การเป็นองค์การแห่งการเรียนรู้ของสถานศึกษาตามทัศนะของครู
สังกัดสานักงานพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 40
นำเสนอโดย
นายวีรชาติ มาตรหลุบเลา
ภูมิหลัง
ปัจจุบันนี้มีการศึกษามีการเปลี่ยนแปลงหลายด้าน เช่น การใช้
Tablet การใช้สื่อในรูปแบบใหม่ เช่น Social Media ซึ่งเป็นสิ่งที่
ใหม่สาหรับวงการศึกษาไทย ครูจะต้องตื่นตัวและเรียนรู้สิ่งใหม่ๆเพื่อให้
สามารถปรับตัวยืนหยัดอยู่ได้ทุกการณ์เปลี่ยนแปลง
ซึ่งองค์กรที่จะยืนหยัดและสามารถสร้างความได้เปรียบในการ
แข่งขันได้นั้น จะต้องมีการพัฒนาที่มีลักษณะยั่งยืน ไม่ว่าสภาพแวดล้อม
จะเปลี่ยนไปอย่างไร ซึ่งการพัฒนาองค์กรด้วยแนวคิดแบบองค์กรแห่ง
การเรียนรู้จะเป็นคาตอบที่ดีที่จะนาพาองค์กรยุคใหม่ไปสู่ความสาเร็จ
สาหรับการทาวิจัยในครั้งนี้ผู้วิจัยทาวิจัยเพื่อ
ศึกษาการเป็นองค์การแห่งการเรียนรู้ของสถานศึกษาตาม
ทัศนะของครู สังกัดสานักงานพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา
เขต 40 ตามกรอบแนวคิดของมาร์ควอดด์ (Marquardt ,
2002, pp. 23-33) เพื่อเป็นข้อมูลพื้นฐานในการนาพัฒนา
การเป็นองค์การแห่งการเรียนรู้ของสถานศึกษา สานักงาน
พื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 40
ภูมิหลัง
ความมุ่งหมาย
ในการวิจัย
1.เพื่อศึกษาการเป็นองค์การแห่งการ
เรียนรู้ของสถานศึกษาตามทัศนะของครู
สังกัดสานักงานพื้นที่การศึกษา
มัธยมศึกษา เขต 40
2.เพื่อเปรียบเทียบการเป็นองค์การแห่งการ
เรียนรู้ของสถานศึกษาตามทัศนะของครู
สังกัดสานักงานพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา
เขต 40 จาแนกตาม เพศ วุฒิการศึกษา
ประสบการณ์การทางาน วิทยฐานะ และ
ขนาดของโรงเรียน
ความมุ่งหมายในการวิจัย
ความสาคัญ
ในการวิจัย
ผลการวิจัยครั้งนี้ จะทาให้ทราบถึงการ
เป็ นองค์การแห่งการเรียนรู้ของสถานศึกษาตาม
ทัศนะของครูและผู้บริหาร สังกัดสานักงานพื้นที่
การศึกษามัธยมศึกษา เขต 40 ซึ่งใช้เป็นข้อมูล
พื้นฐานในการกาหนดแนวทางการพัฒนาคุณภาพ
การศึกษาของสถานศึกษา สานักงานพื้นที่
การศึกษามัธยมศึกษา เขต 40 ให้เป็ นองค์การ
แห่งการเรียนรู้มากขึ้น
ความสาคัญในการวิจัย
•ได้แก่ ครูในสถานศึกษา สังกัดสานักงานพื้นที่
การศึกษามัธยมศึกษา เขต 40
หาขนาดของกลุ่มตัวอย่างจากสูตรของ
ยามาเน่ (Yamane) ได้จานวน 316 คน
ขอบเขตของ
งานวิจัย
ขอบเขตของงานวิจัย
•บุคลากรครูและผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสานักงาน
พื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 40 ปีพุทธศักราช 2555
จานวนครู 1,500 คน
ประชากร
กลุ่มตัวอย่าง
ตัวแปรที่ศึกษา
เพศ
วุฒิการศึกษา
วุฒิการศึกษา
ตัวแปรอิสระ
(independent variables)
ขนาดของสถานศึกษา
ประสบการณ์ในการทางาน
1
2
3
ตัวแปรตาม (dependent variables)
แนวคิดมาร์ควอดด์ (Marquardt , 2002, pp. 23-33) ซึ่ง
ประกอบด้วยคุณลักษะ 5 ประการ
4
5
การเรียนรู้
องค์กร
บุคคล
ความรู้
เทคโนโลยี
ตัวแปรอิสระ
(independent variable)
สถานภาพผู้ตอบแบบสอบถาม
1. เพศ
2. วุฒิการศึกษา
3. ประสบการณ์การทางาน
4. วิทยฐานะ
5. ขนาดของสถานศึกษา
ตัวแปรตาม
(dependent variable)
การเป็นองค์การแห่งการเรียนรู้
ของสถานศึกษาตามทัศนะของ
ครู สังกัดสานักงานพื้นที่
การศึกษามัธยมศึกษา เขต 40
ใน 5 ด้าน
1 การเรียนรู้
2 องค์กร
3 บุคคล
4 ความรู้
5 เทคโนโลยี
การเป็นองค์การแห่งการเรียนรู้ของสถานศึกษาตาม
ความทัศนะของครู สังกัดสานักงานพื้นที่การศึกษา
มัธยมศึกษา เขต 40 มีความแตกต่างกันเมื่อจาแนก
ตาม เพศ วุฒิการศึกษา ประสบการณ์ในการ
ทางาน วิทยฐานะ และขนาดของสถานศึกษา
สมมติฐานในการวิจัย
ประชากรลุ่มตัวอย่าง
• 1.ประชากร
• ประชากรที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ ได้แก่ ครูผู้สอน สังกัด
สานักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเขต 40 จานวน
1,500 คน โดยจาแนกเป็นครูสถานศึกษาขนาดเล็ก จานวน
215 คน ครูสถานศึกษาขนาดกลาง จานวน 666 คน ครู
สถานศึกษาขนาดใหญ่ จานวน 630 คน รวมทั้งสิ้น
1,500 คน (สานักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเขต
40 , 2555, หน้า 7-10 )
• กลุ่มตัวอย่าง
• กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาในครั้งนี้ ได้แก่
ข้าราชการครูสายปฏิบัติการสอน เนื่องจากมีจานวน
ประชากรที่แน่นอน (finite population) ใช้สูตรของทาโร่
ยามาเน่ (Taro Yamane)ในการคานวณหาขนาดกลุ่ม
ตัวอย่าง (สุวรีย์ศิริโภคาภิรมย์, 2546, หน้า 34)
• ผู้ศึกษากาหนดขนาดตัวอย่างโดยใช้ความเชื่อมั่นร้อย
ละ 95 และยอมให้เกิดความคลาดเคลื่อนร้อยละ 5 (e =
0.05) ได้ขนาดกลุ่มตัวอย่างจานวน 316 คน
เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล
• ตอนที่ 1 แบบสอบถามเป็นแบบสารวจรายการ (check
list)เกี่ยวกับสถานสภาพทั่วไปของผู้ตอบ
• ตอนที่ 2 และตอนที่ 3 แบบสอบถามเกี่ยวกับ การเป็น
องค์การแห่งการเรียนรู้ตามทัศนะของครู สังกัดสานักงาน
เขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเขต 40 มีลักษณะเป็น
ตัวเลขมาตราส่วนประมาณค่า(numerical rating scale)
(สุวรีย์ ศิริโภคาภิรมย์, 2546,หน้า 139 – 140) มี 5 ระดับ
โดยกาหนดความมากน้อยของระดับ
• 5 หมายถึง ระดับปฏิบัติการเป็นองค์การแห่งการเรียนรู้ตาม
ทัศนะของครูอยู่ในระดับมากที่สุด
• 4 หมายถึง ระดับปฏิบัติการเป็นองค์การแห่งการเรียนรู้ตาม
ทัศนะของครูอยู่ในระดับมาก
• 3 หมายถึง ระดับปฏิบัติการเป็นองค์การแห่งการเรียนรู้ตาม
ทัศนะของครูอยู่ในระดับปลานกลาง
• 2 หมายถึง ระดับปฏิบัติการเป็นองค์การแห่งการเรียนรู้ตาม
ทัศนะของครูอยู่ในระดับน้อย
• 1 หมายถึง ระดับปฏิบัติการเป็นองค์การแห่งการเรียนรู้ตาม
ทัศนะของครูอยู่ในระดับน้อยที่สุด
การวิเคราะห์ข้อมูลใช้โปรแกรมสาเร็จรูป มีขั้นตอนดาเนินการดังนี้
• 1. นาแบบสอบถามทั้งหมดมาตรวจสอบความสมบูรณ์ความถูกต้อง ในการตอบ
แบบสอบถามของแบบสอบถาม แล้วนามาคัดเลือกฉบับที่สมบูรณ์แลถูกต้อง เพื่อ
นามาวิเคราะห์ข้อมูล
• 2. การวิเคราะห์ข้อมูลใช้โปรแกรมสาเร็จรูป มีขั้นตอนดาเนินการดังนี้
• 2.1 หาค่าความถี่ (frequency) และร้อยละ (percentage) ของข้อมูลเกี่ยวกับ
สถานภาพ ของผู้ตอบแบบสอบถาม
• 2.2 หาค่าเฉลี่ย ( mean) และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน( standard deviation)
ของคะแนนจากการตอบแบบสอบถาม การเป็นองค์การแห่งการเรียนรู้ตามทัศนะ
ของครู สังกัดสานักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 40
แปลความหมายของค่าเฉลี่ยโดยยึดเกณฑ์
2.3 แปลความหมายของค่าเฉลี่ยโดยยึดเกณฑ์ (ประคอง กรรณสูต,2542,หน้า 108) ดังนี้
• ค่าเฉลี่ยตั้งแต่ 4.50 – 5.00 หมายถึง ระดับปฏิบัติการเป็นองค์การแห่งการเรียนรู้ตามทัศนะของ
ครูอยู่ในระดับมากที่สุด
• ค่าเฉลี่ยตั้งแต่ 3.50 – 4.49 หมายถึง ระดับปฏิบัติการเป็นองค์การแห่งการเรียนรู้ตามทัศนะของ
ครูอยู่ในระดับมาก
• ค่าเฉลี่ยตั้งแต่ 2.50 – 3.49 หมายถึง ระดับปฏิบัติการเป็นองค์การแห่งการเรียนรู้ตามทัศนะของ
ครูอยู่ในระดับปลานกลาง
• ค่าเฉลี่ยตั้งแต่ 1.50 – 2.49 หมายถึง ระดับปฏิบัติการเป็นองค์การแห่งการเรียนรู้ตามทัศนะของ
ครูอยู่ในระดับน้อย
• ค่าเฉลี่ยตั้งแต่ 1.00 – 1.49 หมายถึง ระดับปฏิบัติการเป็นองค์การแห่งการเรียนรู้ตามทัศนะของ
ครูอยู่ในระดับน้อยที่สุด
การเปรียบเทียบค่าทางสถิติ
2.4. เปรียบเทียบความแตกต่างในด้านเพศ วุฒิการศึกษา
โดยใช้การทดสอบที่(t – test) ประสบการณ์การทางาน
วิทยฐานะและขนาดของสถานศึกษา ใช้การวิเคราะห์
ความแปรปรวนแบบทางเดียว (one – way ANOVA) โดย
การทดสอบ (F – test) เมื่อมีนัยสาคัญทางสถิติจึง
เปรียบเทียบรายคู่ โดยใช้การทดสอบด้วยวิธีการของเชฟ
เฟ่ (Scheffe’s method)
ผลการวิเคราะห์ข้อมูล
• ตอนที่ 1 ข้อมูลสถานภาพของกลุ่มตัวอย่าง
กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้เป็นครู
สังกัด สานักงานเขตพื้นที่มัธยมศึกษาเขต40
จานวน 316 คน
ตอนที่ 1 ข้อมูลสถานภาพของกลุ่มตัวอย่าง
พบว่าผู้ตอบแบบสอบถามจานวน 316 คน ส่วนใหญ่
เป็นเพศหญิง คิดเป็นร้อยละ 74.4 วุฒิการศึกษาปริญญาตรี
คิดเป็นร้อยละ 63.3 ประสบการณ์ในการทางาน 10-20 ปี
คิดเป็นร้อยละ 82.80 มีประสบการณ์ในการทางาน 10-20
ปี คิดเป็นร้อยละ 41.8 มีวิทยฐานะชานาญการ คิดเป็นร้อย
ละ 48.1 เป็นโรงเรียนขนาดใหญ่(นักเรียนตั้งแต่ 500 คน
ขึ้นไป) คิดเป็นร้อยละ 82.0
ตอนที่ 2 การศึกษาการเป็นองค์การแห่งการเรียนรู้ ตามทัศนะของ
ครู สังกัดสานักงานเขตพื้นที่มัธยมศึกษาเขต 40
การศึกษาการเป็นองค์การแห่งการเรียนรู้ ตาม
ทัศนะของครู สังกัดสานักงานเขตพื้นที่มัธยมศึกษาเขต 40
ศึกษาจากทัศนะของกลุ่มตัวอย่าง ใน 5 ด้าน ประกอบด้วย
1) ด้านการเรียนรู้ 2) ด้านองค์กร 3)ด้านบุคคล 4) ด้าน
ความรู้ 5) ด้านเทคโนโลยี ได้ผลการศึกษา ดังต่อไปนี้
ระดับการเป็นองค์การแห่งการเรียนรู้ ด้านการเรียนรู้
พบว่าระดับการเป็นองค์การแห่งการเรียนรู้ ด้านการเรียนรู้ ตามทัศนะของครู
สังกัดสานักงานเขตพื้นที่มัธยมศึกษาเขต 40 ในภาพรวมอยู่ในระดับมาก ( =3.91,
S.D. = 0.50) เมื่อพิจารณาเป็นรายข้อ โดยเรียงจากค่าเฉลี่ยสูงสุด 3 อันดับแรก
ได้แก่ 1) การส่งเสริมการเรียนรู้ด้วยเทคโนโลยีที่เหมาะสม เช่น คอมพิวเตอร์ สื่อ
อินเตอร์เน็ต ( = 4.09, S.D. = 0.78) 2) การสนับสนุนการเรียนรู้อย่างเป็นรูปแบบ
โดยอนุญาตให้ศึกษาต่อระดับสูงขึ้น เช่น ประกาศนียบัตรวิชาชีพ ระดับ
มหาบัณฑิตและระดับดุษฎีบัณฑิต ( = 4.01, S.D. = 0.82) 3) การสนับสนุนให้เข้า
ศึกษาฝึกอบรม ทั้งในและนอกหน่วยงานอย่างสม่าเสมอ ( = 3.97, S.D. = 0.73)
ส่วนรายข้อที่มีค่าเฉลี่ยต่าสุด ได้แก่ การสนับสนุนให้เกิดการเรียนรู้ระดับบุคคล
ระดับกลุ่มงาน และระดับองค์กร ( =3.74, S.D. = 0.69)
การเป็นองค์การแห่งการเรียนรู้ ด้านองค์กร
พบว่าระดับการเป็นองค์การแห่งการเรียนรู้ ตามทัศนะของครู สังกัดสานักงาน
เขตพื้นที่มัธยมศึกษาเขต 40 ด้านองค์กร ในภาพรวมอยู่ในระดับมาก ( = 3.81, S.D.
= 0.49) เมื่อพิจารณาในรายข้อ โดยเรียงจากค่าเฉลี่ยสูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ 1)
การให้ความสาคัญกับการเป็นองค์การแห่งการเรียนรู้ ทั้งด้านการเรียนรู้ ด้านบุคคล
ด้านความรู้ และด้านเทคโนโลยี ( = 3.97, S.D. = 0.73) 2) การมีนโยบายที่
สนับสนุนการเป็นองค์การแห่งการเรียนรู้ ( = 3.94, S.D. = 0.78) 3) การสนับให้
ทุกคนมีส่วนร่วมในการเป็นองค์การแห่งการเรียนรู้ร่วมกัน ( = 3.93, S.D. = 0.76)
ส่วนรายข้อที่มีค่าเฉลี่ยต่าสุดได้แก่ การถ่ายทอดความรู้ ในระดับบุคคล ระดับกลุ่ม
และระดับองค์กร เช่น การสอนงานให้กับบุคลากรที่เข้ารับตาแหน่งงานใหม่ หรือ
การอบรมถ่ายทอดความรู้เมื่อกลับจากการอบรมสมนาสู่เพื่อนร่วมงานในองค์กร (
= 3.67, S.D. = 0.77)
ระดับการเป็นองค์การแห่งการเรียนรู้ ด้านบุคคล
ทัศนะของครูต่อการเป็นองค์การแห่งการเรียนรู้ ด้านบุคคล ตามทัศนะของครู
สังกัดสานักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเขต 40 ในภาพรวมอยู่ในระดับมาก
( =3.90,S.D.= 0.48) เมื่อพิจารณาในรายข้อ โดยเรียงจากค่าเฉลี่ยสูงสุด 3 อันดับ
แรก ได้แก่ 1) การสนับสนุนด้านต่างๆเพื่อการเป็นองค์การแห่งการเรียนรู้อย่าง
ทั่วถึง เช่น คอมพิวเตอร์ สื่อ อินเตอร์เน็ต หนังสือ วารสาร และแหล่งเรียนรู้ต่างๆ (
= 4.01,S.D.=0.73) 2) การเข้าร่วมกิจกรรมเพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ทั้งภายในและ
ภายนอกสถานศึกษาอย่างสม่าเสมอ ( = 3.96, S.D. = 0.78) 3) ความกระตือรือร้น
ในการเรียนรู้และพัฒนาตนเองเพื่อเพิ่มพูนความรู้ ( = 3.96, S.D. = 0.75) ส่วนราย
ข้อที่มีค่าเฉลี่ยต่าสุด ได้แก่การถ่ายทอดหรือแลกเปลี่ยนความรู้ซึ่งกันและกัน ( =
3.83, S.D. = 0.78) และการแลกเปลี่ยนความคิดเห็น ร่วมกันเรียนรู้ เพื่อพัฒนา
องค์กรร่วมกัน ( = 3.83, S.D. = 0.68)
ระดับการเป็นองค์การแห่งการเรียนรู้ ด้านความรู้
พบว่าระดับการเป็นองค์การแห่งการเรียนรู้ ตามทัศนะของครู สังกัด สานักงานเขตพื้นที่
มัธยมศึกษาเขต 40 ด้านความรู้ ในภาพรวมอยู่ในระดับมาก( =3.88, S.D. = 0.50) เมื่อพิจารณาใน
รายข้อโดยเรียงจากค่าเฉลี่ยสูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ 1) สามารถนาความรู้ที่ได้จากการศึกษา
อบรม สัมมนาหรือศึกษาต่อ มาประยุกต์ใช้เพื่อพัฒนางานหรือพัฒนาการ ( = 3.95, S.D. = 0.76)
2) การสนับสนุนให้แสวงหาความรู้เพื่อนามาใช้พัฒนางานที่รับผิดชอบ ( = 3.94,S.D. = 0.77)
และการนาความรู้ที่มีไปใช้ประโยชน์ในการพัฒนาองค์กร ( = 3.94,S.D. = 0.76) 3) การ
สนับสนุนการแสวงหาความรู้ จัดการความรู้ จัดเก็บความรู้ และเผยแพร่ความรู้ ด้วยวิธีการและ
เทคโนโลยีที่เหมาะสม ( = 3.90, S.D. = 0.71) ส่วนรายข้อที่มีค่าเฉลี่ยต่าสุด ได้แก่ การถ่ายทอด
องค์ความรู้ ในระดับต่างๆ เช่น การถ่ายทอดความรู้ระดับบุคคล ระดับกลุ่ม ระดับองค์กร ( =
3.83, S.D. = 0.75) และ การเผยแพร่องค์ความรู้ของบุคคลและองค์กร ทั้งในองค์กรและเผยแพร่สู่
สาธารณะ ( = 3.83, S.D. = 0.71)
ระดับการเป็นองค์การแห่งการเรียนรู้ ด้านเทคโนโลยี
พบว่าระดับการเป็นองค์การแห่งการเรียนรู้ ตามทัศนะของครู
สังกัด สานักงานเขตพื้นที่มัธยมศึกษาเขต 40 ด้านเทคโนโลยี ใน
ภาพรวมอยู่ในระดับมาก( =3.99, S.D. = 0.51) เมื่อพิจารณาในรายข้อ
โดยเรียงจากค่าเฉลี่ยสูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ 1) ความสนใจในการ
พัฒนาความรู้เกี่ยวกับเทคโนโลยี ( = 4.14, S.D. = 0.8) 2) การนา
เทคโนโลยีเข้ามาช่วยในการแสวงหาความรู้ เช่น อินเตอร์เน็ต ระบบ
ฐานข้อมูล ( = 4.11,S.D. = 0.72) 3) การนาเทคโนโลยีที่ทันสมัย
เหมาะสมกับการใช้งาน ( = 4.06,S.D. = 0.73) ส่วนรายข้อที่มีค่าเฉลี่ย
ต่าสุด ได้แก่ การฝึกอบรมหรือพัฒนาการใช้เทคโนโลยี ทั้งจากภายใน
และภายนอกอย่างสม่าเสมอ ( = 3.81, S.D. = 0.77)
การศึกษาระดับการเป็นองค์การแห่งการเรียนรู้สรุปเป็นภาพรวม
พบว่าระดับการเป็นองค์การแห่งการเรียนรู้ ตามทัศนะ
ของครู ในภาพรวมอยู่ในระดับมาก ( =3.90, S.D. = 0.44)
เมื่อพิจารณารายด้านโดยเรียงจากค่าเฉลี่ยสูงสุด 3 อันดับ
แรก ได้แก่ 1) ด้านเทคโนโลยี ( = 4.99, S.D. = 0.51) 2)
ด้านการเรียนรู้ ( =3.91, S.D. = 0.50) 3) ด้านบุคคล ( =
3.90, S.D. = 0.48) ส่วนรายด้านที่มีค่าเฉลี่ยต่าสุด ได้แก่
ด้านองค์กร ( = 3.85, S.D. = 0.50)
การเปรียบเทียบการเป็นองค์การแห่งการเรียนรู้ ตามทัศนะของครู
การศึกษาเปรียบเทียบระดับการเป็นองค์การแห่งการ
เรียนรู้ ตามทัศนะของครู สังกัดสานักงานเขตพื้นที่
มัธยมศึกษาเขต 40 ที่เพศต่างกัน คือ เพศชายและเพศ
หญิงใช้การทดสอบที (t-test)
การเปรียบเทียบการเป็นองค์การแห่งการเรียนรู้ ตามทัศนะของครู
ผลการวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียวเปรียบเทียบ
ระดับการเป็นองค์การแห่งการเรียนรู้ ตามทัศนะของครู
สังกัดสานักงานเขตพื้นที่มัธยมศึกษาเขต 40 จาแนกตาม
เพศในภาพรวม พบว่าไม่แตกต่างกัน เมื่อพิจารณาเป็น
รายด้านแล้ว พบว่าไม่แตกต่างกัน
การเปรียบเทียบระดับการเป็นองค์การแห่งการเรียนรู้ ตามทัศนะ
ของครู จาแนกตามวุฒิการศึกษา
การศึกษาเปรียบเทียบระดับการเป็นองค์การแห่งการ
เรียนรู้ ตามทัศนะของครู สังกัดสานักงานเขตพื้นที่
มัธยมศึกษาเขต 40 ที่วุฒิการศึกษาต่างกัน คือ ปริญญาตรี
และสูงกว่าปริญญาตรี ใช้การทดสอบที (t-test)
การเปรียบเทียบระดับการเป็นองค์การแห่งการเรียนรู้ ตามทัศนะ
ของครู จาแนกตามวุฒิการศึกษา
ผลการวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว
เปรียบเทียบระดับการเป็นองค์การแห่งการเรียนรู้ ตาม
ทัศนะของครู สังกัดสานักงานเขตพื้นที่มัธยมศึกษาเขต 40
พบว่าการเป็นองค์การแห่งการเรียนรู้ ตามทัศนะของครู
สังกัดสานักงานเขตพื้นที่มัธยมศึกษาเขต 40 จาแนกตาม
วุฒิการศึกษา ในภาพรวมไม่แตกต่างกัน เมื่อพิจารณาเป็น
รายด้านแล้วพบว่าไม่แตกต่างกัน
การเปรียบเทียบการเป็นองค์การแห่งการเรียนรู้ ตามทัศนะของครู สังกัด
สานักงานเขตพื้นที่มัธยมศึกษาเขต 40 จาแนกตามประสบการณ์การทางาน
การศึกษาเปรียบเทียบการเป็นองค์การแห่งการ
เรียนรู้ ตามทัศนะของครู สังกัดสานักงานเขตพื้นที่
การศึกษามัธยมศึกษาเขต 40 ที่มีประสบการณ์การทางาน
ต่างกัน คือ 1) น้อยกว่า 10 ปี 2) 10 - 20 ปี 3) มากกว่า 20
ปี ใช้การทดสอบเอฟ (F-test)
การเปรียบเทียบการเป็นองค์การแห่งการเรียนรู้ ตามทัศนะของครู สังกัด
สานักงานเขตพื้นที่มัธยมศึกษาเขต 40 จาแนกตามประสบการณ์การทางาน
ผลการวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียวเปรียบเทียบระดับ
การเป็นองค์การแห่งการเรียนรู้ ตามทัศนะของครู สังกัด
สานักงานเขตพื้นที่มัธยมศึกษาเขต 40 จาแนกตามประสบการณ์
การทางาน พบว่าในภาพรวมแตกต่างกันอย่างมีนัยสาคัญทาง
สถิติที่ระดับ .05 เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านแล้วพบว่า ด้านองค์กร
และด้านบุคคล แตกต่างกันอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติที่ระดับ .05
ด้านความรู้แตกต่างกันอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติที่ระดับ .05 เมื่อ
พบความแตกต่าง จึงทาการทดสอบเป็นรายคู่ด้วยวิธีการของเชฟ
เฟ่ (Scheffe’method) ได้ผลการศึกษาแสดงดังนี้
การเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยระดับการเป็นองค์การแห่งการเรียนรู้ จาแนกตาม
ประสบการณ์ในการทางาน เป็นรายคู่ด้วยวิธีของเชฟเฟ่ ด้านด้านองค์กร
พบว่า ผลการวิเคราะห์เปรียบเทียบรายคู่ของการเป็น
องค์การแห่งการเรียนรู้ ตามทัศนะของครู สังกัดสานักงาน
เขตพื้นที่มัธยมศึกษาเขต 40 เมื่อจาแนกตามประสบการณ์
การทางาน พบว่า ด้านด้านองค์กรมีทัศนะ แตกต่างกัน
จานวน 1 รายคู่ คือ ประสบการณ์ทางานน้อยกว่า 10 ปี กับ
ประสบการณ์ทางานมากกว่า 20 ปี และแตกต่างกัน อย่าง
มีนัยสาคัญทางสถิติที่ระดับ .05
การเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยระดับการเป็นองค์การแห่งการเรียนรู้ จาแนกตาม
ประสบการณ์ในการทางาน เป็นรายคู่ด้วยวิธีของเชฟเฟ่ ด้านด้านองค์กร
• พบว่า ผลการวิเคราะห์เปรียบเทียบรายคู่ของการเป็น
องค์การแห่งการเรียนรู้ ตามทัศนะของครู สังกัดสานักงาน
เขตพื้นที่มัธยมศึกษาเขต 40 เมื่อจาแนกตามประสบการณ์
การทางานด้านบุคคลมีทัศนะ ไม่แตกต่างกัน
การเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยระดับการเป็นองค์การแห่งการเรียนรู้ จาแนกตาม
ประสบการณ์ในการทางาน เป็นรายคู่ด้วยวิธีของเชฟเฟ่ ด้านความรู้
• พบว่า ผลการวิเคราะห์เปรียบเทียบรายคู่ของการเป็น
องค์การแห่งการเรียนรู้ ตามทัศนะของครู สังกัดสานักงาน
เขตพื้นที่มัธยมศึกษาเขต 40 เมื่อจาแนกตามประสบการณ์
การทางาน พบว่า ด้านความรู้มีทัศนะ แตกต่างกัน จานวน
2 รายคู่ คือ ประสบการณ์ทางานน้อยกว่า 10 ปี กับ
ประสบการณ์ทางานมากกว่า 20 ปี และประสบการณ์
ทางาน 10-20 ปี กับประสบการณ์ทางามากกว่า 20 ปี
แตกต่างกัน อย่างมีนัยสาคัญทางสถิติที่ระดับ .05
การเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยระดับการเป็นองค์การแห่งการเรียนรู้ จาแนกตาม
ประสบการณ์ในการทางาน เป็นรายคู่ด้วยวิธีของเชฟเฟ่ ภาพรวม
พบว่า ผลการวิเคราะห์เปรียบเทียบรายคู่ของการเป็น
องค์การแห่งการเรียนรู้ ตามทัศนะของครู สังกัดสานักงาน
เขตพื้นที่มัธยมศึกษาเขต 40 เมื่อจาแนกตามประสบการณ์
การทางานพบว่า ในภาพรวมมีทัศนะ ไม่แตกต่างกัน
การเปรียบเทียบการเป็นองค์การแห่งการเรียนรู้ ตามทัศนะของครู
สังกัดสานักงานเขตพื้นที่มัธยมศึกษาเขต 40 จาแนกตามวิทยฐานะ
การศึกษาเปรียบเทียบระดับการเป็นองค์การแห่งการ
เรียนรู้ ตามทัศนะของครู สังกัด สานักงานเขตพื้นที่
มัธยมศึกษาเขต 40 ที่มีวิทยฐานะต่างกันคือ 1) ไม่มีวิทย
ฐานะ 2) ชานาญการ 3) ชานาญการพิเศษหรือสูงกว่า
ใช้การทดสอบเอฟ (F-test)
การเปรียบเทียบการเป็นองค์การแห่งการเรียนรู้ ตามทัศนะของครู
สังกัดสานักงานเขตพื้นที่มัธยมศึกษาเขต 40 จาแนกตามวิทยฐานะ
พบว่าการเปรียบเทียบระดับการเป็นองค์การแห่งการ
เรียนรู้ ตามทัศนะของครู สังกัด สานักงานเขตพื้นที่
มัธยมศึกษาเขต 40 จาแนกตามวิทยฐานะ ในภาพรวมไม่
แตกต่างกัน เมื่อพิจารณาในแต่ละรายด้านพบว่าไม่
แตกต่างกัน
การเปรียบเทียบการเป็นองค์การแห่งการเรียนรู้ ตามทัศนะ
ของครู จาแนกตามขนาดสถานศึกษา
ผลการวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียวเปรียบเทียบ
ระดับการเป็นองค์การแห่งการเรียนรู้ ตามทัศนะของครู
สังกัดสานักงานเขตพื้นที่มัธยมศึกษาเขต 40 จาแนกตาม
ขนาดของสถานศึกษา พบว่าในภาพรวมไม่แตกต่างกัน
เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านแล้วพบว่า พบว่าในภาพรวมไม่
แตกต่างกัน
สรุปผลการวิจัย
• การวิจัยเรื่อง การเป็นองค์การแห่งการเรียนรู้ของ
สถานศึกษาตามทัศนะของครู สังกัดสานักงานพื้นที่
การศึกษามัธยมศึกษา เขต 40 สรุปผลการวิจัยได้ดังนี้
1.สถานภาพของกลุ่มตัวอย่าง ผลการวิเคราะห์
ข้อมูลสรุปได้ดังนี้
• ผู้ตอบแบบสอบถามจานวน 316 คน ส่วนใหญ่เป็นเพศ
หญิง คิดเป็นร้อยละ 74.4 วุฒิการศึกษาปริญญาตรี คิดเป็น
ร้อยละ 63.3 ประสบการณ์ในการทางาน 10-20 ปี คิดเป็น
ร้อยละ 41.8 วิทยฐานะชานาญการ คิดเป็นร้อยละ 48.1
ทางานในโรงเรียนขนาดใหญ่ (นักเรียตั่งแต่ 500 คนขึ้น
ไป) คิดเป็นร้อยละ 82.0
2. ผลการวิเคราะห์ข้อมูล
• ผลการวิเคราะห์ข้อมูล การเป็นองค์การแห่งการเรียนรู้ของ
สถานศึกษาตามทัศนะของครู สังกัดสานักงานพื้นที่การศึกษา
มัธยมศึกษา เขต 40 ตามองค์ประกอบ 5 ด้าน ในภาพรวม มี
ทัศนะต่อการเป็นองค์การแห่งการเรียนรู้ตามของสถานศึกษา
สังกัดสานักงานพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 40 ในระดับมาก
โดยเรียงลาดับจากมากไปหาน้อยคือ ด้านเทคโนโลยี ด้านการ
เรียนรู้ ด้านบุคคล ด้านความรู้และด้านองค์กร เมื่อพิจารณาเป็น
รายด้านและรายข้อ สรุปได้ดังนี้
2.1 ด้านการเรียนรู้
• พบว่า ค่าเฉลี่ยของภาพรวมระดับทัศนะของครู ต่อการเป็น
องค์การแห่งการเรียนรู้ของสถานศึกษา อยู่ในระดับมาก เมื่อ
พิจารณาเป็นราข้อพบว่าข้อที่มีค่าเฉลี่ยมากกว่าข้ออื่นๆคือ 1)
การส่งเสริมการเรียนรู้ด้วยเทคโนโลยีที่เหมาะสม เช่น
คอมพิวเตอร์ สื่อ อินเตอร์เน็ต 2) การสนับสนุนการเรียนรู้อย่าง
เป็นรูปแบบ โดยอนุญาตให้ศึกษาต่อระดับสูงขึ้น เช่น
ประกาศนียบัตรวิชาชีพ ระดับมหาบัณฑิตและระดับดุษฎีบัณฑิต
3)การสนับสนุนให้เข้าศึกษาฝึกอบรม ทั้งในและนอกหน่วยงาน
อย่างสม่าเสมอ ตามลาดับ
2.2 ด้านองค์กร
• พบว่า ค่าเฉลี่ยของภาพรวมระดับทัศนะของครู ต่อการ
เป็นองค์การแห่งการเรียนรู้ของสถานศึกษา อยู่ในระดับ
มาก เมื่อพิจารณาเป็นราข้อพบว่าข้อที่มีค่าเฉลี่ยมากกว่าข้อ
อื่นๆ คือ 1) การให้ความสาคัญกับการเป็นองค์การแห่ง
การเรียนรู้ ทั้งด้านการเรียนรู้ ด้านบุคคล ด้านความรู้ และ
ด้านเทคโนโลยี 2) การมีนโยบายที่สนับสนุนการเป็น
องค์การแห่งการเรียนรู้ 3) การสนับให้ทุกคนมีส่วนร่วม
ในการเป็นองค์การแห่งการเรียนรู้ร่วมกันตามลาดับ
2.3 ด้านบุคคล
• พบว่า ค่าเฉลี่ยของภาพรวมระดับทัศนะของครู ต่อการเป็น
องค์การแห่งการเรียนรู้ของสถานศึกษา อยู่ในระดับมาก เมื่อ
พิจารณาเป็นราข้อพบว่าข้อที่มีค่าเฉลี่ยมากกว่าข้ออื่นๆ คือ 1)
การสนับสนุนด้านต่างๆเพื่อการเป็นองค์การแห่งการเรียนรู้อย่าง
ทั่วถึง เช่น คอมพิวเตอร์ สื่อ อินเตอร์เน็ต หนังสือ วารสาร และ
แหล่งเรียนรู้ต่างๆ 2) การเข้าร่วมกิจกรรมเพื่อส่งเสริมการเรียนรู้
ทั้งภายในและภายนอกสถานศึกษาอย่างสม่าเสมอ 3) ความ
กระตือรือร้นในการเรียนรู้และพัฒนาตนเองเพื่อเพิ่มพูนความรู้
ตามลาดับ
2.4 ด้านความรู้
• พบว่า ค่าเฉลี่ยของภาพรวมระดับทัศนะของครู ต่อการเป็นองค์การแห่ง
การเรียนรู้ของสถานศึกษา อยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นราข้อพบว่า
ข้อที่มีค่าเฉลี่ยมากกว่าข้ออื่นๆ คือ 1) สามารถนาความรู้ที่ได้จาก
การศึกษา อบรม สัมมนาหรือศึกษาต่อ มาประยุกต์ใช้เพื่อพัฒนางานหรือ
พัฒนาการ 2) การสนับสนุนให้แสวงหาความรู้เพื่อนามาใช้พัฒนางานที่
รับผิดชอบ และการนาความรู้ที่มีไปใช้ประโยชน์ในการพัฒนาองค์กร
3) การสนับสนุนการแสวงหาความรู้ จัดการความรู้ จัดเก็บความรู้ และ
เผยแพร่ความรู้ ด้วยวิธีการและเทคโนโลยีที่เหมาะสม ตามลาดับ
2.5 ด้านเทคโนโลยี
• พบว่า ค่าเฉลี่ยของภาพรวมระดับทัศนะของครู ต่อการ
เป็นองค์การแห่งการเรียนรู้ของสถานศึกษา อยู่ในระดับ
มาก เมื่อพิจารณาเป็นราข้อพบว่าข้อที่มีค่าเฉลี่ยมากกว่าข้อ
อื่นๆ คือ 1) ความสนใจในการพัฒนาความรู้เกี่ยวกับ
เทคโนโลยี 2) การนาเทคโนโลยีเข้ามาช่วยในการแสวงหา
ความรู้ เช่น อินเตอร์เน็ต ระบบฐานข้อมูล 3) การนา
เทคโนโลยีที่ทันสมัยเหมาะสมกับการใช้งาน ตามลาดับ
3. ผลการเปรียบเทียบการเป็นองค์การแห่งการเรียนรู้ของสถานศึกษาตามทัศนะของ
ครู สังกัดสานักงานพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 40 สรุปผลได้ดังนี้
• 3.1 เมื่อจาแนกตามเพศ วุฒิการศึกษา วิทยฐานะและขนาดของ
สถานศึกษา มีทัศนะต่อการเป็นองค์การแห่งการเรียนรู้ ใน
ภาพรวมและรายด้านไม่แตกต่างกัน
• 3.2 เมื่อจาแนกตามประสบการณ์การทางาน มีทัศนะต่อการเป็น
องค์การแห่งการเรียนรู้ ในภาพรวมแตกต่างกันอย่างมีนัยสาคัญ
ทางสถิติที่ระดับ .05 เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านแล้วพบว่า ด้าน
ด้านองค์กร ด้านความรู้และด้านบุคคล แตกต่างกันอย่างมี
นัยสาคัญทางสถิติที่ระดับ .05
ข้อเสนอแนะ
• จากผลการวิจัยเกี่ยวกับการเป็นองค์การแห่งการ
เรียนรู้ ตามทัศนะของครู สานักงานพื้นที่การศึกษา
มัธยมศึกษา เขต 40 ผู้วิจัยมีข้อเสนอแนะ ดังนี้
1. ข้อเสนอแนะทั่วไป
• จากผลการวิจัยการเป็นองค์การแห่งการเรียนรู้ ตามทัศนะ
ของครู สานักงานพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 40
ผู้วิจัยเสนอแนวทางในการพัฒนาระดับการปฏิบัติการสู่
การเป็นองค์การแห่งการเรียนรู้ ของโรงเรียนในสังกัด
สานักงานพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 40 ดังนี้
1. ข้อเสนอแนะทั่วไป
• 1.1 ด้านการเรียนรู้ โดยกาสนับสนุนให้เกิดการเรียนรู้
ระดับกลุ่มงานและระดับองค์กร
• 1.2 ด้านองค์กร โดยการสนับสนุนการถ่ายทอดความรู้ ใน
ระดับบุคคล ระดับกลุ่มและระดับองค์กร เช่น การสอน
งานให้กับบุคลากรที่เข้ารับตาแหน่งงานใหม่ หรือ การ
อบรมถ่ายทอดความรู้เมื่อกลับจากการอบรมสมนาสู่เพื่อน
ร่วมงานในองค์กร
1. ข้อเสนอแนะทั่วไป
• 1.3 ด้านบุคคล โดยการสนับสนุนให้เกิดการแลกเปลี่ยน
เรียนรู้ซึ่งกันและกัน สนับสนุนการแลกเปลี่ยนความ
คิดเห็นร่วมกัน เพื่อพัฒนาองค์กรร่วมกัน
• 1.4 ด้านความรู้ โดยการสนับสนุนการถ่ายทอดความรู้ใน
ระดับต่างๆเช่นการถ่ายทอดความรู้ระดับบุคคล ระดับ
กลุ่ม ระดับองค์กร การเผยแพร่องค์ความรู้ของบุคคลและ
องค์กร ทั้งในองค์กรและเผยแพร่สู่สาธารณะ
•
1. ข้อเสนอแนะทั่วไป
• 1.5 ด้านเทคโนโลยี โดยการฝึกอบรมหรือพัฒนาการใช้
เทคโนโลยี ทั้งจากภายในและภายนอกอย่างสม่าเสมอ
2. ข้อเสนอแนะเพื่อการวิจัยครั้งต่อไป
• จากผลการวิจัยการเป็นองค์การแห่งการเรียนรู้ ตามทัศนะ
ของครู สานักงานพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 40 มี
ข้อเสนอแนะเพื่อการวิจัยครั้งต่อไป ดังนี้
2. ข้อเสนอแนะเพื่อการวิจัยครั้งต่อไป
• 2.1 ควรทาการศึกษาในลักษณะเดียวกัน โดยใช้
วิธีการรวบรวมข้อมูลในรูปแบบที่หลากหลาย เช่น การ
สัมภาษณ์ เป็นต้น เพื่อให้สามารถวิเคราะห์ผลการการเป็น
องค์การแห่งการเรียนรู้ได้ชัดเจนยิ่งขึ้น
• 2.2 ศึกษาปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อการพัฒนาการเป็น
องค์การแห่งการเรียนรู้ เช่น สภาพการดารงชีวิต บริบท
ของสถานศึกษา วัฒนธรรมขององค์การ สภาวะความเป็น
ผู้นาของผู้บริหาร หรือตัวแปรอื่นๆ

งานนำเสนอ การวิจัย การเป็นองค์การแห่งการเรียนรู้ สพม.40