1
เรื่องน่ารู้ของผัก-ผลไม้
จัดทาโดย
นางสาว โชติกา กุลแสงปัญญา
นางสาว เกวลิน เดสันเทียะ
2
สารบัญ
ชื่อเรื่อง
ผลไม้สาหรับคนท้อง
ผลไม้ที่คนท้องไม่ควรรับประทาน
ประโยชน์ของนาผัก-ผลไม้เพื่อสุขภาพ
ประโยชน์ของผัก-ผลไม้ 5 สี
การเลือกรับประทานผัก-ผลไม้
อาหารตามกรุ๊ปเลือด
ผักลดความอ้วน
ผลไม้ลดนาหนัก
การล้างผัก-ผลไม้
หน้า
3
9
12
32
37
39
46
48
51
3
ผลไม้สาหรับคนท้อง
กล้วย
เป็นผลไม้ที่อุดมไปด้วยธาตุเหล็ก ฟอสฟอรัส วิตามินเอ วิตามินบี 1 วิตามินบี 2 วิตามินบี 3 วิตามินบี 6 และ
วิตามินซี และยังมีสารสาคัญที่ช่วยผ่อนคลายอารมณ์ ทาให้คุณแม่อารมณ์ดี มีใยอาหารสูงที่ช่วยในการทางานของระบบ
ขับถ่าย
4
ฝรั่ง
อุดมไปด้วยวิตามินซีและวิตามินเอ ช่วยให้ร่างกายมีภูมิคุ้มกันต่อโรคหวัด ช่วยบารุงเหงือกและฟันให้แข็งแรง
แอปเปิ้ล
อุดมไปด้วยเกลือแร่และวิตามิน ช่วยควบคุมปริมาณน้าตาลในเลือด ลดระดับคอเลสเตอรอล และช่วยกระตุ้นการ
ทางานของสารต้านอนุมูลอิสระให้ทางานได้ดีขึ้น
5
มะละกอสุก
อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ ได้แก่ แคโรทีน วิตามินซี ฟลาโวนอยด์ วิตามินซี สารโฟลิก ธาตุโพแทสเซียม
แมกนีเซียม และเส้นใยอาหาร เป็นผลไม้ที่เหมาะกับคุณแม่ตั้งครรภ์ที่มีปัญหาเรื่องท้องผูก
มะม่วงสุก
อุดมไปด้วยเบต้าแคโรทีน ฟอสฟอรัส และแคลเซียม ช่วยในการสร้างกระดูกและฟันให้กับทารกในครรภ์ และ
บารุงกระดูกและฟันของคุณแม่ให้แข็งแรง
6
มะพร้าว
อีกหนึ่งผลไม้ที่มีคุณค่าทางอาหารสูงมาก เช่น โปรตีน กลูโคส และแคลเซียม และยังช่วยแก้อาการอ่อนเพลียและ
ดับกระหายได้ดี
แตงโม
เป็นผลไม้ที่อุดมไปด้วยโพแทสเซียม มีสรรพคุณช่วยควบคุมอัตราความดันโลหิตของร่างกาย และยังมีวิตามินซี
ธรรมชาติที่ดีต่อร่างกาย
7
ส้ม
ผลไม้ที่มีวิตามินซีสูง ช่วยป้องกันหวัดและช่วยในเรื่องการขับถ่ายได้ดี
สับปะรด
มีสารต้านอนุมูลอิสระ เช่น วิตามินซี เบต้าแคโรทีน และแมงกานีส ช่วยสร้างระบบภูมิคุ้มกันให้กับร่างกาย และ
ช่วยป้องกันอันตรายจากอนุมูลอิสระ
8
ลูกพรุน
อีกหนึ่งผลไม้ที่เหมาะสาหรับคุณแม่ตั้งครรภ์ที่มีปัญหาเรื่องโลหิตจาง เพราะในลูกพรุนจะมีธาตุเหล็กเป็น
ส่วนประกอบหลัก จึงช่วยในการสร้างเม็ดเลือดแดง และยังมีวิตามินบี 2 ที่จะช่วยสร้างแคลเซียม ทาให้กระดูกและฟัน
แข็งแรง
9
ผลไม้ที่คนท้องไม่ควรรับประทาน
มะม่วงดิบ
จะย่อยได้ยากกว่ามะม่วงสุก ซึ่งอาจทาให้คุณแม่เกิดอาการแน่นท้องได้ (ในช่วงที่คุณแม่ตั้งครรภ์ในไตรมาส 2-
3 ยิ่งควรหลีกเลี่ยง เพราะช่วงนี้มดลูกจะโตขึ้นจนเบียดกระเพาะอาหาร ทาให้กระเพาะอาหารย่อยได้ช้าลง) ส่วนมะม่วงสุก
ไม่มีข้อห้ามอะไรครับ ทานได้ตามปกติ แต่ไม่ควรทานบ่อยหรือทานในปริมาณมาก ๆ
10
ทุเรียน
อีกหนึ่งผลไม้ที่ควรหลีกเลี่ยง เพราะทาให้เกิดแก๊สในลาไส้ได้มาก อาจทาให้คุณแม่มีอาการจุกเสียดแน่นท้องหรือ
แน่นหน้าอกได้ แม้จะไม่เป็นอันตรายมากนัก แต่ก็สร้างความทรมานได้มากเหมือนกัน
ผลไม้รสหวานจัด
เช่น ลาไย เงาะ มะม่วงสุก มะละกอสุก น้อยหน่า อินทผลัม เป็นต้น ส่วนนี้ไม่ได้ห้ามนะครับ ถ้าไม่อยากน้าหนัก
ตัวเพิ่มแบบไม่ทันตั้งตัวและเสี่ยงเป็นเบาหวาน ก็ขอให้ลดปริมาณลงครับ นาน ๆ จะกินครั้งหนึ่งก็ไม่เป็นอะไร
11
ผลไม้แปรรูปหรือผลไม้ดองต่าง ๆ
12
ประโยชน์ของนาผัก-ผลไม้เพื่อสุขภาพ
น้าผลไม้เพื่อสุขภาพ
คือ ของเหลวที่อยู่ในเนื้อเยื่อของผลไม้ตามธรรมชาติ น้าผลไม้จะได้มาจากการนาผลไม้ไปคั้นหรือปั่นผลไม้
เหล่านั้นโดยไม่ใช้ความร้อนหรือตัวทาละลาย ซึ่งน้าผลไม้สาเร็จรูปที่วางขายหลายยี่ห้อจะถูกกรองเอากากใยอาหารออก
แต่น้าผลไม้ที่มีเนื้อก็ยังคงเป็นเครื่องดื่มที่นิยม โดยอาจขายในรูปแบบเข้มข้น ซึ่งจาเป็นต้องเติมน้าเพื่อลดความเข้มข้นจน
กระทั้งอยู่ในสถานะปกติ โดยน้าผลไม้แบบเข้มข้นมักจะมีรสชาติที่ต่างจากน้าผลไม้คั้นสดอย่างชัดเจน
น้ากล้วย
กล้วย เป็นผลไม้ที่อุดมไปด้วยโปรตีน คาร์โบไฮเดรต วิตามินเอ ธาตุเหล็ก ฟอสฟอรัส และโพแทสเซียม ซึ่งล้วน
แต่เป็นแร่ธาตุที่จาเป็นต่อการทางานของกล้ามเนื้อและประสาท ช่วยควบคุมความดันโลหิต เพิ่มพลังงานให้แก่ร่างกายได้
อย่างรวดเร็ว เพิ่มความแข็งแรงสมบูรณ์ให้แก่ร่างกาย นอกจากนี้ยังช่วยป้องกันโรคภัยไข้เจ็บต่าง ๆ
13
น้ากีวี่
กีวี่อุดมไปด้วยวิตามินซี, คลอโรฟิลล์, ไฟโตเคมิคอล (Phytochemical), และแอคทินิดิน ที่ช่วยเสริมสร้างระบบ
ภูมิคุ้มกัน ทาให้หัวใจมีสุขภาพดี และช่วยลดความดันโลหิต
น้าเกรปฟรุต
น้าผลไม้รสเปรี้ยวที่มีคุณสมบุติช่วยเผาผลาญไขมันและช่วยลดระดับอินซูลินซึ่งเป็นตัวการของน้าหนักตัวที่เพิ่มขึ้น
การดื่มน้าเกรปฟรุตคั้นสดก่อนมื้ออาหารทุกมือ จะช่วยทาให้น้าหนักตัวลดลงมากกว่า 1.5 กิโลกรัม ภายใน 3 เดือน โดย
ที่ไม่ต้องลดอาหารหรือไดเอ็ทเลย
น้าแครนเบอร์รี่
น้าผลไม้ชนิดนี้จะมีวิตามินซีสูง สามารถช่วยลดความเสี่ยงของโรคติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ และยังพบว่าน้าแครน
เบอร์รี่มีฤทธิ์ในการยับยั้งเชื้ออีโคไลที่อยู่ในกระเพาะปัสสาวะได้อีกด้วย
14
น้าแตงโม
แตงโมมีวิตามินเอที่ช่วยบารุงสายตา และมีวิตามินซีที่ช่วยป้องกันโรคเลือดออกตามไรฟัน ช่วยแก้อาการร้อนใน
กระหายน้า ปากเป็นแผล รักษาแผลในกระเพาะอาหาร ทาให้สบายท้อง ช่วยลดความดันโลหิต และช่วยขับปัสสาวะ
น้าแตงชนิดต่าง ๆ (แคนตาลูป เมล่อน แตงญี่ปุ่น)
จัดเป็นน้าผลไม้ล้างพิษในร่างกาย มีฤทธิ์ในการขับปัสสาวะ มีคุณสมบัติที่มีเนื้อฉ่าน้า จึงเหมาะที่จะรับประทาน
ในยามที่ร่างกายสูญเสียน้า นอกจากนี้ยังมีฤทธิ์ต้านแบคทีเรียและเชื้อไวรัสได้อีกด้วย
น้าเชอร์รี่
เชอร์รี่มีวิตามินซีสูงมาก จึงช่วยป้องกันโรคเลือดออกตามไรฟันได้ มีสารต้านอนุมูลอิสระ ที่ช่วยชะลอวัย ดูแล
ความงาม และช่วยป้องกันโรคโลหิตจาง
15
น้าฝรั่ง
ฝรั่ง มีวิตามินซีสูง ช่วยป้องกันโรคเลือดออกตามไรฟัน มีสารเบต้าแคโรทีนที่ช่วยลดสารพิษในร่างกาย ช่วยละ
ระดับไขมันในเลือด ช่วยป้องกันการจับตัวของไขมันที่ผนังหลอดเลือดซึ่งเป็นสาเหตุของโรคหลอดเลือดแข็งตัว จึงเหมาะ
สาหรับผู้ป่วยเส้นเลือดอุดตัน อีกทั้งยังช่วยชะลอการลุกลามของเซลล์มะเร็ง ทาให้แผลหายเร็ว กระตุ้นการทางานของเม็ด
เลือดขาว เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน และป้องกันหวัดได้อีกด้วย
น้าบลูเบอร์รี่
เป็นผลไม้ที่เปี่ยมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระอย่างวิตามินซี จึงช่วยบารุงสุขภาพโดยรวมได้เป็นอย่างดี และยังมี
ผลดีต่อระบบการไหลเวียนของเลือด มีประโยชน์ต่อระบบหลอดเลือดหัวใจ
5
ทับทิมมีสารต้านอนุมูลอิสระที่แทบจะครบทุกชนิด จึงมีประโยชน์อย่างมากสาหรับการป้องกันโรคมะเร็ง
16
น้าลูกแพร์
อีกหนึ่งน้าผลไม้ที่มีสรรพคุณยอดเยี่ยมในการช่วยเสริมสร้างสุขภาพ เพราะอุดมไปด้วยวิตามินซี แคลเซียม
โพแทสเซียม ฟอสฟอรัส และแมกนีเซียม ในปริมาณที่สูง ซึ่งวิตามินและแร่ธาตุเหล่านี้ก็ล้วนแล้วแต่มีประโยชน์ต่อร่างกาย
แทบทั้งสิ้น
น้ามะขาม
มะขามมีวิตามินที่ช่วยบารุงสายตา มีวิตามินซีที่ช่วยป้องกันโรคเลือดออกตามไรฟัน มีแคลเซียมที่ช่วยบารุง
กระดูก นอกจากนี้มะขามยังมีสรรพคุณเป็นยาแก้ไอ ช่วยขับเสมหะ เป็นยาระบายท้อง จึงช่วยในการขับถ่ายได้เป็นอย่างดี
และยังช่วยลดอาการของโรคโลหิตจางได้อีกด้วย
น้ามะเฟือง
มะเฟืองมีวิตามินที่ช่วยบารุงสายตา มีวิตามินซี ช่วยชะลอวัย ป้องกันอันมูลอิสระ ต่อต้านสารก่อมะเร็ง ป้องกัน
โรคเลือดออกตามไรฟัน มีฟอสฟอรัสและแคลเซียมเล็กน้อย สามารถช่วยเสริมสร้างกระดูกและฟันให้แข็งแรงได้ นอกจากนี้
ยังช่วยควบคุมการเต้นของหัวใจให้สม่าเสมอ ช่วยควบคุมกล้ามเนื้อ ทาให้เลือดแข็งตัวได้ง่าย มีฤทธิ์กล่อมประสาท ช่วย
ระงับความฟุ้งซ่าน จึงช่วยทาให้นอนหลีบได้ง่ายขึ้น ช่วยแก้ร้อนใน ดับกระหาย ลดความร้อนในร่างกาย ช่วยบรรเทา
อาการของนิ่วในทางเดินปัสสาวะ ช่วยขับปัสสาวะ ขับเสมหะ และช่วยป้องกันโรคโลหิตจาง
17
น้ามะม่วง
มะม่วง มีวิตามินเอและวิตามินซีสูงมาก ช่วยบารุงสายตา ป้องกันโรคเลือดออกตามไรฟัน และมีฤทธิ์เป็นยา
ระบายอ่อน ๆ นอกจากนี้มะม่วงยังมีฟอสฟอรัส แคลเซียม และธาตุเหล็กเล็กน้อย นอกจากนี้ยังช่วยทาความสะอาดโลหิต
อันจะทาให้มีสุขภาพที่ดีขึ้น และยังช่วยบารุงไตได้อีกด้วย
น้ามะนาว
มะนาวมีวิตามินสูง ช่วยลดความเสื่อมวัยของร่างกาย ป้องกันโรคเลือดออกตามไรฟัน ช่วยนาโปรตีนเข้าไปใช้
งานในเซลล์ ช่วยบารุงผิวพรรณ บารุงสายตา ช่วยลดอาการไอ ขับเสมหะ แก้อาการเจ็บคอ แก้อาการคลื่นไส้อาเจียน แก้
ปวดศีรษะ อ่อนเพลีย ตาแดง เหงือกบวม แก้ลิ้นเป็นฝ้า แก้เมาเหล้า แก้อาการท้องอืด ท้องเฟ้อ ช่วยขับลมในกระเพาะ
ช่วยขจัดคราบบุหรี่
น้ามะละกอ
มีประโยชน์ช่วยทาความสะอาดลาไส้และช่วยในการย่อยอาหาร ช่วยทาให้ของเสียที่เป็นโปรตีนแตกตัวได้เร็วขึ้น
และยังเชื่อกันว่ามะละกอสามารถช่วยลดอาการซึมเศร้าได้อีกด้วย
18
น้าเลมอน
การดื่มน้าเลมอนคั้นสด 1 แก้ว จะช่วยกระตุ้นให้ตับผลิตน้าดีได้มากขึ้น ส่งผลให้ระบบการย่อยอาหารทางานได้
อย่างเป็นปกติตลอดทั้งวัน และยังพบว่าผู้ป่วยติดเชื้อทางเดินปัสสาวะที่ดื่มน้าเลมอนเป็นประจาทุกวันจะช่วยลดขนาดก้อนนิ่ว
ในไตได้ เนื่องจากมีฤทธิ์ละลายก้อนนิ่วในถุงน้าดีและไต แล้วขับออกมาทางปัสสาวะ ช่วยทาให้อัตราของกรดฟอสฟอริก
ในปัสสาวะลดจาก 1% เหลือ 0.13% ซึ่งเป็นผลดีกับร่างกาย รวมทั้งการช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรียได้อีกด้วย
น้าราสเบอร์รี่
มีผลดีต่อระบบการไหลเวียนของเลือด มีประโยชน์ต่อระบบหลอดเลือดหัวใจ งช่วยบรรเทาอาการปวดท้อง
ประจาเดือน
น้าส้ม
ส้มวิตามินในปริมาณมาก อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยเพิ่มอัตราการไหลเวียนของเลือดในร่างกายและ
อัตราการดูดซึมสารอาหาร ช่วยบารุงสายตา มีวิตามินซีที่ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันและต้านเชื้อโรค ช่วยป้องกันโรค
เลือดออกตามไรฟัน ป้องกันโรคโลหิตจาง นอกจากนั้นยังมีแคลเซียมและฟอสฟอรัสที่ช่วยในการบารุงกระดูกและฟัน มี
สารฟลาโวนอยด์ที่ช่วยลดระดับไขมันร้าย ( LDL) และช่วยเพิ่มไขมันดี ( HDL) ที่เป็นประโยชน์กับร่างกาย จึงส่งผลต่อ
การลดระดับคอเลสเตอรอลในร่างกายลดต่าลง และยังพบว่าน้าส้มคั้นสดมีส่วนช่วยลดความดันโลหิต ป้องกันโรคหัวใจ
และช่วยบารุงระบบการไหลเวียนของโลหิตและหลอดเลือด
19
น้าสับปะรด
สับปะรดมีแคลเซียมและฟอสฟอรัสสูง จึงช่วยบารุงกระดูกและฟัน และยังมีวิตามินซีที่ช่วยป้องกันโรคเลือดออก
ตามไรฟัน ช่วยลดความเสี่ยงของโรคเหงือกอักเสบ โรคปริทันต์หรือรามะนาด มีสรรพคุณทางยาช่วยในการย่อยอาหาร
ลดอาการแน่นท้อง ช่วยขับปัสสาวะ ลดอาการแผลร้อนในปาก ลดอาการอักเสบบวม ช่วยซ้อมแซมเนื้อเยื่อที่สึกหรอใน
ร่างกาย ช่วยบารุงข้อต่อในอวัยวะต่าง ๆ ช่วยบรรเทาอาการของโรคไซนัสอักเสบ โรคหลอดลมอักเสบ โรคไขข้ออักเสบ
ช่วยลดอาการบวมอักเสบของข้อต่อที่หัวไหล่ ช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรียที่ทาให้อาการไม่เรื้อรัง
น้าสตรอเบอร์รี่
น้าผลไม้ที่มีผลดีต่อระบบการไหลเวียนของเลือด มีประโยชน์ต่อระบบหลอดเลือดหัวใจ และยังช่วยบรรเทาอาการ
ปวดท้องประจาเดือนได้อีกด้วย
น้าองุ่น
น้าผลไม้สีม่วงสามารถช่วยป้องกันไม่เซลล์สมองเสื่อมและช่วยในเรื่องความจาได้ดี อีกทั้งยังมีสารต้านอนุมูลอิสระ
ที่เป็นตัวช่วยเพิ่มภูมิต้านทานโรคให้กับร่างกาย ช่วยเสริมสร้างเซลล์ในร่างกาย และบารุงโลหิต
20
น้าองุ่นคอนคอร์ด (Concord Grape Juice)
องุ่นพันธุ์นี้มีสารต้านอนุมูลอิสระอยู่มาก จึงช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคต่าง ๆ ได้ดี นอกจากนี้ยังช่วยบารุง
หัวใจ และช่วยลดความดันโลหิตสูงได้ดี
น้าอะโวคาโด
อะโวคาโดเป็นผลไม้ที่มีสรรพคุณช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในเลือด ยับยั้งการก่อมะเร็ง เสริมสร้างความ
แข็งแกร่งให้กับภูมิคุ้มกันภายในร่างกาย อีกทั้งยังมีวิตามินอีสูง จึงช่วยบารุงผิวพรรณให้สวยงามชุ่มชื้น นอกจากนี้ยังช่วย
ทาให้ร่างกายย่อยและเผาผลาญไขมันได้ดีอีกด้วย
น้าแอปริคอต
ผลไม้ที่อุดมไปด้วยเบต้าแคโรทีน วิตามินเอ วิตามินซี และวิตามินอี มีประโยชน์ในด้านการบารุงผิวพรรณให้
สดชื่นและมีสุขภาพดี และยังช่วยป้องกันมะเร็งและเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้กับร่างกายอีกด้วย
21
น้ากระเจี๊ยบแดง
กระเจี๊ยบมีวิตามินเอสูงมาก จึงช่วยในการบารุงสายตา และมีแคลเซียมที่ช่วยบารุงกระดูกและฟัน ส่วนสรรพคุณ
ทางยา กระเจี๊ยบมีสรรพคุณช่วยลดความดันโลหิต มีฤทธิ์เป็นยาระบายอ่อน ๆ ช่วยขับปัสสาวะ และแก้อาการกระหายน้า
น้ากะเพราแดง
น้ากะเพราแดง มีประโยชน์ในด้านการช่วยขับลม แก้อาการท้องอืด ท้องเฟ้อ แก้ปวดท้อง ช่วยบารุงธาตุใน
ร่างกาย
น้าขิง
ขิงมีแคลเซียมที่ช่วยบารุงกระดูกและฟัน มีสารเบต้าแคโรทีนที่ช่วยต้านมะเร็ง มีสรรพคุณทางยาที่ช่วยแก้อาการ
ท้องอืด ท้องเฟ้อ ช่วยขับลม ขับเสมหะ ช่วยแก้อาการคลื่นไส้อาเจียน เมารถเมาเรือ ช่วยทาให้เจริญอาหาร ช่วยลดการจับ
ตัวของลิ่มเลือดและน้าย่อยต่าง ๆ ช่วยต้านการเกิดแผลในกระเพาะอาหาร นอกจากนี้ยังนิยมดื่มน้าขิงเพื่อไล่พิษไข้ เพื่อให้
ไข้หวัดอาการทุเลาลงได้เป็นอย่างดี ส่วนคนที่มีอาการไอหรือมีเสมหะมาก การดื่มน้าขิงหรือใช้กวาดคอก็จะช่วยบรรเทา
อาการได้
22
น้าข่า
ข่า มีสรรพคุณช่วยในการย่อยอาหาร ช่วยขับลมได้เป็นอย่างดี แก้อาการท้องอืดท้องเฟ้อเรอเปรี้ยว ระบายลม
ออกจากลาไส้
น้าขึ้นฉ่ายฝรั่ง (Celery)
มีคุณสมบัติช่วยทาความสะอาดทางเดินปัสสาวะ ช่วยขับปัสสาวะได้ดี และเป็นผักที่ช่วยล้างพิษออกจากร่างกายได้
ดีชนิดหนึ่ง นอกจากนี้ยังเป็นผักที่มีคาร์โบไฮเดรตต่า แต่มีโพแทสเซียมสูง จึงช่วยลดความดันโลหิตได้
น้าคะน้า
คะน้ามีวิตามินเอสูง จึงช่วยในการบารุงสายตา และยังเป็นแหล่งของสารเบต้าแคโรทีนที่เป็นสารยับยั้งมะเร็ง มี
วิตามินซีที่ช่วยป้องกันโรคเลือดออกตามไรฟัน ช่วยชะลอวัย ทาให้เนื้อเยื่อในร่างกายทางานได้ดี และยังมีแคลเซียมและ
ฟอสฟอรัสที่ช่วยบารุงกระดูก มีสรรพคุณทางยาที่ช่วยป้องกันโรคโลหิตจาง แก้อาการร้อนกระหายน้า และช่วยลดระดับ
อุณหภูมิในร่างกาย
23
น้าแครอท
เป็นน้าผักผลไม้ที่อุดมไปด้วยแคลเซียม โพแทสเซียม และแมกนีเซียม รวมไปถึงแคโรทีนที่สามารุเปลี่ยนวิตามิน
เอภายในร่างกายและช่วยดูดซึมไปใช้ได้ทันที และน้าแครอทยังมีสารต้านอนุมูลอิสระที่สามารถช่วยป้องกันและต่อต้าน
โรคมะเร็งได้
น้าผักต่าง ๆ (ผักชี สะระแหน่ โหระพา)
มีฤทธิ์ช่วยกระตุ้นความอยากอาการ ช่วยในการหลั่งน้าย่อย มีสารเบต้าแคโรทีนและวิตามินซี ที่ช่วยรักษา
อาการหวัดได้
น้าผักกาดหอม, น้าผักกาดขาว, น้าผักกาดหวาน
อุดมไปด้วยวิตามินซี ฟลาโวนอยด์เบต้าแคโรทีน และกรดโฟลิค มีประโยชน์ช่วยทาความสะอาดทางเดินอาหาร
มีสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยเสริมสร้างภูมิต้านทานโรค ช่วยกระตุ้นการทางานของแบคทีเรียที่มีประโยชน์ในลาไส้ ส่วน
ผักกาดหอมมีประโยชน์ช่วยป้องกันโรคความดันโลหิตสูง ช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นของหลอดเลือด
24
น้าผักโขม
ผักโขมมีคุณสมบัติช่วยป้องกันโรคจอประสาทตาเสื่อมเนื่องจากอายุมาก เพราะมีสารที่ช่วยสร้างระบบป้องกันสาร
สีในดวงตา นอกจากนี้ยังช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคความจาเสื่อมได้อีกด้วย
น้าผักโขม
น้าตะไคร้หอม
ตะไคร้มีวิตามินเอที่ช่วยบารุงสายตา มีแคลเซียมและฟอสฟอรัสที่ช่วยบารุงกระดูกและฟัน ช่วยแก้อาการท้องอืด
ท้องเฟ้อ อาการจุกเสียด ช่วยขับเหงื่อ ขับปัสสาวะ ช่วยลดความดันโลหิต และช่วยลดพิษของสารแปลกปลอม
น้าตะไคร้หอม
น้าต้นกล้าข้าวสารีอ่อน (Wheatgrass)
ข้าวสารีอ่อนเป็นพืชที่มีคลอโรฟิลล์มากถึง 70% อุดมไปด้วยออกซิเจน ช่วยส่งเสริมการทางานของร่างกายและสมอง ช่วย
ฟื้นฟูระบบหมุนเวียนโลหิต มีคุณสมบัติช่วยล้างพิษและสารเคมีออกจากร่างกาย ช่วยทาความสะอาดตับ ลดระดับน้าตาลใน
เลือด มีฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรียทาให้แผลหายเร็ว นอกจากนี้ยังช่วยรักษาสิว ทาให้ผมดกดา ลดกลิ่นปาก กลิ่นตัว และยัง
อุดมไปด้วยเอนไซม์ที่ดีต่อสุขภาพอีกหลายชนิด
25
น้าชะพลู
มีสารต้านอนุมูลอิสระอยู่หลายชนิด ช่วยบารุงธาตุ แก้ธาตุพิการ ทาให้เจริญอาหาร บารุงและรักษาสายตา
บารุงกระดูกและฟัน ช่วยยับยั้งและชะลอการขยายตัวของเซลล์มะเร็ง และช่วยรักษาโรคเบาหวาน
น้าดอกคาฝอย
ดอกคาฝอยมีสรรพคุณเป็นยาลดไขมันในเลือด ป้องกันไขมันอุดตัน ลดความดันโลหิตสูง บารุงโลหิต บารุง
ประสาท ช่วยขับเหงื่อ เป็นยาระบายอ่อน ๆ
น้าดอกอัญชัน
มีสารอาหารให้สารสีฟ้า ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยป้องกันความเสื่อมของร่างกาย ช่วยบารุงสายตา
ป้องกันอันตรายจากแสงจ้า และช่วยบารุงเส้นผมให้มีสีเข้มเสมอ
26
น้าใบบัวบก
บัวบกมีวิตามินเอสูงมาก จึงช่วยบารุงสายตาได้เป็นอย่างดี อีกทั้งยังมีแคลเซียมที่สูงมากเช่นกัน และยังมีวิตามินบี
1 ที่สูงกว่าผักทั่วไปหลายชนิด การดื่มน้าใบบัวบกจะช่วยแก้ร้อนในกระหายน้า แก้อาการช้าใน ฟกช้าได้ดี และยังช่วยลด
อาการปวดศีรษะข้างเดียว ช่วยแก้อาการอ่อนเพลีย เมื่อยล้าได้ดี บารุงหัวใจ บารุงสมอง ช่วยขับปัสสาวะ และการดื่มน้าใบ
บัวบักทุกวันประมาณ 1 อาทิตย์ ความดันโลหิตสูงจะลดลง นอกจากนี้ยังมีฤทธิ์ทาลายเซลล์มะเร็ง ช่วยรักษาแผลใน
กระเพาะอาหารและลาไส้ ช่วยลดการอักเสบ ช่วยในการไหลเวียนของโลหิต และทาให้เลือดแข็งตัวเร็ว
น้าบร็อคโคลี่
อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยป้องกันมะเร็งปอด มะเร็งทรวงอก และมะเร็งลาไส้ นอกจากนี้ยังมีประโยชน์
ในการช่วยควบคุมระดับอินซูลินและน้าตาลในเลือดได้อีกด้วย
น้าบลูเบอร์รี่
น้าตาลึง
ตาลึงมีวิตามินเอสูง จึงช่วยบารุงสายตา มีวิตามินซีที่ช่วยป้องกันโรคเลือดออกตามไรฟัน มีแคลเซียมและ
ฟอสฟอรัสที่ช่วยบารุงกระดูก นอกจากนี้ตาลึงยังมีสรราคุณชวยป้องกันโรคมะเร็ง โรคหัวใจขาดเลือด และโรคมะเร็งได้อีก
ด้วย
27
น้าใบเตย
น้าใบเตยมีสรรพคุณช่วยบารุงหัวใจ ช่วยแก้อาการกระหายน้า และทาให้ชุ่มชื่น
น้าบีทรูท
บีทรูทมีสรรพคุณช่วยเสริมสร้างเซลล์เม็ดเลือดแดง และอุดมไปด้วยวิตามินซี ธาตุเหล็ก โพแทสเซียม และ
แมกนีเซียม ที่ช่วยรักษาผู้ป่วยที่สมาธิสั้นหรือมีอาการสูญเสียความทรงจา ขยายหลอดเลือดและกระตุ้นการไหลเวียนของ
โลหิตให้ไปเลี้ยงสมองได้ดีขึ้น ช่วยลดความเสียหายภายในร่างกายของผู้หญิงที่มีปัญหาการปวดประจาเดือน และยังพบว่า
ผู้ที่ดื่มน้าบีทรูทคั้นสดทุกเช้าจะมีระดับความดันโลหิตในสมองที่ลดต่าลงและมีความจาที่ดีขึ้น นอกจากนี้ยังช่วยขจัดสารพิษ
ออกจากรางกาย ทาให้หลอดเลือดสะอาด ระบบไหลเวียนโลหิตดีขึ้น ช่วยทาให้ตับและไตทางานได้ดีขึ้น ช่วยกระตุ้นและ
เพิ่มความแข็งแรงให้กับลาไส้ใหญ่ และช่วยเผาผลาญไขมันได้ดีอีกด้วย
น้าฟักทอง
ฟักทองอุดมไปด้วยสารเบต้าแคโรทีน ช่วยป้องกันมะเร็ง ช่วยควบคุมระดับน้าตาลในเลือดและช่วยป้องกัน
โรคเบาหวาน ความดันโลหิต ช่วยบารุงนัยน์ตา บารุงตับและไต ช่วยสร้างเซลล์ใหม่ทดแทนเซลล์ที่ตายไปทาให้ทางานได้
อย่างมีประสิทธิภาพ
28
น้ามะเขือเทศ
มะเขือเทศมีเบต้าแคโรทีนสูงมาก จึงช่วยบารุงสายตา ต่อต้านมะเร็ง (โดยเฉพาะมะเร็งต่อมลูกหมาก) มีวิตามินซี
สูงที่ช่วยเสริมภูมิต้านทางให้กับร่างกาย ช่วยป้องกันโรคเลือดออกตามไรฟัน ช่วยบารุงผิวพรรณให้ผ่องใส ทาให้ผิวไม่
เหี่ยวย่น ช่วยในการย่อยอาหาร ฟอกเลือด ช่วยแก้อาการกระหายน้า ทาให้สดชื่น เป็นยาดับร้อนถอนพิษ แก้แผลร้อนใน
ช่องปาก ทาให้เลือดเย็น นอกจากนี้ยังมีวิตามินบี1 ซึ่งเป็นอาหารที่สาคัญในต่อพัฒนาการทางสมอง และยังพบไลโคปีนที่
อุดมไปด้วยแคลเซียมและฟอสฟอรัส ซึ่งช่วยในกระบวนการสร้างกระดูกและฟันให้แข็งแรง จึงช่วยป้องกันโรคกระดูกพรุน
ได้ดี ในปัจจุบันพบว่ามะเขือเทศมีฤทธิ์ป้องกันโรคความดันโลหิตสูง และยังเป็นอาหารของผู้ป่วยโรคหัวใจ ความดันโลหิต
และโรคตับอักเสบ เพราะการรับประทานเป็นประจาจะช่วยลดอาการของโรคดังกล่าวได้
น้ามะเขือเทศ
น้ามะระ
รสขมของมะระสามารถช่วยกระตุ้นน้าย่อยให้ออกมามากกว่าปกติ จึงช่วยทาให้เจริญอาหาร และยังมีวิตามิน
และแร่ธาตุสาคัญอีกหลายชนิด ที่ช่วยบารุงผิวพรรณ นอกจากนี้ยังเป็นยาระบายอ่อน ๆ ช่วยขับพยาธิ ช่วยลดระดับน้าตาล
ในเลือด ช่วยบารุงน้าดี แก้ตับ ม้ามอักเสบ และแก้อาการอักเสบจากพิษต่าง ๆ
น้ามะระ
29
น้ามะระขี้นก
มะระขี้นกมีวิตามินเอสูงมาก จึงช่วยบารุงสายตา ช่วยลดกรเกิดต้อกระจกซึ่งอาการจากเบาหวาน และมีสรรพคุณเป็นยา
เจริญอาหาร แก้ไข้ ลดไข้ ช่วยบารุงร่างกาย เป็นยาระบาย ช่วยรักษาเบาหวาน ลดระดับน้าตาลในเลือด แก้ปากเปื่อย
ปากเป็นขุย บารุงประจาเดือน
น้ามะระขี้นก
น้าลูกเดือย
ลูกเดือยมีฟอสฟอรัสสูงมาก จึงช่วยบารุงกระดูกได้เป็นอย่างดี รองลงมาคือมีวิตามินเอที่ช่วยบารุงสายตา บารุงธาตุใน
ร่างกาย ช่วยทาให้เจริญอาหาร เป็นอาหารสาหรับคนฟื้นไข้ มีฤทธิ์เป็นยาเย็น ช่วยแก้อาการร้อนใน เป็นยาขับปัสสาวะ
บารุงม้าม ไต และกระเพาะอาหาร รวมทั้งยังช่วยบารุงเลือดลมสาหรับสตรีหลังคลอด แก้อาการคลื่นไส้อาเจียน
น้าฟ้าทะลายโจร
มีสรรพคุณเป็นยาแก้ร้อนใน เจ็บคอ ตัวร้อน ปวดศีรษะ แก้ไข้หวัด ช่วยทาให้เจริญอาหาร รักษาโรคภูมิแพ้
(ห้ามใช้กับผู้ป่วยที่มีความดันต่าและมีอาการท้องอืด ท้องแน่น อาหารไม่ย่อย)
30
น้ามะตูม
มะตูมมีสรรพคุณเป็นยาระบาย ช่วยขับลม แก้อาการท้องอืดเฟ้อ ช่วยในการย่อยอาหาร ทาให้ขับถ่ายดี ช่วย
บารุงธาตุ ทาให้เจริญอาหาร ขับเสมหะ และช่วยแก้อาการร้อนในได้ดี
น้าว่านหางจระเข้
ว่านหางจระเข้มีประโยชน์ในเรื่องการช่วยบารุงร่างกาย แก้อาการอ่อนเพลีบ และช่วยให้ระบบขับถ่ายทางาน
อย่างเป็นปกติ
น้าเห็ดหลินจือ
เห็ดหลินจือมีสรรพคุณช่วยทาให้กล้ามเนื้อหัวใจแข็งแรง ทาให้พลังชีวิตมาก ทาให้มีกาลัง ช่วยบารุงร่างกาย
เป็นยาอายุวัฒนะ ส่งเสริมความจา ทาให้ประสาทสัมผัสต่าง ๆ ดีขึ้น ช่วยชะลอความแก่ ส่งเสริมการไหลเวียนของโลหิต
ทาให้ผิวพรรณเปล่งปลั่งสดใส นอกจากนี้เห็ดหลินจือยังมีสรรพคุณต้านมะเร็ง รักษาโรคตับ ขับปัสสาวะ แก้ความดัน
โลหิตสูง ช่วยปรับความโลหิตทั้งสูงและต่า แก้ภาวะการบุตรยาก เสื่อมสมรรถภาพทางเพศ รักษาโรคประสาท ภูมิแพ้
ลมบ้าหมู ตับแข็ง ตับอักเสบ ปวดประจาเดือน เป็นริดสีดวงทวาร อัมพฤกษ์ อัมพาต ปวดเมื่อย ปวดข้อ เป็นโรคเก๊าท์
โรคเอสแอลอี เส้นเลือดอุดตันในสมอง เส้นเลือดหัวใจตีบ ช่วยรักษาแผลในกระเพาะอาหารและลาไส้
31
น้าหญ้าหนวดแมว
มีสรรพคุณช่วยลดอาการปวดเมื่อย แก้ขัดเบา ขับปัสสาวะ และช่วยรักษาโรคไต
น้าอาร์ซี (Rejuvenating Concoction – R.C.)
น้าอาร์ซี คือ น้าดื่มที่มีส่วนผสมมาจากข้าวแดงจากข้าวซ้อมมือ ข้าวเหนียวซ้อมมือ ข้าวบาร์เล่ย์ ข้างฟ่าง ข้าว
สาลีเม็ด ข้าวโอ๊ต ลูกเดือย และลูกบัว โดยเป็นน้าดื่มที่ช่วยเพิ่มความกระปรี้กระเปร่า ช่วยบารุงร่างกาย แก้อาการ
อ่อนเพลีย ช่วยทาให้นอนหลับดี ช่วยให้กินอาหารได้ และช่วยป้องกันโรคเหน็บชา
น้าใบย่านาง
ย่านางจัดเป็นสมุนไพรอายุวัฒนะ ช่วยชะลอความแก่ชรา มีสารต้านอนุมูลอิสระสูง ช่วยลดระดับน้าตาลในเลือด
รักษาโรคความดันโลหิตสูง ช่วยลดความอ้วย ช่วยป้องกันและลดความเสี่ยงจากการเกิดโรคมะเร็ง ฯลฯ
หมายเหตุ : น้าผักในทางการค้าโดยทั่วไปแล้วจะทาขึ้นจากการปั่นผสมรวมกันผักหลายชนิดเพื่อช่วยเพิ่มรสชาติของน้าผัก
ให้ดีขึ้น
32
ประโยชน์ของผัก-ผลไม้ 5 สี
ผักผลไม้สีเขียว
โดยสารที่ให้สีเขียวก็คือสารคลอโรฟิลล์ และยังมีสารประกอบอื่น ๆ ที่มีคุณสมบัติบารุงสุขภาพ เช่น ลูทีน ที่เป็น
สารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยป้องกันมะเร็ง และลดการเกิดความเสื่อมของจอประสาทตาได้ เป็นต้น ผักผลไม้ในกลุ่มนี้ ได้แก่
กวางตุ้ง กะหล่าปลี ชะอม ผักคะน้า ผักโขม บล็อกโคลี่ ชมพู่เขียว แตงไทย ฝรั่ง พุทรา น้อยหน่า มะกอกน้า อะโวคาโด
องุ่นเขียว แอปเปิ้ลเขียว ฯลฯ
33
ผักผลไม้สีขาวหรือสีน้าตาล
จะมีสารฟลาโวนอยด์อยู่หลายชนิด ที่ช่วยต้านอนุมูลอิสระ ต้านการอักเสบ ลดการแบ่งตัวของเซลล์มะเร็ง ช่วยลด
อาการปวดข้อเข่า ซึ่งจะพบได้มากในเนื้อและเปลือกมังคุด แก้วมังกรเนื้อขาว ฝรั่ง แอปเปิ้ล และผลไม้อื่น ๆ เช่น กล้วย
เงาะ ลางสาด ลองกอง ลิ้นจี่ พุทรา เป็นต้น
ผักผลไม้สีเหลืองหรือสีส้ม
จะมีสารเบต้าแคโรทีนฟลาโวนอยด์ วิตามินซี ที่ช่วยต้านอนุมูลอิสระ ต้านการอักเสบและเพิ่มระบบภูมิคุ้มกัน ช่วย
ป้องกันและลดความเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็ง กระตุ้นการกาจัดเซลล์มะเร็งของร่างกาย ช่วยดูแลรักษาสุขภาพหัวใจ
หลอดเลือด และระบบภูมคุ้มกันภายในร่างกาย ผักผลไม้ในกลุ่มนี้ ได้แก่ ข้าวโพด แครอท ฟักทอง กล้วย ขนุน แคนตา
ลูปสีเหลือง มะละกอสุก ส้ม สับปะรด แอปริคอต เป็นต้น
34
ผักผลไม้สีแดงหรือสีชมพูอมม่วง
จะมีสารในกลุ่ม Lycopene และ Betalainซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็ง
โดยเฉพาะมะเร็งต่อมลูกหมากของผู้ชาย ช่วยบารุงหัวใจและหลอดเลือด ช่วยปริมาณของไขมันร้าย ( LDL) ภายในเลือด
และบารุงระบบทางเดินปัสสาวะ โดยจะพบอยู่ในผักผลไม้จาพวกดอกกระเจี๊ยบ แก้วมังกรเนื้อชมพู แตงโม ตะขบ ชมพู่แดง
เชอร์รี่ มะเขือเทศ มะละกอเนื้อแดง หัวบีทรูท หัวหอม สตรอเบอร์รี่ แอปเปิ้ลแเดง เป็นต้น
35
ผักผลไม้สีม่วงแดงหรือสีม่วงหรือสีน้าเงิน
จะอุดมไปด้วยสารแอนโทไซยานิน ( Anthocyanin) และกลุ่ม Polyphenol ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วย
ชะลอความเสื่อมของเซลล์ ป้องกันการทาลายของรังสีอัลตร้าไวโอเลต ช่วยปกป้องทุกเซลล์ให้พ้นภัยจากเซลล์มะเร็งตัวร้าย
ช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นให้แก่ผนังหลอดเลือด ช่วยลดการเกิดไขมันอุดตันในหลอดเลือดและโรคหลอดเลือดหัวใจแข็งตัว ช่วย
ยับยั้งเชื้ออีโคไลในทางเดินอาหารที่ทาให้เกิดท้องเสีย ช่วยต้านไวรัส และลดการอักเสบได้ ผักผลไม้กลุ่มนี้ได้แก่ กะหล่าปลี
ม่วง ข้าวเหนียวดา ข้าวแดง ข้าวนิล ชมพู่มะเหมี่ยว ชมพู่แดง ถั่วดา ถั่วแดง เผือก มันสีม่วง มะเขือม่วง หอมแดง ดอก
อัญชัน น้าว่านกาบหอย ลูกหว้า ลูกไหน ลูกพรุน บลูเบอร์รี่ แบล็กเบอร์รี่ แครนเบอร์รี่ องุ่นแดง องุ่นม่วง เป็นต้น
36
คาแนะนาในการรับประทานผักผลไม้
ควรเลือกรับประทานผักผลไม้ให้หลากหลายสีสัน หรือรับประทานให้ครบทั้ง 5 สี เนื่องจากผักผลไม้แต่ละสีจะมี
คุณค่าทางอาหารที่แตกต่างกันออกไป ไม่ควรรับประทานผักผลไม้ซ้า ๆ เดิม ๆ
ให้เลือกรับประทานผักผลไม้โดยดูจากความหวาน โดยควรเลือกรับประทานชนิดที่มีรสหวานจัด (ขนุน , ลิ้นจี่,
มะม่วงสุก, ทุเรียน, ลาไย), รสหวานปานกลาง (เงาะ, มะม่วงดิบ, ส้ม, สับปะรด,), และรสหวานน้อย (ชมพู่ , ส้มโอ, แอป
เปิ้ล) สลับกันไป ทั้งนี้ก็เพื่อไม่ทาให้ร่างกายได้รับน้าตาลมากจนเกินไปด้วย
เปลือกผลไม้บางชนิดก็มีประโยชน์มากนะครับ ปอกทิ้งไปก็เสียดาย อย่างเช่นเปลือกแอปเปิ้ล นักวิจัยพบว่าเปลือก
แอปเปิ้ลแดงหนึ่งผลมีสารต้านอนุมูลอิสระเทียบเท่ากับวิตามินซี 820 มิลลิกรัม หรือเปลือกมันฝรั่งที่อุดมไปด้วยไปใย
อาหารและแร่ธาตุบางชนิดมากกว่าเนื้อมันฝรั่งเสียอีก เป็นต้น
ก่อนนาผักผลไม้มารับประทานคุณควรนามาล้างให้สะอาดเสียก่อน ทั้งนี้ก็เพื่อความปลอดภัยจากสารเคมีต่าง ๆ
รวมถึงยาฆ่าแมลงด้วยครับ อ่านบทความเรื่องการล้างผักได้ที่ 16 วิธีการล้างผักผลไม้ให้สะอาด
37
การเลือกรับประทานผัก-ผลไม้
ผักผลไม้ชนิดใดที่ ดีที่สุด ไม่มีชนิดใดดีที่สุดครับ เพราะสารสาคัญในผักผลไม้ชนิดต่าง ๆ จะทางานออกฤทธิ์
ส่งเสริมเกื้อหนุนกัน
ผักดิบกับผักสุก มีประโยชน์เหมือนกันหรือไม่? ผักสุกอาจสูญเสียวิตามินบางชนิดได้ เช่น วิตามินซี ที่สลายตัวได้
ง่ายเมื่อถูกความร้อน แต่บางคนอาจประสบปัญหาท้องผูกจากการรับประทานผักดิบได้ หรือมีอาการท้องเสียเพราะล้างผัก
ไม่สะอาด แต่ผักบางชนิดเองหากรับประทานแบบสุกก็จะมีประโยชน์มากกว่า เช่น มะเขือเทศที่ผ่านการปรุงสุกหรือผ่าน
กระบวนต่าง ๆ เพราะร่างกายจะนาไลโคปีนไปใช้ได้ดีกว่าแบบดิบหรือสดครับ
น้าผักผลไม้มีประโยชน์เหมือนผักผลไม้สด ๆ หรือไม่ ? น้าผักผลไม้จะไม่มีกากใยอาหารเหมือนกับการ
รับประทานแบบสด ๆ แต่สาหรับผู้ที่ไม่ค่อยได้รับประทานผักผลไม้สดก็อาจดื่มน้าผักผลไม้เสริมก็ได้ แต่ถ้าจะให้ดีควรคั้น
ดื่มเอง เนื่องจากน้าผักผลไม้สาเร็จรูปจะมีปริมาณของน้าตาลที่สูง
ผักผลไม้แห้งดีหรือไม่ดี ? ผักผลไม้แห้งบางอย่างที่เติมเกลือ ก็จะมีผลต่อโรคความดันโลหิตสูง จึงควร
รับประทานแต่น้อย ส่วนผักผลไม้แห้งที่ใส่น้าตาลจะให้พลังงานสูงกว่าผักผลไม้สดประมาณ 1 เท่าตัว แต่ถ้ารับประทาน
มากก็ทาให้อ้วนได้เช่นกัน
38
ผักผลไม้บรรจุกระป๋องหรือแช่แข็ง มีประโยชน์หรือไม่ ? กระบวนการผลิตที่มีประสิทธิภาพสามารถรักษาคุณค่า
ทางโภชนาการเอาไว้ได้ แต่ก็อาจทาให้สูญเสียวิตามินบางชนิดไปบ้าง แต่ก็ไม่ถึงกับเสื่อมคุณภาพเสียทีเดียว อย่างไรก็
ตามถ้าเป็นผักผลไม้กระป๋องก็ควรเลือกชนิดที่ไม่เติมเกลือและน้าตาล หรือเลือกชนิดที่ใส่สารแต่งเติมให้น้อยที่สุด ส่วนผัก
ผลไม้แช่แข็งก็ต้องเก็บไว้ในอุณหภูมิที่เหมาะสมเท่านั้น
สารสกัดจากผักผลไม้สามารถทกแทนผักไม้สดได้หรือไม่ ? ผักผลไม้แปรรูปที่อยู่ในรูปของอาหารเสริมหรือสาร
สกัดไม่สามารถทดแทนการรับประทานผักผลไม้สดได้ หรือผักผลไม้สดจะมีทั้งกากใบ วิตามิน และเกลือแร่มากมายหลาย
ชนิด
สัดส่วนของการรับประทานผักผลไม้ต่อวันคือ ให้รับประทานผัก 3 ส่วน และผลไม้อีก 2 ส่วน
(รับประทานผักมากกว่าผลไม้)
ผักผลไม้บางอย่างอาจมีสารพิษในตัวมันเอง ถ้ารับประทานในปริมาณน้อยก็อาจจะไม่ก่อให้เกิดพิษ แต่หาก
รับประทานในปริมาณมากอาจจะเป็นพิษได้ หรือบางชนิดก็รับประทานแบบดิบ ๆ ไม่ได้ ต้องนามาทาให้สุกหรือผ่าน
กระบวนการให้ความร้อนเสียก่อน สารพิษจึงจะสลายตัว
ผักผลไม้บางชนิดอาจมีสารหรือแร่ธาตุบางชนิดในปริมาณสูง ซึ่งอาจก่อให้เกิดโทษกับผู้ป่วยโรคเรื้อรังบางโรค
ได้ ซึ่งผู้ป่วยเรื้อรังก็ควรพึงระวังด้วยครับ เช่น ผู้ป่วยโรคไตควรหลีกเลี่ยงการรับประทานผักผลไม้ที่มีกรดออกซาลิกสูง
(Oxalic acid) เช่น มันสาปะหลัง ผักโขม ผักแพว ปวยเล้ง ใบชะพลู แครอท เป็นต้น หรือผู้ป่วยธาลัสซีเมีย ควร
หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารที่มีธาตุเหล็กสูง เช่น ถั่วฝักยาว ผักกูด ผักแว่น แมงลัก กะเพรา เป็นต้น หรือผู้ป่วยโรค
ไทรอยด์ควรหลีกเลี่ยงการรับประทานกะหล่าปลี เป็นต้น (โดยเรื่องนี้เราจะกล่าวโดยละเอียดในบทความหน้าครับ จะได้
ทราบว่าผู้ป่วยโรคใดบ้างที่ควรงดรับประทานผักผลไม้บางชนิด และทาไมถึงควรงดรับประทาน)
39
อาหารตามกรุ๊ปเลือด
กรุ๊ป O
คนกรุ๊ปโอ จะเป็นคนที่กินเนื้อได้เยอะที่สุด เนื่องจากกระเพาะมีความเป็นกรดสูง ทาให้ย่อยอาหารจาพวกเนื้อได้
ดีกว่ากรุ๊ปอื่น ๆ แถมยังดูดซึมสารอาหารได้ดี สามารถนาไปใช้ในส่วนต่าง ๆ ของร่างกายได้เป็นอย่างดี แต่เพื่อความ
สมดุลของร่างกาย จึงไม่ควรกินเนื้อมากเกินไป โดยมีวิธีแก้คือกินผักให้มากขึ้น หรือกินในอัตราส่วนครึ่งหนึ่งของอาหาร
แต่ละมื้อ อีกเรื่องหนึ่งที่สาคัญก็คือ คนกรุ๊ปเลือดโอมักจะมีปัญหาเรื่องระดับฮอร์โมนไทรอยด์ไม่คงที่ จึงทาให้อ้วนได้ง่าย
หากต้องการลดน้าหนักควรเลือกที่จะงดคาร์โบไฮเดรต เช่น ข้าว, แป้ง, น้าตาล รวมไปถึงถั่วชนิดต่าง ๆ เพราะจะทาให้
น้าหนักขึ้นง่ายกว่าปกติ และควรระมัดระวังในเรื่องของเลือดแข็งตัวช้า เพราะคนกรุ๊ปนี้จะมีเลือดที่มีความเหลวมากที่สุด
ดังนั้นจึงควรรับประทานอาหารที่มีวิตามินเคด้วย เพื่อช่วยทาให้เลือดแข็งตัวได้เร็วขึ้น ส่วนการออกกาลังกายให้เน้นการ
เล่นกีฬาที่ออกแรงมาก ๆ เช่น วิ่ง ปั่นจักรยาน เต้นแอโรบิก ว่ายน้า ก็จะช่วยเผาผลาญแคลอรีได้เป็นอย่างดี
อาหาร
อาหารที่เหมาะกับคนกรุ๊ปโอจะเป็นเนื้อสัตว์แทบทุกชนิด รวมไปถึงอาหารทะเลต่าง ๆ ที่มีไอโอดีนสูง แต่ต้อง
ระวังเรื่องไขมันและคอเลสเตอรอลจากเนื้อสัตว์ด้วย ดังนั้นจึงควรกินนม เนย และไข่ในปริมาณที่พอเหมาะและหมั่นออก
กาลังกายเป็นประจา
40
ผัก
กินได้แทบทุกชนิด โดยเฉพาะผักโขม บรอกโคลี เนื่องจากมีวิตามินเคสูง แต่ควรหลีกเลี่ยงผักตระกูลกะหล่า
เนื่องจากมีผลต่อไทรอยด์ รวมไปถึงมะกอกดองและเห็ดหอม เพราะจะทาให้เกิดอาการแพ้ ส่วนมะเขือยาวและมันฝรั่งก็ควร
หลีกเลี่ยงเช่นกัน เพราะจะทาให้ปวดข้อ
ผลไม้
กินได้แทบทุกชนิดเช่นกัน โดยเฉพาะเชอร์รี่และบลูเบอร์รี่ รวมไปถึงผลไม้ตระกูลเกรปฟรุต เนื่องจากสามารถช่วย
ลดน้าหนักได้ดี ส่วนผลไม้ที่ควรเลี่ยงคือ ส้ม สตรอว์เบอร์รี่ มะพร้าว แคนตาลูป เพราะมีความเป็นกรดสูง ถ้ากินมาก ๆ จะ
ทาให้มีกรดในกระเพาะมากเกินไป
เครื่องดื่ม
ควรเป็นชาจากสมุนไพรต่าง ๆ เช่น ชาพาร์สลีย์ชาเปปเปอร์มินต์ ส่วนชาที่ควรงดคือ ชาที่ทาจากใบชา และงด
การดื่มกาแฟ ชา เบียร์ เพราะจะเป็นการเพิ่มกรดในกระเพาะอาหารให้หนักเข้าไปอีก
อาหารที่คนกรุ๊ปโอควรรับประทานบ่อยครั้ง
เนื้อแกะ, เนื้อวัว, ปลาค้อด, ปลาเทราต์, ปลาจะละเม็ด, ปลากะพงแดง, ผักโขม, บรอกโคลี่, พาร์สลีย์, สาหร่าย
ทะเล, เชอร์รี่, บลูเบอร์รี่, สับปะรด, ชาเขียว, น้ามันมะกอก, กระเทียม, ขิง, ขมิ้น, หอมหัวใหญ่, หอมหัวเล็ก, ถั่ววอลนัต
เป็นต้น
อาหารที่คนกรุ๊ปโอควรงดหรือหลีกเลี่ยง
แฮม, เบคอน, ปลาดุก, นมและผลิตภัณฑ์จากนม, ข้าวสาลี, ข้าวบาร์เลย์, ข้าวโพด, ดอกกะหล่า, แตงกวา, มัน
ฝรั่ง, กีวี, แคนตาลูป, มะขาม, มะพร้าว, อะโวคาโด, แบล็กเบอร์รี่, ส้ม, พริกไทย, น้ามันถั่วเหลือง, ถั่วลิสง, ถั่วแดง,
ถั่วพิสตาชิโอ, ถั่วขาว, เมล็ดทานตะวัน, เม็ดมะม่วงหิมพานต์, เบียร์ เป็นต้น
เมนูอาหารของคนกรุ๊ปโอ
ผัดบรอกโคลี่กุ้งย่างแบบจีน , ข้าวผัดผักรวมกับหมูย่างกะเพรา , ข้าวหุงขมิ้นไก่โหระพา , หมูอบขิง, ตับหวาน,
สลัดปลากะพงขาวซอสเลมอน, ข้าวอบสับปะรดปลา, ไก่ทอดกระเทียมกับขมิ้น, สเต๊กปลาเทราต์อบสมุนไพร, ยาสาหร่ายวา
กาเมะกับกุ้งกระเทียมย่าง , ซุปหอมหัวใหญ่ปลากะพง , ซุปสาหร่ายตุ๋นดอกไม้จีน , ซุปบรอกโคลี่, เนื้อทอดกระเทียมยา
ตะไคร้สด, ปลาหมึกชุบแป้งทอด, เนื้อสันในม้วนผักโขม, พุดดิ้งชาเขียว, แพนเค้กมิกซ์เบอร์รี่, สมูทตี้บลูเบอร์รี่แอนด์เชอร์รี่
, น้าลูกพรุน เป็นต้น
กรุ๊ป A
41
คนกรุ๊ปเอ เรียกได้ว่าเป็นนักมังสวิรัติเลยก็ว่าได้ เพราะคนกรุ๊ปเลือดเอจะกินเนื้อสัตว์ได้น้อยที่สุดและต้องกินผัก
ที่สุด เนื่องจากมีกรดในกระเพาะอาหารต่ามากและมีความเข้มข้นของเลือดสูง ถ้ากินเนื้อสัตว์บ่อย ๆ จะทาให้เลือดหนืดและ
ไหลเวียนช้า ทาให้เป็นโรคหัวใจได้ และยังมีโอกาสเสี่ยงเป็นโรคมะเร็งและเบาหวาน รวมไปถึงปัญหาเรื่องระบบภูมิคุ้มกัน
ของร่างกายที่ทางานได้ไม่เต็มที่ สาหรับผู้ที่ต้องการลดน้าหนัก การรับประทานมังสวิรัติจะช่วยทาให้เห็นผลได้เร็วมาก
แถมยังช่วยเพิ่มภูมิต้านทานให้กับร่างกายอีกด้วย ส่วนการออกกาลังกายให้เน้นออกกาลังกายแบบเบา ๆ ไม่ออกแรงมาก
นัก เช่น โยคะ และเมื่อมีความเครียดก็แก้ไขได้ด้วยการนั่งสมาธิเป็นประจา
อาหาร
ควรหลีกเลี่ยงการกินเนื้อสัตว์ต่าง ๆ ยกเว้นปลาแซลมอน ปลาทู ปลาค้อด ปลากะพง และปลาซาร์ดีน ที่สามารถ
กินได้สัปดาห์ละ 3-4 ครั้ง เพื่อช่วยเสริมโปรตีน และควรหลีกเลี่ยงการรับประทานปลาจะละเม็ดและปลาตาเดียว เนื่องจาก
มีเลกตินสูง จะทาให้เลือดหนืดและไหลเวียนช้า ส่วนโปรตีนควรได้รับจากถั่วเหลืองหรือน้านมถั่วเหลืองทดแทนจากเนื้อสัตว์
ส่วนไข่กินได้บางครั้ง ข้าวกล้องหรือซีเรียลกินได้วันละ 1-2 ครั้ง
ผัก
สามารถกินได้ทั้งดิบและสุก โดยเฉพาะบรอกโคลี หอมหัวใหญ่ เพราะมีสารต้านอนุมูลอิสระสูง รวมไปถึงแคร์
รอต ผักโขม และกระเทียม ที่ช่วยกระตุ้นการสร้างภูมิคุ้มกัน และฟักทองที่ช่วยเรื่องกรดในกระเพาะอาหาร
ผลไม้
กินผลไม้ได้แทบทุกชนิด ยกเว้น กล้วย แคนตาลูป แตงโม มะม่วง มะละกอ ส้ม เพราะย่อยได้ยาก เป็นตัว
ขัดขวางการดูดซึมของวิตามิน และทาให้ระคายเคืองกระเพาะ
เครื่องดื่ม
ที่แนะนาให้ดื่ม คือ ชา กาแฟ และไวน์แดง (แต่กาแฟไม่ควรดื่มเกินวันละ 1 แก้ว) โดยควรดื่มหลังอาหารเท่านั้น
เพื่อช่วยในการย่อยอาหาร เพราะเป็นเครื่องดื่มที่ช่วยเพิ่มกรด และควรหลีกเลี่ยงการดื่มเบียร์ โซดา และน้าอัดลม เพราะจะ
ทาให้มีกรดในกระเพาะมากเกินไป
42
อาหารที่คนกรุ๊ปเอควรรับประทานบ่อยครั้ง
ปลาแซลมอน, ปลาค้อด, ปลาซาร์ดีน, บรอกโคลี, เซเลอรี่, พาร์สลีย์, ผักโขม, กระเทียม, ขิง, ขมิ้น,
หอมหัวใหญ่, หอมเล็ก, เลมอน, สับปะรด, ลูกพลัม, ลูกพรุน, ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ , น้ามันมะกอก, ถั่วเหลืองและ
ผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง, ถั่ววอลนัต, ชาเขียว เป็นต้น
อาหารที่คนกรุ๊ปเอควรงดหรือหลีกเลี่ยง
หมู, เป็ด, แฮม, เบคอน, กุ้งมังกร, ปู, ปลากะตัก, ปลาลิ้นหมา, ปลาดุก, หอยนางรม, หอยแครง, นมและ
ผลิตภัณฑ์จากนม, กะหล่าปลี, มะระ, มะเขือม่วง, มะเขือเทศ, พริกไทย, จมูกข้าว, ข้าวโพด, มันฝรั่ง, กล้วย, มะม่วง,
มะละกอ, มะขาม, มะพร้าว, ส้ม, น้ามันถั่วเหลือง, เม็ดมะม่วงหิมพานต์, ถั่วพิสตาชิโอ, ถั่วแดง เป็นต้น
เมนูอาหารของคนกรุ๊ปเอ
ข้าวผัดปลาซาร์ดีนต้มยา, ข้าวจี่กุ้งสับ, ข้าวยาธัญพืช, ยาแซลมอนสดกับกระเทียม, ยาใบชะพลูกุ้งคั่ว , เปาะเปี๊ยะ
ญวนแซลมอน, ฟองเต้าหู้ทอดผัดวุ้นเส้น, พล่าเต้าหู้กรอบ, ซุปเต้าหู้รสจัด, ซุปฟักทอง, ซุปถั่วเขียว, เผือกบดทอดสอดไส้กุ้ง
, เต้าหู้อบหม้อดิน, ไก่อบยัดไส้ผักโขมและลูกพรุน , ปลาบดทอดกรอบ , สเต๊กแซลมอนราดซอสเต้าหู้ , ถั่วเขียวต้มน้าตาล ,
ไอศกรีมนมถั่วเหลืองโฮมเมด, ไอศกรีมน้าเต้าหู้, ชาเขียวเย็นโซดา, เกรปฟรุตมะนาวสมูทตี้ เป็นต้น
กรุ๊ป B
คนกรุ๊ปบี เป็นกรุ๊ปที่ค่อนข้างมีความยืดหยุ่นทางอาหารสูง คือ กินได้ทั้งเนื้อสัตว์และผักในปริมาณที่พอดี ไม่มาก
หรือน้อยจนเกินไป เพราะมีความเข้มข้นของเลือดอยู่ในระดับกาลังดี แต่ปัญหาคือ จะเป็นคนอ้วนง่ายและภูมิคุ้มกันบกพร่อง
ง่าย บางรายอาจมีปัญหาเรื่องการติดเชื้อไวรัสต่าง ๆ มีระบบประสาทไม่ค่อยดี มีอาการปวดตามข้อเป็นประจา และมี
โอกาสเกิดโรคภูมิแพ้ตัวเอง แต่คนกรุ๊ปเลือดบีจะไม่มีแนวโน้มเป็นโรคมะเร็งหรือโรคหัวใจเหมือนคนกรุ๊ปเอ สาหรับผู้ที่
ควบคุมน้าหนักควรหลีกเลี่ยงข้าวโพด งา ถั่ว และมะเขือเทศ เพราะมีผลต่อการสร้างอินซูลินและระบบเผาผลาญอาหาร
การออกกาลังกายควรออกกาลังกายแบบไม่หักโหมมากนัก แต่ก็ไม่เบาจนเกินไป เช่น เล่นเทนนิส ศิลปะป้องกันตัว การ
ปีนเขา เป็นต้น
อาหาร
43
อาหารที่เหมาะสมคือ เนื้อกระต่าย แกะ กวาง ไก่งวง ปลาหิมะ ปลาแซลมอน ปลาเนื้อขาวอย่างปลาจะละเม็ด
ปลาตาเดียว ส่วนเนื้อไก่ กุ้ง ปู หอยเชลล์ และหอยแครงควรจะหลีกเลี่ยง เพราะมีผลต่อการทางานของระบบต่าง ๆ ใน
ร่างกาย ส่วนนม เนย และไข่ กินได้ในปริมาณที่เหมาะสม ควรเน้นกินข้าวกล้อง ข้าวโอ๊ต และหลีกเลี่ยงแป้งสาลี แป้งโฮล
วีต และถั่วลิสง เพราะไม่ดีต่อระบบเผาผลาญ ทาให้อ้วนได้ง่ายและส่งผลไม่ดีต่อเลือด ดังนั้นจึงไม่ควรกินขนมปังแบบที่มี
ขายอยู่ทั่วไป ถ้าอยากกินจริง ๆ ให้เลือกที่ทาจากแป้งสเปลท์ (Spelt) เพราะจะช่วยต้านเชื้อโรคและบารุงประสาท แต่จะ
หาได้ยากหน่อยนะ
ผัก
ที่ควรกินคือ กะหล่าปลี บรอกโคลี หอมหัวใหญ่ ขิง รวมไปถึงผักใบเขียวทุกชนิด เพราะมีแมกนีเซียมสูง
สามารถช่วยป้องกันอาการผื่นคันและภูมิแพ้ได้
ผลไม้
กินได้แทบทุกชนิด โดยเฉพาะ “สับปะรด” เนื่องจากมีเส้นใยอาหารสูง แถมยังช่วยทาให้เลือดหมุนเวียนได้ดีอีก
ด้วย แต่ผลไม้ที่ควรจะหลีกเลี่ยงคือ ลูกพลับ ลูกแพร์ และทับทิม
เครื่องดื่ม
ที่แนะนาให้ดื่มคือ น้าขิง ชาเชียว โสม และเปปเปอร์มินต์ เพราะช่วยบารุงประสาท
อาหารที่คนกรุ๊ปบีควรรับประทานบ่อยครั้ง
เนื้อแกะ, เนื้อแพะ, ปลาจะละเม็ด, ปลาซาร์ดีน, ปลาค้อด, กะหล่าปลี, บรอกโคลี่, ขิง, ขมิ้น, หอมหัวใหญ่, หอม
เล็ก, แครนเบอร์รี่, สับปะรด, ลูกพลัม, ลูกพรุน, แตงโม, เมล็ดแฟล็กซ์, น้ามันมะกอก, ชาเขียว, โยเกิร์ต เป็นต้น
อาหารที่คนกรุ๊ปบีควรงดหรือหลีกเลี่ยง
แฮม, เบคอน, ไก่, เป็ด, ปลากะพง, ปู, กุ้งมังกร, หอยนางรม, ข้าวโพด, มะพร้าว, ทับทิม, อะโวคาโด, มะเขือ
เทศ, ซอสมะเขือเทศ, มะระ, มะเฟือง, หัวไชเท้า, พริกไทย, ข้าวสาลี, งา, ถั่วลิสง, ถั่วเหลือง, ถั่วเขียว, ถั่วพิสตาชิโอ,
เมล็ดทานตะวัน, เมล็ดฟักทอง, เมล็ดมะม่วงหิมพานต์, ดอกคาฝอย เป็นต้น
เมนูอาหารของคนกรุ๊ปบี
กะหล่าปลีทอดน้าปลา, ข้าวผัดขมิ้นปลาทูน่า, ทอดมันข้าวกล้อง, หน่อไม้ฝรั่งทอดกรอบ, ปลาเก๋าชุบแป้งทอดราด
ซอสส้ม, ปลาจะละเม็ดทอดขมิ้น, ปลาจะละเม็ดนึ่งขิง, สเต๊กหมูซอสโยเกิร์ต, เปาะเปี๊ยะย่างไส้หมูพริกเผา , ซี่โครงหมูต้มขิง
กับสับปะรด, เนื้ออบสับปะรด, สตูแกะสไปซี่, ถั่วแดงกวน, แพนเค้กข้าวกล้องกับคัสตาร์ดชาเชียว , สมูทตี้แตงโมมินต์ ,
สับปะรดนมสดสมูทตี้, ไอศกรีมโยเกิร์ตน้าผึ้ง เป็นต้น
44
กรุ๊ป AB
คนกรุ๊ปเอบี เป็นกรุ๊ปที่ผสมระหว่างกรุ๊ปเอและบี ดังนั้นจึงกินอาหารที่ใกล้เคียงกับสองกรุ๊ปนี้ได้ เพียงแต่จะกิน
เนื้อสัตว์ได้น้อยกว่าคนกรุ๊ปบี และไม่ต้องกินผักมากเท่ากับคนกรุ๊ปเอ เพราะคนกรุ๊ปเลือดเอบีมีกรดในกระเพาะอาหารต่า ที่
สาคัญคือควรงดอาหารหมักดองทุกชนิด เพราะไม่ดีต่อสุขภาพ และมักมีปัญหาเรื่องระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ เสี่ยงเป็น
โรคหัวใจ มะเร็ง และเบาหวาน ส่วนใครที่กาลังควบคุมน้าหนักก็ให้เน้นรับประทานผักใบเขียวให้มาก ๆ สามารถกินข้าว
และขนมปังได้บ้าง เพราะแป้งไม่มีผลทาให้คนกรุ๊ปนี้อ้วนได้ง่ายเหมือนคนกรุ๊ปโอ ในเรื่องของการออกกาลังกาย ให้เน้น
การออกกาลังกายแบบเบา ๆ ด้วยการเดินช้า ๆ เล่นโยคะ เป็นต้น
อาหาร
อาหารที่ควรรับประทาน คือ เต้าหู้ ผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง ปลาซาร์ดีน ส่วนเนื้อสัตว์ที่กินได้เล็กน้อย คือ เนื้อแกะ
กระต่าย กวาง และไก่งวง ส่วนเนื้อไก่ ปลาเนื้อขาว อย่างปลาเทราต์ ปลาลิ้นหมา และแซลมอนรมควันควรหลีกเลี่ยง
เพราะย่อยยากและเป็นพิษต่อระบบทางเดินอาหาร
ผัก
กินผักได้แทบทุกชนิด ส่วนธัญพืชแนะนาให้กินข้าวโอ๊ตและข้าวไรย์ เพราะมีประโยชน์ต่อร่างกาย แต่ควร
หลีกเลี่ยงงา ถั่วแดง เมล็ดฟักทอง และข้าวโพด เพราะชะลอการทางานของอินซูลิน
ผลไม้
กินได้แทบทุกชนิดเช่นกัน เช่น แครนเบอร์รี่ เชอร์รี่ สับปะรด ส้มโอ พลัม องุ่น ฯลฯ เพราะช่วยสร้างความสมดุล
ของกรดในเนื้อเยื่อ ส่วนผลไม้ที่ควรหลีกเลี่ยงคือ กล้วย ฝรั่ง มะม่วง และมะพร้าว
เครื่องดื่ม
ที่แนะนาคือ ไวน์แดง แต่ควรดื่มเพียงวันละ 1 แก้ว เพื่อช่วยสร้างเสริมภูมิต้านทานโรคหัวใจและมะเร็ง รวมไป
ถึงชาคาโมมายล์และชาเขียว เพราะช่วยฟื้นฟูระบบภูมิคุ้มกัน หรือจะเป็นน้าอุ่นผสมน้ามะนาวครึ่งซีกไว้สาหรับดื่มตอนเช้า
เพื่อช่วยในการย่อยและล้างระบบลาไส้ก็ได้
45
อาหารที่คนกรุ๊ปเอบีควรรับประทานบ่อยครั้ง
ปลาซาร์ดีน, กะหล่าปลี, ดอกกะหล่า, บรอกโคลี, พาร์สลีย์, กระเทียม, ขิง, ขมิ้น, หอมหัวใหญ่, หอมเล็ก, แค
รนเบอร์รี่, เชอร์รี่, เลมอน, สับปะรด, องุ่น, ถั่วเหลือง, เมล็ดแฟล็กซ์, วอลนัต, น้ามันมะกอก, ชาเขียว, โยเกิร์ต เป็นต้น
อาหารที่คนกรุ๊ปเอบีควรงดหรือหลีกเลี่ยง
แฮม, เบคอน, ไก่, เป็ด, ปู, ปลาลิ้นหมา, ปลาเทราต์, กุ้ง, กุ้งแห้ง, กุ้งมังกร, หอยนางรม, มะระ, หัวไชเท้า,
พริกไทย, งา, เมล็ดฟักทอง, เมล็ดทานตะวัน, ข้าวโพด, มันสาปะหลัง, ถั่วแดง, ถั่วเขียว, กล้วย, มะพร้าว, มะม่วง, ส้ม,
อะโวคาโด, ดอกคาฝอย เป็นต้น
เมนูอาหารของคนกรุ๊ปเอบี
ข้าวกล้องหุงดอกกะหล่า, บรอกโคลีผัดหมูน้าแดง, ปลากะพงผัดขิง, ปลากะพงทอดราดซอสกระเทียม , ปลาย่าง
พาร์สลีย์ซอสซาวร์ครีม, สลัดแซลมอนสดกับมายองเนสวาซาบิ, สลัดครีมทูน่า, ยาเต้าหู้เย็นซอสเลมอนสไปซี่ , ยาเนื้อย่างกับ
องุ่น, ลาบปลากระป๋อง , เต้าหู้ทอดผัดพริกสด , เต้าหู้ย่างซอสเทอริยากิ , ซุปเต้าหู้เห็ดหอม , ซุปดอกกะหล่า, ซุปครีมทูน่า,
กะหล่าปลีตุ๋นปลาเค็ม , สเต๊กหมูกระเทียมอบวอลนัต , วุ้นน้าเต้าหู้แมงลัก , เชอร์รี่ปั่นกับโยเกิร์ต , กล้วยหอมนมถั่วเหลือง
ช็อกโกแลตสมูทตี้ เป็นต้น
หมายเหตุ : อาหารที่แนะนาให้รับประทาน หมายถึง อาหารที่กินได้บ่อย ๆ ส่วนอาหารที่ควรงดหรือหลีกเลี่ยง หมายถึง
อาหารที่ไม่ควรกินเลย แต่ถ้าจาเป็นต้องกิน ให้กินในปริมาณน้อย และพยายามกินอาหารที่เหมาะสมเข้าไปทดแทน
ในทันทีด้วย สาหรับอาหารอื่น ๆ ที่ไม่ได้ระบุไว้สามารถกินได้นาน ๆ ครั้ง
46
ผักลดความอ้วน
มะเขือ
สาว ๆ รู้ไหมคะว่ามะเขือนี่ถือเป็นผู้ช่วยลดน้าหนักอย่างดีเลยทีเดียวนะ เพราะว่ามะเขือจะมีสารอาหารที่เรียกว่า
ไบโอฟลาโวนอยด์ และโพแทสเซียม ซึ่งสารอาหารเหล่านี้จะช่วยคุมระดับคอเลสเตอรอลในร่างกายได้ รับรองเลยว่าถ้า
ใครกินมะเขือบ่อย ๆ ร่างกายจะเผาผลาญไขมันได้ดีขึ้นแน่นอน
หน่อไม้ฝรั่ง
หน่อไม้ฝรั่งถือเป็นแหล่งรวมของเส้นใยโฟเลต วิตามินซี อี เค บี 6 และแร่ธาตุชนิดอื่น ๆ ซึ่งสามารถที่จะช่วย
ลดคอเลสเตอรอลในร่างกายได้ดี แถมไม่ว่าจะเอามาผัด หรือนึ่งรับประทานกับน้าพริกก็อร่อย เรียกได้ว่าเป็นผักอีกหนึ่ง
ชนิดที่สาว ๆ ไม่ควรพลาดเลยล่ะค่ะ
ถั่วเหลือง
ถั่วเหลืองถือเป็นผักอีกชนิดหนึ่งที่จะช่วยลดน้าหนักได้ดี เพราะในถั่วจะอุดมไปด้วยคาร์โบไฮเดรต อีกทั้งยังมีเส้น
ใยสูง เมื่อรับประทานเข้าไปแล้วจะช่วยให้อิ่มนาน อีกทั้งยังจะช่วยลดคอเลสเตอรอลในเส้นเลือดได้อีกด้วย
ผักสลัด
ผักสลัดเป็นผักที่มีแคลอรีต่า กินแล้วจะช่วยทาให้ระบบย่อยอาหารในร่างกายทางานได้ดี ดังนั้นจึงไม่แปลกเลย
ที่ผักสลัดจะกลายเป็นเมนูยอดนิยมสาหรับผู้ที่กาลังลดความอ้วน
พริก
ความเผ็ดร้อนของพริกเป็นตัวสาคัญที่จะช่วยลดความอ้วนได้ดี ซึ่งในพริกจะมีสารที่ชื่อว่าแคปแซนติน ซึ่งสารนี้
จะช่วยให้การเผาผลาญไขมันในร่างกายทางานได้ดีและรวดเร็วยิ่งขึ้น แต่ทั้งนี้ก็ควรรับประทานแต่พอดี เพราะไม่อย่างนั้น
อาจจะส่งผลเสียทาให้ปวดท้องหรือท้องเสียได้
47
หอมหัวใหญ่
หอมหัวใหญ่มีคุณสมบัติที่จะช่วยเผาผลาญไขมันและลดไขมันได้ดี แต่ทั้งนี้สาหรับใครที่ไม่ชอบกลิ่นฉุน ๆ ของ
หัวหอม อาจจะนาไปปรุงให้สุกก่อนรับประทานจะทาให้มีรสหวานและทานง่ายยิ่งขึ้น
กระเทียม
กระเทียมเป็นผักที่รับประทานเข้าไปแล้วจะช่วยให้ระบบเผาผลาญไขมันในร่างกายทางานได้ดียิ่งขึ้น ดังนั้นควร
ใส่กระเทียมลงไปในอาหารแต่ละมื้อ เพราะเมื่อรับประทานบ่อย ๆ จะช่วยทาให้ระดับคอเลสเตอรอลในร่างกายลดลงได้
เป็นอย่างดี
กะหล่าปลี
กะหล่าปลีสามารถช่วยควบคุมน้าหนักได้ เพราะในกะหล่าปลีจะมีกรดทาร์ทาริก ซึ่งจะช่วยยับยั้งแป้งและน้าตาล
ไม่ให้เปลี่ยนเป็นไขมันได้ แต่ทั้งนี้หากจะรับประทานก็ควรปรุงให้สุกเสียก่อน เพราะถ้าหากกินดิบ ๆ บ่อย ๆ อาจทาให้
เป็นโรคคอหอยพอกเอาได้
มันเทศ
ในมันเทศมีคาร์โบไฮเดรตสูง กินแล้วจะช่วยให้อิ่มเร็วและอิ่มนาน และช่วยลดระดับไขมันในเส้นเลือดได้ดี ถือ
เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่สาว ๆ นิยมรับประทานในช่วงที่ต้องการควบคุมน้าหนัก
มะเขือเทศ
มะเขือเทศเป็นผักอีกชนิดหนึ่งที่รับประทานแล้วจะช่วยปรับฮอร์โมนในร่างกาย ทาให้รู้สึกอิ่มนานและไม่ค่อยหิว
อีกทั้งยังมีแคลอรีต่า ซึ่งนอกจากจะช่วยให้น้าหนักลดลงได้ง่าย ๆ แล้วยังจะช่วยให้ผิวพรรณดีขึ้นอีกด้วยนะสาว ๆ
ช่วงที่ลดความอ้วน นอกจากจะกินผักเหล่านี้เป็นตัวช่วยแล้ว ยังไงก็อย่าลืมออกกาลังกายกันด้วย
48
ผลไม้ลดนาหนัก
แอปเปิล
แอปเปิลเป็นผลไม้ที่อุดมไปด้วยไฟเบอร์ วิตามิน และเกลือแร่ที่ดีต่อร่างกาย ด้วยเหตุผลนี้แอปเปิลจึงเป็นผลไม้
ตัวแม่สุดจี๊ดที่ช่วยลดน้าหนัก เพราะไฟเบอร์จะช่วยให้คุณอิ่ม ไม่กินจุบจิบ ระบบการขับถ่ายก็จะดีเลิศ แถมยังมีวิตามินที่
ช่วยบารุงผิวพรรณให้สวยเปล่งปลั่งได้อีกต่างหาก
ลูกแพร์
ถ้าพูดถึงผลไม้ที่มีไฟเบอร์สูงปรี๊ด ลูกแพร์ก็คงติดอันดับผลไม้ที่ว่านั้นด้วย และอาจจะมีภาษีดีกว่านิดนึงตรงที่มี
โพแทสเซียมช่วยบารุงหัวใจ และสุขภาพร่างกายโดยรวมของเราได้เป็นอย่างดี เรียกได้ว่า กินลูกแพร์ลูกเดียวได้ทั้งความ
อิ่มท้อง รวมทั้งช่วยบารุงหัวใจไปด้วยในตัวเลยล่ะ
กล้วยน้าว้า
กล้วยน้าว้าเป็นผลไม้ที่มีทั้งไฟเบอร์ โพแทสเซียม และวิตามินบี 6 ที่สูงมาก เฉลี่ยแล้วกล้วยน้าว้า 1 ลูก จะให้
วิตามินบีกับร่างกายได้ถึง 30% เทียบเท่าปริมาณที่ร่างกายควรได้รับต่อวันเลยทีเดียว แล้ววิตามินบี 6 ดียังไงล่ะ ? จุดนี้
บอกได้เลยว่า วิตามินบี 6 มีส่วนช่วยกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันในร่างกาย ลดความเสี่ยงเป็นโรคหัวใจ และช่วยให้ร่างกาย
รู้สึกอิ่มนาน ดังนั้นใครที่กาลังไดเอตอยู่ กล้วยน้าว้าช่วยคุณได้เยอะเลยล่ะ
บลูเบอร์รี
ผลไม้ตระกูลเบอร์รีอย่างบลูเบอร์รีลูกเล็ก ๆ ก็มีอานุภาพในการบารุงดูแลร่างกายเราได้มากมาย เริ่มตั้งแต่ช่วย
รักษาระดับอินซูลิน ลดความดันโลหิต ลดความเสี่ยงโรคอ้วน รวมถึงลดระดับคอเลสเตอรอลในเลือดด้วย นอกจากนี้ผล
วิจัยล่าสุดยังพิสูจน์มาแล้วด้วยว่า บลูเบอร์รีสามารถกาจัดเซลล์ไขมันในร่างกายได้ผลชะงัด รู้ประโยชน์ของบลูเบอร์รีกันไป
แล้ว ก็อย่าลืมกินบลูกเบอร์รีกันเยอะ ๆ นะจ๊ะ
49
สตรอว์เบอร์รี
นอกจากบลูเบอร์รีแล้ว ผลไม้ตระกูลเบอร์รียังส่งสตรอว์เบอร์รีลูกแดง ๆ มาช่วยคนอยากหุ่นสวยกระชับอีกหนึ่ง
ชนิด และด้วยคุณสมบัติที่ช่วยเพิ่มการผลิตฮอร์โมนอะดิโปเนกติน (Adiponectin) และฮอร์โมนเลปติน ( Leptin) ซึ่งเป็น
ฮอร์โมนที่ช่วยเร่งระบบการเผาผลาญ จัดการไขมันสะสมในร่างกายได้อยู่หมัด จึงทาให้สตรอว์เบอร์รีเป็นผลไม้ตัวแม่เรื่อง
การลดน้าหนักที่ไม่ควรพลาดด้วยเช่นกัน
นอกจากนี้ สตรอว์เบอร์รียังมีสารต่อต้านอาการอักเสบ สามารถช่วยซ่อมแซมรักษาเนื้อเยื่อที่สึกหรอ และอักเสบ
ในร่างกายได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ แถมยังอุดมไปด้วยวิตามินซี ป้องกันโรคหวัดได้อีกด้วยค่ะ
กีวี
สาหรับคนที่ชื่นชอบรสชาติเปรี้ยวอมหวานของกีวี อาจจะยังไม่รู้ว่า กีวีก็ถูกจัดให้เป็นผลไม้ช่วยลดน้าหนักตัวจี๊ด
เหมือนกัน เพราะนอกจากกีวีจะอุดมไปด้วยไฟเบอร์แล้ว เมล็ดสีดาเล็ก ๆ ของกีวียังเป็นไฟเบอร์ชนิดที่ไม่สามารถละลายได้
จึงช่วยปรับสมดุลระบบย่อยอาหาร และทาให้คุณอิ่มได้นานขึ้น หมดปัญหาเรื่องกินจุบกินจิบอีกต่อไป
เกรปฟรุต
เกรปฟรุตครึ่งลูกให้พลังงานเพียงแค่ 37 กิโลแคลอรี่ แต่มีไฟเบอร์ในจานวนที่มากกว่านั้นหลายเท่าตัว แค่นี้ก็
พิสูจน์ได้แล้วเนอะ ว่าเกรปฟรุตเป็นผลไม้เหมาะจะกินเพื่อลดน้าหนักสุด ๆ โดยเฉพาะหากกินเกรปฟรุตครึ่งลูกก่อนมื้อเช้า
ทุกวัน หุ่นสวยกระชับสุดเป๊ะก็อยู่ใกล้แค่เอื้อมจ้า
ลูกพีช
นอกจากจะมีไฟเบอร์สูงมากแล้ว ลูกพีชยังมาพร้อมโพแทสเซียม และวิตามินอีกสารพัดชนิดที่ดีต่อร่างกาย แถม
ด้วยสารแอนตี้ออกซิแดนท์ ช่วยบารุงผิวพรรณให้เต่งตึงไปด้วยในตัว จัดเป็นผลไม้ลดความอ้วน และผลไม้เพื่อผิวสวยที่
น่าสนใจมาก ๆ เลยทีเดียว
มะพร้าว
แม้มะพร้าวจะมีรสชาติหวานเจี๊ยบ แต่ความหวานนั้นก็เป็นน้าตาลธรรมชาติที่อุดมไปด้วยสารอาหาร และวิตามิน
ที่เป็นประโยชน์กับร่างกายเราหลายชนิด โดยเฉพาะไตรกลีเซอไรด์ ซึ่งช่วยกระตุ้นเมตาบอลิซึมได้ถึง 30% เผาผลาญ
ไขมันในตับได้เยอะขึ้น ส่งผลให้คุณลดน้าหนักได้ผลเร็วขึ้นอีกต่างหาก
นอกจากนี้ ไขมันอิ่มตัวที่อยู่ในน้ามันมะพร้าว เนื้อมะพร้าว หรือกะทิจากมะพร้าว ก็เป็นกรดไขมันที่อิ่มตัวโดย
สมบูรณ์ โมเลกุลจึงแตกต่างจากไขมันอิ่มตัวในอาหารต้องห้ามของคนไดเอตนะคะ ดังนั้นกินมะพร้าวเยอะแค่ไหน ก็ไม่ทา
ให้อ้วนได้เท่ากินอาหารขยะจานเดียวแน่ ๆ
50
ทับทิม
ทับทิมเป็นสุดยอดผลไม้ ที่ช่วยในเรื่องลดน้าหนัก และล้างสารพิษในร่างกายได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้ก็เป็น
เพราะสารโพลีฟีนอล ตัวต้านสารอนุมูลอิสระชนิดหนึ่งในทับทิม ที่ไปช่วยกระตุ้นระบบเผาผลาญในร่างกายให้ทางานดีขึ้น
ลดไขมันในเลือด ลดไขมันเลว LDL ล้างสารพิษในเลือด และช่วยกระตุ้นให้เลือดไหลเวียนสะดวก เปล่งประกายผิวพรรณ
สดใสไปพร้อม ๆ กับกระชับสัดส่วนในคราวเดียวกัน
ส้ม
ด้วยปริมาณวิตามินซีที่สูงลิ่ว ไธอามีน และโฟเลทในผลไม้ลูกเล็ก ๆ อย่างส้ม ทาให้ส้มเป็นผลไม้ที่ช่วยเร่ง
ระบบการเผาผลาญได้ดีอีกชนิดหนึ่ง อีกทั้งเนื้อส้มยังให้ไฟเบอร์ช่วยระบบขับถ่ายได้ถึง 5 กรัม ต่อส้มสดปริมาณ 1 ถ้วย
ตวง ในขณะที่ให้พลังงานกับร่างกายเพียงแค่ 85 กิโลแคลอรี่เท่านั้น
แต่ทั้งนี้ อย่าสับสนไปกินน้าส้มคั้นนะคะ เพราะน้าส้มคั้นจะให้สารอาหารที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง และเป็น
สารอาหารที่ค่อนข้างน้อยซะด้วยสิ อีกทั้งน้าส้มยังทาให้คุณพลาดโอกาสได้รับไฟเบอร์จากเนื้อส้มอีกด้วย
มะม่วง
หลายคนไม่ยอมกินมะม่วงเลย เพราะเกรงว่าแป้ง และน้าตาลในมะม่วงจะทาให้อ้วนขึ้น แต่จริง ๆ แล้วมะม่วง
หรือแม้แต่มะม่วงสุก ไม่ได้ให้แค่น้าตาล และรสชาติหวานลิ้นเท่านั้น แต่ยังอุดมไปด้วยวิตามินเอ วิตามินซี แคลเซียม ไฟ
เบอร์ 3 กรัมต่อปริมาณที่ร่างกายควรได้รับต่อวัน และให้พลังงานเพียงแค่ 130 กิโลแคลอรี่ต่อ 1 ผลเท่านั้นเอง ดังนั้นกิน
มะม่วงในปริมาณที่พอเหมาะ ก็ไม่ได้ทาให้น้าหนักคุณขึ้นแต่อย่างใดค่ะ
มะละกอ
เป็นที่รู้กันดีอยู่แล้วว่ามะละกอเป็นผลไม้ตัวแม่ที่ช่วยเรื่องการขับถ่าย แต่จริง ๆ แล้วมะละกอมีดีกว่านั้นเยอะนะ
จ๊ะ เพราะนอกจากปริมาณไฟเบอร์มหาศาล มะละกอยังมีเอนไซม์ช่วยย่อย ทาให้อาหารที่เรากินเข้าไปถูกย่อย และดูดซึม
ได้โดยง่าย อีกทั้งมะละกอยังมีฟลาโวนอยด์ แคโรทีน วิตามินซี และสารต้านอนุมูลอิสระเป็นอาวุธชั้นดี เพื่อต่อสู้กับไขมัน
และส่วนเกินของเราอีกด้วย
อย่างไรก็ตามผลไม้ช่วยลดน้าหนักทั้งหมดนี้ ต้องกินควบคู่ไปกับอาหารที่มีประโยชน์ และการออกกาลังกาย
อย่างเหมาะสมด้วยนะคะ ซึ่งนอกจากจะได้หุ่นสวยเช้งเป็นการตอบแทนแล้ว พฤติกรรมเพื่อสุขภาพอย่างนี้ยังใจดีมอบความ
สมบูรณ์แข็งแรง และผิวพรรณที่สวยเปล่งปลั่งให้คุณอีกอย่างหนึ่งด้วยจ้า
51
การล้างผัก-ผลไม้
การแช่น้า
เริ่มด้วยการล้างผักรอบแรกให้สะอาดเสียก่อน หลังจากนั้นเด็กผักออกเป็นใบ ๆ แล้วนามาแช่ในอ่างน้าที่เตรียม
ไว้ประมาณ 15 นาที วิธีนี้จะช่วยลดสารพิษจากฆ่ายาแมลงได้ประมาณ 7-33%
52
ล้างผักโดยให้น้าไหลผ่าน
โดยเด็ดผักออกเป็นใบ ๆ นามาใส่ในตะกร้าหรือตะแกรงโปร่ง แล้วเปิดน้าให้แรงพอประมาณ ระหว่างล้างให้
ใช้มือช่วยคลี่ใบผักและถูไปมาบนผิวใบของผักผลไม้ไปด้วยประมาณ 2 นาที วิธีนี้จะช่วยลดสารพิษจากยาฆ่าแมลงได้
ประมาณ 25-63%
(วิธีนี้เป็นวิธีที่นิยมและได้ผลดีมากวิธีหนึ่งครับ แต่จะมีข้อเสียในเรื่องของการใช้เวลานานในการล้างและต้องใช้
น้าสะอาดปริมาณมาก แต่ถ้าเป็นไปได้ก็ให้นาน้าส่วนที่เหลือไปรดน้าต้นไม้ก็ดีครับ)
ปอกเปลือก
วิธีนี้ให้นาผักหรือผลไม้มาปอกเปลือกหรือการลอกใบผักชั้นนอกออก เช่น กะหล่าปลี ฯลฯ โดยให้ลอกเปลือก
หรือกาบด้านนอกออกทิ้งสัก 2-3 ใบ เพราะสารพิษส่วนใหญ่จะสะสมตกค้างบริเวณเปลือกด้านนอกหรือบริเวณกาบ แล้ว
จึงนาไปแช่ในน้าสะอาดอีกประมาณ 5-10 นาที หลังจากนั้นก็ล้างด้วยน้าสะอาดอีกครั้งหนึ่ง วิธีนี้จะช่วยลดปริมาณของ
สารพิษตกค้างได้ประมาณ 27-72%
53
ลวกผักหรือต้มผัก
ก่อนนามาลวกให้นาผักมาล้างให้สะอาดเสียก่อน แล้วจึงนามาลวกหรือต้ม โดยการลวกผักด้วยน้าร้อนจะช่วยลด
สารพิษได้ 50% ส่วนการต้มผักนั้นก็ช่วยลดสารพิษได้ประมาณ 50% เช่นกัน แต่การต้มผักจะมีสารพิษที่ตกค้างอยู่ในน้า
แกงได้ ดังนั้นจึงควรทิ้งน้าที่ต้มครั้งแรกเสียก่อน แล้วจึงค่อยนาไปประกอบอาหารหรือรับประทาน
(วิธีนี้เป็นอีกวิธีที่ดีและปลอดภัย แต่จะทาให้ผักและผลไม้เสียคุณค่าทางอาหารไปกับน้าและความร้อน เช่น
วิตามินบี1 วิตามินบี3 วิตามินซี เป็นต้น)
น้าเกลือ
ให้ใช้เกลือป่น 1 ช้อนโต๊ะ นามาผสมกับน้า 4 ลิตร แล้วนาผักผลไม้มาแช่ทิ้งไว้ประมาณ 10 นาที หลังจากนั้น
ให้ล้างออกด้วยน้าสะอาดอีกครั้งหนึ่ง จะช่วยลดปริมาณของสารพิษตกค้างได้ประมาณ 27-38%
(วิธีนี้ไม่ค่อยเป็นที่นิยมมากนัก เพราะลดปริมาณของสารพิษได้ไม่มาก และอาจทาให้ผักและผลไม้มีรสเค็มได้)
แต่บางข้อมูลกลับระบุว่าการใช้น้าเกลือล้างผักผลไม้ไม่ได้ช่วยทาให้ผักสะอาดขึ้นได้แต่อย่างใด เนื่องจากเกลือ
เป็นโซเดียมคลอไรด์ที่มีส่วนทาให้สารตกค้างหรือยาฆ่าแมลงนั้นคงทนยิ่งขึ้น ทาให้ยังมีสารตกค้างอยู่ผักและผลไม้ แต่
ข้อมูลส่วนนี้เองผู้เขียนเองก็หาแหล่งอ้างอิงไม่เจอครับ จริงเท็จประการใดก็ไม่ทราบ ทางที่ดีก็ให้ลองเลือกใช้วิธีอื่นแทนจะ
ดีกว่าครับ
54
น้าซาวข้าว
ให้นาผักหรือผลไม้มาแช่ด้วยซาวข้าวประมาณ 10 นาที หลังจากนั้นให้ล้างออกด้วยน้าสะอาดอีกครั้ง วิธีนี้จะช่วย
ลดปริมาณของสารพิษตกค้างได้ 29-38%
น้าปูนใส (ทามาจากปูนแดงหรือปูนขาวที่กินกับหมาก)
ให้เตรียมน้าปูนใสอิ่มตัวที่ผสมกับน้าเท่าตัว แล้วนามาผักมาแช่ในน้าปูนใสประมาณ 10 นาที หลังจากนั้นให้
ล้างออกด้วยสะอาดอีกครั้งหนึ่ง วิธีนี้จะช่วยลดปริมาณของสารพิษตกค้างได้ประมาณ 34-52%
55
ผงปูนคลอรีน (Calcium Hypochlorite – แคลเซียมไฮโปคลอไรต์)
ให้ใช้ผงปูนคลอรีน 60% จานวน 1/2 ช้อนชา (ความเข้มข้นของคลอรีน 50 พีพี เอ็ม) นามาผสมกับน้า 20
ลิตร แล้วนามาผักผลไม้มาแช่ทิ้งไว้ประมาณ 15-30 นาที วิธีนี้จะช่วยฆ่าเชื้อโรคได้ดีมาก
ด่างทับทิม (Potassium permanganate – โพแทสเซียมเปอร์แมงกาเนต)
ให้ใช้ด่างทับทิมประมาณ 20-30 เกล็ด (ด่างทับทิมจะมีลักษณะเป็นผลึกหรือเกล็ดสีม่วง สามารถละลายน้าได้)
ที่ผสมกับน้า 4 ลิตร แล้วจึงนาผักมาแช่ไว้ในน้าด่างทับทิมประมาณ 10 นาที หลังจากนั้นให้ล้างออกด้วยสะอาดอีกครั้ง
หนึ่ง วิธีนี้จะช่วยลดประมาณของสารพิษตกค้างได้ประมาณ 35-43%
(การใช้ด่างทับทิมในปริมาณที่มากจนเกินไป อาจเป็นอันตายต่อระบบทางเดินอาหาร ถ้าหากสูดดมไอระเหยของ
ด่างทับทิมเข้าไปมาก ๆ ก็อาจทาให้ระบบทางเดินหายใจมีปัญหาได้ และถ้าด่างทับทิมเข้าตาก็อาจทาให้ตาบอดได้ ดังนั้น
การใช้วิธีนี้จึงต้องใช้อย่างระมัดระวังครับ อีกอย่างการใช้ด่างทับทิมต้องใช้ในปริมาณน้อย ไม่งั้นผักและผลไม้จะเหี่ยว
หรือเปลี่ยนเป็นสีน้าตาลได้ ทาให้เปื้อนมือ เปื้อนอ่างด้วย)
56
น้าส้มสายชู (Vinegar)
วิธีนี้ให้เตรียมน้าสายชูที่มีกรดน้าส้มความเข้มข้น 5% ของกรดน้าส้ม นามาผสมกับน้าในอัตราส่วน 1 : 10
ส่วน แล้วจึงนาผักมาแช่ทิ้งไว้ประมาณ 10-15 นาที แล้วค่อยล้างออกด้วยน้าสะอาดอีกรอบหนึ่ง จะช่วยลดสารพิษจากยา
ฆ่าแมลงได้ประมาณ 60-84%
(การใช้วิธีนี้ล้างผัก ภาชนะที่ใส่ผักล้างไม่ควรเป็นพลาสติก และการล้างผักด้วยวิธีนี้อาจทาให้ผักบางชนิดมีกลิ่น
ของน้าส้มสายชูติดมาได้ เพราะผักบางอย่าง เช่น ผักกาดขาว ผักกาดเขียว อาจมีการดูดรสเปรี้ยวจากน้าส้มสายชู และทา
ให้ผักมีรสชาติเปลี่ยนไป)
เบกกิ้งโซดา หรือ โซเดียมไบคาร์บอเนต (Sodium bicarbonate)
57
บ้างเรียกว่า “โซดาทาขนมปัง” แต่มีชื่อคุ้นหูว่า “เบกกิ้งโซดา” (Baking Soda) สามารถนามาใช้ล้างสารพิษ
จากผักและผลไม้ได้เช่นกันครับ และเป็นวิธีที่นิยมกันมากด้วย ด้วยการใช้โซเดียมไบคาร์บอเนต 1/2 ช้อนโต๊ะ ผสมกับน้า
10 ลิตร แล้วนาผักหรือผลไม้มาแช่ไว้ประมาณ 15 นาที หลังจากนั้นค่อยล้างออกด้วยน้าเปล่า 2 ครั้ง วิธีนี้จะช่วยลด
สารพิษได้มากถึง 90-95% เลยทีเดียว
(ข้อเสียของการใช้เบกกิ้งโซดาในการล้างผักผลไม้ คือ เบกกิ้งโซดาจะมีส่วนผสมของโซเดียมอยู่ และอาจจะดูด
ซึมเข้าสู่ผักและผลไม้ที่นาไปแช่ได้ เพราะถ้าหากล้างไม่สะอาด การได้รับเบกกิ้งโซดาในปริมาณมากเกินไปก็อาจทาให้
ท้องเสียได้ครับ)
ผงฟู (Baking Powder) (เบกกิ้งโซดา + แป้ง)
ให้ใช้ผงฟู 1/2 ช้อนโต๊ะ นามาผสมกับน้าอุ่นหรือน้าธรรมดา 10 ลิตร แล้วนาผักหรือผลไม้มาแช่ทิ้งไว้ประมาณ
15 นาที แล้วค่อยล้างออกด้วยสะอาดอีกครั้งหนึ่ง วิธีนี้สามารถช่วยลดปริมาณของสารพิษจากยาฆ่าแมลงได้มากกว่า 90%
และเป็นวิธีที่ปลอดภัยไม่เป็นอันตราย (เพราะผงฟูกินได้)
58
น้ายาล้างผัก
การแช่ผักในน้ายาล้างผักที่มีวางจาหน่ายกันอยู่ทั่วไป ให้เลือกใช้ที่มีความเข้มข้นประมาณ 0.3% ในน้า 4
ลิตร และนาผักหรือผลไม้มาแช่ทิ้งไว้ประมาณ 15 นาที วิธีนี้จะช่วยลดปริมาณของสารพิษจากยาฆ่าแมลงได้ประมาณ
25-70%
(การเลือกใช้น้ายาล้างผักจะต้องดูให้ดีกว่าน้ายาล้างผักมีส่วนประกอบอะไรบ้าง และต้องใช้ด้วยความระมัดระวัง
เพราะในบางครั้งน้ายาล้างผักจะแทรกซึมเข้าไปในผักและอาจเป็นอันตรายกับเราได้)
น้ายาล้างจานหรือน้ายาล้างขวดนม
59
การล้างผลไม้โดยใช้น้ายาล้างจานหรือน้ายาล้างขวดนมกับฟองน้าถูเบา ๆ จะช่วยลดโอกาสการติดเชื้อที่อยู่
บริเวณผิวของผลไม้ได้ และการล้างไข่ก่อนทาอาหารก็สามารถใช้วิธีนี้ได้เช่นกัน โดยวิธีนี้จะช่วยลดการปนเปื้อนของเชื้อได้
มากกว่า 95%
ผงถ่าน
ผงถ่านแอคติเวทชาร์โคลหรือผงคาร์บอนกัมมันต์ (activated carbon) หรือถ่านกัมมันต์ ( activate chacoal)
เป็นวัสดุคาร์บอนซึ่งมีเนื้อพรุน มีคุณสมบัติในการดูดซับสูงมาก ทาให้มันสามารถจับสารในปริมาณมากมายไว้ที่ผิว ด้วย
คุณสมบัตินี้เองเราจึงนามาใช้ประโยชน์ในการล้างผักผลไม้ได้ ซึ่งมันจะช่วยดูดกลิ่น ดูดสี ดูดซับสารพิษออกจากผัก แต่
จะจะไม่ดูดซับแร่ธาตุออกไป อีกทั้งร่างกายก็ไม่สามารถดูดซึมผงถ่านได้ จึงไม่เป็นอันตรายเพราะร่างกายสามารถขับออก
ได้ แต่การนามาใช้ล้างผักผลไม้ หากใช้ในปริมาณน้อยและแช่ไว้ไม่นานพอ ก็จะไม่สามารถดูดซับสารพิษออกมาได้หมด
ครับ ซึ่งวิธีการใช้ก็ให้ใช้ผงถ่าน 1 ช้อนชา ต่อน้า 5 ลิตร แล้วนาผักผลไม้มาแช่ไว้ประมาณ 20 นาที แล้วค่อยล้างออก
ด้วยน้าสะอาด
คาแนะนา
จะเห็นได้ว่าในแต่ละวิธีก็มีทั้งข้อดีและข้อเสียที่แตกต่างกันออกไป จะเลือกวิธีไหนก็ขึ้นอยู่กับความเหมาะสม ความ
สะดวกของแต่ละคน รวมไปถึงชนิดและปริมาณของผักไม้ และเวลาที่มีอยู่ของแต่ละคน และที่สาคัญอย่างมากก็คือให้
พยายามรับประทานผักและผลไม้ให้หลากหลายชนิด ไม่ควรรับประทานแบบซ้า ๆ เดิม ๆ เลือกรับประทานผักหรือผลไม้
ตามฤดูกาล เปลี่ยนร้านที่ซื้อผักหรือผลไม้บ้าง หรือเลือกซื้อกับร้านที่ไว้ใจได้ ถ้าจะให้ดีก็ให้เลือกรับประทานผักปลอด
สารพิษ ผักออแกนิก (ผักเกษตรอินทรีย์) ที่ผ่านการรับรอง ผักผลไม้ที่มีร่องรอยที่ถูกหนอนเจาะบ้าง เนื่องจากถ้าผักหรือ
ผลไม้มีสารตกค้างหรือมีสารพิษก็จะได้ไม่ทาให้เกิดอันตรายต่อร่างกายของเรามากนัก
60

เรื่องน่ารู้ของผัก ผลไม้

  • 1.
  • 2.
  • 3.
    3 ผลไม้สาหรับคนท้อง กล้วย เป็นผลไม้ที่อุดมไปด้วยธาตุเหล็ก ฟอสฟอรัส วิตามินเอวิตามินบี 1 วิตามินบี 2 วิตามินบี 3 วิตามินบี 6 และ วิตามินซี และยังมีสารสาคัญที่ช่วยผ่อนคลายอารมณ์ ทาให้คุณแม่อารมณ์ดี มีใยอาหารสูงที่ช่วยในการทางานของระบบ ขับถ่าย
  • 4.
    4 ฝรั่ง อุดมไปด้วยวิตามินซีและวิตามินเอ ช่วยให้ร่างกายมีภูมิคุ้มกันต่อโรคหวัด ช่วยบารุงเหงือกและฟันให้แข็งแรง แอปเปิ้ล อุดมไปด้วยเกลือแร่และวิตามินช่วยควบคุมปริมาณน้าตาลในเลือด ลดระดับคอเลสเตอรอล และช่วยกระตุ้นการ ทางานของสารต้านอนุมูลอิสระให้ทางานได้ดีขึ้น
  • 5.
    5 มะละกอสุก อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ ได้แก่ แคโรทีนวิตามินซี ฟลาโวนอยด์ วิตามินซี สารโฟลิก ธาตุโพแทสเซียม แมกนีเซียม และเส้นใยอาหาร เป็นผลไม้ที่เหมาะกับคุณแม่ตั้งครรภ์ที่มีปัญหาเรื่องท้องผูก มะม่วงสุก อุดมไปด้วยเบต้าแคโรทีน ฟอสฟอรัส และแคลเซียม ช่วยในการสร้างกระดูกและฟันให้กับทารกในครรภ์ และ บารุงกระดูกและฟันของคุณแม่ให้แข็งแรง
  • 6.
    6 มะพร้าว อีกหนึ่งผลไม้ที่มีคุณค่าทางอาหารสูงมาก เช่น โปรตีนกลูโคส และแคลเซียม และยังช่วยแก้อาการอ่อนเพลียและ ดับกระหายได้ดี แตงโม เป็นผลไม้ที่อุดมไปด้วยโพแทสเซียม มีสรรพคุณช่วยควบคุมอัตราความดันโลหิตของร่างกาย และยังมีวิตามินซี ธรรมชาติที่ดีต่อร่างกาย
  • 7.
    7 ส้ม ผลไม้ที่มีวิตามินซีสูง ช่วยป้องกันหวัดและช่วยในเรื่องการขับถ่ายได้ดี สับปะรด มีสารต้านอนุมูลอิสระ เช่นวิตามินซี เบต้าแคโรทีน และแมงกานีส ช่วยสร้างระบบภูมิคุ้มกันให้กับร่างกาย และ ช่วยป้องกันอันตรายจากอนุมูลอิสระ
  • 8.
  • 9.
    9 ผลไม้ที่คนท้องไม่ควรรับประทาน มะม่วงดิบ จะย่อยได้ยากกว่ามะม่วงสุก ซึ่งอาจทาให้คุณแม่เกิดอาการแน่นท้องได้ (ในช่วงที่คุณแม่ตั้งครรภ์ในไตรมาส2- 3 ยิ่งควรหลีกเลี่ยง เพราะช่วงนี้มดลูกจะโตขึ้นจนเบียดกระเพาะอาหาร ทาให้กระเพาะอาหารย่อยได้ช้าลง) ส่วนมะม่วงสุก ไม่มีข้อห้ามอะไรครับ ทานได้ตามปกติ แต่ไม่ควรทานบ่อยหรือทานในปริมาณมาก ๆ
  • 10.
    10 ทุเรียน อีกหนึ่งผลไม้ที่ควรหลีกเลี่ยง เพราะทาให้เกิดแก๊สในลาไส้ได้มาก อาจทาให้คุณแม่มีอาการจุกเสียดแน่นท้องหรือ แน่นหน้าอกได้แม้จะไม่เป็นอันตรายมากนัก แต่ก็สร้างความทรมานได้มากเหมือนกัน ผลไม้รสหวานจัด เช่น ลาไย เงาะ มะม่วงสุก มะละกอสุก น้อยหน่า อินทผลัม เป็นต้น ส่วนนี้ไม่ได้ห้ามนะครับ ถ้าไม่อยากน้าหนัก ตัวเพิ่มแบบไม่ทันตั้งตัวและเสี่ยงเป็นเบาหวาน ก็ขอให้ลดปริมาณลงครับ นาน ๆ จะกินครั้งหนึ่งก็ไม่เป็นอะไร
  • 11.
  • 12.
    12 ประโยชน์ของนาผัก-ผลไม้เพื่อสุขภาพ น้าผลไม้เพื่อสุขภาพ คือ ของเหลวที่อยู่ในเนื้อเยื่อของผลไม้ตามธรรมชาติ น้าผลไม้จะได้มาจากการนาผลไม้ไปคั้นหรือปั่นผลไม้ เหล่านั้นโดยไม่ใช้ความร้อนหรือตัวทาละลายซึ่งน้าผลไม้สาเร็จรูปที่วางขายหลายยี่ห้อจะถูกกรองเอากากใยอาหารออก แต่น้าผลไม้ที่มีเนื้อก็ยังคงเป็นเครื่องดื่มที่นิยม โดยอาจขายในรูปแบบเข้มข้น ซึ่งจาเป็นต้องเติมน้าเพื่อลดความเข้มข้นจน กระทั้งอยู่ในสถานะปกติ โดยน้าผลไม้แบบเข้มข้นมักจะมีรสชาติที่ต่างจากน้าผลไม้คั้นสดอย่างชัดเจน น้ากล้วย กล้วย เป็นผลไม้ที่อุดมไปด้วยโปรตีน คาร์โบไฮเดรต วิตามินเอ ธาตุเหล็ก ฟอสฟอรัส และโพแทสเซียม ซึ่งล้วน แต่เป็นแร่ธาตุที่จาเป็นต่อการทางานของกล้ามเนื้อและประสาท ช่วยควบคุมความดันโลหิต เพิ่มพลังงานให้แก่ร่างกายได้ อย่างรวดเร็ว เพิ่มความแข็งแรงสมบูรณ์ให้แก่ร่างกาย นอกจากนี้ยังช่วยป้องกันโรคภัยไข้เจ็บต่าง ๆ
  • 13.
    13 น้ากีวี่ กีวี่อุดมไปด้วยวิตามินซี, คลอโรฟิลล์, ไฟโตเคมิคอล(Phytochemical), และแอคทินิดิน ที่ช่วยเสริมสร้างระบบ ภูมิคุ้มกัน ทาให้หัวใจมีสุขภาพดี และช่วยลดความดันโลหิต น้าเกรปฟรุต น้าผลไม้รสเปรี้ยวที่มีคุณสมบุติช่วยเผาผลาญไขมันและช่วยลดระดับอินซูลินซึ่งเป็นตัวการของน้าหนักตัวที่เพิ่มขึ้น การดื่มน้าเกรปฟรุตคั้นสดก่อนมื้ออาหารทุกมือ จะช่วยทาให้น้าหนักตัวลดลงมากกว่า 1.5 กิโลกรัม ภายใน 3 เดือน โดย ที่ไม่ต้องลดอาหารหรือไดเอ็ทเลย น้าแครนเบอร์รี่ น้าผลไม้ชนิดนี้จะมีวิตามินซีสูง สามารถช่วยลดความเสี่ยงของโรคติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ และยังพบว่าน้าแครน เบอร์รี่มีฤทธิ์ในการยับยั้งเชื้ออีโคไลที่อยู่ในกระเพาะปัสสาวะได้อีกด้วย
  • 14.
    14 น้าแตงโม แตงโมมีวิตามินเอที่ช่วยบารุงสายตา และมีวิตามินซีที่ช่วยป้องกันโรคเลือดออกตามไรฟัน ช่วยแก้อาการร้อนใน กระหายน้าปากเป็นแผล รักษาแผลในกระเพาะอาหาร ทาให้สบายท้อง ช่วยลดความดันโลหิต และช่วยขับปัสสาวะ น้าแตงชนิดต่าง ๆ (แคนตาลูป เมล่อน แตงญี่ปุ่น) จัดเป็นน้าผลไม้ล้างพิษในร่างกาย มีฤทธิ์ในการขับปัสสาวะ มีคุณสมบัติที่มีเนื้อฉ่าน้า จึงเหมาะที่จะรับประทาน ในยามที่ร่างกายสูญเสียน้า นอกจากนี้ยังมีฤทธิ์ต้านแบคทีเรียและเชื้อไวรัสได้อีกด้วย น้าเชอร์รี่ เชอร์รี่มีวิตามินซีสูงมาก จึงช่วยป้องกันโรคเลือดออกตามไรฟันได้ มีสารต้านอนุมูลอิสระ ที่ช่วยชะลอวัย ดูแล ความงาม และช่วยป้องกันโรคโลหิตจาง
  • 15.
    15 น้าฝรั่ง ฝรั่ง มีวิตามินซีสูง ช่วยป้องกันโรคเลือดออกตามไรฟันมีสารเบต้าแคโรทีนที่ช่วยลดสารพิษในร่างกาย ช่วยละ ระดับไขมันในเลือด ช่วยป้องกันการจับตัวของไขมันที่ผนังหลอดเลือดซึ่งเป็นสาเหตุของโรคหลอดเลือดแข็งตัว จึงเหมาะ สาหรับผู้ป่วยเส้นเลือดอุดตัน อีกทั้งยังช่วยชะลอการลุกลามของเซลล์มะเร็ง ทาให้แผลหายเร็ว กระตุ้นการทางานของเม็ด เลือดขาว เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน และป้องกันหวัดได้อีกด้วย น้าบลูเบอร์รี่ เป็นผลไม้ที่เปี่ยมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระอย่างวิตามินซี จึงช่วยบารุงสุขภาพโดยรวมได้เป็นอย่างดี และยังมี ผลดีต่อระบบการไหลเวียนของเลือด มีประโยชน์ต่อระบบหลอดเลือดหัวใจ 5 ทับทิมมีสารต้านอนุมูลอิสระที่แทบจะครบทุกชนิด จึงมีประโยชน์อย่างมากสาหรับการป้องกันโรคมะเร็ง
  • 16.
    16 น้าลูกแพร์ อีกหนึ่งน้าผลไม้ที่มีสรรพคุณยอดเยี่ยมในการช่วยเสริมสร้างสุขภาพ เพราะอุดมไปด้วยวิตามินซี แคลเซียม โพแทสเซียมฟอสฟอรัส และแมกนีเซียม ในปริมาณที่สูง ซึ่งวิตามินและแร่ธาตุเหล่านี้ก็ล้วนแล้วแต่มีประโยชน์ต่อร่างกาย แทบทั้งสิ้น น้ามะขาม มะขามมีวิตามินที่ช่วยบารุงสายตา มีวิตามินซีที่ช่วยป้องกันโรคเลือดออกตามไรฟัน มีแคลเซียมที่ช่วยบารุง กระดูก นอกจากนี้มะขามยังมีสรรพคุณเป็นยาแก้ไอ ช่วยขับเสมหะ เป็นยาระบายท้อง จึงช่วยในการขับถ่ายได้เป็นอย่างดี และยังช่วยลดอาการของโรคโลหิตจางได้อีกด้วย น้ามะเฟือง มะเฟืองมีวิตามินที่ช่วยบารุงสายตา มีวิตามินซี ช่วยชะลอวัย ป้องกันอันมูลอิสระ ต่อต้านสารก่อมะเร็ง ป้องกัน โรคเลือดออกตามไรฟัน มีฟอสฟอรัสและแคลเซียมเล็กน้อย สามารถช่วยเสริมสร้างกระดูกและฟันให้แข็งแรงได้ นอกจากนี้ ยังช่วยควบคุมการเต้นของหัวใจให้สม่าเสมอ ช่วยควบคุมกล้ามเนื้อ ทาให้เลือดแข็งตัวได้ง่าย มีฤทธิ์กล่อมประสาท ช่วย ระงับความฟุ้งซ่าน จึงช่วยทาให้นอนหลีบได้ง่ายขึ้น ช่วยแก้ร้อนใน ดับกระหาย ลดความร้อนในร่างกาย ช่วยบรรเทา อาการของนิ่วในทางเดินปัสสาวะ ช่วยขับปัสสาวะ ขับเสมหะ และช่วยป้องกันโรคโลหิตจาง
  • 17.
    17 น้ามะม่วง มะม่วง มีวิตามินเอและวิตามินซีสูงมาก ช่วยบารุงสายตาป้องกันโรคเลือดออกตามไรฟัน และมีฤทธิ์เป็นยา ระบายอ่อน ๆ นอกจากนี้มะม่วงยังมีฟอสฟอรัส แคลเซียม และธาตุเหล็กเล็กน้อย นอกจากนี้ยังช่วยทาความสะอาดโลหิต อันจะทาให้มีสุขภาพที่ดีขึ้น และยังช่วยบารุงไตได้อีกด้วย น้ามะนาว มะนาวมีวิตามินสูง ช่วยลดความเสื่อมวัยของร่างกาย ป้องกันโรคเลือดออกตามไรฟัน ช่วยนาโปรตีนเข้าไปใช้ งานในเซลล์ ช่วยบารุงผิวพรรณ บารุงสายตา ช่วยลดอาการไอ ขับเสมหะ แก้อาการเจ็บคอ แก้อาการคลื่นไส้อาเจียน แก้ ปวดศีรษะ อ่อนเพลีย ตาแดง เหงือกบวม แก้ลิ้นเป็นฝ้า แก้เมาเหล้า แก้อาการท้องอืด ท้องเฟ้อ ช่วยขับลมในกระเพาะ ช่วยขจัดคราบบุหรี่ น้ามะละกอ มีประโยชน์ช่วยทาความสะอาดลาไส้และช่วยในการย่อยอาหาร ช่วยทาให้ของเสียที่เป็นโปรตีนแตกตัวได้เร็วขึ้น และยังเชื่อกันว่ามะละกอสามารถช่วยลดอาการซึมเศร้าได้อีกด้วย
  • 18.
    18 น้าเลมอน การดื่มน้าเลมอนคั้นสด 1 แก้วจะช่วยกระตุ้นให้ตับผลิตน้าดีได้มากขึ้น ส่งผลให้ระบบการย่อยอาหารทางานได้ อย่างเป็นปกติตลอดทั้งวัน และยังพบว่าผู้ป่วยติดเชื้อทางเดินปัสสาวะที่ดื่มน้าเลมอนเป็นประจาทุกวันจะช่วยลดขนาดก้อนนิ่ว ในไตได้ เนื่องจากมีฤทธิ์ละลายก้อนนิ่วในถุงน้าดีและไต แล้วขับออกมาทางปัสสาวะ ช่วยทาให้อัตราของกรดฟอสฟอริก ในปัสสาวะลดจาก 1% เหลือ 0.13% ซึ่งเป็นผลดีกับร่างกาย รวมทั้งการช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรียได้อีกด้วย น้าราสเบอร์รี่ มีผลดีต่อระบบการไหลเวียนของเลือด มีประโยชน์ต่อระบบหลอดเลือดหัวใจ งช่วยบรรเทาอาการปวดท้อง ประจาเดือน น้าส้ม ส้มวิตามินในปริมาณมาก อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยเพิ่มอัตราการไหลเวียนของเลือดในร่างกายและ อัตราการดูดซึมสารอาหาร ช่วยบารุงสายตา มีวิตามินซีที่ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันและต้านเชื้อโรค ช่วยป้องกันโรค เลือดออกตามไรฟัน ป้องกันโรคโลหิตจาง นอกจากนั้นยังมีแคลเซียมและฟอสฟอรัสที่ช่วยในการบารุงกระดูกและฟัน มี สารฟลาโวนอยด์ที่ช่วยลดระดับไขมันร้าย ( LDL) และช่วยเพิ่มไขมันดี ( HDL) ที่เป็นประโยชน์กับร่างกาย จึงส่งผลต่อ การลดระดับคอเลสเตอรอลในร่างกายลดต่าลง และยังพบว่าน้าส้มคั้นสดมีส่วนช่วยลดความดันโลหิต ป้องกันโรคหัวใจ และช่วยบารุงระบบการไหลเวียนของโลหิตและหลอดเลือด
  • 19.
    19 น้าสับปะรด สับปะรดมีแคลเซียมและฟอสฟอรัสสูง จึงช่วยบารุงกระดูกและฟัน และยังมีวิตามินซีที่ช่วยป้องกันโรคเลือดออก ตามไรฟันช่วยลดความเสี่ยงของโรคเหงือกอักเสบ โรคปริทันต์หรือรามะนาด มีสรรพคุณทางยาช่วยในการย่อยอาหาร ลดอาการแน่นท้อง ช่วยขับปัสสาวะ ลดอาการแผลร้อนในปาก ลดอาการอักเสบบวม ช่วยซ้อมแซมเนื้อเยื่อที่สึกหรอใน ร่างกาย ช่วยบารุงข้อต่อในอวัยวะต่าง ๆ ช่วยบรรเทาอาการของโรคไซนัสอักเสบ โรคหลอดลมอักเสบ โรคไขข้ออักเสบ ช่วยลดอาการบวมอักเสบของข้อต่อที่หัวไหล่ ช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรียที่ทาให้อาการไม่เรื้อรัง น้าสตรอเบอร์รี่ น้าผลไม้ที่มีผลดีต่อระบบการไหลเวียนของเลือด มีประโยชน์ต่อระบบหลอดเลือดหัวใจ และยังช่วยบรรเทาอาการ ปวดท้องประจาเดือนได้อีกด้วย น้าองุ่น น้าผลไม้สีม่วงสามารถช่วยป้องกันไม่เซลล์สมองเสื่อมและช่วยในเรื่องความจาได้ดี อีกทั้งยังมีสารต้านอนุมูลอิสระ ที่เป็นตัวช่วยเพิ่มภูมิต้านทานโรคให้กับร่างกาย ช่วยเสริมสร้างเซลล์ในร่างกาย และบารุงโลหิต
  • 20.
    20 น้าองุ่นคอนคอร์ด (Concord GrapeJuice) องุ่นพันธุ์นี้มีสารต้านอนุมูลอิสระอยู่มาก จึงช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคต่าง ๆ ได้ดี นอกจากนี้ยังช่วยบารุง หัวใจ และช่วยลดความดันโลหิตสูงได้ดี น้าอะโวคาโด อะโวคาโดเป็นผลไม้ที่มีสรรพคุณช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในเลือด ยับยั้งการก่อมะเร็ง เสริมสร้างความ แข็งแกร่งให้กับภูมิคุ้มกันภายในร่างกาย อีกทั้งยังมีวิตามินอีสูง จึงช่วยบารุงผิวพรรณให้สวยงามชุ่มชื้น นอกจากนี้ยังช่วย ทาให้ร่างกายย่อยและเผาผลาญไขมันได้ดีอีกด้วย น้าแอปริคอต ผลไม้ที่อุดมไปด้วยเบต้าแคโรทีน วิตามินเอ วิตามินซี และวิตามินอี มีประโยชน์ในด้านการบารุงผิวพรรณให้ สดชื่นและมีสุขภาพดี และยังช่วยป้องกันมะเร็งและเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้กับร่างกายอีกด้วย
  • 21.
    21 น้ากระเจี๊ยบแดง กระเจี๊ยบมีวิตามินเอสูงมาก จึงช่วยในการบารุงสายตา และมีแคลเซียมที่ช่วยบารุงกระดูกและฟันส่วนสรรพคุณ ทางยา กระเจี๊ยบมีสรรพคุณช่วยลดความดันโลหิต มีฤทธิ์เป็นยาระบายอ่อน ๆ ช่วยขับปัสสาวะ และแก้อาการกระหายน้า น้ากะเพราแดง น้ากะเพราแดง มีประโยชน์ในด้านการช่วยขับลม แก้อาการท้องอืด ท้องเฟ้อ แก้ปวดท้อง ช่วยบารุงธาตุใน ร่างกาย น้าขิง ขิงมีแคลเซียมที่ช่วยบารุงกระดูกและฟัน มีสารเบต้าแคโรทีนที่ช่วยต้านมะเร็ง มีสรรพคุณทางยาที่ช่วยแก้อาการ ท้องอืด ท้องเฟ้อ ช่วยขับลม ขับเสมหะ ช่วยแก้อาการคลื่นไส้อาเจียน เมารถเมาเรือ ช่วยทาให้เจริญอาหาร ช่วยลดการจับ ตัวของลิ่มเลือดและน้าย่อยต่าง ๆ ช่วยต้านการเกิดแผลในกระเพาะอาหาร นอกจากนี้ยังนิยมดื่มน้าขิงเพื่อไล่พิษไข้ เพื่อให้ ไข้หวัดอาการทุเลาลงได้เป็นอย่างดี ส่วนคนที่มีอาการไอหรือมีเสมหะมาก การดื่มน้าขิงหรือใช้กวาดคอก็จะช่วยบรรเทา อาการได้
  • 22.
    22 น้าข่า ข่า มีสรรพคุณช่วยในการย่อยอาหาร ช่วยขับลมได้เป็นอย่างดีแก้อาการท้องอืดท้องเฟ้อเรอเปรี้ยว ระบายลม ออกจากลาไส้ น้าขึ้นฉ่ายฝรั่ง (Celery) มีคุณสมบัติช่วยทาความสะอาดทางเดินปัสสาวะ ช่วยขับปัสสาวะได้ดี และเป็นผักที่ช่วยล้างพิษออกจากร่างกายได้ ดีชนิดหนึ่ง นอกจากนี้ยังเป็นผักที่มีคาร์โบไฮเดรตต่า แต่มีโพแทสเซียมสูง จึงช่วยลดความดันโลหิตได้ น้าคะน้า คะน้ามีวิตามินเอสูง จึงช่วยในการบารุงสายตา และยังเป็นแหล่งของสารเบต้าแคโรทีนที่เป็นสารยับยั้งมะเร็ง มี วิตามินซีที่ช่วยป้องกันโรคเลือดออกตามไรฟัน ช่วยชะลอวัย ทาให้เนื้อเยื่อในร่างกายทางานได้ดี และยังมีแคลเซียมและ ฟอสฟอรัสที่ช่วยบารุงกระดูก มีสรรพคุณทางยาที่ช่วยป้องกันโรคโลหิตจาง แก้อาการร้อนกระหายน้า และช่วยลดระดับ อุณหภูมิในร่างกาย
  • 23.
    23 น้าแครอท เป็นน้าผักผลไม้ที่อุดมไปด้วยแคลเซียม โพแทสเซียม และแมกนีเซียมรวมไปถึงแคโรทีนที่สามารุเปลี่ยนวิตามิน เอภายในร่างกายและช่วยดูดซึมไปใช้ได้ทันที และน้าแครอทยังมีสารต้านอนุมูลอิสระที่สามารถช่วยป้องกันและต่อต้าน โรคมะเร็งได้ น้าผักต่าง ๆ (ผักชี สะระแหน่ โหระพา) มีฤทธิ์ช่วยกระตุ้นความอยากอาการ ช่วยในการหลั่งน้าย่อย มีสารเบต้าแคโรทีนและวิตามินซี ที่ช่วยรักษา อาการหวัดได้ น้าผักกาดหอม, น้าผักกาดขาว, น้าผักกาดหวาน อุดมไปด้วยวิตามินซี ฟลาโวนอยด์เบต้าแคโรทีน และกรดโฟลิค มีประโยชน์ช่วยทาความสะอาดทางเดินอาหาร มีสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยเสริมสร้างภูมิต้านทานโรค ช่วยกระตุ้นการทางานของแบคทีเรียที่มีประโยชน์ในลาไส้ ส่วน ผักกาดหอมมีประโยชน์ช่วยป้องกันโรคความดันโลหิตสูง ช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นของหลอดเลือด
  • 24.
    24 น้าผักโขม ผักโขมมีคุณสมบัติช่วยป้องกันโรคจอประสาทตาเสื่อมเนื่องจากอายุมาก เพราะมีสารที่ช่วยสร้างระบบป้องกันสาร สีในดวงตา นอกจากนี้ยังช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคความจาเสื่อมได้อีกด้วย น้าผักโขม น้าตะไคร้หอม ตะไคร้มีวิตามินเอที่ช่วยบารุงสายตามีแคลเซียมและฟอสฟอรัสที่ช่วยบารุงกระดูกและฟัน ช่วยแก้อาการท้องอืด ท้องเฟ้อ อาการจุกเสียด ช่วยขับเหงื่อ ขับปัสสาวะ ช่วยลดความดันโลหิต และช่วยลดพิษของสารแปลกปลอม น้าตะไคร้หอม น้าต้นกล้าข้าวสารีอ่อน (Wheatgrass) ข้าวสารีอ่อนเป็นพืชที่มีคลอโรฟิลล์มากถึง 70% อุดมไปด้วยออกซิเจน ช่วยส่งเสริมการทางานของร่างกายและสมอง ช่วย ฟื้นฟูระบบหมุนเวียนโลหิต มีคุณสมบัติช่วยล้างพิษและสารเคมีออกจากร่างกาย ช่วยทาความสะอาดตับ ลดระดับน้าตาลใน เลือด มีฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรียทาให้แผลหายเร็ว นอกจากนี้ยังช่วยรักษาสิว ทาให้ผมดกดา ลดกลิ่นปาก กลิ่นตัว และยัง อุดมไปด้วยเอนไซม์ที่ดีต่อสุขภาพอีกหลายชนิด
  • 25.
    25 น้าชะพลู มีสารต้านอนุมูลอิสระอยู่หลายชนิด ช่วยบารุงธาตุ แก้ธาตุพิการทาให้เจริญอาหาร บารุงและรักษาสายตา บารุงกระดูกและฟัน ช่วยยับยั้งและชะลอการขยายตัวของเซลล์มะเร็ง และช่วยรักษาโรคเบาหวาน น้าดอกคาฝอย ดอกคาฝอยมีสรรพคุณเป็นยาลดไขมันในเลือด ป้องกันไขมันอุดตัน ลดความดันโลหิตสูง บารุงโลหิต บารุง ประสาท ช่วยขับเหงื่อ เป็นยาระบายอ่อน ๆ น้าดอกอัญชัน มีสารอาหารให้สารสีฟ้า ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยป้องกันความเสื่อมของร่างกาย ช่วยบารุงสายตา ป้องกันอันตรายจากแสงจ้า และช่วยบารุงเส้นผมให้มีสีเข้มเสมอ
  • 26.
    26 น้าใบบัวบก บัวบกมีวิตามินเอสูงมาก จึงช่วยบารุงสายตาได้เป็นอย่างดี อีกทั้งยังมีแคลเซียมที่สูงมากเช่นกันและยังมีวิตามินบี 1 ที่สูงกว่าผักทั่วไปหลายชนิด การดื่มน้าใบบัวบกจะช่วยแก้ร้อนในกระหายน้า แก้อาการช้าใน ฟกช้าได้ดี และยังช่วยลด อาการปวดศีรษะข้างเดียว ช่วยแก้อาการอ่อนเพลีย เมื่อยล้าได้ดี บารุงหัวใจ บารุงสมอง ช่วยขับปัสสาวะ และการดื่มน้าใบ บัวบักทุกวันประมาณ 1 อาทิตย์ ความดันโลหิตสูงจะลดลง นอกจากนี้ยังมีฤทธิ์ทาลายเซลล์มะเร็ง ช่วยรักษาแผลใน กระเพาะอาหารและลาไส้ ช่วยลดการอักเสบ ช่วยในการไหลเวียนของโลหิต และทาให้เลือดแข็งตัวเร็ว น้าบร็อคโคลี่ อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยป้องกันมะเร็งปอด มะเร็งทรวงอก และมะเร็งลาไส้ นอกจากนี้ยังมีประโยชน์ ในการช่วยควบคุมระดับอินซูลินและน้าตาลในเลือดได้อีกด้วย น้าบลูเบอร์รี่ น้าตาลึง ตาลึงมีวิตามินเอสูง จึงช่วยบารุงสายตา มีวิตามินซีที่ช่วยป้องกันโรคเลือดออกตามไรฟัน มีแคลเซียมและ ฟอสฟอรัสที่ช่วยบารุงกระดูก นอกจากนี้ตาลึงยังมีสรราคุณชวยป้องกันโรคมะเร็ง โรคหัวใจขาดเลือด และโรคมะเร็งได้อีก ด้วย
  • 27.
    27 น้าใบเตย น้าใบเตยมีสรรพคุณช่วยบารุงหัวใจ ช่วยแก้อาการกระหายน้า และทาให้ชุ่มชื่น น้าบีทรูท บีทรูทมีสรรพคุณช่วยเสริมสร้างเซลล์เม็ดเลือดแดงและอุดมไปด้วยวิตามินซี ธาตุเหล็ก โพแทสเซียม และ แมกนีเซียม ที่ช่วยรักษาผู้ป่วยที่สมาธิสั้นหรือมีอาการสูญเสียความทรงจา ขยายหลอดเลือดและกระตุ้นการไหลเวียนของ โลหิตให้ไปเลี้ยงสมองได้ดีขึ้น ช่วยลดความเสียหายภายในร่างกายของผู้หญิงที่มีปัญหาการปวดประจาเดือน และยังพบว่า ผู้ที่ดื่มน้าบีทรูทคั้นสดทุกเช้าจะมีระดับความดันโลหิตในสมองที่ลดต่าลงและมีความจาที่ดีขึ้น นอกจากนี้ยังช่วยขจัดสารพิษ ออกจากรางกาย ทาให้หลอดเลือดสะอาด ระบบไหลเวียนโลหิตดีขึ้น ช่วยทาให้ตับและไตทางานได้ดีขึ้น ช่วยกระตุ้นและ เพิ่มความแข็งแรงให้กับลาไส้ใหญ่ และช่วยเผาผลาญไขมันได้ดีอีกด้วย น้าฟักทอง ฟักทองอุดมไปด้วยสารเบต้าแคโรทีน ช่วยป้องกันมะเร็ง ช่วยควบคุมระดับน้าตาลในเลือดและช่วยป้องกัน โรคเบาหวาน ความดันโลหิต ช่วยบารุงนัยน์ตา บารุงตับและไต ช่วยสร้างเซลล์ใหม่ทดแทนเซลล์ที่ตายไปทาให้ทางานได้ อย่างมีประสิทธิภาพ
  • 28.
    28 น้ามะเขือเทศ มะเขือเทศมีเบต้าแคโรทีนสูงมาก จึงช่วยบารุงสายตา ต่อต้านมะเร็ง(โดยเฉพาะมะเร็งต่อมลูกหมาก) มีวิตามินซี สูงที่ช่วยเสริมภูมิต้านทางให้กับร่างกาย ช่วยป้องกันโรคเลือดออกตามไรฟัน ช่วยบารุงผิวพรรณให้ผ่องใส ทาให้ผิวไม่ เหี่ยวย่น ช่วยในการย่อยอาหาร ฟอกเลือด ช่วยแก้อาการกระหายน้า ทาให้สดชื่น เป็นยาดับร้อนถอนพิษ แก้แผลร้อนใน ช่องปาก ทาให้เลือดเย็น นอกจากนี้ยังมีวิตามินบี1 ซึ่งเป็นอาหารที่สาคัญในต่อพัฒนาการทางสมอง และยังพบไลโคปีนที่ อุดมไปด้วยแคลเซียมและฟอสฟอรัส ซึ่งช่วยในกระบวนการสร้างกระดูกและฟันให้แข็งแรง จึงช่วยป้องกันโรคกระดูกพรุน ได้ดี ในปัจจุบันพบว่ามะเขือเทศมีฤทธิ์ป้องกันโรคความดันโลหิตสูง และยังเป็นอาหารของผู้ป่วยโรคหัวใจ ความดันโลหิต และโรคตับอักเสบ เพราะการรับประทานเป็นประจาจะช่วยลดอาการของโรคดังกล่าวได้ น้ามะเขือเทศ น้ามะระ รสขมของมะระสามารถช่วยกระตุ้นน้าย่อยให้ออกมามากกว่าปกติ จึงช่วยทาให้เจริญอาหาร และยังมีวิตามิน และแร่ธาตุสาคัญอีกหลายชนิด ที่ช่วยบารุงผิวพรรณ นอกจากนี้ยังเป็นยาระบายอ่อน ๆ ช่วยขับพยาธิ ช่วยลดระดับน้าตาล ในเลือด ช่วยบารุงน้าดี แก้ตับ ม้ามอักเสบ และแก้อาการอักเสบจากพิษต่าง ๆ น้ามะระ
  • 29.
    29 น้ามะระขี้นก มะระขี้นกมีวิตามินเอสูงมาก จึงช่วยบารุงสายตา ช่วยลดกรเกิดต้อกระจกซึ่งอาการจากเบาหวานและมีสรรพคุณเป็นยา เจริญอาหาร แก้ไข้ ลดไข้ ช่วยบารุงร่างกาย เป็นยาระบาย ช่วยรักษาเบาหวาน ลดระดับน้าตาลในเลือด แก้ปากเปื่อย ปากเป็นขุย บารุงประจาเดือน น้ามะระขี้นก น้าลูกเดือย ลูกเดือยมีฟอสฟอรัสสูงมาก จึงช่วยบารุงกระดูกได้เป็นอย่างดี รองลงมาคือมีวิตามินเอที่ช่วยบารุงสายตา บารุงธาตุใน ร่างกาย ช่วยทาให้เจริญอาหาร เป็นอาหารสาหรับคนฟื้นไข้ มีฤทธิ์เป็นยาเย็น ช่วยแก้อาการร้อนใน เป็นยาขับปัสสาวะ บารุงม้าม ไต และกระเพาะอาหาร รวมทั้งยังช่วยบารุงเลือดลมสาหรับสตรีหลังคลอด แก้อาการคลื่นไส้อาเจียน น้าฟ้าทะลายโจร มีสรรพคุณเป็นยาแก้ร้อนใน เจ็บคอ ตัวร้อน ปวดศีรษะ แก้ไข้หวัด ช่วยทาให้เจริญอาหาร รักษาโรคภูมิแพ้ (ห้ามใช้กับผู้ป่วยที่มีความดันต่าและมีอาการท้องอืด ท้องแน่น อาหารไม่ย่อย)
  • 30.
    30 น้ามะตูม มะตูมมีสรรพคุณเป็นยาระบาย ช่วยขับลม แก้อาการท้องอืดเฟ้อช่วยในการย่อยอาหาร ทาให้ขับถ่ายดี ช่วย บารุงธาตุ ทาให้เจริญอาหาร ขับเสมหะ และช่วยแก้อาการร้อนในได้ดี น้าว่านหางจระเข้ ว่านหางจระเข้มีประโยชน์ในเรื่องการช่วยบารุงร่างกาย แก้อาการอ่อนเพลีบ และช่วยให้ระบบขับถ่ายทางาน อย่างเป็นปกติ น้าเห็ดหลินจือ เห็ดหลินจือมีสรรพคุณช่วยทาให้กล้ามเนื้อหัวใจแข็งแรง ทาให้พลังชีวิตมาก ทาให้มีกาลัง ช่วยบารุงร่างกาย เป็นยาอายุวัฒนะ ส่งเสริมความจา ทาให้ประสาทสัมผัสต่าง ๆ ดีขึ้น ช่วยชะลอความแก่ ส่งเสริมการไหลเวียนของโลหิต ทาให้ผิวพรรณเปล่งปลั่งสดใส นอกจากนี้เห็ดหลินจือยังมีสรรพคุณต้านมะเร็ง รักษาโรคตับ ขับปัสสาวะ แก้ความดัน โลหิตสูง ช่วยปรับความโลหิตทั้งสูงและต่า แก้ภาวะการบุตรยาก เสื่อมสมรรถภาพทางเพศ รักษาโรคประสาท ภูมิแพ้ ลมบ้าหมู ตับแข็ง ตับอักเสบ ปวดประจาเดือน เป็นริดสีดวงทวาร อัมพฤกษ์ อัมพาต ปวดเมื่อย ปวดข้อ เป็นโรคเก๊าท์ โรคเอสแอลอี เส้นเลือดอุดตันในสมอง เส้นเลือดหัวใจตีบ ช่วยรักษาแผลในกระเพาะอาหารและลาไส้
  • 31.
    31 น้าหญ้าหนวดแมว มีสรรพคุณช่วยลดอาการปวดเมื่อย แก้ขัดเบา ขับปัสสาวะและช่วยรักษาโรคไต น้าอาร์ซี (Rejuvenating Concoction – R.C.) น้าอาร์ซี คือ น้าดื่มที่มีส่วนผสมมาจากข้าวแดงจากข้าวซ้อมมือ ข้าวเหนียวซ้อมมือ ข้าวบาร์เล่ย์ ข้างฟ่าง ข้าว สาลีเม็ด ข้าวโอ๊ต ลูกเดือย และลูกบัว โดยเป็นน้าดื่มที่ช่วยเพิ่มความกระปรี้กระเปร่า ช่วยบารุงร่างกาย แก้อาการ อ่อนเพลีย ช่วยทาให้นอนหลับดี ช่วยให้กินอาหารได้ และช่วยป้องกันโรคเหน็บชา น้าใบย่านาง ย่านางจัดเป็นสมุนไพรอายุวัฒนะ ช่วยชะลอความแก่ชรา มีสารต้านอนุมูลอิสระสูง ช่วยลดระดับน้าตาลในเลือด รักษาโรคความดันโลหิตสูง ช่วยลดความอ้วย ช่วยป้องกันและลดความเสี่ยงจากการเกิดโรคมะเร็ง ฯลฯ หมายเหตุ : น้าผักในทางการค้าโดยทั่วไปแล้วจะทาขึ้นจากการปั่นผสมรวมกันผักหลายชนิดเพื่อช่วยเพิ่มรสชาติของน้าผัก ให้ดีขึ้น
  • 32.
    32 ประโยชน์ของผัก-ผลไม้ 5 สี ผักผลไม้สีเขียว โดยสารที่ให้สีเขียวก็คือสารคลอโรฟิลล์และยังมีสารประกอบอื่น ๆ ที่มีคุณสมบัติบารุงสุขภาพ เช่น ลูทีน ที่เป็น สารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยป้องกันมะเร็ง และลดการเกิดความเสื่อมของจอประสาทตาได้ เป็นต้น ผักผลไม้ในกลุ่มนี้ ได้แก่ กวางตุ้ง กะหล่าปลี ชะอม ผักคะน้า ผักโขม บล็อกโคลี่ ชมพู่เขียว แตงไทย ฝรั่ง พุทรา น้อยหน่า มะกอกน้า อะโวคาโด องุ่นเขียว แอปเปิ้ลเขียว ฯลฯ
  • 33.
    33 ผักผลไม้สีขาวหรือสีน้าตาล จะมีสารฟลาโวนอยด์อยู่หลายชนิด ที่ช่วยต้านอนุมูลอิสระ ต้านการอักเสบลดการแบ่งตัวของเซลล์มะเร็ง ช่วยลด อาการปวดข้อเข่า ซึ่งจะพบได้มากในเนื้อและเปลือกมังคุด แก้วมังกรเนื้อขาว ฝรั่ง แอปเปิ้ล และผลไม้อื่น ๆ เช่น กล้วย เงาะ ลางสาด ลองกอง ลิ้นจี่ พุทรา เป็นต้น ผักผลไม้สีเหลืองหรือสีส้ม จะมีสารเบต้าแคโรทีนฟลาโวนอยด์ วิตามินซี ที่ช่วยต้านอนุมูลอิสระ ต้านการอักเสบและเพิ่มระบบภูมิคุ้มกัน ช่วย ป้องกันและลดความเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็ง กระตุ้นการกาจัดเซลล์มะเร็งของร่างกาย ช่วยดูแลรักษาสุขภาพหัวใจ หลอดเลือด และระบบภูมคุ้มกันภายในร่างกาย ผักผลไม้ในกลุ่มนี้ ได้แก่ ข้าวโพด แครอท ฟักทอง กล้วย ขนุน แคนตา ลูปสีเหลือง มะละกอสุก ส้ม สับปะรด แอปริคอต เป็นต้น
  • 34.
    34 ผักผลไม้สีแดงหรือสีชมพูอมม่วง จะมีสารในกลุ่ม Lycopene และBetalainซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็ง โดยเฉพาะมะเร็งต่อมลูกหมากของผู้ชาย ช่วยบารุงหัวใจและหลอดเลือด ช่วยปริมาณของไขมันร้าย ( LDL) ภายในเลือด และบารุงระบบทางเดินปัสสาวะ โดยจะพบอยู่ในผักผลไม้จาพวกดอกกระเจี๊ยบ แก้วมังกรเนื้อชมพู แตงโม ตะขบ ชมพู่แดง เชอร์รี่ มะเขือเทศ มะละกอเนื้อแดง หัวบีทรูท หัวหอม สตรอเบอร์รี่ แอปเปิ้ลแเดง เป็นต้น
  • 35.
    35 ผักผลไม้สีม่วงแดงหรือสีม่วงหรือสีน้าเงิน จะอุดมไปด้วยสารแอนโทไซยานิน ( Anthocyanin)และกลุ่ม Polyphenol ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วย ชะลอความเสื่อมของเซลล์ ป้องกันการทาลายของรังสีอัลตร้าไวโอเลต ช่วยปกป้องทุกเซลล์ให้พ้นภัยจากเซลล์มะเร็งตัวร้าย ช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นให้แก่ผนังหลอดเลือด ช่วยลดการเกิดไขมันอุดตันในหลอดเลือดและโรคหลอดเลือดหัวใจแข็งตัว ช่วย ยับยั้งเชื้ออีโคไลในทางเดินอาหารที่ทาให้เกิดท้องเสีย ช่วยต้านไวรัส และลดการอักเสบได้ ผักผลไม้กลุ่มนี้ได้แก่ กะหล่าปลี ม่วง ข้าวเหนียวดา ข้าวแดง ข้าวนิล ชมพู่มะเหมี่ยว ชมพู่แดง ถั่วดา ถั่วแดง เผือก มันสีม่วง มะเขือม่วง หอมแดง ดอก อัญชัน น้าว่านกาบหอย ลูกหว้า ลูกไหน ลูกพรุน บลูเบอร์รี่ แบล็กเบอร์รี่ แครนเบอร์รี่ องุ่นแดง องุ่นม่วง เป็นต้น
  • 36.
    36 คาแนะนาในการรับประทานผักผลไม้ ควรเลือกรับประทานผักผลไม้ให้หลากหลายสีสัน หรือรับประทานให้ครบทั้ง 5สี เนื่องจากผักผลไม้แต่ละสีจะมี คุณค่าทางอาหารที่แตกต่างกันออกไป ไม่ควรรับประทานผักผลไม้ซ้า ๆ เดิม ๆ ให้เลือกรับประทานผักผลไม้โดยดูจากความหวาน โดยควรเลือกรับประทานชนิดที่มีรสหวานจัด (ขนุน , ลิ้นจี่, มะม่วงสุก, ทุเรียน, ลาไย), รสหวานปานกลาง (เงาะ, มะม่วงดิบ, ส้ม, สับปะรด,), และรสหวานน้อย (ชมพู่ , ส้มโอ, แอป เปิ้ล) สลับกันไป ทั้งนี้ก็เพื่อไม่ทาให้ร่างกายได้รับน้าตาลมากจนเกินไปด้วย เปลือกผลไม้บางชนิดก็มีประโยชน์มากนะครับ ปอกทิ้งไปก็เสียดาย อย่างเช่นเปลือกแอปเปิ้ล นักวิจัยพบว่าเปลือก แอปเปิ้ลแดงหนึ่งผลมีสารต้านอนุมูลอิสระเทียบเท่ากับวิตามินซี 820 มิลลิกรัม หรือเปลือกมันฝรั่งที่อุดมไปด้วยไปใย อาหารและแร่ธาตุบางชนิดมากกว่าเนื้อมันฝรั่งเสียอีก เป็นต้น ก่อนนาผักผลไม้มารับประทานคุณควรนามาล้างให้สะอาดเสียก่อน ทั้งนี้ก็เพื่อความปลอดภัยจากสารเคมีต่าง ๆ รวมถึงยาฆ่าแมลงด้วยครับ อ่านบทความเรื่องการล้างผักได้ที่ 16 วิธีการล้างผักผลไม้ให้สะอาด
  • 37.
    37 การเลือกรับประทานผัก-ผลไม้ ผักผลไม้ชนิดใดที่ ดีที่สุด ไม่มีชนิดใดดีที่สุดครับเพราะสารสาคัญในผักผลไม้ชนิดต่าง ๆ จะทางานออกฤทธิ์ ส่งเสริมเกื้อหนุนกัน ผักดิบกับผักสุก มีประโยชน์เหมือนกันหรือไม่? ผักสุกอาจสูญเสียวิตามินบางชนิดได้ เช่น วิตามินซี ที่สลายตัวได้ ง่ายเมื่อถูกความร้อน แต่บางคนอาจประสบปัญหาท้องผูกจากการรับประทานผักดิบได้ หรือมีอาการท้องเสียเพราะล้างผัก ไม่สะอาด แต่ผักบางชนิดเองหากรับประทานแบบสุกก็จะมีประโยชน์มากกว่า เช่น มะเขือเทศที่ผ่านการปรุงสุกหรือผ่าน กระบวนต่าง ๆ เพราะร่างกายจะนาไลโคปีนไปใช้ได้ดีกว่าแบบดิบหรือสดครับ น้าผักผลไม้มีประโยชน์เหมือนผักผลไม้สด ๆ หรือไม่ ? น้าผักผลไม้จะไม่มีกากใยอาหารเหมือนกับการ รับประทานแบบสด ๆ แต่สาหรับผู้ที่ไม่ค่อยได้รับประทานผักผลไม้สดก็อาจดื่มน้าผักผลไม้เสริมก็ได้ แต่ถ้าจะให้ดีควรคั้น ดื่มเอง เนื่องจากน้าผักผลไม้สาเร็จรูปจะมีปริมาณของน้าตาลที่สูง ผักผลไม้แห้งดีหรือไม่ดี ? ผักผลไม้แห้งบางอย่างที่เติมเกลือ ก็จะมีผลต่อโรคความดันโลหิตสูง จึงควร รับประทานแต่น้อย ส่วนผักผลไม้แห้งที่ใส่น้าตาลจะให้พลังงานสูงกว่าผักผลไม้สดประมาณ 1 เท่าตัว แต่ถ้ารับประทาน มากก็ทาให้อ้วนได้เช่นกัน
  • 38.
    38 ผักผลไม้บรรจุกระป๋องหรือแช่แข็ง มีประโยชน์หรือไม่ ?กระบวนการผลิตที่มีประสิทธิภาพสามารถรักษาคุณค่า ทางโภชนาการเอาไว้ได้ แต่ก็อาจทาให้สูญเสียวิตามินบางชนิดไปบ้าง แต่ก็ไม่ถึงกับเสื่อมคุณภาพเสียทีเดียว อย่างไรก็ ตามถ้าเป็นผักผลไม้กระป๋องก็ควรเลือกชนิดที่ไม่เติมเกลือและน้าตาล หรือเลือกชนิดที่ใส่สารแต่งเติมให้น้อยที่สุด ส่วนผัก ผลไม้แช่แข็งก็ต้องเก็บไว้ในอุณหภูมิที่เหมาะสมเท่านั้น สารสกัดจากผักผลไม้สามารถทกแทนผักไม้สดได้หรือไม่ ? ผักผลไม้แปรรูปที่อยู่ในรูปของอาหารเสริมหรือสาร สกัดไม่สามารถทดแทนการรับประทานผักผลไม้สดได้ หรือผักผลไม้สดจะมีทั้งกากใบ วิตามิน และเกลือแร่มากมายหลาย ชนิด สัดส่วนของการรับประทานผักผลไม้ต่อวันคือ ให้รับประทานผัก 3 ส่วน และผลไม้อีก 2 ส่วน (รับประทานผักมากกว่าผลไม้) ผักผลไม้บางอย่างอาจมีสารพิษในตัวมันเอง ถ้ารับประทานในปริมาณน้อยก็อาจจะไม่ก่อให้เกิดพิษ แต่หาก รับประทานในปริมาณมากอาจจะเป็นพิษได้ หรือบางชนิดก็รับประทานแบบดิบ ๆ ไม่ได้ ต้องนามาทาให้สุกหรือผ่าน กระบวนการให้ความร้อนเสียก่อน สารพิษจึงจะสลายตัว ผักผลไม้บางชนิดอาจมีสารหรือแร่ธาตุบางชนิดในปริมาณสูง ซึ่งอาจก่อให้เกิดโทษกับผู้ป่วยโรคเรื้อรังบางโรค ได้ ซึ่งผู้ป่วยเรื้อรังก็ควรพึงระวังด้วยครับ เช่น ผู้ป่วยโรคไตควรหลีกเลี่ยงการรับประทานผักผลไม้ที่มีกรดออกซาลิกสูง (Oxalic acid) เช่น มันสาปะหลัง ผักโขม ผักแพว ปวยเล้ง ใบชะพลู แครอท เป็นต้น หรือผู้ป่วยธาลัสซีเมีย ควร หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารที่มีธาตุเหล็กสูง เช่น ถั่วฝักยาว ผักกูด ผักแว่น แมงลัก กะเพรา เป็นต้น หรือผู้ป่วยโรค ไทรอยด์ควรหลีกเลี่ยงการรับประทานกะหล่าปลี เป็นต้น (โดยเรื่องนี้เราจะกล่าวโดยละเอียดในบทความหน้าครับ จะได้ ทราบว่าผู้ป่วยโรคใดบ้างที่ควรงดรับประทานผักผลไม้บางชนิด และทาไมถึงควรงดรับประทาน)
  • 39.
    39 อาหารตามกรุ๊ปเลือด กรุ๊ป O คนกรุ๊ปโอ จะเป็นคนที่กินเนื้อได้เยอะที่สุดเนื่องจากกระเพาะมีความเป็นกรดสูง ทาให้ย่อยอาหารจาพวกเนื้อได้ ดีกว่ากรุ๊ปอื่น ๆ แถมยังดูดซึมสารอาหารได้ดี สามารถนาไปใช้ในส่วนต่าง ๆ ของร่างกายได้เป็นอย่างดี แต่เพื่อความ สมดุลของร่างกาย จึงไม่ควรกินเนื้อมากเกินไป โดยมีวิธีแก้คือกินผักให้มากขึ้น หรือกินในอัตราส่วนครึ่งหนึ่งของอาหาร แต่ละมื้อ อีกเรื่องหนึ่งที่สาคัญก็คือ คนกรุ๊ปเลือดโอมักจะมีปัญหาเรื่องระดับฮอร์โมนไทรอยด์ไม่คงที่ จึงทาให้อ้วนได้ง่าย หากต้องการลดน้าหนักควรเลือกที่จะงดคาร์โบไฮเดรต เช่น ข้าว, แป้ง, น้าตาล รวมไปถึงถั่วชนิดต่าง ๆ เพราะจะทาให้ น้าหนักขึ้นง่ายกว่าปกติ และควรระมัดระวังในเรื่องของเลือดแข็งตัวช้า เพราะคนกรุ๊ปนี้จะมีเลือดที่มีความเหลวมากที่สุด ดังนั้นจึงควรรับประทานอาหารที่มีวิตามินเคด้วย เพื่อช่วยทาให้เลือดแข็งตัวได้เร็วขึ้น ส่วนการออกกาลังกายให้เน้นการ เล่นกีฬาที่ออกแรงมาก ๆ เช่น วิ่ง ปั่นจักรยาน เต้นแอโรบิก ว่ายน้า ก็จะช่วยเผาผลาญแคลอรีได้เป็นอย่างดี อาหาร อาหารที่เหมาะกับคนกรุ๊ปโอจะเป็นเนื้อสัตว์แทบทุกชนิด รวมไปถึงอาหารทะเลต่าง ๆ ที่มีไอโอดีนสูง แต่ต้อง ระวังเรื่องไขมันและคอเลสเตอรอลจากเนื้อสัตว์ด้วย ดังนั้นจึงควรกินนม เนย และไข่ในปริมาณที่พอเหมาะและหมั่นออก กาลังกายเป็นประจา
  • 40.
    40 ผัก กินได้แทบทุกชนิด โดยเฉพาะผักโขม บรอกโคลีเนื่องจากมีวิตามินเคสูง แต่ควรหลีกเลี่ยงผักตระกูลกะหล่า เนื่องจากมีผลต่อไทรอยด์ รวมไปถึงมะกอกดองและเห็ดหอม เพราะจะทาให้เกิดอาการแพ้ ส่วนมะเขือยาวและมันฝรั่งก็ควร หลีกเลี่ยงเช่นกัน เพราะจะทาให้ปวดข้อ ผลไม้ กินได้แทบทุกชนิดเช่นกัน โดยเฉพาะเชอร์รี่และบลูเบอร์รี่ รวมไปถึงผลไม้ตระกูลเกรปฟรุต เนื่องจากสามารถช่วย ลดน้าหนักได้ดี ส่วนผลไม้ที่ควรเลี่ยงคือ ส้ม สตรอว์เบอร์รี่ มะพร้าว แคนตาลูป เพราะมีความเป็นกรดสูง ถ้ากินมาก ๆ จะ ทาให้มีกรดในกระเพาะมากเกินไป เครื่องดื่ม ควรเป็นชาจากสมุนไพรต่าง ๆ เช่น ชาพาร์สลีย์ชาเปปเปอร์มินต์ ส่วนชาที่ควรงดคือ ชาที่ทาจากใบชา และงด การดื่มกาแฟ ชา เบียร์ เพราะจะเป็นการเพิ่มกรดในกระเพาะอาหารให้หนักเข้าไปอีก อาหารที่คนกรุ๊ปโอควรรับประทานบ่อยครั้ง เนื้อแกะ, เนื้อวัว, ปลาค้อด, ปลาเทราต์, ปลาจะละเม็ด, ปลากะพงแดง, ผักโขม, บรอกโคลี่, พาร์สลีย์, สาหร่าย ทะเล, เชอร์รี่, บลูเบอร์รี่, สับปะรด, ชาเขียว, น้ามันมะกอก, กระเทียม, ขิง, ขมิ้น, หอมหัวใหญ่, หอมหัวเล็ก, ถั่ววอลนัต เป็นต้น อาหารที่คนกรุ๊ปโอควรงดหรือหลีกเลี่ยง แฮม, เบคอน, ปลาดุก, นมและผลิตภัณฑ์จากนม, ข้าวสาลี, ข้าวบาร์เลย์, ข้าวโพด, ดอกกะหล่า, แตงกวา, มัน ฝรั่ง, กีวี, แคนตาลูป, มะขาม, มะพร้าว, อะโวคาโด, แบล็กเบอร์รี่, ส้ม, พริกไทย, น้ามันถั่วเหลือง, ถั่วลิสง, ถั่วแดง, ถั่วพิสตาชิโอ, ถั่วขาว, เมล็ดทานตะวัน, เม็ดมะม่วงหิมพานต์, เบียร์ เป็นต้น เมนูอาหารของคนกรุ๊ปโอ ผัดบรอกโคลี่กุ้งย่างแบบจีน , ข้าวผัดผักรวมกับหมูย่างกะเพรา , ข้าวหุงขมิ้นไก่โหระพา , หมูอบขิง, ตับหวาน, สลัดปลากะพงขาวซอสเลมอน, ข้าวอบสับปะรดปลา, ไก่ทอดกระเทียมกับขมิ้น, สเต๊กปลาเทราต์อบสมุนไพร, ยาสาหร่ายวา กาเมะกับกุ้งกระเทียมย่าง , ซุปหอมหัวใหญ่ปลากะพง , ซุปสาหร่ายตุ๋นดอกไม้จีน , ซุปบรอกโคลี่, เนื้อทอดกระเทียมยา ตะไคร้สด, ปลาหมึกชุบแป้งทอด, เนื้อสันในม้วนผักโขม, พุดดิ้งชาเขียว, แพนเค้กมิกซ์เบอร์รี่, สมูทตี้บลูเบอร์รี่แอนด์เชอร์รี่ , น้าลูกพรุน เป็นต้น กรุ๊ป A
  • 41.
    41 คนกรุ๊ปเอ เรียกได้ว่าเป็นนักมังสวิรัติเลยก็ว่าได้ เพราะคนกรุ๊ปเลือดเอจะกินเนื้อสัตว์ได้น้อยที่สุดและต้องกินผัก ที่สุดเนื่องจากมีกรดในกระเพาะอาหารต่ามากและมีความเข้มข้นของเลือดสูง ถ้ากินเนื้อสัตว์บ่อย ๆ จะทาให้เลือดหนืดและ ไหลเวียนช้า ทาให้เป็นโรคหัวใจได้ และยังมีโอกาสเสี่ยงเป็นโรคมะเร็งและเบาหวาน รวมไปถึงปัญหาเรื่องระบบภูมิคุ้มกัน ของร่างกายที่ทางานได้ไม่เต็มที่ สาหรับผู้ที่ต้องการลดน้าหนัก การรับประทานมังสวิรัติจะช่วยทาให้เห็นผลได้เร็วมาก แถมยังช่วยเพิ่มภูมิต้านทานให้กับร่างกายอีกด้วย ส่วนการออกกาลังกายให้เน้นออกกาลังกายแบบเบา ๆ ไม่ออกแรงมาก นัก เช่น โยคะ และเมื่อมีความเครียดก็แก้ไขได้ด้วยการนั่งสมาธิเป็นประจา อาหาร ควรหลีกเลี่ยงการกินเนื้อสัตว์ต่าง ๆ ยกเว้นปลาแซลมอน ปลาทู ปลาค้อด ปลากะพง และปลาซาร์ดีน ที่สามารถ กินได้สัปดาห์ละ 3-4 ครั้ง เพื่อช่วยเสริมโปรตีน และควรหลีกเลี่ยงการรับประทานปลาจะละเม็ดและปลาตาเดียว เนื่องจาก มีเลกตินสูง จะทาให้เลือดหนืดและไหลเวียนช้า ส่วนโปรตีนควรได้รับจากถั่วเหลืองหรือน้านมถั่วเหลืองทดแทนจากเนื้อสัตว์ ส่วนไข่กินได้บางครั้ง ข้าวกล้องหรือซีเรียลกินได้วันละ 1-2 ครั้ง ผัก สามารถกินได้ทั้งดิบและสุก โดยเฉพาะบรอกโคลี หอมหัวใหญ่ เพราะมีสารต้านอนุมูลอิสระสูง รวมไปถึงแคร์ รอต ผักโขม และกระเทียม ที่ช่วยกระตุ้นการสร้างภูมิคุ้มกัน และฟักทองที่ช่วยเรื่องกรดในกระเพาะอาหาร ผลไม้ กินผลไม้ได้แทบทุกชนิด ยกเว้น กล้วย แคนตาลูป แตงโม มะม่วง มะละกอ ส้ม เพราะย่อยได้ยาก เป็นตัว ขัดขวางการดูดซึมของวิตามิน และทาให้ระคายเคืองกระเพาะ เครื่องดื่ม ที่แนะนาให้ดื่ม คือ ชา กาแฟ และไวน์แดง (แต่กาแฟไม่ควรดื่มเกินวันละ 1 แก้ว) โดยควรดื่มหลังอาหารเท่านั้น เพื่อช่วยในการย่อยอาหาร เพราะเป็นเครื่องดื่มที่ช่วยเพิ่มกรด และควรหลีกเลี่ยงการดื่มเบียร์ โซดา และน้าอัดลม เพราะจะ ทาให้มีกรดในกระเพาะมากเกินไป
  • 42.
    42 อาหารที่คนกรุ๊ปเอควรรับประทานบ่อยครั้ง ปลาแซลมอน, ปลาค้อด, ปลาซาร์ดีน,บรอกโคลี, เซเลอรี่, พาร์สลีย์, ผักโขม, กระเทียม, ขิง, ขมิ้น, หอมหัวใหญ่, หอมเล็ก, เลมอน, สับปะรด, ลูกพลัม, ลูกพรุน, ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ , น้ามันมะกอก, ถั่วเหลืองและ ผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง, ถั่ววอลนัต, ชาเขียว เป็นต้น อาหารที่คนกรุ๊ปเอควรงดหรือหลีกเลี่ยง หมู, เป็ด, แฮม, เบคอน, กุ้งมังกร, ปู, ปลากะตัก, ปลาลิ้นหมา, ปลาดุก, หอยนางรม, หอยแครง, นมและ ผลิตภัณฑ์จากนม, กะหล่าปลี, มะระ, มะเขือม่วง, มะเขือเทศ, พริกไทย, จมูกข้าว, ข้าวโพด, มันฝรั่ง, กล้วย, มะม่วง, มะละกอ, มะขาม, มะพร้าว, ส้ม, น้ามันถั่วเหลือง, เม็ดมะม่วงหิมพานต์, ถั่วพิสตาชิโอ, ถั่วแดง เป็นต้น เมนูอาหารของคนกรุ๊ปเอ ข้าวผัดปลาซาร์ดีนต้มยา, ข้าวจี่กุ้งสับ, ข้าวยาธัญพืช, ยาแซลมอนสดกับกระเทียม, ยาใบชะพลูกุ้งคั่ว , เปาะเปี๊ยะ ญวนแซลมอน, ฟองเต้าหู้ทอดผัดวุ้นเส้น, พล่าเต้าหู้กรอบ, ซุปเต้าหู้รสจัด, ซุปฟักทอง, ซุปถั่วเขียว, เผือกบดทอดสอดไส้กุ้ง , เต้าหู้อบหม้อดิน, ไก่อบยัดไส้ผักโขมและลูกพรุน , ปลาบดทอดกรอบ , สเต๊กแซลมอนราดซอสเต้าหู้ , ถั่วเขียวต้มน้าตาล , ไอศกรีมนมถั่วเหลืองโฮมเมด, ไอศกรีมน้าเต้าหู้, ชาเขียวเย็นโซดา, เกรปฟรุตมะนาวสมูทตี้ เป็นต้น กรุ๊ป B คนกรุ๊ปบี เป็นกรุ๊ปที่ค่อนข้างมีความยืดหยุ่นทางอาหารสูง คือ กินได้ทั้งเนื้อสัตว์และผักในปริมาณที่พอดี ไม่มาก หรือน้อยจนเกินไป เพราะมีความเข้มข้นของเลือดอยู่ในระดับกาลังดี แต่ปัญหาคือ จะเป็นคนอ้วนง่ายและภูมิคุ้มกันบกพร่อง ง่าย บางรายอาจมีปัญหาเรื่องการติดเชื้อไวรัสต่าง ๆ มีระบบประสาทไม่ค่อยดี มีอาการปวดตามข้อเป็นประจา และมี โอกาสเกิดโรคภูมิแพ้ตัวเอง แต่คนกรุ๊ปเลือดบีจะไม่มีแนวโน้มเป็นโรคมะเร็งหรือโรคหัวใจเหมือนคนกรุ๊ปเอ สาหรับผู้ที่ ควบคุมน้าหนักควรหลีกเลี่ยงข้าวโพด งา ถั่ว และมะเขือเทศ เพราะมีผลต่อการสร้างอินซูลินและระบบเผาผลาญอาหาร การออกกาลังกายควรออกกาลังกายแบบไม่หักโหมมากนัก แต่ก็ไม่เบาจนเกินไป เช่น เล่นเทนนิส ศิลปะป้องกันตัว การ ปีนเขา เป็นต้น อาหาร
  • 43.
    43 อาหารที่เหมาะสมคือ เนื้อกระต่าย แกะกวาง ไก่งวง ปลาหิมะ ปลาแซลมอน ปลาเนื้อขาวอย่างปลาจะละเม็ด ปลาตาเดียว ส่วนเนื้อไก่ กุ้ง ปู หอยเชลล์ และหอยแครงควรจะหลีกเลี่ยง เพราะมีผลต่อการทางานของระบบต่าง ๆ ใน ร่างกาย ส่วนนม เนย และไข่ กินได้ในปริมาณที่เหมาะสม ควรเน้นกินข้าวกล้อง ข้าวโอ๊ต และหลีกเลี่ยงแป้งสาลี แป้งโฮล วีต และถั่วลิสง เพราะไม่ดีต่อระบบเผาผลาญ ทาให้อ้วนได้ง่ายและส่งผลไม่ดีต่อเลือด ดังนั้นจึงไม่ควรกินขนมปังแบบที่มี ขายอยู่ทั่วไป ถ้าอยากกินจริง ๆ ให้เลือกที่ทาจากแป้งสเปลท์ (Spelt) เพราะจะช่วยต้านเชื้อโรคและบารุงประสาท แต่จะ หาได้ยากหน่อยนะ ผัก ที่ควรกินคือ กะหล่าปลี บรอกโคลี หอมหัวใหญ่ ขิง รวมไปถึงผักใบเขียวทุกชนิด เพราะมีแมกนีเซียมสูง สามารถช่วยป้องกันอาการผื่นคันและภูมิแพ้ได้ ผลไม้ กินได้แทบทุกชนิด โดยเฉพาะ “สับปะรด” เนื่องจากมีเส้นใยอาหารสูง แถมยังช่วยทาให้เลือดหมุนเวียนได้ดีอีก ด้วย แต่ผลไม้ที่ควรจะหลีกเลี่ยงคือ ลูกพลับ ลูกแพร์ และทับทิม เครื่องดื่ม ที่แนะนาให้ดื่มคือ น้าขิง ชาเชียว โสม และเปปเปอร์มินต์ เพราะช่วยบารุงประสาท อาหารที่คนกรุ๊ปบีควรรับประทานบ่อยครั้ง เนื้อแกะ, เนื้อแพะ, ปลาจะละเม็ด, ปลาซาร์ดีน, ปลาค้อด, กะหล่าปลี, บรอกโคลี่, ขิง, ขมิ้น, หอมหัวใหญ่, หอม เล็ก, แครนเบอร์รี่, สับปะรด, ลูกพลัม, ลูกพรุน, แตงโม, เมล็ดแฟล็กซ์, น้ามันมะกอก, ชาเขียว, โยเกิร์ต เป็นต้น อาหารที่คนกรุ๊ปบีควรงดหรือหลีกเลี่ยง แฮม, เบคอน, ไก่, เป็ด, ปลากะพง, ปู, กุ้งมังกร, หอยนางรม, ข้าวโพด, มะพร้าว, ทับทิม, อะโวคาโด, มะเขือ เทศ, ซอสมะเขือเทศ, มะระ, มะเฟือง, หัวไชเท้า, พริกไทย, ข้าวสาลี, งา, ถั่วลิสง, ถั่วเหลือง, ถั่วเขียว, ถั่วพิสตาชิโอ, เมล็ดทานตะวัน, เมล็ดฟักทอง, เมล็ดมะม่วงหิมพานต์, ดอกคาฝอย เป็นต้น เมนูอาหารของคนกรุ๊ปบี กะหล่าปลีทอดน้าปลา, ข้าวผัดขมิ้นปลาทูน่า, ทอดมันข้าวกล้อง, หน่อไม้ฝรั่งทอดกรอบ, ปลาเก๋าชุบแป้งทอดราด ซอสส้ม, ปลาจะละเม็ดทอดขมิ้น, ปลาจะละเม็ดนึ่งขิง, สเต๊กหมูซอสโยเกิร์ต, เปาะเปี๊ยะย่างไส้หมูพริกเผา , ซี่โครงหมูต้มขิง กับสับปะรด, เนื้ออบสับปะรด, สตูแกะสไปซี่, ถั่วแดงกวน, แพนเค้กข้าวกล้องกับคัสตาร์ดชาเชียว , สมูทตี้แตงโมมินต์ , สับปะรดนมสดสมูทตี้, ไอศกรีมโยเกิร์ตน้าผึ้ง เป็นต้น
  • 44.
    44 กรุ๊ป AB คนกรุ๊ปเอบี เป็นกรุ๊ปที่ผสมระหว่างกรุ๊ปเอและบีดังนั้นจึงกินอาหารที่ใกล้เคียงกับสองกรุ๊ปนี้ได้ เพียงแต่จะกิน เนื้อสัตว์ได้น้อยกว่าคนกรุ๊ปบี และไม่ต้องกินผักมากเท่ากับคนกรุ๊ปเอ เพราะคนกรุ๊ปเลือดเอบีมีกรดในกระเพาะอาหารต่า ที่ สาคัญคือควรงดอาหารหมักดองทุกชนิด เพราะไม่ดีต่อสุขภาพ และมักมีปัญหาเรื่องระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ เสี่ยงเป็น โรคหัวใจ มะเร็ง และเบาหวาน ส่วนใครที่กาลังควบคุมน้าหนักก็ให้เน้นรับประทานผักใบเขียวให้มาก ๆ สามารถกินข้าว และขนมปังได้บ้าง เพราะแป้งไม่มีผลทาให้คนกรุ๊ปนี้อ้วนได้ง่ายเหมือนคนกรุ๊ปโอ ในเรื่องของการออกกาลังกาย ให้เน้น การออกกาลังกายแบบเบา ๆ ด้วยการเดินช้า ๆ เล่นโยคะ เป็นต้น อาหาร อาหารที่ควรรับประทาน คือ เต้าหู้ ผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง ปลาซาร์ดีน ส่วนเนื้อสัตว์ที่กินได้เล็กน้อย คือ เนื้อแกะ กระต่าย กวาง และไก่งวง ส่วนเนื้อไก่ ปลาเนื้อขาว อย่างปลาเทราต์ ปลาลิ้นหมา และแซลมอนรมควันควรหลีกเลี่ยง เพราะย่อยยากและเป็นพิษต่อระบบทางเดินอาหาร ผัก กินผักได้แทบทุกชนิด ส่วนธัญพืชแนะนาให้กินข้าวโอ๊ตและข้าวไรย์ เพราะมีประโยชน์ต่อร่างกาย แต่ควร หลีกเลี่ยงงา ถั่วแดง เมล็ดฟักทอง และข้าวโพด เพราะชะลอการทางานของอินซูลิน ผลไม้ กินได้แทบทุกชนิดเช่นกัน เช่น แครนเบอร์รี่ เชอร์รี่ สับปะรด ส้มโอ พลัม องุ่น ฯลฯ เพราะช่วยสร้างความสมดุล ของกรดในเนื้อเยื่อ ส่วนผลไม้ที่ควรหลีกเลี่ยงคือ กล้วย ฝรั่ง มะม่วง และมะพร้าว เครื่องดื่ม ที่แนะนาคือ ไวน์แดง แต่ควรดื่มเพียงวันละ 1 แก้ว เพื่อช่วยสร้างเสริมภูมิต้านทานโรคหัวใจและมะเร็ง รวมไป ถึงชาคาโมมายล์และชาเขียว เพราะช่วยฟื้นฟูระบบภูมิคุ้มกัน หรือจะเป็นน้าอุ่นผสมน้ามะนาวครึ่งซีกไว้สาหรับดื่มตอนเช้า เพื่อช่วยในการย่อยและล้างระบบลาไส้ก็ได้
  • 45.
    45 อาหารที่คนกรุ๊ปเอบีควรรับประทานบ่อยครั้ง ปลาซาร์ดีน, กะหล่าปลี, ดอกกะหล่า,บรอกโคลี, พาร์สลีย์, กระเทียม, ขิง, ขมิ้น, หอมหัวใหญ่, หอมเล็ก, แค รนเบอร์รี่, เชอร์รี่, เลมอน, สับปะรด, องุ่น, ถั่วเหลือง, เมล็ดแฟล็กซ์, วอลนัต, น้ามันมะกอก, ชาเขียว, โยเกิร์ต เป็นต้น อาหารที่คนกรุ๊ปเอบีควรงดหรือหลีกเลี่ยง แฮม, เบคอน, ไก่, เป็ด, ปู, ปลาลิ้นหมา, ปลาเทราต์, กุ้ง, กุ้งแห้ง, กุ้งมังกร, หอยนางรม, มะระ, หัวไชเท้า, พริกไทย, งา, เมล็ดฟักทอง, เมล็ดทานตะวัน, ข้าวโพด, มันสาปะหลัง, ถั่วแดง, ถั่วเขียว, กล้วย, มะพร้าว, มะม่วง, ส้ม, อะโวคาโด, ดอกคาฝอย เป็นต้น เมนูอาหารของคนกรุ๊ปเอบี ข้าวกล้องหุงดอกกะหล่า, บรอกโคลีผัดหมูน้าแดง, ปลากะพงผัดขิง, ปลากะพงทอดราดซอสกระเทียม , ปลาย่าง พาร์สลีย์ซอสซาวร์ครีม, สลัดแซลมอนสดกับมายองเนสวาซาบิ, สลัดครีมทูน่า, ยาเต้าหู้เย็นซอสเลมอนสไปซี่ , ยาเนื้อย่างกับ องุ่น, ลาบปลากระป๋อง , เต้าหู้ทอดผัดพริกสด , เต้าหู้ย่างซอสเทอริยากิ , ซุปเต้าหู้เห็ดหอม , ซุปดอกกะหล่า, ซุปครีมทูน่า, กะหล่าปลีตุ๋นปลาเค็ม , สเต๊กหมูกระเทียมอบวอลนัต , วุ้นน้าเต้าหู้แมงลัก , เชอร์รี่ปั่นกับโยเกิร์ต , กล้วยหอมนมถั่วเหลือง ช็อกโกแลตสมูทตี้ เป็นต้น หมายเหตุ : อาหารที่แนะนาให้รับประทาน หมายถึง อาหารที่กินได้บ่อย ๆ ส่วนอาหารที่ควรงดหรือหลีกเลี่ยง หมายถึง อาหารที่ไม่ควรกินเลย แต่ถ้าจาเป็นต้องกิน ให้กินในปริมาณน้อย และพยายามกินอาหารที่เหมาะสมเข้าไปทดแทน ในทันทีด้วย สาหรับอาหารอื่น ๆ ที่ไม่ได้ระบุไว้สามารถกินได้นาน ๆ ครั้ง
  • 46.
    46 ผักลดความอ้วน มะเขือ สาว ๆ รู้ไหมคะว่ามะเขือนี่ถือเป็นผู้ช่วยลดน้าหนักอย่างดีเลยทีเดียวนะเพราะว่ามะเขือจะมีสารอาหารที่เรียกว่า ไบโอฟลาโวนอยด์ และโพแทสเซียม ซึ่งสารอาหารเหล่านี้จะช่วยคุมระดับคอเลสเตอรอลในร่างกายได้ รับรองเลยว่าถ้า ใครกินมะเขือบ่อย ๆ ร่างกายจะเผาผลาญไขมันได้ดีขึ้นแน่นอน หน่อไม้ฝรั่ง หน่อไม้ฝรั่งถือเป็นแหล่งรวมของเส้นใยโฟเลต วิตามินซี อี เค บี 6 และแร่ธาตุชนิดอื่น ๆ ซึ่งสามารถที่จะช่วย ลดคอเลสเตอรอลในร่างกายได้ดี แถมไม่ว่าจะเอามาผัด หรือนึ่งรับประทานกับน้าพริกก็อร่อย เรียกได้ว่าเป็นผักอีกหนึ่ง ชนิดที่สาว ๆ ไม่ควรพลาดเลยล่ะค่ะ ถั่วเหลือง ถั่วเหลืองถือเป็นผักอีกชนิดหนึ่งที่จะช่วยลดน้าหนักได้ดี เพราะในถั่วจะอุดมไปด้วยคาร์โบไฮเดรต อีกทั้งยังมีเส้น ใยสูง เมื่อรับประทานเข้าไปแล้วจะช่วยให้อิ่มนาน อีกทั้งยังจะช่วยลดคอเลสเตอรอลในเส้นเลือดได้อีกด้วย ผักสลัด ผักสลัดเป็นผักที่มีแคลอรีต่า กินแล้วจะช่วยทาให้ระบบย่อยอาหารในร่างกายทางานได้ดี ดังนั้นจึงไม่แปลกเลย ที่ผักสลัดจะกลายเป็นเมนูยอดนิยมสาหรับผู้ที่กาลังลดความอ้วน พริก ความเผ็ดร้อนของพริกเป็นตัวสาคัญที่จะช่วยลดความอ้วนได้ดี ซึ่งในพริกจะมีสารที่ชื่อว่าแคปแซนติน ซึ่งสารนี้ จะช่วยให้การเผาผลาญไขมันในร่างกายทางานได้ดีและรวดเร็วยิ่งขึ้น แต่ทั้งนี้ก็ควรรับประทานแต่พอดี เพราะไม่อย่างนั้น อาจจะส่งผลเสียทาให้ปวดท้องหรือท้องเสียได้
  • 47.
    47 หอมหัวใหญ่ หอมหัวใหญ่มีคุณสมบัติที่จะช่วยเผาผลาญไขมันและลดไขมันได้ดี แต่ทั้งนี้สาหรับใครที่ไม่ชอบกลิ่นฉุน ๆของ หัวหอม อาจจะนาไปปรุงให้สุกก่อนรับประทานจะทาให้มีรสหวานและทานง่ายยิ่งขึ้น กระเทียม กระเทียมเป็นผักที่รับประทานเข้าไปแล้วจะช่วยให้ระบบเผาผลาญไขมันในร่างกายทางานได้ดียิ่งขึ้น ดังนั้นควร ใส่กระเทียมลงไปในอาหารแต่ละมื้อ เพราะเมื่อรับประทานบ่อย ๆ จะช่วยทาให้ระดับคอเลสเตอรอลในร่างกายลดลงได้ เป็นอย่างดี กะหล่าปลี กะหล่าปลีสามารถช่วยควบคุมน้าหนักได้ เพราะในกะหล่าปลีจะมีกรดทาร์ทาริก ซึ่งจะช่วยยับยั้งแป้งและน้าตาล ไม่ให้เปลี่ยนเป็นไขมันได้ แต่ทั้งนี้หากจะรับประทานก็ควรปรุงให้สุกเสียก่อน เพราะถ้าหากกินดิบ ๆ บ่อย ๆ อาจทาให้ เป็นโรคคอหอยพอกเอาได้ มันเทศ ในมันเทศมีคาร์โบไฮเดรตสูง กินแล้วจะช่วยให้อิ่มเร็วและอิ่มนาน และช่วยลดระดับไขมันในเส้นเลือดได้ดี ถือ เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่สาว ๆ นิยมรับประทานในช่วงที่ต้องการควบคุมน้าหนัก มะเขือเทศ มะเขือเทศเป็นผักอีกชนิดหนึ่งที่รับประทานแล้วจะช่วยปรับฮอร์โมนในร่างกาย ทาให้รู้สึกอิ่มนานและไม่ค่อยหิว อีกทั้งยังมีแคลอรีต่า ซึ่งนอกจากจะช่วยให้น้าหนักลดลงได้ง่าย ๆ แล้วยังจะช่วยให้ผิวพรรณดีขึ้นอีกด้วยนะสาว ๆ ช่วงที่ลดความอ้วน นอกจากจะกินผักเหล่านี้เป็นตัวช่วยแล้ว ยังไงก็อย่าลืมออกกาลังกายกันด้วย
  • 48.
    48 ผลไม้ลดนาหนัก แอปเปิล แอปเปิลเป็นผลไม้ที่อุดมไปด้วยไฟเบอร์ วิตามิน และเกลือแร่ที่ดีต่อร่างกายด้วยเหตุผลนี้แอปเปิลจึงเป็นผลไม้ ตัวแม่สุดจี๊ดที่ช่วยลดน้าหนัก เพราะไฟเบอร์จะช่วยให้คุณอิ่ม ไม่กินจุบจิบ ระบบการขับถ่ายก็จะดีเลิศ แถมยังมีวิตามินที่ ช่วยบารุงผิวพรรณให้สวยเปล่งปลั่งได้อีกต่างหาก ลูกแพร์ ถ้าพูดถึงผลไม้ที่มีไฟเบอร์สูงปรี๊ด ลูกแพร์ก็คงติดอันดับผลไม้ที่ว่านั้นด้วย และอาจจะมีภาษีดีกว่านิดนึงตรงที่มี โพแทสเซียมช่วยบารุงหัวใจ และสุขภาพร่างกายโดยรวมของเราได้เป็นอย่างดี เรียกได้ว่า กินลูกแพร์ลูกเดียวได้ทั้งความ อิ่มท้อง รวมทั้งช่วยบารุงหัวใจไปด้วยในตัวเลยล่ะ กล้วยน้าว้า กล้วยน้าว้าเป็นผลไม้ที่มีทั้งไฟเบอร์ โพแทสเซียม และวิตามินบี 6 ที่สูงมาก เฉลี่ยแล้วกล้วยน้าว้า 1 ลูก จะให้ วิตามินบีกับร่างกายได้ถึง 30% เทียบเท่าปริมาณที่ร่างกายควรได้รับต่อวันเลยทีเดียว แล้ววิตามินบี 6 ดียังไงล่ะ ? จุดนี้ บอกได้เลยว่า วิตามินบี 6 มีส่วนช่วยกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันในร่างกาย ลดความเสี่ยงเป็นโรคหัวใจ และช่วยให้ร่างกาย รู้สึกอิ่มนาน ดังนั้นใครที่กาลังไดเอตอยู่ กล้วยน้าว้าช่วยคุณได้เยอะเลยล่ะ บลูเบอร์รี ผลไม้ตระกูลเบอร์รีอย่างบลูเบอร์รีลูกเล็ก ๆ ก็มีอานุภาพในการบารุงดูแลร่างกายเราได้มากมาย เริ่มตั้งแต่ช่วย รักษาระดับอินซูลิน ลดความดันโลหิต ลดความเสี่ยงโรคอ้วน รวมถึงลดระดับคอเลสเตอรอลในเลือดด้วย นอกจากนี้ผล วิจัยล่าสุดยังพิสูจน์มาแล้วด้วยว่า บลูเบอร์รีสามารถกาจัดเซลล์ไขมันในร่างกายได้ผลชะงัด รู้ประโยชน์ของบลูเบอร์รีกันไป แล้ว ก็อย่าลืมกินบลูกเบอร์รีกันเยอะ ๆ นะจ๊ะ
  • 49.
    49 สตรอว์เบอร์รี นอกจากบลูเบอร์รีแล้ว ผลไม้ตระกูลเบอร์รียังส่งสตรอว์เบอร์รีลูกแดง ๆมาช่วยคนอยากหุ่นสวยกระชับอีกหนึ่ง ชนิด และด้วยคุณสมบัติที่ช่วยเพิ่มการผลิตฮอร์โมนอะดิโปเนกติน (Adiponectin) และฮอร์โมนเลปติน ( Leptin) ซึ่งเป็น ฮอร์โมนที่ช่วยเร่งระบบการเผาผลาญ จัดการไขมันสะสมในร่างกายได้อยู่หมัด จึงทาให้สตรอว์เบอร์รีเป็นผลไม้ตัวแม่เรื่อง การลดน้าหนักที่ไม่ควรพลาดด้วยเช่นกัน นอกจากนี้ สตรอว์เบอร์รียังมีสารต่อต้านอาการอักเสบ สามารถช่วยซ่อมแซมรักษาเนื้อเยื่อที่สึกหรอ และอักเสบ ในร่างกายได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ แถมยังอุดมไปด้วยวิตามินซี ป้องกันโรคหวัดได้อีกด้วยค่ะ กีวี สาหรับคนที่ชื่นชอบรสชาติเปรี้ยวอมหวานของกีวี อาจจะยังไม่รู้ว่า กีวีก็ถูกจัดให้เป็นผลไม้ช่วยลดน้าหนักตัวจี๊ด เหมือนกัน เพราะนอกจากกีวีจะอุดมไปด้วยไฟเบอร์แล้ว เมล็ดสีดาเล็ก ๆ ของกีวียังเป็นไฟเบอร์ชนิดที่ไม่สามารถละลายได้ จึงช่วยปรับสมดุลระบบย่อยอาหาร และทาให้คุณอิ่มได้นานขึ้น หมดปัญหาเรื่องกินจุบกินจิบอีกต่อไป เกรปฟรุต เกรปฟรุตครึ่งลูกให้พลังงานเพียงแค่ 37 กิโลแคลอรี่ แต่มีไฟเบอร์ในจานวนที่มากกว่านั้นหลายเท่าตัว แค่นี้ก็ พิสูจน์ได้แล้วเนอะ ว่าเกรปฟรุตเป็นผลไม้เหมาะจะกินเพื่อลดน้าหนักสุด ๆ โดยเฉพาะหากกินเกรปฟรุตครึ่งลูกก่อนมื้อเช้า ทุกวัน หุ่นสวยกระชับสุดเป๊ะก็อยู่ใกล้แค่เอื้อมจ้า ลูกพีช นอกจากจะมีไฟเบอร์สูงมากแล้ว ลูกพีชยังมาพร้อมโพแทสเซียม และวิตามินอีกสารพัดชนิดที่ดีต่อร่างกาย แถม ด้วยสารแอนตี้ออกซิแดนท์ ช่วยบารุงผิวพรรณให้เต่งตึงไปด้วยในตัว จัดเป็นผลไม้ลดความอ้วน และผลไม้เพื่อผิวสวยที่ น่าสนใจมาก ๆ เลยทีเดียว มะพร้าว แม้มะพร้าวจะมีรสชาติหวานเจี๊ยบ แต่ความหวานนั้นก็เป็นน้าตาลธรรมชาติที่อุดมไปด้วยสารอาหาร และวิตามิน ที่เป็นประโยชน์กับร่างกายเราหลายชนิด โดยเฉพาะไตรกลีเซอไรด์ ซึ่งช่วยกระตุ้นเมตาบอลิซึมได้ถึง 30% เผาผลาญ ไขมันในตับได้เยอะขึ้น ส่งผลให้คุณลดน้าหนักได้ผลเร็วขึ้นอีกต่างหาก นอกจากนี้ ไขมันอิ่มตัวที่อยู่ในน้ามันมะพร้าว เนื้อมะพร้าว หรือกะทิจากมะพร้าว ก็เป็นกรดไขมันที่อิ่มตัวโดย สมบูรณ์ โมเลกุลจึงแตกต่างจากไขมันอิ่มตัวในอาหารต้องห้ามของคนไดเอตนะคะ ดังนั้นกินมะพร้าวเยอะแค่ไหน ก็ไม่ทา ให้อ้วนได้เท่ากินอาหารขยะจานเดียวแน่ ๆ
  • 50.
    50 ทับทิม ทับทิมเป็นสุดยอดผลไม้ ที่ช่วยในเรื่องลดน้าหนัก และล้างสารพิษในร่างกายได้อย่างมีประสิทธิภาพทั้งนี้ก็เป็น เพราะสารโพลีฟีนอล ตัวต้านสารอนุมูลอิสระชนิดหนึ่งในทับทิม ที่ไปช่วยกระตุ้นระบบเผาผลาญในร่างกายให้ทางานดีขึ้น ลดไขมันในเลือด ลดไขมันเลว LDL ล้างสารพิษในเลือด และช่วยกระตุ้นให้เลือดไหลเวียนสะดวก เปล่งประกายผิวพรรณ สดใสไปพร้อม ๆ กับกระชับสัดส่วนในคราวเดียวกัน ส้ม ด้วยปริมาณวิตามินซีที่สูงลิ่ว ไธอามีน และโฟเลทในผลไม้ลูกเล็ก ๆ อย่างส้ม ทาให้ส้มเป็นผลไม้ที่ช่วยเร่ง ระบบการเผาผลาญได้ดีอีกชนิดหนึ่ง อีกทั้งเนื้อส้มยังให้ไฟเบอร์ช่วยระบบขับถ่ายได้ถึง 5 กรัม ต่อส้มสดปริมาณ 1 ถ้วย ตวง ในขณะที่ให้พลังงานกับร่างกายเพียงแค่ 85 กิโลแคลอรี่เท่านั้น แต่ทั้งนี้ อย่าสับสนไปกินน้าส้มคั้นนะคะ เพราะน้าส้มคั้นจะให้สารอาหารที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง และเป็น สารอาหารที่ค่อนข้างน้อยซะด้วยสิ อีกทั้งน้าส้มยังทาให้คุณพลาดโอกาสได้รับไฟเบอร์จากเนื้อส้มอีกด้วย มะม่วง หลายคนไม่ยอมกินมะม่วงเลย เพราะเกรงว่าแป้ง และน้าตาลในมะม่วงจะทาให้อ้วนขึ้น แต่จริง ๆ แล้วมะม่วง หรือแม้แต่มะม่วงสุก ไม่ได้ให้แค่น้าตาล และรสชาติหวานลิ้นเท่านั้น แต่ยังอุดมไปด้วยวิตามินเอ วิตามินซี แคลเซียม ไฟ เบอร์ 3 กรัมต่อปริมาณที่ร่างกายควรได้รับต่อวัน และให้พลังงานเพียงแค่ 130 กิโลแคลอรี่ต่อ 1 ผลเท่านั้นเอง ดังนั้นกิน มะม่วงในปริมาณที่พอเหมาะ ก็ไม่ได้ทาให้น้าหนักคุณขึ้นแต่อย่างใดค่ะ มะละกอ เป็นที่รู้กันดีอยู่แล้วว่ามะละกอเป็นผลไม้ตัวแม่ที่ช่วยเรื่องการขับถ่าย แต่จริง ๆ แล้วมะละกอมีดีกว่านั้นเยอะนะ จ๊ะ เพราะนอกจากปริมาณไฟเบอร์มหาศาล มะละกอยังมีเอนไซม์ช่วยย่อย ทาให้อาหารที่เรากินเข้าไปถูกย่อย และดูดซึม ได้โดยง่าย อีกทั้งมะละกอยังมีฟลาโวนอยด์ แคโรทีน วิตามินซี และสารต้านอนุมูลอิสระเป็นอาวุธชั้นดี เพื่อต่อสู้กับไขมัน และส่วนเกินของเราอีกด้วย อย่างไรก็ตามผลไม้ช่วยลดน้าหนักทั้งหมดนี้ ต้องกินควบคู่ไปกับอาหารที่มีประโยชน์ และการออกกาลังกาย อย่างเหมาะสมด้วยนะคะ ซึ่งนอกจากจะได้หุ่นสวยเช้งเป็นการตอบแทนแล้ว พฤติกรรมเพื่อสุขภาพอย่างนี้ยังใจดีมอบความ สมบูรณ์แข็งแรง และผิวพรรณที่สวยเปล่งปลั่งให้คุณอีกอย่างหนึ่งด้วยจ้า
  • 51.
    51 การล้างผัก-ผลไม้ การแช่น้า เริ่มด้วยการล้างผักรอบแรกให้สะอาดเสียก่อน หลังจากนั้นเด็กผักออกเป็นใบ ๆแล้วนามาแช่ในอ่างน้าที่เตรียม ไว้ประมาณ 15 นาที วิธีนี้จะช่วยลดสารพิษจากฆ่ายาแมลงได้ประมาณ 7-33%
  • 52.
    52 ล้างผักโดยให้น้าไหลผ่าน โดยเด็ดผักออกเป็นใบ ๆ นามาใส่ในตะกร้าหรือตะแกรงโปร่งแล้วเปิดน้าให้แรงพอประมาณ ระหว่างล้างให้ ใช้มือช่วยคลี่ใบผักและถูไปมาบนผิวใบของผักผลไม้ไปด้วยประมาณ 2 นาที วิธีนี้จะช่วยลดสารพิษจากยาฆ่าแมลงได้ ประมาณ 25-63% (วิธีนี้เป็นวิธีที่นิยมและได้ผลดีมากวิธีหนึ่งครับ แต่จะมีข้อเสียในเรื่องของการใช้เวลานานในการล้างและต้องใช้ น้าสะอาดปริมาณมาก แต่ถ้าเป็นไปได้ก็ให้นาน้าส่วนที่เหลือไปรดน้าต้นไม้ก็ดีครับ) ปอกเปลือก วิธีนี้ให้นาผักหรือผลไม้มาปอกเปลือกหรือการลอกใบผักชั้นนอกออก เช่น กะหล่าปลี ฯลฯ โดยให้ลอกเปลือก หรือกาบด้านนอกออกทิ้งสัก 2-3 ใบ เพราะสารพิษส่วนใหญ่จะสะสมตกค้างบริเวณเปลือกด้านนอกหรือบริเวณกาบ แล้ว จึงนาไปแช่ในน้าสะอาดอีกประมาณ 5-10 นาที หลังจากนั้นก็ล้างด้วยน้าสะอาดอีกครั้งหนึ่ง วิธีนี้จะช่วยลดปริมาณของ สารพิษตกค้างได้ประมาณ 27-72%
  • 53.
    53 ลวกผักหรือต้มผัก ก่อนนามาลวกให้นาผักมาล้างให้สะอาดเสียก่อน แล้วจึงนามาลวกหรือต้ม โดยการลวกผักด้วยน้าร้อนจะช่วยลด สารพิษได้50% ส่วนการต้มผักนั้นก็ช่วยลดสารพิษได้ประมาณ 50% เช่นกัน แต่การต้มผักจะมีสารพิษที่ตกค้างอยู่ในน้า แกงได้ ดังนั้นจึงควรทิ้งน้าที่ต้มครั้งแรกเสียก่อน แล้วจึงค่อยนาไปประกอบอาหารหรือรับประทาน (วิธีนี้เป็นอีกวิธีที่ดีและปลอดภัย แต่จะทาให้ผักและผลไม้เสียคุณค่าทางอาหารไปกับน้าและความร้อน เช่น วิตามินบี1 วิตามินบี3 วิตามินซี เป็นต้น) น้าเกลือ ให้ใช้เกลือป่น 1 ช้อนโต๊ะ นามาผสมกับน้า 4 ลิตร แล้วนาผักผลไม้มาแช่ทิ้งไว้ประมาณ 10 นาที หลังจากนั้น ให้ล้างออกด้วยน้าสะอาดอีกครั้งหนึ่ง จะช่วยลดปริมาณของสารพิษตกค้างได้ประมาณ 27-38% (วิธีนี้ไม่ค่อยเป็นที่นิยมมากนัก เพราะลดปริมาณของสารพิษได้ไม่มาก และอาจทาให้ผักและผลไม้มีรสเค็มได้) แต่บางข้อมูลกลับระบุว่าการใช้น้าเกลือล้างผักผลไม้ไม่ได้ช่วยทาให้ผักสะอาดขึ้นได้แต่อย่างใด เนื่องจากเกลือ เป็นโซเดียมคลอไรด์ที่มีส่วนทาให้สารตกค้างหรือยาฆ่าแมลงนั้นคงทนยิ่งขึ้น ทาให้ยังมีสารตกค้างอยู่ผักและผลไม้ แต่ ข้อมูลส่วนนี้เองผู้เขียนเองก็หาแหล่งอ้างอิงไม่เจอครับ จริงเท็จประการใดก็ไม่ทราบ ทางที่ดีก็ให้ลองเลือกใช้วิธีอื่นแทนจะ ดีกว่าครับ
  • 54.
    54 น้าซาวข้าว ให้นาผักหรือผลไม้มาแช่ด้วยซาวข้าวประมาณ 10 นาทีหลังจากนั้นให้ล้างออกด้วยน้าสะอาดอีกครั้ง วิธีนี้จะช่วย ลดปริมาณของสารพิษตกค้างได้ 29-38% น้าปูนใส (ทามาจากปูนแดงหรือปูนขาวที่กินกับหมาก) ให้เตรียมน้าปูนใสอิ่มตัวที่ผสมกับน้าเท่าตัว แล้วนามาผักมาแช่ในน้าปูนใสประมาณ 10 นาที หลังจากนั้นให้ ล้างออกด้วยสะอาดอีกครั้งหนึ่ง วิธีนี้จะช่วยลดปริมาณของสารพิษตกค้างได้ประมาณ 34-52%
  • 55.
    55 ผงปูนคลอรีน (Calcium Hypochlorite– แคลเซียมไฮโปคลอไรต์) ให้ใช้ผงปูนคลอรีน 60% จานวน 1/2 ช้อนชา (ความเข้มข้นของคลอรีน 50 พีพี เอ็ม) นามาผสมกับน้า 20 ลิตร แล้วนามาผักผลไม้มาแช่ทิ้งไว้ประมาณ 15-30 นาที วิธีนี้จะช่วยฆ่าเชื้อโรคได้ดีมาก ด่างทับทิม (Potassium permanganate – โพแทสเซียมเปอร์แมงกาเนต) ให้ใช้ด่างทับทิมประมาณ 20-30 เกล็ด (ด่างทับทิมจะมีลักษณะเป็นผลึกหรือเกล็ดสีม่วง สามารถละลายน้าได้) ที่ผสมกับน้า 4 ลิตร แล้วจึงนาผักมาแช่ไว้ในน้าด่างทับทิมประมาณ 10 นาที หลังจากนั้นให้ล้างออกด้วยสะอาดอีกครั้ง หนึ่ง วิธีนี้จะช่วยลดประมาณของสารพิษตกค้างได้ประมาณ 35-43% (การใช้ด่างทับทิมในปริมาณที่มากจนเกินไป อาจเป็นอันตายต่อระบบทางเดินอาหาร ถ้าหากสูดดมไอระเหยของ ด่างทับทิมเข้าไปมาก ๆ ก็อาจทาให้ระบบทางเดินหายใจมีปัญหาได้ และถ้าด่างทับทิมเข้าตาก็อาจทาให้ตาบอดได้ ดังนั้น การใช้วิธีนี้จึงต้องใช้อย่างระมัดระวังครับ อีกอย่างการใช้ด่างทับทิมต้องใช้ในปริมาณน้อย ไม่งั้นผักและผลไม้จะเหี่ยว หรือเปลี่ยนเป็นสีน้าตาลได้ ทาให้เปื้อนมือ เปื้อนอ่างด้วย)
  • 56.
    56 น้าส้มสายชู (Vinegar) วิธีนี้ให้เตรียมน้าสายชูที่มีกรดน้าส้มความเข้มข้น 5%ของกรดน้าส้ม นามาผสมกับน้าในอัตราส่วน 1 : 10 ส่วน แล้วจึงนาผักมาแช่ทิ้งไว้ประมาณ 10-15 นาที แล้วค่อยล้างออกด้วยน้าสะอาดอีกรอบหนึ่ง จะช่วยลดสารพิษจากยา ฆ่าแมลงได้ประมาณ 60-84% (การใช้วิธีนี้ล้างผัก ภาชนะที่ใส่ผักล้างไม่ควรเป็นพลาสติก และการล้างผักด้วยวิธีนี้อาจทาให้ผักบางชนิดมีกลิ่น ของน้าส้มสายชูติดมาได้ เพราะผักบางอย่าง เช่น ผักกาดขาว ผักกาดเขียว อาจมีการดูดรสเปรี้ยวจากน้าส้มสายชู และทา ให้ผักมีรสชาติเปลี่ยนไป) เบกกิ้งโซดา หรือ โซเดียมไบคาร์บอเนต (Sodium bicarbonate)
  • 57.
    57 บ้างเรียกว่า “โซดาทาขนมปัง” แต่มีชื่อคุ้นหูว่า“เบกกิ้งโซดา” (Baking Soda) สามารถนามาใช้ล้างสารพิษ จากผักและผลไม้ได้เช่นกันครับ และเป็นวิธีที่นิยมกันมากด้วย ด้วยการใช้โซเดียมไบคาร์บอเนต 1/2 ช้อนโต๊ะ ผสมกับน้า 10 ลิตร แล้วนาผักหรือผลไม้มาแช่ไว้ประมาณ 15 นาที หลังจากนั้นค่อยล้างออกด้วยน้าเปล่า 2 ครั้ง วิธีนี้จะช่วยลด สารพิษได้มากถึง 90-95% เลยทีเดียว (ข้อเสียของการใช้เบกกิ้งโซดาในการล้างผักผลไม้ คือ เบกกิ้งโซดาจะมีส่วนผสมของโซเดียมอยู่ และอาจจะดูด ซึมเข้าสู่ผักและผลไม้ที่นาไปแช่ได้ เพราะถ้าหากล้างไม่สะอาด การได้รับเบกกิ้งโซดาในปริมาณมากเกินไปก็อาจทาให้ ท้องเสียได้ครับ) ผงฟู (Baking Powder) (เบกกิ้งโซดา + แป้ง) ให้ใช้ผงฟู 1/2 ช้อนโต๊ะ นามาผสมกับน้าอุ่นหรือน้าธรรมดา 10 ลิตร แล้วนาผักหรือผลไม้มาแช่ทิ้งไว้ประมาณ 15 นาที แล้วค่อยล้างออกด้วยสะอาดอีกครั้งหนึ่ง วิธีนี้สามารถช่วยลดปริมาณของสารพิษจากยาฆ่าแมลงได้มากกว่า 90% และเป็นวิธีที่ปลอดภัยไม่เป็นอันตราย (เพราะผงฟูกินได้)
  • 58.
    58 น้ายาล้างผัก การแช่ผักในน้ายาล้างผักที่มีวางจาหน่ายกันอยู่ทั่วไป ให้เลือกใช้ที่มีความเข้มข้นประมาณ 0.3%ในน้า 4 ลิตร และนาผักหรือผลไม้มาแช่ทิ้งไว้ประมาณ 15 นาที วิธีนี้จะช่วยลดปริมาณของสารพิษจากยาฆ่าแมลงได้ประมาณ 25-70% (การเลือกใช้น้ายาล้างผักจะต้องดูให้ดีกว่าน้ายาล้างผักมีส่วนประกอบอะไรบ้าง และต้องใช้ด้วยความระมัดระวัง เพราะในบางครั้งน้ายาล้างผักจะแทรกซึมเข้าไปในผักและอาจเป็นอันตรายกับเราได้) น้ายาล้างจานหรือน้ายาล้างขวดนม
  • 59.
    59 การล้างผลไม้โดยใช้น้ายาล้างจานหรือน้ายาล้างขวดนมกับฟองน้าถูเบา ๆ จะช่วยลดโอกาสการติดเชื้อที่อยู่ บริเวณผิวของผลไม้ได้และการล้างไข่ก่อนทาอาหารก็สามารถใช้วิธีนี้ได้เช่นกัน โดยวิธีนี้จะช่วยลดการปนเปื้อนของเชื้อได้ มากกว่า 95% ผงถ่าน ผงถ่านแอคติเวทชาร์โคลหรือผงคาร์บอนกัมมันต์ (activated carbon) หรือถ่านกัมมันต์ ( activate chacoal) เป็นวัสดุคาร์บอนซึ่งมีเนื้อพรุน มีคุณสมบัติในการดูดซับสูงมาก ทาให้มันสามารถจับสารในปริมาณมากมายไว้ที่ผิว ด้วย คุณสมบัตินี้เองเราจึงนามาใช้ประโยชน์ในการล้างผักผลไม้ได้ ซึ่งมันจะช่วยดูดกลิ่น ดูดสี ดูดซับสารพิษออกจากผัก แต่ จะจะไม่ดูดซับแร่ธาตุออกไป อีกทั้งร่างกายก็ไม่สามารถดูดซึมผงถ่านได้ จึงไม่เป็นอันตรายเพราะร่างกายสามารถขับออก ได้ แต่การนามาใช้ล้างผักผลไม้ หากใช้ในปริมาณน้อยและแช่ไว้ไม่นานพอ ก็จะไม่สามารถดูดซับสารพิษออกมาได้หมด ครับ ซึ่งวิธีการใช้ก็ให้ใช้ผงถ่าน 1 ช้อนชา ต่อน้า 5 ลิตร แล้วนาผักผลไม้มาแช่ไว้ประมาณ 20 นาที แล้วค่อยล้างออก ด้วยน้าสะอาด คาแนะนา จะเห็นได้ว่าในแต่ละวิธีก็มีทั้งข้อดีและข้อเสียที่แตกต่างกันออกไป จะเลือกวิธีไหนก็ขึ้นอยู่กับความเหมาะสม ความ สะดวกของแต่ละคน รวมไปถึงชนิดและปริมาณของผักไม้ และเวลาที่มีอยู่ของแต่ละคน และที่สาคัญอย่างมากก็คือให้ พยายามรับประทานผักและผลไม้ให้หลากหลายชนิด ไม่ควรรับประทานแบบซ้า ๆ เดิม ๆ เลือกรับประทานผักหรือผลไม้ ตามฤดูกาล เปลี่ยนร้านที่ซื้อผักหรือผลไม้บ้าง หรือเลือกซื้อกับร้านที่ไว้ใจได้ ถ้าจะให้ดีก็ให้เลือกรับประทานผักปลอด สารพิษ ผักออแกนิก (ผักเกษตรอินทรีย์) ที่ผ่านการรับรอง ผักผลไม้ที่มีร่องรอยที่ถูกหนอนเจาะบ้าง เนื่องจากถ้าผักหรือ ผลไม้มีสารตกค้างหรือมีสารพิษก็จะได้ไม่ทาให้เกิดอันตรายต่อร่างกายของเรามากนัก
  • 60.