SlideShare a Scribd company logo
1
การบาเพ็ญบารมีของพระผู้มีพระภาคเจ้า ตอนที่ ๒๗ มูคปักขจริยา
พลตรี มารวย ส่งทานินทร์
๒๗ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๖๖
เกริ่นนา
ในกาลที่เราเป็นพระโอรสของพระเจ้ากาสี ชนทั้งหลายเรียกเราโดยชื่อว่ามูคปักขกุมารบ้าง เตมิย
กุมารบ้าง ครั้นเราได้ฟังคาของเทวดานั้นแล้ว เหมือนได้พบฝั่งในสาคร ร่าเริง ตื้นตันใจ ได้อธิษฐานองค์ ๓
ประการ คือ เราเป็นคนใบ้ เป็นคนหูหนวก เป็นคนง่อยเปลี้ย เว้นจากคติ เราอธิษฐานองค์ ๓ ประการนี้ อยู่
๑๖ ปี
พระไตรปิฎกเล่มที่ ๓๓ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๕ [ฉบับมหาจุฬาฯ]
ขุททกนิกาย อปทาน ภาค ๒ -พุทธวังสะ-จริยาปิฎก
๖. มูคปักขจริยา
ว่าด้วยพระจริยาของพระมูคปักขกุมาร
[๔๘] อีกเรื่องหนึ่ง ในกาลที่เราเป็นพระโอรสของพระเจ้ากาสี ชนทั้งหลายเรียกเราโดยชื่อว่ามูค
ปักขกุมารบ้าง เตมิยกุมารบ้าง
[๔๙] ครั้งนั้น นางสนมกานัล ๑๖,๐๐๐ นาง ไม่มีพระราชโอรส โดยวันคืนล่วงไปๆ เราเกิดขึ้น
เพียงผู้เดียว
[๕๐] พระราชบิดารับสั่งให้กั้นเศวตฉัตร ให้เลี้ยงดูเราผู้เป็นบุตรสุดที่รักซึ่งได้โดยยาก เป็น
อภิชาตบุตร ทรงไว้ซึ่งความรุ่งเรือง บนที่นอน
[๕๑] ครั้งนั้น เรานอนหลับอยู่บนที่นอนอันอ่อนนุ่ม ตื่นขึ้นแล้วได้เห็นเศวตฉัตร ซึ่งเป็นเหตุให้
เราตกนรก
[๕๒] ความสะดุ้งหวาดกลัว เกิดขึ้นแล้วแก่เรา พร้อมกับได้เห็นเศวตฉัตร เราถึงความตัดสินใจ
ว่า เมื่อไรหนอ เราจึงจะเปลื้องราชสมบัตินี้ ได้
[๕๓] เทวดาผู้เป็นสาโลหิตของเรามาก่อน ผู้ใคร่ประโยชน์ต่อเรา เห็นเราประสบทุกข์ จึงแนะนา
เราให้ประกอบในเหตุ ๓ ประการว่า
[๕๔] ท่านจงอย่าแสดงความเป็นบัณฑิต จงแสดงความเป็นคนโง่แก่ชนทั้งปวง ชนทั้งหมดก็จะดู
หมิ่นท่าน ประโยชน์จักสาเร็จแก่ท่านด้วยอาการอย่างนี้
[๕๕] เมื่อเทวดากล่าวอย่างนี้ แล้ว เราได้กล่าวดังนี้ ว่า เทวดา ข้าพเจ้าจะทาตามคาที่ท่านกล่าว
กับเรา ท่านเป็นผู้ปรารถนาประโยชน์ เป็นผู้ใคร่ความเกื้อกูลแก่เรา
2
[๕๖] ครั้นเราได้ฟังคาของเทวดานั้นแล้ว เหมือนได้พบฝั่งในสาคร ร่าเริง ตื้นตันใจ ได้อธิษฐาน
องค์ ๓ ประการ
[๕๗] คือ เราเป็นคนใบ้ เป็นคนหูหนวก เป็นคนง่อยเปลี้ย เว้นจากคติ เราอธิษฐานองค์ ๓
ประการนี้ อยู่ ๑๖ ปี
[๕๘] ครั้งนั้น เสนาบดีเป็นต้นตรวจดูมือเท้าลิ้นและช่องหูของเราแล้ว เห็นความไม่บกพร่องของ
เราก็ติเตียนว่า เป็นคนกาลกิณี
[๕๙] แต่นั้น ชาวชนบท เสนาบดี และปุโรหิตทั้งปวง ร่วมใจกันทั้งหมด ดีใจการที่รับสั่งให้นาไป
ทิ้ง
[๖๐] เรานั้นได้ฟังความประสงค์ของเสนาบดีเป็นต้นนั้นแล้ว ร่าเริง ตื้นตันใจว่า เราประพฤติ
ตบะมาเพื่อประโยชน์ใด ประโยชน์นั้นสาเร็จแล้วแก่เรา
[๖๑] ราชบุรุษทั้งหลายอาบน้าให้เรา ไล้ทาด้วยของหอม สวมราชมงกุฎราชาภิเษกแล้ว ให้กั้น
เศวตฉัตรทาประทักษิณนคร
[๖๒] ให้กั้นไว้ ๗ วัน พอดวงอาทิตย์อุทัย นายสารถีก็อุ้มเราขึ้นรถ เข้าไปยังป่า
[๖๓] นายสารถีหยุดรถไว้ ณ โอกาสหนึ่ง ปล่อยรถเทียมม้าพ้นมือก็ขุดหลุมเพื่อจะฝังเราเสียใน
แผ่นดิน
[๖๔] พระมหากษัตริย์ทรงคุกคามการอธิษฐาน ที่เราอธิษฐานไว้ด้วยเหตุต่างๆ แต่เราก็ไม่
ทาลายการอธิษฐานนั้นเด็ดขาด เพราะเหตุแห่งพระโพธิญาณเท่านั้น
[๖๕] พระมารดาและพระบิดาจะเป็นที่น่ารังเกียจสาหรับเราก็หาไม่ ตนของเราจะเป็นที่น่า
รังเกียจก็หาไม่ แต่เพราะพระสัพพัญญุตญาณเป็นที่รักของเรา เพราะฉะนั้น เราจึงอธิษฐานองค์ ๓ ประการ
นี้
[๖๖] เราอธิษฐานองค์ ๓ ประการนี้ อยู่ ๑๖ ปี บุคคลมีอธิษฐานเสมอเราไม่มี นี้ เป็นอธิษฐาน
บารมีของเรา ฉะนี้ แล
มูคปักขจริยาที่ ๖ จบ
คาอธิบายเพิ่มเติมนามาจากบางส่วนของอรรถกถา
ขุททกนิกาย จริยาปิฎก การบาเพ็ญเนกขัมมบารมีเป็นต้น
๖. มูคผักขจริยา
อรรถกถามูคผักขจริยาที่ ๖
ในกาลเมื่อเราเป็นโอรสของพระเจ้ากาสี. ในกาลนั้น ชื่อว่ามูคผักขะ. ชนทั้งหลายเรียกเราว่าเตมิ
ยะ. ชนทั้งหลายทั้งปวงตั้งแต่พระมารดาพระบิดาเป็นต้นเรียกเราว่ามูคผักขะ เพราะอธิษฐานเป็นคนใบ้และ
เป็นคนง่อยเปลี้ย.
อนึ่ง เพราะพระมหาสัตว์นั้นยังหทัยของพระราชาและของอามาตย์เป็นต้นให้ชุ่ม อันเกิดด้วยปีติ
3
และสิเนหาอย่างยิ่ง ฉะนั้นจึงได้พระนามว่า เตมิยกุมาร.
พระศาสดาทรงแสดงว่า โดยวันคืนล่วงไปๆ เราเกิดผู้เดียว คือโดยวันคืนน้อมล่วงไปไม่น้อย
เพราะล่วงไปหลายปี เราผู้เดียวเท่านั้นที่ท้าวสักกะประทานให้แด่พระราชาพระองค์นั้นผู้ไม่มีโอรส เราเที่ยว
แสวงหาโพธิญาณ ในกาลนั้นได้เกิดเป็นโอรสของพระราชา.
ในจริยานั้นมีเรื่องราวเป็นลาดับดังต่อไปนี้ .
ในอดีตกาลครั้ง พระเจ้ากาสีครองราชสมบัติอยู่ในกรุงพาราณสี. พระองค์มีสนม ๑๖,๐๐๐ นาง.
ในสนมเหล่านั้นไม่ได้บุตรหรือธิดาแม้แต่คนเดียว.
ชาวพระนครเกิดเดือดร้อนว่า พระโอรสแม้องค์เดียวที่จะรักษาราชวงศ์ของพวกเราไม่มีเลย จึง
ประชุมกัน ทูลพระราชาว่า ขอพระองค์จงปรารถนาพระโอรสเถิดพระเจ้าข้า.
พระราชาทรงรับสั่งกะสนม ๑๖,๐๐๐ นางว่า พวกเจ้าจงปรารถนาบุตรเถิด. พวกสนมเหล่านั้น
ทาการบวงสรวงพระจันทร์เป็นต้น แม้ปรารถนาก็ไม่ได้บุตร.
ฝ่ายพระจันทาเทวี พระธิดาของพระเจ้ามัททราช อัครมเหสีของพระราชานั้น พระนางสมบูรณ์
ด้วยศีล. พระราชาตรัสว่า แม้เธอก็จงปรารถนาโอรสเถิด. ในวันเพ็ญ พระนางรักษาอุโบสถระลึกถึงศีลของ
ตนทรงตั้งสัจจกิริยาว่า หากเรามีศีลไม่ขาด ด้วยสัจจะของเรานี้ ขอให้โอรสเกิดเถิด.
ด้วยเดชแห่งศีลของนางนั้น อาสนะของท้าวสักกะแสดงอาการร้อน.
ท้าวสักกะทรงราพึงก็ทรงทราบเหตุนั้น จึงดาริว่า เราจักอนุเคราะห์นางจันทาเทวีให้ได้โอรส
ทรงใคร่ครวญถึงโอรสผู้สมควรแก่พระเทวีนั้น ทรงเห็นพระโพธิสัตว์ผู้ประสงค์จะอุบัติในดาวดึงสพิภพดารง
อยู่บนดาวดึงสพิภพนั้นตราบเท่าอายุแล้วจุติจากนั้น ไปบังเกิดในเทวโลกสูงขึ้นไป จึงเสด็จเข้าไปหาพระ
โพธิสัตว์ ตรัสว่า ดูก่อนสหาย เมื่อท่านเกิดในมนุษยโลก บารมีเหล่านั้นจักบริบูรณ์ ความเจริญจักมีแก่
มหาชน พระนางจันทาอัครมเหสีของพระเจ้ากาสีทรงปรารถนาพระโอรส ขอให้ท่านจงไปอุบัติในพระครรภ์
ของพระนางนั้นเถิด.
พระโพธิสัตว์รับเทวดารัส แล้วจึงถือปฏิสนธิในพระครรภ์ของพระนางจันทาเทวีนั้น.
เทพบุตร ๕๐๐ สหายของพระโพธิสัตว์นั้นสิ้นอายุ จุติจากเทวโลก คือปฏิสนธิในครรภ์ของภริยา
อามาตย์ทั้งหลายของพระราชานั้น.
พระเทวีทรงทราบว่าพระนางตั้งครรภ์แล้ว จึงกราบทูลพระราชาให้ทรงทราบ. พระราชารับสั่งให้
ดูแลพระครรภ์. พระเทวีทรงครรภ์ครบกาหนด จึงประสูติพระราชบุตรสมบูรณ์ด้วยบุญลักษณะทุกประการ.
ในวันนั้นเองในเรือนของพวกอามาตย์ทั้งหลาย กุมาร ๕๐๐ ก็เกิด.
พระราชาทรงสดับแม้ทั้งสองประการ ทรงดาริว่า กุมารเหล่านี้ จงเป็นบริวารโอรสของเรา จึงทรง
ส่งแม่นม ๕๐๐ และส่งเครื่องประดับของกุมารให้แก่กุมาร ๕๐๐.
อนึ่ง พระราชาทรงให้แม่นม ๖๔ คน ผู้มีน้านมอร่อย มีถันไม่หย่อนยาน เว้นจากโทษมีสูงเกินไป
เป็นต้น แล้วทรงทาสักการะใหญ่แก่พระโพธิสัตว์.
ได้ทรงประทานพรแม้แก่พระนางจันทาเทวี. พระนางจันทาเทวีทรงรับพรไว้แล้ว.
พระกุมารทรงเจริญด้วยบริวารใหญ่.
4
ลาดับนั้น พวกแม่นมตกแต่งพระกุมารซึ่งมีพระชนม์ได้ ๑ เดือน นามาเฝ้าพระราชา. พระราชา
ทรงแลดูพระโอรสน่ารัก จึงทรงสวมกอด ให้พระกุมารประทับนั่งบนพระเพลา ประทับนั่งทรงรื่นรมย์กับ
พระโอรส.
ในขณะนั้น โจร ๔ คนถูกนามาให้ทรงพิพากษาโทษ.
ในโจร ๔ คนนั้น คนหนึ่ง พระราชาทรงตัดสินให้เฆี่ยนด้วยหวายมีหนาม ๑,๐๐๐ ครั้ง. คนหนึ่ง
ใส่ตรวนส่งเข้าเรือนจา. คนหนึ่ง ให้เอาหอกทิ่มแทงบนร่างกาย. คนหนึ่ง เสียบด้วยหลาว.
พระมหาสัตว์สดับคาพิพากษาของพระบิดาก็เกิดสลดใจ ทรงดาริว่า โอน่าเศร้า พระบิดาของเรา
อาศัยความเป็นพระราชา กระทากรรมอันจะนาไปสู่นรก เป็นกรรมหนัก.
รุ่งขึ้น พวกแม่นมให้พระมหาสัตว์บรรทมเหนือสิริไสยาสน์ที่ตกแต่งไว้ภายใต้เศวตฉัตร.
พระมหาสัตว์บรรทมหลับไปได้หน่อยหนึ่ง ทรงลืมพระเนตรแลดูเศวตฉัตรทรงเห็นสิริสมบัติ
ใหญ่โต. ทีนั้น พระมหาสัตว์แม้ตามปกติก็ทรงสลดพระทัยอยู่แล้ว ยิ่งเกิดความกลัวหนักขึ้น. พระมหาสัตว์
ทรงราพึงอยู่ว่า เรามาสู่พระราชวังนี้ จากไหนหนอ ครั้นทรงทราบว่ามาจากเทวโลก ด้วยทรงระลึกชาติได้ จึง
ทรงตรวจดูเหนือไปจากนั้น ทรงเห็นว่า พระองค์เคยหมกไหม้อยู่ในอุสสทนรก. ทรงตรวจดูเหนือไปจากนั้น
อีกทรงเห็นความที่พระองค์เป็นพระราชาอยู่ในนครนั่นเอง.
ลาดับนั้น พระโพธิสัตว์บรรทมดาริว่า เราครองราชสมบัติอยู่ ๒๐ ปี หมกไหม้อยู่ในอุสสทนรก
๘๐,๐๐๐ ปี. บัดนี้ เราเกิดในเรือนโจรนี้ เอง. แม้พระบิดาของเราเมื่อวานนี้ เมื่อเขานาโจรมา ๔ คน ก็ตรัส
พระดารัสรุนแรงถึงปานนั้น อันจะทาให้ตกนรก. เราไม่ต้องการราชสมบัติอันจะนาความพินาศอย่างใหญ่
หลวง ซึ่งยังไม่ปรากฏนี้ มา. เราจะพึงพ้นไปจากเรือนโจรนี้ ได้อย่างไรหนอ.
ลาดับนั้น เทพธิดาองค์หนึ่งได้ปลอบพระโพธิสัตว์นั้นว่า พ่อเตมิยกุมาร พ่ออย่ากลัว. ความ
ปลอดภัยจักมีแก่ท่านเพราะอธิษฐานองค์ ๓.
พระมหาสัตว์สดับดังนั้นมีพระประสงค์จะพ้นจากความพินาศ คือราชสมบัติ จึงทรงอธิษฐาน
องค์ ๓ ตลอด ๑๖ ปี ด้วยความอธิษฐานไม่หวั่นไหว.
พระเจ้ากาสี พระบิดาของเราให้เรานอนบนที่สิริไสยาสน์ภายใต้เศวตฉัตร ตั้งแต่เราเกิดให้เลี้ยง
ดูเรากับด้วยบริวารใหญ่ โดยพระดารัสว่า ธุลีหรือน้าค้าง จงอย่าต้องกุมารนั้น. เรานอนอยู่บนที่นอนอัน
ประเสริฐ ตื่นขึ้นแล้วมองดูได้เห็นเศวตฉัตรสีขาว. เกิดความสะดุ้งน่ากลัว เพราะเป็นโทษที่ปรากฏชัดเจน
แล้ว. ตรึกตรองอย่างนี้ ว่า เราจะปลดเปลื้องราชสมบัติอันเป็นกาลกรรณีได้อย่างไรหนอ.
เทพธิดาผู้เป็นมารดาของเราในอัตภาพหนึ่ง สิงสถิตอยู่ในเศวตฉัตรนั้น เป็นผู้ใคร่ประโยชน์
แสวงหาประโยชน์แก่เรา. จึงแนะนาให้เราประกอบในเหตุที่จะออกจากทุกข์ในราชสมบัติ ๓ ประการ คือ
เป็นใบ้ เป็นคนง่อยเปลี้ย เป็นคนหนวก.
เมื่อพระมหาสัตว์ทรงตั้งอยู่ในนัยที่เทพธิดาให้ไว้ แล้วทรงแสดงพระองค์ด้วยความเป็นใบ้เป็น
ต้น ตั้งแต่ปีที่ประสูติ พระมารดาพระบิดาและพวกนางนมเป็นต้นคิดว่าธรรมดาปลายคางของคนใบ้ ช่องหู
ของคนหนวก มือเท้าของคนง่อยเปลี้ย มิได้เป็นอย่างนี้ . ในเรื่องนี้ พึงมีเหตุ. เราจักทดลองพระกุมารนี้ ดู. คิด
ว่า เราจักทดลองด้วยน้านมก่อน จึงไม่ให้น้านมตลอดวัน. พระกุมารนั้นแม้ซูบซีดก็มิได้ร้องเพื่อต้องการ
5
น้านม.
ลาดับนั้น พระมารดาของพระกุมาร ทรงดาริว่า ลูกของเราคงหิว. พวกเจ้าจงให้น้านมแก่ลูกเรา
เถิด แล้วให้พวกแม่นมให้น้านม. พวกแม่นมไม่ให้น้านมเป็นระยะๆ อย่างนี้ แม้ทดลองอยู่ปีหนึ่งก็ยังไม่เห็น
ช่องทาง.
แต่นั้นพวกแม่นมคิดว่า ธรรมดาเด็กย่อมชอบขนมและของเคี้ยว. ชอบผลาผล. ชอบของเล่น.
ชอบอาหาร จึงนาของปลอบใจเหล่านั้นๆ เข้าไปให้ ปลอบใจด้วยการทดลองก็ไม่เห็นช่องทางตลอด ๕ ปี.
ลาดับนั้น พวกแม่นมคิดว่า ธรรมดาเด็กย่อมกลัวไฟ กลัวช้างตกมัน กลัวงู กลัวคนเงื้อดาบ. เรา
จักทดลองด้วยเหตุเหล่านั้น จึงตระเตรียมดังกล่าวโดยที่มิให้เกิดความเสียหายแก่พระกุมารด้วยอาการ
เหล่านั้นได้ แล้วให้เข้าไปแสดงโดยอาการอันน่ากลัวอย่างยิ่ง.
พระมหาสัตว์ทรงราพึงถึงภัยในนรก จึงไม่หวั่นไหวด้วยทรงเห็นว่า นรกน่ากลัวยิ่งกว่านี้ ร้อยเท่า
พันเท่า แสนเท่า. พวกแม่นมทดลองอยู่แม้อย่างนี้ ก็ไม่เห็นช่องทาง จึงคิดว่า ธรรมดาเด็กต้องการดูมหรสพ
จึงให้สร้างโรงมหรสพ เอาม่านกั้นพระมหาสัตว์ แล้วให้ประโคมด้วยเสียงสังข์และเสียงกลองให้กึกก้องเป็น
อันเดียวกันในทันที ณ ข้างทั้ง ๒ ของพระกุมารผู้ไม่รู้เรื่องเลย จุดตะเกียงส่องในที่มืด ให้แสงสว่าง เอา
น้าอ้อยทาทั่วตัวให้นอนในที่มีแมลงวันชุม ไม่ให้อาบน้าเป็นต้น เข้าไปคอยดูกุมารนอนบนอุจจาระ ปัสสาวะ.
เสียดสีด้วยการเยาะเย้ย และด่าว่า กุมารซึ่งนอนจมมูตรและกรีส. ทากระเบื้องไฟไว้ใต้เตียง แล้วเผาให้ร้อน
บ้าง.
แม้ทดลองอยู่ด้วยอุบายหลายๆ อย่าง อย่างนี้ ก็ไม่เห็นช่องทางของพระกุมารนั้น.
พระมหาสัตว์ทรงราพึงถึงภัยในนรกเท่านั้น ในที่ทั้งปวงไม่ทรงทาลายการตั้งใจ ไม่ไหวติง. พวก
แม่นมทดลองอย่างนี้ ถึง ๑๕ ปี ครั้นพระชนม์ได้ ๑๖ พระพรรษา พวกแม่นมคิดว่า คนง่อยเปลี้ยก็ตาม คนใบ้
คนหนวกก็ตาม จะไม่กาหนัดในสิ่งควรกาหนัด จะไม่อยากเห็นในสิ่งควรเห็น ย่อมไม่มี เพราะฉะนั้น เราจะ
หานาฏศิลป์มาทดลองพระกุมาร จึงเอาน้าหอมอาบพระกุมาร ประดับประดาดุจเทพบุตรเชิญขึ้นบน
ปราสาท อันมีแต่ความบันเทิงเบิกบานอย่างเดียว ด้วยดอกไม้ของหอมและพวงมาลัยเป็นต้นเหมือนเทพ
วิมาน จึงให้สตรีล้วนมีรูปร่างงดงาม พราวด้วยเสน่ห์ เปรียบด้วยเทพอัปสรคอยบาเรอว่า พวกเจ้าจงให้พระ
กุมารอภิรมย์ด้วยความเป็นของเที่ยงเป็นต้น. สตรีเหล่านั้นต่างก็พยายามเพื่อจะเข้าไปทาตามนั้น.
พระกุมาร เพราะพระองค์สมบูรณ์ด้วยพระปัญญา จึงทรงกลั้นลมอัสสาสะปัสสาสะด้วยทรงหวัง
ว่า สตรีเหล่านี้ อย่าได้สัมผัสร่างกายของเราเลย. สตรีเหล่านั้น เมื่อไม่ได้สัมผัสร่างกายของพระกุมาร จึงคิด
ว่า พระกุมารนี้ มีพระวรกายกระด้าง คงไม่ใช่มนุษย์แน่. คงจักเป็นยักษ์ จึงพากันกลับไป.
พระมารดาพระบิดา ไม่ทรงสามารถที่จะยึดถือได้ด้วยการทดลองใหญ่ ๑๖ ครั้ง และด้วยการ
ทดลองเล็กๆ น้อยๆ อีกหลายครั้งตลอด ๑๖ ปีอย่างนี้ จึงทรงขอร้องต่างๆ กันและหลายครั้งว่า เตมิยกุมาร
ลูกรัก พ่อและแม่รู้ว่าลูกไม่เป็นใบ้ เพราะปาก หูและเท้าอย่างนี้ มิใช่ของคนใบ้ คนหนวกและคนง่อยเปลี้ย
เลย. ลูกเป็นบุตรที่พ่อและแม่ปรารถนาจะได้มา ลูกอย่าให้พ่อแม่ต้องพินาศเสียเลย จงปลดเปลื้องข้อครหา
จากราชสานักในชมพูทวีปทั้งสิ้นเถิด.
พระกุมารนั้น แม้พระมารดาพระบิดาทรงขอร้องอยู่อย่างนี้ ก็บรรทมทาเป็นไม่ได้ยิน.
6
ลาดับนั้น พระราชารับสั่งให้บุรุษผู้ฉลาดตรวจดูพระบาททั้งสอง ช่องพระกรรณทั้งสอง พระ
ชิวหาและพระหัตถ์ทั้งสองแล้ว ทรงสดับคาที่อามาตย์กราบทูลว่า บัดนี้ ผู้ชานาญการทายลักษณะ กล่าวว่า
ผิว่า พระบาทเป็นต้นของพระกุมารนี้ เหมือนของคนไม่ง่อยเปลี้ยเป็นต้น พระกุมารนี้ ก็จะไม่เป็นง่อยเปลี้ย
ใบ้และหนวกจริง. เห็นจะเป็นกาลกรรณี. เมื่อคนกาลกรรณีเช่นนี้ อยู่ในพระราชวัง จะปรากฏอันตราย ๓
อย่าง คืออันตรายของชีวิต ๑ อันตรายของเศวตฉัตร ๑ อันตรายของพระมเหสี ๑. แต่ในวันประสูติเพื่อมิให้
พระองค์ทรงเสียพระทัย จึงกล่าวว่า กุมารนี้ มีบุญลักษณะครบถ้วน ทรงกลัวภัยอันตราย จึงมีพระบัญชาว่า
พวกท่านจงไปให้กุมารนั้นบรรทมในรถอวมงคล นาออกทางประตูหลังแล้วฝังเสียในป่าช้าผีดิบ.
พระมหาสัตว์ทรงสดับดังนั้น ทรงร่าเริงยินดีอย่างยิ่งว่า ความปรารถนาของเราเป็นเวลาช้านาน
จักถึงความสาเร็จ.
ดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า เราอธิษฐานองค์ ๓ ประการนี้ อยู่ ๑๖ ปี ครั้งนั้นเสนาบดีเป็น
ต้น ตรวจมือเท้าลิ้นและช่องหูของเรา แล้วเห็นความไม่บกพร่องของเรา ติเตียนว่า เราเป็นคนกาลกรรณี ที
นั้นชาวชนบท เสนาบดีและปุโรหิตทั้งปวง ร่วมใจกันทั้งหมด พลอยดีใจในการรับสั่งให้นาไปทิ้ง.
เรานั้นได้ฟังความประสงค์ของเสนาบดีเป็นต้นนั้นแล้ว ร่าเริงดีใจ เราประพฤติตบะมาเพื่อ
ประโยชน์ใด ประโยชน์นั้นจะสาเร็จแก่เรา.
ชาวชนบททั้งปวง พวกราชบุรุษมีเสนาบดีและปุโรหิตเป็นหัวหน้ามาเพื่อเฝ้าพระราชา ร่วมใจกัน
ทั้งหมด ไม่แสดงอาการสยิ้วหน้าที่พระราชารับสั่งให้นาเราไปทิ้งด้วยการฝังลงในแผ่นดิน เพื่อผ่านพ้น
อันตราย ต่างพลอยดีใจด้วยมีสีหน้าเบิกบานว่า ดีแล้ว ควรทาทีเดียว.
เมื่อพระราชามีพระบัญชาให้ฝังพระกุมารลงในแผ่นดินอย่างนี้ แล้ว พระนางจันทาเทวีทรงสดับ
เรื่องราวนั้น จึงเข้าไปเฝ้าพระราชา ทูลว่า ข้าแต่พระองค์ พระองค์ทรงประทานพรให้แก่หม่อมฉัน หม่อมฉัน
ยังยึดถือพรนั้นไว้. บัดนี้ ขอพระองค์โปรดประทานพรนั้นแก่หม่อมฉันเถิด.
พระราชาตรัสว่า จงรับพรเถิด.
พระเทวีทูลว่า ขอพระองค์ทรงประทานราชสมบัติแก่โอรสของหม่อมฉันเถิด. ตรัสว่า โอรสของ
เจ้าเป็นกาลกรรณี. เราไม่อาจให้ได้ดอก. ทูลว่า ข้าแต่พระองค์ เมื่อพระองค์ไม่ทรงให้ตลอดชีวิต ก็ขอโปรด
ให้ ๗ ปีเถิด. ตรัสว่า ก็ไม่อาจให้ได้อีก. ทูลว่า ขอได้โปรดให้ ๖ ปี ๕ ปี ๔ ปี ๓ ปี ๒ ปี ๑ ปี ๗ เดือน ๖ เดือน
๕ เดือน ๔ เดือน ๓ เดือน ๒ เดือน ๑ เดือน ครึ่งเดือน ๗ วันเถิด. ตรัสว่า ดีแล้วจงรับได้.
พระเทวีตกแต่งพระโอรส ทรงให้ตีกลองป่าวประกาศในพระนครว่า นี้ เป็นราชสมบัติของเตมิย
กุมาร แล้วให้พระโอรสขึ้นคอช้าง ยกเศวตฉัตรให้พระโอรส ซึ่งทาประทักษิณพระนครเสด็จกลับมา แล้ว
บรรทม ณ สิริไสยาสน์ที่ตกแต่งแล้ว ทรงขอร้องอยู่ตลอดคืนว่า พ่อเตมิยะ แม่นอนไม่หลับมา ๑๖ ปีแล้ว
เพราะอาศัยลูกร้องจนนัยน์ตาแม่บวมแล้ว. หัวใจของแม่เพียงจะแตกด้วยความเศร้าโศก. แม่รู้ว่าลูกไม่ง่อย
เปลี้ยเป็นต้น ลูกอย่าทาให้แม่หมดที่พึ่งเลย.
พระเทวีขอร้องโดยทานองนี้ ล่วงไป ๖ วัน.
ในวันที่ ๖ พระราชาตรัสเรียกสุนันทสารถีมา แล้วตรัสว่า พรุ่งนี้ เจ้าจงนาพระกุมารโดยรถ
อวมงคลออกไปแต่เช้าตรู่ ฝังลงในแผ่นดินที่ป่าช้าผีดิบ กลบดินให้เรียบ แล้วจงกลับ.
7
พระเทวีได้สดับดังนั้น ตรัสว่า ลูกเอ๋ย พระเจ้ากาสีมีพระบัญชาให้ฝังลูกที่ป่าช้าผีดิบในวันพรุ่งนี้ .
พรุ่งนี้ ลูกก็จักถึงความตาย.
พระมหาสัตว์ทรงสดับดังนั้น จึงร่าเริงยินดีอย่างยิ่งว่า ดูก่อนเตมิยะ เจ้าทาความเพียรมา ๑๖ ปี
จะถึงที่สุดแล้ว. แต่พระหทัยของพระมารดา พระโพธิสัตว์ได้เป็นดุจมีอาการแตกสลายไป.
เมื่อราตรีนั้นผ่านไป สารถีนารถมาแต่เช้าตรู่ จอดไว้ที่ประตู เข้าไปยังห้องสิริ ทูลว่า ข้าแต่พระ
เทวี พระองค์อย่าทรงพิโรธหม่อมฉันเลย. หม่อมฉันทาตามพระราชบัญชา แล้วผลักพระเทวีด้วยหลังมือ ซึ่ง
บรรทมกอดพระโอรสออก แล้วอุ้มพระกุมารลงจากปราสาท.
พระเทวีทรงทุบพระอุระ ทรงพระกันแสงร่าไห้ด้วยพระสุรเสียงดัง ทรงล้มลงบนพื้นกว้าง.
ลาดับนั้น พระมหาสัตว์ทรงมองดูพระมารดา ทรงดาริว่า เมื่อเราไม่พูด พระมารดาจักเศร้าโศก
สุดกาลัง แม้อยากจะพูดแต่ก็อดกลั้นไว้ด้วยพระดาริว่า หากเราจักพูด ความพยายามที่เราทามาตลอด ๑๖
ปีก็จะเป็นโมฆะ. แต่เมื่อเราไม่พูด จักเป็นปัจจัยแก่ตัวเราและแก่พระมารดาพระบิดา.
สารถีคิดว่า เราจักนาพระมหาสัตว์ขึ้นรถ แล้วจักแล่นรถไป มุ่งไปทางประตูทิศตะวันตก แต่กลับ
แล่นมุ่งไปทิศตะวันออก. รถออกจากพระนครด้วยอานุภาพของเทวดา แล่นไปยังที่ประมาณ ๓ โยชน์.
พระมหาสัตว์ทรงยินดีเป็นที่ยิ่ง. แนวป่า ณ ที่นั้น ได้ปรากฏแก่สารถีดุจป่าช้าผีดิบ. สารถีคิดว่า
ที่นี้ ดีแล้ว จึงหยุดรถจอดไว้ข้างทางแล้วลงจากรถ เปลื้องเครื่องประดับของพระมหาสัตว์ออกห่อวางไว้ ถือเอา
จอบ เริ่มขุดหลุมไม่ไกลนัก.
ดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า ราชบุรุษทั้งหลายอาบน้าให้เรา ไล้ทาด้วยของหอม สวมราช
มงกุฎราชาภิเษกแล้ว มีฉัตรที่บุคคลถือไว้ให้ทาประทักษิณพระนคร ดารงเศวตฉัตรอยู่ ๗ วัน พอดวงอาทิตย์
ขึ้น สารถีอุ้มเราขึ้นรถเข้าป่า สารถีหยุดรถไว้ ณ โอกาสหนึ่ง ปล่อยรถเทียมม้าพอพ้นมือ ก็ขุดหลุมเพื่อจะฝัง
เราเสีย ในแผ่นดิน.
บัดนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้า เพื่อทรงแสดงถึงประโยชน์ที่พระองค์อธิษฐาน ประพฤติสิ่งที่ทาได้
ยากตลอด ๑๖ ปี ด้วยอธิษฐานเป็นใบ้เป็นต้น จึงตรัสสองคาถาว่า พระราชาทรงคุกคามการอธิษฐาน ที่เรา
อธิษฐานไว้ด้วยเหตุต่างๆ แต่เราไม่ทาลายการอธิษฐานนั้น เพราะเหตุแห่งโพธิญาณนั่นเอง เราจะเกลียด
พระมารดาพระบิดาก็หามิได้ เราจะเกลียดตนเองก็หามิได้ แต่พระสัพพัญญุตญาณเป็นที่รักของเรา
เพราะฉะนั้นแหละ เราจึงอธิษฐานองค์ ๓.
ลาดับนั้น พระมหาสัตว์ เมื่อสุนันทสารถีกาลังขุดหลุม คิดว่านี้ เป็นการพยายามของเรา จึงลุก
ขึ้นแล้วบีบพระหัตถ์และพระบาทของพระองค์ ทรงทราบว่าเรามีกาลังอยู่ จึงทรงดาริจะเสด็จลงจากรถ.
ทันใดนั้นเอง ที่วางพระบาทของพระมหาสัตว์ก็ผุดขึ้นดุจถุงหนังเต็มด้วยลมตั้งขึ้นจรดท้ายรถ.
พระมหาสัตว์เสด็จลง ทรงดาเนินไปๆ มาๆ เล็กน้อย ทรงทราบว่า เรามีกาลังพอที่จะไปได้ แม้ตั้ง ๑๐๐
โยชน์ จึงทรงจับรถข้างท้ายแล้วยกขึ้นดุจยานน้อยสาหรับเด็กเล่น ทรงสังเกตว่า หากสารถีจะพึงทาร้ายเรา.
เราก็มีกาลังพอที่จะป้องกันการทาร้ายได้ ทรงคิดที่จะตกแต่งพระองค์.
ขณะนั้นเอง ภพของท้าวสักกะแสดงอาการร้อน. ท้าวสักกะทรงทราบเหตุนั้น จึงมีเทวบัญชากะ
วิษณุกรรมว่า ท่านจงไปตกแต่งพระโอรสของพระเจ้ากาสี.
8
วิษณุกรรมรับเทวบัญชาแล้ว จึงตกแต่งพระมหาสัตว์นั้นด้วยเครื่องอลังการอันเป็นของทิพย์และ
ของมนุษย์ ดุจท้าวสักกะ.
พระมหาสัตว์เสด็จไปยังสถานที่ที่สารถีกาลังขุดหลุม ด้วยเทพลีลาประทับยืนริมหลุมตรัสว่า
ดูก่อนสารถี ท่านรีบร้อนขุดหลุมไปทาไม ดูก่อนสหาย เราถามท่าน ขอท่านจงบอกเราเถิดว่า ท่านจักทา
อะไรแก่หลุม.
สารถีมิได้เงยหน้าดู กล่าวว่า พระโอรสของพระราชา เป็นใบ้ ง่อยเปลี้ย ไม่มีความรู้สึก.
พระราชามีพระบัญชาให้เราฝังพระโอรสนั้นในป่า.
พระมหาสัตว์ ตรัสว่า ดูก่อนสารถี เราไม่หนวก ไม่ใบ้ ไม่ง่อยเปลี้ยและไม่วิกล หากท่านฝังเราใน
ป่า ท่านพึงทาสิ่งที่ไม่ชอบธรรม.
ดูก่อนสารถี ท่านจงดู ขาและแขนของเรา และจงฟังเราพูด. หากท่านฝังเราในป่า ท่านพึงทา
สิ่งที่ไม่ชอบธรรม.
สารถีนั้นหยุดขุดหลุมแหงนดู เห็นรูปสมบัติของพระมหาสัตว์ ไม่รู้ว่าเป็นมนุษย์หรือเทวดา จึง
ถามว่า ท่านเป็นเทวดา เป็นคนธรรพ์ หรือเป็นท้าวสักกะจอมเทพ. ท่านเป็นใคร เป็นลูกของใคร เราจะรู้จัก
ท่านได้อย่างไร.
พระมหาสัตว์จึงทรงแสดงธรรม โดยนัยมีอาทิว่า เราไม่ใช่เทวดา ไม่ใช่คนธรรพ์ ไม่ใช่ท้าวสักกะ
เราเป็นโอรสของพระเจ้ากาสี ที่ท่านจะฝังในหลุมนี้ แหละ. ท่านอาศัยเราผู้เป็นโอรสของพระราชาพระองค์นั้น
เป็นอยู่.
ดูก่อนสารถี หากท่านฝังเราในป่า ท่านพึงทาสิ่งที่ไม่ชอบธรรม. บุคคลพึงนั่งหรือพึงนอนใต้ร่ม
ไม้ใด ไม่พึงหักกิ่งไม้นั้น เพราะผู้ทาลายมิตร เป็นคนลามก. พระราชาเหมือนต้นไม้ เราเหมือนกิ่งไม้.
ดูก่อนสารถี ท่านเหมือนบุรุษที่เข้าไปอาศัยร่มเงา. หากท่านฝังเราในป่า ท่านพึงทาสิ่งที่ไม่
ชอบธรรม.
แล้วสารถีก็ทูลวิงวอนเพื่อขอให้พระโพธิสัตว์เสด็จกลับ จึงตรัสถึงเหตุที่ไม่กลับ และความพอใจ
ในการบรรพชา ตลอดถึงเรื่องราวของพระองค์ในภพที่ล่วงไปแล้วมีภัยในนรกเป็นต้น เพราะเหตุแห่งความ
พอใจในการบรรพชานั้นโดยพิสดาร.
แม้เมื่อสารถีนั้นประสงค์จะบวช เพราะธรรมกถานั้น และเพราะการปฏิบัตินั้น จึงตรัสคาถานี้ ว่า
ดูก่อนสารถี ท่านจงนารถกลับไป แล้วเป็นคนไม่มีหนี้ กลับมา เพราะบรรพชาเป็นของคนไม่มีหนี้ . ข้อนี้ ฤๅษี
ทั้งหลายสรรเสริญแล้ว.
แล้วก็ทรงส่งสารถีกลับไปแจ้งแด่พระราชา.
สารถีนารถและเครื่องอาภรณ์ไปเฝ้าพระราชา ทูลความนั้นให้ทรงทราบ.
ในทันใดนั้นเอง พระราชาทรงดาริว่า เราจักไปหาพระมหาสัตว์จึงเสด็จออกจากพระนคร พร้อม
ด้วยจตุรงคเสนา นางสนมและชาวพระนคร ชาวชนบท.
แม้พระมหาสัตว์ ครั้นทรงส่งสารถีกลับไปแล้ว ก็มีพระประสงค์จะทรงผนวช. ท้าวสักกะทรง
ทราบจิตของพระโพธิสัตว์ จึงมีเทวบัญชากะวิษณุกรรมว่า เตมิยบัณฑิตประสงค์จะทรงผนวช ท่านจงเนรมิต
9
อาศรมบทและเครื่องบริขารของบรรพชิตให้แก่พระมหาสัตว์นั้น.
วิษณุกรรมจึงไปเนรมิตอาศรมในราวป่าประมาณ ๓ โยชน์ ทาให้สมบูรณ์ด้วยที่พักกลางคืน ที่
พักกลางวัน ที่จงกรม สระโบกขรณี ผลไม้และต้นไม้ และเนรมิตเครื่องบริขารของบรรพชิตทั้งปวง เสร็จแล้ว
กลับที่อยู่ของตน.
พระโพธิสัตว์ทอดพระเนตรเห็นดังนั้น ทรงทราบว่าท้าวสักกะประทานให้ จึงเสด็จเข้าสู่
บรรณศาลา เปลื้องผ้าออก ถือเพศเป็นดาบส นั่งบนเครื่องลาดทาด้วยไม้ ยังสมาบัติ ๘ และอภิญญา ๕ ให้
เกิด ประทับนั่งในอาศรมด้วยความสุขในการบรรพชา.
แม้พระเจ้ากาสีก็เสด็จไปตามทางที่สารถีได้ทูลไว้ แล้วเสด็จเข้าสู่อาศรม. พระมหาสัตว์ทรง
ร่วมกันปฏิสันถาร แล้วทรงเชื้อเชิญให้ครองราชสมบัติ. เตมิยบัณฑิตทรงปฏิเสธแล้วทูลให้พระราชาเกิด
สังเวชด้วยธรรมิกถาปฏิสังยุต ด้วยความเป็นของไม่เที่ยงเป็นต้น และปฏิสังยุตด้วยโทษของกามอันเป็นของ
ต่าช้าด้วยอาการหลายอย่าง.
พระราชาทรงสลดพระทัย ทรงเบื่อหน่ายในการครองเรือน มีพระประสงค์จะทรงผนวช จึงตรัส
ถามพวกอามาตย์และสนมทั้งหลาย. แม้ทั้งหมดก็ประสงค์จะบวช.
ลาดับนั้น พระราชาทรงทราบว่า นางสนมกานัลใน ๑๖,๐๐๐ คน ตั้งแต่พระนางจันทาเทวีเป็น
ต้น และพวกอามาตย์เป็นต้น ประสงค์จะบวช จึงรับสั่งให้ตีกลองป่าวประกาศในพระนครว่า ผู้ใดประสงค์จะ
บวชในสานักพระโอรสของเรา ผู้นั้นก็จงบวชเถิด. ทรงให้เปิดห้องพระคลังทองเป็นต้นแล้วทรงบริจาค.
อนึ่ง ชาวพระนครละทิ้งตลาดอันยาวเหยียดและปิดประตูเรือนไปเฝ้าพระราชา. พระราชาทรง
ผนวชในสานักของพระมหาสัตว์ พร้อมด้วยมหาชน. อาศรมบทประมาณ ๓ โยชน์ที่ท้าวสักกะประทานเต็ม
พอดี.
พระราชาสามนตราชทั้งหลายได้ทรงสดับว่า พระเจ้ากาสีทรงผนวช จึงดาริว่าจักยึดราชสมบัติ
ในกรุงพาราณสี จึงเสด็จเข้าพระนคร ทรงเห็นพระนครเช่นกับเทพนครและพระราชนิเวศน์เช่นกับเทพวิมาน
เต็มไปด้วยรัตนะ ๗ ประการ ทรงคิดว่าจะพึงมีภัยเพราะอาศัยทรัพย์นี้ เสด็จออกกลับไปในทันใดนั้นเอง.
พระมหาสัตว์ทรงสดับการมาของพระราชาเหล่านั้น จึงเสด็จไปชายป่าประทับนั่ง ทรงแสดง
ธรรมอยู่บนอากาศ.
พระราชาเหล่านั้นทั้งหมด พร้อมด้วยบริวารก็พากันบวชในสานักของพระโพธิสัตว์นั้น.
ด้วยประการฉะนี้ ได้เป็นมหาสมาคมอื่นๆ อีกมากมาย.
ฤๅษีทั้งหมดบริโภคผลาผล แล้วบาเพ็ญสมณธรรม. ผู้ใดวิตกถึงกามวิตกเป็นต้น พระโพธิสัตว์
ทรงทราบจิตของผู้นั้น แล้วเสด็จไป ณ ที่นั้น ประทับนั่งแสดงธรรมบนอากาศ.
พระราชานั้นทรงได้สัปปายะในการฟังธรรม จึงยังสมาบัติและอภิญญาให้เกิด. แม้ผู้อื่นๆ ก็เป็น
อย่างนี้ ด้วยประการฉะนี้ ทั้งหมดเมื่อสิ้นชีวิตก็ไปบังเกิดในพรหมโลก.
แม้สัตว์เดียรัจฉานทั้งหลายที่มีใจเลื่อมใสในพระมหาสัตว์ แม้ในหมู่ฤๅษีก็ไปบังเกิดในสวรรค์ชั้น
กามภูมิ ๖ ชั้น.
พรหมจรรย์ของพระมหาสัตว์ยังเป็นไปอยู่ ตลอดกาลยาวนาน.
10
เทพธิดาสิงสถิตอยู่ ณ เศวตฉัตรในครั้งนั้นได้เป็นนางอุบลวรรณาในครั้งนี้ .
สารถี คือพระสารีบุตรเถระ.
พระมารดาพระบิดา คือตระกูลมหาราช.
บริษัททั้งหลาย คือพุทธบริษัท.
เตมิยบัณฑิต คือพระโลกนาถ.
อธิษฐานบารมีของพระมหาสัตว์นั้นถึงที่สุดในจริยานี้ .
แม้บารมีที่เหลือพึงเจาะจงกล่าวตามสมควร.
อนึ่ง พึงประกาศคุณานุภาพมีอาทิอย่างนี้ คือ
ความกลัวนรกตั้งแต่ประสูติได้หนึ่งเดือน. ความกลัวบาป. ความรังเกียจราชสมบัติ. การ
อธิษฐานความเป็นใบ้เป็นต้นอันมีเนกขัมมะเป็นนิมิต และความไม่หวั่นไหวแม้ในการประชุมวิโรธิปัจจัย
(ข้าศึก, ผู้ทาร้าย).
จบอรรถกถามูคผักขจริยาที่ ๖
จบอธิษฐานบารมี
-----------------------------------------------------

More Related Content

Similar to 27 มูคปักขจริยา มจร.pdf

20 ชยทิสจริยา มจร.pdf
20 ชยทิสจริยา มจร.pdf20 ชยทิสจริยา มจร.pdf
20 ชยทิสจริยา มจร.pdf
maruay songtanin
 
05 มหาสุทัสสนจริยา มจร.pdf
05 มหาสุทัสสนจริยา มจร.pdf05 มหาสุทัสสนจริยา มจร.pdf
05 มหาสุทัสสนจริยา มจร.pdf
maruay songtanin
 
พระไตรปิฎกเล่มที่ ๐๕ วินัยปิฎกที่ ๐๕ มหาวรรค ภาค ๒
พระไตรปิฎกเล่มที่ ๐๕ วินัยปิฎกที่ ๐๕ มหาวรรค ภาค ๒พระไตรปิฎกเล่มที่ ๐๕ วินัยปิฎกที่ ๐๕ มหาวรรค ภาค ๒
พระไตรปิฎกเล่มที่ ๐๕ วินัยปิฎกที่ ๐๕ มหาวรรค ภาค ๒Tongsamut vorasan
 
(๕) มหากัสสปเถราปทาน มจร.pdf
(๕) มหากัสสปเถราปทาน มจร.pdf(๕) มหากัสสปเถราปทาน มจร.pdf
(๕) มหากัสสปเถราปทาน มจร.pdf
maruay songtanin
 
๒๒ สามัญญผลสูตร มจร.pdf
๒๒ สามัญญผลสูตร มจร.pdf๒๒ สามัญญผลสูตร มจร.pdf
๒๒ สามัญญผลสูตร มจร.pdf
maruay songtanin
 
๐๕. มโหสธชาดก.pdf
๐๕. มโหสธชาดก.pdf๐๕. มโหสธชาดก.pdf
๐๕. มโหสธชาดก.pdf
maruay songtanin
 
๐๒ เตวิชชสูตร มจร.pdf
๐๒ เตวิชชสูตร มจร.pdf๐๒ เตวิชชสูตร มจร.pdf
๐๒ เตวิชชสูตร มจร.pdf
maruay songtanin
 
๐๖ วัมมิกสูตร มจร.pdf
๐๖ วัมมิกสูตร มจร.pdf๐๖ วัมมิกสูตร มจร.pdf
๐๖ วัมมิกสูตร มจร.pdf
maruay songtanin
 
(๑๐) พระปิณโฑลภารทวาชเถราปทาน มจร.pdf
(๑๐) พระปิณโฑลภารทวาชเถราปทาน มจร.pdf(๑๐) พระปิณโฑลภารทวาชเถราปทาน มจร.pdf
(๑๐) พระปิณโฑลภารทวาชเถราปทาน มจร.pdf
maruay songtanin
 
(๑๔) กุมารกัสสปเถระ มจร.pdf
(๑๔) กุมารกัสสปเถระ มจร.pdf(๑๔) กุมารกัสสปเถระ มจร.pdf
(๑๔) กุมารกัสสปเถระ มจร.pdf
maruay songtanin
 
(๑๒) พระอานันทเถราปทาน มจร.pdf
(๑๒) พระอานันทเถราปทาน มจร.pdf(๑๒) พระอานันทเถราปทาน มจร.pdf
(๑๒) พระอานันทเถราปทาน มจร.pdf
maruay songtanin
 
(๑๓) สีวลีเถราปทาน มจร.pdf
(๑๓) สีวลีเถราปทาน มจร.pdf(๑๓) สีวลีเถราปทาน มจร.pdf
(๑๓) สีวลีเถราปทาน มจร.pdf
maruay songtanin
 
๐๓. สุวรรณสามชาดก.pdf
๐๓. สุวรรณสามชาดก.pdf๐๓. สุวรรณสามชาดก.pdf
๐๓. สุวรรณสามชาดก.pdf
maruay songtanin
 
๐๗. จันทกุมารชาดก.pdf
๐๗. จันทกุมารชาดก.pdf๐๗. จันทกุมารชาดก.pdf
๐๗. จันทกุมารชาดก.pdf
maruay songtanin
 
9789740333685
97897403336859789740333685
9789740333685
CUPress
 
26 โสณนันทปัณฑิตจริยา มจร.pdf
26 โสณนันทปัณฑิตจริยา มจร.pdf26 โสณนันทปัณฑิตจริยา มจร.pdf
26 โสณนันทปัณฑิตจริยา มจร.pdf
maruay songtanin
 
488 ภิสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
488 ภิสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx488 ภิสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
488 ภิสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
maruay songtanin
 
๐๖. ภูริทัตตชาดก.pdf
๐๖. ภูริทัตตชาดก.pdf๐๖. ภูริทัตตชาดก.pdf
๐๖. ภูริทัตตชาดก.pdf
maruay songtanin
 
09 สิวิราชจริยา มจร.pdf
09 สิวิราชจริยา มจร.pdf09 สิวิราชจริยา มจร.pdf
09 สิวิราชจริยา มจร.pdf
maruay songtanin
 
(๙) พระอัญญาโกณฑัญญเถราปทาน มจร.pdf
(๙) พระอัญญาโกณฑัญญเถราปทาน มจร.pdf(๙) พระอัญญาโกณฑัญญเถราปทาน มจร.pdf
(๙) พระอัญญาโกณฑัญญเถราปทาน มจร.pdf
maruay songtanin
 

Similar to 27 มูคปักขจริยา มจร.pdf (20)

20 ชยทิสจริยา มจร.pdf
20 ชยทิสจริยา มจร.pdf20 ชยทิสจริยา มจร.pdf
20 ชยทิสจริยา มจร.pdf
 
05 มหาสุทัสสนจริยา มจร.pdf
05 มหาสุทัสสนจริยา มจร.pdf05 มหาสุทัสสนจริยา มจร.pdf
05 มหาสุทัสสนจริยา มจร.pdf
 
พระไตรปิฎกเล่มที่ ๐๕ วินัยปิฎกที่ ๐๕ มหาวรรค ภาค ๒
พระไตรปิฎกเล่มที่ ๐๕ วินัยปิฎกที่ ๐๕ มหาวรรค ภาค ๒พระไตรปิฎกเล่มที่ ๐๕ วินัยปิฎกที่ ๐๕ มหาวรรค ภาค ๒
พระไตรปิฎกเล่มที่ ๐๕ วินัยปิฎกที่ ๐๕ มหาวรรค ภาค ๒
 
(๕) มหากัสสปเถราปทาน มจร.pdf
(๕) มหากัสสปเถราปทาน มจร.pdf(๕) มหากัสสปเถราปทาน มจร.pdf
(๕) มหากัสสปเถราปทาน มจร.pdf
 
๒๒ สามัญญผลสูตร มจร.pdf
๒๒ สามัญญผลสูตร มจร.pdf๒๒ สามัญญผลสูตร มจร.pdf
๒๒ สามัญญผลสูตร มจร.pdf
 
๐๕. มโหสธชาดก.pdf
๐๕. มโหสธชาดก.pdf๐๕. มโหสธชาดก.pdf
๐๕. มโหสธชาดก.pdf
 
๐๒ เตวิชชสูตร มจร.pdf
๐๒ เตวิชชสูตร มจร.pdf๐๒ เตวิชชสูตร มจร.pdf
๐๒ เตวิชชสูตร มจร.pdf
 
๐๖ วัมมิกสูตร มจร.pdf
๐๖ วัมมิกสูตร มจร.pdf๐๖ วัมมิกสูตร มจร.pdf
๐๖ วัมมิกสูตร มจร.pdf
 
(๑๐) พระปิณโฑลภารทวาชเถราปทาน มจร.pdf
(๑๐) พระปิณโฑลภารทวาชเถราปทาน มจร.pdf(๑๐) พระปิณโฑลภารทวาชเถราปทาน มจร.pdf
(๑๐) พระปิณโฑลภารทวาชเถราปทาน มจร.pdf
 
(๑๔) กุมารกัสสปเถระ มจร.pdf
(๑๔) กุมารกัสสปเถระ มจร.pdf(๑๔) กุมารกัสสปเถระ มจร.pdf
(๑๔) กุมารกัสสปเถระ มจร.pdf
 
(๑๒) พระอานันทเถราปทาน มจร.pdf
(๑๒) พระอานันทเถราปทาน มจร.pdf(๑๒) พระอานันทเถราปทาน มจร.pdf
(๑๒) พระอานันทเถราปทาน มจร.pdf
 
(๑๓) สีวลีเถราปทาน มจร.pdf
(๑๓) สีวลีเถราปทาน มจร.pdf(๑๓) สีวลีเถราปทาน มจร.pdf
(๑๓) สีวลีเถราปทาน มจร.pdf
 
๐๓. สุวรรณสามชาดก.pdf
๐๓. สุวรรณสามชาดก.pdf๐๓. สุวรรณสามชาดก.pdf
๐๓. สุวรรณสามชาดก.pdf
 
๐๗. จันทกุมารชาดก.pdf
๐๗. จันทกุมารชาดก.pdf๐๗. จันทกุมารชาดก.pdf
๐๗. จันทกุมารชาดก.pdf
 
9789740333685
97897403336859789740333685
9789740333685
 
26 โสณนันทปัณฑิตจริยา มจร.pdf
26 โสณนันทปัณฑิตจริยา มจร.pdf26 โสณนันทปัณฑิตจริยา มจร.pdf
26 โสณนันทปัณฑิตจริยา มจร.pdf
 
488 ภิสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
488 ภิสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx488 ภิสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
488 ภิสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
 
๐๖. ภูริทัตตชาดก.pdf
๐๖. ภูริทัตตชาดก.pdf๐๖. ภูริทัตตชาดก.pdf
๐๖. ภูริทัตตชาดก.pdf
 
09 สิวิราชจริยา มจร.pdf
09 สิวิราชจริยา มจร.pdf09 สิวิราชจริยา มจร.pdf
09 สิวิราชจริยา มจร.pdf
 
(๙) พระอัญญาโกณฑัญญเถราปทาน มจร.pdf
(๙) พระอัญญาโกณฑัญญเถราปทาน มจร.pdf(๙) พระอัญญาโกณฑัญญเถราปทาน มจร.pdf
(๙) พระอัญญาโกณฑัญญเถราปทาน มจร.pdf
 

More from maruay songtanin

ผู้นำที่มีความเห็นอกเห็นใจ Compassionate leadership.pdf
ผู้นำที่มีความเห็นอกเห็นใจ Compassionate leadership.pdfผู้นำที่มีความเห็นอกเห็นใจ Compassionate leadership.pdf
ผู้นำที่มีความเห็นอกเห็นใจ Compassionate leadership.pdf
maruay songtanin
 
537 มหาสุตโสมชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
537 มหาสุตโสมชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ...537 มหาสุตโสมชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
537 มหาสุตโสมชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
maruay songtanin
 
536 กุณาลชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
536 กุณาลชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx536 กุณาลชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
536 กุณาลชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
maruay songtanin
 
535 สุธาโภชนชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
535 สุธาโภชนชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...535 สุธาโภชนชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
535 สุธาโภชนชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
maruay songtanin
 
534 มหาหังสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
534 มหาหังสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....534 มหาหังสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
534 มหาหังสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
maruay songtanin
 
533 จูฬหังสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
533 จูฬหังสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....533 จูฬหังสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
533 จูฬหังสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
maruay songtanin
 
532 โสณนันทชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
532 โสณนันทชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....532 โสณนันทชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
532 โสณนันทชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
maruay songtanin
 
531 กุสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
531 กุสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx531 กุสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
531 กุสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
maruay songtanin
 
530 สังกิจจชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
530 สังกิจจชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....530 สังกิจจชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
530 สังกิจจชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
maruay songtanin
 
529 โสณกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
529 โสณกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx529 โสณกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
529 โสณกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
maruay songtanin
 
528 มหาโพธิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
528 มหาโพธิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....528 มหาโพธิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
528 มหาโพธิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
maruay songtanin
 
527 อุมมาทันตีชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬา...
527 อุมมาทันตีชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬา...527 อุมมาทันตีชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬา...
527 อุมมาทันตีชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬา...
maruay songtanin
 
526 นฬินิกาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
526 นฬินิกาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....526 นฬินิกาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
526 นฬินิกาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
maruay songtanin
 
525 จูฬสุตโสมชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
525 จูฬสุตโสมชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ...525 จูฬสุตโสมชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
525 จูฬสุตโสมชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
maruay songtanin
 
524 สังขปาลชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
524 สังขปาลชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....524 สังขปาลชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
524 สังขปาลชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
maruay songtanin
 
523 อลัมพุสาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
523 อลัมพุสาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...523 อลัมพุสาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
523 อลัมพุสาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
maruay songtanin
 
522 สรภังคชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
522 สรภังคชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx522 สรภังคชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
522 สรภังคชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
maruay songtanin
 
521 เตสกุณชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
521 เตสกุณชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx521 เตสกุณชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
521 เตสกุณชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
maruay songtanin
 
520 คันธตินทุกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬา...
520 คันธตินทุกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬา...520 คันธตินทุกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬา...
520 คันธตินทุกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬา...
maruay songtanin
 
519 สัมพุลาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
519 สัมพุลาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....519 สัมพุลาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
519 สัมพุลาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
maruay songtanin
 

More from maruay songtanin (20)

ผู้นำที่มีความเห็นอกเห็นใจ Compassionate leadership.pdf
ผู้นำที่มีความเห็นอกเห็นใจ Compassionate leadership.pdfผู้นำที่มีความเห็นอกเห็นใจ Compassionate leadership.pdf
ผู้นำที่มีความเห็นอกเห็นใจ Compassionate leadership.pdf
 
537 มหาสุตโสมชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
537 มหาสุตโสมชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ...537 มหาสุตโสมชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
537 มหาสุตโสมชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
 
536 กุณาลชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
536 กุณาลชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx536 กุณาลชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
536 กุณาลชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
 
535 สุธาโภชนชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
535 สุธาโภชนชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...535 สุธาโภชนชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
535 สุธาโภชนชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
 
534 มหาหังสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
534 มหาหังสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....534 มหาหังสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
534 มหาหังสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
 
533 จูฬหังสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
533 จูฬหังสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....533 จูฬหังสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
533 จูฬหังสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
 
532 โสณนันทชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
532 โสณนันทชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....532 โสณนันทชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
532 โสณนันทชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
 
531 กุสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
531 กุสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx531 กุสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
531 กุสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
 
530 สังกิจจชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
530 สังกิจจชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....530 สังกิจจชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
530 สังกิจจชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
 
529 โสณกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
529 โสณกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx529 โสณกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
529 โสณกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
 
528 มหาโพธิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
528 มหาโพธิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....528 มหาโพธิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
528 มหาโพธิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
 
527 อุมมาทันตีชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬา...
527 อุมมาทันตีชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬา...527 อุมมาทันตีชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬา...
527 อุมมาทันตีชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬา...
 
526 นฬินิกาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
526 นฬินิกาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....526 นฬินิกาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
526 นฬินิกาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
 
525 จูฬสุตโสมชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
525 จูฬสุตโสมชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ...525 จูฬสุตโสมชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
525 จูฬสุตโสมชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
 
524 สังขปาลชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
524 สังขปาลชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....524 สังขปาลชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
524 สังขปาลชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
 
523 อลัมพุสาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
523 อลัมพุสาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...523 อลัมพุสาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
523 อลัมพุสาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
 
522 สรภังคชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
522 สรภังคชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx522 สรภังคชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
522 สรภังคชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
 
521 เตสกุณชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
521 เตสกุณชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx521 เตสกุณชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
521 เตสกุณชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
 
520 คันธตินทุกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬา...
520 คันธตินทุกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬา...520 คันธตินทุกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬา...
520 คันธตินทุกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬา...
 
519 สัมพุลาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
519 สัมพุลาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....519 สัมพุลาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
519 สัมพุลาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
 

27 มูคปักขจริยา มจร.pdf

  • 1. 1 การบาเพ็ญบารมีของพระผู้มีพระภาคเจ้า ตอนที่ ๒๗ มูคปักขจริยา พลตรี มารวย ส่งทานินทร์ ๒๗ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๖๖ เกริ่นนา ในกาลที่เราเป็นพระโอรสของพระเจ้ากาสี ชนทั้งหลายเรียกเราโดยชื่อว่ามูคปักขกุมารบ้าง เตมิย กุมารบ้าง ครั้นเราได้ฟังคาของเทวดานั้นแล้ว เหมือนได้พบฝั่งในสาคร ร่าเริง ตื้นตันใจ ได้อธิษฐานองค์ ๓ ประการ คือ เราเป็นคนใบ้ เป็นคนหูหนวก เป็นคนง่อยเปลี้ย เว้นจากคติ เราอธิษฐานองค์ ๓ ประการนี้ อยู่ ๑๖ ปี พระไตรปิฎกเล่มที่ ๓๓ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๕ [ฉบับมหาจุฬาฯ] ขุททกนิกาย อปทาน ภาค ๒ -พุทธวังสะ-จริยาปิฎก ๖. มูคปักขจริยา ว่าด้วยพระจริยาของพระมูคปักขกุมาร [๔๘] อีกเรื่องหนึ่ง ในกาลที่เราเป็นพระโอรสของพระเจ้ากาสี ชนทั้งหลายเรียกเราโดยชื่อว่ามูค ปักขกุมารบ้าง เตมิยกุมารบ้าง [๔๙] ครั้งนั้น นางสนมกานัล ๑๖,๐๐๐ นาง ไม่มีพระราชโอรส โดยวันคืนล่วงไปๆ เราเกิดขึ้น เพียงผู้เดียว [๕๐] พระราชบิดารับสั่งให้กั้นเศวตฉัตร ให้เลี้ยงดูเราผู้เป็นบุตรสุดที่รักซึ่งได้โดยยาก เป็น อภิชาตบุตร ทรงไว้ซึ่งความรุ่งเรือง บนที่นอน [๕๑] ครั้งนั้น เรานอนหลับอยู่บนที่นอนอันอ่อนนุ่ม ตื่นขึ้นแล้วได้เห็นเศวตฉัตร ซึ่งเป็นเหตุให้ เราตกนรก [๕๒] ความสะดุ้งหวาดกลัว เกิดขึ้นแล้วแก่เรา พร้อมกับได้เห็นเศวตฉัตร เราถึงความตัดสินใจ ว่า เมื่อไรหนอ เราจึงจะเปลื้องราชสมบัตินี้ ได้ [๕๓] เทวดาผู้เป็นสาโลหิตของเรามาก่อน ผู้ใคร่ประโยชน์ต่อเรา เห็นเราประสบทุกข์ จึงแนะนา เราให้ประกอบในเหตุ ๓ ประการว่า [๕๔] ท่านจงอย่าแสดงความเป็นบัณฑิต จงแสดงความเป็นคนโง่แก่ชนทั้งปวง ชนทั้งหมดก็จะดู หมิ่นท่าน ประโยชน์จักสาเร็จแก่ท่านด้วยอาการอย่างนี้ [๕๕] เมื่อเทวดากล่าวอย่างนี้ แล้ว เราได้กล่าวดังนี้ ว่า เทวดา ข้าพเจ้าจะทาตามคาที่ท่านกล่าว กับเรา ท่านเป็นผู้ปรารถนาประโยชน์ เป็นผู้ใคร่ความเกื้อกูลแก่เรา
  • 2. 2 [๕๖] ครั้นเราได้ฟังคาของเทวดานั้นแล้ว เหมือนได้พบฝั่งในสาคร ร่าเริง ตื้นตันใจ ได้อธิษฐาน องค์ ๓ ประการ [๕๗] คือ เราเป็นคนใบ้ เป็นคนหูหนวก เป็นคนง่อยเปลี้ย เว้นจากคติ เราอธิษฐานองค์ ๓ ประการนี้ อยู่ ๑๖ ปี [๕๘] ครั้งนั้น เสนาบดีเป็นต้นตรวจดูมือเท้าลิ้นและช่องหูของเราแล้ว เห็นความไม่บกพร่องของ เราก็ติเตียนว่า เป็นคนกาลกิณี [๕๙] แต่นั้น ชาวชนบท เสนาบดี และปุโรหิตทั้งปวง ร่วมใจกันทั้งหมด ดีใจการที่รับสั่งให้นาไป ทิ้ง [๖๐] เรานั้นได้ฟังความประสงค์ของเสนาบดีเป็นต้นนั้นแล้ว ร่าเริง ตื้นตันใจว่า เราประพฤติ ตบะมาเพื่อประโยชน์ใด ประโยชน์นั้นสาเร็จแล้วแก่เรา [๖๑] ราชบุรุษทั้งหลายอาบน้าให้เรา ไล้ทาด้วยของหอม สวมราชมงกุฎราชาภิเษกแล้ว ให้กั้น เศวตฉัตรทาประทักษิณนคร [๖๒] ให้กั้นไว้ ๗ วัน พอดวงอาทิตย์อุทัย นายสารถีก็อุ้มเราขึ้นรถ เข้าไปยังป่า [๖๓] นายสารถีหยุดรถไว้ ณ โอกาสหนึ่ง ปล่อยรถเทียมม้าพ้นมือก็ขุดหลุมเพื่อจะฝังเราเสียใน แผ่นดิน [๖๔] พระมหากษัตริย์ทรงคุกคามการอธิษฐาน ที่เราอธิษฐานไว้ด้วยเหตุต่างๆ แต่เราก็ไม่ ทาลายการอธิษฐานนั้นเด็ดขาด เพราะเหตุแห่งพระโพธิญาณเท่านั้น [๖๕] พระมารดาและพระบิดาจะเป็นที่น่ารังเกียจสาหรับเราก็หาไม่ ตนของเราจะเป็นที่น่า รังเกียจก็หาไม่ แต่เพราะพระสัพพัญญุตญาณเป็นที่รักของเรา เพราะฉะนั้น เราจึงอธิษฐานองค์ ๓ ประการ นี้ [๖๖] เราอธิษฐานองค์ ๓ ประการนี้ อยู่ ๑๖ ปี บุคคลมีอธิษฐานเสมอเราไม่มี นี้ เป็นอธิษฐาน บารมีของเรา ฉะนี้ แล มูคปักขจริยาที่ ๖ จบ คาอธิบายเพิ่มเติมนามาจากบางส่วนของอรรถกถา ขุททกนิกาย จริยาปิฎก การบาเพ็ญเนกขัมมบารมีเป็นต้น ๖. มูคผักขจริยา อรรถกถามูคผักขจริยาที่ ๖ ในกาลเมื่อเราเป็นโอรสของพระเจ้ากาสี. ในกาลนั้น ชื่อว่ามูคผักขะ. ชนทั้งหลายเรียกเราว่าเตมิ ยะ. ชนทั้งหลายทั้งปวงตั้งแต่พระมารดาพระบิดาเป็นต้นเรียกเราว่ามูคผักขะ เพราะอธิษฐานเป็นคนใบ้และ เป็นคนง่อยเปลี้ย. อนึ่ง เพราะพระมหาสัตว์นั้นยังหทัยของพระราชาและของอามาตย์เป็นต้นให้ชุ่ม อันเกิดด้วยปีติ
  • 3. 3 และสิเนหาอย่างยิ่ง ฉะนั้นจึงได้พระนามว่า เตมิยกุมาร. พระศาสดาทรงแสดงว่า โดยวันคืนล่วงไปๆ เราเกิดผู้เดียว คือโดยวันคืนน้อมล่วงไปไม่น้อย เพราะล่วงไปหลายปี เราผู้เดียวเท่านั้นที่ท้าวสักกะประทานให้แด่พระราชาพระองค์นั้นผู้ไม่มีโอรส เราเที่ยว แสวงหาโพธิญาณ ในกาลนั้นได้เกิดเป็นโอรสของพระราชา. ในจริยานั้นมีเรื่องราวเป็นลาดับดังต่อไปนี้ . ในอดีตกาลครั้ง พระเจ้ากาสีครองราชสมบัติอยู่ในกรุงพาราณสี. พระองค์มีสนม ๑๖,๐๐๐ นาง. ในสนมเหล่านั้นไม่ได้บุตรหรือธิดาแม้แต่คนเดียว. ชาวพระนครเกิดเดือดร้อนว่า พระโอรสแม้องค์เดียวที่จะรักษาราชวงศ์ของพวกเราไม่มีเลย จึง ประชุมกัน ทูลพระราชาว่า ขอพระองค์จงปรารถนาพระโอรสเถิดพระเจ้าข้า. พระราชาทรงรับสั่งกะสนม ๑๖,๐๐๐ นางว่า พวกเจ้าจงปรารถนาบุตรเถิด. พวกสนมเหล่านั้น ทาการบวงสรวงพระจันทร์เป็นต้น แม้ปรารถนาก็ไม่ได้บุตร. ฝ่ายพระจันทาเทวี พระธิดาของพระเจ้ามัททราช อัครมเหสีของพระราชานั้น พระนางสมบูรณ์ ด้วยศีล. พระราชาตรัสว่า แม้เธอก็จงปรารถนาโอรสเถิด. ในวันเพ็ญ พระนางรักษาอุโบสถระลึกถึงศีลของ ตนทรงตั้งสัจจกิริยาว่า หากเรามีศีลไม่ขาด ด้วยสัจจะของเรานี้ ขอให้โอรสเกิดเถิด. ด้วยเดชแห่งศีลของนางนั้น อาสนะของท้าวสักกะแสดงอาการร้อน. ท้าวสักกะทรงราพึงก็ทรงทราบเหตุนั้น จึงดาริว่า เราจักอนุเคราะห์นางจันทาเทวีให้ได้โอรส ทรงใคร่ครวญถึงโอรสผู้สมควรแก่พระเทวีนั้น ทรงเห็นพระโพธิสัตว์ผู้ประสงค์จะอุบัติในดาวดึงสพิภพดารง อยู่บนดาวดึงสพิภพนั้นตราบเท่าอายุแล้วจุติจากนั้น ไปบังเกิดในเทวโลกสูงขึ้นไป จึงเสด็จเข้าไปหาพระ โพธิสัตว์ ตรัสว่า ดูก่อนสหาย เมื่อท่านเกิดในมนุษยโลก บารมีเหล่านั้นจักบริบูรณ์ ความเจริญจักมีแก่ มหาชน พระนางจันทาอัครมเหสีของพระเจ้ากาสีทรงปรารถนาพระโอรส ขอให้ท่านจงไปอุบัติในพระครรภ์ ของพระนางนั้นเถิด. พระโพธิสัตว์รับเทวดารัส แล้วจึงถือปฏิสนธิในพระครรภ์ของพระนางจันทาเทวีนั้น. เทพบุตร ๕๐๐ สหายของพระโพธิสัตว์นั้นสิ้นอายุ จุติจากเทวโลก คือปฏิสนธิในครรภ์ของภริยา อามาตย์ทั้งหลายของพระราชานั้น. พระเทวีทรงทราบว่าพระนางตั้งครรภ์แล้ว จึงกราบทูลพระราชาให้ทรงทราบ. พระราชารับสั่งให้ ดูแลพระครรภ์. พระเทวีทรงครรภ์ครบกาหนด จึงประสูติพระราชบุตรสมบูรณ์ด้วยบุญลักษณะทุกประการ. ในวันนั้นเองในเรือนของพวกอามาตย์ทั้งหลาย กุมาร ๕๐๐ ก็เกิด. พระราชาทรงสดับแม้ทั้งสองประการ ทรงดาริว่า กุมารเหล่านี้ จงเป็นบริวารโอรสของเรา จึงทรง ส่งแม่นม ๕๐๐ และส่งเครื่องประดับของกุมารให้แก่กุมาร ๕๐๐. อนึ่ง พระราชาทรงให้แม่นม ๖๔ คน ผู้มีน้านมอร่อย มีถันไม่หย่อนยาน เว้นจากโทษมีสูงเกินไป เป็นต้น แล้วทรงทาสักการะใหญ่แก่พระโพธิสัตว์. ได้ทรงประทานพรแม้แก่พระนางจันทาเทวี. พระนางจันทาเทวีทรงรับพรไว้แล้ว. พระกุมารทรงเจริญด้วยบริวารใหญ่.
  • 4. 4 ลาดับนั้น พวกแม่นมตกแต่งพระกุมารซึ่งมีพระชนม์ได้ ๑ เดือน นามาเฝ้าพระราชา. พระราชา ทรงแลดูพระโอรสน่ารัก จึงทรงสวมกอด ให้พระกุมารประทับนั่งบนพระเพลา ประทับนั่งทรงรื่นรมย์กับ พระโอรส. ในขณะนั้น โจร ๔ คนถูกนามาให้ทรงพิพากษาโทษ. ในโจร ๔ คนนั้น คนหนึ่ง พระราชาทรงตัดสินให้เฆี่ยนด้วยหวายมีหนาม ๑,๐๐๐ ครั้ง. คนหนึ่ง ใส่ตรวนส่งเข้าเรือนจา. คนหนึ่ง ให้เอาหอกทิ่มแทงบนร่างกาย. คนหนึ่ง เสียบด้วยหลาว. พระมหาสัตว์สดับคาพิพากษาของพระบิดาก็เกิดสลดใจ ทรงดาริว่า โอน่าเศร้า พระบิดาของเรา อาศัยความเป็นพระราชา กระทากรรมอันจะนาไปสู่นรก เป็นกรรมหนัก. รุ่งขึ้น พวกแม่นมให้พระมหาสัตว์บรรทมเหนือสิริไสยาสน์ที่ตกแต่งไว้ภายใต้เศวตฉัตร. พระมหาสัตว์บรรทมหลับไปได้หน่อยหนึ่ง ทรงลืมพระเนตรแลดูเศวตฉัตรทรงเห็นสิริสมบัติ ใหญ่โต. ทีนั้น พระมหาสัตว์แม้ตามปกติก็ทรงสลดพระทัยอยู่แล้ว ยิ่งเกิดความกลัวหนักขึ้น. พระมหาสัตว์ ทรงราพึงอยู่ว่า เรามาสู่พระราชวังนี้ จากไหนหนอ ครั้นทรงทราบว่ามาจากเทวโลก ด้วยทรงระลึกชาติได้ จึง ทรงตรวจดูเหนือไปจากนั้น ทรงเห็นว่า พระองค์เคยหมกไหม้อยู่ในอุสสทนรก. ทรงตรวจดูเหนือไปจากนั้น อีกทรงเห็นความที่พระองค์เป็นพระราชาอยู่ในนครนั่นเอง. ลาดับนั้น พระโพธิสัตว์บรรทมดาริว่า เราครองราชสมบัติอยู่ ๒๐ ปี หมกไหม้อยู่ในอุสสทนรก ๘๐,๐๐๐ ปี. บัดนี้ เราเกิดในเรือนโจรนี้ เอง. แม้พระบิดาของเราเมื่อวานนี้ เมื่อเขานาโจรมา ๔ คน ก็ตรัส พระดารัสรุนแรงถึงปานนั้น อันจะทาให้ตกนรก. เราไม่ต้องการราชสมบัติอันจะนาความพินาศอย่างใหญ่ หลวง ซึ่งยังไม่ปรากฏนี้ มา. เราจะพึงพ้นไปจากเรือนโจรนี้ ได้อย่างไรหนอ. ลาดับนั้น เทพธิดาองค์หนึ่งได้ปลอบพระโพธิสัตว์นั้นว่า พ่อเตมิยกุมาร พ่ออย่ากลัว. ความ ปลอดภัยจักมีแก่ท่านเพราะอธิษฐานองค์ ๓. พระมหาสัตว์สดับดังนั้นมีพระประสงค์จะพ้นจากความพินาศ คือราชสมบัติ จึงทรงอธิษฐาน องค์ ๓ ตลอด ๑๖ ปี ด้วยความอธิษฐานไม่หวั่นไหว. พระเจ้ากาสี พระบิดาของเราให้เรานอนบนที่สิริไสยาสน์ภายใต้เศวตฉัตร ตั้งแต่เราเกิดให้เลี้ยง ดูเรากับด้วยบริวารใหญ่ โดยพระดารัสว่า ธุลีหรือน้าค้าง จงอย่าต้องกุมารนั้น. เรานอนอยู่บนที่นอนอัน ประเสริฐ ตื่นขึ้นแล้วมองดูได้เห็นเศวตฉัตรสีขาว. เกิดความสะดุ้งน่ากลัว เพราะเป็นโทษที่ปรากฏชัดเจน แล้ว. ตรึกตรองอย่างนี้ ว่า เราจะปลดเปลื้องราชสมบัติอันเป็นกาลกรรณีได้อย่างไรหนอ. เทพธิดาผู้เป็นมารดาของเราในอัตภาพหนึ่ง สิงสถิตอยู่ในเศวตฉัตรนั้น เป็นผู้ใคร่ประโยชน์ แสวงหาประโยชน์แก่เรา. จึงแนะนาให้เราประกอบในเหตุที่จะออกจากทุกข์ในราชสมบัติ ๓ ประการ คือ เป็นใบ้ เป็นคนง่อยเปลี้ย เป็นคนหนวก. เมื่อพระมหาสัตว์ทรงตั้งอยู่ในนัยที่เทพธิดาให้ไว้ แล้วทรงแสดงพระองค์ด้วยความเป็นใบ้เป็น ต้น ตั้งแต่ปีที่ประสูติ พระมารดาพระบิดาและพวกนางนมเป็นต้นคิดว่าธรรมดาปลายคางของคนใบ้ ช่องหู ของคนหนวก มือเท้าของคนง่อยเปลี้ย มิได้เป็นอย่างนี้ . ในเรื่องนี้ พึงมีเหตุ. เราจักทดลองพระกุมารนี้ ดู. คิด ว่า เราจักทดลองด้วยน้านมก่อน จึงไม่ให้น้านมตลอดวัน. พระกุมารนั้นแม้ซูบซีดก็มิได้ร้องเพื่อต้องการ
  • 5. 5 น้านม. ลาดับนั้น พระมารดาของพระกุมาร ทรงดาริว่า ลูกของเราคงหิว. พวกเจ้าจงให้น้านมแก่ลูกเรา เถิด แล้วให้พวกแม่นมให้น้านม. พวกแม่นมไม่ให้น้านมเป็นระยะๆ อย่างนี้ แม้ทดลองอยู่ปีหนึ่งก็ยังไม่เห็น ช่องทาง. แต่นั้นพวกแม่นมคิดว่า ธรรมดาเด็กย่อมชอบขนมและของเคี้ยว. ชอบผลาผล. ชอบของเล่น. ชอบอาหาร จึงนาของปลอบใจเหล่านั้นๆ เข้าไปให้ ปลอบใจด้วยการทดลองก็ไม่เห็นช่องทางตลอด ๕ ปี. ลาดับนั้น พวกแม่นมคิดว่า ธรรมดาเด็กย่อมกลัวไฟ กลัวช้างตกมัน กลัวงู กลัวคนเงื้อดาบ. เรา จักทดลองด้วยเหตุเหล่านั้น จึงตระเตรียมดังกล่าวโดยที่มิให้เกิดความเสียหายแก่พระกุมารด้วยอาการ เหล่านั้นได้ แล้วให้เข้าไปแสดงโดยอาการอันน่ากลัวอย่างยิ่ง. พระมหาสัตว์ทรงราพึงถึงภัยในนรก จึงไม่หวั่นไหวด้วยทรงเห็นว่า นรกน่ากลัวยิ่งกว่านี้ ร้อยเท่า พันเท่า แสนเท่า. พวกแม่นมทดลองอยู่แม้อย่างนี้ ก็ไม่เห็นช่องทาง จึงคิดว่า ธรรมดาเด็กต้องการดูมหรสพ จึงให้สร้างโรงมหรสพ เอาม่านกั้นพระมหาสัตว์ แล้วให้ประโคมด้วยเสียงสังข์และเสียงกลองให้กึกก้องเป็น อันเดียวกันในทันที ณ ข้างทั้ง ๒ ของพระกุมารผู้ไม่รู้เรื่องเลย จุดตะเกียงส่องในที่มืด ให้แสงสว่าง เอา น้าอ้อยทาทั่วตัวให้นอนในที่มีแมลงวันชุม ไม่ให้อาบน้าเป็นต้น เข้าไปคอยดูกุมารนอนบนอุจจาระ ปัสสาวะ. เสียดสีด้วยการเยาะเย้ย และด่าว่า กุมารซึ่งนอนจมมูตรและกรีส. ทากระเบื้องไฟไว้ใต้เตียง แล้วเผาให้ร้อน บ้าง. แม้ทดลองอยู่ด้วยอุบายหลายๆ อย่าง อย่างนี้ ก็ไม่เห็นช่องทางของพระกุมารนั้น. พระมหาสัตว์ทรงราพึงถึงภัยในนรกเท่านั้น ในที่ทั้งปวงไม่ทรงทาลายการตั้งใจ ไม่ไหวติง. พวก แม่นมทดลองอย่างนี้ ถึง ๑๕ ปี ครั้นพระชนม์ได้ ๑๖ พระพรรษา พวกแม่นมคิดว่า คนง่อยเปลี้ยก็ตาม คนใบ้ คนหนวกก็ตาม จะไม่กาหนัดในสิ่งควรกาหนัด จะไม่อยากเห็นในสิ่งควรเห็น ย่อมไม่มี เพราะฉะนั้น เราจะ หานาฏศิลป์มาทดลองพระกุมาร จึงเอาน้าหอมอาบพระกุมาร ประดับประดาดุจเทพบุตรเชิญขึ้นบน ปราสาท อันมีแต่ความบันเทิงเบิกบานอย่างเดียว ด้วยดอกไม้ของหอมและพวงมาลัยเป็นต้นเหมือนเทพ วิมาน จึงให้สตรีล้วนมีรูปร่างงดงาม พราวด้วยเสน่ห์ เปรียบด้วยเทพอัปสรคอยบาเรอว่า พวกเจ้าจงให้พระ กุมารอภิรมย์ด้วยความเป็นของเที่ยงเป็นต้น. สตรีเหล่านั้นต่างก็พยายามเพื่อจะเข้าไปทาตามนั้น. พระกุมาร เพราะพระองค์สมบูรณ์ด้วยพระปัญญา จึงทรงกลั้นลมอัสสาสะปัสสาสะด้วยทรงหวัง ว่า สตรีเหล่านี้ อย่าได้สัมผัสร่างกายของเราเลย. สตรีเหล่านั้น เมื่อไม่ได้สัมผัสร่างกายของพระกุมาร จึงคิด ว่า พระกุมารนี้ มีพระวรกายกระด้าง คงไม่ใช่มนุษย์แน่. คงจักเป็นยักษ์ จึงพากันกลับไป. พระมารดาพระบิดา ไม่ทรงสามารถที่จะยึดถือได้ด้วยการทดลองใหญ่ ๑๖ ครั้ง และด้วยการ ทดลองเล็กๆ น้อยๆ อีกหลายครั้งตลอด ๑๖ ปีอย่างนี้ จึงทรงขอร้องต่างๆ กันและหลายครั้งว่า เตมิยกุมาร ลูกรัก พ่อและแม่รู้ว่าลูกไม่เป็นใบ้ เพราะปาก หูและเท้าอย่างนี้ มิใช่ของคนใบ้ คนหนวกและคนง่อยเปลี้ย เลย. ลูกเป็นบุตรที่พ่อและแม่ปรารถนาจะได้มา ลูกอย่าให้พ่อแม่ต้องพินาศเสียเลย จงปลดเปลื้องข้อครหา จากราชสานักในชมพูทวีปทั้งสิ้นเถิด. พระกุมารนั้น แม้พระมารดาพระบิดาทรงขอร้องอยู่อย่างนี้ ก็บรรทมทาเป็นไม่ได้ยิน.
  • 6. 6 ลาดับนั้น พระราชารับสั่งให้บุรุษผู้ฉลาดตรวจดูพระบาททั้งสอง ช่องพระกรรณทั้งสอง พระ ชิวหาและพระหัตถ์ทั้งสองแล้ว ทรงสดับคาที่อามาตย์กราบทูลว่า บัดนี้ ผู้ชานาญการทายลักษณะ กล่าวว่า ผิว่า พระบาทเป็นต้นของพระกุมารนี้ เหมือนของคนไม่ง่อยเปลี้ยเป็นต้น พระกุมารนี้ ก็จะไม่เป็นง่อยเปลี้ย ใบ้และหนวกจริง. เห็นจะเป็นกาลกรรณี. เมื่อคนกาลกรรณีเช่นนี้ อยู่ในพระราชวัง จะปรากฏอันตราย ๓ อย่าง คืออันตรายของชีวิต ๑ อันตรายของเศวตฉัตร ๑ อันตรายของพระมเหสี ๑. แต่ในวันประสูติเพื่อมิให้ พระองค์ทรงเสียพระทัย จึงกล่าวว่า กุมารนี้ มีบุญลักษณะครบถ้วน ทรงกลัวภัยอันตราย จึงมีพระบัญชาว่า พวกท่านจงไปให้กุมารนั้นบรรทมในรถอวมงคล นาออกทางประตูหลังแล้วฝังเสียในป่าช้าผีดิบ. พระมหาสัตว์ทรงสดับดังนั้น ทรงร่าเริงยินดีอย่างยิ่งว่า ความปรารถนาของเราเป็นเวลาช้านาน จักถึงความสาเร็จ. ดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า เราอธิษฐานองค์ ๓ ประการนี้ อยู่ ๑๖ ปี ครั้งนั้นเสนาบดีเป็น ต้น ตรวจมือเท้าลิ้นและช่องหูของเรา แล้วเห็นความไม่บกพร่องของเรา ติเตียนว่า เราเป็นคนกาลกรรณี ที นั้นชาวชนบท เสนาบดีและปุโรหิตทั้งปวง ร่วมใจกันทั้งหมด พลอยดีใจในการรับสั่งให้นาไปทิ้ง. เรานั้นได้ฟังความประสงค์ของเสนาบดีเป็นต้นนั้นแล้ว ร่าเริงดีใจ เราประพฤติตบะมาเพื่อ ประโยชน์ใด ประโยชน์นั้นจะสาเร็จแก่เรา. ชาวชนบททั้งปวง พวกราชบุรุษมีเสนาบดีและปุโรหิตเป็นหัวหน้ามาเพื่อเฝ้าพระราชา ร่วมใจกัน ทั้งหมด ไม่แสดงอาการสยิ้วหน้าที่พระราชารับสั่งให้นาเราไปทิ้งด้วยการฝังลงในแผ่นดิน เพื่อผ่านพ้น อันตราย ต่างพลอยดีใจด้วยมีสีหน้าเบิกบานว่า ดีแล้ว ควรทาทีเดียว. เมื่อพระราชามีพระบัญชาให้ฝังพระกุมารลงในแผ่นดินอย่างนี้ แล้ว พระนางจันทาเทวีทรงสดับ เรื่องราวนั้น จึงเข้าไปเฝ้าพระราชา ทูลว่า ข้าแต่พระองค์ พระองค์ทรงประทานพรให้แก่หม่อมฉัน หม่อมฉัน ยังยึดถือพรนั้นไว้. บัดนี้ ขอพระองค์โปรดประทานพรนั้นแก่หม่อมฉันเถิด. พระราชาตรัสว่า จงรับพรเถิด. พระเทวีทูลว่า ขอพระองค์ทรงประทานราชสมบัติแก่โอรสของหม่อมฉันเถิด. ตรัสว่า โอรสของ เจ้าเป็นกาลกรรณี. เราไม่อาจให้ได้ดอก. ทูลว่า ข้าแต่พระองค์ เมื่อพระองค์ไม่ทรงให้ตลอดชีวิต ก็ขอโปรด ให้ ๗ ปีเถิด. ตรัสว่า ก็ไม่อาจให้ได้อีก. ทูลว่า ขอได้โปรดให้ ๖ ปี ๕ ปี ๔ ปี ๓ ปี ๒ ปี ๑ ปี ๗ เดือน ๖ เดือน ๕ เดือน ๔ เดือน ๓ เดือน ๒ เดือน ๑ เดือน ครึ่งเดือน ๗ วันเถิด. ตรัสว่า ดีแล้วจงรับได้. พระเทวีตกแต่งพระโอรส ทรงให้ตีกลองป่าวประกาศในพระนครว่า นี้ เป็นราชสมบัติของเตมิย กุมาร แล้วให้พระโอรสขึ้นคอช้าง ยกเศวตฉัตรให้พระโอรส ซึ่งทาประทักษิณพระนครเสด็จกลับมา แล้ว บรรทม ณ สิริไสยาสน์ที่ตกแต่งแล้ว ทรงขอร้องอยู่ตลอดคืนว่า พ่อเตมิยะ แม่นอนไม่หลับมา ๑๖ ปีแล้ว เพราะอาศัยลูกร้องจนนัยน์ตาแม่บวมแล้ว. หัวใจของแม่เพียงจะแตกด้วยความเศร้าโศก. แม่รู้ว่าลูกไม่ง่อย เปลี้ยเป็นต้น ลูกอย่าทาให้แม่หมดที่พึ่งเลย. พระเทวีขอร้องโดยทานองนี้ ล่วงไป ๖ วัน. ในวันที่ ๖ พระราชาตรัสเรียกสุนันทสารถีมา แล้วตรัสว่า พรุ่งนี้ เจ้าจงนาพระกุมารโดยรถ อวมงคลออกไปแต่เช้าตรู่ ฝังลงในแผ่นดินที่ป่าช้าผีดิบ กลบดินให้เรียบ แล้วจงกลับ.
  • 7. 7 พระเทวีได้สดับดังนั้น ตรัสว่า ลูกเอ๋ย พระเจ้ากาสีมีพระบัญชาให้ฝังลูกที่ป่าช้าผีดิบในวันพรุ่งนี้ . พรุ่งนี้ ลูกก็จักถึงความตาย. พระมหาสัตว์ทรงสดับดังนั้น จึงร่าเริงยินดีอย่างยิ่งว่า ดูก่อนเตมิยะ เจ้าทาความเพียรมา ๑๖ ปี จะถึงที่สุดแล้ว. แต่พระหทัยของพระมารดา พระโพธิสัตว์ได้เป็นดุจมีอาการแตกสลายไป. เมื่อราตรีนั้นผ่านไป สารถีนารถมาแต่เช้าตรู่ จอดไว้ที่ประตู เข้าไปยังห้องสิริ ทูลว่า ข้าแต่พระ เทวี พระองค์อย่าทรงพิโรธหม่อมฉันเลย. หม่อมฉันทาตามพระราชบัญชา แล้วผลักพระเทวีด้วยหลังมือ ซึ่ง บรรทมกอดพระโอรสออก แล้วอุ้มพระกุมารลงจากปราสาท. พระเทวีทรงทุบพระอุระ ทรงพระกันแสงร่าไห้ด้วยพระสุรเสียงดัง ทรงล้มลงบนพื้นกว้าง. ลาดับนั้น พระมหาสัตว์ทรงมองดูพระมารดา ทรงดาริว่า เมื่อเราไม่พูด พระมารดาจักเศร้าโศก สุดกาลัง แม้อยากจะพูดแต่ก็อดกลั้นไว้ด้วยพระดาริว่า หากเราจักพูด ความพยายามที่เราทามาตลอด ๑๖ ปีก็จะเป็นโมฆะ. แต่เมื่อเราไม่พูด จักเป็นปัจจัยแก่ตัวเราและแก่พระมารดาพระบิดา. สารถีคิดว่า เราจักนาพระมหาสัตว์ขึ้นรถ แล้วจักแล่นรถไป มุ่งไปทางประตูทิศตะวันตก แต่กลับ แล่นมุ่งไปทิศตะวันออก. รถออกจากพระนครด้วยอานุภาพของเทวดา แล่นไปยังที่ประมาณ ๓ โยชน์. พระมหาสัตว์ทรงยินดีเป็นที่ยิ่ง. แนวป่า ณ ที่นั้น ได้ปรากฏแก่สารถีดุจป่าช้าผีดิบ. สารถีคิดว่า ที่นี้ ดีแล้ว จึงหยุดรถจอดไว้ข้างทางแล้วลงจากรถ เปลื้องเครื่องประดับของพระมหาสัตว์ออกห่อวางไว้ ถือเอา จอบ เริ่มขุดหลุมไม่ไกลนัก. ดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า ราชบุรุษทั้งหลายอาบน้าให้เรา ไล้ทาด้วยของหอม สวมราช มงกุฎราชาภิเษกแล้ว มีฉัตรที่บุคคลถือไว้ให้ทาประทักษิณพระนคร ดารงเศวตฉัตรอยู่ ๗ วัน พอดวงอาทิตย์ ขึ้น สารถีอุ้มเราขึ้นรถเข้าป่า สารถีหยุดรถไว้ ณ โอกาสหนึ่ง ปล่อยรถเทียมม้าพอพ้นมือ ก็ขุดหลุมเพื่อจะฝัง เราเสีย ในแผ่นดิน. บัดนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้า เพื่อทรงแสดงถึงประโยชน์ที่พระองค์อธิษฐาน ประพฤติสิ่งที่ทาได้ ยากตลอด ๑๖ ปี ด้วยอธิษฐานเป็นใบ้เป็นต้น จึงตรัสสองคาถาว่า พระราชาทรงคุกคามการอธิษฐาน ที่เรา อธิษฐานไว้ด้วยเหตุต่างๆ แต่เราไม่ทาลายการอธิษฐานนั้น เพราะเหตุแห่งโพธิญาณนั่นเอง เราจะเกลียด พระมารดาพระบิดาก็หามิได้ เราจะเกลียดตนเองก็หามิได้ แต่พระสัพพัญญุตญาณเป็นที่รักของเรา เพราะฉะนั้นแหละ เราจึงอธิษฐานองค์ ๓. ลาดับนั้น พระมหาสัตว์ เมื่อสุนันทสารถีกาลังขุดหลุม คิดว่านี้ เป็นการพยายามของเรา จึงลุก ขึ้นแล้วบีบพระหัตถ์และพระบาทของพระองค์ ทรงทราบว่าเรามีกาลังอยู่ จึงทรงดาริจะเสด็จลงจากรถ. ทันใดนั้นเอง ที่วางพระบาทของพระมหาสัตว์ก็ผุดขึ้นดุจถุงหนังเต็มด้วยลมตั้งขึ้นจรดท้ายรถ. พระมหาสัตว์เสด็จลง ทรงดาเนินไปๆ มาๆ เล็กน้อย ทรงทราบว่า เรามีกาลังพอที่จะไปได้ แม้ตั้ง ๑๐๐ โยชน์ จึงทรงจับรถข้างท้ายแล้วยกขึ้นดุจยานน้อยสาหรับเด็กเล่น ทรงสังเกตว่า หากสารถีจะพึงทาร้ายเรา. เราก็มีกาลังพอที่จะป้องกันการทาร้ายได้ ทรงคิดที่จะตกแต่งพระองค์. ขณะนั้นเอง ภพของท้าวสักกะแสดงอาการร้อน. ท้าวสักกะทรงทราบเหตุนั้น จึงมีเทวบัญชากะ วิษณุกรรมว่า ท่านจงไปตกแต่งพระโอรสของพระเจ้ากาสี.
  • 8. 8 วิษณุกรรมรับเทวบัญชาแล้ว จึงตกแต่งพระมหาสัตว์นั้นด้วยเครื่องอลังการอันเป็นของทิพย์และ ของมนุษย์ ดุจท้าวสักกะ. พระมหาสัตว์เสด็จไปยังสถานที่ที่สารถีกาลังขุดหลุม ด้วยเทพลีลาประทับยืนริมหลุมตรัสว่า ดูก่อนสารถี ท่านรีบร้อนขุดหลุมไปทาไม ดูก่อนสหาย เราถามท่าน ขอท่านจงบอกเราเถิดว่า ท่านจักทา อะไรแก่หลุม. สารถีมิได้เงยหน้าดู กล่าวว่า พระโอรสของพระราชา เป็นใบ้ ง่อยเปลี้ย ไม่มีความรู้สึก. พระราชามีพระบัญชาให้เราฝังพระโอรสนั้นในป่า. พระมหาสัตว์ ตรัสว่า ดูก่อนสารถี เราไม่หนวก ไม่ใบ้ ไม่ง่อยเปลี้ยและไม่วิกล หากท่านฝังเราใน ป่า ท่านพึงทาสิ่งที่ไม่ชอบธรรม. ดูก่อนสารถี ท่านจงดู ขาและแขนของเรา และจงฟังเราพูด. หากท่านฝังเราในป่า ท่านพึงทา สิ่งที่ไม่ชอบธรรม. สารถีนั้นหยุดขุดหลุมแหงนดู เห็นรูปสมบัติของพระมหาสัตว์ ไม่รู้ว่าเป็นมนุษย์หรือเทวดา จึง ถามว่า ท่านเป็นเทวดา เป็นคนธรรพ์ หรือเป็นท้าวสักกะจอมเทพ. ท่านเป็นใคร เป็นลูกของใคร เราจะรู้จัก ท่านได้อย่างไร. พระมหาสัตว์จึงทรงแสดงธรรม โดยนัยมีอาทิว่า เราไม่ใช่เทวดา ไม่ใช่คนธรรพ์ ไม่ใช่ท้าวสักกะ เราเป็นโอรสของพระเจ้ากาสี ที่ท่านจะฝังในหลุมนี้ แหละ. ท่านอาศัยเราผู้เป็นโอรสของพระราชาพระองค์นั้น เป็นอยู่. ดูก่อนสารถี หากท่านฝังเราในป่า ท่านพึงทาสิ่งที่ไม่ชอบธรรม. บุคคลพึงนั่งหรือพึงนอนใต้ร่ม ไม้ใด ไม่พึงหักกิ่งไม้นั้น เพราะผู้ทาลายมิตร เป็นคนลามก. พระราชาเหมือนต้นไม้ เราเหมือนกิ่งไม้. ดูก่อนสารถี ท่านเหมือนบุรุษที่เข้าไปอาศัยร่มเงา. หากท่านฝังเราในป่า ท่านพึงทาสิ่งที่ไม่ ชอบธรรม. แล้วสารถีก็ทูลวิงวอนเพื่อขอให้พระโพธิสัตว์เสด็จกลับ จึงตรัสถึงเหตุที่ไม่กลับ และความพอใจ ในการบรรพชา ตลอดถึงเรื่องราวของพระองค์ในภพที่ล่วงไปแล้วมีภัยในนรกเป็นต้น เพราะเหตุแห่งความ พอใจในการบรรพชานั้นโดยพิสดาร. แม้เมื่อสารถีนั้นประสงค์จะบวช เพราะธรรมกถานั้น และเพราะการปฏิบัตินั้น จึงตรัสคาถานี้ ว่า ดูก่อนสารถี ท่านจงนารถกลับไป แล้วเป็นคนไม่มีหนี้ กลับมา เพราะบรรพชาเป็นของคนไม่มีหนี้ . ข้อนี้ ฤๅษี ทั้งหลายสรรเสริญแล้ว. แล้วก็ทรงส่งสารถีกลับไปแจ้งแด่พระราชา. สารถีนารถและเครื่องอาภรณ์ไปเฝ้าพระราชา ทูลความนั้นให้ทรงทราบ. ในทันใดนั้นเอง พระราชาทรงดาริว่า เราจักไปหาพระมหาสัตว์จึงเสด็จออกจากพระนคร พร้อม ด้วยจตุรงคเสนา นางสนมและชาวพระนคร ชาวชนบท. แม้พระมหาสัตว์ ครั้นทรงส่งสารถีกลับไปแล้ว ก็มีพระประสงค์จะทรงผนวช. ท้าวสักกะทรง ทราบจิตของพระโพธิสัตว์ จึงมีเทวบัญชากะวิษณุกรรมว่า เตมิยบัณฑิตประสงค์จะทรงผนวช ท่านจงเนรมิต
  • 9. 9 อาศรมบทและเครื่องบริขารของบรรพชิตให้แก่พระมหาสัตว์นั้น. วิษณุกรรมจึงไปเนรมิตอาศรมในราวป่าประมาณ ๓ โยชน์ ทาให้สมบูรณ์ด้วยที่พักกลางคืน ที่ พักกลางวัน ที่จงกรม สระโบกขรณี ผลไม้และต้นไม้ และเนรมิตเครื่องบริขารของบรรพชิตทั้งปวง เสร็จแล้ว กลับที่อยู่ของตน. พระโพธิสัตว์ทอดพระเนตรเห็นดังนั้น ทรงทราบว่าท้าวสักกะประทานให้ จึงเสด็จเข้าสู่ บรรณศาลา เปลื้องผ้าออก ถือเพศเป็นดาบส นั่งบนเครื่องลาดทาด้วยไม้ ยังสมาบัติ ๘ และอภิญญา ๕ ให้ เกิด ประทับนั่งในอาศรมด้วยความสุขในการบรรพชา. แม้พระเจ้ากาสีก็เสด็จไปตามทางที่สารถีได้ทูลไว้ แล้วเสด็จเข้าสู่อาศรม. พระมหาสัตว์ทรง ร่วมกันปฏิสันถาร แล้วทรงเชื้อเชิญให้ครองราชสมบัติ. เตมิยบัณฑิตทรงปฏิเสธแล้วทูลให้พระราชาเกิด สังเวชด้วยธรรมิกถาปฏิสังยุต ด้วยความเป็นของไม่เที่ยงเป็นต้น และปฏิสังยุตด้วยโทษของกามอันเป็นของ ต่าช้าด้วยอาการหลายอย่าง. พระราชาทรงสลดพระทัย ทรงเบื่อหน่ายในการครองเรือน มีพระประสงค์จะทรงผนวช จึงตรัส ถามพวกอามาตย์และสนมทั้งหลาย. แม้ทั้งหมดก็ประสงค์จะบวช. ลาดับนั้น พระราชาทรงทราบว่า นางสนมกานัลใน ๑๖,๐๐๐ คน ตั้งแต่พระนางจันทาเทวีเป็น ต้น และพวกอามาตย์เป็นต้น ประสงค์จะบวช จึงรับสั่งให้ตีกลองป่าวประกาศในพระนครว่า ผู้ใดประสงค์จะ บวชในสานักพระโอรสของเรา ผู้นั้นก็จงบวชเถิด. ทรงให้เปิดห้องพระคลังทองเป็นต้นแล้วทรงบริจาค. อนึ่ง ชาวพระนครละทิ้งตลาดอันยาวเหยียดและปิดประตูเรือนไปเฝ้าพระราชา. พระราชาทรง ผนวชในสานักของพระมหาสัตว์ พร้อมด้วยมหาชน. อาศรมบทประมาณ ๓ โยชน์ที่ท้าวสักกะประทานเต็ม พอดี. พระราชาสามนตราชทั้งหลายได้ทรงสดับว่า พระเจ้ากาสีทรงผนวช จึงดาริว่าจักยึดราชสมบัติ ในกรุงพาราณสี จึงเสด็จเข้าพระนคร ทรงเห็นพระนครเช่นกับเทพนครและพระราชนิเวศน์เช่นกับเทพวิมาน เต็มไปด้วยรัตนะ ๗ ประการ ทรงคิดว่าจะพึงมีภัยเพราะอาศัยทรัพย์นี้ เสด็จออกกลับไปในทันใดนั้นเอง. พระมหาสัตว์ทรงสดับการมาของพระราชาเหล่านั้น จึงเสด็จไปชายป่าประทับนั่ง ทรงแสดง ธรรมอยู่บนอากาศ. พระราชาเหล่านั้นทั้งหมด พร้อมด้วยบริวารก็พากันบวชในสานักของพระโพธิสัตว์นั้น. ด้วยประการฉะนี้ ได้เป็นมหาสมาคมอื่นๆ อีกมากมาย. ฤๅษีทั้งหมดบริโภคผลาผล แล้วบาเพ็ญสมณธรรม. ผู้ใดวิตกถึงกามวิตกเป็นต้น พระโพธิสัตว์ ทรงทราบจิตของผู้นั้น แล้วเสด็จไป ณ ที่นั้น ประทับนั่งแสดงธรรมบนอากาศ. พระราชานั้นทรงได้สัปปายะในการฟังธรรม จึงยังสมาบัติและอภิญญาให้เกิด. แม้ผู้อื่นๆ ก็เป็น อย่างนี้ ด้วยประการฉะนี้ ทั้งหมดเมื่อสิ้นชีวิตก็ไปบังเกิดในพรหมโลก. แม้สัตว์เดียรัจฉานทั้งหลายที่มีใจเลื่อมใสในพระมหาสัตว์ แม้ในหมู่ฤๅษีก็ไปบังเกิดในสวรรค์ชั้น กามภูมิ ๖ ชั้น. พรหมจรรย์ของพระมหาสัตว์ยังเป็นไปอยู่ ตลอดกาลยาวนาน.
  • 10. 10 เทพธิดาสิงสถิตอยู่ ณ เศวตฉัตรในครั้งนั้นได้เป็นนางอุบลวรรณาในครั้งนี้ . สารถี คือพระสารีบุตรเถระ. พระมารดาพระบิดา คือตระกูลมหาราช. บริษัททั้งหลาย คือพุทธบริษัท. เตมิยบัณฑิต คือพระโลกนาถ. อธิษฐานบารมีของพระมหาสัตว์นั้นถึงที่สุดในจริยานี้ . แม้บารมีที่เหลือพึงเจาะจงกล่าวตามสมควร. อนึ่ง พึงประกาศคุณานุภาพมีอาทิอย่างนี้ คือ ความกลัวนรกตั้งแต่ประสูติได้หนึ่งเดือน. ความกลัวบาป. ความรังเกียจราชสมบัติ. การ อธิษฐานความเป็นใบ้เป็นต้นอันมีเนกขัมมะเป็นนิมิต และความไม่หวั่นไหวแม้ในการประชุมวิโรธิปัจจัย (ข้าศึก, ผู้ทาร้าย). จบอรรถกถามูคผักขจริยาที่ ๖ จบอธิษฐานบารมี -----------------------------------------------------