อารยธรรมอินเดียได้ก่อกา เนิดขึ้นบริเวณลุ่มแม่น้าิินธุ 
ซึ่งปัจจุบันบริเวณิ่วนใหญ่อยู่ในประเทศปากีิถาน บางที 
เรียกว่า“แหล่งอารยธรรมลุ่มแม่น้าิินธุ” 
Sindhu Hindu Indus India
ปัจจัยทางภูมิศาสตร์กับการตั้งถนิ่ฐาน
ภูมิประเทศ 
-ลุ่มแม่น้าิินธุเป็นที่ราบลุ่มแม่น้า กว้างใหญ่ มีต้นกา เนิดมา 
จากเทือกเขาในทิเบต ไหลลงิู่ทะเลอาหรับ 
-พื้นที่มีทรัพยากรธรรมชาติอุดมิมบูรณ์ด้วยแร่โลหะ 
จา พวกทองและโลหะที่นา มาทาิา ริด 
ภูมิอากาศ 
-เป็นแบบลมมริุม แห้งแล้งและมีอากาศร้อนจัด 
น้า ที่ใช้ในการเกษตรมาจากแม่น้า เป็นหลัก
ลักษณะทตี่ั้ง 
ตอนเหนือ 
-มีเทือกเขาหิมาลัยทีิู่งชันกั้น 
-มีช่องแคบไคเบอร์ทางตะวันตกเฉียงเหนือที่ติดต่อกับดินแดน 
อื่นทางตะวันตกได้ เช่นเปอร์เซีย กรีก และโรมัน 
-อินเดียตอนเหนือจึงรับอารยธรรมผ่านทางช่องแคบไคเบอร์ 
ทั้งที่มาจากการติดต่อค้าขายและรุกรานของชาติอื่นๆ เช่น พวก 
อารยันและมุิลิม
ตะวันตกและตะวันออก 
-เป็นที่ราบลุ่มแม่น้าิินธุ แม่น้า คงคา และแม่น้าิาขา 
-มีความอุดมิมบูรณ์เหมาะแก่การประกอบเกษตรกรรม 
-เป็นบ่อเกิดของศาินา ความเชื่อและพิธีกรรมต่างๆ 
ในอารยธรรมอินเดีย 
ตอนกลาง 
-เป็นเขตที่ราบิูงเดกกันที่แห้งแล้งและทุรกันดาร เพราะถูก 
ขนาบด้วยเทือกเขาิูง 
-เป็นพื้นที่เกษตรกรรมของชาวอินเดีย (เป็นเขตเศรษฐกิจ) 
-ยังคงอุดมิมบูรณ์ด้วยทรัพยากรป่าไม้และแร่ธาตุต่างๆ
ตอนใต้ 
-มีที่ราบแคบยาวขนานกับชายฝั่งมหาิมุทรอินเดียทั้ง 2 ฝั่ง 
-ประชากรแถบนี้มีการติดต่อค้าขายแลกเปลี่ยนอารยธรรม 
กับดินแดนอื่น เช่น อียิปต์ เมโิโปเตเมีย ลังกา และดินแดนในเขต 
เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ 
-อารยธรรมของชาวอินเดียใต้จึงมีเอกลักษณ์ที่แตกต่างจาก 
ชาวอินเดียทางตอนเหนือ
อารยธรรมอินเดียสมัยก่อนประวัติศาสตร์ 
(2550-1500 ปีก่อนคริสต์ศักราช)
ชาวพื้นเมือง 
-ชนเผ่าทราวิฑหรือดราวิเดียน 
-มีรูปร่างเล็ก ผิวคล้า 
-เป็นที่เกลียดชังของชาวอารยันผู้ดา รงอารยธรรมเมโิโปเตเมีย 
-โดนดูถูกว่า เป็นพวกที่มีความล้าหลัง มีวิถีชีวิต วัฒนธรรม 
ประเพณีที่แปลกประหลาด 
-มีภาษาและอักษรทมิฬ บ่งบอกถึงความเป็นรัฐชาติในอดีต 
-ปัจจุบันกลายเป็นชนกลุ่มน้อย ที่มีภาษาตนเอง
ชาวทมิฬ อักษรทมิฬ
เมืองโบราณทีิ่า คัญ (ศูนย์กลางอารยธรรม) 
-เมืองฮารัปปาและโมเฮนโจดาโร 
-ปัจจุบันอยู่ในประเทศปากีิถาน 
-มีอาคารบ้านเรือนที่ก่อด้วยอิฐและดินเป็นจา นวนมาก 
-มีประตู หน้าต่าง พื้นบ่อ ท่อระบายน้า ทีิ่ร้างด้วยอิฐ
-มีที่อาบน้า ใหญ่มีถนนกว้าง มีทางระบายน้า อย่างดี 
-แิดงให้เห็นว่าผูิ้ร้างต้องเป็นผู้ชา นาญการในการ 
ออกแบบก่อิร้างดีมาก 
-ขุดพบตึกหลายชั้นที่เมืองโมเฮ็นโจดาโร ิันนิษฐานว่าเมื่อ 
เมืองชั้นหนึ่งถูกทับถมขึ้นมาด้วยการพอกพูนของแผ่นดินหรือน้า 
ท่วม ก็มีการิร้างเมืองใหม่ลงบนที่เก่าตามแผนผังเมืองเก่า
เครื่องมือเครื่องใช้ 
-พบเครื่องมือที่ทา จากเขาิัตว์ กระดูกิัตว์ หิน และ ิา ริด 
-พบดวงตรากับเครื่องประดับต่างๆ ซึ่งมีลักษณะเดียวกับที่ 
พบบริเวณเมโิโปเตเมีย 
-เชื่อว่าในแถบนี้มีการติดต่อกับชุมชนเมโิโปเตเมีย 
ความเชื่อ 
-พบดวงตรารูปเทวดา ล้อมด้วยเิือิิงห์ 
กระทิง แรด ิันนิษฐานว่าหมายถึงพระศิวะ 
-พบศิวลึงค์ิัญลักษณ์ของนิกายไศวะ 
ในศาินาพราหมณ์
การแต่งกาย 
-มีการนา ผ้าฝ้ายมาตัดเย็บเป็นเครื่องนุ่งห่ม 
-มีเครื่องประดับที่ทา ด้วยทอง เงิน งาช้าง ทองแดง และหินที่มีค่า 
-พบแผ่นประทับตราคนและิัตว์ 
เครื่องประดับอินเดียโบราณ
ศิลปกรรม 
-เช่น รูปปั้นดินเผาของชายมีเครายาว ดวงตราแกะิลักรูป 
ิัตว์ที่มีความประณีตต่างๆ แิดงออกถึงความเจริญของชาวิินธุ
ภาพแกะิลักบนหินรูปคนและิัตว์ต่าง ๆ
อารยธรรมลุ่มน้าสินธุ 
-รุ่งเรืองอยู่ราว 1000 ปี 
-เิื่อมลงราว 1500 ปีก่อนคริิต์ศักราช 
+ิาเหตุ -ภัยธรรมชาติ คือน้า ท่วมและพายุทราย 
-การถูกรุกรานจากพวกอารยัน 
ชนเผ่าอินโด-อารยันรุกราน 
-อพยพเข้ามาอยู่ในแถบลุ่มน้าิินธุ 
-พวกดราวิเดียน ต้องอพยพลงใต้ 
-บางิ่วนแต่งงานหรือไม่ก็กลายเป็นทาิพวกอารยัน 
-ทา ให้เกิดการแบ่งชั้นวรรณะในอินเดียต่อมา
ลักษณะทั่วไปของชาวอารยัน 
-ิืบเชื้อิายมาจากพวกอินโดยูโรเปียน ทางแถบทะเลิาบแคิเปียน 
-รูปร่างิูงใหญ่ ผิวขาว จมูกโด่ง 
-เป็นพวกกึ่งเร่ร่อน อาชีพิา คัญคือการเลี้ยงิัตว์ 
-นิยมจับงานเลี้ยง มีการดื่มของมึนเมา ร้องราทา เพลง 
-มีความิามารถในการรบ และประดิษฐ์อาวุธได้ยอดเยี่ยม 
-ชายอารยันนิยมมีภรรยาคนเดียว 
-ฐานะิตรีค่อนข้างิูง 
-เริ่มมีการแบ่งชั้นวรรณะทางิังคม
การปกครองแบบชนเผ่าอารยัน 
ิมัยแรก 
-แยกกันอยู่เป็นชนเผ่า แต่ละเผ่ามีหัวหน้าเป็นผู้ปกครอง 
-มีที่ประชุมเผ่า ประกอบด้วยิภา(ที่ประชุมของบุคคลิา คัญ)และ 
ิมิติ(ที่ประชุมของราษฎร) 
-การขึ้นครองราชย์ราชา ต้องได้รับความเห็นชอบจากที่ประชุม 
ิมัยหลัง 
-ขยายตัวไปทางตะวันออก เหนือและบริเวณลุ่มน้า คงคา 
-ปกครองแบบราชาธิปไตย 
-ราชาทรงเป็นเหมือนิมมติเทพ 
-ิภาและิมิติเริ่มหมดความิา คัญไป
อารยธรรมอินเดียสมัยประวัติศาสตร์
สมัยมหากาพย์ (900-600 ปีก่อนคริสต์ศักราช) 
-เกิดอาณาจักรใหม่บริเวณลุ่มน้า คงคามีลักษณะเป็นนครรัฐ 
-ปกครองแบบราชาธิปไตย ราชามีฐานะเป็นิมมุติเทพ 
-มีการแบ่งวรรณะชัดเจน 4 วรรณะ พราหมณ์ กษัตริย์ แพศย์ ศูทร 
-มีการติดต่อค้าขายทางเรือ กับอาณาจักรเมโิโปเตเมีย อียิปต์อาราเบีย
รามายณะ (Ramayana) 
-แต่งโดย ฤๅษีวาลมิกิ 
-แพร่ไปิู่หลายประเทศในเอเชีย 
ในเมืองไทยเรียกว่า รามเกียรต์ิ 
ในลาวเรียกว่าพระลักษณ์พระราม 
ในอินโดนีเซียเรียก รามายณะ 
-เนื้อหากล่าวถึงิงครามระหว่างมนุษย์กับยักษ์ ซึ่งหมายถึงการ 
ขยายอา นาจลงภาคใต้ของชนเผ่าอารยันในระยะเริ่มแรก 
-เป็นวรรณกรรมยาวเป็นทีิ่องรองมาจาก มหาภารตะ มีโศลก 
24,000 บท แบ่งออกเป็น 7 กัณฑ์
มหาภารตะ (Mahabharata) 
-เป็นเรื่องที่ใหญ่ทีิุ่ด มีโศลกมากถึง 100,000 บท 
-แต่งโดยฤๅษีวยาิะหรือ กฤษณะ ไทวปายน 
-กล่าวถึงการทาิงครามกันระหว่างตระกูลเการพและปาณฑพ หมายถึง 
การขยายอา นาจของชนเผ่าอารยันจนกลายเป็นแคว้นต่างๆ 
-ตอนิา คัญของเรื่องได้ถูกแยกประพันธ์เป็นคัมภีร์ภควัทคีตา(ศาินาฮินดู) 
-มีอิทธิพลต่อชาวอินเดียที่นับถือศาินาฮินดูมาถึงปัจจุบัน
สมัยจักรวรรดิ (600 ปีก่อนคริสต์ศักราช-ปลายค.ศ.ที่10) 
-ปกครองแบบิาธารณรัฐไม่จา กัดิิทธิเิรีภาพของประชาชน 
-ไม่ขัดขวางการแิดงออกซึ่งความคิดที่เป็นอิิระและเป็นของตัวเอง 
-เกิดนักคิด และผู้นา ทางลัทธิศาินาใหม่เช่น ิมเด็จพระิมัมาิมั 
พุทธเจ้าเป็นิมัยที่มีความิา คัญต่อการวางรากฐานของแบบแผนทาง 
ิังคมศิลปะ และวัฒนธรรมอินเดีย ทีิื่บทอดมาถึงปัจจุบัน
สมัยจักรวรรดิมคธ 
กษัตริย์ทีมีชื่อเิียง 
-พระเจ้าพิมพิิาร 
+ครองเมืองราชคฤห์แคว้นมคธ 
+เป็นพระิหายกับพระพุทธเจ้าิมัยที่ยังเป็นพระกุมาร 
+ทรงนับถือพระพุทธศาินาและเป็นพระโิดาบัน 
+เป็นกษัตริย์ผู้ทรงธรรมทรงอุปถัมภ์พระพุทธศาินาเป็นอย่างดี
-พระเจ้าอชาตศัตรู 
+เป็นพระโอริในพระเจ้าพิมพิิาร 
+ทรงกระทา ปิตุฆาต คือฆ่าพ่อตนเอง 
+แต่หลังพระบิดาิิ้นพระชนม์ก็ิา นึกถึงกรรมที่ได้ทา 
+จึงทรงบา เพ็ญกุศลต่างๆและทรงปฏิญาณตนเป็นอุบาิก 
+พระองค์ทา นุบา รุงพระพุทธศาินาด้วยดีโดยตลอด
การปกครอง 
-กษัตริย์มีอา นาจิูงิุด 
-มีขุนนาง3ฝ่าย (มหามาตระ) คือฝ่ายบริหาร ตุลาการ และการทหาร 
ศูนย์กลางของพระพุทธศาินา 
-ได้รับการอุปถัมภ์จากพระเจ้าพิมพิิารและพระเจ้าอชาตศัตรู 
-ทา ให้พระพุทธศาินาได้รับการเผยแพร่ไปอย่างกว้างไกล 
-ขณะเดียวกันศาินาพราหมณ์ก็เิื่องลง
สมัยจักรวรรดิเมารยะหรือโมริยะ 
-เมืองหลวงของจักรวรรดิตั้งอยู่ที่เมืองปาฏลีบุตร 
-ก่อตั้งขึ้นโดยเจ้าชายจันทรคุปต์เมารยะ ผู้โค่นล้มราชวงศ์นันทะ 
-ทรงขยายอา นาจอย่างรวดเร็วโดยการฉวยโอกาิจากความ 
ปั่นป่วนในท้องถิ่นต่างๆ ที่เกิดขึ้นหลังจากการถอยทัพไปทางตะวันตกของ 
กองทัพกรีกและเปอร์เชียของพระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราช
ระเบียบการปกครอง 
-รวมอา นาจไว้ที่กษัตริย์และเมืองหลวง 
-กษัตริย์มีอา นาจิูงิุดในการบริหาร ตรากฎหมาย การศาลและการทหาร 
-มีิภาเินาบดี(ข้าราชการระดับิูง)และิภาแห่งรัฐ(ที่ปรึกษา)เป็นผู้ช่วย 
-มีการจัดตั้งหน่วยงานกระจายอยู่ เพื่อรายงานมายังเมืองหลวง 
-มีการิร้างถนนิารวจิามะโนครัว มีระบบชลประทาน 
-มีการิร้างมหาวิทยาลัยหลายแห่ง
พระเจ้าอโศกมหาราช 
-กษัตริย์องค์ที่ 3 ของราชวงศ์เมารยะ 
-เดิมเป็นพระเจ้าแผ่นดินที่โหดร้าย ชอบการทาิงครามจน 
ได้รับิมญานามว่า จัณฑาโศกราช (พระเจ้าอโศกผู้โหดเหี้ยม) 
-หลังจากที่พระองค์หันมานับถือพระพุทธศาินา พระองค์ก็ 
ทรงกลายเป็นองค์เอกอัครพุทธศาินูปถัมภก์ 
-ทรงบา รุงพระพุทธศาินาให้มีความเจริญรุ่งเรืองและแผ่ขยาย 
มากทีิุ่ดในประวัติศาิตร์พระพุทธศาินา
พระเจ้าอโศกมหาราช 
-ทรงให้อิิรภาพในการนับถือศาินาแก่ประชาชน 
-ได้ทรงปลดข้อห้ามที่เคร่งครัดต่างๆของศาินาพราหมณ์ 
ให้หญิงม่ายแต่งงานใหม่ได้ 
-ภายหลังทรงได้รับการขนานพระราชิมัญญานามว่า 
ธรรมาโศกราช (พระเจ้าอโศกผู้ทรงธรรม) 
เมื่อิิ้นิมัยพระเจ้าอโศกมหาราชแล้ว จักรวรรดิเมารยะได้เิื่อมลงอย่าง 
รวดเร็วภายในเวลาเพียง 50กว่าปี ต่อมาราชวงศ์เมารยะก็ิิ้นิุดลง
สมัยแบ่งแยกและการรุกรานจากภายนอก (183 ปีก่อนค.ศ.-ค.ศ.300) 
กษัตริย์ที่มีชื่อเิียง 
พระเจ้ากนิษกะ 
-เป็นกษัตริย์พระองค์ที่ 3 แห่งราชวงศ์กุษาณะ 
-ทรงเป็นผู้กา หนดมหาศักราชขึ้น 
-ทรงเป็นองค์อัครราชูปถัมภ์ที่ยิ่งใหญ่ของพุทธศาินานิกายมหายาน 
-ได้รับขนานนามว่า "พระเจ้าอโศกองค์ที่ 2" 
-ทรงได้เผยแพร่ศาินาไป จีน ญี่ปุ่น และทิเบต
ภาพพระเจ้ากนิษกะบนเหรียญทอง และอีกด้านเป็นรูปพระพุทธเจ้า
แคว้นที่มีอา นาจ 
-แคว้นคันธาระ ในเขตลุ่มน.ิินธุ ตั้งอยู่ทางเหนือหรือ 
ตะวันตกเฉียงเหนือของอินเดีย 
ผลกระทบจากการเิื่อมอา นาจลงของจักรวรรดิเมารยะ 
-อาณาจักรแบ่งแยก มีการทาิงครามแย่งชิงอา นาจกัน 
-มีการรุกรานจากภายนอก 
+กรีก 
+อิหร่าน/เปอร์เซีย 
+ศกะ/ศากยะ(Scythian) 
+กุษาณะ(ตะวันตกเฉียงเหนือของอินเดีย)
สมัยจักรวรรดิคุปตะ(ค.ศ.320-535) 
พระเจ้าจันทรคุปต์ที่1 
-ปราบอาณาจักรต่างๆในอินเดียภาคเหนือเข้ามารวมกัน 
-ตั้งกรุงปาฏลีบุตรเป็นราชธานี 
-ในพิธีบรมราชาภิเษกได้โปรดให้ออกเหรียญที่ระลึก 
ประทับตราราชวงศ์เรียกว่า คุปตะ 
พระเจ้าิมุทรคุปต์ 
-โอริของจันทรคุปต์ที่1 
-ได้แผ่อาณาจักรออกไปทางเหนือจรดภูเขาหิมาลัย และ 
ทางใต้จรดแม่น้า นาร์บัด และยังได้ปราบปรามพวกกลิงค์(จาก 
แคว้น กลิงคราษฎร์)และพวกปัลวะลงไปจนใติุ้ดของอินเดีย
พระเจ้าจันทรคุปต์ที่2 หรือพระเจ้าวิกรมาทิตย์ 
-โอริของพระเจ้าิมุทรคุปต์ 
-ได้ทา การขยายอาณาเขตออกไปทางภาคตะวันตก 
-ได้รับิมญาว่าเป็นองค์อุปถัมภ์การเล่าเรียนศิลปวิทยาการ 
เหรียญกษาปณ์ิมัยพระเจ้าจันทรคุปต์ที่ 2
ยุคทองของอินเดีย 
ด้านวรรณคดีและศิลปกรรม 
-ยุคทองของวรรณคดีิันิกฤต 
-กวี กาลิทาิ แต่งวรรณกรรมที่มีชื่อเิียง คือเรื่องศกุนตลา
มหาวิทยาลัยนาลันทา 
ด้านวิชาการ 
-มีมหาวิทยาลัยต่างๆเกิดขึ้นมากมาย เช่น มหาวิทยาลัยนาลันทา 
มหาวิทยาลัยพาราณิี
ด้านวิทยาศาิตร์ 
-นักวิทยาศาิตร์ที่มีชื่อเิียงคือ อารยภตา 
-ศึกษาทางด้านดาราศาิตร์และคณิตศาิตร์ 
-มีการประดิษฐ์คิดค้นหลายอย่าง เช่นการทาิบู่และซีเมนต์ 
ด้านการแพทย์ 
-ได้รับการยกย่องว่ามีวิธีการและเทคนิคิูงในการรักษา 
โดยเฉพาะในการผ่าตัด 
-มีการรักษาความิะอาดและป้องกันเชื้อโรคอย่างเคร่งครัด 
-การใช้ยาประเภทต่างๆ ก็นับว่ามีความก้าวหน้า 
-แพทย์อินเดียรู้จักใช้ยาหลายขนานก่อนชาวยุโรป และยาบาง 
ชนิดยังคงใช้รักษาโรคมาจนปัจจุบัน
ด้านศาินา 
-ิมัยพระเจ้าิมุทรคุปต์ ทรงอนุญาตให้ 
ชาวลังกาิร้างวัดของพุทธศาินานิกายเถรวาท 
ขึ้นในจักรวรรดิได้ 
-ิมัยพระเจ้าจันทรคุปต์ที่2 มีการิ่งเิริม 
พระพุทธศาินาไปต่างแดน จากการที่หลวงจีนฟา 
เหียนเดินทางนาพระไตรปิฎกจากอินเดียกลับไปจีน 
หลวงจีนฟาเหียน 
รัชิมัยของพระเจ้าจันทรคุปต์ที่ 2 ิิ้นิุดลงใน ค.ศ.413 หลังจากนั้น 
อาณาจักรของราชวงศ์คุปตะก็เริ่มแตกแยก และิิ้นิุดลงในทีิุ่ด
หลังิมัยจักรวรรดิคุปตะ(ปลายคริิต์ศตวรรษที่5เป็นต้นมา) 
อาณาจักรปัลลวะ 
-ที่ประชาชนิ่วนใหญ่นับถือศาินาพราหมณ์เรืองอา นาจ 
ทา ให้ศาินาพุทธและศาินาเซนค่อยๆเิื่อมลง 
อาณาจักรโจฬะ 
-ศูนย์กลางอา นาจอยู่ที่ ทมิฬนาดู 
-ประชาชนพูดภาษาทมิฬและนับถือศาินาพราหมณ์-ฮินดู 
-มีการเผยแพร่ศาินาไปยังเอเชียตอนใต้ ครอบคลุมพม่า 
เกาะิุมาตรา แหลมมลายู เกาะชวา และเกาะบอร์เนียว 
-มีการิร้างเทวาลัยขนาดใหญ่
จักรวรรดิโจฬะในิมัยที่รุ่งเรืองทีิุ่ดราว ค.ศ. 1050
สมัยมุสลิม(ปลายคริสต์ศตวรรษ10-19) 
มุิลิมเชื้อิายเติร์กจากเอเชียกลางรุกราน(ปลายคริิต์ศตวรรษที่10) 
-ใช้อัฟกานิิถานเป็นฐานขยายอา นาจ 
-เมืองเดลีเป็นเมืองหลวง(ตั้งแต่คริิต์ศตวรรษที่13) 
-ปราบปรามศาินาพุทธและพราหมณ์ 
+บังคับให้ชาวอินเดียนับถือศาินาอิิลาม 
+เก็บภาษีจิซยา โดยเก็บจากราษฎรที่ไม่ใช่มุิลิมในอัตราิูง 
+มหาวิทยาลัยนาลันทาถูกทา ลาย 
+เกิดความขัดแย้งรุนแรงระหว่างพวกฮินดูกับมุิลิมจนถึงปัจจุบัน
เกิดศาินาใหม่ คือ ศาินาิิข(ค.ศ.1469) 
-คาิอนประยุกต์ระหว่างศาินาพราหมณ์-ฮินดูกับศาินาอิิลาม 
-ท่านคุรุนานักเป็นผู้ก่อตั้ง 
-ศูนย์กลางอยู่แคว้นปัญจาบ
ราชวงศ์มุคัล (ค.ศ.1526-1857) 
-ล้มอา นาจิุลต่านแห่งเดลี 
-พระเจ้าอักบาร์มหาราช 
+ทรงครองราชย์ ขณะมีพระชนมายุ 13ปีเศษ 
+แม้จะทรงเป็นมุิลิม แต่ก็ทรงให้เิรีภาพใน 
การนับถือศาินาแก่ประชาชน 
+ยกเลิกการเก็บภาษีจิซยา 
+ทรงริเริ่มศาินาใหม่ที่เรียกว่า ดินอิอิลาฮี หรือ ศาินาแห่ง 
พระเจ้า ซึ่งเป็นความพยายามที่จะรวมศาินาอิิลามเข้ากับ ฮินดู คริิต์ 
เชน และอื่นๆ แต่ไมิ่าเร็จ เพราะทรงิิ้นพระชนม์ก่อน
ยุคทองแห่งิถาปัตยกรรม 
-ยุคของพระเจ้าชาห์เชฮัน จักรพรรดิองค์ที่ 5 ของราชวงศ์มุคัล 
-โปรดใหิ้ร้างอนุิาวรีย์อันงดงามวิจิตรขึ้นจา นวน 
-เช่น ทัชมาฮาลแห่งอัครา, มัิยิดเพิร์ล, ป้อมแดง, มัิยิดจามา 
และ ป้อมละฮอร์
มัสยิดจามา เป็นมัสยิดที่ใหญ่ที่สุดในอินเดีย ป้อมแดง
ิมัยพระเจ้าออรังเซบ (ค.ศ.1658-1707) 
-ใช้นโยบายกดขี่บังคับพวกฮินดู 
+เก็บภาษีจิซยาใหม่ 
+เทวิถานฮินดูถูกทา ลาย 
+ข้าราชการฮินดูถูกปลด 
-ราชวงศ์มุคัลอ่อนแอลง 
-อังกฤษเข้ามารุกราน ทา ให้ต้องทาิงครามและเิียดินแดนหลายครั้ง 
-อินเดียตกอยู่ภายในการปกครองของอังกฤษ ค.ศ.1858โดยมีิมเด็จ 
ิมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรีย 
พระราชินีนาถวิกตอเรียแห่งอังกฤษทรงดา รงตา แหน่งิมเด็จพระเจ้า 
จักรพรรดินีแห่งอินเดีย
สังคมและวัฒนธรรมอินเดีย
ระบบวรรณะ 
แบ่งออกเป็น 4 วรรณะ 
 วรรณะพราหมณ์ → เกิดจากโอษฐ์ของพระพรหม มีหน้าที่ 
ประกอบพิธีกรรมทางศาินา มีิีเครื่องแต่งกายประจา 
วรรณะ คือิีขาวซึ่งแิดงถึงความบริิุทธ์ิ
 วรรณะกษัตริย์ → เกิดจากพระอุระของพระพรหม มี 
หน้าทีิู่้รบปกป้องประชาชน, เป็นผู้นา ของรัฐ ิีเครื่อง 
แต่งกายประจา วรรณะคือิีแดงซึ่งหมายถึงนักรบ
 วรรณะไวศยะหรือแพศย์ → เกิดจากพระเพลา (ตัก) ของ 
พระพรหม มีิีเครื่องแต่งกายประจา วรรณะคือ ิีเหลือง 
เป็นพวกแิวงหาทรัพย์ิมบัติ ได้แก่พวก พ่อค้า คหบดี 
เศรษฐี และเกษตรกร ซึ่งเป็นคนิ่วนใหญ่ของิังคม
 วรรณะศูทร → เกิดจากพระบาท(เท้า) ของพระพรหม 
มีิีเครื่องแต่งกายประจา วรรณะคือิีดา หรือิีอื่น ๆ ที่ 
ไม่มีความิดใิ มีหน้าที่เป็นกรรมกร ลูกจ้างคอยรับใช้ 
ให้บริการกับวรรณะอื่นๆ
 ยังมีคนอีกวรรณะหนึ่งซึ่งถือว่าเป็นพวกต่าิุด คือ ลูกที่ 
เกิดจากพ่อแม่ต่างวรรณะกัน ถือเป็นพวกจัณฑาล ซึ่งจะ 
ถูกรังเกียจและเหยียดหยาม ไม่มีคนในวรรณะอื่นคบหา 
ิมาคมด้วย
ปรัชญาและลัทธิศาสนาของสังคมอินเดีย 
 อินเดียเป็นแหล่งกา เนิดศาินาิา คัญของโลกตะวันออก ได้แก่ 
ศาินาพราหมณ์-ฮินดู พระพุทธศาินา และศาินาเชน 
 ปรัชญาอินเดีย หมายถึงปรัชญาทุกิานักหรือทุกระบบที่ 
เกิดขึ้นในอินเดีย หรือที่คิดิร้างิรรค์ขึ้นไว้โดยศาิดา 
และนักคิดที่เคยมีชีวิตอยู่หรือกา ลังมีชีวิตอยู่ในอินเดีย
 หลักคาิอนของพระพุทธศาินาและศาินาเชนเป็นผลมา 
จากการคิดไตร่ตรองอย่างลึกซึ้งทางปรัชญา การหลุดพ้น 
จากการเวียนว่ายตายเกิด 
 หลักธรรมของศาินาพราหมณ์-ฮินดูมีรากฐานมาจากการ 
คิดค้นิร้างระบบปรัชญา เพื่อินับินุนความเชื่อและ 
ความศรัทธาที่มีต่อพระเจ้า
เทพเจ้าของอินเดีย 
 เทพเจ้าของพวกอารยันเป็นธรรมชาติที่มีอิทธิพลต่อชีวิต 
มนุษย์ เช่น ดวงอาทิตย์ ฝน พายุ
 ต่อมามีการนับถือเพิ่มขึ้นอีก เช่น พระศิวะ เป็นผู้ทา ลาย 
 พระพรหม เป็นผูิ้ร้างโลก  พระวิษณุ เทพเจ้าแห่งิันติิุข
ศิลปกรรมอินเดีย
 ศิลปกรรมของอินเดียเริ่มปรากฏหลักฐานในอารยธรรมลุ่ม 
น้าิินธุ ราว 2,500 ปีก่อนคริิต์ศักราช 
 ในิมัยพุทธกาลได้ปรากฏหลักฐานทางศิลปะที่ได้รับ 
อิทธิพลจากจักรวรรดิเปอร์เซียและศิลปะแบบเฮลเลนิิติก
 ในช่วงิมัยราชวงศ์เมารยะพระพุทธศาินาเป็นแรงบันดาล 
ใจในการิร้างิรรค์ศิลปกรรม และเป็นศิลปะิมัยแรกที่มี 
หลักฐานปรากฏชัดเจน 
 หลังคริิต์ศตวรรษที่ 12-13 ศิลปะอิิลามแพร่ขยายอย่าง 
กว้างขวาง ขณะที่ศิลปะในพระพุทธศาินาิูญิิ้นไป
1. สถาปัตยกรรม : เน้นประโยชน์ใช้สอยมากกว่าความสวยงาม 
ิถาปัตยกรรมที่เป็นศิลปะอย่างชัดเจนปรากฏขึ้นในิมัย 
ราชวงศ์เมารยะ ซึ่งได้รับอิทธิพลมาจากจักรวรรดิเปอร์เซีย ได้แกิ่ถูป เิาหิน ตลอดจนฐานรากของพระราชวัง ิถาปัตยกรรม 
ดังกล่าวมักเกี่ยวข้องกับพระพุทธศาินาเพื่อแิดงถึงความ 
ศักด์ิิิทธ์ิของิถานที่หรือเพื่อเป็นอนุิรณ์ถึงเหตุการณ์ิา คัญ
 ในิมัยราชวงศ์กุษาณะทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และ 
ราชวงศ์มธุราในภาคกลาง เกิดศิลปะขึ้น 3 แบบ คือ 
 แบบมถุรา 
 แบบอมราวดี 
 แบบคันธาระ→
 ในิมัยมุิลิม ิถาปัตยกรรมอินเดียจะผิมระหว่าง 
ศิลปะฮินดูและเปอร์เซีย เช่น ิุิานตาชมะฮัล (Taj 
Mahal)
2. ประติมากรรม : สลักจากหิน มีรูปร่างหนัก แข็งกระด้าง 
แสดงท่าหยุดนิ่ง 
นอกจากนี้ก็มีประติมากรรมภาพิลักนูนต่า เป็นภาพพุทธ 
ประวัติ ภาพชาดก 
→
 ประติมากรรมที่เป็นพระพุทธรูปิมัยแรก คือแบบคันธาระ 
(คริิต์ศตวรรษที่ 1-2) โดยรับอิทธิพลจากศิลปะกรีก 
แบบคันธาระ
 ประติมากรรมพระพุทธรูปของศิลปะมถุรา โดยทั่วไปมี 
ลักษณะเหมือนศิลปะคันธาระ แต่พระเศียรพระพุทธรูป 
เกลี้ยง พระพักตร์กลม จีวรเป็นริ้วห่มเฉียงดูนุ่มนวล 
แบบมถุรา
 พระพุทธรูปในศิลปะแบบ 
อมราวดีเป็นแบบผิม 
อิทธิพลของกรีก วงพระ 
พักตร์ของพระพุทธรูป 
ค่อนข้างยาว 
 ประติมากรรม 
สมัยคุปตะถือเป็น 
ศิลปะของอินเดีย 
อย่างแท้จริง มักมี 
ขนาดใหญ่โต
3. จิตรกรรม : จิตรกรรมเก่าสุดที่ยังเหลืออยู่ในปัจจุบันพบที่ 
เพดานถ้าโยคีมารา วาดขึ้นด้วยสีดา ขาว และแดง ค่อนข้างหยาบ 
 จิตรกรรมิมัยศิลปะอมราวดีเป็นภาพจิตรกรรมฝาผนังถ้า 
ที่อชันตะ
 จิตรกรรมสมัยคุปตะและหลังสมัยคุปตะ เป็นสมัยที่รุ่งเรือง 
ที่สุดแห่งงานจิตรกรรมของอินเดีย ที่ผนังถ้า อชันตะเป็น 
การเขียนเล่าเรื่องชาดกต่างๆ พุทธประวัติบางตอน ภาพ 
เกี่ยวกับประเพณีชีวิตประจา วันของประชาชนและชีวิตใน 
ราชิานัก
4. นาฏศิลป์และสังคีตศิลป์ : เป็นส่วนหนึ่งของพิธีกรรมเพื่อ 
บูชาเทพเจ้า มีความเกี่ยวข้องกับวิถีชีวิตของชาวอินเดีย 
ทางด้านศาสนาและชีวิตประจาวัน 
ภารตนาฏยัม
5. วรรณกรรม : เริ่มจากการเป็นบทสวดในพิธีบูชาเทพเจ้า 
เน้นหนักไปทางด้านศาสนา แบ่งตามพัฒนาการทางภาษา 
ออกเป็น 4 กลุ่ม 
 วรรณกรรมภาษาพระเวท→ใช้ภาษาิันิกฤตโบราณของ 
พวกอารยัน ประกอบด้วย 
ฤคเวท : ใชิ้วดิรรเิริญพระเจ้า
ยุชรเวท : แบบแผนการประกอบพิธียัญกรรมและพิธีบวงทรวง 
ิามเวท : ิวดในพิธีถวายน้า โิมแก่พระอินทร์
อาถรรพเวท : เป็นบทที่ 
รวบรวมเวทมนตร์ 
คาถาอาคม→ 
 วรรณกรรมตันติ 
ิันิกฤต : รูปแบบคา 
ประพันธ์มักเป็นร้อย 
กรอง เรียกว่า โศลก 
มหาภารตะ
 วรรณกรรม 
ิันิกฤตที่แต่ง 
เป็นบทละครที่มี 
ชื่อเิียงมาก→ 
ศกุนตลา 
 วรรณกรรมิันิกฤตผิม 
: ใช้เขียนหลักธรรมและ 
เรื่องราวทาง 
พระพุทธศาินา เป็นงาน 
นิพนธ์แบบร้อยแก้ว 
พุทธจริต
 วรรณกรรมภาษาอื่นๆ : วรรณกรรมภาษาบาลี ใช้ใน 
วรรณกรรมพระพุทธศาินานิกายเถรวาท 
พระไตรปิฎก
ความก้าวหน้าทางวิทยาการของอินเดีย
1. ภาษาศาสตร์ : ภาษาสันสกฤตมีความสาคัญ เป็นภาษาที่ใช้ 
อยู่ในคัมภีร์พระเวท 
 มีตา ราว่าด้วยไวยากรณ์หลายเรื่อง : นิรุกตะ 
อัษฎาธยายี 
เมื่อมุิลิมเติร์กเข้าปกครองอินเดียตอนเหนือได้นาเอาภาษา 
ิันิกฤต อารบิก และเปอร์เซียมาผิมกันเป็นภาษาใหม่ 
เรียกว่า ภาษาอูรดู ซึ่งเป็นภาษาที่มุิลิมใช้พูดกันในอินเดีย 
ปัจจุบัน
2. ธรรมศาสตร์และนิติศาสตร์ 
 ธรรมศาิตร์→กฎหมาย ศาินบัญญัติ จารีตประเพณี 
ศีลธรรม และหน้าที่ ซึ่งมีพื้นฐานมาจากธรรมิูตร 
มนูิมฤติ / มานวธรรมศาิตร์
 นิติศาิตร์หรืออรรถศาิตร์→การเมืองการปกครองและ 
ความมั่งคั่งของิังคมบ้านเมือง 
อรรถศาิตร์
3. แพทยศาสตร์ : การแพทย์ของอินเดียมีมานานแล้ว แพทย์ที่มี 
ชื่อเสียงมากของอินเดียโบราณคือ หมอชีวกโกมารภัทร 
หมอชีวกโกมารภัทร
4. ชโยติษ(ดาราศาสตร์ โหราศาสตร์ และคณิตศาสตร์) : ฤกษ์ 
ยามมีความสาคัญมาก จึงต้องอาศัยวิถีโคจรของดวงอาทิตย์ 
ดวงดาวที่โคจรมาอยู่ในตา แหน่งต่างๆในแต่ละช่วงเวลา 
←การดูฤกษ์ยาม 
ชาวอินเดียเป็นชนชาติแรกที่ประดิษฐ์เลข 0 ขึ้นใช้ ทา ให้มี 
หลักหน่วย หลักิิบ หลักร้อย หลักพัน ในการคา นวณได้โดย 
ไมิั่บิน
ผู้จัดทา 
1. นางิาวกุลนิภา ธารธนานุกร ม.6.1 เลขที่ 3 
2. นางิาวพรณิชา แก้วคูณ ม.6.1 เลขที่ 16 
นาเสนอ 
อ.ปรางค์ิุวรรณ ศักด์ิโิภณ

อารยธรรมอินเดีย