More Related Content
Similar to แปลบาลีเป็นไทย แปลไทยเป็นบาลี
Similar to แปลบาลีเป็นไทย แปลไทยเป็นบาลี (20)
More from วัดดอนทอง กาฬสินธุ์
More from วัดดอนทอง กาฬสินธุ์ (19)
แปลบาลีเป็นไทย แปลไทยเป็นบาลี
- 2. ประเภทของการแปล
๑. การแปลยกศัพท์
การแปลที่ส ำา คัญ ที่
๓ ประเภท คือ
๑. การแปลยกศัพ ท์
๒. การแปลโดยพยัญ ชนะ
๓. การแปลโดยอรรถ
ตัว อย่า งการแปลยกศัพ ท์
- สามิโ ก สูท ำ โอทนำ ปาจาเปติ ฯ
สามิโ ก อ.เจ้า นาย สูท ำ ยัง พ่อ ครัว ปาจา
เปติ ให้ห ุง อยู่ โอทนำ ซึ่ง ข้า วสุก ฯ
- 3. สตฺถ า ธมฺม ำ เทเสติ ฯ
- สตฺถ า อ.พระศาสดา เทเสติ ย่อ มทรง
แสดง ธมฺม ำ ซึ่ง ธรรม ฯ
-
ตัว อย่า งการแปลโดยพยัญ ชนะ
สามิโ ก สูท ำ โอทนำ ปาจาเปติ ฯ
- อ.เจ้า นาย ยัง พ่อ ครัว ให้ห ุง อยู่ ซึ่ง
ข้า วสุก ฯ
-
- 4. ตัว อย่า งการแปลโดยอรรถ
สามิโ ก สูท ำ โอทนำ ปาจาเปติ ฯ
- นายใช้พ ่อ ครัว ให้ห ุง ข้า ว ฯ
- สตฺถ า ธมฺม ำ เทเสติ ฯ
พระศาสดาทรงแสดงธรรม ฯ เป็น ต้น
-
- 5. หลักการแปลและลำาดับการแปล
ลำา ดับ การแปล มี ๑๑ ขั้น ดัง นี้
๑. อาลปนะ
๒. นิบ าตต้น ข้อ ความ
๓. บทกาลสัต ตมี
๔. บทประธาน
๕. บทขยายประธาน/บทที่เ นื่อ งด้ว ยตัว
ประธาน
๖. บทกิร ิย าในระหว่า ง
- 6. ๗.
บทขยายกิร ิย าในระหว่า ง
๘. ประโยคแทรก
๑) ประโยคอนาทร
๒) ประโยคลัก ขณะ
๙. บทขยายประโยคแทรก
๑๐. บทกิร ิย าคุม พากย์
๑๑. บทขยายกิร ิย าคุม พากย์
- 7. ๑. บทอาลปนะ
บทอาลปนะ
คือ คำา ที่ใ ช้ส ำา หรับ ร้อ ง
เรีย ก ทัก ทายกัน มี ๒ ประเภท คือ
๑) อาลปนะนาม เช่น สามิ, ตาต, อมฺม ,
อุป าสก, ภิก ฺข ุ, ภิก ฺข เว เป็น ต้น
๒) อาลปนะนิบ าต เช่น ภนฺเ ต , อาวุโ ส,
อมฺโ ภ, ภเณ, เร เป็น ต้น
ตัว อย่า งบทอาลปนะนาม
-
สามิ เอโก ปุต ฺโ ต ชาโต ฯ
- 8. กึ กเถสิ ภาติก ฯ
ข้า แต่พ ี่ช าย อ.ท่า น ย่อ มกล่า ว ซึง คำา
่
อะไร ฯ
- กุห ึ ยาสิ อุป าสก ฯ
ดูก ่อ นอุบ าสก อ.ท่า น จะไป ณ ที่ไ หน ฯ
อหำ ธมฺม ำ โว ภิก ฺข เว เทเสสฺส ามิ ฯ
ดูก ่อ นภิก ษุ ท. อ.เรา จัก แสดง ซึ่ง ธรรม
แก่เ ธอ ท. ฯ
-
- 9. - อานนฺท ตฺว ำ เอวำ มา วเทหิ ฯ
ดูก ่อ นอานนท์ อ.เธอ จงอย่า งกล่า ว
อย่า งนี้ ฯ
- 10. ตัว อย่า งอาลปนะนิบ าต
อาลปนะนิบ าต
มี ๑๐ ตัว คือ ยคฺเ ฆ
(ขอเดชะ), ภนฺเ ต, ภทนฺเ ต (ข้า แต่ท ่า นผู้
เจริญ ), อมฺโ ภ (แนะท่า นผูเ จริญ ),
้
อาวุโ ส (ดูก ่อ นท่า นผูม อ ายุ), ภเณ (แนะ
้ ี
พนาย), เร, อเร (เว้ย , โว้ย ), เห (เฮ้ย ),
เช (แนะแม่)
- 11. กนิฏ ฺฐ ภาตา เม อตฺถ ิ ภนฺเ ต ฯ
ข้า แต่พ ระองค์ผ เ จริญ อ.น้อ งชายผู้
ู้
น้อ ยที่ส ด ของข้า พระองค์ มีอ ยู่ ฯ
ุ
- ยาหิ อาวุโ ส ฯ
ดูก ่อ นท่า นผูม อ ายุ อ.ท่า น จงไปเถิด ฯ
้ ี
-
- 12. -
เตนหิ ภเณ เสว (ตฺว ํ) (ภาติก ํ) โภเชหิ
ฯ
แนะพนาย ถ้า อย่า งนั้น อ .ท่า น ยัง พี่
ชาย จงให้บ ริโ ภค ในวัน พรุ่ง เถิด ฯ
- อมฺโ ภ ตฺว ํ เอวํ มา วเทหิ ฯ
แนะท่า นผูเ จริญ อ.ท่า น จงอย่า กล่า ว
้
อย่า งนี้ ฯ
- ตฺว ํ ติฏ ฺฐ เร ฯ
เฮ้ย /เว้ย อ.ท่า น จงหยุด ฯ
- 13. ลําดับที่ ๒ นิบาตต้นข้อความ
นิบาตต้นข้อความ
คือ นิบาตที่วางไว้เพื่อ
บอกข้อความต่างๆ ในประโยค เช่น บอก
เงื่อนไข บอกปฏิเสธ บอกความยอมรับ
เป็นต้น เช่น กิร ได้ยินว่า, เจ, สเจ, ยทิ
หากว่า, ผิว่า, ถ้าว่า, หนฺท เชิญเถิด, อโห โอ
เป็นต้น ในประโยคใดมีนิบาตต้นข้อความ
ศัพท์ใดศัพท์หนึ่งอยู่ด้วยให้แปลหลังบท
อาลปนะ แต่ถ้าในประโยคใดไม่มีบท
อาลปนะให้แปลนิบาตต้นข้อความก่อนได้
- 14. สเจ เม อกฺขีนิ ปากติกานิ กาตุ สกฺขิสฺสสิ ฯ
ถ้าว่า อ.ท่าน จักอาจ เพื่ออันกระทํา ซึ่ง
นัยน์ตา ของฉัน ให้เป็นปกติไซร้ ฯ
- อโห มหาคุโณ อายสฺมา อานนฺโท ฯ
โอหนอ อ.พระอานนท์ ผู้มีอายุ ผูมีคุณมาก ฯ
้
- หนฺท อิมํ กหาปณํ คเหตฺวา เทหิ ฯ
เชิญเถิด อ.ท่าน ถือเอาแล้ว ซึ่งกหาปณะนี้
จงให้เถิด ฯ
-
- 15. ลําดับที่ ๓ บทกาลสัตตมี
บทกาลสัตตมี
คือ บทที่บอกกาลเวลา มีทั้งที่
เป็นบทนาม บทสัพพนาม และบทนิบาต เช่น
สมเย, สมยํ ในสมัย, ทิวเส, ทิวสํ ในวัน, อชฺช
วันนี้, อิทานิ ในกาลนี้, ปาโต แต่เช้า, หิยฺโย
วันวาน, เสว พรุ่งนี้, อถ ครั้งนั้น เป็นต้น ใน
ประโยคใดมีบทหรือศัพท์ที่เป็นสัตตมีวิภัตติที่
บอกกาลเวลาอยู่ด้วย ให้แปลก่อนบท
ประธาน หรืออาจจะแปลเป็นลําดับสุดท้าย
ของประโยคก็ได้ เช่น
- 16. - ตสฺมึ สมเย สตฺถา ปริสมชฺเฌ ธมฺมํ เทเสสิ ฯ
ในสมัยนั้น อ.พระศาสดา ทรงแสดงแล้ว ซึ่ง
ธรรม ในท่ามกลางแห่งบริษัท ฯ
- ภนฺเต เสว อมฺหากํ ภิกฺขํ คณฺหถ ฯ
ข้าแต่ท่านผูเจริญ พรุ่งนี้ อ.ท่าน ท. จงรับ
้
ซึ่งภิกษา ของข้าพเจ้า ท. เถิด ฯ
- อถ สพฺเพ ปพฺพชฺชํ ยาจึสุ ฯ
ครั้งนั้น อ.ชน ท. ทั้งปวง ทูลขอแล้ว ซึ่งการ
บวช ฯ
- 17. ตทา สาวตฺถิยํ สตฺต มนุสฺสโกฏิโย วสนฺติ ฯ
ในกาลนั้น อ. โกฏิแห่งมนุษย์ ท. ๗ ย่อมอยู่
ในเมืองชือว่าสาวัตถี ฯ
่
- อชฺช ภนฺเต โอกาโส นตฺถิ ฯ
ข้าแต่ท่านผูเจริย ในวันนี้ อ.โอกาส ย่อมไม่มี
้
ฯ
-
- 18. ลําดับที่ ๔ บทประธาน
บทประธาน
คือบทที่เป็นเจ้าของกิริยาใน
ประโยค ประกอบรูปศัพท์มาจากปฐมาวิภัตติ
สิ, โย วิภัตติ ออกสําเนียงอายตนิบาตว่า
“อันว่า” มี ๒ ประเภท คือ
๑) บทประธานทั่วไป เช่น ปุริโส บุรุษ,
กญฺญา นางสาวน้อย, กุลํ ตระกูล เป็นต้น
๒) บทประธานพิเศษ เช่น เอวํ อ.อย่างนั้น,
ตถา อ.เหมือนอย่างนัน, อลํ อ.พอละ เป็นต้น
้
- 20. อาจริย มยฺหํ โทโส นตฺถิ ฯ
ข้าแต่อาจารย์ อ.โทษ ของผม ย่อมไม่มี ฯ
- เอวํ กิร ภิกฺขเว ฯ
ดูก่อนภิกษุ ท. ได้ยินว่า อ. อย่างนั้น หรือ ฯ
-
- 21. ลําดับที ๕ บทขยายประธาน
บทขยายประธาน
คือบทที่ทําหน้าที่ขยาย
ประธานของประโยค บางทีเรียกว่า บทวิเส
สนะ หรือบทคุณนาม ในบางประโยคอาจมี
หรือไม่มีก็ได้ เช่น ปณฺฑิโต ภิกฺขุ อ.ภิกษุผู้
เป็นบัณฑิต, ปญฺจสตา ภิกฺขู อ.ภิกษุ ท. มี
ร้อยห้าเป็นประมาณ, โส ทารโก อ.เด็กคน
นั้น เป็นต้น
- 24. ลําดับที่ ๖ บทกิริยาในระหว่าง
บทกิริยาในระหว่าง
คือ บทกิริยาที่อยู่ใน
ระหว่างประโยคต่างๆ โดยส่วนมากประกอบ
มาจากปัจจัยในกิริยากิตก์ มี ๒ ประเภทคือ
กิริยาที่แจกได้ เช่น ต อนฺต มาน ตวนฺตุ ตาวี
และแจกไม่ได้ เช่น ตูน ตฺวา ตฺวาน
ถ้าเป็นกิริยาที่แจกได้ก็ต้องแจกด้วยวิภัตติให้
เสมอกับบทที่มันขยาย ถ้าเป็นกิริยาที่แจกไม่
ได้ก็ไม่ต้องแจกวิภัตติแปลได้ทันที ให้แปล
ไปตามลําดับก่อน-หลังในประโยคนั้นๆ เช่น
- 25. โส สตฺถารํ วนฺทิตฺวา อตฺตนา สหคามิโน
ภิกฺขู ปริเยสนฺโต สฏฺฐี ภิกฺขู ลภิตฺวา เตหิ
ลทฺธึ นิกฺขมิตฺวา... ฯ
อ. (พระเถระ) นั้น ถวายบังคมแล้ว ซึ่งพระ
ศาสดา แสวงหาอยู่ ซึ่งภิกษุ ท. ผู้มีปกติเที่ยว
ไปกับ ด้วยตน ได้แล้ว ซึ่งภิกษุ ท. ๖๐ ออก
ไปแล้ว กับด้วยภิกษุ ท. เหล่านั้น ฯ
-
- 26. สาปิ (จุลฺลสุภทฺทา) ตเถว กโรนฺตี โสตาปนฺ
นา หุตฺวา ปติกุลํ คตา ฯ
(อ.นางจุลลสุภัททา) นั้น กระทําอยู่ อย่างนั้น
นั่นเทียว เป็นโสดาบัน เป็น ไปแล้ว สูตระกูล
่
แห่งผัว ฯ
-
- 27. ลําดับที่ ๗ บทขยายกิริยาในระหว่าง
บทขยายกิริยาในระหว่าง
คือ บรรดาบทนาม
บทใดบทหนึงที่อยู่หน้ากิริยาในระหว่าง ส่วน
่
มากประกอบด้วยวิภัตตินามทั้ง ๗ วิภัตติ ทํา
หน้าที่ขยายความของกิริยาในระหว่างให้
ชัดเจนขึ้น ให้แปลหลังจากแปลกิริยาใน
ระหว่างแล้ว เช่น
- โส สตฺถารํ วนฺทิตฺวา อตฺตนา สหคามิโน ภิกฺ
ขู ปริเยสนฺโต สฏฺฐี ภิกฺขู ลภิตฺวา เตหิ ลทฺธึ นิกฺ
ขมิตวา... ฯ
ฺ
อ. (พระเถระ) นั้น ถวายบังคมแล้ว ซึ่งพระ
- 28. ลำำดับที่ ๘ ประโยคแทรก
ประโยคแทรก
คือ ประโยคที่แทรกเข้ำมำระ
หว่ำงประโยคหลัก เนื้อควำมแตกต่ำงไปจำก
ประโยคหลัก มีประธำนและกิริยำเฉพำะตน
มี ๒ ประเภท คือ
๑) ประโยคอนำทร คือ ประโยคที่แทรกเข้ำ
มำในระหว่ำงประโยคหลัก หรือประโยคท้อง
เรื่อง ประกอบรูปมำจำกฉัฏฐีวิภัตติ ทั้งบท
นำมและบทกิริยำ ออกสำำเนียงกำรแปลว่ำ
“เมื่อ” ประโยคอนำทรนี้ แทรกเข้ำมำตอน
- 30. ๒)
ประโยคลักขณะ คือ ประโยคที่แทรกเข้ำ
มำในระหว่ำงประโยคหลัก หรือประโยคท้อง
เรื่อง ประกอบรูปมำจำกสัตตมีวิภัตติ ทั้งบท
นำมและบทกิริยำ ออกสำำเนียงกำรแปลว่ำ
“ครั้นเมื่อ” ประโยคลักขณะนี้ แทรกเข้ำมำ
ตอนไหนให้แปลในตอนนั้นได้ทันที เช่น
- ทุติยมฺปิ คพฺเภ ปติฏฺฐิเต ตสฺสำ อำโรเจสิ ฯ
แม้ในวำระที่ ๒ ครั้นเมื่อสัตว์ผู้เกิดในครรภ์
- 31. ลำำดับที่ ๙ บทขยำยประโยคแทรก
บทขยำยประโยคแทรก
คือ บทที่เนื่องด้วย
ประโยคแทรก ทำำหน้ำที่ขยำยควำมของ
ประโยคแทรกที่กล่ำวมำแล้วให้มีควำมหมำยก
ว้ำงขวำงยิ่งขึนไปอีก ในประโยคแทรกใดๆ มี
้
บทขยำยประโยคแทรกอยู่ด้วยให้แปลถัดจำก
แปลประโยคแทรกได้ทันที เช่น
- เถรสฺส สำมเณเรหิ สทฺธึ อำรำมำ
อำคจฺฉนฺตสฺส, อชฺช สตฺตโม ทิวโส ฯ
เมื่อพระเถระ มำอยู่ สู่อำรำม กับด้วยสำมเณร
- 33. ลำำดับที่ ๑๐ บทกิริยำคุมพำกย์
บทกิริยำคุมพำกย์
คือ กิริยำหลักของ
ประโยคซึ่งจะขำดเสียมิได้ ประโยคใดๆ หำก
ไม่มีกิริยำคุมพำกย์ตำมหลักไวยำกรณ์บำลี
ไม่จัดเป็นประโยค เป็นเพียงแต่พำกยำงค์
หรือกลุ่มคำำเท่ำนั้น บทกิริยำคุมพำกย์สร้ำง
มำจำก ธำตุ ปัจจัย และวิภัตติในอำขยำต
เป็นหลัก หรือไม่ก็สร้ำงมำจำก ธำตุ ปัจจัย
ในกิริยำกิตก์บำงตัว และวิภัตตินำม เป็น
กิริยำที่สดของประโยค หรือกิริยำที่บอก
ุ
- 34. สตฺถำ ปริโภคมกำสิ (ปริโภคำ อกำสิ) ฯ ฃ
อ.พระศำสดำ ได้ทรงกระทำำแล้ว ซึ่งกำร
เสวย ฯ
- สูโท โอทนำ ปจติ ฯ
อ.พ่อครัว หุงอยู่ ซึ่งข้ำวสุก ฯ
- ภิกฺขุ คำมำ ปิณฺฑำย ปวิฏฺโฐ ฯ
อ. ภิกษุ เข้ำไปแล้ว สูบ้ำน เพื่อบิณฑะ ฯ
่
-
- 35. ลำำดับที่ ๑๐ บทขยำยกิริยำคุมพำกย์
บทขยำยกิริยำคุมพำกย์
คือ บทที่เรียงอยู่
หน้ำกิริยำคุมพำกย์บ้ำง เรียงไว้หลังกิริยำคุม
พำกย์บ้ำง มีควำมสัมพันธ์กับบทกิริยำคุม
พำกย์ ในฐำนะเป็นบทขยำยกิริยำอำกำร
ของกิริยำคุมพำกย์ให้ชดเจนกว้ำงขวำงออก
ั
ไป ต้องแปลเข้ำกับกิริยำคุมพำกย์เท่ำนัน
้
หลักกำรแปลเหมือนกับหลักกำรแปลบท
ขยำยกิริยำในระหว่ำงที่กล่ำวแล้ว เช่น
- 36. เถโร สตฺถำรำ วนฺทิตฺวำ เอกมนฺตำ นิสีทิ ฯ
อ.พระเถระ ถวำยบังคมแล้ว ซึ่งพระศำสดำ
นังแล้ว ณ ที่ควรส่วนข้ำงหนึ่ง ฯ
่
- สตฺถำ ภตฺตคฺคำ ปวิสิตฺวำ ปญฺญตฺตำสเน นิ
สีทิ ฯ
อ. พระศำสดำ เสด็จเข้ำไปแล้ว สูโรงเป็นที่
่
ฉัน ประทับนั่งแล้ว บนอำสนะอันบุคคลปูลำด
แล้ว ฯ
-