More Related Content Similar to การสอนแบบสืบเสาะ
Similar to การสอนแบบสืบเสาะ (20) More from Weerachat Martluplao
More from Weerachat Martluplao (20) การสอนแบบสืบเสาะ1. ั้ ่ ี ่ ่
1. ปร ัชญาวิทยาศาสตร์ดงเดิม ความรู ้วิทยาศาสตร์ หมายถึง ความจริงหรือข ้อเท็จจริงทีมอยูหรือเป็ นอยู่ ซึงได ้
จากการตรวจสอบ การค ้นคว ้าทดลองอย่างเป็ นระบบ โดยใช ้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ แต่ปร ัชญา
่ ่
วิทยาศาสตร์แนวใหม่ ความรู ้วิทยาศาสตร์ เป็ นความรู ้ทีเกิดจากการสรรสร ้างของแต่ละบุคคล ซึงมีอทธิพลมาจาก
ิ
่
ความรู ้หรือประสบการณ์เดิม และสิงแวดล ้อมหรือบริบทของสังคมของแต่ละคน
2. แนวคิดของเพียเจต์ (Piaget) เกียวก ับพ ัฒนาการทางสติปัญญาและความคิด คือ การทีคนเรามีปะทะ
่ ่
่ ่
สัมพันธ์กับสิงแวดล ้อมตังแต่แรกเกิด และการปะทะสัมพันธ์อย่างต่อเนื่องระหว่างบุคคลกับสิงแวดล ้อมนี้มผลทาให ้
้ ี
ระดับสติปัญญาและความคิด มีการพัฒนาขึนอย่างต่อเนืองอยูตลอดเวลากระบวนการทีเกียวข ้องกับการพัฒนาทาง
้ ่ ่ ่ ่
สติปัญญาและความคิดมี 2 กระบวนการ คือ การปรับตัว (Adaptation) และการจัดระบบโครงสร ้าง (Organization)
่ ุ ่ ่
การปรับตัวเป็ นกระบวนการทีบคคลหาหนทางทีจะปรับสภาพความไม่สมดุลทางความคิดให ้เข ้ากับสิงแวดล ้อมทีอยู่ ่
ั ่
รอบ ๆ ตัว และเมือบุคคลมีปฏิสมพันธ์กับสิงแวดล ้อมรอบ ๆ ตัว โครงสร ้างทางสมองจะถูกจัดระบบให ้มีความ
่
เหมาะสมกับสภาพแวดล ้อม มีรปแบบของความคิดเกิดขึน กระบวนการปรับตัวประกอบด ้วยกระบวนการทีสาคัญ 2
ู ้ ่
ประการคือ
์ ึ
1) กระบวนการดูดซึม (Assimilation) หมายถึง กระบวนการทีอนทรียซมซาบประสบการณ์ใหม่เข ้า
่ ิ
่
สูประสบการณ์เดิมทีเหมือนหรือคล ้ายคลึงกัน
่ แล ้วสมองก็รวบรวมปรับเหตุการณ์ใหม่ให ้เข ้ากับโครงสร ้างของ
ความคิดอันเกิดจากการเรียนรู ้ทีมอยูเดิม
่ ี ่
2) กระบวนการปรับขยายโครงสร ้าง (Accomodation) เป็ นกระบวนการทีตอเนื่องมาจาก
่ ่
่ ึ ่
กระบวนการดูดซึม คือ ภายหลังจากทีซมซาบของเหตุการณ์ใหม่เข ้ามา และปรับเข ้าสูโครงสร ้างเดิมแล ้วถ ้าปรากฏ
ว่าประสบการณ์ใหม่ทได ้รับการซึมซาบเข ้ามาให ้เข ้ากับประสบการณ์เดิมได ้
ี่ สมองก็จะสร ้างโครงสร ้างใหม่ขนมา
ึ้
เพือปรับให ้เข ้ากับประสบการณ์ใหม่นัน
่ ้
่
3. ทฤษฎีการสร้างเสริมความรู ้ (Constructivism) เชือว่านั กเรียนทุกคนมีความรู ้ความเข ้าใจเกียวกับบางสิง ่ ่
บางอย่างมาแล ้วไม่มากก็น ้อย ก่อนทีครูจะจัดการเรียนการสอนให ้เน ้นว่าการเรียนรู ้เกิดขึนด ้วยตัวของผู ้เรียนรู ้เอง
่ ้
และการเรียนรู ้เรืองใหม่จะมีพนฐานมาจากความรู ้เดิม ดังนัน ประสบการณ์เดิมของนั กเรียนจึงเป็ นปั จจัยสาคัญต่อ
่ ื้ ้
การเรียนรู ้เป็ นอย่างยิง กระบวนการเรียนรู ้ (Process of Leaning) ทีแท ้จริงของนั กเรียนไม่ได ้เกิดจากการบอกเล่า
่ ่
ของครู หรือนั กเรียนเพียงแต่จดจาแนวคิดต่าง ๆ ทีมผู ้บอกให ้เท่านัน
่ ี ้ แต่การเรียนรู ้วิทยาศาสตร์ตาม
ทฤษฎี Constructivism เป็ นกระบวนการทีนักเรียนจะต ้องสืบค ้นเสาะหา สารวจตรวจสอบ และค ้นคว ้าด ้วยวิธการ
่ ี
ต่างๆ จนทาให ้นั กเรียนเกิดความเข ้าใจและเกิดการรับรู ้ความรู ้นั นอย่างมีความหมาย จึงจะสามารถเป็ นองค์ความรู ้
้
ของนักเรียนเอง และเก็บเป็ นข ้อมูลไว ้ในสมองได ้อย่างยาวนาน สามารถนามาใช ้ได ้เมือมีสถานการณ์ใด ๆ มา
่
เผชิญหน ้า ดังนั นการทีนักเรียนจะสร ้างองค์ความรู ้ได ้ ต ้องผ่านกระบวนการเรียนรู ้ทีหลากหลาย โดยเฉพาะอย่างยิง
้ ่ ่ ่
กระบวนการสืบเสาะหาความรู ้ (Inquiry Process)
ื
4. ความหมายและแนวคิดเกียวก ับการสอนแบบสบเสาะหาความรู ้ (Inquiry Method)
่
การสอนแบบสืบเสาะหาความรู ้มีผู ้ให ้ความหมายและแนวคิดหลากหลาย ดังนี้
อนั นต์ จันทร์กวี (2523) กล่าวว่า การสอนแบบสืบเสาะหาความรู ้เป็ นวิธการส่งเสริมให ้นั กเรียนรู ้จักคิดด ้วย
ี
ตนเอง รู ้จักค ้นคว ้าหาเหตุผล และสามารถแก ้ปั ญหาได ้ โดยการนาเอาวิธการต่างๆ ของกระบวนการทาง
ี
วิทยาศาสตร์ไปใช ้ นอกจากนี้ยงเป็ นการเรียนเพือพัฒนาทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ด ้วย
ั ่
่ ่
สุวัฒน์ นิยมค ้า (2531) กล่าวว่าการสอนแบบสืบเสาะหาความรู ้เป็ นการสอนทีสงเสริมให ้นักเรียนเป็ นผู ้
ค ้นคว ้า หรือสืบเสาะหาความรู ้เกียวกับสิงใดสิงหนึงทีนักเรียนยังไม่เคยมีความรู ้ในสิงนั นมาก่อน โดยใช ้กระบวนการ
่ ่ ่ ่ ่ ่ ้
ทางวิทยาศาสตร์เป็ นเครืองมือ
่
ดวงเดือน เทศวานิช (2535) กล่าวว่า การสอนแบบสืบเสาะหาความรู ้เป็ นรูปแบบการสอนทีเน ้นทักษะการ
่
่
คิดอย่างมีระบบ โดยคานึงถึงความสัมพันธ์ระหว่างเหตุและผล ซึงต ้องมีหลักฐานสนับสนุน วิธนเป็ นวิธทนักเรียน
ี ี้ ี ี่
พิจารณาเหตุผล สามารถใช ้คาถามทีถกต ้องและคล่องแคล่วสามารถสร ้างและทดสอบสมมติฐานด ้วยการทดลอง
่ ู
่ ี ่ ่
และตีความจากการทดลองด ้วยตนเอง โดยไม่ขนอยูกับคาอธิบายของครู เป็ นวิธการทีชวยให ้นั กเรียนมีระบบวิธการ
ึ้ ี
แก ้ปั ญหาในทางวิทยาศาสตร์ด ้วยตนเอง
สมจิต สวธนไพบูลย์ (2541) กล่าวว่า หลักการสอนแบบสืบเสาะหาความรู ้ผู ้เรียนจะต ้องเป็ นผู ้ค ้นคว ้าหา
ความรู ้ จะโดยทางตรงหรือทางอ ้อมก็ตาม ส่วนครูจะเป็ นผู ้อานวยความสะดวกแนะนาและให ้ความช่วยเหลือเท่าที่
จาเป็ น ประกอบด ้วยกระบวนการทีสาคัญ ได ้แก่ การสารวจ และการสร ้างองค์ความรู ้
่
2. ้
มนมนั ส สุดสิน (2543) สรุปความหมายของการสอนแบบสืบเสาะหาความรู ้ไว ้ว่าการสอนแบบสืบเสาะหา
ความรู ้เป็ นวิธการหนึงทีมงส่งเสริมให ้ผู ้เรียนรู ้จักค ้นคว ้าหาความรู ้ คิดและแก ้ปั ญหาได ้ด ้วยตนเองอย่างมีระบบของ
ี ่ ่ ุ่
การคิด ใช ้กระบวนการของการค ้นคว ้าหาความรู ้ ซึงประกอบด ้วยวิธการทางวิทยาศาสตร์ ทักษะกระบวนการทาง
่ ี
วิทยาศาสตร์และเจตคติทางวิทยาศาสตร์ ครูมหน ้าทีจัดบรรยากาศ การสอนให ้เอือต่อการเรียนรู ้ คิดแก ้ปั ญหาโดย
ี ่ ้
ใช ้การทดลอง และอภิปรายซักถามเป็ นกิจกรรมหลักในการสอน
ชลสีต ์ จันทาสี (2543) สรุปความหมายของการสอนแบบสืบเสาะหาความรู ้ไว ้ว่าการสอนแบบสืบเสาะหา
ความรู ้เป็ นวิธการทีมงส่งเสริมให ้นั กเรียนรู ้จักค ้นคว ้าหาความรู ้ด ้วยตนเอง โดยใช ้กระบวนการแสวงหาความรู ้ ซึงครู
ี ่ ุ่ ่
มีหน ้าทีเพียงเป็ นผู ้คอยให ้ความช่วยเหลือ จัดเตรียมสภาพการณ์และกิจกรรมให ้เอือต่อกระบวนการทีฝึกให ้คิดหา
่ ้ ่
เหตุผล สืบเสาะหาความรู ้ รวมทังการแก ้ปั ญหาให ้ได ้โดยใช ้คาถามและสือการเรียนการสอนต่าง ๆ เช่น ของจริง
้ ่
สถานการณ์ ให ้นั กเรียนลงมือปฏิบัตการสารวจ ค ้นหาด ้วยตนเอง บรรยากาศการเรียนการสอนให ้นั กเรียนมีอสระใน
ิ ิ
การซักถาม การอภิปรายและมีแรงเสริม อาจกล่าวได ้ว่าเป็ นการสอนให ้นั กเรียนคิดเป็ น ทาเป็ น และแก ้ปั ญหาได ้
นั่ นเอง
กู๊ด (Good. 1973) ได ้ให ้ความหมายของการสอนแบบการสืบเสาะหาความรู ้ว่าเป็ นเทคนิคหรือกลวิธอย่าง ี
หนึงในการจัดให ้เกิดการเรียนรู ้เนื้อหาบางอย่างของวิชาวิทยาศาสตร์ โดยกระตุ ้นให ้นั กเรียนมีความอยากรู ้อยากเห็น
่
เสาะแสวงหาความรู ้โดยการถามคาถาม และพยายามค ้นหาคาตอบให ้พบด ้วยตนเอง นอกจากนี้ยังให ้ความหมาย
ของการสอนแบบสืบเสาะหาความรู ้อีกอย่างหนึงว่าเป็ นวิธการเรียนโดยการแก ้ปั ญหาจากกิจกรรมทีจัดขึน
่ ี ่ ้ และใช ้
ี ่
วิธการทางวิทยาศาสตร์ในการทากิจกรรม ซึงปรากฏการณ์ใหม่ ๆ ทีนักเรียนเผชิญแต่ละครัง จะเป็ นตัวกระตุ ้นการ
่ ้
่ ่
คิดกับการสังเกตกับสิงทีสรุปพาดพิงอย่างชัดเจน ประดิษฐ์ คิดค ้น ตีความหมายภายใต ้สภาพแวดล ้อมทีเหมาะสม ่
ทีสด การใช ้วิธการอย่างชาญฉลาดสามารถทดสอบได ้ และสรุปอย่างมีเหตุผล
่ ุ ี
ซันด์และโทรวบริดจ์ (Sun and Trowbridge. 1973) สรุปลักษณะของการสอนแบบสืบเสาะหาความรู ้ว่า
เป็ นการสอนทีผู ้เรียนเป็ นศูนย์กลาง สร ้างมโนทัศน์ด ้วยตนเอง และเป็ นการพัฒนาความสามารถด ้านต่างๆ ของ
่
่
นั กเรียน เช่น ความสามารถทางวิธการ ทักษะทางสังคม ความคิดสร ้างสรรค์ ซึงต ้องให ้อิสระและให ้ผู ้เรียนมีโอกาส
ี
คิด และเป็ นการเรียนทีเน ้นการทดลอง เพือให ้ผู ้เรียน ค ้นพบด ้วยตนเอง และการเรียนแบบสืบเสาะหาความรู ้จะ
่ ่
กาหนดเวลาสาหรับการเรียนรู ้
ซานดรา เค เอเบล (Sandra K. Abell. 2002) ได ้กล่าวถึงความหมายของการสืบเสาะหาความรู ้
ตามที่ NSES และ AAAS นิยามไว ้ ดังนี้
NSES (National Science Education Standards) ได ้ให ้ความหมายของการสืบเสาะหาความรู ้ว่าเป็ น
กิจกรรมทีหลากหลายเกียวกับการสังเกต การถามคาถาม การสารวจตรวจสอบจากเอกสารและแหล่งความรู ้อืน ๆ
่ ่ ่
การวางแผนการสารวจตรวจสอบ การทดสอบตรวจสอบหลักฐานเพือเป็ นการยืนยันความรู ้ทีได ้ค ้นพบมาแล ้ว การใช ้
่ ่
เครืองมือในการรวบรวม การวิเคราะห์ และการแปลความหมายข ้อมูล การนาเสนอผลงาน การอธิบายและการ
่
คาดคะเน และการอภิปรายแลกเปลียนความคิดเห็นกันเกียวกับผลงานทีได ้
่ ่ ่
AAAS (American Association for the Advancement of Science) ได ้ให ้ความหมายการสืบเสาะหา
ความรู ้ว่า เริมต ้นด ้วยคาถามเกียวกับธรรมชาติพร ้อมทังกระตุ ้นนั กเรียนให ้ตืนเต ้นสงสัยใคร่รู ้ให ้นั กเรียนตังใจรวบรวม
่ ่ ้ ่ ้
ข ้อมูลและหลักฐาน ครูเตรียมข ้อมูลเอกสารความรู ้ต่างๆ ทีมคนศึกษาค ้นคว ้ามาแล ้ว เพือให ้นักเรียนเชือมโยงกับ
่ ี ่ ่
่ ้ ้
ความรู ้ใหม่ หรือเพือให ้มองเห็นภาพได ้ชัดเจนลึกซึงขึนให ้นั กเรียนอธิบายให ้ชัดเจน ไม่เน ้นความจาเกียวกับศัพท์ ่
ทางวิชาการ และใช ้กระบวนการกลุม ่
ั้ ื
ด ังนนกระบวนการสบเสาะหาความรู ้ (Inquiry process) เป็ นกระบวนการเรียนรู ้ทีให ้ผู ้เรียนสร ้างองค์
่
ความรู ้ใหม่ด ้วยตนเอง โดยผ่านกระบวนการคิดและปฏิบัต ิ และใช ้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์เป็ นเครืองมือ
่
ื
5. ระด ับของการสบเสาะหาความรู ้ (Level of inquiry) แบ่งเป็ น 4 ระดับ คือ
ื
1) การสบเสาะหาความรูแบบยืนย ัน (Confirmed Inquiry) เป็ นการสืบเสาะหาความรู ้ทีให ้
้ ่
ผู ้เรียนเป็ นผู ้ตรวจสอบความรู ้หรือแนวคิด เพือยืนยันความรู ้หรือ แนวคิดทีถกค ้นพบมาแล ้ว โดยครูเป็ นผู ้กาหนด
่ ่ ู
ปั ญหาและคาตอบ หรือองค์ความรู ้ทีคาดหวังให ้ผู ้เรียนค ้นพบ และให ้ผู ้เรียนทากิจกรรมทีกาหนดในหนังสือหรือใบ
่ ่
งาน หรือตามทีครูบรรยายบอกกล่าว
่
ื
2) การสบเสาะหาความรูแบบนาทาง (Directed Inquiry) เป็ นการสืบเสาะหาความรู ้ทีให ้
้ ่
ผู ้เรียนค ้นพบองค์ความรู ้ใหม่ด ้วยตนเอง โดยครูเป็ นผู ้กาหนดปั ญหา และสาธิตหรืออธิบายการสารวจตรวจสอบ แล ้ว
ให ้ผู ้เรียนปฏิบัตการสารวจตรวจสอบตามวิธการทีกาหนด
ิ ี ่
3. ื ี้
3) การสบเสาะหาความรูแบบชแนะแนวทาง (Guided Inquiry) เป็ นการสืบเสาะหาความรู ้ที่
้
้
ให ้ผู ้เรียนค ้นพบองค์ความรู ้ใหม่ด ้วยตนเอง โดยผู ้เรียนเป็ นผู ้กาหนดปั ญหา และครูเป็ นผู ้ชีแนะแนวทางการสารวจ
ตรวจสอบ รวมทังให ้คาปรึกษาหรือแนะนาให ้ผู ้เรียนปฏิบัตการสารวจตรวจสอบ
้ ิ
ื
4) การสบเสาะหาความรูแบบเปิ ด (Open Inquiry) เป็ นการสืบเสาะหาความรู ้ทีให ้ผู ้เรียน
้ ่
ค ้นพบองค์ความรู ้ใหม่ด ้วยตนเอง โดยให ้ผู ้เรียนมีอสระในการคิด เป็ นผู ้กาหนดปั ญหา ออกแบบ และปฏิบัตการ
ิ ิ
สารวจตรวจสอบด ้วยตนเอง
่ ็ ้ ้ ื
6. จิตวิทยาทีเปนพืนฐานของการเรียนรูแบบสบเสาะหาความรูทางวิทยาศาสตร์
้
1) การเรียนรู ้วิทยาศาสตร์นันผู ้เรียนจะเรียนรู ้ได ้ดียงขึนต่อเมือผู ้เรียนได ้เกียวข ้องโดยตรงกับการ
้ ิ่ ้ ่ ่
ค ้นหาความรู ้นั น ๆ มากกว่าการบอกให ้ผู ้เรียนรู ้
้
2) การเรียนรู ้จะเกิดได ้ดีทสด เมือสถานการณ์แวดล ้อมในการเรียนรู ้นั นยั่วยุให ้ผู ้เรียนอยากเรียน
ี่ ุ ่ ้
ี ่ ่
ไม่ใช่บบบังคับผู ้เรียน และครูต ้องจัดกิจกรรมทีจะนาไปสูความสาเร็จในการค ้นคว ้าทดลอง
3) วิธการนาเสนอของครู จะต ้องส่งเสริมให ้ผู ้เรียนรู ้จักคิด มีความคิดสร ้างสรรค์ ให ้โอกาสผู ้เรียนได ้
ี
ใช ้ความคิดของตนเองมากทีสด
่ ุ
้ ิ ่ ่
ทังนี้กจกรรมทีจะให ้ผู ้เรียนทาการสารวจตรวจสอบจะต ้องเชือมโยงกับความรู ้เดิม และผู ้เรียนมีความรู ้และ
่ ่ ่
ทักษะเพียงพอทีจะแสวงหาความรู ้ใหม่ โดยกิจกรรมทีจัดควรเป็ นกิจกรรมนาไปสูการสารวจตรวจสอบ หรือแสวงหา
ความรู ้ใหม่
7. ื
รูปแบบการสอนแบบว ัฏจ ักรการสบเสาะหาความรู ้ (Inquiry Cycle)
นั กการศึกษาจากกลุม BSCS (Biological Science Curriculum Society) ได ้เสนอกระบวนการสืบเสาะหา
่
่ ่ ่
ความรู ้ เพือให ้ผู ้เรียนสร ้างองค์ความรู ้ใหม่ โดยเชือมโยงสิงทีเรียนรู ้เข ้ากับประสบการณ์หรือความรู ้เดิม เป็ นความรู ้
่
หรือแนวคิดของผู ้เรียนเอง เรียกรูปแบบการสอนนี้วา Inquiry cycle หรือ 5Es มีขนตอนดังนี้ (BSCS. 1997)
่ ั้
1) การสร้างความสนใจ (Engage) ขันตอนนีเป็ นขันตอนแรกของกระบวนการเรียนรู ้ทีจะ
้ ้ ้ ่
่ ี่ ้ ่ ่
นาเข ้าสูบทเรียน จุดประสงค์ทสาคัญของขันตอนนี้ คือ ทาให ้ผู ้เรียนสนใจ ใคร่รู ้ในกิจกรรมทีจะนาเข ้าสูบทเรียน
่ ั ่ ้ ่
ควรจะเชือมโยงประสบการณ์การเรียนรู ้เดิมกับปั จจุบน และควรเป็ นกิจกรรมทีคาดว่ากาลังจะเกิดขึน ซึงทาให ้ผู ้เรียน
่ ่ ่
สนใจจดจ่อทีจะศึกษาความคิดรวบยอด กระบวนการ หรือทักษะ และเริมคิดเชือมโยงความคิดรวบยอด กระบวนการ
หรือทักษะกับประสบการณ์เดิม
2) การสารวจและค้นหา (Explore) ขันตอนนี้เป็ นขันตอนทีทาให ้ผู ้เรียนมีประสบการณ์
้ ้ ่
ร่วมกันในการสร ้างและพัฒนาความคิดรวบยอด กระบวนการ และทักษะ โดยการให ้เวลาและโอกาสแก่ผู ้เรียนใน
่ ่
การทากิจกรรมการสารวจและค ้นหาสิงทีผู ้เรียนต ้องการเรียนรู ้ตามความคิดเห็นผู ้เรียนแต่ละคน หลังจากนั นผู ้เรียน
้
แต่ละคนได ้อภิปรายแลกเปลียนความคิดเห็นเกียวกับการคิดรวบยอด กระบวนการ และทั กษะในระหว่างทีผู ้เรียนทา
่ ่ ่
กิจกรรมสารวจและค ้นหา เป็ นโอกาสทีผู ้เรียนจะได ้ตรวจสอบหรือเก็บรวบรวมข ้อมูลเกียวกับความคิดรวบยอดของ
่ ่
ผู ้เรียนทียังไม่ถกต ้องและยังไม่สมบูรณ์ โดยการให ้ผู ้เรียนอธิบายและยกตัวอย่างเกียวกับความคิดเห็นของผู ้เรียน
่ ู ่
ครูควรระลึกอยูเสมอเกียวกับความสามารถของผู ้เรียนตามประเด็นปั ญหา
่ ่ ผลจากการทีผู ้เรียนมีใจจดจ่อในการทา
่
่
กิจกรรม ผู ้เรียนควรจะสามารถเชือมโยงการสังเกต การจาแนกตัวแปร และคาถามเกียวกับเหตุการณ์นันได ้
่ ้
3) การอธิบาย (Explain) ขันตอนนี้เป็ นขันตอนทีให ้ผู ้เรียนได ้พัฒนาความ สามารถในการ
้ ้ ่
อธิบายความคิดรวบยอดทีได ้จากการสารวจและค ้นหา
่ ครูควรให ้โอกาสแก่ผู ้เรียนได ้อภิปรายแลกเปลียนความ ่
คิดเห็นกันเกียวกับทักษะหรือพฤติกรรมการเรียนรู ้
่ การอธิบายนันต ้องการให ้ผู ้เรียนได ้ใช ้ข ้อสรุปร่วมกันในการ
้
่ ่ ่ ้
เชือมโยงสิงทีเรียนรู ้ ในช่วงเวลาทีเหมาะสมนี้ครูควรชีแนะผู ้เรียนเกียวกับการสรุปและการอธิบายรายละเอียด แต่
่ ่
อย่างไรก็ตามครูควรระลึกอยูเสมอว่ากิจกรรมเหล่านียังคงเน ้นผู ้เรียนเป็ นศูนย์กลาง
่ ้ นั่ นคือ ผู ้เรียนได ้พัฒนา
ี้
ความสามารถในการอธิบายด ้วยตัวผู ้เรียนเอง บทบาทของครูเพียงแต่ชแนะผ่านทางกิจกรรม เพือให ้ผู ้เรียนมีโอกาส
่
อย่างเต็มทีในการพัฒนาความรู ้ความเข ้าใจในความคิดรวบยอดให ้ชัดเจน
่ ในทีสดผู ้เรียนควรจะสามารถอธิบาย
่ ุ
่ ่ ่
ความคิดรวบยอดได ้อย่างเข ้าใจ โดยเชือมโยงประสบการณ์ ความรู ้เดิมและสิงทีเรียนรู ้เข ้าด ้วยกัน
4) การขยายความรู ้ (Elaborate) ขันตอนนี้เป็ นขันตอนทีให ้ผู ้เรียนได ้ยืนยันและขยายหรือ
้ ้ ่
่ ้ ่ ้
เพิมเติมความรู ้ความเข ้าใจในความคิดรวบยอดให ้กว ้างขวางและลึกซึงยิงขึน และยังเปิ ดโอกาสให ้ผู ้เรียนได ้ฝึ ก
4. ทักษะและปฏิบัตตามทีผู ้เรียนต ้องการ ในกรณีทผู ้เรียนไม่เข ้าใจหรือยังสับสนอยูหรืออาจจะเข ้าใจเฉพาะข ้อสรุปที่
ิ ่ ี่ ่
ได ้จากการปฏิบตการสารวจและค ้นหาเท่านั น
ั ิ ้ ควรให ้ประสบการณ์ใหม่ผู ้เรียนจะได ้พัฒนาความรู ้ความเข ้าใจใน
้ ่ ้ ้
ความคิดรวบยอดให ้กว ้างขวางและลึกซึงยิงขึน เป้ าหมายทีสาคัญของขันนี้ คือ ครูควรชีแนะให ้ผู ้เรียนได ้นาไป
่ ้
ประยุกต์ใช ้ในชีวตประจาวัน จะทาให ้ผู ้เรียนเกิดความคิดรวบยอด กระบวนการ และทักษะเพิมขึน
ิ ่ ้
5) การประเมินผล (Evaluate) ขันตอนนีผู ้เรียนจะได ้รับข ้อมูลย ้อนกลับเกียวกับการอธิบาย
้ ้ ่
ความรู ้ความเข ้าใจของตนเอง ระหว่างการเรียนการสอนในขันนี้ของรูปแบบการสอน ครูต ้องกระตุ ้นหรือส่งเสริมให ้
้
ผู ้เรียนประเมินความรู ้ความเข ้าใจและความสามารถของตนเอง และยังเปิ ดโอกาสให ้ครูได ้ประเมินความรู ้ความ
เข ้าใจและพัฒนาทักษะของผู ้เรียนด ้วย
การนารูปแบบการสอนนี้ไปใช ้ สิงทีครูควรระลึกอยูเสมอในแต่ละขันตอนของรูปแบบการสอนนี้ คือ การ
่ ่ ่ ้
จัดเตรียมกิจกรรม ครูควรจัดเตรียมกิจกรรมให ้เหมาะสมกับความรู ้ความสามารถของผู ้เรียน เมือครูเตรียมกิจกรรม
่
แล ้ว ครูควรพิจารณาตรวจสอบบทบาทของครูและผู ้เรียนในการปฏิบัตกจกรรมแต่ละขันตอนว่าสอดคล ้องกับรูปแบบ
ิ ิ ้
การสอน 5Es หรือไม่จากตารางที่ 1-2 ต่อไปนี้ เพือครูจะได ้ปรับหรือพัฒนากิจกรรมให ้สอดคล ้องกับรูปแบบการ
่
สอน
ตารางที่ 1 บทบาทของครูในการเรียนการสอนแบบ Inquiry Cycle (5 Es)
ขั้นตอนการเรียนการสอน สิ่ งทีครู ควรทา
่
สอดคล้องกับ 5 Es ไม่ สอดคล้องกับ 5 Es
1.การสร้ างความสนใจ (Engage) § สร้างความสนใจ § อธิ บายความคิดรวบยอด
§ สร้างความอยากรู้อยากเห็น § ให้คาจากัดความและคาตอบ
§ ตั้งคาถามกระตุนให้นกเรี ยนคิด
้ ั § สรุ ปประเด็นให้
§ ดึงเอาคาตอบที่ยงไม่ครอบคลุมสิ่ งที่นกเรี ยนรู้ หรื อความคิด
ั ั § จัดคาตอบให้เป็ นหมวดหมู่
เกียว กับความคิดรวบยอด หรื อเนื้อหาสาระ
่
§ บรรยาย
2.การสารวจและค้นหา (Explore) § ส่ งเสริ มให้นกเรี ยนทางานร่ วมกันในการสารวจตรวจสอบ
ั § เตรี ยมคาตอบไว้ให้
§ สังเกตและฟังการโต้ตอบกันระหว่างนักเรี ยนกับนักเรี ยน § บอกหรื ออธิ บายวิธีการแก้ปัญหา
§ ซักถามเพื่อนาไปสู่การสารวจตรวจสอบของนักเรี ยน § จัดคาตอบให้เป็ นหมวดหมู่
§ ให้เวลานักเรี ยนในการคิดข้อสงสัยตลอดจนปั ญหาต่างๆ § บอกนักเรี ยนเมื่อนักเรี ยนทาไม่ถูก
§ ทาหน้าที่ให้คาปรึ กษาแก่นกเรี ยน
ั § ให้ขอมูลหรื อข้อเท็จจริ งที่ใช้ในการแก้ปัญหา
้
§ นานักเรี ยนแก้ปัญหาทีละขั้นตอน
3.การอธิบาย (Explain) § ส่ งเสริ มให้นกเรี ยนอธิ บายความคิดรวบยอดหรื อแนวคิด หรื อ
ั § ยอมรับคาอธิบายโดยไม่มีหลักฐานหรื อให้เหตุผล
ให้คาจากัดความด้วยคาพูดของนักเรี ยนเอง ประกอบ
§ ให้นกเรี ยนแสดงหลักฐาน ให้เหตุผลและอธิ บายให้กระจ่าง
ั § ไม่สนใจคาอธิ บายของนักเรี ยน
§ ให้นกเรี ยนอธิ บาย ให้คาจากัดความและชี้บอกส่ วนประกอบ
ั § แนะนานักเรี ยนโดยปราศจากการเชื่อมโยงแนวคิด
ต่างๆ ในแผนภาพ หรื อความคิดรวบยอดหรื อทักษะ
§ ให้นกเรี ยนใช้ประสบการณ์เดิมของตนเป็ นพื้นฐานในการ
ั
5. อธิ บายความคิดรวบยอดหรื อแนวคิด
4. การขยายความรู้ § คาดหวังให้นกเรี ยนได้ใช้ประโยชน์จากการชี้บอกส่ วน
ั § ให้คาตอบที่ชดเจน
ั
ประกอบต่างๆ ในแผนภาพคาจากัดความและการอธิ บายสิ่ งที่
(Elaborate) ได้เรี ยนรู้มาแล้ว § บอกนักเรี ยนเมื่อนักเรี ยนทาไม่ถูก
§ ส่ งเสริ มให้นกเรี ยนนาสิ่ งที่นกเรี ยนได้เรี ยนรู้ไปประยุกต์ใช้
ั ั § ใช้เวลามากในการบรรยาย
หรื อขยายความรู้และทักษะในสถานการณ์ใหม่
§ นานักเรี ยนแก้ปัญหาทีละขั้นตอน
§ ให้นกเรี ยนอธิ บายอย่างหลาก หลาย
ั
§ อธิ บายวิธีการแก้ปัญหา
§ ให้นกเรี ยนอ้างอิงข้อมูลที่มีอยู่พร้อมทั้งแสดงหลักฐานและ
ั
ถามคาถามนักเรี ยนว่าได้เรี ยนรู้อะไรบ้าง หรื อได้แนวคิ ดอะไร
(ที่จะนากลวิธีจากการสารวจตรวจสอบครั้งนี้ไปประยุกต์ใช้)
5. การประเมินผล § สังเกตนักเรี ยนในการนาความ คิดรวบยอดและทักษะใหม่ไป § ทดสอบคานิยามศัพท์ และข้อเท็จ จริ ง
ประยุกต์ใช้
(Evaluate) § ให้แนวคิดหรื อความคิดรอบยอดใหม่
§ ประเมินความรู้และทักษะของนักเรี ยน
§ ทาให้คลุมเครื อ
§ หาหลักฐานที่แสดงว่านักเรี ยนได้เปลี่ยนความคิด หรื อ
พฤติกรรม § ส่ งเสริ มการอภิปรายที่ไม่เชื่อมโยงความคิดรวบ
ยอดหรื อทักษะ
§ ให้นกเรี ยนประเมินตนเองเกียว กับการเรี ยนรู้และทักษะ
ั ่
กระบวน การกลุ่ม
§ ถามคาถามปลายเปิ ด เช่น ทาไมนักเรี ยนจึงคิดเช่นนั้น มี
หลักฐานอะไรนักเรี ยนเรี ยนรู้อะไรเกียว กับสิ่ งนั้น และจะ
่
อธิ บายสิ่ งนั้นอย่างไร
ตารางที่ 2 บทบาทของน ักเรียนในการเรียนการสอนแบบ Inquiry Cycle (5 Es)
ขั้นตอนการเรียนการสอน สิ่ งทีนักเรียนควรทา
่
สอดคล้องกับ 5 Es ไม่ สอดคล้องกับ 5 Es
1.การสร้ างความสนใจ (Engage) § ถามคาถาม เช่น ทาไมสิ่ งนี้จึงเกิด ขึ้นฉันได้เรี ยนรู้อะไรบ้าง § ถามหาคาตอบที่ถูก
เกียว กับสิ่ งนี้
่
§ ตอบเฉพาะคาตอบที่ถก
ู
§ แสดงความสนใจ
§ ยืนยันคาตอบหรื อคาอธิ บาย
§ มีวิธีการแก้ปัญหาเพียงวิธีเดียว
2.การสารวจและค้นหา (Explore) § คิดอย่างอิสระแต่อยู่ในขอบเขตของกิจกรรม § ให้คนอื่นคิดและสารวจตรวจสอบ
§ ทดสอบการคาดคะเนและสมมติ ฐาน § ทางานเพียงลาพังโดยมีปฏิสัมพันธ์กบผูอื่นน้อย
ั ้
มาก
§ คาดคะเนและตั้งสมมติฐานใหม่
§ ปฏิบติอย่างสับสนไม่มีเป้ าหมายที่ชดเจน
ั ั
§ พยายามหาทางเลือกในการแก้ ปั ญหาและอภิปรายทางเลือก
เหล่านั้นกับคนอื่น § เมื่อแก้ปัญหาได้แล้วก็ไม่คิดต่อ
6. § บันทึกการสังเกตและให้ขอคิด เห็น
้
§ ลงข้อสรุ ป
3. การอธิบาย § อธิ บายการแก้ปัญหาหรื อคาตอบที่ซับซ้อน § อธิ บายโดยไม่มีการเชื่อมโยงกับประสบการณ์เดิม
(Explain) § ฟังคาอธิ บายของคนอื่นอย่างคิดวิเคราะห์ § ยกตัวอย่างที่ไม่เกียวข้องกัน
่
§ ถามคาถามเกียวกับสิ่ งที่คนอื่นได้อธิบาย
่ § ยอมรับคาอธิบายโดยไม่ให้เหตุผล
§ ฟังและพยายามทาความเข้าใจเกียวกับสิ่ งที่ครูอธิ บาย
่ § ไม่สนใจคาอธิ บายของคนอื่นซึ่ งมีเหตุผลพอที่จะ
เชื่อถือได้
§ อ้างอิงกิจกรรมที่ได้ปฏิบติมาแล้ว
ั
§ ใช้ขอมูลที่ได้จากการบันทึก/สังเกตในการอธิ บาย
้
4. การขยายความรู้ § นาการชี้บอกส่ วนประกอบต่างๆ ในแผนภาพ คาจากัดความ § ปฏิบติโดยไม่มีเป้ าหมายชัดเจน
ั
คา อธิ บายและทักษะไปประยุกต์ใช้ในสถานการณ์ใหม่ที่คล้าย
(Elaborate) กับสถานการณ์เดิม § ไม่สนใจข้อมูลหรื อหลักฐานที่มีอยู่
§ ใช้ขอมูลเดิมในการถามคาถามกาหนดจุดประสงค์ในการแก้
้ § อธิ บายเหมือนกับที่ครู จดเตรี ยมไว้หรื อกาหนดให้
ั
ปั ญหาตัดสิ นใจ และออกแบบการทดลอง
§ ลงข้อสรุ ปอย่างสมเหตุสมผลจากหลักฐานที่ปรากฏ
§ บันทึกการสังเกตและอธิบาย
§ ตรวจสอบความเข้าใจกับเพื่อน ๆ
5. การประเมินผล § ตอบคาถามปลายเปิ ด โดยใช้การสังเกต หลักฐานและ § ลงข้อสรุ ปโดยปราศจากหลักฐานหรื อคาอธิ บายที่
คาอธิ บายที่ยอมรับมาแล้ว เป็ นที่ยอมรับมาแล้ว
(Evaluate)
§ แสดงออกถึงความรู้ความเข้าใจเกียวกับความคิดรวบยอด
่ § ตอบแต่เพียงว่าถูกหรื อผิดและอธิบายให้คาจากัด
หรื อทักษะ ความ/ความจา
§ ประเมินความก้าวหน้าด้วยตนเอง § ไม่สามารถอธิ บายเพื่อแสดงความเข้าใจด้วยคาพูด
ของตนเอง
§ ถามคาถามเพื่อให้มีการตรวจสอบต่อไป
รูปแบบการสอนนี้สามารถสะท ้อนให ้เห็นว่า ผู ้เรียนได ้เรียนรู ้อะไร และผู ้เรียนได ้เรียนรู ้อะไร ดังนัน รูปแบบ
้
การสอนนี้เป็ นทังรูปแบบการเรียนรู ้ของผู ้เรียนและเป็ นรูปแบบการสอนของครู
้
ื
8. บรรยากาศการเรียนการสอนแบบสบเสาะหาความรู ้
อารี พันธ์มณี (2540) กล่าวว่า องค์ประกอบสาคัญในการทาให ้เกิดบรรยากาศการเรียนการสอน คือ
ครูผู ้สอนและผู ้เรียน ผู ้สอนและผู ้เรียนต่างมีบทบาทในการสร ้างบรรยากาศ ครูจะเป็ นผู ้ริเริมสร ้างบรรยากาศ ผู ้เรียน
่
ั
เป็ นผู ้ตอบสนอง และเติมสีสนให ้กับบรรยากาศการเรียนการสอนให ้เป็ นไปในรูปแบบต่าง ๆ กัน บรรยากาศการเรียน
การสอนทีเป็ นอิสระ ท ้าทาย ตืนเต ้น ปลอดภัยเป็ นประชาธิปไตย ผู ้สอนให ้ความอบอุนทังทางกายและจิตใจ สร ้าง
่ ่ ่ ้
ความรู ้สึกไว ้วางใจให ้กับผู ้เรียนผู ้เรียนได ้รับความเข ้าใจเป็ นมิตร เอืออาทร ห่วงใย ตลอดจนให ้ความดูแล ช่วยเหลือ
้
จะทาให ้ผู ้เรียนมีความกล ้าและอยากเรียนรู ้มากขึน บรรยากาศการเรียนการสอนทีมการยอมรับ มองเห็นคุณค่าในตัว
้ ่ ี
ผู ้เรียน ผู ้เรียนเป็ นบุคคลสาคัญ มีคณค่า และสามารถเรียนได ้ ผู ้สอนควรแสดงความรู ้สึกการยอมรับผู ้เรียนอย่าง
ุ
่ ่
จริงใจ กระตุ ้นผู ้เรียนให ้ยอมรับกันเองและเชือมันว่าสามารถทาได ้สาเร็จ
มัสเซียลาส และค็อคซ์ (Massialas and Cox. 1968) ได ้กล่าวว่า ห ้องเรียนทีเป็ นแบบสืบเสาะหาความรู ้
่
ควรจะมีลักษณะดังนี้
7. 1) ห ้องเรียนต ้องเป็ นประชาธิปไตย เปิ ดโอกาสให ้นั กเรียนได ้แสดงความคิดเห็นอย่างเต็มที่
2) ปั ญหาทีนามาอภิปรายน่าสนใจทีจะขบคิด
่ ่ และสามารถตัดสินได ้ ครูมบทบาทเพียงกระตุ ้นให ้
ี
กิจกรรมการเรียนการสอนดาเนินไปด ้วยดี
3) ทุกคนในห ้องเรียนต ้องให ้ความร่วมมือเป็ นอย่างดี
จากการศึกษาค ้นคว ้าจากเอกสารและบทความต่างๆ สรุปได ้ว่า บรรยากาศการเรียนการสอนแบบสืบ
เสาะหาความรู ้ทีเอือต่อการพัฒนากระบวนการคิด ควรมีลักษณะดังนี้
่ ้
1. บรรยากาศภายในห ้องเรียน
1.1 เป็ นบรรยากาศการโต ้ตอบกันระหว่างครูกับนั กเรียน และนักเรียนกับนั กเรียน อย่างสร ้างสรรค์
สมเหตุสมผล
1.3 เป็ นบรรยากาศทีนักเรียนรู ้สึกอบอุนใจ ปลอดภัย ปราศจากการตาหนิ วิพากษ์ วิจารณ์ความคิด
่ ่
ไม่มการตัดสินว่าถูกหรือผิด
ี
1.4 บรรยากาศตืนเต ้น น่าสนใจ สนุกสนาน เพือให ้การเรียนรู ้เป็ นแบบสร ้างสรรค์และอิสระ
่ ่
1.5 นั กเรียนสนใจ กระตือรือร ้น ให ้ความร่วมมือในการทากิจกรรม
ั
2. ปฏิสมพันธ์ระหว่างครูกับนั กเรียน
2.1 ครูเป็ นกัลยาณมิตรกับนั กเรียน เป็ นกันเอง ให ้กาลังใจแก่นักเรียน
2.2 ครูใจกว ้าง ให ้นั กเรียนโต ้แย ้งได ้ ยอมรับฟั งความคิดเห็นของนักเรียน
้
2.3 ครูให ้คาปรึกษา ชีแนะ และช่วยเหลือนั กเรียน
ั
3. ปฏิสมพันธ์ระหว่างนั กเรียนกับนั กเรียน
3.1 ร่วมมือร่วมใจในการทากิจกรรม ช่วยกันคิด ช่วยกันทางาน ถ ้อยทีถ ้อยอาศัย
่
3.2 อภิปรายซักถามแลกเปลียนความคิดเห็นกันและโต ้แย ้งกันอย่างสร ้างสรรค์
่
รูปแบบการจ ัดกระบวนการเรียนรูแบบว ัฎจ ักร
้
ื
การสบเสาะหาความรู ้ 5 ขนตอน เพือพ ัฒนากระบวนการคิดระด ับสูง
ั้ ่
ผลการวิจัยทาให ้ได ้รูปแบบการจัดกระบวนการเรียนรู ้แบบวัฏจักรการสืบเสาะหาความรู ้ 5 ขันตอน เพือ
้ ่
่
พัฒนากระบวนการคิดระดับสูง ซึงเป็ นการจัดกระบวนการเรียนรู ้ทีเน ้นผู ้เรียนเป็ นศูนย์กลาง ให ้โอกาสแก่ผู ้เรียนได ้
่
่ ่
ฝึ กคิด ฝึ กสังเกต ฝึ กถาม-ตอบ ฝึ กการสือสาร ฝึ กเชือมโยงบูรณาการฝึ กนาเสนอ ฝึ กวิเคราะห์วจารณ์ ฝึ กสร ้างองค์
ิ
้
ความรู ้ โดยมีครูเป็ นผู ้กากับ ควบคุม ดาเนินการให ้คาปรึกษา ชีแนะ ช่วยเหลือ ให ้กาลังใจ เป็ นผู ้กระตุ ้นส่งเสริมให ้
ผู ้เรียนคิด อยากรู ้อยากเห็น และสืบเสาะหาความรู ้จากการถามคาถาม และพยายามค ้นหาคาตอบหรือสร ้างองค์
ความรู ้ใหม่ด ้วยตนเองผ่านกระบวนการคิดและปฏิบต ิ ใช ้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์เป็ นเครืองมือ รวมทังครูรวม
ั ่ ้ ่
แลกเปลียนเรียนรู ้กับผู ้เรียน
่ และสร ้างบรรยากาศการสืบเสาะหาความรู ้ทีเอือให ้ผู ้เรียนคิดอย่างอิสระ
่ ้ ขอบข่าย
รายละเอียดของรูปแบบปรากฏ ดังนี้
8. ขั้นตอน ลักษณะของกิจกรรม บทบาทของครู บทบาทของนักเรียน
หรือสถานการณ์
1. สร้ างความสนใจ 1. เชื่อมโยงกับความรู้หรื อประสบการณ์ 1. สร้างความสนใจ 1. ตั้งคาถาม
เดิม
(Engage) ครู จดกิจกรรมหรื อสร้าง
ั 2. สร้างความอยากรู้อยากเห็น 2. ตอบคาถาม
สถานการณ์กระตุน ยัวยุ หรื อท้าทาย ทา
้ ่ 2. แปลกใหม่นกเรี ยนไม่เคยพบมาก่อน
ั
ให้นกเรี ยนสนใจ สงสัย ใคร่ รู้ อยากรู้
ั 3.ตั้งคาถาม กระตุนให้นกเรี ยนคิด
้ ั 3.แสดงความคิดเห็น
อยากเห็น ขัดแย้ง หรื อเกิดปั ญหา และ 3. ยัวยุ ท้าทาย น่าสนใจ ใคร่ รู้
่
ทาให้นกเรี ยนต้องการศึกษา ค้นคว้า
ั 4. ให้เวลานักเรี ยนคิดก่อนตอบคาถาม 4.กาหนดปั ญหาหรื อเรื่ องที่จะสารวจ
ทดลอง หรื อแก้ปัญหา (สารวจ 4. เปิ ดโอกาสให้มีแนวทางการ หรื อไม่เร่ งเร้าในการตอบคาถาม ตรวจสอบให้ชดเจน
ั
ตรวจสอบ) ด้วยตัวของนักเรี ยนเอง ตรวจสอบอย่างหลากหลาย
5. ดึงเอาคาตอบหรื อความ คิดที่ยงไม่
ั 5. แสดงความสนใจ
5. นาไปสู่กระบวนการตรวจสอบด้วย ชัดเจนไม่สมบูรณ์
ตนเองนักเรี ยนเอง
6. เปิ ดโอกาสให้นกเรี ยนทาความ
ั
กระจ่างในปั ญหาที่จะสารวจตรวจสอบ
7. เปิ ดโอกาสให้นกเรี ยนเลือกหรื อ
ั
กาหนดปั ญหาที่จะสารวจตรวจสอบ
2. สารวจและค้นหา (Explore) 1. นักเรี ยนได้เรี ยนรู้วิธี 1.เปิ ดโอกาสให้ 1. คิดอย่างอิสระ แต่
แสวงหาความรู้ดวย ้ นักเรี ยนได้วิเคราะห์ อยู่ในขอบเขตของ
ครู จดกิจกรรมหรื อสถานการณ์ให้นกเรี ยนสารวจตรวจสอบปั ญหา หรื อประเด็นที่นกเรี ยนสนใจ
ั ั ั ตนเอง กระบวนการสารวจ กิจกรรม
ใคร่ รู้ ตรวจสอบ
2. นักเรี ยนทางานตาม 2. ตั้งสมมติฐาน
ความ คิดอย่างอิสระ 2. ซักถามเพื่อนาไปสู่
การสารวจตรวจสอบ 3. พิจารณาสมมติฐาน
3. นักเรี ยน ที่เป็ นไปได้โดยการ
ตั้งสมมติฐานได้ 3. ส่ งเสริ มให้นกเรี ยน
ั อภิปราย
หลากหลาย ได้ทางานร่ วมกันใน
การสารวจตรวจสอบ 4. ระดมความคิดเห็น
4. พิจารณาข้อมูลและ ในการแก้ปัญหาใน
ข้อเท็จ จริ งที่ปรากฏ 4. ให้เวลานักเรี ยนใน การสารวจตรวจสอบ
แล้วกาหนดสมมติฐาน การคิดไตร่ ตรอง
ที่เป็ นไปได้ ปั ญหา 5. ตรวจสอบ
สมมติฐานอย่างเป็ น
5. นักเรี ยนวางแผน 5. สังเกตการณ์ทางาน ระบบ ขั้นตอนถูกต้อง
แนวทางการสารวจ ของนักเรี ยน
ตรวจสอบ 6. บันทึกการสังเกต
6. ฟังการโต้ตอบกัน หรื อผลการสารวจ
6. นักเรี ยนวิเคราะห์ ของนักเรี ยน ตรวจสอบ อย่างเป็ น
อภิปรายเกียวกับ
่ ระบบ ละเอียด
กระบวน การสารวจ 7. ทาหน้าที่ในการให้ รอบคอบ
ตรวจสอบ คาปรึ กษา
7. กระตือรื อร้นมุ่งมัน
่
7. นักเรี ยนได้ลงมือ 8. อานวยความสะดวก ในการสารวจ
ปฏิบติในการสารวจ
ั ตรวจสอบ
ตรวจสอบ