต่อมน้าเหลืองมีอยู่ 3 คู่คู่ำี่สาคัญอยู่รอบๆหลอดทอาหาร
ภายในต่อมำอนซิลจะมีลิมโฟไซต์ำาลายจุลินำรีย์ำี่ผ่านมาในอากาศ
ไม่ให้เข้าสู่หลอดทอาหารและกล่องเสียงถ้าต่อมำอนซิลติดทเชื้อจะมีอาการ
บวมขึ้น เรียกว่า ต่อมำอนซิลอักเสบ
ต่อมไทมสำ ( Thymus
gland )
เป็นต่อมำี่มีขนาดทใหญ่ตอนอายุน้อย และถ้าอายุมากจะเล็กลงและ
ฝ่อในำี่สุดท เป็นต่อมไร้ำ่ออยู่ตรงำรวงอกรอบเส้นเลือดทใหญ่ของ
หัวใจ ำาหน้าำี่สร้างเซลล์เม็ดทเลือดทขาวชนิดทลิมโฟไซต์ T มีหน้าำี่
ต่อต้านเชื้อโรคและสารแปลกปลอมเข้าสู่ร่างกาย รวมำั้งการต้าน
อวัยวะำี่ปลูกถ่ายจากผู้อื่นดท้วย
ม้าม ( spleen
)
เป็นอวัยวะน้าเหลืองำี่ใหญ่ำี่สุดท มีเส้นเลือดทมาเลี้ยงมากมายไม่
มีำ่อน้าเหลืองเลย สามารถยืดทหดทไดท้ นุ่มมีสีม่วง อยู่ใกล้ๆกับ
กระเพาะอาหารใต้กระบังลมดท้านซ้าย รูปร่างคล้ายเมล็ดทถั่ว
ภายในจะมีลิมโฟไซต์อยู่มากมาย ม้ามมีหน้าำี่สร้างเม็ดทเลือดทใน
ระยะเอ็มบริโอในคนำี่คลอดทแล้วม้ามำาหน้าำี่
1. ำาลายเม็ดทเลือดทแดทงำี่หมดทอายุแล้ว
2. สร้างเม็ดทเลือดทขาว พวกลิมโฟไซต์และโมโนไซต์ซึ่ง
ำาหน้าำี่ป้ องกันสิ่งแปลกปลอมและเชื้อโรคำี่เข้าไปในกระแส
เลือดท
3. สร้างแอนติบอดที
4. ในสภาพผิดทปกติ สามารถสร้างเม็ดทเลือดทแดทงไดท้ เช่น
มะเร็งเม็ดทเลือดท
ระบบหมุนเวียนโลหิต
(Circulatory
system)
เป็นระบบำี่นาสารเข้าและออกจากเซลล์สามารถช่วยในการรักษาระดทับ
อุณหภูมิ ความเป็นกรดท-เบส ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการรักษาดทุลยภาพ
ของร่างกาย
เลือดท (Blood)
หัวใจ (Heart)
หลอดทเลือดท
ความดทันเลือดท
( blood pressure)
เลือด (Blood)
ประกอบดท้วย 2 ส่วน คือ ส่วนำี่เป็นของเหลว 55
เปอร์เซ็นต์ ซึ่งเรียกว่า “น้าเลือดทหรือพลาสมา
(plasma)” และส่วนำี่เป็นของแข็งมี 45
เปอร์เซ็นต์ ซึ่งไดท้แก่ เซลล์เม็ดทเลือดทและเกล็ดทเลือดท
น้าเลือดทหรือพลาสมา เซลล์เม็ดทเลือดทและเกล็ดทเลือดท
นค้าเลือดหรือพลาสำมา
ประกอบดท้วยน้าประมาณ 91 เปอร์เซ็นต์ ำาหน้าำี่ลาเลียงเอนไซม์ ฮอร์โมน
แก๊ส แร่ธาตุ วิตามินและ
สารอาหารประเภำต่างๆำี่ผ่านการย่อยอาหารมาแล้วไปให้เซลล์และรับของเสีย
จากเซลล์ เช่น ยูเรีย
แก๊สคาร์บอนไดทออกไซดท์ น้า ส่งไปกาจัดทออกนอกร่างกาย
เซลล์เม็ดเลือดและเกล็ดเลือด
เซลล์เม็ดทเลือดทแดทง (red blood cell)
มีลักษณะค่อนข้างกลมตรงกลางจะเว้า ไม่มี
นิวเคลียส องค์ประกอบส่วนใหญ่เป็นสาร
ประเภำโปรตีนำี่เรียกว่า “ ฮีโมโกลบิน ” ซึ่งมี
สมบัติในการรวมตัวกับแก๊สต่างๆ ไดท้ดที เช่น แก๊ส
ออกซิเจน แก๊สคาร์บอนไดทออกไซดท์
หน้าำี่ แลกเปลี่ยนแก๊ส โดทยจะลาเลียงแก
สออกซิเจน ไปยังส่วนต่างๆ ของร่างกาย และ
ลาเลียงแก๊สคาร์บอนไดทออกไซดท์จากส่วนต่างๆ
ของร่างกายกลับไปำี่ปอดท
แหล่งสร้างเม็ดทเลือดทแดทง คือ ไขกระดทูก มี
อายุประมาณ 110-120 วัน หลังจากนั้น
เซลล์เม็ดทเลือดทขาว (white blood cell)
มีลักษณะค่อนข้างกลม ไม่มีสีและมีนิวเคลียส เม็ดท
เลือดทขาวในร่างกายมีอยู่ดท้วยกันหลายชนิดท
หน้าำี่ ำาลายเชื้อโรคหรือสารแปลกปลอมำี่
เข้ามาสู่ร่างกาย
แหล่งำี่สร้างเม็ดทเลือดทขาว คือ ม้าม ไขกระดทูก
และต่อมน้าเหลือง มีอายุประมาณ 7-14 วัน
เกล็ดทเลือดทหรือแผ่นเลือดท (blood pletelet)
ไม่ใช่เซลล์แต่เป็นชิ้นส่วนของเซลล์ซึ่งมีรุปร่างกลมรีและ
แบนเกล็ดทเลือดทมีอายุประมาณ4วัน
หน้าำี่ ช่วยให้เลือดทแข็งตัวเมื่อมีการไหลของ
หวใจ
(Heart)
ำาหน้าำี่ สูบฉีดทเลือดทไปยังส่วนต่างๆ ของร่างกาย โดทยำาให้เกิดท
ความดทันเลือดทในหลอดทเลือดทแดทงเพื่อให้เลือดทเคลื่อนำี่ไปยังอวัยวะ
ส่วนต่างๆ ของร่างกายไดท้ำั่วถึง
วงจรการไหลเวียนเลือดท
วงจรการไหลเวียนเลือด
วงจรการไหลเวียนเลือดท เริ่มจากหัวใจห้องบนซ้ายรับเลือดทำี่มีปริมาณออกซิเจนสูงจากปอดทแล้ว
บีบตัวดทันผ่านลิ้นหัวใจ
ลงสู่หัวใจห้องล่างซ้ายแล้วบีบตัวดทันเลือดทไปยังส่วนต่างๆของร่างกายและเปลี่ยนเป็นเลือดทำี่มี
คาร์บอนไดทออกไซดท์สูง
หรือเลือดทดทาไหลผ่านหลอดทเลือดทดทาหัวใจห้องบนขวาแล้วบีบตัวดทันผ่านลิ้นหัวใจลงสู่ห้องล่าง
การไหลเวียนเลือดทไปำั่วร่างกาย
การไหลเวียนเลือดทภายในหัวใจ
การไหลเวียนเลือดภายในหวใจ
การไหลเวียนเลือดไปท่วร่างกาย
หลอดเลือด
ำาหน้าำี่ลาเลียงเลือดทจากหัวใจไปยังอวัยวะส่วน
ต่างๆ ำั่วร่างกาย และเป็นเส้นำางให้เลือดทจาก
อวัยวะต่างๆำั่วร่างกายกลับเข้าสู่หัวใจ
หลอดทเลือดทดทา (vein)
หลอดทเลือดทฝอย
(capillary)
หลอดทเลือดทแดทง (artery)
หลอดเลือดแดง
(artery)
เป็นหลอดทเลือดทำี่นาเลือดทดทีจากหัวใจไปสู่เซลล์ต่างๆ ของร่างกายหลอดทเลือดท
แดทงมีผนังหนาแข็งแรง และไม่มีลิ้นกั้นภายใน เลือดทำี่อยู่ในหลอดทเลือดทแดทง
เป็นเลือดทำี่มีปริมาณแก๊สออกซิเจนสูงหรือเรียกว่า “ เลือดทแดทง ”ยกเว้น
หลอดทเลือดทแดทงำี่นาเลือดทออกจากหัวใจไปยังปอดทภายในเป็นเลือดทำี่มี
ปริมาณแก๊สคาร์บอนไดทออกไซดท์มากหรือเรียกว่า “ เลือดทดทา ”
หลอดเลือดดคา (vein)
เป็นหลอดทเลือดทำี่นาเลือดทดทาจากส่วนต่างๆ ของร่างกายเข้าสู่หัวใจ
หลอดทเลือดทมีผนังบางกว่าหลอดทเลือดทแดทง มีลิ้นกั้นภายในเพื่อ
ป้ องกันเลือดทไหลย้อนกลับ เลือดทำี่ไหลอยู่ภายในหลอดทเลือดทจะ
เป็นเลือดทำี่มีปริมาณแก๊สออกซิเจนต่า ยกเว้นหลอดทเลือดทดทาำี่นา
เลือดทจากปอดทเข้าสู่หัวใจ จะเป็นเลือดทแดทง
หลอดเลือดฝอย
(capillary)
เป็นหลอดทเลือดทำี่เชื่อมต่อระหว่างหลอดทเลือดทแดทงและหลอดทเลือดทดทาสาน
เป็นร่างแหแำรกอยู่ตามเนื้อเยื่อต่างๆ ของร่างกาย มีขนาดทเล็กและละเอียดท
เป็นฝอยและมีผนังบางมากเป็นแหล่งำี่มีการแลกเปลี่ยนแก๊สและสารต่างๆ
ระหว่างเลือดทกับเซลล์
ความดนเลือด ( blood pressure)
หมายถึงความดทันในหลอดทเลือดทแดทงเป็นส่วนใหญ่เกิดทจากบีบตัวของหัวใจำี่ดทันเลือดทให้ไหลไป
ตามหลอดทเลือดทความดทันของหลอดทเลือดทแดทงำี่อยู่ใกล้หัวใจจะมีความดทันสูงกว่าหลอดทเลือดทแดทง
ำี่อยู่ไกลหัวใจ ส่วนในหลอดทเลือดทดทาจะมีความดทันต่ากว่าหลอดทเลือดทแดทงเสมอความดทันเลือดท
เป็นตัวเลข 2 ค่าคือ
ค่าความดทันเลือดทขณะหัวใจบีบตัว และค่าความดทันเลือดทขณะหัวใจคลายตัว เช่น
120/80 มิลลิเมตรปรอำ ค่าตัวเลข 120 แสดทงค่าความดทันเลือดทขณะหัวใจบีบตัวให้
เลือดทออกจากหัวใจ เรียกว่า ความดทันระยะหัวใจบีบตัว (Systolic Pressure)
ส่วนตัวเลข 80 แสดทงความดทันเลือดทขณะหัวใจคลายตัว เพื่อรับเลือดทเข้าสู่หัวใจ เรียกว่า ความ
ดทันระยะหัวใจคลายตัว (Diastolic Pressure)ปกติความดทันเลือดทสูงสุดทขณะหัวใจบีบตัวให้เลือดทออกจากหัวใจ
มีค่า 100+ อายุ และความดทันเลือดทขณะหัวใจรับเลือดทไม่ควร
เกิน 90 มิลลิเมตรปรอำ
ชีพจร หมายถึง การหดทตัวและการคลายตัวของหลอดทเลือดทแดทง
ซึ่งตรงกับจังหวะการเต้นของหัวใจคนปกติหัวใจเต้นเฉลี่ยประมาณ
เสำีย
(Urinary
system)
ของเสีย หมายถึง สารำี่เกิดทจากกระบวนการเมแำบ
อริซึม (metabolism) ภายในร่างกาย
ของสิ่งมีชีวิตำี่ ไม่มีประโยชน์ต่อร่างกายเช่น น้า
แก๊สคาร์บอนไดทออกไซดท์ ยูเรีย เป็นต้น นอกจากนี้
สารำี่มีประโยชน์ปริมาณมากเกินไปร่างกายก็จะ
กาจัดทออกเมแำบอริซึม (metabolism)
หมายถึงการบวนการหมุนเวียนเปลี่ยนแปลงำาง
ชีวเคมีำี่เกิดทขึ้นภายในร่างกายของสิ่งมีชีวิต
การกาจัดทของเสีย
ำางลาไส้ใหญ่
การกาจัดทของเสียำางปอดท
การกาจัดทของเสียำางผิวหนัง
การกาจัดทของเสียำางไต
การกคาจดของเสำียทางไต
ไต (Kidney) ำาหน้าำี่กาจัดทของเสียในรูปของน้าปัสสาวะ
บริเวณตรงกลางของไตมีส่วนเว้าเป็นกรวยไต มีหลอดทไตต่อไปยัง
กระเพาะปัสสาวะ ไตแต่ละข้างประกอบดท้วยหน่วยไต
(nephron) นับล้านหน่วยเป็นำ่อำี่ขดทไปมาโดทยมีปลาย
ำ่อข้างหนึ่งต้น เรียกปลายำ่อำี่ตันนี้ว่า “ โบว์แมนส์แคปซูล
(Bowman s capsule)” ภายในจะมีกลุ่มเลือดท
ฝอยพันกันเป็นกระจุกเรียกว่า “ โกลเมอรูลัส
(glomerulus)” ซึ่งำาหน้าำี่กรองของเสียออกจาก
เลือดทำี่ไหลผ่านไตำี่บริเวณำ่อของหน่วยไตจะมีการดทูดทซึมสารำี่เป็นประโยชน์ต่อ
ร่างกาย เช่น แร่ธาตุ น้าตาลกลูโคส กรดทอะมิโนรวมำั้งน้ากลับคืนสู่
หลอดทเลือดทฝอยและเข้าสู่หลอดทเลือดทดทา ส่วนของเสียอื่นๆ ำี่เหลือคือ
น้าปัสสาวะ จะถูกส่งมาตามหลอดทไตเข้าสู่กระเพาะปัสสาวะ ในวัน
หนึ่งๆ ร่างกายจะขับน้าปัสสาวะออกมาประมาณ 1 – 1.5 ลิตร
การกคาจดของเสำียทางผิวหนง
เหงื่อ (sweat)ประกอบดท้วยน้าเป็นส่วนใหญ่ และมีสารอื่นๆ บ้างชนิดทปนอยู่ดท้วย
เช่น เกลือโซเดทียมคลอไรดท์ ยูเรีย เป็นต้น เหงื่อจะถูกขับออกจากร่างกายำางผิวหนัง
โดทยผ่านำาวต่อมเหงื่อซึ่งมีอยู่ำั่วร่างกายใต้ผิวหนัง
ต่อมเหงื่อ
ต่อมเหงื่อของคน แบ่งได้เป็ น 2 ชนิด คือ
1. ต่อมเหงื่อขนาดทเล็ก มีอยู่ำี่ผิวหนังำั่วำุกแห่งของร่างกาย ยกเว้นำี่ริมฝีปากและำี่
อวัยวะสืบพันธุ์บางส่วน ต่อมเหงื่อเหล่านี้ติดทต่อกับำ่อขับถ่ายซึ่งเปิดทออกำี่ผิวหนัง
ชั้นนอกสุดท ต่อมเหงื่อขนาดทเล็กนี้สร้างเหงื่อแล้วขับถ่ายออกมาตลอดทเวลา เหงื่อจาก
ต่อมเหงื่อขนาดทเล็กประกอบดท้วยน้าร้อยละ 99 สารอื่นๆ ร้อยละ 1 ซึ่งไดท้แก่ เกลือ
โซเดทียมคลอไรดท์และสารอินำรีย์พวกยูเรีย นอกนั้น เป็นสารอื่นอีกเล็กน้อยเช่น
แอมโมเนีย กรดทอะมิโน น้าตาล กรดทแลกติก
2. ต่อมเหงื่อขนาดทใหญ่ พบไดท้เฉพาะบางแห่ง ไดท้แก่ รักแร้ รอบหัวนม รอบสะดทือ ช่องหูส่วนนอกจมูก
อวัยวะสืบพันธุ์บางส่วน ต่อมเหล่านี้มีำ่อขับถ่ายใหญ่กว่าชนิดทแรก และจะเปิดทำี่รูขนใต้ผิวหนัง ปกติจะไม่
เปิดทโดทยตรงำี่ผิวหนังชั้นนอกสุดท ต่อมชนิดทนี้จะำางานตอบสนองต่อการกระตุ้นำางจิตใจ สารำี่ขับถ่ายจาก
ต่อมชนิดทนี้มักมีกลิ่นซึ่งคือกลิ่นตัว โครงสร้างภายในต่อมเหงื่อจะมีำ่อขดทอยู่เป็นกลุ่มและมีหลอดทเลือดทฝอย
มาหล่อเลี้ยงโดทยรอบหลอดทเลือดทฝอยเหล่านนี้จะลาเลียงของเสียมายังต่อมเหงื่อเมื่อของเสียมาถึงบริเวณ
ต่อเหงื่อก็จะแพร่ออกจากหลอดทเลือดทฝอยเข้าสู่ำ่อในต่อมเหงื่อ จากนั้นของเสีย ซึ่งก็คือ เหงื่อ จะถูกลาเลียง
ไปตามำ่อจนถึงผิวหนังชั้นบนสุดท ซึ่งมีปากำ่อเปิดทอยู่ หรือำี่เรียกว่า รูเหงื่อ ผิวหนังนอกจากจะำาหน้าำี่
การกคาจดของเสำียทางลคาไสำ้ให ่
หลังจากการย่อยอาหารเสร็จสิ้นลง อาหารส่วนำี่เหลือและส่วนำี่ร่างกายไม่
สามารถย่อยไดท้จะถูกกาจัดทออกจากร่างกายำางลาไส้ใหญ่( ำวารหนัก )
ในรูปรวมำี่เรียกว่า “อุจจาระ”ถ้าอุจจาระตกค้างอยู่ในลาไส้ใหญ่หลายวัน
ผนังลาไส้ใหญ่จะดทูดทน้ากลับเข้าไปในเส้นเลือดท ำาให้อุจจาระแข็งเกิดทความ
ยากในการขับถ่าย เรียกว่า “ ำ้องผูก ”
การกคาจดของเสำียทางปอด
ของเสียำี่ถูกกาจัดทออกไดท้แก่ น้าและแก๊สคาร์บอนไดทออกไซดท์ ซึ่ง
เกิดทขึ้นจากกระบวนการหายใจของเซลล์ต่างๆ ในร่างกายขั้นตอน
ในการกาจัดทของเสียออกจากร่างกายำางปอดท มีดทังนี้
1. น้าและแก๊สคาร์บอนไดทออกไซดท์ำี่เกิดทขึ้นแพร่ออกจาก
เซลล์เข้าสู่หลอดทเลือดท โดทยจะละลายปนอยู่ในเลือดท
2. เลือดทำี่มีของเสียละลายปนอยู่จะถูกลาเลียงส่งไปยัง
ปอดท โดทยการลาเลียงผ่านหัวใจเพื่อส่งต่อไปแลกเปลี่ยนแก๊สำี่ปอดท
3. เลือดทำี่มีของเสียละลายปนอยู่เมื่อไปถึงปอดท ของเสีย
ต่างๆำี่สะสมอยู่ในเลือดทจะแพร่ผ่านผนังของหลอดทเลือดทเข้าสู่ถุงลม
ของปอดทแล้วลาเลียงไปตามหลอดทลม เพื่อกาจัดทออกจากร่างกาย
ำางจมูกพร้อมกับลมหายใจออก
ระบบประสำาท
(Nervous System)
คือ ระบบการตอบสนองต่อสิ่งเร้าของสัตว์ ำาให้สัตว์สามารถตอบสนอง
ต่อสิ่งต่างๆ รอบตัวอย่างรวดทเร็วช่วยรวบรวมข้อมูลเพื่อให้สามารถ
ตอบสนองไดท้ ระบบประสาำของมนุษย์แบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ ระบบ
ประสาำส่วนกลางและระบบประสาำรอบนอก
ระบบประสาำส่วนกลาง
(Somatic Nervous
System)
ระบบประสาำรอบนอก
(Peripheral Nervous
System)
ระบบประสำาทสำ่วนกลาง
(Somatic Nervous System)
เป็นศูนย์กลางควบคุมการำางานของร่างกาย ซึ่งำางานพร้อมกันำั้งในดท้านกลไก
และำางเคมีภายใต้อานาจจิตใจ ซึ่งประกอบดท้วยสมองและไขสันหลังโดทย
เส้นประสาำหลายล้านเส้นจากำั่วร่างกายจะส่งข้อมูลในรูปกระแสประสาำออก
จากบริเวณศูนย์กลางมีอวัยวะำี่เกี่ยวข้องคือ
สมอง (Brain) เซลล์ประสาำ (Neuron)
ไขสันหลัง (Spinal
Cord)
การำางานของระบบประสาำ
ส่วนกลาง
สำมอง (Brain)
เป็นส่วนำี่ใหญ่กว่าส่วนอื่นๆของระบบประสาำส่วนกลางำาหน้าำี่ควบคุม
การำากิจกรรมำั้งหมดทของร่างกายเป็นอวัยวะชนิดทเดทียวำี่แสดทง
ความสามารถดท้านสติปัญญา การำากิจกรรมหรือการแสดทงออกต่างๆ
สมองของสัตว์มีกระดทูกสันหลังำี่สาคัญแบ่งออกเป็น 3 ส่วน
สมอง 3 ส่วน
2. เมดทัลลาออบลองกาตา (Medulla Oblongata) คือ ส่วนำี่อยู่ติดทกับ
ไขสันหลัง ควบคุมการำางานของระบบประสาำอัตโนมัติ เช่น การหายใจการเต้นของ
หัวใจ การไอ การจาม การกะพริบตา ความดทันเลือดท เป็นต้น
1. เซรีบรัมเฮมิสเฟียร์ (Cerebrum Hemisphrer) คือ สมอง
ส่วนหน้า ำาหน้าำี่ควบคุมพฤติกรรรมำี่ซับซ้อนเกี่ยวกับ ความรู้สึกและอารมณ์
ควบคุมความคิดท ความจา และความเฉลียวฉลาดท เชื่อมโยงความรู้สึกต่างๆเช่น การ
ไดท้ยิน การมองเห็น การรับกลิ่น การรับรส การรับสัมผัส เป็นต้น
3. เซรีเบลลัม (Cerebellum) คือ สมองส่วนำ้าย เป็นส่วนำี่
ควบคุมการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อและการำรงตัวช่วยให้เคลื่อนไหวไดท้อย่าง
แม่นยาเช่น การเดทิน การวิ่ง การขี่รถจักรยาน เป็นต้น
ไขสำนหลง (Spinal
Cord)
เป็นเนื้อเยื่อประสาำำี่ำอดทยาวจากสมองไปภายในโพรงกระดทูกสัน
หลัง กระแสประสาำจากส่วนต่างๆของร่างกายจะผ่านไขสันหลัง มีำั้ง
กระแสประสาำเข้าและกระแสประสาำออกจากสมองและกระแส
ประสาำำี่ติดทต่อกับไขสันหลังโดทยตรง
เซลล์ประสำาท (Neuron)
เป็นหน่วยำี่เล็กำี่สุดทของระบบประสาำ เซลล์ประสาำ
มีเยื่อหุ้มเซลล์ ไซโำพลาสซึมและนิวเคลียสเหมือน
เซลล์อื่นๆ แต่มีรูปร่างลักษณะแตกต่างออกไป เซลล์
ประสาำประกอบดท้วยตัวเซลล์ และเส้นใยประสาำำี่มี
2 แบบ คือ เดทนไดทรต์ (Dendrite) ำา
หน้าำี่นากระแสประสาำเข้าสู่ตัวเซลล์และแอกซอน
(Axon) ำาหน้าำี่นากระแสประสาำออกจากตัว
เซลล์ไปยังเซลล์ประสาำอื่นๆ
จาแนกเซลล์ประสาำตามหน้าำี่
เซลล์ประสำาทที่จคาแนกตามหน้าที่การทคางาน มี3 ชนิด
คือ
1. เซลล์ประสาำรับความรู้สึก รับความรู้สึกจากอวัยวะสัมผัส เช่น หู ตา จมูก ผิวหนัง ส่งกระแสประสาำผ่าน
เซลล์ประสาำประสานงาน
2. เซลล์ประสาำประสานงาน เป็นตัวเชื่อมโยงกระแสประสาำระหว่างเซลล์รับความรู้สึกกับสมอง ไขสันหลัง
พบในสมองและไขสันหลังเำ่านั้น
3. เซลล์ประสาำสั่งการ รับคาสั่งจากสมองหรือไขสันหลัง เพื่อควบคุมการำางานของอวัยวะต่างๆ
การทคางานของระบบประสำาทสำ่วนกลาง
สิ่งเร้าหรือการกระตุ้นจัดทเป็นข้อมูลหรือเส้นประสาำส่วนกลาง
เรียกว่า “กระแสประสาำ” เป็นสัญญาณไฟฟ้ าำี่นาไปสู่เซลล์
ประสาำำางดท้านเดทนไดทรต์ และเดทินำางออกอย่างรวดทเร็วำางดท้าน
แอกซอน แอกซอนส่วนใหญ่ มีแผ่นไขมันหุ้มไว้เป็นช่วงๆ แผ่นไขมัน
นี้ำาหน้าำี่เป็นฉนวนและำาให้กระแสประสาำเดทินำางไดท้เร็วขึ้น ถ้า
แผ่นไขมันนี้ฉีกขาดทอาจำาให้กระแสประสาำช้าลงำาให้สูญเสีย
ความสามารถในการใช้กล้ามเนื้อ เนื่องจากการรับคาสั่งจากระบบ
ประสาำส่วนกลางไดท้ไม่ดที
ระบบประสำาทรอบนอก
(Peripheral Nervous
System)
ำาหน้าำี่รับและนาความรู้สึกเข้าสู่ระบบประสาำส่วนกลางไดท้แก่ สมองและไขสัน
หลังจากนั้นนากระแสประสาำสั่งการจากระบบประสาำส่วนกลางไปยังหน่วย
ปฏิบัติงาน ซึ่งประกอบดท้วยหน่วยรับความรู้สึกและอวัยวะรับสัมผัส รวมำั้งเซลล์
ประสาำและเส้นประสาำำี่อยู่นอกระบบประสาำส่วนกลาง
จัดทจาแนกตามลักษณะการำางาน
จคาแนกตามลกษณะการทคางานได้ 2 แบบ
1. ระบบประสาำภายใต้อานาจจิตใจ เป็นระบบควบคุมการำางานของ
กล้ามเนื้อำี่บังคับไดท้ รวมำั้งการตอบสนองต่อสิ่งเร้าภายนอก
2. ระบบประสาำนอกอานาจจิตใจ เป็นระบบประสาำำี่ำางานโดทย
อัตโนมัติ มีศูนย์กลางควบคุมอยู่ในสมองและไขสันหลัง ไดท้แก่ การเกิดทรีเฟ
ลกซ์แอกชัน (Reflex Action) และเมื่อมีสิ่งเร้ามากระตุ้นำี่
อวัยวะรับสัมผัสเช่น ผิวหนัง กระแสประสาำจะส่งไปยังไขสันหลัง และไขสัน
หลังจะสั่งการตอบสนองไปยังกล้ามเนื้อ โดทยไม่ผ่านไปำี่สมอง เมื่อมีเปลวไฟ
มาสัมผัสำี่ปลายนิ้วกระแสประสาำจะส่งไปยังไขสันหลังไม่ผ่านไปำี่สมอง
ไขสันหลังำาหน้าำี่สั่งการให้กล้ามเนื้อำี่แขนเกิดทการหดทตัว เพื่อดทึงมือออก
จากเปลวไฟำันำี
ระบบภูมิคุ้มกน
(Immune
system)
ร่างกายของคนเราำี่มีสภาพภูมิคุ้มกันสิ่งแปลกปลอมำี่อาจก่อให้เกิดทโรคไดท้
ร่างกายซึ่งมีกลไกกาจัดทสิ่งแปลกปลอมตามธรรมชาติ ดทังนี้
1. เหงื่อเป็นสารำี่ร่างกายขับจากต่อมเหงื่อออกมาำี่บริเวณผิวหนังำั่ว
ร่างกายสามารถป้ องกันการเจริญเติบโตของแบคำีเรีย และป้ องกันไม่ให้เชื้อโรค
เข้าสู่ร่างกายำางผิวหนัง
2. น้าตาและน้าลาย ช่วยำาลายเชื้อแบคำีเรียบางชนิดทไดท้
3. ขนจมูกและน้าเมือกในจมูก ช่วยป้ องกันฝุ่นละอองและเชื้อโรคำี่เข้าสู่
ร่างกายำางลมหายใจ
4. เซลล์เม็ดทเลือดทขาวำี่อยู่ในเซลล์ร่างกายและำ่อน้าเหลือง สร้างสาร
ต่อต้านเชื้อโรคำี่เรียกว่า แอนติบอดที (Antibody) เพื่อำาลายเชื้อโรคำี่
เข้าสู่ร่างกาย
สร้างไดท้ 2 ลักษณะ
ระบบภูมิคุ้มกนโรคที่ร่างกายสำร้างขึ้นน้นสำร้างได้ 2 ลกษณะ
ดงนี้
1. ภูมิคุ้มกันำี่ร่างกายสร้างขึ้นเอง เป็นวิธีการกระตุ้นให้ร่างกายสร้าง
ภูมิคุ้มกันจากสิ่งแปลกปลอมหรือเชื้อโรค เช่น การฉีดทวัคซีนคุ้มกันโรค
อหิวาตกโรค เป็นการกระตุ้นให้ร่างกายสร้างแอนติบอดที เพื่อำาลายเชื้อ
อหิวาตกโรคำี่จะเข้าสู่ร่างกาย เป็นต้น
2. ภูมิคุ้มกันำี่รับมา เป็นวิธีการให้แอนติบอดทีแก่ร่างกายโดทยตรง เพื่อให้
เกิดทภูมิคุ้มกันำันำี เช่น การฉีดทเซรุ่มแก้พิษงู ใช้ฉีดทเมื่อถูกงูกัดท จะเกิดท
ภูมิคุ้มกันำันำี
ระบบต่อมไร้ท่อ
(Endocrine
System)
เป็นระบบำี่ผลิตสารำี่เรียกว่า ฮอร์โมน เป็นต่อมำี่ไม่มีำ่อหรือรูเปิดท จึง
ลาเลียงสารเหล่านั้นไปตามกระแสเลือดทไปสู่อวัยวะเป้ าหมาย เพื่อำา
หน้าำี่ควบคุมการำางานของระบบต่าง ๆ ฮอร์โมนจะำางานโดทยประสาน
กับระบบประสาำ เราจึงเรียกระบบต่อมไร้ำ่อและระบบประสาำนี้ว่า
ระบบประสานงาน ฮอร์โมนำี่ผลิตขึ้นจากต่อมไร้ำ่อจะต้องมีปริมาณพอดที
กับร่างกาย และมีฤำธิ์มากพอำี่จะำาให้เกิดทพฤติกรรมต่าง ๆ ในสิ่งมีชีวิต
ต่อมใต้สมอง
(pituitary
gland)
ต่อมพาราไำรอยดท์
(parathyroid
gland)
ต่อมำี่อยู่ในตับอ่อน
(islets of
langerhans)
รังไข่ (ovary) ในเพศหญิง
และ อัณฑะ (testis) ในเพศชาย
ต่อมไำรอยดท์
(thyroid
gland)
ต่อมหมวกไต
(adrenal
gland)
ต่อมไำมัส
(thymus
gland)
ต่อมใต้สำมอง (pituitary
gland)
เป็นต่อมำี่มีขนาดทเล็กรูปร่างกลม อยู่ใต้สมอง แบ่งเป็น 2 ส่วน คือ ต่อมใต้สมองส่วนหน้า
(anterior pituitary หรือ adenohypophysis) และต่อมใต้สมองส่วนหลัง
(posterior pituitary หรือ neurohypophysis) เป็นศูนย์ควบคุมใหญ่ของ
ร่างกาย มีหน้าำี่สาคัญหลายอย่าง เช่น สร้างฮอร์โมนควบคุมการเจริญเติบโตของร่างกายและกระดทูก
และสร้างฮอร์โมนำี่ำาให้ความดทันเลือดทสูงขึ้น ำาให้ปัสสาวะเป็นปกติ และการบีบตัวของมดทลูกในเพศ
หญิงขณะคลอดทบุตรดท้วย นอกจากนี้ยังำาหน้าำี่ควบคุมการำางานของต่อมไร้ำ่ออื่น ๆ เช่น ต่อม
ไำรอยดท์ ต่อมหมวกไต รวมไปถึงควบคุมการำางานของระบบสืบพันธุ์ของคนเรา
ต่อมพาราไทรอยด์ (parathyroid
gland)
เป็นต่อมขนาดทเล็ก มี 2 คู่ อยู่ติดทกับต่อมไำรอยดท์ ำาหน้าำี่สร้างฮอร์โมนพารา
ฮอร์โมนำี่ควบคุมปริมาณของแคลเซียมในเลือดทและรักษาความเป็นกรดทเป็นดท่างใน
ร่างกายให้อยู่ในระดทับำี่เหมาะสม
ต่อมหมวกไต (adrenal
gland)
เป็นต่อมำี่มีรูปร่างค่อนข้างแบนคล้ายหมวดท
ครอบอยู่ส่วนบนของไตแบ่งออกเป็น 2 ชั้น
ชั้นในสร้างฮอร์โมนอะดทรีนาลิน ซึ่งมีคุฯสมบัติ
เหมือนสารำี่หลั่งจากปลายประสาำอัตโนมัติ
โดทยจะกระตุ้นร่างกายำุกส่วนให้เตรียมพร้อม
หลอดทเลือดทำั่วไปหดทตัวและำาให้ความดทัน
เลือดทสูงขึ้น ส่วนชั้นนอกสร้างฮอร์โมนควบคุม
การเผาผลาญอาหาร(cortisol)
ตลอดทจนฮอร์โมนควบคุมการดทูดทซึมเหลือำี่ไต
(aldosterone)
ต่อมไทรอยด์ (thyroid
gland)
เป็นต่อมำี่มีลักษณะเป็นพู เชื่อมต่อกัน เป็นต่อมำี่อยู่ติดทกับกล่องเสียงและ
หลอดทลม ต่อมนี้จะมีขนาดทโตขึ้นตามอายุ เพศ และภาวะโภชนาการ ำาหน้าำี่
หลั่งฮอร์โมนำี่เรียกว่า ไำรอกซิน (thyroxin) ซึ่งมีความสาคัญต่อการ
ควบคุมการเจริญเติบโตของร่างกายให้ดทาเนินไปไดท้อย่างเหมาะสม
ต่อมไทมสำ (thymus
gland)
เป็นต่อมำี่มีรูปร่างคล้ายพีระมิดทแบนำางข้าง มี 2 กลีบขนาดทและ
รูปร่างแตกต่างกันไปตามอายุ มีขนาดทใหญ่ในำารกแรกเกิดท และจะ
ค่อย ๆ เล็กลงเมื่อเริ่มเข้าสู่วัยผู้ใหญ่ ำาหน้าำี่ควบคุมการำางานของ
ระบบภูมิคุ้มกันของรางกาย
ต่อมที่อยู่ในตบอ่อน (islets of
langerhans)
เป็นต่อมำี่สร้างฮอร์โมนอินซูลิน ซึ่งมีหน้าำี่ควบคุมปริมาณน้าตาลของร่างกาย ถ้าขาดท
ฮอร์โมนชนิดทนี้จะำาให้เป็นโรคเบาหวาน เพราะไม่สามารถเปลี่ยนน้าตาลในเลือดทให้
เป็นไกลโคเจนเก็บไว้ในกล้ามเนื้อหรือในตับไดท้
รงไข่ (ovary) ในเพศห ิง
และอณฑะ (testis) ในเพศชาย
โดทยำี่รังไข่ำาหน้าำี่ผลิตไข่และสร้างฮอร์โมนเพศ คือ ฮอร์โมนเอสโำรเจนกับฮอร์โมนโพรเจสเำอ
โรน เป็นฮอร์โมนำี่ควบคุมเกี่ยวกับลักษณะต่าง ๆ ของเพศหญิง เช่น เสียงเล็กแหลม สะโพก
ผาย การขยายใหญ่ของอวัยวะเพศ และเต้านม เป็นต้น ส่วนอัณฑะำาหน้าำี่สร้างตัวอสุจิและ
สร้างฮอร์โมนเพศชาย คือ เำสโำสเตอโรน เพื่อควบคุมลักษณะต่าง ๆ ของเพศชาย เช่น เสียง
แตกห้าว ลูกกระเดทือกแหลม มีขนขึ้น บริเวณหน้าแข้ง รักแร้ และอวัยวะ เป็นต้น
ระบบสำืบพนธุ์
(Reproductive
system)
เป็นกระบวนการผลิตสิ่งมีชีวิตำี่จะแพร่ลูกหลานและดทารงเผ่าพันธุ์ของตนไว้ โดทย
ต่อมใต้สมองซึ่งอยู่ภายใต้การควบคุมของสมองส่วนไฮโพำาลามัส โดทยจะหลั่ง
ฮอร์โมนกระตุ้นต่อมเพศชายและหญิงให้ผลิตฮอร์โมนเพศ ำาให้ร่างกาย
เปลี่ยนแปลงไปสู่ความเป็นหนุ่มสาวพร้อมำี่จะสืบพันธุ์ไดท้ ต่อมเพศในชาย คือ
อัณฑะ ต่อมเพศในหญิง คือ รังไข่
ระบบสืบพันธุ์เพศชาย ระบบสืบพันธุ์เพศหญิง
ระบบสำืบพนธุ์เพศชาย
หลอดทเก็บตัวอสุจิ
(Epididymis)
ถุงหุ้มอัณฑะ
(Scrotum)
หลอดทนาตัวอสุจิ
(Vas
Deferens)
ต่อมลูกหมาก
(Prostate
Gland)
ต่อมสร้างน้าเลี้ยงอสุจิ
(Seminal
Vesicle)
ต่อมคาวเปอร์
(Cowper
Gland)
อัณฑะ (Testis)
อณฑะ (Testis)
เป็นต่อมรูปไข่ มี 2 อัน ำาหน้าำี่สร้างตัวอสุจิ (Sperm) ซึ่งเป็นเซลล์สืบพันธุ์เพศชาย
และสร้างฮอร์โมนเพศชายเพื่อควบคุม ลักษณะต่างๆของเพศชาย เช่น การมีหนวดทเครา เสียง
ห้าว เป็นต้น ภายในอัณฑะจะประกอบดท้วย หลอดทสร้างตัวอสุจิ (Seminiferous
Tubule) มีลักษณะเป็นหลอดทเล็กๆ ขดทไปขดทมาอยู่ภายใน ำาหน้าำี่สร้างตัวอสุจิ หลอดท
สร้างตัวอสุจิมีข้างละประมาณ 800 หลอดท แต่ละหลอดทมีขนาดทเำ่าเส้นดท้ายขนาดทหยาบ และ
ยาวำั้งหมดทประมาณ 800 เมตร
ถุงหุ้มอณฑะ
(Scrotum)
ำาหน้าำี่ห่อหุ้มลูกอัณฑะ ควบคุมอุณหภูมิให้พอเหมาะในการสร้างตัว
อสุจิ ซึ่งตัวอสุจิจะเจริญไดท้ดที ในอุณหภูมิต่ากว่าอุณหภูมิปกติของร่างกาย
ประมาณ 3-5 องศาเซลเซียส
หลอดเก็บตวอสำุจิ
(Epididymis)
อยู่ดท้านบนของอัณฑะ มีลักษณะเป็นำ่อเล็กๆ ยาวประมาณ 6 เมตร ขดท
ำบไปมา ำาหน้าำี่เก็บตัวอสุจิจนตัวอสุจิเติบโตและแข็งแรงพร้อมำี่จะ
ปฏิสนธิ
หลอดนคาตวอสำุจิ (Vas
Deferens)
อยู่ต่อจากหลอดทเก็บตัวอสุจิ ำาหน้าำี่ลาเลียงตัวอสุจิไปเก็บไว้ำี่ต่อมสร้าง
น้าเลี้ยงอสุจิ
ต่อมสำร้างนค้าเลี้ยงอสำุจิ (Seminal
Vesicle)
ำาหน้าำี่สร้างอาหารเพื่อใช้เลี้ยงตัวอสุจิ เช่น น้าตาลฟรักโำส วิตามิน
ซี โปรตีนโกลบูลิน เป็นต้น และสร้างของเหลวมาผสมกับตัวอสุจิเพื่อให้
เกิดทสภาพำี่เหมาะสมสาหรับตัวอสุจิ
ต่อมลูกหมาก (Prostate
Gland)
อยู่ตอนต้นของำ่อปัสสาวะ ำาหน้าำี่หลั่งสารำี่มีฤำธิ์เป็นเบสอ่อนๆ เข้าไป
ในำ่อปัสสาวะ เพื่อำาลายฤำธิ์กรดทในำ่อปัสสาวะ ำาให้เกิดทสภาพำี่
เหมาะสมกับตัวอสุจิ
vbvb
vbvb
vbvb
vbvb
vbvb
vbvb
vbvb
vbvb
vbvb
vbvb

More Related Content

What's hot

เซลล์ของสิ่งมีชีวิต
เซลล์ของสิ่งมีชีวิตเซลล์ของสิ่งมีชีวิต
เซลล์ของสิ่งมีชีวิตpongrawee
 
9.เนื้อเยื่อพืช
9.เนื้อเยื่อพืช9.เนื้อเยื่อพืช
9.เนื้อเยื่อพืชWichai Likitponrak
 
แนวทางเวชปฏิบัติการออกกำลังกายในผู้ป่วยเบาหวานและความดันโลหิตสูง 2555
แนวทางเวชปฏิบัติการออกกำลังกายในผู้ป่วยเบาหวานและความดันโลหิตสูง 2555แนวทางเวชปฏิบัติการออกกำลังกายในผู้ป่วยเบาหวานและความดันโลหิตสูง 2555
แนวทางเวชปฏิบัติการออกกำลังกายในผู้ป่วยเบาหวานและความดันโลหิตสูง 2555Utai Sukviwatsirikul
 
ศ นย ควบค_มระประสาท (ต_อ)
ศ นย ควบค_มระประสาท (ต_อ)ศ นย ควบค_มระประสาท (ต_อ)
ศ นย ควบค_มระประสาท (ต_อ)Natthaya Khaothong
 
ชุดกิจกรรม1
ชุดกิจกรรม1ชุดกิจกรรม1
ชุดกิจกรรม1Aon Narinchoti
 
บทที่ 11 โครงสร้างและหน้าที่ของพืช 2557
บทที่  11 โครงสร้างและหน้าที่ของพืช  2557บทที่  11 โครงสร้างและหน้าที่ของพืช  2557
บทที่ 11 โครงสร้างและหน้าที่ของพืช 2557Pinutchaya Nakchumroon
 
เนื้อเยื่อ
เนื้อเยื่อเนื้อเยื่อ
เนื้อเยื่อOui Nuchanart
 
เนื้อเยื่อพืช
เนื้อเยื่อพืชเนื้อเยื่อพืช
เนื้อเยื่อพืชThanyamon Chat.
 
แนวทางเวชปฏิบัติการรักษาวัณโรคในผู้ใหญ่ พ.ศ. 2555
แนวทางเวชปฏิบัติการรักษาวัณโรคในผู้ใหญ่ พ.ศ. 2555แนวทางเวชปฏิบัติการรักษาวัณโรคในผู้ใหญ่ พ.ศ. 2555
แนวทางเวชปฏิบัติการรักษาวัณโรคในผู้ใหญ่ พ.ศ. 2555Utai Sukviwatsirikul
 
โครงสร้างสาธารณสุขไทย
โครงสร้างสาธารณสุขไทยโครงสร้างสาธารณสุขไทย
โครงสร้างสาธารณสุขไทยSurasak Tumthong
 
ข้อสอบกายวิภาคศาสตร์ (บันทึกอัตโนมัติ)
ข้อสอบกายวิภาคศาสตร์ (บันทึกอัตโนมัติ)ข้อสอบกายวิภาคศาสตร์ (บันทึกอัตโนมัติ)
ข้อสอบกายวิภาคศาสตร์ (บันทึกอัตโนมัติ)Aom S
 
เรื่อง เนื้อเยื่อ tissue น้องๆสามารถศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ slide ด้านล่่า...
เรื่อง เนื้อเยื่อ tissue น้องๆสามารถศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ slide ด้านล่่า...เรื่อง เนื้อเยื่อ tissue น้องๆสามารถศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ slide ด้านล่่า...
เรื่อง เนื้อเยื่อ tissue น้องๆสามารถศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ slide ด้านล่่า...kasidid20309
 
การออกกำลังกายเพื่อสุขภาพ
การออกกำลังกายเพื่อสุขภาพการออกกำลังกายเพื่อสุขภาพ
การออกกำลังกายเพื่อสุขภาพWinthai Booloo
 
เนื้อเพลง ค่านิยม 12 ประการ
เนื้อเพลง ค่านิยม 12 ประการเนื้อเพลง ค่านิยม 12 ประการ
เนื้อเพลง ค่านิยม 12 ประการkruwan55
 
โครงสร้างและหน้าที่ของลำต้น
โครงสร้างและหน้าที่ของลำต้นโครงสร้างและหน้าที่ของลำต้น
โครงสร้างและหน้าที่ของลำต้นมัทนา อานามนารถ
 
โครงสร้างและหน้าที่ของราก
โครงสร้างและหน้าที่ของรากโครงสร้างและหน้าที่ของราก
โครงสร้างและหน้าที่ของรากThanyamon Chat.
 
เพลงชาติไทย แปลภาษาอังกฤษ2
เพลงชาติไทย แปลภาษาอังกฤษ2เพลงชาติไทย แปลภาษาอังกฤษ2
เพลงชาติไทย แปลภาษาอังกฤษ2Tongsamut vorasan
 

What's hot (20)

เซลล์ของสิ่งมีชีวิต
เซลล์ของสิ่งมีชีวิตเซลล์ของสิ่งมีชีวิต
เซลล์ของสิ่งมีชีวิต
 
9.เนื้อเยื่อพืช
9.เนื้อเยื่อพืช9.เนื้อเยื่อพืช
9.เนื้อเยื่อพืช
 
แนวทางเวชปฏิบัติการออกกำลังกายในผู้ป่วยเบาหวานและความดันโลหิตสูง 2555
แนวทางเวชปฏิบัติการออกกำลังกายในผู้ป่วยเบาหวานและความดันโลหิตสูง 2555แนวทางเวชปฏิบัติการออกกำลังกายในผู้ป่วยเบาหวานและความดันโลหิตสูง 2555
แนวทางเวชปฏิบัติการออกกำลังกายในผู้ป่วยเบาหวานและความดันโลหิตสูง 2555
 
ศ นย ควบค_มระประสาท (ต_อ)
ศ นย ควบค_มระประสาท (ต_อ)ศ นย ควบค_มระประสาท (ต_อ)
ศ นย ควบค_มระประสาท (ต_อ)
 
ชุดกิจกรรม1
ชุดกิจกรรม1ชุดกิจกรรม1
ชุดกิจกรรม1
 
บทที่ 11 โครงสร้างและหน้าที่ของพืช 2557
บทที่  11 โครงสร้างและหน้าที่ของพืช  2557บทที่  11 โครงสร้างและหน้าที่ของพืช  2557
บทที่ 11 โครงสร้างและหน้าที่ของพืช 2557
 
เนื้อเยื่อ
เนื้อเยื่อเนื้อเยื่อ
เนื้อเยื่อ
 
ระบบไหลเวียนเลือด (Circulatory System)
ระบบไหลเวียนเลือด (Circulatory System)ระบบไหลเวียนเลือด (Circulatory System)
ระบบไหลเวียนเลือด (Circulatory System)
 
ระบบหายใจ (Respiratory System)
ระบบหายใจ (Respiratory System)ระบบหายใจ (Respiratory System)
ระบบหายใจ (Respiratory System)
 
เนื้อเยื่อพืช
เนื้อเยื่อพืชเนื้อเยื่อพืช
เนื้อเยื่อพืช
 
แนวทางเวชปฏิบัติการรักษาวัณโรคในผู้ใหญ่ พ.ศ. 2555
แนวทางเวชปฏิบัติการรักษาวัณโรคในผู้ใหญ่ พ.ศ. 2555แนวทางเวชปฏิบัติการรักษาวัณโรคในผู้ใหญ่ พ.ศ. 2555
แนวทางเวชปฏิบัติการรักษาวัณโรคในผู้ใหญ่ พ.ศ. 2555
 
โครงสร้างสาธารณสุขไทย
โครงสร้างสาธารณสุขไทยโครงสร้างสาธารณสุขไทย
โครงสร้างสาธารณสุขไทย
 
ข้อสอบกายวิภาคศาสตร์ (บันทึกอัตโนมัติ)
ข้อสอบกายวิภาคศาสตร์ (บันทึกอัตโนมัติ)ข้อสอบกายวิภาคศาสตร์ (บันทึกอัตโนมัติ)
ข้อสอบกายวิภาคศาสตร์ (บันทึกอัตโนมัติ)
 
เรื่อง เนื้อเยื่อ tissue น้องๆสามารถศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ slide ด้านล่่า...
เรื่อง เนื้อเยื่อ tissue น้องๆสามารถศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ slide ด้านล่่า...เรื่อง เนื้อเยื่อ tissue น้องๆสามารถศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ slide ด้านล่่า...
เรื่อง เนื้อเยื่อ tissue น้องๆสามารถศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ slide ด้านล่่า...
 
การเคลื่อนที่ของคน
การเคลื่อนที่ของคนการเคลื่อนที่ของคน
การเคลื่อนที่ของคน
 
การออกกำลังกายเพื่อสุขภาพ
การออกกำลังกายเพื่อสุขภาพการออกกำลังกายเพื่อสุขภาพ
การออกกำลังกายเพื่อสุขภาพ
 
เนื้อเพลง ค่านิยม 12 ประการ
เนื้อเพลง ค่านิยม 12 ประการเนื้อเพลง ค่านิยม 12 ประการ
เนื้อเพลง ค่านิยม 12 ประการ
 
โครงสร้างและหน้าที่ของลำต้น
โครงสร้างและหน้าที่ของลำต้นโครงสร้างและหน้าที่ของลำต้น
โครงสร้างและหน้าที่ของลำต้น
 
โครงสร้างและหน้าที่ของราก
โครงสร้างและหน้าที่ของรากโครงสร้างและหน้าที่ของราก
โครงสร้างและหน้าที่ของราก
 
เพลงชาติไทย แปลภาษาอังกฤษ2
เพลงชาติไทย แปลภาษาอังกฤษ2เพลงชาติไทย แปลภาษาอังกฤษ2
เพลงชาติไทย แปลภาษาอังกฤษ2
 

Viewers also liked

ระบบย่อยอาหาร
ระบบย่อยอาหารระบบย่อยอาหาร
ระบบย่อยอาหารพัน พัน
 
ระบบย่อยอาหาร
ระบบย่อยอาหารระบบย่อยอาหาร
ระบบย่อยอาหารphukhieo
 
ใบความรู้+ระบบย่อยอาหาร+ป.6+292+dltvscip6+54sc p06 f24-1page
ใบความรู้+ระบบย่อยอาหาร+ป.6+292+dltvscip6+54sc p06 f24-1pageใบความรู้+ระบบย่อยอาหาร+ป.6+292+dltvscip6+54sc p06 f24-1page
ใบความรู้+ระบบย่อยอาหาร+ป.6+292+dltvscip6+54sc p06 f24-1pagePrachoom Rangkasikorn
 
ระบบสรีรวิทยาที่มีอิทธิพลต่อพฤติกรรม
ระบบสรีรวิทยาที่มีอิทธิพลต่อพฤติกรรมระบบสรีรวิทยาที่มีอิทธิพลต่อพฤติกรรม
ระบบสรีรวิทยาที่มีอิทธิพลต่อพฤติกรรม่Jutharat
 
ชนิดของกล้ามเนื้อ
ชนิดของกล้ามเนื้อชนิดของกล้ามเนื้อ
ชนิดของกล้ามเนื้อSarawut Fnp
 
กล้ามเนื้อหัวใจ
กล้ามเนื้อหัวใจกล้ามเนื้อหัวใจ
กล้ามเนื้อหัวใจSarawut Fnp
 
กายวิภาคศาสตร์และสรีรวิทยา
กายวิภาคศาสตร์และสรีรวิทยากายวิภาคศาสตร์และสรีรวิทยา
กายวิภาคศาสตร์และสรีรวิทยาAngkana Chongjarearn
 
Facial muscles
Facial musclesFacial muscles
Facial musclesLisalou82
 
เซลล์และการแบ่งเซลล์
เซลล์และการแบ่งเซลล์เซลล์และการแบ่งเซลล์
เซลล์และการแบ่งเซลล์Sukan
 
การเคลื่อนที่ของสิ่งมีชีวิต
การเคลื่อนที่ของสิ่งมีชีวิตการเคลื่อนที่ของสิ่งมีชีวิต
การเคลื่อนที่ของสิ่งมีชีวิตพัน พัน
 
บทที่ 2 การเคลื่อนที่ของสิ่งมีชีวิต
บทที่ 2 การเคลื่อนที่ของสิ่งมีชีวิตบทที่ 2 การเคลื่อนที่ของสิ่งมีชีวิต
บทที่ 2 การเคลื่อนที่ของสิ่งมีชีวิตTa Lattapol
 
บทที่ 4 ระบบย่อยอาหาร
บทที่ 4  ระบบย่อยอาหาร   บทที่ 4  ระบบย่อยอาหาร
บทที่ 4 ระบบย่อยอาหาร Pinutchaya Nakchumroon
 
ระบบประสาท 2
ระบบประสาท 2ระบบประสาท 2
ระบบประสาท 2poonwork
 

Viewers also liked (20)

B08
B08B08
B08
 
ระบบย่อยอาหาร
ระบบย่อยอาหารระบบย่อยอาหาร
ระบบย่อยอาหาร
 
ระบบย่อยอาหาร
ระบบย่อยอาหารระบบย่อยอาหาร
ระบบย่อยอาหาร
 
ระบบย่อยอาหาร
ระบบย่อยอาหารระบบย่อยอาหาร
ระบบย่อยอาหาร
 
ใบความรู้+ระบบย่อยอาหาร+ป.6+292+dltvscip6+54sc p06 f24-1page
ใบความรู้+ระบบย่อยอาหาร+ป.6+292+dltvscip6+54sc p06 f24-1pageใบความรู้+ระบบย่อยอาหาร+ป.6+292+dltvscip6+54sc p06 f24-1page
ใบความรู้+ระบบย่อยอาหาร+ป.6+292+dltvscip6+54sc p06 f24-1page
 
Skeletal muscle
Skeletal muscleSkeletal muscle
Skeletal muscle
 
ระบบสรีรวิทยาที่มีอิทธิพลต่อพฤติกรรม
ระบบสรีรวิทยาที่มีอิทธิพลต่อพฤติกรรมระบบสรีรวิทยาที่มีอิทธิพลต่อพฤติกรรม
ระบบสรีรวิทยาที่มีอิทธิพลต่อพฤติกรรม
 
เม็ดเลือดขาว
เม็ดเลือดขาวเม็ดเลือดขาว
เม็ดเลือดขาว
 
ชนิดของกล้ามเนื้อ
ชนิดของกล้ามเนื้อชนิดของกล้ามเนื้อ
ชนิดของกล้ามเนื้อ
 
กล้ามเนื้อหัวใจ
กล้ามเนื้อหัวใจกล้ามเนื้อหัวใจ
กล้ามเนื้อหัวใจ
 
Body
BodyBody
Body
 
กายวิภาคศาสตร์และสรีรวิทยา
กายวิภาคศาสตร์และสรีรวิทยากายวิภาคศาสตร์และสรีรวิทยา
กายวิภาคศาสตร์และสรีรวิทยา
 
Facial muscles
Facial musclesFacial muscles
Facial muscles
 
เซลล์และการแบ่งเซลล์
เซลล์และการแบ่งเซลล์เซลล์และการแบ่งเซลล์
เซลล์และการแบ่งเซลล์
 
การเคลื่อนที่ของสิ่งมีชีวิต
การเคลื่อนที่ของสิ่งมีชีวิตการเคลื่อนที่ของสิ่งมีชีวิต
การเคลื่อนที่ของสิ่งมีชีวิต
 
บทที่ 2 การเคลื่อนที่ของสิ่งมีชีวิต
บทที่ 2 การเคลื่อนที่ของสิ่งมีชีวิตบทที่ 2 การเคลื่อนที่ของสิ่งมีชีวิต
บทที่ 2 การเคลื่อนที่ของสิ่งมีชีวิต
 
AV block ecg analysis
AV block ecg analysisAV block ecg analysis
AV block ecg analysis
 
บทที่ 4 ระบบย่อยอาหาร
บทที่ 4  ระบบย่อยอาหาร   บทที่ 4  ระบบย่อยอาหาร
บทที่ 4 ระบบย่อยอาหาร
 
การเคลื่อนที่ของสิ่งมีชีวิต
การเคลื่อนที่ของสิ่งมีชีวิตการเคลื่อนที่ของสิ่งมีชีวิต
การเคลื่อนที่ของสิ่งมีชีวิต
 
ระบบประสาท 2
ระบบประสาท 2ระบบประสาท 2
ระบบประสาท 2
 

Similar to vbvb

บทที่ 2.1 การเคลื่อนไหวของมนุษย์.pptx
บทที่ 2.1 การเคลื่อนไหวของมนุษย์.pptxบทที่ 2.1 การเคลื่อนไหวของมนุษย์.pptx
บทที่ 2.1 การเคลื่อนไหวของมนุษย์.pptxRatarporn Ritmaha
 
โครงสร้างที่ใช้ในการเคลื่อนที่ของคน
โครงสร้างที่ใช้ในการเคลื่อนที่ของคนโครงสร้างที่ใช้ในการเคลื่อนที่ของคน
โครงสร้างที่ใช้ในการเคลื่อนที่ของคนnokbiology
 
skeletal system
skeletal systemskeletal system
skeletal systemRungsaritS
 
ระบบประสาท - Nervous system
ระบบประสาท - Nervous systemระบบประสาท - Nervous system
ระบบประสาท - Nervous systemsupreechafkk
 
การทำงานของระบบประสาทสั่งการ
การทำงานของระบบประสาทสั่งการการทำงานของระบบประสาทสั่งการ
การทำงานของระบบประสาทสั่งการWan Ngamwongwan
 
การเคลื่อนที่ของสิ่งมีชีวิต - Movement system
การเคลื่อนที่ของสิ่งมีชีวิต - Movement systemการเคลื่อนที่ของสิ่งมีชีวิต - Movement system
การเคลื่อนที่ของสิ่งมีชีวิต - Movement systemsupreechafkk
 
บทที่ 2.1 การเคลื่อนไหวของมนุษย์ ST.pdf
บทที่ 2.1 การเคลื่อนไหวของมนุษย์ ST.pdfบทที่ 2.1 การเคลื่อนไหวของมนุษย์ ST.pdf
บทที่ 2.1 การเคลื่อนไหวของมนุษย์ ST.pdfRatarporn Ritmaha
 
ไขสันหลัง
ไขสันหลังไขสันหลัง
ไขสันหลังWan Ngamwongwan
 
ระบบประสาท
ระบบประสาทระบบประสาท
ระบบประสาทyangclang22
 
ระบบประสาท
ระบบประสาทระบบประสาท
ระบบประสาทkruchanon2555
 
ระบบประสาท
ระบบประสาทระบบประสาท
ระบบประสาทkalita123
 
ระบบประสาท
ระบบประสาทระบบประสาท
ระบบประสาทbowpp
 
ระบบประสาทและอวัยวะรับความรู้สึก
ระบบประสาทและอวัยวะรับความรู้สึกระบบประสาทและอวัยวะรับความรู้สึก
ระบบประสาทและอวัยวะรับความรู้สึกbosston Duangtip
 
ระบบกระดูก.pptx
ระบบกระดูก.pptxระบบกระดูก.pptx
ระบบกระดูก.pptxKanokvanKS
 

Similar to vbvb (20)

การเคลื่อนที่ของสิ่งมีชีวิต
การเคลื่อนที่ของสิ่งมีชีวิตการเคลื่อนที่ของสิ่งมีชีวิต
การเคลื่อนที่ของสิ่งมีชีวิต
 
การเคลื่อนที่ของสิ่งมีชีวิต
การเคลื่อนที่ของสิ่งมีชีวิตการเคลื่อนที่ของสิ่งมีชีวิต
การเคลื่อนที่ของสิ่งมีชีวิต
 
บทที่ 2.1 การเคลื่อนไหวของมนุษย์.pptx
บทที่ 2.1 การเคลื่อนไหวของมนุษย์.pptxบทที่ 2.1 การเคลื่อนไหวของมนุษย์.pptx
บทที่ 2.1 การเคลื่อนไหวของมนุษย์.pptx
 
Spinal Injury (Thai)
Spinal Injury (Thai)Spinal Injury (Thai)
Spinal Injury (Thai)
 
Spinal Injury (Thai)
Spinal Injury (Thai)Spinal Injury (Thai)
Spinal Injury (Thai)
 
โครงสร้างที่ใช้ในการเคลื่อนที่ของคน
โครงสร้างที่ใช้ในการเคลื่อนที่ของคนโครงสร้างที่ใช้ในการเคลื่อนที่ของคน
โครงสร้างที่ใช้ในการเคลื่อนที่ของคน
 
skeletal system
skeletal systemskeletal system
skeletal system
 
ระบบประสาท - Nervous system
ระบบประสาท - Nervous systemระบบประสาท - Nervous system
ระบบประสาท - Nervous system
 
การทำงานของระบบประสาทสั่งการ
การทำงานของระบบประสาทสั่งการการทำงานของระบบประสาทสั่งการ
การทำงานของระบบประสาทสั่งการ
 
การเคลื่อนที่ของสิ่งมีชีวิต - Movement system
การเคลื่อนที่ของสิ่งมีชีวิต - Movement systemการเคลื่อนที่ของสิ่งมีชีวิต - Movement system
การเคลื่อนที่ของสิ่งมีชีวิต - Movement system
 
บทที่ 2.1 การเคลื่อนไหวของมนุษย์ ST.pdf
บทที่ 2.1 การเคลื่อนไหวของมนุษย์ ST.pdfบทที่ 2.1 การเคลื่อนไหวของมนุษย์ ST.pdf
บทที่ 2.1 การเคลื่อนไหวของมนุษย์ ST.pdf
 
ไขสันหลัง
ไขสันหลังไขสันหลัง
ไขสันหลัง
 
ระบบประสาท
ระบบประสาทระบบประสาท
ระบบประสาท
 
ระบบประสาท
ระบบประสาทระบบประสาท
ระบบประสาท
 
ระบบประสาท
ระบบประสาทระบบประสาท
ระบบประสาท
 
ระบบประสาท
ระบบประสาทระบบประสาท
ระบบประสาท
 
ประสาท
ประสาทประสาท
ประสาท
 
ระบบประสาทและอวัยวะรับความรู้สึก
ระบบประสาทและอวัยวะรับความรู้สึกระบบประสาทและอวัยวะรับความรู้สึก
ระบบประสาทและอวัยวะรับความรู้สึก
 
ระบบกระดูก.pptx
ระบบกระดูก.pptxระบบกระดูก.pptx
ระบบกระดูก.pptx
 
ศูนย์ที่ 1 ชุดที่ 3
ศูนย์ที่ 1 ชุดที่ 3ศูนย์ที่ 1 ชุดที่ 3
ศูนย์ที่ 1 ชุดที่ 3
 

More from prrimhuffy

ระบบร่างกายของมนุษย์
ระบบร่างกายของมนุษย์ระบบร่างกายของมนุษย์
ระบบร่างกายของมนุษย์prrimhuffy
 
ใบงาน การจัดทำข้อเสนอโครงงานคอมพิวเตอร์
ใบงาน การจัดทำข้อเสนอโครงงานคอมพิวเตอร์ใบงาน การจัดทำข้อเสนอโครงงานคอมพิวเตอร์
ใบงาน การจัดทำข้อเสนอโครงงานคอมพิวเตอร์prrimhuffy
 
โครงงานพฤติกรรม
โครงงานพฤติกรรมโครงงานพฤติกรรม
โครงงานพฤติกรรมprrimhuffy
 
ศิลปะ
ศิลปะศิลปะ
ศิลปะprrimhuffy
 
วิทย์
วิทย์วิทย์
วิทย์prrimhuffy
 
สังคม
สังคมสังคม
สังคมprrimhuffy
 
อังกฤษ
อังกฤษอังกฤษ
อังกฤษprrimhuffy
 
ภาษาไทย
ภาษาไทยภาษาไทย
ภาษาไทยprrimhuffy
 
ความรุ้เรื่อง blog
ความรุ้เรื่อง blogความรุ้เรื่อง blog
ความรุ้เรื่อง blogprrimhuffy
 

More from prrimhuffy (16)

ระบบร่างกายของมนุษย์
ระบบร่างกายของมนุษย์ระบบร่างกายของมนุษย์
ระบบร่างกายของมนุษย์
 
ใบงาน การจัดทำข้อเสนอโครงงานคอมพิวเตอร์
ใบงาน การจัดทำข้อเสนอโครงงานคอมพิวเตอร์ใบงาน การจัดทำข้อเสนอโครงงานคอมพิวเตอร์
ใบงาน การจัดทำข้อเสนอโครงงานคอมพิวเตอร์
 
vbvb
vbvbvbvb
vbvb
 
คอม
คอมคอม
คอม
 
โครงงานพฤติกรรม
โครงงานพฤติกรรมโครงงานพฤติกรรม
โครงงานพฤติกรรม
 
c
cc
c
 
ไทย
ไทยไทย
ไทย
 
อิอิ
อิอิอิอิ
อิอิ
 
ศิลปะ
ศิลปะศิลปะ
ศิลปะ
 
สุขะ
สุขะสุขะ
สุขะ
 
วิทย์
วิทย์วิทย์
วิทย์
 
สังคม
สังคมสังคม
สังคม
 
อังกฤษ
อังกฤษอังกฤษ
อังกฤษ
 
คณิต
คณิตคณิต
คณิต
 
ภาษาไทย
ภาษาไทยภาษาไทย
ภาษาไทย
 
ความรุ้เรื่อง blog
ความรุ้เรื่อง blogความรุ้เรื่อง blog
ความรุ้เรื่อง blog
 

vbvb