SlideShare a Scribd company logo
เอกสารและงานวิจยทีเกียวข้องกับการสอนแบบ 4 MAT
                                   ั


การจัดกิจกรรมการเรียนให้ สอดคล้องกับการทํางานของสมอง
       (อุษณี ย ์ โพธิสุข(2542), วารสารวิชาการ) กล่าวว่า การสอนแบบ 4 MAT System เป็ นการ
สอนในรู ปแบบทีเริ มมีคนใช้มากขึนเพราะความสะดวก ง่ายต่อความเข้าใจของครู มากกว่าทฤษฎี
ใดๆ ทีสําคัญคือเป็ นวิธีทีผสมผสานกับกลยุทธ์อืนได้เป็ นอย่างดี เช่น อาจนําวิธีนีกับการเรี ยนแบบ
ร่ วมมือ (Cooperative Learning) หรื อแบบอืนได้ดวย ความไม่ยงยากซับซ้อนและประสิทธิภาพของ
                                                  ้          ุ่
วิธีการสอนเช่นนี ทําให้เริ มมีการวิจยเพิ มขึน มีบทความ หนังสือต่างๆ มากมายกล่าวถึงการเรี ยน
                                     ั
การสอนแบบนีมากขึน จนในขณะนีนักการศึกษาสําหรับเด็กปัญญาเลิศและนักการศึกษาทัวไป
รู้จกและเข้าใจมากขึน
    ั
ประวัตความเป็ นมาของการเรียนการสอนแบบ 4 MAT System
      ิ
         เบอร์นิส แมคคาร์ธี (Bernice McCarthy) ผูพฒนารู ปแบบการเรี ยนการสอนแบบนีเป็ นคน
                                                 ้ ั
แรก เป็ นนักการศึกษาชาวอเมริ กนทีมีประสบการณ์ในการสอนหลายระดับชันเรี ยนมาเป็ นเวลานาน
                               ั
รวมทังการเป็ นทีปรึ กษาให้คาแนะนําเด็กทังหลาย ทําให้เธอเกิดความเข้าใจและมันใจว่าเด็กแต่ละ
                            ํ
คนมีความแตกต่างกันทังทางด้านสติปัญญา การรับรู้ และการเรี ยนรู้อย่างสิ นเชิง จึงเป็ นแรงผลักดัน
ให้เกิดงานวิจยของเธอขึนมา
             ั
           ในปี ค.ศ. 1979 แมคคาร์ธี ได้รับทุนสนับสนุนงานวิจยชิ นใหญ่จากบริ ษท แมคโดนัลด์ ทํา
                                                           ั                 ั
วิจยเกียวกับองค์ประกอบทางสมองและสไตล์การเรี ยนรู้ของเด็ก นันคือจุดเริ มต้นในการพัฒนา
     ั
แนวคิดทีตอบสนองความแตกต่างระหว่างบุคคลให้ชดเจนและเป็ นภาคปฏิบติมากขึน แมคคาร์ธี ได้
                                                   ั                     ั
กลันกรองรู ปแบบการศึกษาเกียวกับสไตล์การเรี ยนรู้หลายรู ปแบบ ในทีสุดก็ได้ดึงเอารู ปแบบการ
เรี ยนรู้ของ เดวิด คอล์บ (David Kolb) ปราชญ์ทางการศึกษาชาวอเมริ กน มาเป็ นแนวความคิดใน
                                                                  ั
เรื องการจัดกระบวนการเรี ยนรู้ ทีคํานึงถึงความแตกต่างระหว่างบุคคลเป็ นสําคัญ
         ตามทฤษฎีของคอล์บ (1976) นัน จากการศึกษาพบว่ามี 2 มิติ ทีมีความสําคัญกับการเรี ยนรู้
คือ การรับรู้ และกระบวนการ กล่าวว่าการเรี ยนเกิดจากการทีคนทังหลายรับรู้แล้ว นําเข้าไปจัด
กระบวนการในสิ งทีตนรับรู้มาอย่างไร ถ้าจะลองนึกถึงตัวอย่าง คนทีมีความแตกต่างกันมาก ๆ
ก็ได้แก่คนทีรับรู้ผานรู ปธรรม แต่คนอีกประเภทหนึงรับรู้ผานนามธรรม คนสองกลุ่มนีสร้าง
                   ่                                   ่
ความคิดแตกต่างกันในเรื องเดียวกัน
แนวความคิดของ คอล์บ
         คอล์บ พิจารณาดูว่าคนบางคนมีกระบวนการเรี ยนรู้ผานการลงมือปฏิบติจริ ง (Active
                                                           ่                  ั
Experimentation) ขณะทีบางคนอาจถนัดเรี ยนรู้โดยการสังเกตจากแหล่งต่างๆ แล้วสะท้อนกลับ
เป็ นการเรี ยนรู้ (Reflective Observation) ซึงคนทังสองประเภทดังกล่าว เป็ นผูทีมีลกษณะการเรี ยนรู้
                                                                            ้ ั
ทีแตกต่างกันอย่างสิ นเชิง ดังนันการจัดการเรี ยนการสอนเอืออํานวยแก่ผเู้ รี ยนประเภทใดประเภท
หนึงมากจนเกินไป จะทําให้ผเู้ รี ยนอีกแบบหนึงขาดโอกาสทีจะพัฒนาความสามารถได้อย่างเต็ม
ศักยภาพ
           ผู้เรียนแบบที 1 (Active Experimentation) จะเรี ยนรู้ได้ดีและเข้าใจได้อย่างแจ่มแจ้ง
ก็ต่อเมือเขาได้ลงมือกระทํา มือไม้แขนขาได้สมผัสและเรี ยนรู้ควบคู่ไปกับสมองทังสองด้านสังการ
                                                 ั
เรี ยกว่าเป็ นการเรี ยนรู้ทงเนือทังตัวทีต้องผ่านประสาทสัมผัสอืนๆประกอบกัน
                           ั
        ผู้เรียนแบบที 2 (Reflective Observation) จะเรี ยนรู้โดยการผ่านจิตสํานึกจากการเฝ้ ามอง
แล้วค่อยๆ ตอบสนอง
          ผู้เรียนแบบที 3 (Abstract Conceptualization) จะเรี ยนรู้โดยใช้สญญาณหยังรู้มองเห็น
                                                                         ั
สิ งต่างๆ เป็ นรู ปธรรมแล้ววิเคราะห์ สังเคราะห์จากการรับรู้ทีได้มาเป็ นองค์ความรู้
ผู้เรียนแบบที 4 (Concrete Experience) จะเรี ยนรู้ได้ดีต่อเมือผ่านการวิเคราะห์ การประเมิน
สิ งต่างๆ โดยการเอาตัวเองเข้าไปพิสูจน์หรื อโดยการใช้หลักเกณฑ์แห่งเหตุผล
         ทัง 4 กลุม ต่างมีจุดดีจุดเด่นคนละแบบ ซึงเป็ นโครงสร้างทางกลไกทางการเรี ยนรู้ของ
                    ่
นักเรี ยนทีมีอยูจริ งในทุกโรงเรี ยนทัวโลก ดังนันหน้าทีของผูเ้ ป็ นครู ยอมต้องพยายามหาหนทาง
                ่                                                      ่
ทีจะทําให้เกิดสภาวะสมดุลทางการเรี ยนรู้ให้ได้
       สภาวะสมดุล การสรรค์สร้างโอกาสให้ผเู้ รี ยนทีมีความแตกต่างกันทังโครงสร้างทาง
สติปัญญา กลไกทางการเรี ยนรู้หรื อการทํางานของสมองแตกต่างกันให้มีโอกาสแสดงออกซึง
ความสามารถของตนออกมา พร้อมทังรู้จกและสามารถนําวิธีการของเพือนคนอืนมาปรับปรุ ง
                                      ั
ลักษณะการเรี ยนรู้ของตน เพือเพิ มประสิทธิภาพในการเรี ยนให้ดีขึน
          ดังนันในปี ค.ศ. 1980 แมคคาร์ธี จึงได้นาแนวคิดดังกล่าวของคอล์บ มาประยุกต์และพัฒนา
                                                ํ
เป็ นรู ปแบบการเรี ยนการสอนแบบใหม่ทีตอบสนองการเรี ยนรู้ของผูเ้ รี ยน 4 แบบ (4 Types of
students) ทีเรี ยกว่า 4 MAT* หรื อ การจัดกิจกรรมการเรี ยนให้มีความสัมพันธ์สอดคล้องกับระบบ
การทํางานของสมองซีกซ้ายและซีกขวา (แนวคิดของคลอ์บนี ได้รากฐานทฤษฎีมาจาก จอห์น ดิวอี
เคิร์ท เลวิน และ ฌอง ปิ อาเช่ต)
                              ์
* MAT แปลว่า เสือ การสาน หรื อผสมผสาน ในทีนีหมายถึง กิจกรรมการเรี ยนรู้ทีผสมผสานกัน
เพือเอือแก่ผเู้ รี ยนทัง 4 แบบ
แมคคาร์ ธี ได้ ขยายแนวคิดของคอล์บออกไปให้กว้างขึน โดยเสนอว่าผู้เรียนมีอยู่ 4 แบบหลักๆ ดังนี
           1. ผู้เรียนแบบที 1 (Type One Learner) ผูเ้ รี ยนถนัดการใช้จินตนาการ (Imaginative
Learners) ผูเ้ รี ยนจะรับรู้ผานประสาทสัมผัสและความรู้สึก และสามารถประมวลกระบวนการ
                             ่
เรี ยนรู้ได้ดียงในภาวะทีตนเองได้มีโอกาสเฝ้ ามอง หรื อการได้รับการสะท้อนกลับทางความคิดจากที
               ิ
ต่างๆ สมองซีกขวาของพวกนีทําหน้าทีเสาะหาความหมายของสิ งต่างๆ จากประสบการณ์ สมองซีก
ซ้ายขุดค้นเหตุผลและความเข้าใจจากการวิเคราะห์
          เป็ นพวกทีชอบถามเหตุผล คําถามทีคิดจะพูดขึนมาเสมอๆ คือ “ทําไม” “ทําไม” หรื อ
Why? ผูเ้ รี ยนทีอยูในรู ปแบบนีต้องเข้าใจก่อนว่าทําไมพวกเขาต้องเรี ยนสิ งเหล่านี แล้วจะเกียวข้อง
                    ่
กับตัวเขาหรื อสิ งทีเขาสนใจอย่างไร โดยเฉพาะเรื องค่านิยม ความเชือ ความคิด คตินิยม ความรู้สึก
ชอบขบคิดปัญหาต่างๆ ค้นหาเหตุผล และสร้างความหมายเฉพาะของตนเอง
        ผูเ้ รี ยนเช่นนีจะต้องหาเหตุผลทีจะต้องเรี ยนรู้ก่อนสิ งอืนๆ จะเรี ยนรู้ ได้ดีหากมีการถกเถียง
อภิปราย โต้ วาที กิจกรรมกลุ่ม การใช้ การเรี ยนแบบสหร่ วมใจ ครู ต้องให้ เหตุผลก่ อนเรี ยนหรื อ
ระหว่ างการเรี ยน
2. ผู้เรียนแบบที 2 (Type Two Learner) ผูเ้ รี ยนถนัดการวิเคราะห์ (Analytic Learners) จะ
รับรู้ในลักษณะรู ปธรรมและนําสิ งทีรับรู้มาประมวลกลไกหรื อกระบวนการเรี ยนรู้ในลักษณะของ
การมองสังเกต สมองซีกขวาเสาะหาประสบการณ์ทีจะสามารถผสมผสานการเรี ยนรู้ใหม่ๆ และ
ต้องการความแจ่มกระจ่างในเรื องคําตอบขององค์ความรู้ทีได้มา ในขณะนีสมองซีกซ้ายมุ่งวิเคราะห์
จากความความรู้ใหม่
       เป็ นพวกทีชอบถามว่าข้อเท็จจริ ง คําถามทีสําคัญทีสุดของเด็กกลุ่มนี คือ “อะไร” หรื อ
What? ผูเ้ รี ยนแบบนีชอบการเรี ยนรู้แบบดังเดิม ต้องการศึกษาหาความรู้ ความจริ ง ต้องการข้อมูลที
เหมาะสม ถูกต้อง แม่นยํา โดยอาศัยข้อเท็จจริ ง ข้อมูล ข่าวสาร มีความสามารถสูงในการนําความรู้
ไปพัฒนาเป็ นความคิดรวบยอด(Concept) ทฤษฎีหรื อจัดระบบหมวดหมู่ของความคิดได้อย่างดี
          เด็กกลุ่มนีเรี ยนรู้โดยมุ่งเน้นรายละเอียดข้อเท็จจริ งความถูกต้องแม่นยํา จะยอมรับนับถือ
เฉพาะผูเ้ ชียวชาญ ผูรู้จริ ง หรื อผูมีอานาจสังการเท่านัน เด็กกลุ่มนีจะเรี ยนอะไรต่อเมือรู้ว่าจะต้อง
                      ้              ้ ํ
เรี ยนอะไร และอะไรทีเรี ยนได้ สามารถเรี ยนได้ดีจากรู ปธรรมไปสู่ความคิดเชิงนามธรรม การ
จัดการเรี ยนการสอนให้ เด็กกลุ่มนีจึงควรใช้ วิธีบรรยายและการทดลอง การวิจัย หรื อการทํารายงาน
การวิเคราะห์ ข้อมูล เป็ นต้ น
           3. ผู้เรียนแบบที 3 (Type Three Learner) ผูเ้ รี ยนถนัดใช้สามัญสํานึก (Commonsense
Learners) รับรู้โดยผ่านจากกระบวนความคิดและสิ งทีเป็ นนามธรรม แต่การประมวลความรู้นน           ั
ผูเ้ รี ยนประเภทนีจะต้องการการทดลอง หรื อกระทําจริ ง สมองซีกขวามองหากลยุทธ์ในการ
ปรับเปลียนรู ปแบบขององค์ความรู้ไปสูการนําไปใช้ ในขณะทีสมองซีกซ้าย มองหาสิ งทีจะเป็ น
                                         ้
ข้อมูลเพิ มเติม
          คําถามยอดนิยมของกลุ่มนี คือ “อย่างไร” หรื อ How? ผูเ้ รี ยนแบบนีสนใจกระบวนการ
ปฏิบติจริ งและทดสอบทฤษฎีโดยการแก้ปัญหาต่างๆ ด้วยการวางแผนจากข้อมูล ข่าวสาร ความรู้ที
      ั
เป็ นนามธรรมมาสร้างเป็ นรู ปธรรมเพือประโยชน์ในชีวิตประจําวัน “ใครเขาทําอะไรไว้บางแล้ว  ้
หนอ” เด็กกลุ่มนีต้องการทีจะทดลองทําบางสิ งบางอย่าง และต้องการทีจะฝึ กปฏิบติและต้องการ
                                                                               ั
เป็ นผูปฏิบติ (ถ้าครู ยนบรรยายละก็ เด็กพวกนีจะหลับเป็ นพวกแรก) พวกเขาใฝ่ หาทีจะทํา สิ งที
        ้ ั            ื
มองเห็นแล้วว่าเป็ นประโยชน์และตรวจสอบว่าข้อมูลทีได้มานันสามารถใช้ได้ในโลกแห่งความจริ ง
หรื อไม่ พวกเขาสนใจทีจะนําความรู้มาสู่การปฏิบติจริ งและอยากรู้ว่า ถ้าจะทําสิ งนัน สิ งทีทําได้ ทํา
                                               ั
ได้อย่างไร รู ปแบบการเรี ยนการสอนทีดีทีสุด คือ การทดลองให้ ปฏิบัติจริ ง ลองทําจริ ง
4. ผู้เรียนแบบที 4 (Type Four Learner) ผูเ้ รี ยนทีสนใจค้นพบความรู้ดวยตนเอง (Dynamic
                                                                            ้
Learners) ผูเ้ รี ยนจะรับรู้ผานสิ งทีเป็ นรู ปธรรมและผ่านการกระทํา สมองซีกขวาทํางานในการถักทอ
                             ่
ความคิดให้ขยายกว้างขวางยิงขึน ในขณะทีสมองซีกซ้ายเสาะหาการวิเคราะห์เพือให้เกิดการ
เปลียนแปลงทีชัดเจนและโดดเด่นขึน
          เป็ นพวกทีชอบตังเงือนไข คําถามทีผุดขึนในหัวใจของเด็กกลุ่มนีบ่อยๆ คือ “ถ้าอย่างนัน”
“ถ้าอย่างนี” “ถ้า……” หรื อ IF ? ผูเ้ รี ยนแบบนีชอบเรี ยนรู้โดยการได้สมผัสกับของจริ ง ลงมือทําใน
                                                                     ั
สิ งทีตนเองสนใจ และค้นพบความรู้ดวยตัวเอง ชอบรับฟังความคิดเห็นหรื อคําแนะนํา แล้วนําข้อมูล
                                        ้
เหล่านันมาประมวลเป็ นความรู้ใหม่ เด็กกลุ่มนีมีความสามารถทีจะมองเห็นโครงสร้างของ
ความสัมพันธ์ของสิ งต่างๆ แล้วกลันกรองออกมาเป็ นรู ปแบบของความคิดทีแปลกใหม่เพือตนเอง
หรื อผูอืน เด็กกลุ่มนีจะมองเห็นอะไรทีซับซ้อนและลึกซึง มีความซับซ้อน จะเรี ยนได้ ดีทีสุดโดยใช้
       ้
วิธีการสอนแบบค้ นพบด้ วยตนเอง (Self Discovery Method
         ผูคิดทฤษฎีนีเชือว่า เราจําเป็ นต้องสอนเด็กโดยใช้วิธีการสอนทังหมดทีกล่าวมาแล้ว 4 อย่าง
           ้
เท่าๆ กัน เพราะทักษะทางธรรมชาติของผูเ้ รี ยนทัง 4 อย่างเป็ นสิ งทีเราต้องการ ในชันเรี ยนหนึงๆ
นัน มักจะมีผถนัดการเรี ยนรู้ทง 4 แบบ อยูรวมกัน ดังนันครู จาเป็ นต้องใช้วิธีการสอนทีเหมาะสมทัง
              ู้               ั            ่                ํ
4 แบบ อย่างเสมอภาคกัน เพือให้ผเู้ รี ยนเกิดความสนุกสนานตามรู ปแบบการเรี ยนรู้ทีตนถนัด จาก
การหมุนเวียนรู ปแบบการสอนทัง 4 อย่างนี ทําให้นกเรี ยนมีโอกาสได้พฒนาความสามารถด้านอืน
                                                    ั                  ั
ทีตนไม่ถนัดด้วยวิธีการเรี ยนรู้ในรู ปแบบต่างๆ ทังยังมีโอกาสทีจะได้แสดงความสามารถอย่างน้อย
ร้อยละ 25 ของเวลาทีท้าทายพวกเขา ส่วนเวลาทีเหลืออาจไม่เป็ นทีต้องใจเท่าไร
       ในการจัดแผนการสอนแบบ 4 MAT นัน ครู ตองเข้าใจการทํางานและความถนัดของสมอง
                                                  ้
ส่วนบนทีแบ่งเป็ นซีกซ้ายกับซีกขวาของมนุษย์ กล่าวคือ สมองซีกซ้ายจะถนัดในเรื องรายละเอียด
ภาษา ความจํา การจัดลําดับ วิเคราะห์ และเหตุผล ส่วนสมองซีกขวาถนัดในเรื องการมองภาพรวม
จินตนาการ อารมณ์ความรู้สึก การเคลือนไหว มิติสมพันธ์ ศิลปะ และสุนทรี ยภาพ โดนการจัด
                                               ั
กิจกรรมการเรี ยนการสอนจะต้องดําเนินสลับกันไปเพือให้สมองทังสองซีกได้ทางานอย่างสมดุล
                                                                        ํ


ลําดับขันของการสอน
        เราเริ มทีส่วนบนสุดของวงจรโดยเริ มจากประสบการณ์ทีเป็ นรู ปธรรม (Concrete
Experience) และหมุนตามเข็มนาฬิกาไปรอบๆ ประสบการณ์ทีเป็ นรู ปธรรมเป็ นจุดเริ มต้นเนืองจาก
ความสามารถทางสอน ควรเริ มจากประสบการณ์ของนักเรี ยนแล้วครูก็พฒนาทักษะพืนฐานของ
                                                                 ั
นักเรี ยนให้เป็ นรู ปแบบของพัฒนาความคดรวบยอดแบบนามธรรม นักเรี ยนจะต้องถูกถามว่า อะไร
ทีพวกเขาต้องเรี ยน ต้องรู้จก และจัดกระบวนการทีใหม่กว่า เข้มข้นกว่าและปฏิบติได้อย่างก้าวหน้า
                           ั                                             ั
ตามธรรมชาติ เด็กได้ใช้สามัญสํานึกและความรู้สึก เด็กได้ประสบการณ์และได้เฝ้ ามองจ้องดู แล้ว
ตอบสนองกลับ จากนันเด็กก็นาไปพัฒนาความคิด พัฒนาทฤษฎี นํามาเป็ นความคิดรวบยอดและ
                               ํ
ทดลองทฤษฎีของเขา และเขาก็จะได้รับประสบการณ์ ท้ายสุดเราได้นาเอาสิ งทีเราได้เรี ยนรู้ไปใช้
                                                                ํ
ประยุกต์กบประสบการณ์ทีคล้ายคลึงกันทําให้เราฉลาดขึนโดยการใช้ประสบการณ์เก่าประยุกต์
          ั
ประสบการณ์ใหม่




                       แ
                       ผ
                       น
                       ภ
                       า
                       พ
                       ที

                       4



การจัดกิจกรรมการสอน
          แมคคาร์ธี เสนอแนวทางการพัฒนาวงจรการสอนให้เอือต่อผูเ้ รี ยนทัง 4 แบบ โดยกําหนด
วิธีการใช้เทคนิคพัฒนาสมองซีกซ้ายซีกขวา กล่าวคือ กิจกรรมการเรี ยนรู้จะหมุนวนตามเข็มนาฬิกา
ไปจนครบทัง 4 ช่วง 4 แบบ (Why - What - How - If) แต่ละช่วงจะแบ่งเป็ น 2 ขัน โดยจะเป็ น
กิจกรรมทีมุ่งให้ผเู้ รี ยนได้ใช้สมอง ทังซีกซ้ายและขวาสลับกันไป ดังนันขันตอนการเรี ยนรู้จะมี
ทังสิ น 8 ขันตอนดังนี
ช่ วงที 1 แบบ Why ? / สร้ างประสบการณ์เฉพาะของผู้เรียน
        ขันที 1 (กระตุนสมองซีกขวา) สร้างประสบการณ์ตรงทีเป็ นรู ปธรรมแก่ผเู้ รี ยน การเรี ยนรู้
                      ้
เกิดจากการจัดกิจกรรมเพือพัฒนาสมองซีกขวา โดยครู สร้างประสบการณ์จาลอง ให้เชือมโยงกับ
                                                                           ํ
ความรู้และประสบการณ์เก่าของผูเ้ รี ยน เพือให้ผเู้ รี ยนสร้างเป็ นความเหมายเฉพาะของตนเอง
       ขันที 2 (กระตุนสมองซีกซ้าย) วิเคราะห์ไตร่ ตรองประสบการณ์ การเรี ยนรู้เกิดจากการจัด
                     ้
กิจกรรมเพือพัฒนาสมองซีกซ้าย โดยครู ให้นกเรี ยนคิดไตร่ ตรอง วิเคราะห์ประสบการณ์จาลองจาก
                                         ั                                        ํ
กิจกรรมขันที 1
      ในช่วงที 1 นีครูตองสร้างบรรยากาศให้นกเรี ยนเกิดความใฝ่ รู้ และกระตือรื อร้นในการหา
                       ้                  ั
ประสบการณ์ใหม่อย่างมีเหตุผล และแสวงหาความหมายด้วยตนเอง ฉะนัน ครู ตองใช้ความพยายาม
                                                                         ้
สรรหากิจกรรมเพือให้บรรลุจุดประสงค์ดงกล่าว
                                    ั
ช่ วงที 2 แบบ What ? / พัฒนาความคิดรวบยอดของผู้เรียน
            ขันที 3 (กระตุนสมองซีกขวา) สะท้อนประสบการณ์เป็ นแนวคิด การเรี ยนรู้เกิดจากการจัด
                          ้
กิจกรรมเพือพัฒนาสมองซีกขวา โดยครูกระตุนให้ผเู้ รี ยนได้รวบรวมประสบการณ์และความรู้เพือ
                                             ้
สร้างความเข้าใจพืนฐานของแนวคิด หรื อความคิดรวบยอดอย่างชัดเจนแจ่มแจ้ง เช่น การสอนให้
ผูเ้ รี ยนเข้าใจลึกซึงถึงแนวคิดของการใช้อกษรตัวใหญ่ในภาษาอังกฤษ ครู ตองหาวิธีอธิบายให้ผเู้ รี ยน
                                         ั                           ้
เข้าใจอย่างแจ้งชัด ว่าอักษรตัวใหญ่ทีใช้นาหน้าคํานามในภาษาอังกฤษ เพือเน้นถึงความสําคัญของ
                                           ํ
คํานันๆ อาจยกตัวอย่าง เช่น ชือคน ชือเมือง หรื อชือประเทศ เป็ นต้น
        ขันที 4 (กระตุนสมองซีกซ้าย) พัฒนาทฤษฎีและแนวคิด การเรี ยนรู้เกิดจากการจัดกิจกรรม
                       ้
เพือพัฒนาสมองซีกซ้าย ครู ให้นกเรี ยนวิเคราะห์และไตร่ ตรองแนวคิดทีได้จากขันที 3 และถ่ายทอด
                              ั
เนือหาข้อมูลทีเกียวเนืองกับแนวคิดทีได้ ซึงจะเป็ นประโยชน์ต่อการพัฒนาแนวคิดนันๆ ต่อไป
พยายามสร้างกิจกรรมกระตุนให้ผเู้ รี ยนกระตือรื อร้นในการเก็บรวบรวมข้อมูล และการศึกษา
                           ้
ค้นคว้าหาความรู้เพิ มเติม
            ในช่วงที 2 ครู ตองจัดกิจกรรมให้ผเู้ รี ยนได้คิด เพือให้ผเู้ รี ยนทีชอบการเรี ยนรู้โดยการลงมือ
                            ้
ปฏิบติจริ ง สามารถปรับประสบการณ์และความรู้ สร้างเป็ นความคิดรวบยอดในเชิงนามธรรม โดย
      ั
ฝึ กให้ผเู้ รี ยนคิดพิจารณาไตร่ ตรองความรู้ทีเกียวข้อง ในช่วงนีเป็ นการจัดกิจกรรมให้ผเู้ รี ยนได้
ความรู้โดยการคิด และฝึ กทักษะในการค้นคว้าหาความรู้
ช่ วงที 3 แบบ How ? / การปฏิบัตและการพัฒนาแนวคิดออกมาเป็ นการกระทํา
                               ิ
         ขันที 5 (กระตุนสมองซีกซ้าย) ดําเนินตามแนวคิด และลงมือปฏิบติหรื อทดลอง การเรี ยนรู้
                       ้                                              ั
เกิดจากการจัดกิจกรรมพัฒนาสมองซีกซ้าย เช่นเดียวกับขันที 4 นักเรี ยนเรี ยนรู้จากการใช้สามัญ
สํานึก ซึงได้จากแนวคิดพืนฐาน จากนันนํามาสร้างเป็ นประสบการณ์ตรง เช่น การทดลองใน
ห้องปฏิบติการ หรื อการทําแบบฝึ กหัดเพือส่งเสริ มความรู้ และได้ฝึกทักษะทีเรี ยนรู้มาในช่วงที 2
          ั
         ขันที 6 (กระตุนสมองซีกขวา) ต่อเติมเสริ มแต่ง และสร้างองค์ความรู้ดวยตนเอง การเรี ยนรู้
                       ้                                                  ้
เกิดจากการจัดกิจกรรมเพือพัฒนาสมองซีกขวา นักเรี ยนเรี ยนรู้ดวยวิธีการลงมือปฏิบติ แก้ปัญหา
                                                            ้                 ั
ค้นคว้า รวบรวมข้อมูลเพือนํามาใช้ในการศึกษาค้นพบองค์ความรู้ดวยตนเอง
                                                               ้
           ในช่วงที 3 ครู มีบทบาทเป็ นผูแนะนํา และอํานวยความสะดวก เพือให้นกเรี ยนเกิดการ
                                        ้                                     ั
เรี ยนรู้อย่างสร้างสรรค์ นอกจากนีครู ควรเปิ ดโอกาสให้นกเรี ยนเข้ามามีส่วนร่ วมในการวางแผน
                                                       ั
กิจกรรมการเรี ยนรู้
ช่ วงที 4 แบบ If ? / เชือมโยงการเรียนรู้จากการทดลองปฏิบัตด้วยตนเอง จนเกิดเป็ นความรู้ทลุ่มลึก
                                                         ิ                            ี
         ขันที 7 (กระตุนสมองซีกซ้าย) วิเคราะห์แนวทางทีจะนําความรู้ไปใช้ให้เกิดประโยชน์ และ
                           ้
เป็ นแนวทางสําหรับการเรี ยนรู้เพิ มเติมต่อไป การเรี ยนรู้เกิดจากการจัด กิจกรรมเพือพัฒนาสมองซีก
ซ้าย นักเรี ยนนําสิ งทีเรี ยนรู้มาแล้วมาประยุกต์ใช้อย่างสร้างสรรค์ โดยนักเรี ยนเป็ นผูวิเคราะห์และ
                                                                                      ้
เลือกทํากิจกรรมอย่างหลากหลาย
         ขันที 8 (กระตุนสมองซีกขวา) ลงมือปฏิบติ และแลกเปลียนประสบการณ์ การเรี ยนรู้เกิด
                       ้                        ั
จากการจัดกิจกรรมเพือพัฒนาสมองซีกขวา นักเรี ยนคิดค้นความรู้ดวยตนเองอย่างสลับซับซ้อนมาก
                                                             ้
ขึน เพือให้เกิดเป็ นความคิดทีสร้างสรรค์ จากนันนํามาเสนอแลกเปลียนความรู้ซึงกันและกัน
       ในช่วงที 4 ครู มีบทบาทเป็ นผูประเมินผลงานของนักเรี ยน และการกระตุนให้นกเรี ยนคิด
                                    ้                                   ้    ั
สร้างสรรค์ผลงานใหม่ๆ
        หลายคนอาจยังมองไม่เห็นภาพลําดับขันในการจัดกิจกรรมการเรี ยนการสอนแบบ 4 MAT
เพือความเป็ นรู ปธรรมชัดเจน ต่อไปจะยกตัวอย่างการจัดกิจกรรมการสอนในแบบดังกล่าวทีกระทํา
จริ งในโรงเรี ยน เพือให้มองเห็นภาพการจัดกิจกรรมเด่นชัดยิงขึน
ตัวอย่างการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนแบบ 4 MAT
          โรงเรี ยนในประเทศไทยหลายแห่งได้นาระบบการสอนแบบ 4 MAT ไปทดลองใช้ เช่น
                                             ํ
โรงเรี ยนในสังกัดกรุ งเทพมหานครบางแห่ง ซึงได้รับความร่ วมมือจากคณะศึกษาศาสตร์
มหาวิทยาลัยศรี นคริ นทรวิโรฒประสานมิตร นําไปทดลองใช้ในบางห้องเรี ยน สําหรับโรง-เรี ยนที
นําระบบ 4 MAT มาใช้ก่อนผูอืน และยังคงมีกิจกรรมการสอนแบบนีอย่างต่อเนือง คือ โรงเรี ยนสม
                             ้
ถวิล ซึงเป็ นโรงเรี ยนเอกชนทีสอนตังแต่ระดับอนุบาลปี ที 1 ถึงประถมศึกษาปี ที 6 ตังอยูในอําเภอ
                                                                                    ่
หัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขนธ์ โรงเรี ยนสมถวิลได้นาการสอนรู ปแบบดังกล่าวไปประยุกต์ใช้ใน
                           ั                    ํ
วิชาต่างๆ ในหลายชันเรี ยนมาเกือบ 3 ปี แล้ว
        ขอยกตัวอย่างแผนการสอนแบบ 4 MAT ของโรงเรี ยนสมถวิล ซึงนําไปใช้ในการเรี ยน
เรือง กระบวนการคัดเลือกโดยธรรมชาติ (Natural Selection)ในวิชาวิทยา-ศาสตร์ ของนักเรี ยนชัน
ประถมศึกษาปี ที 4 โดยใช้เวลา 4 คาบเรี ยน หรื อ ราว 2 สัปดาห์
         การจัดการสอนให้สอดคล้องและคํานึงถึงการทํางานของระบบสมอง เป็ นวิธีทีดําเนินไป
ตามธรรมชาติ โดยทีครู ไม่จาเป็ นต้องมีความชํานาญพิเศษแต่อย่างใด แต่สามารถทําให้เกิด
                             ํ
บรรยากาศแห่งการเรี ยนรู้ทีสนุกสนานเต็มตามศักยภาพของผูเ้ รี ยน ส่งผลให้ผเู้ รี ยนมีทศนคติทีดีต่อ
                                                                                   ั
การเรี ยน และเกิดการเรี ยนรู้ได้อย่างต่อเนืองไม่รู้จบ
         การเรี ยนการสอนเริ มต้นเมือ คุณผูเ้ ป็ นครู สามารถเรี ยนรู้จากผูเ้ รี ยนได้จากการทีเราสมมุติ
เอาตัวเองไปเรี ยนรู้อย่างเด็ก เพือทีจะทําความเข้าใจว่าพวกเขา เรี ยนหรื อเข้าใจอะไร และวิธีใดทีเขา
เข้าใจมันได้

More Related Content

What's hot

แผ่นพับโครงงานการงานอาชีพ 1
แผ่นพับโครงงานการงานอาชีพ 1แผ่นพับโครงงานการงานอาชีพ 1
แผ่นพับโครงงานการงานอาชีพ 1
KruKaiNui
 
แผนบูรณาการสะเต็ม ร่มพยุงไข่
แผนบูรณาการสะเต็ม ร่มพยุงไข่แผนบูรณาการสะเต็ม ร่มพยุงไข่
แผนบูรณาการสะเต็ม ร่มพยุงไข่
Wijitta DevilTeacher
 
เฉลยเอกสารประกอบสื่อสังคมออนไลน์เรื่องคลื่นกลและเสียง
เฉลยเอกสารประกอบสื่อสังคมออนไลน์เรื่องคลื่นกลและเสียงเฉลยเอกสารประกอบสื่อสังคมออนไลน์เรื่องคลื่นกลและเสียง
เฉลยเอกสารประกอบสื่อสังคมออนไลน์เรื่องคลื่นกลและเสียง
โรงเรียนเทพลีลา
 
ข้อสอบอัจฉริยะ
ข้อสอบอัจฉริยะข้อสอบอัจฉริยะ
ข้อสอบอัจฉริยะ
Kodchaporn Siriket
 
เฉลย การแปลงคำอุปสรรค ม.3 , ม.4
เฉลย การแปลงคำอุปสรรค ม.3 , ม.4เฉลย การแปลงคำอุปสรรค ม.3 , ม.4
เฉลย การแปลงคำอุปสรรค ม.3 , ม.4krusarawut
 
โครงสร้างรายวิชา สาระการงานอาชีพ ม ต้น
โครงสร้างรายวิชา สาระการงานอาชีพ ม ต้นโครงสร้างรายวิชา สาระการงานอาชีพ ม ต้น
โครงสร้างรายวิชา สาระการงานอาชีพ ม ต้น
Aopja
 
ผลของสงครามโลกครั้งที่ 2
ผลของสงครามโลกครั้งที่ 2ผลของสงครามโลกครั้งที่ 2
ผลของสงครามโลกครั้งที่ 2Phonlawat Wichaya
 
03แบบฝึกกฎการอนุรักษ์พลังงานกล
03แบบฝึกกฎการอนุรักษ์พลังงานกล03แบบฝึกกฎการอนุรักษ์พลังงานกล
03แบบฝึกกฎการอนุรักษ์พลังงานกล
Phanuwat Somvongs
 
15ตย.ตารางวิเคราะห์ความสอดคล้อง
15ตย.ตารางวิเคราะห์ความสอดคล้อง15ตย.ตารางวิเคราะห์ความสอดคล้อง
15ตย.ตารางวิเคราะห์ความสอดคล้องPochchara Tiamwong
 
โครงสร้างสาระวิทย์ป.4
โครงสร้างสาระวิทย์ป.4โครงสร้างสาระวิทย์ป.4
โครงสร้างสาระวิทย์ป.4supphawan
 
การจัดการเรียนรู้แบบสืบสวนสอบสวน
การจัดการเรียนรู้แบบสืบสวนสอบสวนการจัดการเรียนรู้แบบสืบสวนสอบสวน
การจัดการเรียนรู้แบบสืบสวนสอบสวนNongruk Srisukha
 
ฟิสิกส์นิวเคลียร์
ฟิสิกส์นิวเคลียร์ฟิสิกส์นิวเคลียร์
ฟิสิกส์นิวเคลียร์
Chakkrawut Mueangkhon
 
ตอบปัญหาอาเซียน
ตอบปัญหาอาเซียนตอบปัญหาอาเซียน
ตอบปัญหาอาเซียน
Yosiri
 
ตัวอย่างการสร้างข้อสอบ
ตัวอย่างการสร้างข้อสอบตัวอย่างการสร้างข้อสอบ
ตัวอย่างการสร้างข้อสอบ
wanchalerm sotawong
 
ทฤษฎีการสร้างความรู้ด้วยตนเอง(Constructivism)
ทฤษฎีการสร้างความรู้ด้วยตนเอง(Constructivism)ทฤษฎีการสร้างความรู้ด้วยตนเอง(Constructivism)
ทฤษฎีการสร้างความรู้ด้วยตนเอง(Constructivism)
Mamoss CM
 
เศรษฐกิจพอเพียงPpt
เศรษฐกิจพอเพียงPptเศรษฐกิจพอเพียงPpt
เศรษฐกิจพอเพียงPptpronprom11
 
การวัดผลและประเมินผลการเรียนรู้
การวัดผลและประเมินผลการเรียนรู้การวัดผลและประเมินผลการเรียนรู้
การวัดผลและประเมินผลการเรียนรู้
DuangdenSandee
 
การนำหลักสูตรไปใช้
การนำหลักสูตรไปใช้การนำหลักสูตรไปใช้
การนำหลักสูตรไปใช้
DuangdenSandee
 
แนวข้อสอบเอกประถมศึกษา
แนวข้อสอบเอกประถมศึกษาแนวข้อสอบเอกประถมศึกษา
แนวข้อสอบเอกประถมศึกษา
P'kob Nong'kob
 
ความร้อนกับการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิของสสาร
ความร้อนกับการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิของสสารความร้อนกับการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิของสสาร
ความร้อนกับการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิของสสาร
dalarat
 

What's hot (20)

แผ่นพับโครงงานการงานอาชีพ 1
แผ่นพับโครงงานการงานอาชีพ 1แผ่นพับโครงงานการงานอาชีพ 1
แผ่นพับโครงงานการงานอาชีพ 1
 
แผนบูรณาการสะเต็ม ร่มพยุงไข่
แผนบูรณาการสะเต็ม ร่มพยุงไข่แผนบูรณาการสะเต็ม ร่มพยุงไข่
แผนบูรณาการสะเต็ม ร่มพยุงไข่
 
เฉลยเอกสารประกอบสื่อสังคมออนไลน์เรื่องคลื่นกลและเสียง
เฉลยเอกสารประกอบสื่อสังคมออนไลน์เรื่องคลื่นกลและเสียงเฉลยเอกสารประกอบสื่อสังคมออนไลน์เรื่องคลื่นกลและเสียง
เฉลยเอกสารประกอบสื่อสังคมออนไลน์เรื่องคลื่นกลและเสียง
 
ข้อสอบอัจฉริยะ
ข้อสอบอัจฉริยะข้อสอบอัจฉริยะ
ข้อสอบอัจฉริยะ
 
เฉลย การแปลงคำอุปสรรค ม.3 , ม.4
เฉลย การแปลงคำอุปสรรค ม.3 , ม.4เฉลย การแปลงคำอุปสรรค ม.3 , ม.4
เฉลย การแปลงคำอุปสรรค ม.3 , ม.4
 
โครงสร้างรายวิชา สาระการงานอาชีพ ม ต้น
โครงสร้างรายวิชา สาระการงานอาชีพ ม ต้นโครงสร้างรายวิชา สาระการงานอาชีพ ม ต้น
โครงสร้างรายวิชา สาระการงานอาชีพ ม ต้น
 
ผลของสงครามโลกครั้งที่ 2
ผลของสงครามโลกครั้งที่ 2ผลของสงครามโลกครั้งที่ 2
ผลของสงครามโลกครั้งที่ 2
 
03แบบฝึกกฎการอนุรักษ์พลังงานกล
03แบบฝึกกฎการอนุรักษ์พลังงานกล03แบบฝึกกฎการอนุรักษ์พลังงานกล
03แบบฝึกกฎการอนุรักษ์พลังงานกล
 
15ตย.ตารางวิเคราะห์ความสอดคล้อง
15ตย.ตารางวิเคราะห์ความสอดคล้อง15ตย.ตารางวิเคราะห์ความสอดคล้อง
15ตย.ตารางวิเคราะห์ความสอดคล้อง
 
โครงสร้างสาระวิทย์ป.4
โครงสร้างสาระวิทย์ป.4โครงสร้างสาระวิทย์ป.4
โครงสร้างสาระวิทย์ป.4
 
การจัดการเรียนรู้แบบสืบสวนสอบสวน
การจัดการเรียนรู้แบบสืบสวนสอบสวนการจัดการเรียนรู้แบบสืบสวนสอบสวน
การจัดการเรียนรู้แบบสืบสวนสอบสวน
 
ฟิสิกส์นิวเคลียร์
ฟิสิกส์นิวเคลียร์ฟิสิกส์นิวเคลียร์
ฟิสิกส์นิวเคลียร์
 
ตอบปัญหาอาเซียน
ตอบปัญหาอาเซียนตอบปัญหาอาเซียน
ตอบปัญหาอาเซียน
 
ตัวอย่างการสร้างข้อสอบ
ตัวอย่างการสร้างข้อสอบตัวอย่างการสร้างข้อสอบ
ตัวอย่างการสร้างข้อสอบ
 
ทฤษฎีการสร้างความรู้ด้วยตนเอง(Constructivism)
ทฤษฎีการสร้างความรู้ด้วยตนเอง(Constructivism)ทฤษฎีการสร้างความรู้ด้วยตนเอง(Constructivism)
ทฤษฎีการสร้างความรู้ด้วยตนเอง(Constructivism)
 
เศรษฐกิจพอเพียงPpt
เศรษฐกิจพอเพียงPptเศรษฐกิจพอเพียงPpt
เศรษฐกิจพอเพียงPpt
 
การวัดผลและประเมินผลการเรียนรู้
การวัดผลและประเมินผลการเรียนรู้การวัดผลและประเมินผลการเรียนรู้
การวัดผลและประเมินผลการเรียนรู้
 
การนำหลักสูตรไปใช้
การนำหลักสูตรไปใช้การนำหลักสูตรไปใช้
การนำหลักสูตรไปใช้
 
แนวข้อสอบเอกประถมศึกษา
แนวข้อสอบเอกประถมศึกษาแนวข้อสอบเอกประถมศึกษา
แนวข้อสอบเอกประถมศึกษา
 
ความร้อนกับการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิของสสาร
ความร้อนกับการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิของสสารความร้อนกับการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิของสสาร
ความร้อนกับการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิของสสาร
 

Similar to เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการสอนแบบ 4 mat

ครูมือใหม่
ครูมือใหม่ครูมือใหม่
ครูมือใหม่panggoo
 
Presentation 5
Presentation 5Presentation 5
Presentation 5moohmed
 
ครูมือใหม่
ครูมือใหม่ครูมือใหม่
ครูมือใหม่noiiso_M2
 
การเรียนรู้แบบ4 mat
การเรียนรู้แบบ4 matการเรียนรู้แบบ4 mat
การเรียนรู้แบบ4 matSukanya Burana
 
ครูมือใหม่
ครูมือใหม่ครูมือใหม่
ครูมือใหม่
Pitsiri Lumphaopun
 
ระดับครูมือใหม่1
ระดับครูมือใหม่1ระดับครูมือใหม่1
ระดับครูมือใหม่1Kiw E D
 
การเรียนรู้และทฤษฎีการเรียนรู้
การเรียนรู้และทฤษฎีการเรียนรู้การเรียนรู้และทฤษฎีการเรียนรู้
การเรียนรู้และทฤษฎีการเรียนรู้Tawanat Ruamphan
 
วิเคราะห์ผู้เรียน
วิเคราะห์ผู้เรียนวิเคราะห์ผู้เรียน
วิเคราะห์ผู้เรียนguestabb00
 
การออกแบบการสอนระดับครูมือใหม่
การออกแบบการสอนระดับครูมือใหม่การออกแบบการสอนระดับครูมือใหม่
การออกแบบการสอนระดับครูมือใหม่
Ailada_oa
 
ครูมือใหม่
ครูมือใหม่ครูมือใหม่
ครูมือใหม่Noppasorn Boonsena
 
กิจกรรมแนะแนวที่บูรณาการหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง เพื่อพัฒนาทักษะการคิดอย่...
กิจกรรมแนะแนวที่บูรณาการหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง เพื่อพัฒนาทักษะการคิดอย่...กิจกรรมแนะแนวที่บูรณาการหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง เพื่อพัฒนาทักษะการคิดอย่...
กิจกรรมแนะแนวที่บูรณาการหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง เพื่อพัฒนาทักษะการคิดอย่...Sawittri Phaisal
 
ทฤษฎีการสร้างความรู้
ทฤษฎีการสร้างความรู้ทฤษฎีการสร้างความรู้
ทฤษฎีการสร้างความรู้Rainbow Tiwa
 

Similar to เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการสอนแบบ 4 mat (20)

Expand
ExpandExpand
Expand
 
ครูมือใหม่
ครูมือใหม่ครูมือใหม่
ครูมือใหม่
 
Presentation 5
Presentation 5Presentation 5
Presentation 5
 
ครูมือใหม่
ครูมือใหม่ครูมือใหม่
ครูมือใหม่
 
ครูมือใหม่
ครูมือใหม่ครูมือใหม่
ครูมือใหม่
 
ครูมือใหม่
ครูมือใหม่ครูมือใหม่
ครูมือใหม่
 
การเรียนรู้แบบ4 mat
การเรียนรู้แบบ4 matการเรียนรู้แบบ4 mat
การเรียนรู้แบบ4 mat
 
ครูมือใหม่
ครูมือใหม่ครูมือใหม่
ครูมือใหม่
 
ครูมือใหม่
ครูมือใหม่ครูมือใหม่
ครูมือใหม่
 
ครูมือใหม่
ครูมือใหม่ครูมือใหม่
ครูมือใหม่
 
ระดับครูผู้ช่วย
ระดับครูผู้ช่วยระดับครูผู้ช่วย
ระดับครูผู้ช่วย
 
ระดับครูมือใหม่1
ระดับครูมือใหม่1ระดับครูมือใหม่1
ระดับครูมือใหม่1
 
การเรียนรู้และทฤษฎีการเรียนรู้
การเรียนรู้และทฤษฎีการเรียนรู้การเรียนรู้และทฤษฎีการเรียนรู้
การเรียนรู้และทฤษฎีการเรียนรู้
 
วิเคราะห์ผู้เรียน
วิเคราะห์ผู้เรียนวิเคราะห์ผู้เรียน
วิเคราะห์ผู้เรียน
 
การออกแบบการสอนระดับครูมือใหม่
การออกแบบการสอนระดับครูมือใหม่การออกแบบการสอนระดับครูมือใหม่
การออกแบบการสอนระดับครูมือใหม่
 
ครูมือใหม่
ครูมือใหม่ครูมือใหม่
ครูมือใหม่
 
ครูมือใหม่
ครูมือใหม่ครูมือใหม่
ครูมือใหม่
 
กิจกรรมแนะแนวที่บูรณาการหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง เพื่อพัฒนาทักษะการคิดอย่...
กิจกรรมแนะแนวที่บูรณาการหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง เพื่อพัฒนาทักษะการคิดอย่...กิจกรรมแนะแนวที่บูรณาการหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง เพื่อพัฒนาทักษะการคิดอย่...
กิจกรรมแนะแนวที่บูรณาการหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง เพื่อพัฒนาทักษะการคิดอย่...
 
ทฤษฎีการสร้างความรู้
ทฤษฎีการสร้างความรู้ทฤษฎีการสร้างความรู้
ทฤษฎีการสร้างความรู้
 
Jerome bruner
Jerome  brunerJerome  bruner
Jerome bruner
 

เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการสอนแบบ 4 mat

  • 1. เอกสารและงานวิจยทีเกียวข้องกับการสอนแบบ 4 MAT ั การจัดกิจกรรมการเรียนให้ สอดคล้องกับการทํางานของสมอง (อุษณี ย ์ โพธิสุข(2542), วารสารวิชาการ) กล่าวว่า การสอนแบบ 4 MAT System เป็ นการ สอนในรู ปแบบทีเริ มมีคนใช้มากขึนเพราะความสะดวก ง่ายต่อความเข้าใจของครู มากกว่าทฤษฎี ใดๆ ทีสําคัญคือเป็ นวิธีทีผสมผสานกับกลยุทธ์อืนได้เป็ นอย่างดี เช่น อาจนําวิธีนีกับการเรี ยนแบบ ร่ วมมือ (Cooperative Learning) หรื อแบบอืนได้ดวย ความไม่ยงยากซับซ้อนและประสิทธิภาพของ ้ ุ่ วิธีการสอนเช่นนี ทําให้เริ มมีการวิจยเพิ มขึน มีบทความ หนังสือต่างๆ มากมายกล่าวถึงการเรี ยน ั การสอนแบบนีมากขึน จนในขณะนีนักการศึกษาสําหรับเด็กปัญญาเลิศและนักการศึกษาทัวไป รู้จกและเข้าใจมากขึน ั ประวัตความเป็ นมาของการเรียนการสอนแบบ 4 MAT System ิ เบอร์นิส แมคคาร์ธี (Bernice McCarthy) ผูพฒนารู ปแบบการเรี ยนการสอนแบบนีเป็ นคน ้ ั แรก เป็ นนักการศึกษาชาวอเมริ กนทีมีประสบการณ์ในการสอนหลายระดับชันเรี ยนมาเป็ นเวลานาน ั รวมทังการเป็ นทีปรึ กษาให้คาแนะนําเด็กทังหลาย ทําให้เธอเกิดความเข้าใจและมันใจว่าเด็กแต่ละ ํ คนมีความแตกต่างกันทังทางด้านสติปัญญา การรับรู้ และการเรี ยนรู้อย่างสิ นเชิง จึงเป็ นแรงผลักดัน ให้เกิดงานวิจยของเธอขึนมา ั ในปี ค.ศ. 1979 แมคคาร์ธี ได้รับทุนสนับสนุนงานวิจยชิ นใหญ่จากบริ ษท แมคโดนัลด์ ทํา ั ั วิจยเกียวกับองค์ประกอบทางสมองและสไตล์การเรี ยนรู้ของเด็ก นันคือจุดเริ มต้นในการพัฒนา ั แนวคิดทีตอบสนองความแตกต่างระหว่างบุคคลให้ชดเจนและเป็ นภาคปฏิบติมากขึน แมคคาร์ธี ได้ ั ั กลันกรองรู ปแบบการศึกษาเกียวกับสไตล์การเรี ยนรู้หลายรู ปแบบ ในทีสุดก็ได้ดึงเอารู ปแบบการ เรี ยนรู้ของ เดวิด คอล์บ (David Kolb) ปราชญ์ทางการศึกษาชาวอเมริ กน มาเป็ นแนวความคิดใน ั เรื องการจัดกระบวนการเรี ยนรู้ ทีคํานึงถึงความแตกต่างระหว่างบุคคลเป็ นสําคัญ ตามทฤษฎีของคอล์บ (1976) นัน จากการศึกษาพบว่ามี 2 มิติ ทีมีความสําคัญกับการเรี ยนรู้ คือ การรับรู้ และกระบวนการ กล่าวว่าการเรี ยนเกิดจากการทีคนทังหลายรับรู้แล้ว นําเข้าไปจัด กระบวนการในสิ งทีตนรับรู้มาอย่างไร ถ้าจะลองนึกถึงตัวอย่าง คนทีมีความแตกต่างกันมาก ๆ ก็ได้แก่คนทีรับรู้ผานรู ปธรรม แต่คนอีกประเภทหนึงรับรู้ผานนามธรรม คนสองกลุ่มนีสร้าง ่ ่ ความคิดแตกต่างกันในเรื องเดียวกัน
  • 2. แนวความคิดของ คอล์บ คอล์บ พิจารณาดูว่าคนบางคนมีกระบวนการเรี ยนรู้ผานการลงมือปฏิบติจริ ง (Active ่ ั Experimentation) ขณะทีบางคนอาจถนัดเรี ยนรู้โดยการสังเกตจากแหล่งต่างๆ แล้วสะท้อนกลับ เป็ นการเรี ยนรู้ (Reflective Observation) ซึงคนทังสองประเภทดังกล่าว เป็ นผูทีมีลกษณะการเรี ยนรู้ ้ ั ทีแตกต่างกันอย่างสิ นเชิง ดังนันการจัดการเรี ยนการสอนเอืออํานวยแก่ผเู้ รี ยนประเภทใดประเภท หนึงมากจนเกินไป จะทําให้ผเู้ รี ยนอีกแบบหนึงขาดโอกาสทีจะพัฒนาความสามารถได้อย่างเต็ม ศักยภาพ ผู้เรียนแบบที 1 (Active Experimentation) จะเรี ยนรู้ได้ดีและเข้าใจได้อย่างแจ่มแจ้ง ก็ต่อเมือเขาได้ลงมือกระทํา มือไม้แขนขาได้สมผัสและเรี ยนรู้ควบคู่ไปกับสมองทังสองด้านสังการ ั เรี ยกว่าเป็ นการเรี ยนรู้ทงเนือทังตัวทีต้องผ่านประสาทสัมผัสอืนๆประกอบกัน ั ผู้เรียนแบบที 2 (Reflective Observation) จะเรี ยนรู้โดยการผ่านจิตสํานึกจากการเฝ้ ามอง แล้วค่อยๆ ตอบสนอง ผู้เรียนแบบที 3 (Abstract Conceptualization) จะเรี ยนรู้โดยใช้สญญาณหยังรู้มองเห็น ั สิ งต่างๆ เป็ นรู ปธรรมแล้ววิเคราะห์ สังเคราะห์จากการรับรู้ทีได้มาเป็ นองค์ความรู้
  • 3. ผู้เรียนแบบที 4 (Concrete Experience) จะเรี ยนรู้ได้ดีต่อเมือผ่านการวิเคราะห์ การประเมิน สิ งต่างๆ โดยการเอาตัวเองเข้าไปพิสูจน์หรื อโดยการใช้หลักเกณฑ์แห่งเหตุผล ทัง 4 กลุม ต่างมีจุดดีจุดเด่นคนละแบบ ซึงเป็ นโครงสร้างทางกลไกทางการเรี ยนรู้ของ ่ นักเรี ยนทีมีอยูจริ งในทุกโรงเรี ยนทัวโลก ดังนันหน้าทีของผูเ้ ป็ นครู ยอมต้องพยายามหาหนทาง ่ ่ ทีจะทําให้เกิดสภาวะสมดุลทางการเรี ยนรู้ให้ได้ สภาวะสมดุล การสรรค์สร้างโอกาสให้ผเู้ รี ยนทีมีความแตกต่างกันทังโครงสร้างทาง สติปัญญา กลไกทางการเรี ยนรู้หรื อการทํางานของสมองแตกต่างกันให้มีโอกาสแสดงออกซึง ความสามารถของตนออกมา พร้อมทังรู้จกและสามารถนําวิธีการของเพือนคนอืนมาปรับปรุ ง ั ลักษณะการเรี ยนรู้ของตน เพือเพิ มประสิทธิภาพในการเรี ยนให้ดีขึน ดังนันในปี ค.ศ. 1980 แมคคาร์ธี จึงได้นาแนวคิดดังกล่าวของคอล์บ มาประยุกต์และพัฒนา ํ เป็ นรู ปแบบการเรี ยนการสอนแบบใหม่ทีตอบสนองการเรี ยนรู้ของผูเ้ รี ยน 4 แบบ (4 Types of students) ทีเรี ยกว่า 4 MAT* หรื อ การจัดกิจกรรมการเรี ยนให้มีความสัมพันธ์สอดคล้องกับระบบ การทํางานของสมองซีกซ้ายและซีกขวา (แนวคิดของคลอ์บนี ได้รากฐานทฤษฎีมาจาก จอห์น ดิวอี เคิร์ท เลวิน และ ฌอง ปิ อาเช่ต) ์ * MAT แปลว่า เสือ การสาน หรื อผสมผสาน ในทีนีหมายถึง กิจกรรมการเรี ยนรู้ทีผสมผสานกัน เพือเอือแก่ผเู้ รี ยนทัง 4 แบบ
  • 4. แมคคาร์ ธี ได้ ขยายแนวคิดของคอล์บออกไปให้กว้างขึน โดยเสนอว่าผู้เรียนมีอยู่ 4 แบบหลักๆ ดังนี 1. ผู้เรียนแบบที 1 (Type One Learner) ผูเ้ รี ยนถนัดการใช้จินตนาการ (Imaginative Learners) ผูเ้ รี ยนจะรับรู้ผานประสาทสัมผัสและความรู้สึก และสามารถประมวลกระบวนการ ่ เรี ยนรู้ได้ดียงในภาวะทีตนเองได้มีโอกาสเฝ้ ามอง หรื อการได้รับการสะท้อนกลับทางความคิดจากที ิ ต่างๆ สมองซีกขวาของพวกนีทําหน้าทีเสาะหาความหมายของสิ งต่างๆ จากประสบการณ์ สมองซีก ซ้ายขุดค้นเหตุผลและความเข้าใจจากการวิเคราะห์ เป็ นพวกทีชอบถามเหตุผล คําถามทีคิดจะพูดขึนมาเสมอๆ คือ “ทําไม” “ทําไม” หรื อ Why? ผูเ้ รี ยนทีอยูในรู ปแบบนีต้องเข้าใจก่อนว่าทําไมพวกเขาต้องเรี ยนสิ งเหล่านี แล้วจะเกียวข้อง ่ กับตัวเขาหรื อสิ งทีเขาสนใจอย่างไร โดยเฉพาะเรื องค่านิยม ความเชือ ความคิด คตินิยม ความรู้สึก ชอบขบคิดปัญหาต่างๆ ค้นหาเหตุผล และสร้างความหมายเฉพาะของตนเอง ผูเ้ รี ยนเช่นนีจะต้องหาเหตุผลทีจะต้องเรี ยนรู้ก่อนสิ งอืนๆ จะเรี ยนรู้ ได้ดีหากมีการถกเถียง อภิปราย โต้ วาที กิจกรรมกลุ่ม การใช้ การเรี ยนแบบสหร่ วมใจ ครู ต้องให้ เหตุผลก่ อนเรี ยนหรื อ ระหว่ างการเรี ยน
  • 5. 2. ผู้เรียนแบบที 2 (Type Two Learner) ผูเ้ รี ยนถนัดการวิเคราะห์ (Analytic Learners) จะ รับรู้ในลักษณะรู ปธรรมและนําสิ งทีรับรู้มาประมวลกลไกหรื อกระบวนการเรี ยนรู้ในลักษณะของ การมองสังเกต สมองซีกขวาเสาะหาประสบการณ์ทีจะสามารถผสมผสานการเรี ยนรู้ใหม่ๆ และ ต้องการความแจ่มกระจ่างในเรื องคําตอบขององค์ความรู้ทีได้มา ในขณะนีสมองซีกซ้ายมุ่งวิเคราะห์ จากความความรู้ใหม่ เป็ นพวกทีชอบถามว่าข้อเท็จจริ ง คําถามทีสําคัญทีสุดของเด็กกลุ่มนี คือ “อะไร” หรื อ What? ผูเ้ รี ยนแบบนีชอบการเรี ยนรู้แบบดังเดิม ต้องการศึกษาหาความรู้ ความจริ ง ต้องการข้อมูลที เหมาะสม ถูกต้อง แม่นยํา โดยอาศัยข้อเท็จจริ ง ข้อมูล ข่าวสาร มีความสามารถสูงในการนําความรู้ ไปพัฒนาเป็ นความคิดรวบยอด(Concept) ทฤษฎีหรื อจัดระบบหมวดหมู่ของความคิดได้อย่างดี เด็กกลุ่มนีเรี ยนรู้โดยมุ่งเน้นรายละเอียดข้อเท็จจริ งความถูกต้องแม่นยํา จะยอมรับนับถือ เฉพาะผูเ้ ชียวชาญ ผูรู้จริ ง หรื อผูมีอานาจสังการเท่านัน เด็กกลุ่มนีจะเรี ยนอะไรต่อเมือรู้ว่าจะต้อง ้ ้ ํ เรี ยนอะไร และอะไรทีเรี ยนได้ สามารถเรี ยนได้ดีจากรู ปธรรมไปสู่ความคิดเชิงนามธรรม การ จัดการเรี ยนการสอนให้ เด็กกลุ่มนีจึงควรใช้ วิธีบรรยายและการทดลอง การวิจัย หรื อการทํารายงาน การวิเคราะห์ ข้อมูล เป็ นต้ น 3. ผู้เรียนแบบที 3 (Type Three Learner) ผูเ้ รี ยนถนัดใช้สามัญสํานึก (Commonsense Learners) รับรู้โดยผ่านจากกระบวนความคิดและสิ งทีเป็ นนามธรรม แต่การประมวลความรู้นน ั ผูเ้ รี ยนประเภทนีจะต้องการการทดลอง หรื อกระทําจริ ง สมองซีกขวามองหากลยุทธ์ในการ ปรับเปลียนรู ปแบบขององค์ความรู้ไปสูการนําไปใช้ ในขณะทีสมองซีกซ้าย มองหาสิ งทีจะเป็ น ้ ข้อมูลเพิ มเติม คําถามยอดนิยมของกลุ่มนี คือ “อย่างไร” หรื อ How? ผูเ้ รี ยนแบบนีสนใจกระบวนการ ปฏิบติจริ งและทดสอบทฤษฎีโดยการแก้ปัญหาต่างๆ ด้วยการวางแผนจากข้อมูล ข่าวสาร ความรู้ที ั เป็ นนามธรรมมาสร้างเป็ นรู ปธรรมเพือประโยชน์ในชีวิตประจําวัน “ใครเขาทําอะไรไว้บางแล้ว ้ หนอ” เด็กกลุ่มนีต้องการทีจะทดลองทําบางสิ งบางอย่าง และต้องการทีจะฝึ กปฏิบติและต้องการ ั เป็ นผูปฏิบติ (ถ้าครู ยนบรรยายละก็ เด็กพวกนีจะหลับเป็ นพวกแรก) พวกเขาใฝ่ หาทีจะทํา สิ งที ้ ั ื มองเห็นแล้วว่าเป็ นประโยชน์และตรวจสอบว่าข้อมูลทีได้มานันสามารถใช้ได้ในโลกแห่งความจริ ง หรื อไม่ พวกเขาสนใจทีจะนําความรู้มาสู่การปฏิบติจริ งและอยากรู้ว่า ถ้าจะทําสิ งนัน สิ งทีทําได้ ทํา ั ได้อย่างไร รู ปแบบการเรี ยนการสอนทีดีทีสุด คือ การทดลองให้ ปฏิบัติจริ ง ลองทําจริ ง
  • 6. 4. ผู้เรียนแบบที 4 (Type Four Learner) ผูเ้ รี ยนทีสนใจค้นพบความรู้ดวยตนเอง (Dynamic ้ Learners) ผูเ้ รี ยนจะรับรู้ผานสิ งทีเป็ นรู ปธรรมและผ่านการกระทํา สมองซีกขวาทํางานในการถักทอ ่ ความคิดให้ขยายกว้างขวางยิงขึน ในขณะทีสมองซีกซ้ายเสาะหาการวิเคราะห์เพือให้เกิดการ เปลียนแปลงทีชัดเจนและโดดเด่นขึน เป็ นพวกทีชอบตังเงือนไข คําถามทีผุดขึนในหัวใจของเด็กกลุ่มนีบ่อยๆ คือ “ถ้าอย่างนัน” “ถ้าอย่างนี” “ถ้า……” หรื อ IF ? ผูเ้ รี ยนแบบนีชอบเรี ยนรู้โดยการได้สมผัสกับของจริ ง ลงมือทําใน ั สิ งทีตนเองสนใจ และค้นพบความรู้ดวยตัวเอง ชอบรับฟังความคิดเห็นหรื อคําแนะนํา แล้วนําข้อมูล ้ เหล่านันมาประมวลเป็ นความรู้ใหม่ เด็กกลุ่มนีมีความสามารถทีจะมองเห็นโครงสร้างของ ความสัมพันธ์ของสิ งต่างๆ แล้วกลันกรองออกมาเป็ นรู ปแบบของความคิดทีแปลกใหม่เพือตนเอง หรื อผูอืน เด็กกลุ่มนีจะมองเห็นอะไรทีซับซ้อนและลึกซึง มีความซับซ้อน จะเรี ยนได้ ดีทีสุดโดยใช้ ้ วิธีการสอนแบบค้ นพบด้ วยตนเอง (Self Discovery Method ผูคิดทฤษฎีนีเชือว่า เราจําเป็ นต้องสอนเด็กโดยใช้วิธีการสอนทังหมดทีกล่าวมาแล้ว 4 อย่าง ้ เท่าๆ กัน เพราะทักษะทางธรรมชาติของผูเ้ รี ยนทัง 4 อย่างเป็ นสิ งทีเราต้องการ ในชันเรี ยนหนึงๆ นัน มักจะมีผถนัดการเรี ยนรู้ทง 4 แบบ อยูรวมกัน ดังนันครู จาเป็ นต้องใช้วิธีการสอนทีเหมาะสมทัง ู้ ั ่ ํ 4 แบบ อย่างเสมอภาคกัน เพือให้ผเู้ รี ยนเกิดความสนุกสนานตามรู ปแบบการเรี ยนรู้ทีตนถนัด จาก การหมุนเวียนรู ปแบบการสอนทัง 4 อย่างนี ทําให้นกเรี ยนมีโอกาสได้พฒนาความสามารถด้านอืน ั ั ทีตนไม่ถนัดด้วยวิธีการเรี ยนรู้ในรู ปแบบต่างๆ ทังยังมีโอกาสทีจะได้แสดงความสามารถอย่างน้อย ร้อยละ 25 ของเวลาทีท้าทายพวกเขา ส่วนเวลาทีเหลืออาจไม่เป็ นทีต้องใจเท่าไร ในการจัดแผนการสอนแบบ 4 MAT นัน ครู ตองเข้าใจการทํางานและความถนัดของสมอง ้ ส่วนบนทีแบ่งเป็ นซีกซ้ายกับซีกขวาของมนุษย์ กล่าวคือ สมองซีกซ้ายจะถนัดในเรื องรายละเอียด ภาษา ความจํา การจัดลําดับ วิเคราะห์ และเหตุผล ส่วนสมองซีกขวาถนัดในเรื องการมองภาพรวม จินตนาการ อารมณ์ความรู้สึก การเคลือนไหว มิติสมพันธ์ ศิลปะ และสุนทรี ยภาพ โดนการจัด ั กิจกรรมการเรี ยนการสอนจะต้องดําเนินสลับกันไปเพือให้สมองทังสองซีกได้ทางานอย่างสมดุล ํ ลําดับขันของการสอน เราเริ มทีส่วนบนสุดของวงจรโดยเริ มจากประสบการณ์ทีเป็ นรู ปธรรม (Concrete Experience) และหมุนตามเข็มนาฬิกาไปรอบๆ ประสบการณ์ทีเป็ นรู ปธรรมเป็ นจุดเริ มต้นเนืองจาก ความสามารถทางสอน ควรเริ มจากประสบการณ์ของนักเรี ยนแล้วครูก็พฒนาทักษะพืนฐานของ ั
  • 7. นักเรี ยนให้เป็ นรู ปแบบของพัฒนาความคดรวบยอดแบบนามธรรม นักเรี ยนจะต้องถูกถามว่า อะไร ทีพวกเขาต้องเรี ยน ต้องรู้จก และจัดกระบวนการทีใหม่กว่า เข้มข้นกว่าและปฏิบติได้อย่างก้าวหน้า ั ั ตามธรรมชาติ เด็กได้ใช้สามัญสํานึกและความรู้สึก เด็กได้ประสบการณ์และได้เฝ้ ามองจ้องดู แล้ว ตอบสนองกลับ จากนันเด็กก็นาไปพัฒนาความคิด พัฒนาทฤษฎี นํามาเป็ นความคิดรวบยอดและ ํ ทดลองทฤษฎีของเขา และเขาก็จะได้รับประสบการณ์ ท้ายสุดเราได้นาเอาสิ งทีเราได้เรี ยนรู้ไปใช้ ํ ประยุกต์กบประสบการณ์ทีคล้ายคลึงกันทําให้เราฉลาดขึนโดยการใช้ประสบการณ์เก่าประยุกต์ ั ประสบการณ์ใหม่ แ ผ น ภ า พ ที 4 การจัดกิจกรรมการสอน แมคคาร์ธี เสนอแนวทางการพัฒนาวงจรการสอนให้เอือต่อผูเ้ รี ยนทัง 4 แบบ โดยกําหนด วิธีการใช้เทคนิคพัฒนาสมองซีกซ้ายซีกขวา กล่าวคือ กิจกรรมการเรี ยนรู้จะหมุนวนตามเข็มนาฬิกา ไปจนครบทัง 4 ช่วง 4 แบบ (Why - What - How - If) แต่ละช่วงจะแบ่งเป็ น 2 ขัน โดยจะเป็ น กิจกรรมทีมุ่งให้ผเู้ รี ยนได้ใช้สมอง ทังซีกซ้ายและขวาสลับกันไป ดังนันขันตอนการเรี ยนรู้จะมี ทังสิ น 8 ขันตอนดังนี
  • 8. ช่ วงที 1 แบบ Why ? / สร้ างประสบการณ์เฉพาะของผู้เรียน ขันที 1 (กระตุนสมองซีกขวา) สร้างประสบการณ์ตรงทีเป็ นรู ปธรรมแก่ผเู้ รี ยน การเรี ยนรู้ ้ เกิดจากการจัดกิจกรรมเพือพัฒนาสมองซีกขวา โดยครู สร้างประสบการณ์จาลอง ให้เชือมโยงกับ ํ ความรู้และประสบการณ์เก่าของผูเ้ รี ยน เพือให้ผเู้ รี ยนสร้างเป็ นความเหมายเฉพาะของตนเอง ขันที 2 (กระตุนสมองซีกซ้าย) วิเคราะห์ไตร่ ตรองประสบการณ์ การเรี ยนรู้เกิดจากการจัด ้ กิจกรรมเพือพัฒนาสมองซีกซ้าย โดยครู ให้นกเรี ยนคิดไตร่ ตรอง วิเคราะห์ประสบการณ์จาลองจาก ั ํ กิจกรรมขันที 1 ในช่วงที 1 นีครูตองสร้างบรรยากาศให้นกเรี ยนเกิดความใฝ่ รู้ และกระตือรื อร้นในการหา ้ ั ประสบการณ์ใหม่อย่างมีเหตุผล และแสวงหาความหมายด้วยตนเอง ฉะนัน ครู ตองใช้ความพยายาม ้ สรรหากิจกรรมเพือให้บรรลุจุดประสงค์ดงกล่าว ั ช่ วงที 2 แบบ What ? / พัฒนาความคิดรวบยอดของผู้เรียน ขันที 3 (กระตุนสมองซีกขวา) สะท้อนประสบการณ์เป็ นแนวคิด การเรี ยนรู้เกิดจากการจัด ้ กิจกรรมเพือพัฒนาสมองซีกขวา โดยครูกระตุนให้ผเู้ รี ยนได้รวบรวมประสบการณ์และความรู้เพือ ้ สร้างความเข้าใจพืนฐานของแนวคิด หรื อความคิดรวบยอดอย่างชัดเจนแจ่มแจ้ง เช่น การสอนให้ ผูเ้ รี ยนเข้าใจลึกซึงถึงแนวคิดของการใช้อกษรตัวใหญ่ในภาษาอังกฤษ ครู ตองหาวิธีอธิบายให้ผเู้ รี ยน ั ้ เข้าใจอย่างแจ้งชัด ว่าอักษรตัวใหญ่ทีใช้นาหน้าคํานามในภาษาอังกฤษ เพือเน้นถึงความสําคัญของ ํ คํานันๆ อาจยกตัวอย่าง เช่น ชือคน ชือเมือง หรื อชือประเทศ เป็ นต้น ขันที 4 (กระตุนสมองซีกซ้าย) พัฒนาทฤษฎีและแนวคิด การเรี ยนรู้เกิดจากการจัดกิจกรรม ้ เพือพัฒนาสมองซีกซ้าย ครู ให้นกเรี ยนวิเคราะห์และไตร่ ตรองแนวคิดทีได้จากขันที 3 และถ่ายทอด ั เนือหาข้อมูลทีเกียวเนืองกับแนวคิดทีได้ ซึงจะเป็ นประโยชน์ต่อการพัฒนาแนวคิดนันๆ ต่อไป พยายามสร้างกิจกรรมกระตุนให้ผเู้ รี ยนกระตือรื อร้นในการเก็บรวบรวมข้อมูล และการศึกษา ้ ค้นคว้าหาความรู้เพิ มเติม ในช่วงที 2 ครู ตองจัดกิจกรรมให้ผเู้ รี ยนได้คิด เพือให้ผเู้ รี ยนทีชอบการเรี ยนรู้โดยการลงมือ ้ ปฏิบติจริ ง สามารถปรับประสบการณ์และความรู้ สร้างเป็ นความคิดรวบยอดในเชิงนามธรรม โดย ั ฝึ กให้ผเู้ รี ยนคิดพิจารณาไตร่ ตรองความรู้ทีเกียวข้อง ในช่วงนีเป็ นการจัดกิจกรรมให้ผเู้ รี ยนได้ ความรู้โดยการคิด และฝึ กทักษะในการค้นคว้าหาความรู้
  • 9. ช่ วงที 3 แบบ How ? / การปฏิบัตและการพัฒนาแนวคิดออกมาเป็ นการกระทํา ิ ขันที 5 (กระตุนสมองซีกซ้าย) ดําเนินตามแนวคิด และลงมือปฏิบติหรื อทดลอง การเรี ยนรู้ ้ ั เกิดจากการจัดกิจกรรมพัฒนาสมองซีกซ้าย เช่นเดียวกับขันที 4 นักเรี ยนเรี ยนรู้จากการใช้สามัญ สํานึก ซึงได้จากแนวคิดพืนฐาน จากนันนํามาสร้างเป็ นประสบการณ์ตรง เช่น การทดลองใน ห้องปฏิบติการ หรื อการทําแบบฝึ กหัดเพือส่งเสริ มความรู้ และได้ฝึกทักษะทีเรี ยนรู้มาในช่วงที 2 ั ขันที 6 (กระตุนสมองซีกขวา) ต่อเติมเสริ มแต่ง และสร้างองค์ความรู้ดวยตนเอง การเรี ยนรู้ ้ ้ เกิดจากการจัดกิจกรรมเพือพัฒนาสมองซีกขวา นักเรี ยนเรี ยนรู้ดวยวิธีการลงมือปฏิบติ แก้ปัญหา ้ ั ค้นคว้า รวบรวมข้อมูลเพือนํามาใช้ในการศึกษาค้นพบองค์ความรู้ดวยตนเอง ้ ในช่วงที 3 ครู มีบทบาทเป็ นผูแนะนํา และอํานวยความสะดวก เพือให้นกเรี ยนเกิดการ ้ ั เรี ยนรู้อย่างสร้างสรรค์ นอกจากนีครู ควรเปิ ดโอกาสให้นกเรี ยนเข้ามามีส่วนร่ วมในการวางแผน ั กิจกรรมการเรี ยนรู้ ช่ วงที 4 แบบ If ? / เชือมโยงการเรียนรู้จากการทดลองปฏิบัตด้วยตนเอง จนเกิดเป็ นความรู้ทลุ่มลึก ิ ี ขันที 7 (กระตุนสมองซีกซ้าย) วิเคราะห์แนวทางทีจะนําความรู้ไปใช้ให้เกิดประโยชน์ และ ้ เป็ นแนวทางสําหรับการเรี ยนรู้เพิ มเติมต่อไป การเรี ยนรู้เกิดจากการจัด กิจกรรมเพือพัฒนาสมองซีก ซ้าย นักเรี ยนนําสิ งทีเรี ยนรู้มาแล้วมาประยุกต์ใช้อย่างสร้างสรรค์ โดยนักเรี ยนเป็ นผูวิเคราะห์และ ้ เลือกทํากิจกรรมอย่างหลากหลาย ขันที 8 (กระตุนสมองซีกขวา) ลงมือปฏิบติ และแลกเปลียนประสบการณ์ การเรี ยนรู้เกิด ้ ั จากการจัดกิจกรรมเพือพัฒนาสมองซีกขวา นักเรี ยนคิดค้นความรู้ดวยตนเองอย่างสลับซับซ้อนมาก ้ ขึน เพือให้เกิดเป็ นความคิดทีสร้างสรรค์ จากนันนํามาเสนอแลกเปลียนความรู้ซึงกันและกัน ในช่วงที 4 ครู มีบทบาทเป็ นผูประเมินผลงานของนักเรี ยน และการกระตุนให้นกเรี ยนคิด ้ ้ ั สร้างสรรค์ผลงานใหม่ๆ หลายคนอาจยังมองไม่เห็นภาพลําดับขันในการจัดกิจกรรมการเรี ยนการสอนแบบ 4 MAT เพือความเป็ นรู ปธรรมชัดเจน ต่อไปจะยกตัวอย่างการจัดกิจกรรมการสอนในแบบดังกล่าวทีกระทํา จริ งในโรงเรี ยน เพือให้มองเห็นภาพการจัดกิจกรรมเด่นชัดยิงขึน
  • 10. ตัวอย่างการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนแบบ 4 MAT โรงเรี ยนในประเทศไทยหลายแห่งได้นาระบบการสอนแบบ 4 MAT ไปทดลองใช้ เช่น ํ โรงเรี ยนในสังกัดกรุ งเทพมหานครบางแห่ง ซึงได้รับความร่ วมมือจากคณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรี นคริ นทรวิโรฒประสานมิตร นําไปทดลองใช้ในบางห้องเรี ยน สําหรับโรง-เรี ยนที นําระบบ 4 MAT มาใช้ก่อนผูอืน และยังคงมีกิจกรรมการสอนแบบนีอย่างต่อเนือง คือ โรงเรี ยนสม ้ ถวิล ซึงเป็ นโรงเรี ยนเอกชนทีสอนตังแต่ระดับอนุบาลปี ที 1 ถึงประถมศึกษาปี ที 6 ตังอยูในอําเภอ ่ หัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขนธ์ โรงเรี ยนสมถวิลได้นาการสอนรู ปแบบดังกล่าวไปประยุกต์ใช้ใน ั ํ วิชาต่างๆ ในหลายชันเรี ยนมาเกือบ 3 ปี แล้ว ขอยกตัวอย่างแผนการสอนแบบ 4 MAT ของโรงเรี ยนสมถวิล ซึงนําไปใช้ในการเรี ยน เรือง กระบวนการคัดเลือกโดยธรรมชาติ (Natural Selection)ในวิชาวิทยา-ศาสตร์ ของนักเรี ยนชัน ประถมศึกษาปี ที 4 โดยใช้เวลา 4 คาบเรี ยน หรื อ ราว 2 สัปดาห์ การจัดการสอนให้สอดคล้องและคํานึงถึงการทํางานของระบบสมอง เป็ นวิธีทีดําเนินไป ตามธรรมชาติ โดยทีครู ไม่จาเป็ นต้องมีความชํานาญพิเศษแต่อย่างใด แต่สามารถทําให้เกิด ํ บรรยากาศแห่งการเรี ยนรู้ทีสนุกสนานเต็มตามศักยภาพของผูเ้ รี ยน ส่งผลให้ผเู้ รี ยนมีทศนคติทีดีต่อ ั การเรี ยน และเกิดการเรี ยนรู้ได้อย่างต่อเนืองไม่รู้จบ การเรี ยนการสอนเริ มต้นเมือ คุณผูเ้ ป็ นครู สามารถเรี ยนรู้จากผูเ้ รี ยนได้จากการทีเราสมมุติ เอาตัวเองไปเรี ยนรู้อย่างเด็ก เพือทีจะทําความเข้าใจว่าพวกเขา เรี ยนหรื อเข้าใจอะไร และวิธีใดทีเขา เข้าใจมันได้