ประวัติศาสตร์เอเชียตะวันออก
(History of East Asia)
เอเชียตะวันออก คืออะไร
ภูมิภาคที่ตั้งอยู่บริเวณซีกตะวันออกของทวีปเอเชีย
วิชานี้จะจํากัดขอบเขตเนื้อหาไว้เพียงแค่ ๓ ประเทศ จีน เกาหลี ญี่ปุ่น
ทําไมเรียนแค่ ๓ ประเทศ ?
-เป็นลักษณะเด่นเฉพาะของอารยธรรมเอเชียตะวันออก
-มีพัฒนาการทางประวัติศาสตร์ร่วมกัน
-มีความคล้ายคลึงกันในหลายๆ ด้าน
-เป็นตัวอย่างของประเทศที่ประสบผลสําเร็จ
ความสําคัญของเอเชียตะวันออก
ในอดีตเอเชียตะวันออกถูกเรียกว่า “เอเชียตะวันออกไกล” (Far
East Asia) ปัจจุบันโฉมหน้าของเอเชียตะวันออกได้เปลี่ยนแปลงไปอย่าง
มากมาย
ประเทศจีน
-เป็นดินแดนแห่งอารยธรรมโบราณที่มีหน้าที่ถ่ายทอด
-เป็นประเทศคอมมิวนิสต์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก
-มีความท้าทายต่อการเปลี่ยนแปลง กรณี “เทียนอันเหมิน”
-การแสดงแสนยานุภาพเหนือหมู่เกาะสแปรตลีย์
ประเทศเกาหลี
-พัฒนาการทางประวัติศาสตร์ที่ไม่อาจแยกจากจีน
-ความอ่อนแอ ทําให้ต้องเผชิญหน้ากับการคุกคาม
-“สงครามเย็น” คือตัวการในการแบ่งเป็นเหนือและใต้
-“เสือเศรษฐกิจของเอเชีย”
ประเทศญี่ปุ่น
-หยิบยืมวัฒนธรรมบางอย่างไปจากจีน
-ความต้องการเป็นมหาอํานาจนําเข้าสู่สงครามโลก
-ความพ่ายแพ้ความบอบซ้ําเป็นแค่เพียงบทเรียน
-ปัจจุบันคือประเทศเจ้าหนี้รายใหญ่ของโลก
ลักษณะทางกายภาพของเอเชียตะวันออก
ลักษณะทางกายภาพของจีน
-ลักษณะโดยรวมถูกปกคลุมด้วยภูเขาและที่ราบสูง
-ที่ราบลุ่มแม่น้ําฮวงโห/แม่น้ําเหลือง
-ที่ราบลุ่มแม่น้ําแยงซี/แยงซีเกียง
“แม่น้ํา ๒ สายเป็นเสมือนเส้นเลือดใหญ่ของจีน”
ลักษณะทางกายภาพของเกาหลี
-ตั้งอยู่บริเวณคาบสมุทรเกาหลี
-แนวพรมแดน ทะเลติดกับญี่ปุ่น-บนบกติดกับจีน
-พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นภูเขาทั้งหมด (ไม่มีที่ราบ)
-จุดเด่น คือ ทรัพยากรแร่ธาตุ
-แร่ธาตุ ทําให้ต้องตกอยู่ในภาวะการถูกแย่งชิง
ลักษณะทางกายภาพของญี่ปุ่น
-ญี่ปุ่นมีความแตกต่างจากจีนและเกาหลี (เป็นเกาะ)
-ลักษณะส่วนใหญ่เป็นภูเขา (ภูเขาไฟ)
-กระแสน้ําเย็น+กระแสน้ําอุ่น มาเจอกันที่ญี่ปุ่น
ข้อสังเกต
แม้ลักษณะภูมิประเทศจะแตกต่างกันบ้างในรายละเอียด
แต่สภาพโดยรวมแล้วค่อนข้างมีลักษณะใกล้เคียงกัน โดยเฉพาะทางด้าน
ภูมิอากาศ ซึ่งส่งผลต่อการดํารงชีวิต
-ความขยันอดทนที่อยู่ในสายเลือด
-แรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์ศิลปะ
“มันเป็นคุณสมบัติที่เด่นของประชากรในแถบนี้”
“อารยธรรมลุ่มแม่น้ําฮวงโห”
พัฒนาการทางประวัติศาสตร์ประเทศจีน
(สมัยโบราณ)
อาณาจักรจีนในสมัยโบราณ
ประวัติศาสตร์จีนแบ่งออกเป็น ๓ สมัย
๑.สมัยวัฒนธรรมเครื่องปั้นดินเผา (ใช้เครื่องปั้นดินเผาเป็นหลักฐาน)
-ประวัติศาสตร์จีนยุคโบราณ เต็มไปด้วยนิยาย+ตํานาน
-เชื่อว่าจีนเกิดในยุคน้ําแข็ง ๗๐๐,๐๐๐ ปีมาแล้ว(มนุษย์ปักกิ่ง)
ก.วัฒนธรรมหยางเชา
เครื่องปั้นดินเผามีลวดลาย,ผู้หญิงมีอํานาจ
ข.วัฒนธรรมลุงชาน
เครื่องปั้นดินเผาไม่มีลวดลาย,ผู้ชายมีอํานาจ
๒.สมัยยุคต้นราชวงศ์ (เซี่ย,ซัง,โจว)
ราชวงศ์เซี่ย (ราชวงศ์แรก...?)
-กษัตริย์พัฒนามาจากตําแหน่งหัวหน้าหมู่บ้าน
-เปลี่ยนจาก สังคมหมู่บ้าน/เผ่า มาเป็น สังคมนคร
ราชวงศ์ซัง (ราชวงศ์แรก)
-การปกครองยังคงเหมือนเดิม แต่เริ่มยิ่งใหญ่ขึ้น
-เริ่มมีการประดิษฐ์ตัวอักษร (เขียนบนกระดูกสัตว์)
-เริ่มประดิษฐ์ปฏิทิน (แบ่งเวลาตามฤดูกาล)
ราชวงศ์โจว (ยุคที่รุ่งเรืองที่สุด)
-ใช้การปกครองแบบศักดินาสวามิภักดิ์
๑.สมัยโจวตะวันตก เมืองหลวงคือ “ซีอาน”
๒.สมัยโจวตะวันออก เมืองหลวงคือ “ลั่วยาง”
-ใช้แนวคิดสร้างอํานาจในการปกครองใหม่
-“โอรสแห่งสวรรค์” และ “อาณัติแห่งสวรรค์”
-นักปรัชญา ขงจื้อ เล่าจื๊อ เม่งจื้อ เกิดช่วงนี้
+แนวคิดว่าฉันคือศูนย์กลางความเจริญของโลกปรากฏขึ้น +
(The Middle of Kingdom)
๓.สมัยยุคอาณาจักร (จิ๋น,ฮั่น)
เป็นยุคที่จีนสามารถรวบรวมแผ่นดิน และสามารถขยายอาณาจักรไปได้
อย่างกว้างขว้าง โดยความสามารถของ
“จักรพรรดิจิ๋นซีฮ่องเต้ ”(ฉินสื่อหวง)
สมัยราชวงศ์จิ๋น
-จิ๋นซีฮ่องเต้ ได้รวบรวมอาณาจักร แบ่งเป็นมณฑล
-ใช้การรวมอํานาจไว้ที่ศูนย์กลาง ใช้กฎหมายบังคับ
-สร้าง “กําแพงเมืองจีน” (The Great Wall of China)
สมัยราชวงศ์ฮั่น (ชาวนาชื่อ “หลิวปิง”)
ชาวนาที่ได้รับความเดือดร้อน รวมกลุ่มทําการเปลี่ยนแปลงสถาปนา
ตัวเองเป็นจักรพรรดิ “จักรพรรดิฮั่นเกาตี้”
ราชวงศ์ฮั่นตอนต้น
-ศักดินาสวามิภักดิ์ยังคงเหมือนเดิม
-มีการคัดเลือกคนเข้ารับราชการ (สอบโจวงวน)
-ขุนนางเริ่มสะสมอํานาจ และก่อกบฏขึ้น
-ราชวงศ์ฮั่นต้องสิ้นสุดลงระยะหนึ่ง
ราชวงศ์ฮั่นตอนปลาย
-กลับมาอีกครั้ง หลังจากปราบกบฏได้
-จักรพรรดิมิได้มีความเข้มแข็งเหมือนดั่งเดิม
-กลุ่มโจรโพกผ้าเหลือง
-กลุ่ม “ขุนศึก” (เหล่าบรรดาทหารค้ําบัลลังก์)
จุดจบของราชวงศ์ฮั่น = จุดแตกสลายของอาณาจักรจีน
-เข้าสู่ “ยุคสามก๊ก”
-๓๐๐ ปีแห่งความแตกแยก
พัฒนาการทางประวัติศาสตร์ประเทศจีน
(สมัยกลาง)
อาณาจักรจีนในสมัยกลาง
สมัยกลางเป็นสมัยที่เต็มไปด้วยการทําสงครามแย่งชิงอํานาจ
ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนราชวงศ์ต่างๆ มากมาย
๑.สมัยสามก๊ก (ค.ศ.๒๒๑-๒๖๕)
-ราชวงศ์ฮั่นสลายตัวลง เกิดสงครามแย่งชิงอํานาจ
-อาณาจักรจีนแบ่งออกเป็น ๓ ก๊ก
๑. ก๊กโจโฉ = ราชวงศ์ไหว
๒. ก๊กซุนกวน = ราชวงศ์วู
๓. ก๊กเล่าปี่ = ราชวงศ์ชูฮั่น
“สุมาเยน”“สุมาเอี๋ยน” ผู้รวบรวมจีนให้พ้นจากยุคสามก๊ก พร้อมกับ
ตั้งราชวงศ์สินขึ้น (อยู่ได้ไม่นาน)
๒.ราชวงศ์สุย (ค.ศ.๕๘๑ - ๖๑๘)
-จักรพรรดิซิวั่งตี่
-นําระบบการปกครองแบบรวมศูนย์อํานาจมาใช้
-สร้างเมืองใหม่ “เมืองจักรพรรดิ”(Imperia City)
-การเกณฑ์แรงงานทําให้ประชาชนเดือดร้อน
-พวกเตอร์กรุกราน สถาบันกษัตริย์เริ่มอ่อนแอ
- “หลี่ซื่อหมิ่น” โค่นราชวงศ์สุย ตั้งราชวงศ์ใหม่ขึ้น
๓.ราชวงศ์ถัง (ค.ศ.๖๑๘ - ๙๐๗)
-“จักรพรรดิถังไท่จง”
-เป็นสมัยที่จีนมีความเจริญสูงสุด
-อาณาเขตกว้างใหญ่มากขึ้น
-เริ่มมีระบบบริหารงานแผ่นดิน
- “กระทรวง” “จังหวัด”
-มีการก่อตั้งราชบัณฑิตสถาน
-พระถัง ซัม จั๋ง “หลวงจีนเหี้ยนจัง”
-พุทธศาสนาเริ่มขยายตัว วัดกว่า ๔,๐๐๐ แห่ง
-ปลายราชวงศ์ เข้าสู่ยุคฟื้นฟูวัฒนธรรมจีน ต่อต้านวัฒนธรรมที่มา
จากภายนอก (ศาสนาพุทธออกไป ขงจื๊อกลับมา)
-ราชวงศ์ถังเสื่อมลงใน ค.ศ.๗๕๑
-พวกเตอร์กโจมตี
-พวกเตอร์กเข้ามามีบทบาทในราชสํานัก
-จีนแตกออกเป็นส่วนๆ
-เข้าสู่ “สมัย ๕ ราชวงศ์” (เข้าสู่ยุคมืด)
๔.ราชวงศ์ซ้อง (ซุ้ง) (ค.ศ.๙๖๐ - ๑๒๗๐)
-“เจากวนหยิน” ได้รวบรวมจีนขึ้นอีกครั้ง
-จัดการปกครองแบบรวมศูนย์อํานาจอีกครั้ง
-ราชวงศ์ซ้องไม่เข้มแข็งพอ
-ใช้วิธีจ่ายสินบนให้กับพวกเตอร์ก พวกมองโกล
-“วัฒนธรรมรัดเท้าสตรี”
๕.ราชวงศ์หยวนหรือมองโกล (ค.ศ.1260-1368) (ต่างชาติ)
-“ครั้งแรกที่จีนตกอยู่ภายใต้การปกครองของต่างชาติ”
-“จักรพรรดิกุบไลข่าน”
-พวกมองโกลใช้วิธีแบ่งแยกและปกครอง
-ปลายราชวงศ์หยวน ผู้นําเริ่มอ่อนแอ
-“ลูหยวนจัง” ชาวนาคนที่สอง โค่นล่มราชวงศ์หยวนลง
๖.ราชวงศ์เหม็ง (ราชวงศ์ชิง)(ค.ศ.1368-1644)
-“ลู หยวน จัง” ชาวนาคนที่สองต่อจากหลิวปิง
-มีความเจริญด้านการเดินเรือ (เริ่มค้าขายกับไทย)
-ศาสนาคริสต์เริ่มเข้ามา (มาร์โคโปโล)
-ความเสื่อมของราชวงศ์มาจาก ปัญหาด้านเศรษฐกิจ
-สงครามจีนญี่ปุ่น
-สุดท้าย กลุ่มแมนจู โค่นล้มราชวงศ์เหม็งลง
๗.ราชวงศ์แมนจู (ค.ศ.๑๖๔๔-๑๙๑๑) (ต่างชาติ)
- “จักรพรรดิชุนชือ”
-พวกแมนจูพยายามโจมตีจีนมาโดยตลอด
-ยังคงใช้การรวมศูนย์อํานาจไว้ที่ศูนย์กลาง (องค์จักรพรรดิ)
-ใช้นโยบายผสมกลมกลืนวัฒนธรรม
๑.บังคับให้ชาวจีนได้ผมเปีย โกนหัวช่วงหน้า
๒.นําภาษาแมนจูมาเป็นภาษาราชการ
-ราชวงศ์แมนจูสามารถปกครองจีนเรื่อยมา จนเข้าสู่ยุคสมัยใหม่
พัฒนาการทางประวัติศาสตร์
ประเทศเกาหลี (สมัยโบราณ)
อาณาจักรเกาหลีในสมัยโบราณ
-อาณาจักรเกาหลีกําเนิดเมื่อประมาณ ๓,๐๐๐ ปีก่อนคริสตกาล
(สมมุติฐาน)
-จากการขุดพบซากโครงกระดูก (คุลโป-รี และ ปูโบ-รี)
-นิยาย+นิทานปรัมปรา คือส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์เกาหลี (อิทธิพล
จีน)
- “หนังสือโคกุน”(Kogun) ตํานานการเกิดเกาหลี
-หวั่นอิน ให้หลานชื่อ “โคกุน” ลงมาสร้างเกาหลี
-ชาวเกาหลีจึงเคารพบูชา ในฐานะผู้ให้กําเนิด
- “โชซุน”(Chosun) = “โคกุน” (Kogun)
ซึ่งทั้งสองคําข้างต้น แปลว่า “อรุณอันสงบ”
ยุคสามอาณาจักร (๓๗ ปีก่อนคริสตกาล-ค.ศ.๙๓๕)
(อาณาจักรโคกูเรียว , อาณาจักรแพ็คเจ , อาณาจักรซิลลา)
-ประวัติศาสตร์เกาหลีเริ่มมาจากอาณาจักรทั้งสาม
๑.โคกูเรียว (Koguryo)
เป็นอาณาจักรแรก อยู่ทางทิศเหนือ
๒.แพ็คเจ (Paekje)
เป็นอาณาจักรถัดมา ทางตกเฉียงใต้
๓.ซิลลา (Shilla)
เป็นอาณาจักรต่อมา ทางออกเฉียงเหนือ
-อารยธรรมจีนเริ่มแผ่ขยายสู่ดินแดนเกาหลีในช่วงนี้ (แพ็คเจตัวนํา)
“ศาสนาพุทธคือสิ่งแรกที่เข้ามา”
“รูปแบบการปกครองแบบ รัฐ “
-ราชวงศ์ซ้อง (จีน) เข้ามามีบทบาทกับสงคราม ๓ อาณาจักร
“ราชวงศ์ซ้องสนับสนุนอาณาจักรซิลลา..จัดการแพ็จเจ ”
“สุดท้ายอาณาจักรซิลลา มีชัยเหนือทุกอาณาจักร ”
สิ่งเดียวที่ซิลลานํามาจากจีนคือ “พุทธศาสนา”
+ นี่คือ จุดเริ่มต้นของจีนในการแทรกแซงทางการเมืองเกาหลี +
-การแย่งชิงอํานาจ การลอบปลงพระชนม์ การเกิดกบฏ นําไปสู่จุดแตก
สลายของอาณาจักรซิลลา และจุดจบของยุคสามอาณาจักร
ยุคอาณาจักรโคเรียว (ค.ศ.๙๑๘ - ๑๓๙๗)
-หลังจากการสลายตัวของยุคสามอาณาจักร ค.ศ.๙๑๘
-“วังกอน” ได้รวบรวมผู้คน สถาปนาอาณาจักรโคเรียว (Koryo)
-สมัยนี้กล่าวได้ว่าเป็นสมัยแห่งการลอกเลียนจีนมากที่สุด
-ประเพณีถวายบุตรสาวให้แก่กษัตริย์
-สอบเข้ารับราชการ (เดิมใช้สืบทอดตําแหน่ง)
-ชนชั้นทางสังคม (ขุนนาง)
-อาณาจักรโคเรียวในช่วงปลายค่อนข้างวุ่นวาย
-ความเหลื่อมล้ําทางสังคม
-โจรสลัดอาละวาดแถบชายฝั่ง
-การเมืองจีนเปลี่ยนแปลง
“ราชวงศ์มองโกล ราชวงศ์เหม็ง ”
- การเมืองจีนส่งผลให้เกาหลีแตกออกเป็น ๒ กลุ่ม (กลุ่มมองโกล - กลุ่ม
เหม็ง)
-“ขุนพล ยี ซองเกีย” ถือโอกาสยึดอํานาจ
- สุดท้ายก็สถาปนาราชวงศ์ ยี ขึ้นในปี ค.ศ.๑๓๙๒ (ปกครองเกาหลียาวว)
พัฒนาการทางประวัติศาสตร์
ประเทศเกาหลี (สมัยกลาง)
อาณาจักรเกาหลีในสมัยกลาง
เกาหลีในสมัยกลางมีช่วงยาวนานถึง ๕๑๘ ปี (ค.ศ.๑๓๙๒-๑๙๑๐)
และมีเพียงราชวงศ์ ยี (ราชวงศ์เดียว) ที่ครองอํานาจ
- ยี ซองเกีย สวามิภักดิ์ต่อราชวงศ์เหม็ง(จีน)(ทุกอย่างจากจีนมาเต็ม)
+ระบบศักดินาสวามิภักดิ์ (ยึดที่ดินทั้งหมดเป็นของรัฐ)
+กีดกั้นพุทธศาสนา แต่ส่งเสริมขงจื้อ (จีน)
+กระทรวง / มณฑล (นําของจีนมาใช้)
โครงสร้างทางสังคมเกาหลีสมัยกลาง
เปรียบเป็นรูปปิรามิด
-ชนชั้นส่วนยอด “ยางบัน(Yang ban)” เชื้อพระวงศ์
-ชนชั้นที่สอง “จุลอิง(Chung-in)” ข้าราชการ
-ชนชั้นที่สาม “ยางมิน(Yangmin)” สามัญชน
-ชนชั้นสุดท้าย “ชอนมิน(Chonmin)” ทาส
+ราชวงศ์ ยี ครองเกาหลียาวนานกว่า ๕๐๐ ปี จนเข้าสู่ยุคสมัยใหม่
พัฒนาการทางประวัติศาสตร์
ประเทศญี่ปุ่น(สมัยโบราณ)
อาณาจักรญี่ปุ่นในสมัยโบราณ
ประวัติความเป็นมาของญี่ปุ่นในยุคโบราณ ไม่มีหลักฐานที่ชัดเจน ส่วนใหญ่
เป็นเพียงข้อสันนิษฐานเท่านั้น
วิวัฒนาการประวัติศาสตร์ญี่ปุ่น แบ่งออกเป็น ๓ วัฒนธรรม
๑.วัฒนธรรมโจมอน (๘,๐๐๐-๓๐๐ ก่อนค.ศ.)
-เริ่มออกจากถ้ํา สร้างที่พักง่ายๆ
-เครื่องปั้นดินเผาเริ่มเกิดขึ้น
+ตุ๊กตา “โดงุ”(Dogu)
+วัฒนธรรมโจมอน สิ้นสุดลงเมื่อมีวัฒนธรรมที่สูงกว่าเข้ามาแทนที่+
๒.วัฒนธรรมยายอย (๓๐๐ ก่อนค.ศ.)
วัฒนธรรมโจมอนสิ้นสุด เมื่อมีวัฒนธรรมที่สูงกว่าเข้ามาแทนที่ นั่นคือ
วัฒนธรรมการปลูกข้าวในที่ลุ่ม หรือ วัฒนธรรมยายอย
ลักษณะวัฒนธรรมยายอย
-มีการปลูกข้าวในที่ลุ่ม (เป็นวิทยาการที่มาจากจีน)
-เริ่มรวมกลุ่ม เริ่มมีการปกครอง เริ่มมีพิธีกรรม
-เริ่มมีการฝังศพชนชั้นสูงในสุสานขนาดใหญ่ (เหมือนจีน)
-ภาชนะดินเผาประณีตขึ้น
-เกิดเครื่องมือเครื่องใช้ที่ทําจากโลหะ
๓. วัฒนธรรมโคะฟุน หรือ วัฒนธรรมแบบที่มีหลุมฝังศพ
-โคะฟุน คือ สุสานฝังศพ
-เป็นสมัยที่ปรากฏสุสานต่างๆ ขนาดใหญ่จํานวนมาก
-สุสานรูปกุญแจ,รูปวงกลม,รูปสี่เหลี่ยม
-คั่นฉ่องสัมฤทธิ์
-ตุ๊กตาดินเผา “ฮานิวา”(Haniwa)
-พุทธศาสนาเริ่มขยายอิทธิพลเข้ามา
-การฌาปนกิจศพ(การเผาเข้ามาแทนที่การฝัง)
สมัยวัฒนธรรมโคะฟุน = สมัยแห่งการหลั่งไหลของวัฒนธรรมจีน
-ช่วงเวลาเดียวกับ ราชวงศ์สุย ราชวงศ์ถัง
+ศาสนาพุทธคือตัวนําแห่งวัฒนธรรมทั้งหมดจากจีน
-การเมืองการปกครอง
-ระบบสอบคัดเลือกข้าราชการ
-ลัทธิขงจื๊อ ลัทธิเต๋า
-ศาสนาชินโต (เป็นสิ่งที่ญี่ปุ่นสร้างสรรค์ขึ้นจากการเลียนแบบ)
พัฒนาการทางประวัติศาสตร์
ประเทศญี่ปุ่น(สมัยกลาง)
อาณาจักรญี่ปุ่นในสมัยกลาง เป็นช่วงเวลาที่เกิดการเปลี่ยนแปลง
ด้านการเมืองการปกครองภายในญี่ปุ่น
-จักรพรรดิเริ่มหมดอํานาจลง
-สถาบันทหาร(นักรบ)เข้ามาแทนที่
ตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ ๑๓ – ยุคสมัยใหม่ (ค.ศ.๑๒๐๑-๑๓๐๐)
สมัยกลางแบ่งออกเป็น ๓ ยุคสมัย ดังนี้
๑. สมัยคามากูระ
๒. สมัยอาชิคางะ
๓. สมัยโตกูกาวะ
๑. สมัยคามากูระ
ถือเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลง
-อํานาจเริ่มกระจายไปสู่แค้วนต่างๆ
-กําเนิดพุทธศาสนา (นิกายใหม่)
-เกิดระบบการปกครองตนเองของเขตชนบท (บาคูฟุ)(โช
กุน)
+ สภาพสังคมในช่วงนี้ บั่นทอนอํานาจราชสํานักลง+
+เปิดโอกาสให้กลุ่มนักรบมีบทบาทแทน +
การเมืองการปกครอง (สมัยคามากูระ)
สมัยคามากูระ ได้ตั้งสภาขึ้นมา ๓ สภา
๑. สภานักรบ (Samurai dokoro)
ทําหน้าที่เป็นฝ่ายปกป้องคุ้มครองให้แก่ “โชกุน”
๒. สภาบริหาร (Mandokoro)
หน้าที่เกี่ยวกับทรัพย์สิน การใช้เงินและดูแลที่ดินต่างๆ
๓. สภาตุลาการ (Monchujo)
หน้าที่รับเรื่องราวร้องทุกข์ ของสามัญชน
ศาสนาและวัฒนธรรม (สมัยคามากูระ)
เป็นสมัยที่พุทธศาสนาแพร่หลายสู่ประชาชนมากที่สุด
๑. นิกายสุขาวดี
๒. นิกายนิชิเร็น,นิชิเร็ง
๓. นิกายเซ็น
+ นิกายทั้ง ๓ เป็นนิกายที่ไม่เน้นปรัชญาคําสอนที่ลึกซึ้ง +
+ ไม่เน้นพิธีกรรมที่ซับซ้อน เน้นความเชื่อที่ว่า ใครก็สามารถบรรลุได้ +
ลัทธิบูชิโด (Bushio)
“กฎเกณฑ์ของกลุ่มนักรบ” เกิดขึ้นจากการเมืองการปกครองที่
เปลี่ยนแปลงไป
จริยธรรมลัทธิบูชิโดประกอบด้วย
๑. ความซื่อสัตย์จงรักภักดีต่อนาย(ขงจื๊อ)
๒. นักรบทุกคนต้องไม่กลัวตาย(การทําฮาราคีรี)
๓. สามารถบังคับจิตใจตนเองได้(พุทธ)
๔. ต้องรักษาความสะอาด(ชินโต)
๕. ต้องมีความกล้าหาญที่แฝงไว้ด้วยความเมตตากรุณา(พุทธ)
๒. สมัยอาชิคางะ
สภาพการเมืองการปกครอง
-เป็นสมัยที่พวกมองโกลเริ่มเข้ามารุกราน (หยวนจีน)
-ปัญหาการแย่งชิงราชบัลลังก์ของราชสํานักยังคงอยู่
-ความมั่นคงทางการเมือง ถึงจุดวิกฤต
+ลักษณะสําคัญของการปกครองในยุคนี้ คือ
“ลักษณะท้องถิ่นนิยม” (Regionalism)
วัฒนธรรม (สมัยอาชิคางะ)
-ลักษณะวัฒนธรรมสมัยนี้รับมาจากนิกายเซ็น
-ละครโน (No)
-ประเพณีดื่มน้ําชา หรือ พิธีชงชา (chado)
๓. สมัยโตกูกาวะ (ค.ศ.๑๖๐๐-๑๘๖๗)
-เป็นสมัยที่ญี่ปุ่นพยายามยกทัพบุกจีนถึง ๒ ครั้ง (เหม็ง)
-การเมืองการปกครองได้รับอิทธิพลจากลัทธิขงจื๊อ
-เริ่มใช้นโยบายปิดประเทศ (ห้ามต่างชาติเข้ามาค้าขาย)
สภาพสังคมสมัยโตกูกาวะ
ประกอบด้วย ๒ ชนชั้น
๑. นักรบ(ผู้ปกครอง)
๒. สามัญชน(ผู้ถูกปกครอง)
สรุป ยุคสมัยโตกูกาวะ
เป็นช่วงสุดท้ายของสังคมศักดินาสวามิภักดิ์ที่มีความสันติสุข
๒๖๐ ปีกับนโยบายปิดประเทศ ลัทธิจักรวรรดินิยม ทําให้ญี่ปุ่นไม่อาจ
หลีกเลี่ยงได้ จําเป็นต้องเปิดประเทศเข้าสู่ยุคสมัยใหม่ในเวลาต่อมา..........

ประวัติศาสตร์เอเชียตะวันออก (จีน เกาหลี ญี่ปุ่น)