More Related Content
More from prrimhuffy (16)
vbvb
- 2. ระบบโครงกระดทูกและกล้ามเนื้อ
eletal & Muscular system)
ระบบหายใจ
espiratory system)
ระบบย่อยอาหาร
Digestive system)
ระบบน้าเหลือง
(Lymphatic system)
ระบบต่อมไร้ำ่อ
(Endocrine System)
ระบบสืบพันธุ์
(Reproductive system)
ระบบภูมิคุ้มกัน
(Immune system
ระบบประสาำ
(Nervous System
ระบบการกาจัดทของเสีย
(Urinary system)
ระบบหมุนเวียนโลหิต
(Circulatory system)
แหล่งอ้างอิง
ผู้จัดทำา
- 5. โครงกระดูก มีหน้าที่สำคาค ดงนี้
1. ค้าจุนละรักษารูปร่างให้ำรงตัวอยู่ไดท้
2. ป้ องกันอวัยวะภายในร่างกาย เช่น กระดทูกซี่โครง
ป้ องกันหัวใจ ปอดท และตับกะโหลกศีรษะป้ องกัน
เนื้อเยื่อสมอง เป็นต้น
3. เป็นำี่ยึดทเกาะของเนื้อเยื่อและกล้ามเนื้อเยื่อช่วยใน
การเคลื่อนำี่
4. สร้างเม็ดทเลือดท ไขกระดทูกำี่อยู่ภายในกระดทูกจะำา
หน้าำี่สร้างเซลล์เม็ดทเลือดทแดทงและเม็ดทเลือดทขาว
5. เป็นแหล่งสะสมสาคัญของธาตุแคลเซียมละ
ฟอสฟอรัส
- 6. 1.1 กระดทูกกะโหลกศีรษะ (Skull) ภายในกะโหลกศีรษะเป็นโพรง
สาหรับบรรจุสมอง จะมีกระดทูกกะโหลกศีรษะและกระดทูกย่อยหลายๆ ชิ้นเชื่อม
ติดทกัน กระดทูกกะโหลกศีรษะจึงำาหน้าำี่ห่อหุ้มและป้ องกันสมองดท้วย
1.2 กระดทูกสันหลัง (Vertebra) เป็นส่วนของกระดทูกแกนำี่ช่วย
ค้าจุนและรองรับน้าหนักของร่างกาย กระดทูกสันหลังเป็นแนวกระดทูกำี่ำอดทอยู่
ำางดท้านหลังของร่างกาย ประกอบดท้วยกระดทูกชิ้นเล็กๆ เป็นข้อๆ ติดทกันดท้วย
กล้ามเนื้อและเอ็นระหว่างกระดทูกสันหลังแต่ละข้อจะมีแผ่นกระดทูกอ่อนหรือำี่เรียก
ำั่วไปว่า “หมอนรองกระดทูก (Intervertebral disc)” ำาหน้าำี่
รองและเชื่อมกระดทูกสันหลังแต่ละข้อ เพื่อป้ องกันการเสียดท
1.3 กระดทูกซี่โครง (Ribe) มีลักษณะเป็นซี่ๆ มีำั้งหมดท 12 คู่ หรือ
24 ชิ้น ำาหน้าำี่เป็นกาแพงให้ส่วนอก กระดทูกซี่โครงจะเชื่อมกบกระดทูกอก
(Sternum) ดท้วยกระดทูกอ่อน ระหว่างกระดทูกซี่โครงมีกล้ามเนื้อยึดทซี่โครง
ำั้งแถบนอกและแถบใน การหดทตัวและการคลายตัวของกล้ามเนื้อ 2 ชุดทนี้
สลับกันเกิดทการเคลื่อนำี่เข้า-ออกของอากาศภายนอกและภายในช่องอก มีผลำา
ให้กระดทุกซี่โครงเคลื่อนขึ้นและลง และำาให้ปริมาตรภายในช่องอกเปลี่ยนแปลง
ตามไปดท้วย
- 7. กระดูกรยางค์ (Appendicular Skeleton) หมายถึงโครงกระดทูกำี่อยู่
รอบนอกกระดทูกแกนซึ่งช่วยในการเคลื่อนไหวของแขน ขา โดทยตรง รวมำั้งกระดทูกสะบัก
และกระดทูกเชิงกรานำี่เป็นฐานรองกระดทูกแขนและกระดทูกขา กระดทูกแขนเริ่มแต่บริเวณ
ไหล่ มีกระดทูกสะบักและกระดทูกไหปลาร้าำาหน้าำี่เป็นฐานรองแขน เชื่อมโยงระหว่าง
กระดทูกสันหลังดท้านบนของลาตัวกับกระดทูกต้นแขน กระดทูกขาเริ่มตั้งแต่บริเวณเชิงกรานำี่
ต่อกับกระดทูกต้นขา และจากกระดทูกต้นขา มีสะบ้าหัวเข่าำี่ฝังอยู่ในเอ็นของกล้ามเนื้อและ
ต่อกับกระดทูกแข็ง
- 9. 1. ข้อต่อำี่เคลื่อนไหวไม่ไดท้ (
fibrous joint ) ไดท้แก่
ข้อต่อของกะโหลกศีรษะ
2. ข้อต่อำี่เคลื่อนไหวไดท้เล็กน้อย ( cartilagenous
joint ) เป็นข้อต่อำี่ประกอบดท้วยกระดทูกอ่อนอยู่ระหว่างปลาย
กระดทูกำั้งสองำี่มาต่อกัน สามารถเคลื่อนไหวไดท้เล็กน้อย เรียกว่าข้อต่อ
กระดทูกอ่อน ไดท้แก่ ข้อต่อกระดทูกสันหลัง ข้อต่อกระดทูกเชิงกราน
- 10. 3. ข้อต่อำี่เคลื่อนไหวไดท้มาก ( sylnovial joint )
เป็นข้อต่อำี่มีช่องว่างอยู่ภายใน และภายในโพรงนี้จะมีเยื่อบุำี่ำาหน้าำี่
ขับของเหลวซึ่งมีลักษณะคล้ายไข่ขาว เรียกว่า น้าไขข้อ (
sylnovial fluid ) แบ่งออกเป็น
3.1 แบบบานพับ ( hinge joint ) การ
เคลื่อนไหวจะจากัดทไดท้เพียงำิศำางเดทียว ไดท้แก่ ข้อต่อบริเวณข้อศอก หัว
เข่า นิ้วมือ นิ้วเำ้า
3.2 แบบลูกกลมในเบ้ากระดทูก ( ball and
socket joint ) เคลื่อนไหวไดท้อิสระหลายำิศำาง ไดท้แก่ ข้อต่อ
หัวไหล่ ข้อต่อบริเวณกระดทูกโคนขากับกระดทูกเชิงกราน
3.3 แบบอานม้า ( saddle joint ) เคลื่อนไหวไดท้
2 แนว ไดท้แก่ ข้อต่อโคนนิ้วหัวแม่มือ
3.4 แบบเดทือย ( pivot joint ) เป็นข้อต่อำี่ำาให้
กระดทูกชิ้นหนึ่งเคลื่อนำี่ไปรอบๆแกนของกระดทูกอีกชิ้นหนึ่งไดท้แก่ ข้อต่อำี่
ต้นคอกับฐานของกะโหลกศีรษะ
- 15. การทคางานของกล้ามเนื้อ
1. การเคลื่อนไหวของร่างกาย เกิดทจากการำางานร่วมกันของโครงกระดทูก กล้ามเนื้อ
และระบบประสาำ โดทยมีการหดทตัวของกล้ามเนื้อำี่ยึดทติดทกับโครงกระดทูก ำาให้กระดทูก
และข้อต่อเกิดทการเคลื่อนไหว
2. การหดทตัวของกล้ามเนื้อ มีผลำาให้เกิดทการเคลื่อนเซลล์ของกล้ามเนื้อไดท้
พัฒนาขึ้นมาเป็นพิเศษเพื่อการหดทตัวโดทยเฉพาะ กล้ามเนื้อบางชนิดทสามารถหดทตัวไดท้
เร็วมาก เช่น การเคลื่อนไหวของนัยน์ตา หารเคลื่อนไหวจะเกิดทขึ้นเร็วหรือช้าก็ตาม
กล้ามเนื้อจะำางานโดทยการหดทตัว และเมื่อหยุดทำางานกล้ามเนื้อจะคลายตัว
- 17. 1. การหายใจเข้า (Inspiration) กะบังลมจะเลื่อนต่าลง กระดทูกซี่โครงจะเลื่อน
สูงขึ้น ำาให้ปริมาตรของช่องอกเพิ่มขึ้น ความดทันอากาศในบริเวณรอบ ๆ ปอดทลดทต่าลงกว่า
อากาศภายนอก อากาศภายนอกจึงเคลื่อนเข้าสู่จมูก หลอดทลม และไปยังถุงลมปอดท
2. การหายใจออก (Expiration) กะบังลมจะเลื่อนสูง กระดทูกซี่โครงจะเลื่อนต่าลง
ำาให้ปริมาตรของช่องอกลดทน้อยลง ความดทันอากาศในบริเวณรอบ ๆ ปอดทสูงกว่าอากาศ
ภายนอก อากาศภายในถุงลมปอดทจึงเคลื่อนำี่จากถุงลมปอดทไปสู่หลอดทลมและออกำางจมูก
กลไกการทคางานของระบบหายใจ
สิ่งำี่กาหนดทอัตราการหายใจเข้าและออก คือ
ปริมาณก๊าซคาร์บอนไดทออกไซดท์ในเลือดท
•ถ้าปริมาณก๊าซคาร์บอนไดทออกไซดท์ใน
เลือดทในเลือดทต่าจะำาให้การหายใจช้าลง
เช่น การนอนหลับ
•ถ้าปริมาณก๊าซคาร์บอนไดทออกไซดท์ใน
เลือดทในเลือดทสูงจะำาให้การหายใจเร็วขึ้น
เช่น การออกกาลังกาย
- 19. การไอ การจาม
การหาวและการสำะอึก
1. การจาม เกิดทจากการหายใจเอาอากาศำี่ไม่สะอาดทเข้าไปในร่างกาย
ร่างกายจึงพยายามขับสิ่งแปลกปลอมเหล่านั้นออกมานอกร่างกาย โดทยการ
หายใจเข้าลึกแล้วหายใจออกำันำี
2. การหาว เกิดทจากการำี่มีปริมาณก๊าซคาร์บอนไดทออกไซดท์สะสมอยู่ใน
เลือดทมากเกินไป จึงต้องขับออกจากร่างกาย โดทยการหายใจเข้ายาวและลึก
เพื่อรับแก๊สออกซิเจนเข้าปอดทและแลกเปลี่ยนก๊าซคาร์บอนไดทออกไซดท์ออก
จากเลือดท
3. การสะอึก เกิดทจากกะบังลมหดทตัวเป็นจังหวะๆ ขณะหดทตัวอากาศจะถูก
ดทันผ่านลงสู่ปอดทำันำี ำาให้สายเสียงสั่น เกิดทเสียงขึ้น
4. การไอ เป็นการหายใจอย่างรุนแรงเพื่อป้ องกันไม่ให้สิ่งแปลกปลอมหลุดท
เข้าไปในกล่องเสียงและหลอดทลม ร่างกายจะมีการหายใจเข้ายาวและหายใจ
ออกอย่างแรง
- 20. อวยวะที่เกี่ยวข้องกบการหายใจ
1.จมูก (Nose) มีรูจมูเป็นำางผ่านของอากาศไปยังช่องจมูกและช่วยกรอง
ฝุ่นละออง
2. หลอดทคอ (Pharynx) เมื่ออากาศผ่านรูจมูกแล้วก็ผ่านเข้าสู่หลอดทคอ
ำี่ติดทต่อำั้งช่องปากและช่องจมูก มีเพดทานอ่อนเป็นตัวแยกสองส่วนนี้ออกจากกัน
ประกอบดท้วยกระดทูกอ่อน 9 ชิ้น ชิ้นำี่ใหญ่ำีสุดท คือ ลูกกระเดทือก
3. หลอดทเสียง (Larynx) เป็นหลอดทยาวประมาณ 4.5 หลอดทเสียง
เจริญเติบโตขึ้นมาเรื่อยๆ
4. หลอดทลม (Trachea) เป็นส่วนำี่ต่ออกมาจากหลอดทเสียง ยาวลงไป
ในอก เมื่อเข้าสู่ปอดทแตกแขนงเป็นหลอดทลมเล็กเรียกว่า หลอดทลมฝอย
(Bronchiole) และไปสุดทำี่ถุงลม (Aveolus) เป็นบริเวณ
แลกเปลี่ยนก๊าซออกซิเจน กับคาร์บอนไดทออกไซดท์
5. ปอดท (lung) มีอยู่สองข้าง ฐานของปอดทแต่ละข้างจะใหญ่และวางแนบ
สนิำกับกระบังลม ำาหน้าำี่นาก๊าซคาร์บอนไดทออกไซดท์ออกจากเลือดท และนา
- 30. ปาก (mouth)
มีการย่อยเชิงกล โดทยการบดทเคี้ยวของฟัน และมีการย่อยำางเคมีโดทยเอนไซม์อะ
ไมเลสหรือไำยาลีน ซึ่งำางานไดท้ดทีในสภาพำี่เป็นเบสเล็กน้อย
แป้ ง น้าตาลมอลโตส (maltose)
มีต่อมน้าลาย 3 คู่ ไดท้แก่ ต่อมน้าลายใต้ลิ้น 1 คู่ ต่อมน้าลายใต้ขากรรไกรล่าง
1 คู่ ต่อมน้าลายใต้กกหู 1 คู่ ต่อมน้าลายจะผลิตน้าลายไดท้
วันละ 1 – 1.5 ลิตร
- 33. ลคาไสำ้เล็ก (small
intestine)
เป็นบริเวณำี่มีการย่อยและการดทูดทซึมมากำี่สุดท โดทยเอนไซม์จะำางานไดท้ดทีในสภาพำี่เป็นเบส ไดท้แก่
1. มอลเำส (maltase) เป็นเอนไซม์ำี่ย่อยน้าตาลมอลโำสให้เป็นกลูโคส
2. ซูเครส (sucrase) เป็นเอนไซม์ำี่ย่อยน้าตาลำรายหรือน้าตาลซูโครส (sucrose)
ให้เป็นกลูโคสกับฟรักโำส (fructose)
3. แล็กเำส (lactase) เป็นเอนไซม์ำี่ย่อยน้าตาลแล็กโำส (lactose) ให้เป็นกลูโคส
กับกาแล็กโำส (galactose)
การย่อยอาหารำี่ลาไส้เล็กใช้เอนไซม์จากตับอ่อน (pancreas) มาช่วยย่อย เช่น
• ำริปซิน (trypsin) เป็นเอนไซม์ำี่ย่อยโปรตีนโปรตีนหรือเพปไำดท์ให้เป็นกรดทอะมิโน
• อะไมเลส (amylase) เป็นเอนไซม์ำี่ย่อยแป้ งให้เป็นน้าตาลมอลโำส
• ไลเปส (lipase) เป็นเอนไซม์ำี่ย่อยไขมันให้เป็นกรดทไขมันและกลีเซอรอล
น้าดที (bile)
การย่อยสารอาหาร
ประเภำต่างๆ
- 34. นค้าดี (bile)
เป็นสารำี่ผลิตมาจากตับ (liver) แล้วไปเก็บไว้ำี่ถุงน้าดที (gall
bladder) น้าดทีไม่ใช่เอนไซม์เพราะไม่ใช่สารประกอบประเภำ
โปรตีน น้าดทีจะำาหน้าำี่ย่อยโมเลกุลของโปรตีนให้เล็กลงแล้วน้าย่อยจาก
ตับอ่อนจะย่อยต่อำาให้ไดท้อนุภาคำี่เล็กำี่สุดทำี่สามารถแพร่เข้าสู่เซลล์
- 36. ลคาไสำ้ให ่ (large intestine)
ำี่ลาไส้ใหญ่ไม่มีการย่อย แต่ำาหน้าำี่เก็บกากอาหารและดทูดทซึมน้าออก
จากกากอาหาร ดทังนั้น ถ้าไม่ถ่ายอุจจาระเป็นเวลาหลายวันติดทต่อกันจะำา
ให้เกิดทอาการำ้องผูก ถ้าเป็นบ่อยๆจะำาให้เกิดทโรคริดทสีดทวงำวาร
- 39. ท่อนค้าเหลือง (lymph vessel)
เป็นำ่อตันมีอยู่ำั่วร่างกายมีขนาดทต่าง ๆ กัน มีลักษณะคล้ายเส้นเลือดทเวน คือมีลิ้นกั้นป้ องกัน
การไหลกลับของน้าเหลือง
น้าเหลืองไหลไปตามำ่อน้าเหลือง โดทยอาศัยปัจจัย 3 ประการ คือ
- การหดทและคลายตัวของกล้ามเนื้อำี่จะไปกดทหรือคลายำ่อน้าเหลือง
- ความแตกต่างระหว่างความดทันไฮโดทรสเตติก ซึ่งำ่อน้าเหลืองขนาดทเล็กมีมากกว่า
ำ่อน้าเหลืองขนาดทใหญ่
- การหายใจเข้า ซึ่งไปมีผลขยายำรวงอกและลดทความดทันำาให้ำ่อน้าเหลืองขยายตัว
ำ่อน้าเหลืองขนาดทใหญ่
- 40. ท่อนค้าเหลืองขนาดให ่ มี 2 ท่อที่สำคาค คือ
- ำ่อน้าเหลืองำอราซิก (Thoracic duct ) เป็น
ำ่อน้าเหลืองขนาดทใหญ่ำี่สุดท ำาหน้าำี่รับน้าเหลืองจากส่วนต่างๆของ
ร่างกาย ยกเว้นำรวงอกขวาแขนขวาและส่วนขวาของหัวกับ คอ เข้า
เส้นเลือดทเวนแล้วเข้าสู่เวนนาคาวาก่อนเข้าสู่หัวใจ อยู่ำางซ้ายของ
ลาตัว
- ำ่อน้าเหลืองำางดท้านขวาของลาตัว ( Right
lymphatic duct ) รับน้าเหลืองจากำรวงอกขวาแขนขวา
และส่วนขวาของหัวกับคอเข้าเส้นเลือดทเวน แล้วเข้าสู่เวนนาคาวา เข้าสู่
หัวใจ จากนั้นน้าเหลืองำี่อยู่ในำ่อน้าเหลือง จะเข้าหัวใจปนกับเลือดท
เพื่อลาเลียงสารต่างๆต่อไป
- 41. อวยวะนค้าเหลือง ( Lymph organ
)
อวัยวะน้าเหลืองเป็นศูนย์กลางในการผลิตเซลล์ำี่ใช้ในการต่อต้านเชื้อโรคหรือสิ่ง
แปลก
ปลอมประกอบดท้วย ต่อมน้าเหลือง ต่อมำอนซิล ม้าม ต่อมไำมัส และเนื้อเยื่อ
น้าเหลืองำี่อยู่ำี่ลาไส้
ต่อมน้าเหลือง
(lymph
node)
ต่อมำอนซิล
(Thonsil
gland)
ม้าม
( spleen )
ต่อมไำมัส
(Thymus
gland)
- 42. ต่อมนค้าเหลือง ( Lymph node )
พบอยู่ระหว่างำางเดทินของำ่อน้าเหลืองำั่วไปในร่าง
กายลักษณะเป็นรูปไข่ กลม หรือรี เส้นผ่าน
ศูนย์กลางประมาณ 1.5 มิลลิเมตร จะมีำ่อ
น้าเหลืองเข้าและำ่อน้าเหลืองออกภายในเต็มไป
ดท้วยเม็ดทเลือดทขาวชนิดทฟาโกไซต์ ต่อมน้าเหลืองจะ
ำาหน้าำี่กรองน้าเหลืองให้สะอาดทำาลายแบคำีเรีย
และำาลายเม็ดทเลือดทขาวำี่อยู่ในวัยชรา
- 43. ต่อมทอนซิล ( Thonsil gland )
เป็นกลุ่มของต่อมน้าเหลืองมีอยู่ 3 คู่คู่ำี่สาคัญอยู่รอบๆหลอดทอาหาร
ภายในต่อมำอนซิลจะมีลิมโฟไซต์ำาลายจุลินำรีย์ำี่ผ่านมาในอากาศ
ไม่ให้เข้าสู่หลอดทอาหารและกล่องเสียงถ้าต่อมำอนซิลติดทเชื้อจะมีอาการ
บวมขึ้น เรียกว่า ต่อมำอนซิลอักเสบ
- 44. ต่อมไทมสำ ( Thymus
gland )
เป็นต่อมำี่มีขนาดทใหญ่ตอนอายุน้อย และถ้าอายุมากจะเล็กลงและ
ฝ่อในำี่สุดท เป็นต่อมไร้ำ่ออยู่ตรงำรวงอกรอบเส้นเลือดทใหญ่ของ
หัวใจ ำาหน้าำี่สร้างเซลล์เม็ดทเลือดทขาวชนิดทลิมโฟไซต์ T มีหน้าำี่
ต่อต้านเชื้อโรคและสารแปลกปลอมเข้าสู่ร่างกาย รวมำั้งการต้าน
อวัยวะำี่ปลูกถ่ายจากผู้อื่นดท้วย
- 45. ม้าม ( spleen
)
เป็นอวัยวะน้าเหลืองำี่ใหญ่ำี่สุดท มีเส้นเลือดทมาเลี้ยงมากมายไม่
มีำ่อน้าเหลืองเลย สามารถยืดทหดทไดท้ นุ่มมีสีม่วง อยู่ใกล้ๆกับ
กระเพาะอาหารใต้กระบังลมดท้านซ้าย รูปร่างคล้ายเมล็ดทถั่ว
ภายในจะมีลิมโฟไซต์อยู่มากมาย ม้ามมีหน้าำี่สร้างเม็ดทเลือดทใน
ระยะเอ็มบริโอในคนำี่คลอดทแล้วม้ามำาหน้าำี่
1. ำาลายเม็ดทเลือดทแดทงำี่หมดทอายุแล้ว
2. สร้างเม็ดทเลือดทขาว พวกลิมโฟไซต์และโมโนไซต์ซึ่ง
ำาหน้าำี่ป้ องกันสิ่งแปลกปลอมและเชื้อโรคำี่เข้าไปในกระแส
เลือดท
3. สร้างแอนติบอดที
4. ในสภาพผิดทปกติ สามารถสร้างเม็ดทเลือดทแดทงไดท้ เช่น
มะเร็งเม็ดทเลือดท
- 47. เลือด (Blood)
ประกอบดท้วย 2 ส่วน คือ ส่วนำี่เป็นของเหลว 55
เปอร์เซ็นต์ ซึ่งเรียกว่า “น้าเลือดทหรือพลาสมา
(plasma)” และส่วนำี่เป็นของแข็งมี 45
เปอร์เซ็นต์ ซึ่งไดท้แก่ เซลล์เม็ดทเลือดทและเกล็ดทเลือดท
น้าเลือดทหรือพลาสมา เซลล์เม็ดทเลือดทและเกล็ดทเลือดท
- 49. เซลล์เม็ดเลือดและเกล็ดเลือด
เซลล์เม็ดทเลือดทแดทง (red blood cell)
มีลักษณะค่อนข้างกลมตรงกลางจะเว้า ไม่มี
นิวเคลียส องค์ประกอบส่วนใหญ่เป็นสาร
ประเภำโปรตีนำี่เรียกว่า “ ฮีโมโกลบิน ” ซึ่งมี
สมบัติในการรวมตัวกับแก๊สต่างๆ ไดท้ดที เช่น แก๊ส
ออกซิเจน แก๊สคาร์บอนไดทออกไซดท์
หน้าำี่ แลกเปลี่ยนแก๊ส โดทยจะลาเลียงแก
สออกซิเจน ไปยังส่วนต่างๆ ของร่างกาย และ
ลาเลียงแก๊สคาร์บอนไดทออกไซดท์จากส่วนต่างๆ
ของร่างกายกลับไปำี่ปอดท
แหล่งสร้างเม็ดทเลือดทแดทง คือ ไขกระดทูก มี
อายุประมาณ 110-120 วัน หลังจากนั้น
เซลล์เม็ดทเลือดทขาว (white blood cell)
มีลักษณะค่อนข้างกลม ไม่มีสีและมีนิวเคลียส เม็ดท
เลือดทขาวในร่างกายมีอยู่ดท้วยกันหลายชนิดท
หน้าำี่ ำาลายเชื้อโรคหรือสารแปลกปลอมำี่
เข้ามาสู่ร่างกาย
แหล่งำี่สร้างเม็ดทเลือดทขาว คือ ม้าม ไขกระดทูก
และต่อมน้าเหลือง มีอายุประมาณ 7-14 วัน
เกล็ดทเลือดทหรือแผ่นเลือดท (blood pletelet)
ไม่ใช่เซลล์แต่เป็นชิ้นส่วนของเซลล์ซึ่งมีรุปร่างกลมรีและ
แบนเกล็ดทเลือดทมีอายุประมาณ4วัน
หน้าำี่ ช่วยให้เลือดทแข็งตัวเมื่อมีการไหลของ
- 58. ความดนเลือด ( blood pressure)
หมายถึงความดทันในหลอดทเลือดทแดทงเป็นส่วนใหญ่เกิดทจากบีบตัวของหัวใจำี่ดทันเลือดทให้ไหลไป
ตามหลอดทเลือดทความดทันของหลอดทเลือดทแดทงำี่อยู่ใกล้หัวใจจะมีความดทันสูงกว่าหลอดทเลือดทแดทง
ำี่อยู่ไกลหัวใจ ส่วนในหลอดทเลือดทดทาจะมีความดทันต่ากว่าหลอดทเลือดทแดทงเสมอความดทันเลือดท
เป็นตัวเลข 2 ค่าคือ
ค่าความดทันเลือดทขณะหัวใจบีบตัว และค่าความดทันเลือดทขณะหัวใจคลายตัว เช่น
120/80 มิลลิเมตรปรอำ ค่าตัวเลข 120 แสดทงค่าความดทันเลือดทขณะหัวใจบีบตัวให้
เลือดทออกจากหัวใจ เรียกว่า ความดทันระยะหัวใจบีบตัว (Systolic Pressure)
ส่วนตัวเลข 80 แสดทงความดทันเลือดทขณะหัวใจคลายตัว เพื่อรับเลือดทเข้าสู่หัวใจ เรียกว่า ความ
ดทันระยะหัวใจคลายตัว (Diastolic Pressure)ปกติความดทันเลือดทสูงสุดทขณะหัวใจบีบตัวให้เลือดทออกจากหัวใจ
มีค่า 100+ อายุ และความดทันเลือดทขณะหัวใจรับเลือดทไม่ควร
เกิน 90 มิลลิเมตรปรอำ
ชีพจร หมายถึง การหดทตัวและการคลายตัวของหลอดทเลือดทแดทง
ซึ่งตรงกับจังหวะการเต้นของหัวใจคนปกติหัวใจเต้นเฉลี่ยประมาณ
- 59. เสำีย
(Urinary
system)
ของเสีย หมายถึง สารำี่เกิดทจากกระบวนการเมแำบ
อริซึม (metabolism) ภายในร่างกาย
ของสิ่งมีชีวิตำี่ ไม่มีประโยชน์ต่อร่างกายเช่น น้า
แก๊สคาร์บอนไดทออกไซดท์ ยูเรีย เป็นต้น นอกจากนี้
สารำี่มีประโยชน์ปริมาณมากเกินไปร่างกายก็จะ
กาจัดทออกเมแำบอริซึม (metabolism)
หมายถึงการบวนการหมุนเวียนเปลี่ยนแปลงำาง
ชีวเคมีำี่เกิดทขึ้นภายในร่างกายของสิ่งมีชีวิต
การกาจัดทของเสีย
ำางลาไส้ใหญ่
การกาจัดทของเสียำางปอดท
การกาจัดทของเสียำางผิวหนัง
การกาจัดทของเสียำางไต
- 60. การกคาจดของเสำียทางไต
ไต (Kidney) ำาหน้าำี่กาจัดทของเสียในรูปของน้าปัสสาวะ
บริเวณตรงกลางของไตมีส่วนเว้าเป็นกรวยไต มีหลอดทไตต่อไปยัง
กระเพาะปัสสาวะ ไตแต่ละข้างประกอบดท้วยหน่วยไต
(nephron) นับล้านหน่วยเป็นำ่อำี่ขดทไปมาโดทยมีปลาย
ำ่อข้างหนึ่งต้น เรียกปลายำ่อำี่ตันนี้ว่า “ โบว์แมนส์แคปซูล
(Bowman s capsule)” ภายในจะมีกลุ่มเลือดท
ฝอยพันกันเป็นกระจุกเรียกว่า “ โกลเมอรูลัส
(glomerulus)” ซึ่งำาหน้าำี่กรองของเสียออกจาก
เลือดทำี่ไหลผ่านไตำี่บริเวณำ่อของหน่วยไตจะมีการดทูดทซึมสารำี่เป็นประโยชน์ต่อ
ร่างกาย เช่น แร่ธาตุ น้าตาลกลูโคส กรดทอะมิโนรวมำั้งน้ากลับคืนสู่
หลอดทเลือดทฝอยและเข้าสู่หลอดทเลือดทดทา ส่วนของเสียอื่นๆ ำี่เหลือคือ
น้าปัสสาวะ จะถูกส่งมาตามหลอดทไตเข้าสู่กระเพาะปัสสาวะ ในวัน
หนึ่งๆ ร่างกายจะขับน้าปัสสาวะออกมาประมาณ 1 – 1.5 ลิตร
- 62. ต่อมเหงื่อของคน แบ่งได้เป็ น 2 ชนิด คือ
1. ต่อมเหงื่อขนาดทเล็ก มีอยู่ำี่ผิวหนังำั่วำุกแห่งของร่างกาย ยกเว้นำี่ริมฝีปากและำี่
อวัยวะสืบพันธุ์บางส่วน ต่อมเหงื่อเหล่านี้ติดทต่อกับำ่อขับถ่ายซึ่งเปิดทออกำี่ผิวหนัง
ชั้นนอกสุดท ต่อมเหงื่อขนาดทเล็กนี้สร้างเหงื่อแล้วขับถ่ายออกมาตลอดทเวลา เหงื่อจาก
ต่อมเหงื่อขนาดทเล็กประกอบดท้วยน้าร้อยละ 99 สารอื่นๆ ร้อยละ 1 ซึ่งไดท้แก่ เกลือ
โซเดทียมคลอไรดท์และสารอินำรีย์พวกยูเรีย นอกนั้น เป็นสารอื่นอีกเล็กน้อยเช่น
แอมโมเนีย กรดทอะมิโน น้าตาล กรดทแลกติก
2. ต่อมเหงื่อขนาดทใหญ่ พบไดท้เฉพาะบางแห่ง ไดท้แก่ รักแร้ รอบหัวนม รอบสะดทือ ช่องหูส่วนนอกจมูก
อวัยวะสืบพันธุ์บางส่วน ต่อมเหล่านี้มีำ่อขับถ่ายใหญ่กว่าชนิดทแรก และจะเปิดทำี่รูขนใต้ผิวหนัง ปกติจะไม่
เปิดทโดทยตรงำี่ผิวหนังชั้นนอกสุดท ต่อมชนิดทนี้จะำางานตอบสนองต่อการกระตุ้นำางจิตใจ สารำี่ขับถ่ายจาก
ต่อมชนิดทนี้มักมีกลิ่นซึ่งคือกลิ่นตัว โครงสร้างภายในต่อมเหงื่อจะมีำ่อขดทอยู่เป็นกลุ่มและมีหลอดทเลือดทฝอย
มาหล่อเลี้ยงโดทยรอบหลอดทเลือดทฝอยเหล่านนี้จะลาเลียงของเสียมายังต่อมเหงื่อเมื่อของเสียมาถึงบริเวณ
ต่อเหงื่อก็จะแพร่ออกจากหลอดทเลือดทฝอยเข้าสู่ำ่อในต่อมเหงื่อ จากนั้นของเสีย ซึ่งก็คือ เหงื่อ จะถูกลาเลียง
ไปตามำ่อจนถึงผิวหนังชั้นบนสุดท ซึ่งมีปากำ่อเปิดทอยู่ หรือำี่เรียกว่า รูเหงื่อ ผิวหนังนอกจากจะำาหน้าำี่
- 65. ระบบประสำาท
(Nervous System)
คือ ระบบการตอบสนองต่อสิ่งเร้าของสัตว์ ำาให้สัตว์สามารถตอบสนอง
ต่อสิ่งต่างๆ รอบตัวอย่างรวดทเร็วช่วยรวบรวมข้อมูลเพื่อให้สามารถ
ตอบสนองไดท้ ระบบประสาำของมนุษย์แบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ ระบบ
ประสาำส่วนกลางและระบบประสาำรอบนอก
ระบบประสาำส่วนกลาง
(Somatic Nervous
System)
ระบบประสาำรอบนอก
(Peripheral Nervous
System)
- 68. 2. เมดทัลลาออบลองกาตา (Medulla Oblongata) คือ ส่วนำี่อยู่ติดทกับ
ไขสันหลัง ควบคุมการำางานของระบบประสาำอัตโนมัติ เช่น การหายใจการเต้นของ
หัวใจ การไอ การจาม การกะพริบตา ความดทันเลือดท เป็นต้น
1. เซรีบรัมเฮมิสเฟียร์ (Cerebrum Hemisphrer) คือ สมอง
ส่วนหน้า ำาหน้าำี่ควบคุมพฤติกรรรมำี่ซับซ้อนเกี่ยวกับ ความรู้สึกและอารมณ์
ควบคุมความคิดท ความจา และความเฉลียวฉลาดท เชื่อมโยงความรู้สึกต่างๆเช่น การ
ไดท้ยิน การมองเห็น การรับกลิ่น การรับรส การรับสัมผัส เป็นต้น
3. เซรีเบลลัม (Cerebellum) คือ สมองส่วนำ้าย เป็นส่วนำี่
ควบคุมการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อและการำรงตัวช่วยให้เคลื่อนไหวไดท้อย่าง
แม่นยาเช่น การเดทิน การวิ่ง การขี่รถจักรยาน เป็นต้น
- 71. เซลล์ประสำาทที่จคาแนกตามหน้าที่การทคางาน มี3 ชนิด
คือ
1. เซลล์ประสาำรับความรู้สึก รับความรู้สึกจากอวัยวะสัมผัส เช่น หู ตา จมูก ผิวหนัง ส่งกระแสประสาำผ่าน
เซลล์ประสาำประสานงาน
2. เซลล์ประสาำประสานงาน เป็นตัวเชื่อมโยงกระแสประสาำระหว่างเซลล์รับความรู้สึกกับสมอง ไขสันหลัง
พบในสมองและไขสันหลังเำ่านั้น
3. เซลล์ประสาำสั่งการ รับคาสั่งจากสมองหรือไขสันหลัง เพื่อควบคุมการำางานของอวัยวะต่างๆ
- 74. จคาแนกตามลกษณะการทคางานได้ 2 แบบ
1. ระบบประสาำภายใต้อานาจจิตใจ เป็นระบบควบคุมการำางานของ
กล้ามเนื้อำี่บังคับไดท้ รวมำั้งการตอบสนองต่อสิ่งเร้าภายนอก
2. ระบบประสาำนอกอานาจจิตใจ เป็นระบบประสาำำี่ำางานโดทย
อัตโนมัติ มีศูนย์กลางควบคุมอยู่ในสมองและไขสันหลัง ไดท้แก่ การเกิดทรีเฟ
ลกซ์แอกชัน (Reflex Action) และเมื่อมีสิ่งเร้ามากระตุ้นำี่
อวัยวะรับสัมผัสเช่น ผิวหนัง กระแสประสาำจะส่งไปยังไขสันหลัง และไขสัน
หลังจะสั่งการตอบสนองไปยังกล้ามเนื้อ โดทยไม่ผ่านไปำี่สมอง เมื่อมีเปลวไฟ
มาสัมผัสำี่ปลายนิ้วกระแสประสาำจะส่งไปยังไขสันหลังไม่ผ่านไปำี่สมอง
ไขสันหลังำาหน้าำี่สั่งการให้กล้ามเนื้อำี่แขนเกิดทการหดทตัว เพื่อดทึงมือออก
จากเปลวไฟำันำี
- 76. ระบบภูมิคุ้มกนโรคที่ร่างกายสำร้างขึ้นน้นสำร้างได้ 2 ลกษณะ
ดงนี้
1. ภูมิคุ้มกันำี่ร่างกายสร้างขึ้นเอง เป็นวิธีการกระตุ้นให้ร่างกายสร้าง
ภูมิคุ้มกันจากสิ่งแปลกปลอมหรือเชื้อโรค เช่น การฉีดทวัคซีนคุ้มกันโรค
อหิวาตกโรค เป็นการกระตุ้นให้ร่างกายสร้างแอนติบอดที เพื่อำาลายเชื้อ
อหิวาตกโรคำี่จะเข้าสู่ร่างกาย เป็นต้น
2. ภูมิคุ้มกันำี่รับมา เป็นวิธีการให้แอนติบอดทีแก่ร่างกายโดทยตรง เพื่อให้
เกิดทภูมิคุ้มกันำันำี เช่น การฉีดทเซรุ่มแก้พิษงู ใช้ฉีดทเมื่อถูกงูกัดท จะเกิดท
ภูมิคุ้มกันำันำี
- 77. ระบบต่อมไร้ท่อ
(Endocrine
System)
เป็นระบบำี่ผลิตสารำี่เรียกว่า ฮอร์โมน เป็นต่อมำี่ไม่มีำ่อหรือรูเปิดท จึง
ลาเลียงสารเหล่านั้นไปตามกระแสเลือดทไปสู่อวัยวะเป้ าหมาย เพื่อำา
หน้าำี่ควบคุมการำางานของระบบต่าง ๆ ฮอร์โมนจะำางานโดทยประสาน
กับระบบประสาำ เราจึงเรียกระบบต่อมไร้ำ่อและระบบประสาำนี้ว่า
ระบบประสานงาน ฮอร์โมนำี่ผลิตขึ้นจากต่อมไร้ำ่อจะต้องมีปริมาณพอดที
กับร่างกาย และมีฤำธิ์มากพอำี่จะำาให้เกิดทพฤติกรรมต่าง ๆ ในสิ่งมีชีวิต
ต่อมใต้สมอง
(pituitary
gland)
ต่อมพาราไำรอยดท์
(parathyroid
gland)
ต่อมำี่อยู่ในตับอ่อน
(islets of
langerhans)
รังไข่ (ovary) ในเพศหญิง
และ อัณฑะ (testis) ในเพศชาย
ต่อมไำรอยดท์
(thyroid
gland)
ต่อมหมวกไต
(adrenal
gland)
ต่อมไำมัส
(thymus
gland)
- 78. ต่อมใต้สำมอง (pituitary
gland)
เป็นต่อมำี่มีขนาดทเล็กรูปร่างกลม อยู่ใต้สมอง แบ่งเป็น 2 ส่วน คือ ต่อมใต้สมองส่วนหน้า
(anterior pituitary หรือ adenohypophysis) และต่อมใต้สมองส่วนหลัง
(posterior pituitary หรือ neurohypophysis) เป็นศูนย์ควบคุมใหญ่ของ
ร่างกาย มีหน้าำี่สาคัญหลายอย่าง เช่น สร้างฮอร์โมนควบคุมการเจริญเติบโตของร่างกายและกระดทูก
และสร้างฮอร์โมนำี่ำาให้ความดทันเลือดทสูงขึ้น ำาให้ปัสสาวะเป็นปกติ และการบีบตัวของมดทลูกในเพศ
หญิงขณะคลอดทบุตรดท้วย นอกจากนี้ยังำาหน้าำี่ควบคุมการำางานของต่อมไร้ำ่ออื่น ๆ เช่น ต่อม
ไำรอยดท์ ต่อมหมวกไต รวมไปถึงควบคุมการำางานของระบบสืบพันธุ์ของคนเรา
- 84. รงไข่ (ovary) ในเพศห ิง
และอณฑะ (testis) ในเพศชาย
โดทยำี่รังไข่ำาหน้าำี่ผลิตไข่และสร้างฮอร์โมนเพศ คือ ฮอร์โมนเอสโำรเจนกับฮอร์โมนโพรเจสเำอ
โรน เป็นฮอร์โมนำี่ควบคุมเกี่ยวกับลักษณะต่าง ๆ ของเพศหญิง เช่น เสียงเล็กแหลม สะโพก
ผาย การขยายใหญ่ของอวัยวะเพศ และเต้านม เป็นต้น ส่วนอัณฑะำาหน้าำี่สร้างตัวอสุจิและ
สร้างฮอร์โมนเพศชาย คือ เำสโำสเตอโรน เพื่อควบคุมลักษณะต่าง ๆ ของเพศชาย เช่น เสียง
แตกห้าว ลูกกระเดทือกแหลม มีขนขึ้น บริเวณหน้าแข้ง รักแร้ และอวัยวะ เป็นต้น
- 87. อณฑะ (Testis)
เป็นต่อมรูปไข่ มี 2 อัน ำาหน้าำี่สร้างตัวอสุจิ (Sperm) ซึ่งเป็นเซลล์สืบพันธุ์เพศชาย
และสร้างฮอร์โมนเพศชายเพื่อควบคุม ลักษณะต่างๆของเพศชาย เช่น การมีหนวดทเครา เสียง
ห้าว เป็นต้น ภายในอัณฑะจะประกอบดท้วย หลอดทสร้างตัวอสุจิ (Seminiferous
Tubule) มีลักษณะเป็นหลอดทเล็กๆ ขดทไปขดทมาอยู่ภายใน ำาหน้าำี่สร้างตัวอสุจิ หลอดท
สร้างตัวอสุจิมีข้างละประมาณ 800 หลอดท แต่ละหลอดทมีขนาดทเำ่าเส้นดท้ายขนาดทหยาบ และ
ยาวำั้งหมดทประมาณ 800 เมตร