SlideShare a Scribd company logo
1 of 171
Download to read offline
เนื้อหา 
1. การรับรู้และการตอบสนอง 
2. เซลล์ประสาท 
3. การทางานของเซลล์ประสาท 
4. ศูนย์ควบคุมระบบประสาท 
5. การทางานของระบบ 
ประสาท 
6.อวัยวะรับความรู้สึก 
เรื่อง ระบบประสาทและอวัยวะรับความรู้สึก
สิ่งเร้า 
หน่วยรับความรู้สึก 
เซลล์ประสาทรับความรู้สึก 
หน่วยแปลความรู้สึก 
เซลล์ประสาทสั่งการหน่วยปฏิบัติการ 
การตอบสนอง 
การรับรู้และการตอบสนอง 
การรับรู้การเปลี่ยนแปลงต่อสภาพแวดล้อมของสิ่งมีชีวิต
เช่น พารามีเซียม ไม่มีระบบประสาทที่แท้จริง มี เส้นใยประสานงาน (co-ordinating fiber) ซึ่งอยู่ใต้ ผิวเซลล์เชื่อมโยงระหว่างโคนซิเลียแต่ละเส้นทาให้ เกิดการประสานงานกันการโบกพัดของซีเลียที่อยู่ รอบๆตัว ถ้าหากตัดเส้นใยนี้พบว่า พารามีเซียมไม่ สามารถควบคุมการโบกพัดของซีเลียได้ 
การตอบสนองของสิ่งมีชีวิตเซลล์เดียว
การตอบสนองของสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง 
ฟองน้า เซลล์แต่ละเซลล์ของฟองน้าจะมีการรับรู้และการตอบสนอง แต่ไม่มีการประสานงานระหว่างเซลล์ 
ไฮดรา ยังไม่มีปมประสาท แต่จะมีเส้นใยประสาทที่เรียกว่า 
ร่างแหประสาท (nerve net ) มีลักษณะการเชื่อมโยงกันเป็นร่างแห กระจายอยู่รอบตัว เมื่อกระตุ้นจะทาให้ทุกส่วนของร่างกายหดตัว แต่การเคลื่อนที่ของกระแสประสาทช้ากว่าสัตว์ชั้นสูงมาก และการ เคลื่อนที่ของกระแสประสาทนั้นไม่มีทิศทางที่แน่นอน
พลานาเรีย -มีเซลล์ประสาทรวมตัวเป็นกลุ่มโดยเฉพาะ บริเวณหัว เรียกกลุ่มของเซลล์ประสาทเหล่านั้นว่า ปมประสาท (nerve ganglion)หรือเรียกว่า สมอง (brain) -มีเส้นประสาท (nerve cord)ขนานไปตาม ด้านข้างของลาตัวจากหัวจรดท้ายลักษณะแบบ ขั้นบันได (ladder type)เส้นประสาทดังกล่าว เชื่อมโยงติดกันเส้นประสาทที่วนรอบลาตัวเรียกว่า วงแหวนประสาท (nerve ring) 
การตอบสนองของสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง
-ไส้เดือนดิน กุ้ง หอย จะมีปมประสาทที่พัฒนากว่าของพลานาเรีย 
ทาหน้าที่เป็นสมองอยู่ที่ส่วนหัว มีเส้นประสาทที่เชื่อมต่อปม ประสาทที่มีอยู่ตามปล้อง 
-แมลง มีปมประสาทหลายปมที่อยู่เป็นช่วงๆบริเวณหน้าท้องของ แมลงและมีเส้นประสาทย่อยที่ต่อไปยังอวัยวะต่างๆเพื่อเพิ่มการรับรู้ และตอบสนองที่พัฒนาดีขึ้นสาหรับแมลง 
การตอบสนองของสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง
ในคนและสัตว์มีกระดูกสันหลังมีระบบประสาทพัฒนามาก 
-เซลล์ประสาทส่วนใหญ่รวมกันอยู่ที่ส่วนหัว เจริญพัฒนาไปเป็น สมอง ( brain ) -และมีไขสันหลัง (spinal cord ) ทอดยาวด้านหลังของลาตัว 
-ทั้งสมองและไขสันหลังทาหน้าที่เป็นศูนย์กลางของระบบ ประสาท โดยมีเส้นประสาทแยกออกมาจากสมองและไขสันหลัง การตอบสนองของคนและสัตว์มีกระดูกสันหลัง
ลักษณะเส้นประสาทของสมองและไขสันหลัง
มีลักษณะ 
เป็นหลอดกลวงเรียกว่า นิวรัลทิวบ์ (neueal tube ) แบ่งเป็น 3 ส่วน คือ 
-สมองส่วนหน้า 
-สมองส่วนกลาง 
-สมองส่วนหลัง 
และส่วนที่ต่อท้ายคือไขสันหลัง 
ในสภาวะปกติที่เซลล์ประสาทไม่ถูกกระตุ้น เซลล์จะอยู่ในระยะพัก 
สมองของสัตว์มีกระดูกสันหลังขณะเอ็มบริโอ (embryo )
ไขสันหลัง 
พัฒนาการของสมองและไขสันหลังของสัตว์มีกระดูกสันหลัง
วิวัฒนาการของสมองในสัตว์มีกระดูกสันหลัง
ประกอบด้วยเซลล์ 2 ชนิด คือ 
•เซลล์ประสาท 
•เซลล์ค้าจุน 
ระบบประสาทมีเนื้อเยื่อประสาท
-เซลล์ประสาท (nerve cell ) หรือนิวรอน ( neuron ) ซึ่งมีเป็น จานวนมากในร่างกาย 
-แต่ละเซลล์จะเชื่อมโยงต่อกับเซลล์ประสาทอื่นเป็นพันๆเซลล์ 
-ทาหน้าที่เกี่ยวกับการรับรู้และการตอบสนอง การทางานของเซลล์ประสาท 
Na+ ที่อยู่ภายในเซลล์จะถูกลาเลียงออกโดยอาศัยพลังงานจาก 
เซลล์ประสาท
•ตัวเซลล์ (cell body ) 
•ใยประสาท (nerve fiber ) 
เซลล์ประสาท ประกอบด้วย
มีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 4-25 ไมโครเมตร ภายในมี 
•ไซโทพลาซึม (cytoplasm ) 
•นิวเคลียส (nucleus )ขนาดใหญ่ 
•ไมโทคอนเดรีย ( mitochondria ) 
•เอนโดพลาสมิกเรติคูลัม (endoplasmic reticolum ) 
•กอลจิคอมเพล็กซ์ (golgi complex ) 
ตัวเซลล์ (cell body)
เป็นส่วนที่ยื่นออกมาจากตัวเซลล์ มีลักษณะเป็นแขนงเล็กๆ 
มี 2 ชนิด คือ 
-เดนไดรต์ ( dendrite ) 
-แอกซอน ( axon ) 
ใยประสาท (nerve fiber)
-เป็นใยประสาทที่นากระแสประสาทเข้าสู่ตัวเซลล์ 
-มีจานวนตั้งแต่ 1 ใยขึ้นไป 
-มักมีขนาดสั้น 
เดนไดรต์ ( dendrite )
-เป็นใยประสาทที่นากระแสประสาทออกจากตัวเซลล์ 
-มีจานวนเพียง1 ใย 
-มักมีขนาดยาว 
-อาจมีเยื่อไมอีลินหุ้ม 
แอกซอน (axon)
โครงสร้างเซลล์ประสาท 
ภาพถ่ายกล้องจุลทรรศน์ 
ภาพวาด
-เป็นสารจาพวกลิพิด ( lipid ) 
-เป็นส่วนหนึ่งของเซลล์ชวัน ( schwann cell ) 
-รอยต่อของเซลล์ชวันแต่ละเซลล์จะไม่มีเยื่อไมอีลินหุ้ม เรียก บริเวณนั้นว่า โนดออฟแรนเวียร์ ( node of ranvier ) 
เยื่อไมอีลิน ( myelin sheath )
เซลล์ประสาทแบ่งตามหน้าที่ได้ 3 ชนิด คือ 1. เซลล์ประสาทรับความรู้สึก 2. เซลล์ประสาทสั่งการ 3. เซลล์ประสาทประสานงาน
เซลล์ประสาทรับความรู้สึก ( sensory neuron ) 
-รับกระแสประสาทจากหน่วยรับความรู้สึกส่งไปยัง 
เซลล์ประสาทสั่งการในไขสันหลัง 
-ตัวเซลล์อยู่ที่ปมประสาทรากบนของไขสันหลัง
เซลล์ประสาทสั่งการ(motor neuron) 
- นากระแสประสาทออกจาก ไขสันหลังหรือสมองไปยังหน่วย ปฏิบัติงาน เช่นกล้ามเนื้อ
เซลล์ประสาทประสานงาน(association neuron ) 
-ทาหน้าที่เชื่อมต่อระหว่างเซลล์ ประสาทรับความรู้สึกและ 
เซลล์ประสาทสั่งการ 
-อยู่ภายในสมองและไขสันหลัง
เซลล์ประสาทแบ่งตามรูปร่างโครงสร้างได้ 3 ประเภทคือ 
1. เซลล์ประสาทขั้วเดียว 
2. เซลล์ประสาทสองขั้ว 
3. เซลล์ประสาทหลายขั้ว
เซลล์ประสาทขั้วเดียว (unipolarneuron ) -มีใยประสาทแยกออกมาจากตัวเซลล์ เพียงเส้นเดียว -แยกออกเป็นแอกซอนและเดนไดรต์ -ทาหน้าที่เป็นเซลล์ประสาทรับความรู้สึก จากผิวหนัง
เซลล์ประสาทสองขั้ว( bipolar neuron ) 
-มีใยประสาทออกจากตัวเซลล์สองเส้น -เป็นเซลล์ประสาทรับความรู้สึก -เช่น เซลล์ประสาทที่เรตินาของตา, เซลล์ประสาทรับกลิ่นของจมูก, เซลล์ประสาทรับเสียงของหู เป็นต้น
เซลล์ประสาทหลายขั้ว( multipolarneuron ) 
-มีใยประสาทออกจากตัวเซลล์ มากมาย -เป็นเซลล์ประสานงานและเซลล์ ประสาทสั่งการ
เป็นเซลล์ที่แทรกอยู่ระหว่างเซลล์ประสาทเพื่อไม่ให้มีช่องว่าง เกิดขึ้นทาหน้าที่ 
-ค้าจุน 
-ให้อาหาร 
-สนับสนุนการทาหน้าที่ของเซลล์ประสาท 
-คล้ายกับเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน -ตัวอย่างเช่น เซลล์ชวัน (scheann cell )ที่สร้างเยื่อไมอีลีน 
เซลล์ค้าจุน
-เดนไดรต์ของเซลล์ประสาทอื่น 
-เซลล์กล้ามเนื้อ 
-หน่วยปฏิบัติงาน 
-เพื่อถ่ายทอดกระแสประสาทบริเวณที่อยู่ชิดกันเรียกว่า 
ไซแนปส์ ( symapse ) 
เซลล์ประสาทจะอยู่แบบสานต่อเป็น 
เครือข่ายปลายแอกซอนของเซลล์ประสาทหนึ่งจะไปอยู่ชิดกับ
ไซแนปส์ระหว่างเซลล์ประสาทรับความรู้สึก เซลล์ประสาทประสานงาน และเซลล์ประสาทสั่งการ
การทางานของเซลล์ประสาท 
การเกิดกระแสประสาท 
- เมื่อมีสิ่งเร้าต่างๆ เช่น เสียง ,ภาพ,ความร้อน สารเคมีมา กระตุ้นหน่วยรับความรู้สึก 
- จะถูกเปลี่ยนให้เป็นกระแส ประสาท
ฮอดจ์กิน (A.L .Hodgkin) และฮักซ์สีย์ (A.F. Huxley) 
ทาให้ทราบว่ากระแสประสาทเกิดขึ้นได้อย่างไรโดยการนา -ไมโครอิเล็กโทรด (microelectrode)ซึ่งมีลักษณะเป็นหลอดแก้ว ที่ดึงให้ยาวตรงปลายเรียวเป็นท่อขนาดเล็ก -มาต่อกับมาตรวัดความต่างศักย์ไฟฟ้า (cathode ray oscilloscope) 
-จากนั้นเสียบปลายข้างหนึ่งของไมโครอิเล็กโทรดเข้าไปในแอก ซอนของหมึก 
-ส่วนอีกปลายหนึ่งแตะที่ผิวนอกของแอกซอนของหมึก 
จากการวิจัยของนักสรีรวิทยาของ
การวัดความต่างศักย์ไฟฟ้าระหว่างภายนอกและภายในเซลล์ประสาทของหมึก
-ความต่างศักย์ไฟฟ้าระหว่างภายในและภายนอกประสาทของ หมึกวัดได้ – 70 มิลลิโวลต์ซึ่งเป็นศักย์เยื่อเซลล์ระยะพัก 
(resting membrane potential) 
-เยื่อหุ้มเซลล์มีโปรตีนทาหน้าที่ควบคุมการเข้าออกของ 
ไอออนเช่น 
จากการทดลองพบว่า 
Na+เรียกว่า ช่องโซเดียม 
K+ เรียกว่า ช่องโพแทสเซียม
-สารละลายภายนอกเซลล์มี Na+สูงกว่าสารละลายภายในเซลล์ -สารละลายภายในเซลล์มี K+สูงกว่าสารละลายภายนอกเซลล์ -ที่เป็นเช่นนี้อยู่ตลอดเวลาเพราะได้รับพลังงานจาก ATP ซึ่ง พลังงานจาก ATP จะไปดัน Na+ออกไปนอกเซลล์ทางช่อง โซเดียมและดึง K+ เข้าไปในเซลล์ทางช่องโพแทสเซียมใน อัตราส่วน 3 Na+: 2 K+ เรียกกระบวนการนี้ว่า โซเดียม โพแทสเซียมปั๊ม (sodium potassium pump) 
ขณะที่เซลล์ประสาทยังไม่ถูกกระตุ้นซึ่งเป็นระยะพักพบว่า
-ทาให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของศักย์เยื่อเซลล์ 
-ช่องโซเดียมเปิด แต่ช่องโพแทสเซียมปิด -Na+ เข้าข้างในเซลล์มากขึ้นข้างในมีความเป็นบวกมากขึ้น (ความ ต่างศักย์ที่เยื่อหุ้มเซลล์จะเปลี่ยนแปลงจาก –70 มิลลิโวลต์ 
เป็น + 50 มิลลิโวลต์) 
ขณะที่เซลล์ถูกกระตุ้นซึ่งเป็นระยะที่ 
เรียกว่า ดีโพลาไรเซชัน (depolarization)
-ช่องโซเดียมจะปิด ขณะที่โพแทสเซียมจะเปิด -ความต่างศักย์จะเปลี่ยนกลับจาก + 50 มิลลิโวลต์ เป็น 
–70 มิลลิโวลต์ 
-กลับสู่สภาพเดิม 
หลังจากการกระตุ้นผ่านไปเซลล์กลับมาอยู่ในสภาวะเดิม ระยะนี้เรียกว่า รีโพลาไรเซชัน (repolarization)
การเปลี่ยนแปลงศักย์ไฟฟ้าขณะที่เซลล์ประสาทถูกกระตุ้น
-เกิดขึ้นตรงบริเวณที่ถูกกระตุ้น 
-ชักนาให้บริเวณถัดไปเกิดการเปลี่ยนแปลง 
-บริเวณที่ถูกกระตุ้นครั้งแรกกลับสู่สภาพเดิม 
-เป็นเช่นนี้ไปเรื่อยๆ 
-มีผลให้กระแสประสาทเคลื่อนไปตามความยาวของใยประสาทแบบจุด ต่อจุดต่อเนื่องกันของแอกซอนที่ไม่มีเยื่อไมอีลีนหุ้ม 
-นักวิทยาศาสตร์พบว่า การเกิดแอกชันโพเทนเชียลต้องอาศัยระยะเวลา หนึ่ง 
ดังนั้น ถ้ากระตุ้นเซลล์ประสาทในขณะที่ยังเกิดแอกชันโพเทนเชียล อยู่เซลล์ประสาทจะไม่ตอบสนองกระแสประสาทจึงไม่เกิดขึ้นใหม่ 
การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวเรียกว่า แอกชันโพเทนเชียล 
( action potential ) หรือการเกิดกระแสประสาท ( nerve impluse )
- เป็นฉนวนกั้นประจุไฟฟ้าที่ผ่านเยื่อหุ้มเซลล์ ดังนั้นแอกซอนตรง บริเวณที่มีเยื่อไมอีลีนหุ้มจะไม่มีแอกชันโพเทนเชียลเกิดขึ้น 
- แต่แอกชันโพเทนเชียลจะเคลื่อนที่จากโนดออฟแรนเวียร์หนึ่งไป ยังโนดออฟแรนเวียร์ที่อยู่ถัดไปตลอดความยาวของใยประสาท 
- ดังนั้นการเคลื่อนที่ของกระแสประสาทในใยประสาทที่มีเยื่อไมอี ลีนหุ้มจึงผ่านแบบกระโดดเป็นช่วงๆตามระยะของโนดออฟแรน เวียร์ 
- ใช้เวลาน้องกว่าการเคลื่อนที่ของกระแสประสาทในใยประสาทที่ ไม่มีเยื่อไมอีลีนหุ้ม 
เยื่อไมอีลีน (myelin sheath) จะทาหน้าที่
การเคลื่อนที่ของกระแสประสาทไปตามแอกซอนที่มีเยื่อหุ้มไมอีลินหุ้ม
- ขนาดของเส้นผ่านศูนย์กลางของใยประสาท 
-ถ้ามีขนาดใหญ่จะนากระแสประสาทได้เร็วกว่าขนาดเล็ก 
( เพราะความต้านทานการเคลื่อนที่ของไอออนจะผกผันกับ 
พื้นที่ภาคตัดขวางของใยประสาท ) 
ความเร็วของกระแสประสาทในแอกซอนที่ไม่มีเยื่อไมอีลีนหุ้มขึ้นอยู่กับ
-ขนาดใหญ่ และระยะห่างระหว่างโนดออฟแรนเวียร์มากกว่าจะมี การเคลื่อนที่ของกระแสประสาทได้เร็วกว่า 
แอกซอนที่มีเยื่อไมอีลีนหุ้ม ถ้ามี
การทดลองของออทโต ลอวิ
นักวิทยาศาสตร์ ชื่อ ออทโต ลอวิ ( otto Loewi ) ทดลอง 
- นาหัวใจของกบที่ ยังมีชีวิตอยู่มาผ่าตัดเอาสมองที่ยังมี เส้นประสาทคู่ที่ 10 ติดอยู่มาใส่ไว้ในจานเพาะเชื้อจานที่ 1 ที่มี น้าเกลือแล้วใช้กระแสไฟฟ้ากระตุ้นเส้นประสาทนั้น พบว่า หัวใจ กบเต้นช้าลงต่อมาดูดสารละลายจากจานที่ 1 ใส่ในจานที่ 2 ที่มี หัวใจกบเหมือนกัน แต่ไม่มีเส้นประสาทสมองคู่ที่ 10 พบว่า หัวใจกบในจานที่ 2 มีอัตราการเต้นของหัวใจช้าลงเช่นกัน 
การถ่ายทอดกระแสประสาทระหว่างเซลล์ประสาท
การกระตุ้นเส้นประสาทสมองคู่ที่ 10 
-จะทาให้มีการปล่อยสารบางชนิดออกมายับยั้งการทางานของ กล้ามเนื้อหัวใจ 
เช่นเดียวกัน 
-การกระตุ้นใยประสาทที่ไปเลี้ยงกล้ามเนื้อนั้น 
-โดยมีการหลั่งสารจากปลายประสาทกระตุ้นให้กล้ามเนื้อหดตัว 
-สารหลั่งจากปลายประสาท เรียกว่า สารสื่อประสาท (neurotransmitter) 
จากการทดลองนี้แสดงให้เห็นว่า
-บริเวณปลายแอกซอนมีสารสื่อประสาทสูงมากซึ่งสารสื่อ ประสาทนี้ทาหน้าที่เป็นตัวกลางถ่ายทอดกระแสประสาทจาก เซลล์หนึ่งไปยังอีกเซลล์หนึ่ง 
มีการค้นพบว่า
-แอซิติลโคลีน (acetylcholine ) 
-เอพิเนฟริน ( eoinephrine) 
-นอร์เอพิเนฟริน (norepinephrine ) 
-เอนดอร์ฟีน ( endorphine ) 
ปัจจุบันพบว่าสารสื่อประสาทมีหลายชนิด เช่น
จากการทดลองของออทโต ลอวิ สารที่หลั่งออกมาจาก เส้นประสารทสมองคู่ที่ 10 (หลังจากถูกกระตุ้นด้วย กระแสไฟฟ้า)คือ แอซิติลโคลีน (acetylcholine)
- บริเวณที่ปลายแอกซอนของเซลล์ประสาทหนึ่งมาอยู่ชิดกับเดนไดรต์ ของอีกเซลล์ประสาทหนึ่งเรียกว่า ไซแนปส์ (synapse) 
-เป็นช่องกว้างขนาด 0.5 ไมโครเมตร 
-ทาให้กระแสประสาทข้ามผ่านไปได้ 
จากการศึกษาพบว่า
-ถุงขนาดเล็กบรรจุสารสื่อประสาท 
-ไมโทคอนเดรียสะสมอยู่มาก 
ที่ปลายของแอกซอนจะมี
-ถุงบรรจุสารสื่อประสาทจะเคลื่อนที่ไปยังเยื่อหุ้มเซลล์บริเวณไซแนปส์ 
-แล้วปล่อยสารสื่อประสาทออกไปเป็นการนากระแสประสาทไปพร้อมๆ กัน 
-เมื่อสารสื่อประสาทผ่านช่องไซแนปส์มาแล้วจะไปจับกับโปรตีนตัวรับที่ เยื่อหุ้มเซลล์ของเดนไดรต์ (หลังไซแนปส์) 
-ทาให้เกิดการเคลื่อนที่ของไอออนผ่านเยื่อหุ้มเซลล์มีการเปลี่ยนแปลง ความต่างศักย์ 
-ทาให้เกิดการหลั่งกระแสประสาทต่อไป 
เมื่อกระแสประสาทเคลื่อนที่มาถึงปลายแอกซอนก่อนไซแนปส์
สารสื่อประสาทผ่านช่องไซแนปส์
-จะถูกสลายอย่างรวดเร็วโดยเอนไซม์ 
-เพื่อให้เซลล์ประสาททางานได้อีก 
สารที่เหลืออยู่ที่ช่องไซแนปส์
-บางส่วนอาจจะถูกนากลับไปสร้างสารสื่อประสาทใหม่ 
-บางส่วนถูกกาจัดออกทางระบบเลือด 
ดังนั้น เดนไดรต์จะถูกกระตุ้นในช่วงเวลาสั้นๆเฉพาะเวลาที่แอกซอน ปล่อยสารสื่อประสาทเท่านั้น 
สารที่ได้จากการสลาย
1. สารที่มาจากแบคทีเรียบางชนิด จะไป 
-ยับยั้งการปล่อยสารสื่อประสาท 
-กระแสประสาทถ่ายทอดไม่ได้ 
-จึงเกิดอัมพาตขึ้น 
2. ยาระงับประสาท ทาให้ 
-สารสื่อประสาทออกมาได้น้อย 
-กระแสประสาทสั่งไปยังสมองน้อยลง 
-จึงเกิดอาการสงบไม่วิตกกังวล 
ปัจจุบันบันพบว่ามีสารเคมีและยาหลายชนิดที่มีผลต่อการ ถ่ายทอดกระแสประสาทที่ไซแนปส์ เช่น
3. สารจาพวก แอมเฟตามีน,นิโคติน,คาแฟอิน 
-กระตุ้นให้มีการปล่อยสารสื่อประสาทออกมามาก 
-ทาให้รู้สึกตื่นตัว หัวใจเต้นเร็วนอนไม่หลับ 
4. ยาฆ่าแมลงบางชนิด 
-ไปทาลายหรือยับยั้งเอนไซม์ที่จะมาสลายสารสื่อประสาท 
ปัจจุบันบันพบว่ามีสารเคมีและยาหลายชนิดที่มีผลต่อการ ถ่ายทอดกระแสประสาทที่ไซแนปส์ เช่น
ถ้าพิจารณาตามตาแหน่งและโครงสร้างจะแบ่งระบบประสาท ได้ 2 ระบบ คือ 
1. ระบบประสาทส่วนกลาง (central nervous system หรือ CNSได้แก่ สมองและไขสันหลัง 
2. ระบบประสาทรอบนอก (peripheral nervous system หรือ PNS) 
โครงสร้างของระบบประสาท
ทั้งสมองและไขสันหลังมีเยื่อหุ้ม 3 ชั้น 
-ชั้นนอกสุด มีลักษณะหนาเหนียวและแข็งแรงป้องกันการ กระทบกระเทือนของเนื้อสมองและไขสันหลัง 
-ชั้นกลาง มีลักษณะเป็นเยื่อบางๆอยู่ระหว่างชั้นนอกและชั้นใน 
-ชั้นใน เป็นชั้นที่แนบไปตามรอยโค้งเว้าของสมองและไขสัน หลังมีเส้นเลือดหล่อเลี้ยงมากนาอาหารและออกซิเจนมาให้เนื้อ สมองกับไขสันหลัง ระบบประสาทส่วนกลาง (central nervous system หรือ CNS)
-เป็นช่องว่างตามยาวติดต่อกับช่องภายในไขสันหลังและโพรง 
ในสมอง -เป็นที่อยู่ของน้าเลี้ยงสมองและไขสันหลัง (cerebrospinal fluid) 
ระหว่างเยื่อหุ้มสมองชั้นกลางกับชั้นใน
สมอง ไขสันหลัง และเยื่อหุ้มสมอง
โรคน้าเลี้ยงสมองและไขสันหลังอุดตัน
สมอง (brain)ของคน - มีน้าหนัก 1.4 กิโลกรัม หรือ 3 ปอนด์ 
- บรรจุอยู่ภายในกะโหลกศีรษะซึ่งป้องกัน สมองไม่ให้กระทบกระเทือน - ประกอบด้วยเซลล์ประสาทมากกว่าร้อยละ 90 ของเซลล์ประสาททั้งหมด (ส่วนใหญ่เป็น เซลล์ประสาทประสานงาน)
- เป็นโรคที่เกี่ยวกับความเสื่อมของเซลล์ประสาทในสมองผู้ป่วยที่ เป็นโรคนี้เนื้อสมองจะฝ่อเล็กลงรอยหยักในสมองมีน้องลง น้า เลี้ยงสมองจะเพิ่มมากขึ้นมีอาการสูญเสียความจาและความ ฉลาด 
-สาเหตุการเกิดโรคยังไม่ทราบแน่ชัด แต่ปัจจัยที่เกี่ยวข้องมีหลาย สาเหตุเช่นความผิดปกติทางพันธุกรรมการสะสมสารพิษบาง ชนิด เช่น อะลูมิเนียม เป็นต้น 
โรคอัลไซเมอร์ (Alzheimer’s disease)
1. ส่วนนอกเป็นสีเทา (grey matter) 
-มีตัวเซลล์ประสาท 
-และแอกซอนที่ไม่มีเยื่อไมอีลิน 
2. ส่วนใน เป็นเนื้อสีขาว (white matter) 
- มีแอกซอนที่มีเยื่อไมอีลินซึ่งเป็นสารพวกลิพิด(lipid) 
เป็นส่วนประกอบ 
สมองประกอบด้วย 2 ส่วน
-มีพัฒนาการสูงสุด ซับซ้อนที่สุด 
-มีอัตราส่วนระหว่างน้าหนักสมองต่อน้าหนักตัวมากกว่าสัตว์อื่น 
-มีรอยหยักบนสมองมาก 
สมองของคน
ซีกของสมอง มี 2 ซีก
สมองคนเราแบ่งเป็น 3 ส่วน 1. สมองส่วนหน้า (forebrain) 2. สมองส่วนกลาง (midbrain) 3. สมองส่วนหลัง (hindbrain)
-ออลแฟกเทอรีบัลบ์ (olfactory bulb) 
-เซรีบรัม (cerebrum) 
-ไฮโพทาลามัส (hypothalamus) 
-ทาลามัส (thalamus) 
สมองส่วนหน้า (forebrain)
-พัฒนารูปเหลือเฉพาะ ออกติกโลบ (optic lobe) 
สมองส่วนกลาง(midbrain)
-เซรีเบลลัม (cerebellum) 
-เมดัลลาออบลองกาตา (medulla oblongata) 
-พอน (pons) 
สมองส่วนหลัง (hindbrain)
เกี่ยวข้องกับการดมกลิ่น 
-ในปลา สมองส่วนนี้จะมีขนาดใหญ่ 
-ในคน สมองส่วนนี้ไม่ค่อยเจริญ 
ออลแฟกทอรีบัลบ์ (olfactory bulb)
เกี่ยวกับความคิด ความจา เชาวน์ปัญญา 
-การรับสัมผัส 
-การพูด การรับรู้ภาษา 
-การมองเห็น 
-การรับรส 
-การได้ยิน 
-การดมกลิ่น 
-การทางานของกล้ามเนื้อ 
เซรีบรัม (cerebrum)
เป็นศูนย์ควบคุม 
-อุณหภูมิของร่างกาย 
-การนอนหลับ 
-การเต้นของหัวใจ 
-ความดันเลือด 
-ความต้องการพื้นฐานของร่างกายเช่น น้า อาหาร การพักผ่อน อารมณ์ ความรู้สึกต่างๆ 
-ทาหน้าที่สร้างฮอร์โมนประสาทมาควบคุมการหลั่งฮอร์โมนของต่อมใต้ สมองส่วนหน้า 
ไฮโพทาลามัส (hypothalamus)
- เป็นศูนย์รวมกระแสประสาทที่ผ่านเข้ามาแล้วแยกกระแสประสาท ส่งไปยังสมองส่วนหน้าที่เกี่ยวข้องกับกระแสประสาทนั้นๆ 
ทาลามัส (thalamus)
-ควบคุมการเคลื่อนไหวของนัยน์ตาหัวและลาตัว เพื่อตอบสนอง ต่อแสงและเสียง 
-ช่วยควบคุมการเคลื่อนไหวของร่างกาย 
ออกติกโลบ (optic lobe)
-ควบคุมการทรงตัวของร่างกาย 
-ควบคุมการประสานการเคลื่อนไหวของร่างกายให้เป็นไปอย่าง ราบรื่นสละสลวยและเที่ยงตรงทาให้สามารถทางานละเอียดอ่อน ได้ 
เซรีเบลลัม (cerebellum)
-ควบคุมการเต้นของหัวใจ 
-ควบคุมการหายใจ 
-ควบคุมความดันเลือด 
-เป็นศูนย์ควบคุมการกลืน การไอ การจาม การอาเจียนและการ สะอึก 
เมดัลลาออบลองกาตา (medulla oblongata)
-ควบคุมการเคี้ยว การหลั่งน้าลาย การเคลื่อนไหวของใบหน้า 
-ควบคุมการหายใจ 
-เป็นทางผ่านของกระแสประสาทระหว่างเซรีบรัมกับเซรีเบลลัม และระหว่างเซรีเบลลัมกับไขสันหลัง 
พอน (pons)
สมองของคน
-อยู่ภายในกระดูกสันหลัง ตั้งแต่กระดูกสันหลังบริเวณคอข้อแรก ถึงกระดูกบริเวณเอวข้อที่ 2 
-ส่วนปลายไขสันหลังจะเรียวเล็กจนเหลือเพียงส่วนของเยื่อหุ้ม ไขสันหลัง 
ไขสันหลัง (spinal cord)
ไขสันหลังและเส้นประสาทไขสันหลัง
-ด้านนอก เป็นเนื้อขาว (white matter)เป็นบริเวณที่แอกซอนมี เยื่อไมอีลีนหุ้ม -ด้านใน เป็นเนื้อสีเทา (grey matter)เป็นบริเวณที่มีตัวเซลล์ ประสาทอยู่หนาแน่น -ตรงกลาง จะมีช่องกลวง (central canal)เป็นบริเวณที่มีน้าเลี้ยง สมองและไขสันหลังบรรจุอยู่ภายใน 
ถ้าตัดไขสันหลังตามขวางจะพบว่า
-มีลักษณะคล้ายอักษรตัว H หรือ ปีกผีเสื้อ 
-ปีกบนมี 2 ปีก เรียก ดอร์ซัลฮอร์น (dorsal horn) 
-ปีกล่างมี 2 ปีก เรียก เวนทรัลฮอร์น (ventral horn) 
ส่วนที่เป็นเนื้อสีเทาของไขสันหลัง
-เส้นประสาทสมอง (cranial nerve)มี 12 คู่ 
-เส้นประสาทไขสันหลัง(spinal nerve)มี 31 คู่ 
ระบบประสาทรอบนอก 
(peripheral nervous system หรือ PNS)ประกอบด้วย
เส้นประสาทสมองของคน
-เป็นเส้นประสาทที่ติดต่อกับสมอง 
-แยกออกจากสมองเป็นคู่ๆ -ของสัตว์น้าและสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ามี 10 คู่ -ของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้านม นก และสัตว์เลื้อยคลานมี 12 คู่ 
-บางเส้นทาหน้าที่เฉพาะรับความรู้สึก 
-บางเส้นเป็นเส้นประสาทสั่งการ 
-บางเส้นทาหน้าที่เป็นทั้งรับความรู้สึกและสั่งการ 
เส้นประสาทสมอง (cranial nerve)
เป็นเส้นประสาทที่แยกออกมาจากไขสันหลังเป็นคู่ๆ 
ในคนมีทั้งหมด 31 คู่ แยกตามตาแหน่งที่เส้นประสาทไขสันหลัง 
ยื่นออกมาคือ 
เส้นประสาทไขสันหลัง(spinal nerve) 
-บริเวณคอมี 8 คู่ 
-บริเวณอกมี 12 คู่ 
-บริเวณเอวมี 5 คู่ 
-บริเวณกระเบนเหน็บมี 5 คู่ 
-บริเวณก้นกบมี 1 คู่
เส้นประสาทไขสันหลัง(spinal nerve) -ทุกเส้นเป็นเส้นประสาทผสมคือรับความรู้สึกจากกล้ามเนื้อ บริเวณแขน ขาและลาตัวสั่งการไปยังกล้ามเนื้อ แขน ขาและลาตัว -ที่อยู่ใกล้กับไขสันหลังจะแยกเป็นรากบน (dorsal root)ต่ออยู่ กับดอร์ซัลฮอร์นของไขสันหลัง
-รากบนนี้จะพองออกมาเป็นปมประสาทรากบน 
(dorsal root ganglion) 
-ที่ต่อจากเวนทรัลฮอร์นจะเป็นรากล่าง (Ventral root) -ทั้งรากบนและรากล่างจะรวมกันเป็นเส้นประสาทไข สันหลัง 
เส้นประสาทไขสันหลัง(spinal nerve)
โครงสร้างภาคตัดขวางของไขสันหลัง
การทดลองส่งกระแสประสาทของเส้นประสาทไขสันหลังของกบ ก. เส้นประสาทไขสันหลังที่ไปยังขากบ 
ข. ตัดรากล่างของเส้นประสาทไขสันหลังระหว่างจุดที่ 1 กับ 2 
ค. ตัดรากบนของเส้นประสาทไขสันหลังระหว่างจุด 3 กับ 4
•ซึ่งมีเดนไดรต์อยู่ในเส้นประสาทไขสันหลัง 
•มีแอซอนอยู่ในรากบนยืนเข้าไปในไขสันหลัง 
•จะรับกระแสประสาทจากหน่วยรับความรู้สึก 
•ส่งผ่านเซลล์ประสาทประสานงาน ซึ่งอยู่ในเนื้อสีเทา 
•แล้วส่งต่อให้เซลล์ประสาทสั่งการซึ่งมีตัวเซลล์อยู่ในเนื้อสีเทา 
ที่ปมประสาทรากบนมีตัวเซลล์ประสาทรับความรู้สึก
ทิศทางการเคลื่อนที่ของกระแสประสาทเข้าและออกจากไขสันหลัง
•เป็นศูนย์กลางของการเคลื่อนไหวต่างๆที่ตอบสนองต่อการสัมผัส ของร่างกาย 
•เป็นตัวเชื่อมระหว่างหน่วยรับความรู้สึกกับหน่วยปฏิบัติงาน 
•เป็นทางผ่านไปกลับของกระแสประสาทระหว่างไขสันหลังกับ สมอง 
หน้าที่ของไขสันหลัง คือ
การทางานของเส้นประสาทในระบบประสาทรอบนอก 
แบ่งออกเป็น 2ส่วน คือ 
•ส่วนที่รับความรู้สึก (sensory division) 
•ส่วนที่สั่งการ (motor division) การทางานของระบบประสาท
•ที่บังคับได้ เช่น กล้ามเนื้อยึดกระดูก จัดเป็นระบบประสาทโซ มาติก (somatic nervous system หรือ SNS) 
•ที่บังคับไม่ได้ เช่นอวัยวะภายในและต่อมต่างๆ จัดเป็นระบบ ประสาทอัตโนวัติ (autonomic nervous system หรือ ANS) ถ้าสั่งการเกิดขึ้นกับหน่วยปฏิบัติงาน
แผนภาพการทางานของระบบประสาทในสัตว์มีกระดูกสันหลัง
•ระบบประสาทซิมพาเทติก(sympathetic nervous system ) 
•ระบบประสาทพาราซิมพาเทติก(parasympathetic nervous system) ระบบประสาทอัตโมวัติ แบ่งออกเป็นระบบย่อย 2 ระบบ คือ
ระบบประสาทโซมาติก (somatic nervous system หรือ SNS) แผนภาพแสดงการทางานของระบบประสาทโซมาติก 
หน่วยรับความรู้สึก 
เซลล์ประสาทรับความรู้สึกเส้นประสาทไขสันหลังหรือเส้นประสาทสมอง 
ไขสันหลังหรือสมอง 
เส้นประสาทไขสันหลังหรือเส้นประสาทสมองหน่วยปฏิบัติงาน
•บางครั้งระบบประสาทโซมาติกอาจจะทางานโดยผ่านไขสัน หลังอย่างเดียว เช่น การกระตุกขาเมื่อถูกเคาะที่หัวเข่า ระบบประสาทโซมาติก (somatic nervous system หรือ SNS)
การตอบสนองสิ่งเร้าที่มากระตุ้น โดยการกระตุกขานั้น •เกิดขึ้นเองโดยอัตโนวัติ เรียกว่า รีเฟล็กซ์ (reflex) 
•กิริยาหรืออาการที่แสดงออกหรือมีสิ่งเร้ามากระตุ้นเกิดขึ้นใน ระยะเวลาสั้นๆ เรียกว่า รีเฟล็กซ์แอกชัน (reflex action) 
•เป็นการตอบสนองที่เกิดขึ้นทันทีทันใด โดยมิได้มีการเตรียมตัว หรือคิดล่วงหน้าซึ่งเป็นการสั่งการของไขสันหลัง ระบบประสาทโซมาติก (somatic nervous system หรือ SNS)
การเกิดรีเฟล็กซ์แอกชัน ก. เมื่อเคาะที่เอ็นใต้หัวเข่าข.เมื่อเหยียบเศษแก้ว
ซึ่งประกอบด้วยหน่วยย่อย 5 หน่วย คือ 
1. หน่วยรับความรู้สึก 
2. เซลล์ประสาทความรู้สึก 
3. เซลล์ประสาทประสานงานในไขสันหลังหรือสมอง 
4. เซลล์ประสาทสั่งการ 
5. หน่วยปฏิบัติงาน การทางานของระบบประสาทที่เป็นวงจรนี้เรียกว่า รีเฟล็กซ์อาร์ก (reflex arc)
•บางครั้งรีเฟล็กซ์อาร์กอาจไม่จาเป็นต้องมีเซลล์ประสาท ประสาทงานก็ได้เช่น การกระตุกขาเมื่อเคาะที่หัวเข่า เพราะจะ ประกอบด้วยเซลล์ประสาทเพียง 2 ชนิด คือ เซลล์ประสาทรับ ความรู้สึกและเซลล์ประสาทสั่งการ 
การเกิด รีเฟล็กซ์อาร์ก (reflex arc)
•ขณะที่เราตื่นต้นตกใจหัวใจจะเต้นถี่เร็วและแรง 
•แต่เมื่อเวลาผ่านไปหัวใจจะเต้นช้าลงและเข้าสู่สภาวะปกติ 
การทางานของหัวใจดังกล่าวถูกควบคุมโดย 
•ระบบประสาทซิมพาเทติก 
•ระประสาทพาราซิมพาเทติก 
ระบบประสาทอัตโนวัติ 
(automomicnervous system หรือ ANS)
• ทั้งสองระบบนี้ทางานนอกอานาจจิตใจจึงเรียกว่าเป็นระบบ ประสาทอัตโนวัติซึ่งการทางานนั้นจะเป็นแบบสภาวะตรงกัน ข้ามเพื่อควบคุมการทางานของอวัยวะภายในของร่างกาย เช่น 
การเต้นของหัวใจ ระบบประสาทซิมพาเทติก กระตุ้นการ เต้นของหัวใจ แต่ระบบประสาทพาราซิมพาเทติกจะไปยับยั้ง การเต้นของหัวใจ ระบบประสาทอัตโนวัติ (automomicnervous system หรือ ANS)
การทางานของระบบประสาทอัตโนวัติประกอบด้วย 
•หน่วยรับความรู้สึก ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ที่อวัยวะภายใน 
•เซลล์ประสาทรับความรู้สึกรับกระแสประสาทผ่านรากบนของ เส้นประสาทไขสันหลังเข้าสู้ไขสันหลัง จากไขสันหลังจะมีเซลล์ประสาท ไปไซแนปส์กับเซลล์ประสาทสั่งการที่ปมประสาทอัตโนวัติ (antonomic ganglion)เซลล์ประสาทที่ออกจากไขสันหลังที่ปมประสาทอัตโนวัตินี้ เรียกว่า เซลล์ประสาทก่อนไซแนปส์และเซลล์ประสาทสั่งการที่ออกจาก ปมประสาทอัตโนวัติเรียกว่า เซลล์ประสาทหลังไซแนปส์ 
ระบบประสาทอัตโนวัติ 
(automomicnervous system หรือ ANS)
•ซึ่งเซลล์ประสาทหลังไซแนปส์จะนากระแสประสาทสั่งงานไป ยังกล้ามเนื้อเรียบของอวัยวะภายใน กล้ามเนื้อหัวใจและต่อม ต่างๆ ระบบประสาทอัตโนวัติ (automomicnervous system หรือ ANS)
การควบคุมการทางานของระบบประสาทซิมพาเทติกและระบบประสาทพาราซิมพาเทติก
เปรียบเทียบวงจรประสาทของ ก.ระบบประสาทโซมาติกข.ระบบประสาทอัตโนวัติ
ที่ปมประสาทอัตโนวัติ •สารสื่อประสาทที่ใช้ระหว่างก่อนและหลังไซแนปส์คือแอซิติลลีน 
แต่สารสื่อประสาทที่หลั่งมาควบคุมหน่วยปฎิบัติงานจะต่างกัน 
•ถ้าเป็นระบบประสาทพาราซิมพาเทติกเป็นแอซิติลโคลีน 
•แต่ถ้าเป็นระบประสาทซิมพาเทติกเป็นนอร์เอพิเนฟริน ระบบประสาทอัตโนวัติ (automomicnervous system หรือ ANS)
•กระแสประสาทจากอวัยวะรับความรู้สึกทุกชนิดเป็นสัญญาณทาง ไฟฟ้าเคมีทั้งสิ้น 
•ปัจจุบันนักวิทยาศาสตร์ยังไม่ทราบแน่ขัดว่า สมองแปลสัญญาณ เหล่านี้ได้อย่างไง 
•แต่การที่สมองแปลความรู้สึกได้แตกต่างกันนั้นเกิดจากสมองมี บริเวณเฉพาะทาหน้าที่รับกระแสประสาทจากอวัยวะรับความรู้สึก ชนิดต่างๆ อวัยวะรับความรู้สึก
นัยน์ตาและการมองเห็น
นัยน์ตาและการมองเห็น 
เลนต์ตา
นัยน์ตาของคน 
•มีรูปร่างค่อนข้างกลมอยู่ภายในเบ้าตา 
•มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 2.5 เซนติเมตร 
•มีผนังลูกตา 3 ชั้น 
1. สเคลอรา (sclera) 
2. โครอยด์ (choroid) 
3. เรตินา (retina) นัยน์ตาและการมองเห็น
•เป็นชั้นที่เหนียวแต่ไม่ยืดหยุ่น •ตอนหน้าสุดจะโปร่งใสและนูนออกมาเรียกกระจกตา (cornea)มี ความสาคัญมากถ้าเป็นอันตรายหรือพิการจะมีผลกระทบต่อ การมองเห็น 
สเคลอรา (sclera)
•เป็นชั้นที่มีหลอดเลือดมาเลี้ยงและมีสารสีแผ่กระจายอยู่เป็น จานวนมากเพื่อป้องการไม่ให้แสงสว่างทะลุผ่านไปยังด้านหลัง ของนัยน์ตาโดยตรง โครอยด์ (choroid)
•เป็นเลนส์นูนอยู่ถัดจากกระจกตาเข้าไปเล็กน้อย 
•มีลักษณะใสกั้นนัยน์ตาออกเป็น 2 ส่วน คือ 
1.ช่องหน้าเลนส์ 
2. ช่องหลังเลนส์ 
ซึ่งทั้งสองช่องนี้จะมีของเหลวบรรจุอยู่และของเหลวนั้นจะ ช่วยทาให้ลูกตาเต่งและคงสภาพได้และช่วยให้การหักเหของแสง ที่ผ่านเข้ามา เลนส์ตา (lens)
•ด้านหน้าของเลนส์ตามีม่านตา (iris)ยื่นลงมาจกผนังโครอยด์ทั้งบนและ ล่างส่วนช่องกลางเป็นช่องที่ให้แสงผ่านเข้ามาเรียกช่องนี้ว่า รูม่านตา (pupil) 
•ขนาดของรูม่านตาจะกว้างหรือแคบขึ้นอยู่กับม่านตาที่มีกล้ามเนื้อทางาน อยู่ 2 ชนิดคือ 
1. กล้ามเนื้อวงกลม 
2. กล้ามเนื้อที่เรียงตัวตามแนวรัศมี 
** ม่านตาทาหน้าที่ควบคุมปริมาณแสงที่ผ่านเข้าสู้นัยน์ตา เลนส์ตา (lens)
•เป็นบริเวณที่มีเซลล์รับแสงซึ่งแบ่งตามรูปร่างได้ 2 ชนิด คือ 
1. เซลล์รูปแท่ง (rod cell) 
2. เซลล์รูปกรวย (cone cell) 
ซึ่งเซลล์ทั้งสองทาหน้าที่ เปลี่ยนพลังงานแสงให้เป็นกระแส ประสาท เรตินา (retina)
โครงสร้างและตาแหน่งของเซลล์ในชั้นเรตินา
•ไวต่อการรับแสงสว่างแม้ในที่มีแสงสว่างน้อย 
•ไม่สามารถแยกความแตกต่างของสีได้ 
•ในนัยน์ตาแต่ละข้างจะ 
เซลล์รูปแท่งมีประมาณ 125 ล้านเซลล์ เซลล์รูปแท่ง
•แยกความแตกต่างของสีต่างๆได้ 
•บอกสีได้ถูกต้องเมื่อมีแสงสว่างมาก 
•ในนัยต์ตาแต่ละข้างจะมี 
เซลล์รูปกรวยประมาณ 7 ล้านเซลล์ เซลล์รูปกรวย
แบบทดสอบตาบอดสี รูปที่ 1 
รูปที่ 2
แบบทดสอบตาบอดสี รูปที่ 3 
รูปที่ 4
แบบทดสอบตาบอดสี 
รูปที่ 5 
รูปที่ 6
แบบทดสอบตาบอดสี รูปที่ 7รูปที่ 8
แบบทดสอบตาบอดสี รูปที่ 10
•ในชั้นเรตินายังมีเซลล์ประสาทที่รับกระแสประสาทไปยังใย ประสาทของเส้นประสาทสมองคู่ที่ 2 แล้วส่งไปยังสมองส่วน 
เซรีบรัมเพื่อแปลเป็นภาพตามที่ตามองเห็น เรตินา (retina)
**บริเวณตรงกลางของเรตินาที่เรียกว่า โฟเวีย (fovea) 
•จะมีเซลล์รูปกรวยอยู่หนาแน่นกว่าบริเวณอื่น 
•ดังนั้นภาพที่ตกบริเวณนี้จะเห็นชัดเจนมากที่สุด 
**บริเวณของเรตินาที่มีแต่แอกซอนออกจากนัยน์ตาเพื่อรวม 
เป็นเส้นประสาทตา 
•จะไม่มีเซลล์รูปแท่งและเซลล์รูปกรวยอยู่เลย •ทาให้เกิดภาพบริเวณนี้ เรียกบริเวณนี้ว่า จุดบอด (blind spot) เรตินา (retina)
ในการเกิดภาพเมื่อแสงจากวัตถุผ่านเข้าสู่กระจกตา 
•โดยมีเลนส์ตาทาหน้าที่รวมแสง 
•ทาภาพตกที่เรตินา 
•เกิดกระแสประสาทส่งไปยังสมองเพื่อแปลความหมาย เรตินา (retina)
•เลนส์ตาถูกยืดด้วยเอ็นยืดเลนส์ (suspensory ligament)โดยที่ เอ็นนั้นอยู่ติดกับกล้ามเนื้อยืดเลนส์ (ciliary muscle) 
•ดังนั้น การหดตัวและคลายตัวของกล้ามเนื้อยึดเลนส์จึงมีผลทา ให้เอ็นยึดเลนส์หย่อนหรือตึงได้ 
เอ็นยืดเลนส์ กล้ามเนื้อยืดเลนส์
•หากกล้ามเนื้อยึดเลนส์หดตัว 
•เอ็นยึดเลนส์หย่อนลง 
•ทาให้เลนส์โป่งออก ผิวของเลนส์โค้งนูนมากขึ้น 
•จุดโฟกัสใกล้เลนส์มากขึ้น 
•เหมาะสาหรับการมองภาพในระยะใกล้ 
เอ็นยืดเลนส์ กล้ามเนื้อยืดเลนส์
ถ้าวัตถุอยู่ไกล 
•เลนส์ตาจะต้องมีความนูนลดลงซึ่งเกิดจากการคลายตัวของ กล้ามเนื้อยึดเลนส์นั้นเอง 
เอ็นยืดเลนส์ กล้ามเนื้อยืดเลนส์
การเปลี่ยนแปลงรูปร่างของเลนส์ตา ก.วัตถุอยู่ใกล้ เลนส์ตาโค้งนูนมาก ข.วัตถุอยู่ไกล เลนส์ตาโค้งนูนน้อย
ปัจจุบันสามารถแก้ไขได้โดยการใส่แว่นตาที่ประกอบด้วย 
•เลนส์เว้าสาหรับคนสายตาสั้น 
•เลนส์นูนสาหรับคนสายตายาว 
•ในกรณีคนสายตาเอียงซึ่งเกิดจาก จากสาเหตุและมีวิธีการแก้ไขดังต่อไปนี้ 
1. ความโค้งของกระจกตาในแนวต่างๆไม่เท่ากันทาให้เห็นเส้นของแผ่นภาพ ทดสอบสายตาเอียงในแนวใดแนวหนึ่งไม่ชัดเจน 
2. แก้ไขโดยใช้เลนส์ทรงกระบอก (cylindrical lens)ซึ่งมีด้านหน้าเว้า ด้านหลังนูน 
การแก้ไขปัญหาสาหรับคนมีปัญหาเรื่องสายตา
ที่เยื่อหุ้มเซลล์รูปแท่งจะมี สารสีม่วงแดงชื่อ โรดอปซิน (rhodopsin)ฝังตัวอยู่ •ซึ่งสารสีม่วงแดงชื่อ โรดอปซิน (rhodopsin) นี้ประกอบด้วย 
1.โปรตีนออปซิน (opsin) 
2. สารเรตินอล(retinol) 
กลไกการมองเห็น
•เมื่อมีแสงมากระตุ้นเซลล์รูปแท่ง โมเลกุลของเรตินอลจะ เปลี่ยนแปลงจะเกาะกับโมเลกุลของออปซินไม่ได้ •เกิดกระแสประสาทเดินทางไปยังเส้นประสาทสมองคู่ที่ 2 เพื่อ ส่งไปยังสมองให้แปลงเป็นภาพ •เมื่อไม่มีแสงออปซินและเรตินอลจะรวมตัวกันเป็นโรดอปซิน ไม่ได้ กลไกการมองเห็น
การเปลี่ยนแปลงโรดอปซินในเซลล์รูปแท่ง
•เรตินอล เป็นสารที่ร่างกายสังเคราะห์ขึ้นจากวิตามิน A •ถ้าร่างกายขาดวิตามิน A จะทาให้เกิดโรคตาฟางในช่วงเวลาที่มี แสงน้อย เช่น ตอนพลบค่า กลไกการมองเห็น
เซลล์รูปกรวย แบ่งตามความไวต่อช่วงความยาวคลื่นของแสง 
ได้ 3 ชนิด คือ เซลล์รูปกรวยที่ไวต่อ 
•แสงสีน้าเงิน 
•แสงสีแดง 
•แสงสีเขียว 
กลไกการมองเห็น
สีกับการมองเห็น
การที่สมองแยกสีต่างๆได้มากกว่า 1 สี เพราะมี 
•การกระตุ้นเซลล์รูปกรวยแต่ละชนิดพร้อมๆกันด้วยความเข็ม ของแสงสีต่างๆกันจึงเกิดการผสมของแสงสีต่างๆขึ้นเช่น 
ขณะมองวัตถุสีม่วง 
•เซลล์รูปกรวยที่ไวต่อแสงสีแดงและสีน้าเงินจะถูกกระตุ้น พร้อมๆกัน ทาให้วัตถุนั้นเป็นสีม่วงเป็นต้น กลไกการมองเห็น
การมองเห็นแสงสีต่างๆ
•ถ้าเซลล์รูปกรวยที่ไวต่อแสงสีใดสีหนึ่งบกพร่องจะทาให้เกิดอาการตา บอดสี (color blind) 
ดังนั้นอาการตาบอดสี (color blind)จึงเป็นลักษณะที่เกี่ยวข้องกับ ความบกพร่องในการแยกแยะความแตกต่างของสีที่พบมากที่สุดคือ บอด สีแดงและสีม่วง 
•ไม่จัดว่าตาบอดสีเป็นความผิดปกติร้ายแรง 
•ส่วนใหญ่เกิดจากพันธุกรรม 
•พบในเพศชายมากกว่าเพศหญิง กลไกการมองเห็น
หู (ear)เป็นอวัยวะรับสัมผัสที่ทาหน้าที่ 
•ได้ยิน 
•ทรงตัว 
หูและการได้ยิน
หูของคนแบ่งออกเป็น 3 ส่วน คือ 
•หูส่วนนอก 
•หูส่วนกลาง 
•หูส่วนใน หูและการได้ยิน
•ใบหู (ear pinna) 
•รูหู (ear canal) 
•เยื่อแก้วหู (ear dram หรือ tympanic membrane) หูส่วนนอก (outer ear)ประกอบด้วย
•มีลักษณะเป็นโพรงติดต่อกับโพรงจมูกและมีท่อติดต่อกับคอหอย เรียกว่า ท่อยูสเตเชียน (eustachian tube 
•หูส่วนกลางประกอบด้วย 
1. กระดูกค้อน (malleus) 
2. กระดูกทั่ง (incus) 
3. กระดูกโกลน (stapes) 
** คลื่นเสียงที่ผ่านเข้าถึงหูส่วนในจะขยายเพิ่มจากหูส่วนนอก 
ประมาณ 22 เท่า หูส่วนกลาง(middle ear)
•โครงสร้างที่ใช้ฟังเสียง เรียกว่า คอเคลีย (cochlea) •โครงสร้างที่ใช้ในการทรงตัวเรียกว่า เซมิเซอร์คิวลาร์แคเนล (semicircular canal) 
หูส่วนใน(inner ear)ประกอบด้วย
โครงสร้างที่ใช้ฟังเสียง 
•อยู่ทางด้านหน้าของหูส่วนใน เป็นท่อที่ม้วนตัวลักษณะคล้ายก้นหอย เรียกว่า คอเคลีย (cochlea) หูส่วนใน(inner ear)
โครงสร้างภายในหูคน
คอเคลีย (cochlea) 
•ภายในของคอเคลียมีของเหลวบรรจุอยู่ 
•เมื่อคลื่นเสียงผ่านเข้ามาถึงคอเคลียจะทาให้ของเหลวนั้นสั่นสะเทือน 
•เปลี่ยนสัญญาณเสียงเป็นกระแสประสาท •กระตุ้นเซลล์รับเสียงให้ส่งกระแสประสาทไปยังเส้นประสาทรับเสียง (auditory nerve) 
•เพื่อเข้าไปที่เซรีบรัมซึ่งเป็นศูนย์ควบคุมการได้ยินเพื่อจะแปลผลต่อไป หูส่วนใน(inner ear)
โครงสร้างที่ใช้ในการทรงตัว 
•อยู่ทางด้านหลังของหูส่วนในทาหน้าที่รับรู้เกี่ยวกับการเอียงและการ หมุนของศรีษะตลอดจนการทรงตัวของร่างกาย •ลักษณะเป็นหลอดครึ่งวงกลม 3 หลอด ตั้งฉากกันเรียกว่า เซมิเซอร์คิว ลาร์แคเนล (semicircularcanal) หูส่วนใน(inner ear)
•เซมิเซอร์คิวลาร์แคเนล (semicircularcanal) 
•ภายในจะมีของเหลวบรรจุอยู่ •ที่โคนหลอดมีส่วนโป่งพองออกมาเรียก แอมพูลลา (ampulla)มีเซลล์รับ ความรู้สึกที่มีขน (hair cell)ที่ไวต่อการไหลของของเหลวภายในหลอด เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงตาแหน่งของศรีษะขณะร่างกายเคลื่อนไหว 
•กระตุ้นเซลล์ที่รับรู้เกี่ยวกับการทรงตัวให้ส่งกระแสประสาทไปรวมกับ เส้นประสาทรับเสียงเข้าสู่สมอง หูส่วนใน(inner ear)
•คนเรารับกลิ่นได้เพราะภายในโพรงจมูกด้านบนมีเยื่อบุจมูก (olfactory)ซึ่งมีเซลล์รับกลิ่นรวมกันอยู่เรียกว่า ออลแฟกทอรี บัลบ์ (olfactory bulb) จมูกกับการดูดกลิ่น
•เซลล์ประสาทรับกลิ่น (olfactory neuron)สามารถที่จะ 
•เปลี่ยนสารที่ทาให้เกิดกลิ่นเป็นกระแสประสาท •แล้วส่งต่อไปตาม เส้นประสาทรับกลิ่น (olfactory nerve)ไปยัง สมองส่วนซีรีบรัมเพื่อแปลเป็นกลิ่นออกมา 
จมูกกับการดูดกลิ่น
โครงสร้างภายในของจมูก
•ด้านบนของผิวลิ้นจะมีปุ๋มเล็กๆจานวนมาก ปุ๋มเหล่านี้คือ ปุ๋มลิ้น (papilla)ซึ่งประกอบด้วยตุ่มรับรส (taste bud)หลายตุ่มทาหน้าที่รับรส •แต่ละตุ่มรับรสจะมีเซลล์รับรส (gustatory cell)ซึ่งต่อกับใยประสาท 
•เมื่อตุ่มรับรสได้รับการกระตุ้นจะเกิดกระแสประสาทส่งไปตาม เส้นประสาทสมองคู่ที่ 7 และ 9 
•ไปยังสมองส่วนซีรีบรัมบริเวณศูนย์รับรสเพื่อแปลออกมาว่าเป็นรสอะไร 
ลิ้นกับการรับรส
ตุ้มรับรส มี 4 ชนิด กระจายอยู่บนลิ้น ได้แก่ 
•ตุ่มรับรสหวาน อยู่ที่ปลายลิ้น 
•ตุ่มรับรสขม อยู่ที่โคนลิ้น 
•ตุ่มรับรสเปรี้ยว อยู่ที่ข้างลิ้น 
•ตุ้มรับรสเค็ม อยู่ที่ปลายและข้างลิ้น ลิ้นกับการรับรส
การรับรู้รสอาหาร เกิดจาก การทางานของอวัยวะหลาย 
ส่วนเข้ามาเกี่ยวข้อง เช่น ถ้าดื่มน้ามะนาวเย็นๆ 
•จะได้รสเปริ้ยวจากกลิ่น 
•ได้กลิ่นมะนาวจากจมูก 
•รู้สึกเย็นจากลิ้นที่สัมผัสกับน้ามะนาว ลิ้นกับการรับรส
•นอกจากผิวหนังเป็นอวัยวะที่ห่อหุ้มร่างกายแล้วยังจัดเป็น อวัยวะรับความรู้สึกที่มีพื้นที่ผิวรับความรู้สึกมากกว่าอวัยวะอื่น ผิวหนังกับการรับความรู้สึก
•มีหน่วยรับความรู้สึกซึ่งไวต่อการกระตุ้นเฉพาะอย่างเช่น 
1. หน่วยรับความดัน มีลักษณะคล้ายหัวหอมผ่าซีก 
1.1 มีเดนไดรต์อยู่ตรงกลาง 
1.2 มีเนื้อเยื่อเกี่ยวพันหุ้มปลายประสาทอยู่รอบๆ 
1.3 ฝังลึกอยู่ในผิวหนังบริเวณหนังแท้ (dermis) ผิวหนัง(skin)
2. หน่วยรับความรู้สึกเจ็บปวด มีลักษณะปลายแตกเป็นฝอย ปลาย เดนไดรต์แทรกอยู่ในชั้นหนังกาพร้า (epidermis) 
3. หน่วยรับสัมผัส บางหน่วยอยู่เป็นอิสระ บางหน่วยพันอยู่รอบ โคนขน เมื่อลูบเส้นขนเบาๆก็จะรับรู้การสัมผัสได้เช่นกัน 
4. หน่วยรับความรู้ลึกหน่วยรับความรู้สึกร้อนเย็นอยู่ในชั้นหนังแท้ ผิวหนัง(skin)
ปลายประสาทที่ทาหนาที่รับความรู้สึกต่างๆบริเวณผิวหนัง
ระบบประสาท 2

More Related Content

What's hot

การสังเคราะห์ด้วยแสงของพืช
การสังเคราะห์ด้วยแสงของพืชการสังเคราะห์ด้วยแสงของพืช
การสังเคราะห์ด้วยแสงของพืชsukanya petin
 
13.การสังเคราะห์ด้วยแสงของพืช
13.การสังเคราะห์ด้วยแสงของพืช13.การสังเคราะห์ด้วยแสงของพืช
13.การสังเคราะห์ด้วยแสงของพืชWichai Likitponrak
 
การค้นพบสารพันธุกรรม
การค้นพบสารพันธุกรรมการค้นพบสารพันธุกรรม
การค้นพบสารพันธุกรรมSawaluk Teasakul
 
บทที่ 4 โครโมโซมและสารพันธุกรรม
บทที่ 4 โครโมโซมและสารพันธุกรรมบทที่ 4 โครโมโซมและสารพันธุกรรม
บทที่ 4 โครโมโซมและสารพันธุกรรมYaovaree Nornakhum
 
ระบบหายใจ
ระบบหายใจระบบหายใจ
ระบบหายใจWan Ngamwongwan
 
บทที่ 5 พอลิเมอร์
บทที่ 5 พอลิเมอร์บทที่ 5 พอลิเมอร์
บทที่ 5 พอลิเมอร์Jariya Jaiyot
 
ชุดกิจกรรมการเรียนรู้ชุดที่1พันธะโคเวเลนต์docx
ชุดกิจกรรมการเรียนรู้ชุดที่1พันธะโคเวเลนต์docxชุดกิจกรรมการเรียนรู้ชุดที่1พันธะโคเวเลนต์docx
ชุดกิจกรรมการเรียนรู้ชุดที่1พันธะโคเวเลนต์docxพนภาค ผิวเกลี้ยง
 
Nervous system
Nervous systemNervous system
Nervous systemBios Logos
 
บทที่ 2 เคมีที่เป็นพื้นฐานของสิ่งมีชีวิต
บทที่ 2  เคมีที่เป็นพื้นฐานของสิ่งมีชีวิตบทที่ 2  เคมีที่เป็นพื้นฐานของสิ่งมีชีวิต
บทที่ 2 เคมีที่เป็นพื้นฐานของสิ่งมีชีวิตPinutchaya Nakchumroon
 
โครงสร้างและหน้าที่ของพืชดอก
โครงสร้างและหน้าที่ของพืชดอกโครงสร้างและหน้าที่ของพืชดอก
โครงสร้างและหน้าที่ของพืชดอกพัน พัน
 
สารชีวโมเลกุล2
สารชีวโมเลกุล2สารชีวโมเลกุล2
สารชีวโมเลกุล2Thanyamon Chat.
 
6แบบทดสอบการลำเลียงสารผ่านเซลล์
6แบบทดสอบการลำเลียงสารผ่านเซลล์6แบบทดสอบการลำเลียงสารผ่านเซลล์
6แบบทดสอบการลำเลียงสารผ่านเซลล์สำเร็จ นางสีคุณ
 
การรับรู้และตอบสนอง2012
การรับรู้และตอบสนอง2012การรับรู้และตอบสนอง2012
การรับรู้และตอบสนอง2012Namthip Theangtrong
 
สอบกลางภาคชีวะ51 2m-5
สอบกลางภาคชีวะ51 2m-5สอบกลางภาคชีวะ51 2m-5
สอบกลางภาคชีวะ51 2m-5Wichai Likitponrak
 
ระบบหมุนเวียนเลือด
ระบบหมุนเวียนเลือด ระบบหมุนเวียนเลือด
ระบบหมุนเวียนเลือด Thitaree Samphao
 
ระบบหมุนเวียนเลือด
ระบบหมุนเวียนเลือดระบบหมุนเวียนเลือด
ระบบหมุนเวียนเลือดWan Ngamwongwan
 
ต่อมไร้ท่อ
ต่อมไร้ท่อ ต่อมไร้ท่อ
ต่อมไร้ท่อ Thitaree Samphao
 

What's hot (20)

การสังเคราะห์ด้วยแสงของพืช
การสังเคราะห์ด้วยแสงของพืชการสังเคราะห์ด้วยแสงของพืช
การสังเคราะห์ด้วยแสงของพืช
 
13.การสังเคราะห์ด้วยแสงของพืช
13.การสังเคราะห์ด้วยแสงของพืช13.การสังเคราะห์ด้วยแสงของพืช
13.การสังเคราะห์ด้วยแสงของพืช
 
การค้นพบสารพันธุกรรม
การค้นพบสารพันธุกรรมการค้นพบสารพันธุกรรม
การค้นพบสารพันธุกรรม
 
บทที่ 4 โครโมโซมและสารพันธุกรรม
บทที่ 4 โครโมโซมและสารพันธุกรรมบทที่ 4 โครโมโซมและสารพันธุกรรม
บทที่ 4 โครโมโซมและสารพันธุกรรม
 
ระบบหายใจ
ระบบหายใจระบบหายใจ
ระบบหายใจ
 
Nervous system
Nervous systemNervous system
Nervous system
 
บทที่ 5 พอลิเมอร์
บทที่ 5 พอลิเมอร์บทที่ 5 พอลิเมอร์
บทที่ 5 พอลิเมอร์
 
ชุดกิจกรรมการเรียนรู้ชุดที่1พันธะโคเวเลนต์docx
ชุดกิจกรรมการเรียนรู้ชุดที่1พันธะโคเวเลนต์docxชุดกิจกรรมการเรียนรู้ชุดที่1พันธะโคเวเลนต์docx
ชุดกิจกรรมการเรียนรู้ชุดที่1พันธะโคเวเลนต์docx
 
Nervous system
Nervous systemNervous system
Nervous system
 
บทที่ 2 เคมีที่เป็นพื้นฐานของสิ่งมีชีวิต
บทที่ 2  เคมีที่เป็นพื้นฐานของสิ่งมีชีวิตบทที่ 2  เคมีที่เป็นพื้นฐานของสิ่งมีชีวิต
บทที่ 2 เคมีที่เป็นพื้นฐานของสิ่งมีชีวิต
 
ชุดการสอนที่ 9 การรักษาดุลยภาพด้วยฮอร์โมน
ชุดการสอนที่ 9 การรักษาดุลยภาพด้วยฮอร์โมนชุดการสอนที่ 9 การรักษาดุลยภาพด้วยฮอร์โมน
ชุดการสอนที่ 9 การรักษาดุลยภาพด้วยฮอร์โมน
 
โครงสร้างและหน้าที่ของพืชดอก
โครงสร้างและหน้าที่ของพืชดอกโครงสร้างและหน้าที่ของพืชดอก
โครงสร้างและหน้าที่ของพืชดอก
 
แบบฝึกหัด
แบบฝึกหัดแบบฝึกหัด
แบบฝึกหัด
 
สารชีวโมเลกุล2
สารชีวโมเลกุล2สารชีวโมเลกุล2
สารชีวโมเลกุล2
 
6แบบทดสอบการลำเลียงสารผ่านเซลล์
6แบบทดสอบการลำเลียงสารผ่านเซลล์6แบบทดสอบการลำเลียงสารผ่านเซลล์
6แบบทดสอบการลำเลียงสารผ่านเซลล์
 
การรับรู้และตอบสนอง2012
การรับรู้และตอบสนอง2012การรับรู้และตอบสนอง2012
การรับรู้และตอบสนอง2012
 
สอบกลางภาคชีวะ51 2m-5
สอบกลางภาคชีวะ51 2m-5สอบกลางภาคชีวะ51 2m-5
สอบกลางภาคชีวะ51 2m-5
 
ระบบหมุนเวียนเลือด
ระบบหมุนเวียนเลือด ระบบหมุนเวียนเลือด
ระบบหมุนเวียนเลือด
 
ระบบหมุนเวียนเลือด
ระบบหมุนเวียนเลือดระบบหมุนเวียนเลือด
ระบบหมุนเวียนเลือด
 
ต่อมไร้ท่อ
ต่อมไร้ท่อ ต่อมไร้ท่อ
ต่อมไร้ท่อ
 

Similar to ระบบประสาท 2

ระบบประสาทและอวัยวะรับความรู้สึก
ระบบประสาทและอวัยวะรับความรู้สึกระบบประสาทและอวัยวะรับความรู้สึก
ระบบประสาทและอวัยวะรับความรู้สึกbosston Duangtip
 
ชุดการสอนที่1
ชุดการสอนที่1ชุดการสอนที่1
ชุดการสอนที่1juriyaporn
 
การรับรู้และการตอบนอง
การรับรู้และการตอบนองการรับรู้และการตอบนอง
การรับรู้และการตอบนองnokbiology
 
ระบบประสาท
ระบบประสาทระบบประสาท
ระบบประสาทyangclang22
 
ระบบประสาท
ระบบประสาทระบบประสาท
ระบบประสาทkruchanon2555
 
ระบบประสาท
ระบบประสาทระบบประสาท
ระบบประสาทkalita123
 
ระบบประสาท
ระบบประสาทระบบประสาท
ระบบประสาทbowpp
 
ระบบประสาท
ระบบประสาทระบบประสาท
ระบบประสาทauttapornkotsuk
 
ระบบประสาท
ระบบประสาทระบบประสาท
ระบบประสาทikaen2520
 
ชุดการสอนที่2
ชุดการสอนที่2ชุดการสอนที่2
ชุดการสอนที่2juriyaporn
 
บทท 8 ระบบประสาท (1)
บทท   8 ระบบประสาท (1)บทท   8 ระบบประสาท (1)
บทท 8 ระบบประสาท (1)Natthaya Khaothong
 

Similar to ระบบประสาท 2 (20)

ระบบประสาทและอวัยวะรับความรู้สึก
ระบบประสาทและอวัยวะรับความรู้สึกระบบประสาทและอวัยวะรับความรู้สึก
ระบบประสาทและอวัยวะรับความรู้สึก
 
ชุดการสอนที่1
ชุดการสอนที่1ชุดการสอนที่1
ชุดการสอนที่1
 
การรับรู้และการตอบนอง
การรับรู้และการตอบนองการรับรู้และการตอบนอง
การรับรู้และการตอบนอง
 
ระบบประสาท
ระบบประสาทระบบประสาท
ระบบประสาท
 
ระบบประสาท
ระบบประสาทระบบประสาท
ระบบประสาท
 
ระบบประสาท
ระบบประสาทระบบประสาท
ระบบประสาท
 
ระบบประสาท
ระบบประสาทระบบประสาท
ระบบประสาท
 
ระบบประสาท
ระบบประสาทระบบประสาท
ระบบประสาท
 
ระบบประสาท
ระบบประสาทระบบประสาท
ระบบประสาท
 
ศูนย์ที่ 3 ชุดที่ 3
ศูนย์ที่ 3 ชุดที่ 3ศูนย์ที่ 3 ชุดที่ 3
ศูนย์ที่ 3 ชุดที่ 3
 
ศูนย์ที่ 3 ชุดที่ 3
ศูนย์ที่ 3 ชุดที่ 3ศูนย์ที่ 3 ชุดที่ 3
ศูนย์ที่ 3 ชุดที่ 3
 
ชุดการสอนที่2
ชุดการสอนที่2ชุดการสอนที่2
ชุดการสอนที่2
 
ศูนย์ที่ 1 ชุดที่ 3
ศูนย์ที่ 1 ชุดที่ 3ศูนย์ที่ 1 ชุดที่ 3
ศูนย์ที่ 1 ชุดที่ 3
 
ศูนย์ที่ 1 ชุดที่ 3
ศูนย์ที่ 1 ชุดที่ 3ศูนย์ที่ 1 ชุดที่ 3
ศูนย์ที่ 1 ชุดที่ 3
 
ศูนย์ที่ 1 ชุดที่ 3
ศูนย์ที่ 1 ชุดที่ 3ศูนย์ที่ 1 ชุดที่ 3
ศูนย์ที่ 1 ชุดที่ 3
 
ระบบประสาท
ระบบประสาทระบบประสาท
ระบบประสาท
 
บทท 8 ระบบประสาท (1)
บทท   8 ระบบประสาท (1)บทท   8 ระบบประสาท (1)
บทท 8 ระบบประสาท (1)
 
ศูนย์ที่ 4 ชุดที่ 5
ศูนย์ที่ 4 ชุดที่ 5ศูนย์ที่ 4 ชุดที่ 5
ศูนย์ที่ 4 ชุดที่ 5
 
ศูนย์ที่ 4 ชุดที่ 5
ศูนย์ที่ 4 ชุดที่ 5ศูนย์ที่ 4 ชุดที่ 5
ศูนย์ที่ 4 ชุดที่ 5
 
ศูนย์ที่ 4 ชุดที่ 5
ศูนย์ที่ 4 ชุดที่ 5ศูนย์ที่ 4 ชุดที่ 5
ศูนย์ที่ 4 ชุดที่ 5
 

ระบบประสาท 2