SlideShare a Scribd company logo
1
ธัมมัทธชชาดก
พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]
ขุททกนิกาย ชาดก ภาค ๑
๑๐. ธัมมัทธชชาดก (จากพระไตรปิฎก ลาดับเรื่องที่ ๒๒๐)
ว่าด้วยผู้มีธรรมเป็ นธงชัย
(ท้าวสักกะตรัสถามปุโรหิตโพธิสัตว์ว่า)
[๑๓๙] ท่านดูเหมือนอยู่เป็นสุข ท่านจากบ้านเมืองมาสู่ป่าแห้งแล้ง
นั่งเพ่งพินิจคิดอะไรอยู่ผู้เดียวที่โคนไม้ เหมือนคนกาพร้า
(ปุโรหิตโพธิสัตว์กล่าวว่า)
[๑๔๐] ข้าพเจ้ามีชีวิตอยู่อย่างเป็นสุข
ข้าพเจ้าจากบ้านเมืองมาสู่ป่าแห้งแล้ง หวนระลึกถึงธรรมของสัตบุรุษ
นั่งพินิจคิดอยู่แต่ผู้เดียวที่โคนไม้ เหมือนคนกาพร้า
ธัมมัทธชชาดกที่ ๑๐ จบ
พีรณถัมภกวรรคที่ ๗ จบ
-----------------------------
คาอธิบายเพิ่มเติมนามาจากบางส่วนของอรรถกถา
ธัมมัทธชชาดก
ว่าด้วย ผู้ถึงธรรมของสัตบุรุษ
พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร
ทรงปรารภพระเทวทัตพยายามปลงพระชนม์พระองค์ ตรัสพระธรรมเทศนานี้
ดังนี้.
ความย่อว่า พระศาสดาตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
เทวทัตพยายามฆ่าเรา ในบัดนี้เท่านั้นก็หามิได้
แม้เมื่อก่อนก็พยายามฆ่าเราเหมือนกัน แต่ไม่อาจทาแม้เพียงความสะดุ้งสะเทือน
จึงนาเรื่องอดีตมาตรัสเล่า.
ในอดีตกาล พระราชาพระนามว่า ยศปาณี เสวยราชสมบัติ
อยู่ในกรุงพาราณสี มีเสนาบดีชื่อ กาฬกะ.
ในครั้งนั้น พระโพธิสัตว์ได้เป็นปุโรหิตของพระเจ้ายศปาณีนั้นชื่อธรรมธัช.
ส่วนกัลบกผู้แต่งพระศกของพระองค์ชื่อ ฉัตตปาณี.
พระราชาทรงครองราชสมบัติโดยธรรม. แต่เสนาบดีของพระองค์
เมื่อจะวินิจฉัยคดีย่อมกินสินบน รับสินบนแล้ว
ย่อมทาผู้ที่มิใช่เจ้าของให้เป็นเจ้าของ ดุจคนคอยกินเนื้อสันหลังของผู้อื่น.
อยู่มาวันหนึ่ง มนุษย์คนหนึ่งถูกตัดสินให้แพ้คดีที่ศาล ประคองแขน
สะอึกสะอื้นออกจากศาล เห็นพระโพธิสัตว์กาลังไปทาราชการ
จึงซบลงที่เท้าพระโพธิสัตว์ เล่าเรื่องที่ตนแพ้คดีว่า ข้าแต่นาย
2
เมื่อคนเช่นท่านถวายอรรถและธรรมแด่พระราชายังอยู่ กาฬกะเสนาบดีรับสินบน
ทาผู้ที่ไม่เป็นเจ้าของให้เป็นเจ้าของ. พระโพธิสัตว์เกิดความสงสารกล่าวว่า
มาเถิดพ่อหนุ่ม เราจักวินิจฉัยคดีของท่านเอง แล้วพามนุษย์ผู้นั้นไปยังศาล
มหาชนประชุมกัน. พระโพธิสัตว์กลับตัดสินให้เจ้าของนั้นแหละเป็นเจ้าของ
มหาชนต่างแซ่ซร้องสาธุการ เสียงนั้นได้อึกทึกสนั่นไป.
พระราชาทรงสดับเสียงนั้นตรัสถามว่า นั่นเสียงอะไร.
ราชบุรุษกราบทูลว่า ขอเดชะ
ธรรมธัชบัณฑิตตัดสินคดีที่กาฬกะเสนาบดีตัดสินไว้ผิดให้ถูก
นั่นเป็ นเสียงแซ่ซร้องสาธุการ ณ ที่นั้น พระพุทธเจ้าข้า.
พระราชาทรงโสมนัสตรัสให้หาพระโพธิสัตว์มาตรัส ถามว่า ท่านอาจารย์ได้ยินว่า
ท่านตัดสินคดีหรือ. กราบทูลว่า ข้าแต่มหาราช ถูกแล้วพระเจ้าข้า
ท่านกาฬกะเสนาบดีตัดสินไว้ไม่ดี ข้าพระพุทธเจ้าจึงวินิจฉัยเสียใหม่ แล้วตรัสว่า
ตั้งแต่นี้ไป ขอให้ท่านจงตัดสินคดีเถิด เราจะได้สบายหู
ทั้งประชาชนจะได้มีความเจริญ แล้วทรงขอร้องว่า ท่านจงนั่งที่ตัดสินคดี
เพื่ออนุเคราะห์ต่อราษฎรเถิด.
แม้พระโพธิสัตว์ไม่ปรารถนาก็ได้ทาตามพระประสงค์.
ตั้งแต่นั้นมา พระโพธิสัตว์ก็นั่ง ณ ที่ตัดสินคดี
กระทาผู้เป็นเจ้าของให้เป็นเจ้าของ. กาฬกะเสนาบดี
เมื่อไม่ได้รับสินบนตั้งแต่นั้นมาก็เสื่อมจากลาภ
จึงเพ็ดทูลพระราชาให้บาดหมางพระโพธิสัตว์ว่า ข้าแต่มหาราช
ธรรมธัชบัณฑิตปรารถนาราชสมบัติของพระองค์. พระราชาไม่ทรงเชื่อ
ทรงห้ามว่าท่านอย่าพูดอย่างนั้น เมื่อเสนาบดีกราบทูลอีกว่า
หากพระองค์ไม่ทรงเชื่อข้าพระองค์
ขอจงทรงคอยทอดพระเนตรทางพระแกลในเวลาที่ธรรมธัชบัณฑิตมาเถิด
ที่นั้นพระองค์จะทรงเห็นพระนครทั้งสิ้นถูกธรรมธัชบัณฑิตกาไว้ในเงื้อมมือของต
น.
พระราชาทอดพระเนตรขบวนพวกลูกความของธรรมธัชบัณฑิต
ทรงเข้าใจว่าเป็นพวกของธรรมธัชบัณฑิตทั้งสิ้น ทรงแหนงพระทัย ตรัสถามว่า
เราจะทาอย่างไร เสนาบดี. กราบทูลว่า ขอเดชะ
ควรฆ่าธรรมธัชบัณฑิตพระเจ้าข้า. ตรัสว่า
เรายังไม่เห็นโทษร้ายแรงจะฆ่าเขาอย่างไรได้. กราบทูลว่า
มีอุบายอย่างหนึ่งพระเจ้าข้า. ตรัสถามว่าอุบายอย่างไร. กราบทูลว่า
ขอพระองค์ทรงยกกรรมอันเหลือวิสัยให้แก่ธรรมธัชบัณฑิตนั้น
แล้วฆ่าเขาผู้ไม่สามารถทากรรมนั้นได้เสีย โดยความผิดนั้นเถิดพระเจ้าข้า.
ตรัสถามว่า ก็กรรมอันเหลือวิสัยของธรรมธัชบัณฑิตเป็นอย่างไร.
3
กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ ธรรมดาอุทยานที่ปลูกสร้างในพื้นดินแข็งบารุงอยู่
จะให้ผลใน ๓-๔ ปี ขอพระองค์ตรัสเรียกธรรมธัชบัณฑิตนั้นมา แล้วตรัสว่า
ดูก่อนบัณฑิต เราประพาสอุทยานเก่ามานานแล้ว
บัดนี้ประสงค์จะประพาสอุทยานใหม่ พรุ่งนี้เราจะไปประพาสอุทยาน
ท่านจงสร้างอุทยานให้เราเถิด ธรรมธัชบัณฑิตนั้นคงสร้างไม่ได้เป็นแน่
ทีนั้นแหละ พระองค์จักสาเร็จโทษธรรมธัชบัณฑิตเสีย.
พระราชาตรัสเรียกพระโพธิสัตว์มาตรัสตามที่กาฬกะเสนาบดีทูลอุบาย
ทุกประการ.
พระโพธิสัตว์ทราบว่า พระราชาถูกกาฬกะเสนาบดีผู้ไม่ได้รับสินบน
เพ็ดทูลยุยงแล้ว กราบทูลว่า ขอเดชะ ข้าพระองค์สามารถจักรู้เอง กลับไปเรือน
บริโภคโภชนะอย่างดี นอนคิดตรองอยู่บนที่นอน
พิภพของท้าวสักกะได้แสดงอาการร้อน
ท้าวเธอตรวจดูก็รู้ความคิดของพระโพธิสัตว์
รีบเสด็จมาเข้าห้องอันมีสิริประทับยืนอยู่บนอากาศ ตรัสถามว่า
บัณฑิตท่านคิดอะไร พระโพธิสัตว์ถามว่า ท่านเป็นใคร. ตอบว่า
เราเป็นท้าวสักกะ. พระโพธิสัตว์จึงบอกว่า
พระราชาให้ข้าพระองค์สร้างอุทยานใหม่ ข้าพระองค์คิดว่า
จักทาอย่างไรจึงจะสร้างได้. ท้าวสักกะตรัสว่า บัณฑิตท่านอย่าคิดเลย
เราจักเนรมิตอุทยานเช่นกับสวนนันทวันและจิตรลดาให้ท่าน
ท่านจะให้สร้างที่ไหน. พระโพธิสัตว์ทูลว่า ขอจงสร้างที่โน้นเถิด.
ท้าวสักกะเนรมิตแล้ว ก็เสด็จกลับเทพนคร.
รุ่งขึ้นพระโพธิสัตว์เห็นอุทยานโดยประจักษ์แล้ว
จึงไปกราบทูลพระราชาว่า ข้าแต่มหาราช อุทยานสาหรับพระองค์สาเร็จแล้ว
ขอจงเสด็จประพาสเถิด. พระราชาเสด็จไปทอดพระเนตรเห็นอุทยาน
แวดล้อมด้วยปราการมีสีดังมโนสิลา สูง ๑๘ ศอก มีประตูหอรบครบครัน
ประดับด้วยรุกขชาตินานาพรรณ ผลิดอกออกผลสะพรั่ง
จึงตรัสถามกาฬกะเสนาบดีว่า บัณฑิตได้ทาตามคาสั่งของเราแล้ว
บัดนี้เราจะทาอย่างไรต่อไป. กราบทูลว่า ข้าแต่มหาราชเจ้า
บัณฑิตสามารถสร้างอุทยานได้โดยคืนเดียว จะไม่สามารถชิงราชสมบัติหรือ.
พระราชาตรัสถามว่า บัดนี้เราจะทาอย่างไรต่อไป. กราบทูลว่า
จะให้ทากรรมที่สุดวิสัยอย่างอื่น พระเจ้าข้า. ตรัสถาม กรรมอะไร. กราบทูลว่า
ขอจงโปรดให้สร้างสระโบกขรณีอันแล้วด้วยแก้ว ๗ ประการ พระราชารับว่า ดีละ
จึงตรัสเรียกพระโพธิสัตว์มาแล้วตรัสว่า ดูก่อนอาจารย์
อุทยานท่านได้สร้างเสร็จแล้ว ท่านจงสร้างสระโบกขรณีอันแล้วด้วยแก้ว ๗
ประการอันสมควรแก่อุทยานนี้เถิด ถ้าไม่สามารถสร้างได้ ชีวิตท่านจะหาไม่.
4
พระโพธิสัตว์กราบทูลว่า ข้าแต่มหาราช
ข้าพระองค์สามารถจักสร้างถวายได้ พระเจ้าข้า. ลาดับนั้น
ท้าวสักกะจึงเนรมิตสระโบกขรณีอันงดงามยิ่งมีท่าสนานร้อยหนึ่ง
มีเขาวงกตพันหนึ่ง ดารดาษไปด้วยดอกปทุมห้าสีเช่นกับสระโบกขรณีนันทา.
รุ่งขึ้นพระโพธิสัตว์ได้ทาสระนั้นให้ประจักษ์แล้ว จึงกราบทูลพระราชาว่า ขอเดชะ
ข้าพระพุทธเจ้าสร้างสระโบกขรณีเสร็จแล้วพระเจ้าข้า.
พระราชาทอดพระเนตรเห็นสระโบกขรณีนั้น จึงตรัสถามกาฬกะว่า
เราจะทาอย่างไรต่อไป. กราบทูลว่า ขอเดชะ
พระองค์จงสั่งให้สร้างคฤหาสน์อันคู่ควรแก่อุทยานเถิด. พระราชาตรัสว่า
ท่านอาจารย์ บัดนี้ท่านจงสร้างคฤหาสน์อันล้วนแล้วไปด้วยงาช้าง
สมควรแก่อุทยานนี้ และสระโบกขรณีเถิด หากสร้างไม่ได้ชีวิตของท่านจะหาไม่.
ครั้นแล้วท้าวสักกะก็เนรมิตคฤหาสน์ให้แก่พระโพธิสัตว์.
รุ่งขึ้นพระโพธิสัตว์ทาคฤหาสน์นั้นให้ประจักษ์
แล้วกราบทูลแด่พระราชา พระราชาทอดพระเนตรเห็นคฤหาสน์นั้นแล้ว
จึงตรัสถามกาฬกะว่า บัดนี้จะทาอย่างไรต่อไป กราบทูลว่า ข้าแต่มหาราช
ขอพระองค์จงรับสั่งให้สร้างแก้วมณีอันสมควรแก่คฤหาสน์นั้นเถิดพระเจ้าข้า.
พระราชารับสั่งให้พระโพธิสัตว์มาหาตรัสว่า
บัณฑิตท่านจงสร้างแก้วมณีอันสมควรแก่คฤหาสน์ ล้วนแล้วไปด้วยงานี้เถิด
เราจักเที่ยวเดินด้วยแสงสว่างแห่งแก้วมณี หากท่านสร้างไม่ได้
ชีวิตของท่านจะไม่มี. ครั้งนั้นท้าวสักกะเนรมิตแก้วมณีให้พระโพธิสัตว์.
รุ่งขึ้นพระโพธิสัตว์กระทาแก้วมณีนั้นให้ประจักษ์
แล้วกราบทูลแด่พระราชา พระราชาทอดพระเนตรเห็นแก้วมณีนั้น
ตรัสถามกาฬกะ บัดนี้เราจะทาอย่างไรต่อไป กาฬกะกราบทูลว่า ข้าแต่มหาราช
เห็นจะมีเทวดาคอยเนรมิตให้สิ่งที่ปรารถนาแก่พราหมณ์ธรรมธัชเป็นแน่ คราวนี้
สิ่งใดแม้เทวดาก็ไม่สามารถเนรมิตได้ ขอพระองค์จงรับสั่งสิ่งนั้นเถิด
แม้เทวดาก็ไม่สามารถเนรมิตมนุษย์ผู้ประกอบด้วยองค์ ๔ ได้ เพราะฉะนั้น
ขอพระองค์จงรับสั่งกะธรรมธัชว่า ท่านจงสร้างคนรักษาอุทยานประกอบด้วยองค์
๔ เถิด.
พระราชาตรัสเรียกพระโพธิสัตว์มาแล้วตรัสว่า ดูก่อนอาจารย์ อุทยาน
สระโบกขรณีและปราสาท
อันแล้วด้วยงาและแก้วมณีสาหรับส่องแสงสว่างแก่ปราสาท
ท่านสร้างให้แก่เราเสร็จแล้ว บัดนี้ ท่านจงสร้างคนรักษาอุทยานประกอบด้วยองค์
๔ ทาหน้าที่รักษาอุทยานแก่เราเถิด หากท่านสร้างไม่ได้ชีวิตจะไม่มี.
พระโพธิสัตว์กราบทูลว่า ขอจงยกไว้เป็นพนักงานเถิด
เมื่อข้าพระองค์ได้จักรู้เอง จึงกลับไปบ้านบริโภคอาหารอย่างดีแล้ว
5
นอนตื่นขึ้นในตอนรุ่ง นั่งคิดอยู่บนหลังที่นอนว่า
ท้าวสักกเทวราชสามารถเนรมิตแต่สิ่งที่ตนเนรมิตได้
แต่คงไม่สามารถเนรมิตคนเฝ้ าอุทยานประกอบด้วยองค์ ๔ ได้ เมื่อเป็นเช่นนี้
การตายอย่างอนาถาในป่านั่นแล ดีกว่าการตายในเงื้อมมือของผู้อื่น.
พระโพธิสัตว์มิได้บอกเล่าแก่ใครๆ ลงจากเรือนออกจากพระนคร
ทางประตูใหญ่ เข้าป่านั่งราพึงถึงธรรมของสัตบุรุษ ณ โคนต้นไม้ต้นหนึ่ง.
ท้าวสักกะทราบเหตุนั้น จึงแปลงเป็นพรานไพรเข้าไปหาพระโพธิสัตว์.
เมื่อจะตรัสถามความนี้ว่า ดูก่อนพราหมณ์ ท่านเป็ นผู้แบบบาง
ประหนึ่งว่าจะไม่เคยเห็นทุกข์ยากมาก่อนเลย
ท่านอยู่เป็นสุขแล้ว ได้ออกจากแว่นแคว้นมาสู่ป่าอันสงัดเงียบ
ท่านนั้นนั่งซบเซาอยู่ที่โคนต้นไม้แต่ผู้เดียว เหมือนคนกาพร้า.
ท้าวสักกะตรัสถามว่า ท่านคิดอะไรอยู่.
พระโพธิสัตว์ได้สดับดังนั้น จึงกล่าวคาถาที่ ๒ ว่า :-
เราอยู่เป็นสุขแล้ว ได้ออกจากแว่นแคว้นมาอยู่ป่าสงัดเงียบ
ระลึกถึงธรรมของสัตบุรุษอยู่ นั่งซบเซาอยู่ที่โคนต้นไม้แต่ผู้เดียว
เหมือนคนกาพร้า.
ลาดับนั้น ท้าวสักกะจึงตรัสถามว่า ดูก่อนพราหมณ์ เมื่อเป็นเช่นนี้
เหตุใดท่านจึงนั่งอยู่ที่นี่เล่า. พระโพธิสัตว์ตอบว่า
พระราชารับสั่งให้หาบุคคลผู้รักษาสวนประกอบด้วยองค์ ๔
แต่ข้าพเจ้าไม่อาจหาบุคคลเช่นนั้นได้ จึงคิดว่า
จะมีประโยชน์อะไรด้วยความตายในเงื้อมมือของผู้อื่น
เราจักเข้าป่าไปตายอย่างอนาถา จึงได้มานั่งอยู่ที่นี่.
ท้าวสักกะตรัสว่า ดูก่อนพราหมณ์ เราคือท้าวสักกะ
เราเนรมิตสวนให้ท่านแล้ว
แต่ไม่สามารถจะเนรมิตผู้รักษาสวนซึ่งประกอบด้วยองค์ ๔ ได้.
ช่างกัลบกผู้แต่งพระศกของพระราชาท่านชื่อว่า ฉัตตปาณี
เป็นผู้ประกอบด้วยองค์ ๔ เมื่อมีความต้องการผู้รักษาสวน
ท่านจงกราบทูลให้ทรงแต่งตั้งช่างกัลบกนั้นเป็นผู้รักษาสวนเถิด.
ท้าวสักกเทวราชประทานโอวาทแก่พระโพธิสัตว์แล้ว ทรงปลอบโยนว่า
อย่ากลัวเลย แล้วเสด็จคืนสู่เทพบุรีของพระองค์.
พระโพธิสัตว์ไปบ้านบริโภคอาหาร แล้วไปถึงประตูพระราชวัง
พบฉัตตปาณีที่ประตูพระราชวังนั้น จับมือฉัตตปาณีแล้วถามว่า
สหายฉัตตปาณีได้ข่าวว่าท่านประกอบด้วยองค์ ๔ หรือ เมื่อฉัตตปาณีถามว่า
ใครเป็นผู้บอกท่านว่า ข้าพเจ้าประกอบด้วยองค์ ๔. ตอบว่า ท้าวสักกเทวราช.
ถามว่า เหตุใดจึงบอก. พระโพธิสัตว์จึงเล่าเรื่องทั้งหมดว่า บอกด้วยเหตุนี้.
6
ฉัตตปาณีกล่าวว่า ถูกแล้ว ข้าพเจ้าเป็นผู้ประกอบด้วยองค์ ๔.
ลาดับนั้น พระโพธิสัตว์จึงจับมือฉัตตปาณีไปเฝ้ าพระราชา กราบทูลว่า
ข้าแต่มหาราช ฉัตตปาณีนี้เป็ นผู้ประกอบด้วยองค์ ๔
เมื่อมีความต้องการผู้รักษาสวน ขอจงทรงตั้งฉัตตปาณีนี้เป็นผู้รักษาสวนเถิด
พระเจ้าข้า. ลาดับนั้น พระราชาตรัสถามฉัตตปาณีว่า ได้ยินว่า
ท่านเป็นผู้ประกอบด้วยองค์ ๔ หรือ กราบทูลว่าถูกแล้ว พระเจ้าข้า
พระราชาตรัสถามว่า ท่านเป็นผู้ประกอบด้วยองค์ ๔ คืออะไรบ้าง.
ฉัตตปาณีทูลว่า :-
ขอเดชะ ข้าพระองค์เป็นผู้ไม่ริษยา เป็ นผู้ไม่ดื่มน้าเมา
เป็นผู้ไม่ติดในความรัก เป็นผู้ตั้งมั่นอยู่ในความไม่โกรธ.
ข้าแต่มหาราช ชื่อว่าความริษยาไม่มีแก่ข้าพระองค์
น้าเมาข้าพระองค์ไม่เคยดื่ม ความรักก็ดี ความโกรธก็ดี ไม่เคยมีในผู้อื่น
ข้าพระองค์ประกอบด้วยองค์ ๔ เหล่านี้.
ลาดับนั้น พระราชาตรัสถามว่า ดูก่อนฉัตตปาณี
ท่านเป็นผู้ไม่ริษยาหรือ. กราบทูลว่า ขอเดชะ ถูกแล้วพระเจ้าข้า
ข้าพระองค์เป็นผู้ไม่ริษยา. ท่านเห็นเหตุอะไรจึงเป็ นผู้ไม่ริษยา.
ฉัตตปาณีกราบทูลว่า ขอเดชะ ขอพระองค์จงทรงโปรดสดับเถิด.
เมื่อจะกล่าวถึงเหตุของการไม่ริษยา จึงกล่าวคาถานี้ว่า :-
ข้าแต่ราชะ ข้าพระพุทธเจ้าได้สั่งให้จองจาปุโรหิต เพราะหญิงเป็ นเหตุ
ปุโรหิตนั้นให้ข้าพระองค์ตั้งอยู่ในประโยชน์แล้ว เพราะฉะนั้น
ข้าพระองค์จึงไม่ริษยา.
อธิบายความแห่งคาถานั้นว่า ข้าพระองค์นี้แหละ
เมื่อก่อนเป็นพระราชาในกรุงพาราณสีนี้เอง เช่นกับพระองค์
ให้จองจาปุโรหิตเพราะสตรีเป็นเหตุ คือ
ครั้งหนึ่งช่างกัลบกฉัตตปาณีนี้เป็ นพระราชา
ถูกพระเทวีผู้ลักลอบกับพวกข้าบาทมูล ๖๔ นาย
ผู้หวังจะให้พระโพธิสัตว์ซึ่งไม่สนใจตนให้พินาศ ทูลยุยงให้จองจา
ในครั้งนั้น พระโพธิสัตว์ถูกจองจานาไปเฝ้ า
จึงกราบทูลโทษของพระเทวีตามเป็นจริง ได้รอดพ้นเอง
ได้ทูลให้ปลดปล่อยพวกข้าบาทมูล ที่รับสั่งให้จองจานั้นทั้งหมด ถวายโอวาทว่า
ข้าแต่มหาราช ขอพระองค์จงทรงนิรโทษให้แก่พวกข้าบาทมูลเหล่านั้น
และพระเทวีเถิด พระเจ้าข้า.
เรื่องราวทั้งหมดพึงทราบโดยพิสดารตามนัยที่กล่าวแล้วในหนหลัง.
ฉัตตปาณีหมายถึงความข้อนั้น จึงกล่าวว่า :-
7
ข้าแต่ราชะ เพราะหญิงเป็ นเหตุ ฯลฯ
เพราะฉะนั้น ข้าพเจ้าจึงไม่ริษยา.
ก็ในกาลนั้น พระราชาฉัตตปาณีนั้นคิดว่า
เราละเลยสนมหนึ่งหมื่นหกพัน
คลอเคลียอยู่กับพระเทวีเพียงนางเดียวเท่านั้นด้วยอานาจกิเลส
ยังไม่สามารถจะให้นางอิ่มหนาได้
ขึ้นชื่อว่าการโกรธต่อหญิงทั้งหลายที่ให้เต็มได้ยาก
อย่างนี้ก็เช่นกับการโกรธผ้านุ่งที่เศร้าหมองว่าเหตุใดจึงเศร้าหมอง
และเป็นเช่นกับการโกรธอาหารที่บริโภคแล้วกลับเป็นคูถว่าทาไมจึงก
ลับเป็นคูถ.
ต่อแต่นี้ไป เราขออธิษฐานว่า ยังไม่บรรลุอรหัตตราบใด
ขอความริษยาจงอย่าเกิดแก่เรา เพราะอาศัยกิเลสตราบนั้น ตั้งแต่นั้นมา
พระราชามิได้ทรงริษยาเลย ฉัตตปาณีกัลบกกล่าวว่า เพราะฉะนั้น
ข้าพระองค์จึงไม่ริษยา หมายถึงความข้อนี้.
ลาดับนั้น พระราชาตรัสถามว่า ดูก่อนท่านฉัตตปาณี
ท่านเห็นอารมณ์อันใด จึงเป็ นผู้ไม่ดื่มน้าเมา.
ฉัตตปาณี เมื่อจะกราบทูลถึงเหตุนั้นจึงกล่าวคาถานี้ว่า :-
ข้าแต่มหาราช ข้าพระพุทธเจ้าเมาแล้วจึงได้กินเนื้อบุตร
ข้าพระพุทธเจ้าถูกความโศกถึงบุตรนั้นกระทบแล้ว จึงเว้นการดื่มน้าเมา.
อธิบายความในคาถานั้นว่า ข้าแต่มหาราช เมื่อครั้งก่อน
ข้าพระองค์เป็นพระเจ้าพาราณสีเช่นเดียวกับพระองค์
ขาดน้าเมาเสียแล้วก็ไม่สามารถจะดาเนินชีวิตไปได้ แม้อาหารที่ไม่มีเนื้อ
ก็ไม่สามารถบริโภคได้. ที่พระนครไม่มีการฆ่าสัตว์ในวันอุโบสถ
พ่อครัวซื้อเนื้อมาเก็บไว้แต่วัน ๑๓ ค่าแห่งปักษ์. เนื้อนั้นเก็บไว้ไม่ดี
สุนัขจึงกินเสียหมด
พ่อครัวหาเนื้อในวันอุโบสถไม่ได้ จึงปรุงอาหารมีรสเลิศต่างๆ
สาหรับพระราชายกขึ้นไปบนปราสาท แต่ไม่อาจนาเข้าไปได้
จึงเข้าไปเฝ้ าพระเทวีกราบทูลว่า ข้าแต่พระเทวี วันนี้ข้าพระองค์หาเนื้อไม่ได้
จึงไม่อาจนาพระกระยาหารที่ไม่มีเนื้อเข้าไปถวายได้ ข้าพระองค์จะทาอย่างไรดี.
พระเทวีตรัสว่า นี่แน่ะเจ้า
โอรสของเราเป็ นที่รักโปรดปรานของพระราชา
พระราชาทรงเห็นโอรสของเราแล้ว ก็จะทรงจุมพิตสวมกอดโอรสนั้น
เพลินจนไม่ทรงทราบว่า เนื้อมีหรือไม่มีสาหรับพระองค์
เราจะแต่งตัวโอรสแล้วให้นั่งบนพระเพลาของพระราชา
เวลาที่พระองค์ทรงหยอกล้อพระโอรส ท่านจึงค่อยนาพระกระยาหารเข้าไปถวาย.
8
พระเทวีตรัสดังนั้นแล้ว
จึงตกแต่งพระราชกุมารโอรสของพระองค์ให้นั่งบนพระเพลาของพระราชา.
ในเวลาที่พระราชาทรงหยอกล้อเล่นกับพระโอรส
พ่อครัวจึงนาพระกระยาหารเข้าไปถวาย.
พระราชาทรงเมาสุรา ไม่ทรงเห็นเนื้อในถาด จึงตรัสถามว่า
เนื้ออยู่ที่ไหน พ่อครัวกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ ข้าพระองค์หาเนื้อไม่ได้
เพราะวันนี้เป็ นวันอุโบสถ ไม่มีการฆ่าสัตว์ จึงตรัสว่า
ชื่อว่าเนื้อสาหรับเราหาได้ยากนักหรือ
จึงทรงหักคอพระโอรสที่นั่งอยู่บนพระเพลา จนถึงสิ้นชีพีตักษัย
โยนไปข้างหน้าพ่อครัว ตรัสว่า จงไปปรุงมาโดยเร็ว. พ่อครัวได้ทาตามรับสั่ง.
พระราชาได้เสวยพระกระยาหารด้วยเนื้อพระโอรสแล้ว
มิได้มีผู้สามารถร่าไห้ทัดทานแม้แต่คนเดียว เพราะกลัวพระราชา.
พระราชา ครั้นเสวยเสร็จแล้วเสด็จเข้าห้องบรรทม ทรงตื่นบรรทม
ตอนใกล้รุ่ง ทรงสร่างเมาแล้วรับสั่งว่า จงนาโอรสของเรามา ในกาลนั้น
พระเทวีหมอบกันแสงร่าไห้อยู่ ณ แทบพระบาท เมื่อพระราชาตรัสถามว่า
กันแสงเรื่องอะไร กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์
เมื่อวานนี้พระองค์ทรงฆ่าพระโอรสแล้วเสวยพระกระยาหารกับเนื้อพระโอรสเพค
ะ. พระราชาทรงกันแสงด้วยความโศกถึงพระโอรส
ทรงเห็นโทษในการดื่มน้าเมาว่า ทุกข์นี้เกิดขึ้นแก่เรา เพราะอาศัยการดื่มน้าเมา
แล้วทรงกาฝุ่นขึ้นมาทาพระพักตร์ ทรงอธิษฐานว่า ตั้งแต่นี้ไป
เรายังไม่บรรลุพระอรหัตตราบใด
เราจักไม่ดื่มสุราอันทาความพินาศเช่นนี้ตราบนั้น. ตั้งแต่นั้นมา
พระองค์มิได้ทรงดื่มน้าเมาอีกเลย.
ลาดับนั้น พระราชาตรัสถามฉัตตปาณีว่า ฉัตตปาณี
ท่านเห็นอารมณ์อะไรหรือ จึงไม่มีความรัก.
ฉัตตปาณี เมื่อจะทูลเหตุนั้น จึงกล่าวคาถานี้ว่า :-
ข้าพระองค์เป็นพระราชา พระนามว่ากิตวาส
โอรสของข้าพระองค์ทาลายบาตรของพระปัจเจกพุทธเจ้า แล้วสิ้นชีวิต
ข้าพระองค์ไม่มีความรักเพราะโอรสนั้นเป็นเหตุ.
ความในคาถานั้นว่า
ข้าแต่มหาราช เมื่อครั้งก่อน ข้าพระองค์เป็นพระราชาพระนามว่า
กิตวาส ในกรุงพาราณสี โอรสของข้าพระองค์ได้ประสูติ. ครั้นประสูติแล้ว
โหรเห็นลักษณะพระโอรสแล้วทานายว่า ข้าแต่มหาราช พระอาญาไม่พ้นเกล้า
พระโอรสนี้จักอดน้าสิ้นพระชนม์ พระเจ้าข้า.
พระชนกชนนีทรงขนานนามพระโอรสนั้นว่า ทุฏฐกุมาร.
9
กุมารนั้นครั้นเจริญวัยแล้วได้ดารงตาแหน่งเป็ นอุปราช
พระราชาโปรดให้พระกุมารตามเสด็จข้างหน้าบ้าง ข้างหลังบ้างเสมอ
และเพราะเกรงพระโอรสจะอดน้าตาย จึงรับสั่งให้ขุดสระโบกขรณีไว้ในที่นั้นๆ
ภายในพระนครในประตูทั้งสี่ด้าน รับสั่งให้สร้างมณฑปไว้ ตามสี่แยกเป็นต้น
แล้วให้ตั้งตุ่มน้าดื่มไว้.
วันหนึ่ง พระกุมารแต่งพระองค์เสด็จประพาสอุทยานแต่เช้าตรู่
พบพระปัจเจกพุทธเจ้าในระหว่างทาง. มหาชนเห็นพระปัจเจกพุทธเจ้า
แล้วต่างก็กราบไหว้ สรรเสริญ และประคองอัญชลีแด่พระปัจเจกพุทธเจ้านั้น.
พระกุมารนั้นคิดว่า พวกที่ไปกับคนเช่นเรา
พากันกราบไหว้สรรเสริญประคองอัญชลีแด่สมณะโล้นนี้ ทรงพิโรธ
ลงจากช้างเข้าไปหาพระปัจเจกพุทธเจ้า ตรัสถามว่า สมณะ
ท่านได้ภัตตาหารแล้วหรือ. พระปัจเจกพุทธเจ้าบอกว่า ได้แล้วพระกุมาร.
พระกุมารจึงแย่งบาตรจากมือพระปัจเจกพุทธเจ้า ทุ่มลงบนพื้นดิน
เหยียบย่ายีภัตตาหารให้แหลกไป. พระปัจเจกพุทธเจ้าแลดูหน้าพระกุมารนั้น
คิดว่า สัตว์ผู้นี้ทีจะวอดวายเสียแล้วหนอ. พระกุมารตรัสว่า สมณะ
เราเป็นโอรสของพระเจ้ากิตวาส มีนามว่า ทุฏฐกุมาร ท่านโกรธเรา มองดูตาเรา
จะทาอะไรเรา.
พระปัจเจกพุทธเจ้า บาตรแตกแล้ว
จึงเหาะขึ้นสู่เวหาไปสู่เงื้อมเขานันทมูล ณ หิมวันตประเทศ เบื้องทิศอุดร.
ขณะนั้นเอง กรรมชั่วของพระกุมารก็ให้ผลทันตา
พระกุมารมีพระวรกายเร่าร้อน พลุ่งพล่าน ตรัสว่า ร้อนเหลือเกินล้มลง ณ
ที่นั้นเอง. น้าทั้งหมดที่มีอยู่ ณ ที่นั้นๆ ก็เหือดแห้ง สระทั้งหลายก็แห้งผาก.
พระกุมารสิ้นชีพิตักษัยในที่นั้นเอง ไปบังเกิดในนรกอเวจี.
พระราชาทรงสดับเรื่องราวนั้นแล้ว ถูกความโศกถึงพระโอรสครอบงา
ทรงดาริว่า ความโศกของเรานี้เกิดขึ้นแต่สิ่งที่เรารัก หากเราจะไม่มีความรักแล้ว
ความโศกก็จะไม่เกิดขึ้น ตั้งแต่บัดนี้เป็ นต้นไป ขึ้นชื่อว่าความรักในสิ่งใดๆ
ทั้งที่มีวิญญาณหรือไม่มีวิญญาณ อย่าได้เกิดขึ้นแก่เราเลย ทรงอธิษฐานดังนี้แล้ว
ตั้งแต่นั้นไป ก็ไม่มีความรักเลย.
ลาดับนั้น พระราชาตรัสถามฉัตตปาณีว่า ดูก่อนฉัตตปาณี
ท่านเห็นอารมณ์อันใดเล่า จึงเป็ นผู้ไม่โกรธ.
ฉัตตปาณี เมื่อจะกราบทูลความนั้น จึงกล่าวคาถานี้ว่า :-
ข้าพระองค์เป็นดาบสชื่อว่าอรกะ เจริญเมตตาจิต เจ็ดปี
อยู่ในพรหมโลก เจ็ดกัป เพราะฉะนั้นจึงเป็นผู้ไม่โกรธ.
ความในคาถานั้นว่า
ข้าแต่มหาราช ข้าพระองค์เป็นดาบสชื่ออรกะ เจริญเมตตาจิต เจ็ดปี
10
แล้วอยู่ในพรหมโลกถึงเจ็ดสังวัฏฏกัป วิวัฏฏกัป ข้าพระองค์นั้นจึงไม่เป็ นผู้โกรธ
เพราะประพฤติสั่งสมเมตตาภาวนาสิ้นกาลนาน.
เมื่อฉัตตปาณีกราบทูลองค์ ๔ ของตนอย่างนี้แล้ว
พระราชาได้ทรงให้สัญญาที่นัดหมายไว้แก่บริษัท ทันใดนั้นเอง
เหล่าอามาตย์มีพราหมณ์และคหบดีเป็ นต้น ต่างลุกฮือกันขึ้นกล่าวว่า
แน่ะเจ้าคนกินสินบน โจรผู้ชั่วร้าย เจ้าไม่ได้กินสินบนแล้ว จึงคิดจะฆ่าบัณฑิต
ต่างช่วยกันจับมือและเท้ากาฬกะเสนาบดี พาลงจากพระราชนิเวศน์
ทุบศีรษะด้วยก้อนหินและไม้ค้อนคนละไม้คนละมือ จนถึงแก่ความตาย
จึงจับเท้าลากไปทิ้งไว้ที่กองหยากเยื่อ.
ตั้งแต่นั้นมา พระราชาทรงครองราชสมบัติโดยธรรม
ครั้นสวรรคตแล้ว ก็เสด็จไปตามยถากรรม.
พระศาสดาทรงนาพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ทรงประชุมชาดก.
กาฬกะเสนาบดีในครั้งนั้น ได้เป็น เทวทัต ในครั้งนี้.
ฉัตตปาณีอุบาสกได้เป็น สารีบุตร
ส่วนธัมมัทธชปุโรหิต คือ เราตถาคต นี้แล.
จบ อรรถกถาธัมมัทธชชาดกที่ ๑๐
รวมชาดกที่มีในวรรคนี้ คือ
-----------------------------------------------------

More Related Content

Similar to 220 ธัมมัทธชชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx

038 พกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
038 พกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx038 พกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
038 พกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
maruay songtanin
 
440 กัณหชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
440 กัณหชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx440 กัณหชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
440 กัณหชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
maruay songtanin
 
268 อารามทูสกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
268 อารามทูสกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ...268 อารามทูสกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
268 อารามทูสกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
maruay songtanin
 
408 กุมภการชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
408 กุมภการชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....408 กุมภการชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
408 กุมภการชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
maruay songtanin
 
190 สีลานิสังสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬา...
190 สีลานิสังสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬา...190 สีลานิสังสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬา...
190 สีลานิสังสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬา...
maruay songtanin
 
476 ชวนหังสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
476 ชวนหังสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....476 ชวนหังสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
476 ชวนหังสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
maruay songtanin
 
406 คันธารชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
406 คันธารชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx406 คันธารชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
406 คันธารชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
maruay songtanin
 
418 อัฏฐสัททชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
418 อัฏฐสัททชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...418 อัฏฐสัททชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
418 อัฏฐสัททชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
maruay songtanin
 
041 โลสกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
041 โลสกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx041 โลสกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
041 โลสกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
maruay songtanin
 
443 จูฬโพธิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
443 จูฬโพธิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....443 จูฬโพธิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
443 จูฬโพธิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
maruay songtanin
 
487 อุททาลกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
487 อุททาลกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....487 อุททาลกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
487 อุททาลกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
maruay songtanin
 
380 อาสังกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
380 อาสังกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx380 อาสังกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
380 อาสังกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
maruay songtanin
 
398 สุตนชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
398 สุตนชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx398 สุตนชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
398 สุตนชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
maruay songtanin
 
006 เทวธัมมชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
006 เทวธัมมชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....006 เทวธัมมชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
006 เทวธัมมชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
maruay songtanin
 
๐๘. มหานารทกัสสปชาดก.pdf
๐๘. มหานารทกัสสปชาดก.pdf๐๘. มหานารทกัสสปชาดก.pdf
๐๘. มหานารทกัสสปชาดก.pdf
maruay songtanin
 
271 อุทปานทูสกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬา...
271 อุทปานทูสกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬา...271 อุทปานทูสกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬา...
271 อุทปานทูสกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬา...
maruay songtanin
 
405 พกพรหมชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
405 พกพรหมชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx405 พกพรหมชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
405 พกพรหมชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
maruay songtanin
 
040 ขทิรังคารชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬา...
040  ขทิรังคารชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬา...040  ขทิรังคารชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬา...
040 ขทิรังคารชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬา...
maruay songtanin
 
514 ฉัททันตชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
514 ฉัททันตชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....514 ฉัททันตชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
514 ฉัททันตชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
maruay songtanin
 
099 ปโรสหัสสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
099 ปโรสหัสสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...099 ปโรสหัสสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
099 ปโรสหัสสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
maruay songtanin
 

Similar to 220 ธัมมัทธชชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx (20)

038 พกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
038 พกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx038 พกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
038 พกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
 
440 กัณหชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
440 กัณหชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx440 กัณหชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
440 กัณหชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
 
268 อารามทูสกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
268 อารามทูสกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ...268 อารามทูสกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
268 อารามทูสกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
 
408 กุมภการชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
408 กุมภการชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....408 กุมภการชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
408 กุมภการชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
 
190 สีลานิสังสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬา...
190 สีลานิสังสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬา...190 สีลานิสังสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬา...
190 สีลานิสังสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬา...
 
476 ชวนหังสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
476 ชวนหังสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....476 ชวนหังสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
476 ชวนหังสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
 
406 คันธารชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
406 คันธารชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx406 คันธารชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
406 คันธารชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
 
418 อัฏฐสัททชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
418 อัฏฐสัททชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...418 อัฏฐสัททชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
418 อัฏฐสัททชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
 
041 โลสกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
041 โลสกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx041 โลสกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
041 โลสกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
 
443 จูฬโพธิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
443 จูฬโพธิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....443 จูฬโพธิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
443 จูฬโพธิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
 
487 อุททาลกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
487 อุททาลกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....487 อุททาลกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
487 อุททาลกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
 
380 อาสังกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
380 อาสังกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx380 อาสังกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
380 อาสังกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
 
398 สุตนชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
398 สุตนชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx398 สุตนชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
398 สุตนชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
 
006 เทวธัมมชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
006 เทวธัมมชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....006 เทวธัมมชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
006 เทวธัมมชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
 
๐๘. มหานารทกัสสปชาดก.pdf
๐๘. มหานารทกัสสปชาดก.pdf๐๘. มหานารทกัสสปชาดก.pdf
๐๘. มหานารทกัสสปชาดก.pdf
 
271 อุทปานทูสกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬา...
271 อุทปานทูสกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬา...271 อุทปานทูสกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬา...
271 อุทปานทูสกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬา...
 
405 พกพรหมชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
405 พกพรหมชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx405 พกพรหมชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
405 พกพรหมชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
 
040 ขทิรังคารชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬา...
040  ขทิรังคารชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬา...040  ขทิรังคารชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬา...
040 ขทิรังคารชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬา...
 
514 ฉัททันตชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
514 ฉัททันตชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....514 ฉัททันตชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
514 ฉัททันตชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
 
099 ปโรสหัสสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
099 ปโรสหัสสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...099 ปโรสหัสสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
099 ปโรสหัสสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
 

More from maruay songtanin

๕๐. สัฏฐิกูฏเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุ...
๕๐. สัฏฐิกูฏเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุ...๕๐. สัฏฐิกูฏเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุ...
๕๐. สัฏฐิกูฏเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุ...
maruay songtanin
 
๔๙. เสฏฐิปุตตเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจ...
๔๙. เสฏฐิปุตตเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจ...๔๙. เสฏฐิปุตตเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจ...
๔๙. เสฏฐิปุตตเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจ...
maruay songtanin
 
๔๘. โภคสังหรเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุ...
๔๘. โภคสังหรเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุ...๔๘. โภคสังหรเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุ...
๔๘. โภคสังหรเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุ...
maruay songtanin
 
๔๗. อักขรุกขเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุ...
๔๗. อักขรุกขเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุ...๔๗. อักขรุกขเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุ...
๔๗. อักขรุกขเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุ...
maruay songtanin
 
๔๖. อัมพวนเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬา...
๔๖. อัมพวนเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬา...๔๖. อัมพวนเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬา...
๔๖. อัมพวนเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬา...
maruay songtanin
 
๔๕. ปาฏลิปุตตเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจ...
๔๕. ปาฏลิปุตตเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจ...๔๕. ปาฏลิปุตตเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจ...
๔๕. ปาฏลิปุตตเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจ...
maruay songtanin
 
๔๔. คณเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
๔๔. คณเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx๔๔. คณเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
๔๔. คณเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
maruay songtanin
 
๔๓. คูถขาทกเปติวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุ...
๔๓. คูถขาทกเปติวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุ...๔๓. คูถขาทกเปติวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุ...
๔๓. คูถขาทกเปติวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุ...
maruay songtanin
 
๔๒. คูถขาทกเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬ...
๔๒. คูถขาทกเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬ...๔๒. คูถขาทกเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬ...
๔๒. คูถขาทกเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬ...
maruay songtanin
 
๔๑. ราชปุตตเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬ...
๔๑. ราชปุตตเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬ...๔๑. ราชปุตตเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬ...
๔๑. ราชปุตตเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬ...
maruay songtanin
 
๔๐. กุมารเปตวัต พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ]ถ...
๔๐. กุมารเปตวัต พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ]ถ...๔๐. กุมารเปตวัต พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ]ถ...
๔๐. กุมารเปตวัต พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ]ถ...
maruay songtanin
 
๓๙. เรวตีเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
๓๙. เรวตีเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ...๓๙. เรวตีเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
๓๙. เรวตีเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
maruay songtanin
 
๓๘. นันทกเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
๓๘. นันทกเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ...๓๘. นันทกเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
๓๘. นันทกเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
maruay songtanin
 
๓๗. เสรีสกเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬา...
๓๗. เสรีสกเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬา...๓๗. เสรีสกเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬา...
๓๗. เสรีสกเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬา...
maruay songtanin
 
๓๖. อัมพสักขรเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจ...
๓๖. อัมพสักขรเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจ...๓๖. อัมพสักขรเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจ...
๓๖. อัมพสักขรเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจ...
maruay songtanin
 
๓๕. ธาตุวิวัณณเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหา...
๓๕. ธาตุวิวัณณเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหา...๓๕. ธาตุวิวัณณเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหา...
๓๕. ธาตุวิวัณณเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหา...
maruay songtanin
 
๓๔. กูฏวินิจฉยิกเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับม...
๓๔. กูฏวินิจฉยิกเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับม...๓๔. กูฏวินิจฉยิกเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับม...
๓๔. กูฏวินิจฉยิกเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับม...
maruay songtanin
 
๓๓. ทุติยมิคลุททกเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับ...
๓๓. ทุติยมิคลุททกเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับ...๓๓. ทุติยมิคลุททกเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับ...
๓๓. ทุติยมิคลุททกเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับ...
maruay songtanin
 
๓๒. มิคลุททกเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุ...
๓๒. มิคลุททกเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุ...๓๒. มิคลุททกเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุ...
๓๒. มิคลุททกเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุ...
maruay songtanin
 
๓๑. เสริณีเปติวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬ...
๓๑. เสริณีเปติวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬ...๓๑. เสริณีเปติวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬ...
๓๑. เสริณีเปติวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬ...
maruay songtanin
 

More from maruay songtanin (20)

๕๐. สัฏฐิกูฏเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุ...
๕๐. สัฏฐิกูฏเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุ...๕๐. สัฏฐิกูฏเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุ...
๕๐. สัฏฐิกูฏเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุ...
 
๔๙. เสฏฐิปุตตเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจ...
๔๙. เสฏฐิปุตตเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจ...๔๙. เสฏฐิปุตตเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจ...
๔๙. เสฏฐิปุตตเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจ...
 
๔๘. โภคสังหรเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุ...
๔๘. โภคสังหรเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุ...๔๘. โภคสังหรเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุ...
๔๘. โภคสังหรเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุ...
 
๔๗. อักขรุกขเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุ...
๔๗. อักขรุกขเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุ...๔๗. อักขรุกขเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุ...
๔๗. อักขรุกขเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุ...
 
๔๖. อัมพวนเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬา...
๔๖. อัมพวนเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬา...๔๖. อัมพวนเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬา...
๔๖. อัมพวนเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬา...
 
๔๕. ปาฏลิปุตตเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจ...
๔๕. ปาฏลิปุตตเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจ...๔๕. ปาฏลิปุตตเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจ...
๔๕. ปาฏลิปุตตเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจ...
 
๔๔. คณเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
๔๔. คณเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx๔๔. คณเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
๔๔. คณเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
 
๔๓. คูถขาทกเปติวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุ...
๔๓. คูถขาทกเปติวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุ...๔๓. คูถขาทกเปติวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุ...
๔๓. คูถขาทกเปติวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุ...
 
๔๒. คูถขาทกเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬ...
๔๒. คูถขาทกเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬ...๔๒. คูถขาทกเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬ...
๔๒. คูถขาทกเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬ...
 
๔๑. ราชปุตตเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬ...
๔๑. ราชปุตตเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬ...๔๑. ราชปุตตเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬ...
๔๑. ราชปุตตเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬ...
 
๔๐. กุมารเปตวัต พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ]ถ...
๔๐. กุมารเปตวัต พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ]ถ...๔๐. กุมารเปตวัต พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ]ถ...
๔๐. กุมารเปตวัต พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ]ถ...
 
๓๙. เรวตีเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
๓๙. เรวตีเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ...๓๙. เรวตีเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
๓๙. เรวตีเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
 
๓๘. นันทกเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
๓๘. นันทกเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ...๓๘. นันทกเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
๓๘. นันทกเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
 
๓๗. เสรีสกเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬา...
๓๗. เสรีสกเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬา...๓๗. เสรีสกเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬา...
๓๗. เสรีสกเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬา...
 
๓๖. อัมพสักขรเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจ...
๓๖. อัมพสักขรเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจ...๓๖. อัมพสักขรเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจ...
๓๖. อัมพสักขรเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจ...
 
๓๕. ธาตุวิวัณณเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหา...
๓๕. ธาตุวิวัณณเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหา...๓๕. ธาตุวิวัณณเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหา...
๓๕. ธาตุวิวัณณเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหา...
 
๓๔. กูฏวินิจฉยิกเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับม...
๓๔. กูฏวินิจฉยิกเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับม...๓๔. กูฏวินิจฉยิกเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับม...
๓๔. กูฏวินิจฉยิกเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับม...
 
๓๓. ทุติยมิคลุททกเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับ...
๓๓. ทุติยมิคลุททกเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับ...๓๓. ทุติยมิคลุททกเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับ...
๓๓. ทุติยมิคลุททกเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับ...
 
๓๒. มิคลุททกเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุ...
๓๒. มิคลุททกเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุ...๓๒. มิคลุททกเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุ...
๓๒. มิคลุททกเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุ...
 
๓๑. เสริณีเปติวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬ...
๓๑. เสริณีเปติวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬ...๓๑. เสริณีเปติวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬ...
๓๑. เสริณีเปติวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬ...
 

220 ธัมมัทธชชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx

  • 1. 1 ธัมมัทธชชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ] ขุททกนิกาย ชาดก ภาค ๑ ๑๐. ธัมมัทธชชาดก (จากพระไตรปิฎก ลาดับเรื่องที่ ๒๒๐) ว่าด้วยผู้มีธรรมเป็ นธงชัย (ท้าวสักกะตรัสถามปุโรหิตโพธิสัตว์ว่า) [๑๓๙] ท่านดูเหมือนอยู่เป็นสุข ท่านจากบ้านเมืองมาสู่ป่าแห้งแล้ง นั่งเพ่งพินิจคิดอะไรอยู่ผู้เดียวที่โคนไม้ เหมือนคนกาพร้า (ปุโรหิตโพธิสัตว์กล่าวว่า) [๑๔๐] ข้าพเจ้ามีชีวิตอยู่อย่างเป็นสุข ข้าพเจ้าจากบ้านเมืองมาสู่ป่าแห้งแล้ง หวนระลึกถึงธรรมของสัตบุรุษ นั่งพินิจคิดอยู่แต่ผู้เดียวที่โคนไม้ เหมือนคนกาพร้า ธัมมัทธชชาดกที่ ๑๐ จบ พีรณถัมภกวรรคที่ ๗ จบ ----------------------------- คาอธิบายเพิ่มเติมนามาจากบางส่วนของอรรถกถา ธัมมัทธชชาดก ว่าด้วย ผู้ถึงธรรมของสัตบุรุษ พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร ทรงปรารภพระเทวทัตพยายามปลงพระชนม์พระองค์ ตรัสพระธรรมเทศนานี้ ดังนี้. ความย่อว่า พระศาสดาตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เทวทัตพยายามฆ่าเรา ในบัดนี้เท่านั้นก็หามิได้ แม้เมื่อก่อนก็พยายามฆ่าเราเหมือนกัน แต่ไม่อาจทาแม้เพียงความสะดุ้งสะเทือน จึงนาเรื่องอดีตมาตรัสเล่า. ในอดีตกาล พระราชาพระนามว่า ยศปาณี เสวยราชสมบัติ อยู่ในกรุงพาราณสี มีเสนาบดีชื่อ กาฬกะ. ในครั้งนั้น พระโพธิสัตว์ได้เป็นปุโรหิตของพระเจ้ายศปาณีนั้นชื่อธรรมธัช. ส่วนกัลบกผู้แต่งพระศกของพระองค์ชื่อ ฉัตตปาณี. พระราชาทรงครองราชสมบัติโดยธรรม. แต่เสนาบดีของพระองค์ เมื่อจะวินิจฉัยคดีย่อมกินสินบน รับสินบนแล้ว ย่อมทาผู้ที่มิใช่เจ้าของให้เป็นเจ้าของ ดุจคนคอยกินเนื้อสันหลังของผู้อื่น. อยู่มาวันหนึ่ง มนุษย์คนหนึ่งถูกตัดสินให้แพ้คดีที่ศาล ประคองแขน สะอึกสะอื้นออกจากศาล เห็นพระโพธิสัตว์กาลังไปทาราชการ จึงซบลงที่เท้าพระโพธิสัตว์ เล่าเรื่องที่ตนแพ้คดีว่า ข้าแต่นาย
  • 2. 2 เมื่อคนเช่นท่านถวายอรรถและธรรมแด่พระราชายังอยู่ กาฬกะเสนาบดีรับสินบน ทาผู้ที่ไม่เป็นเจ้าของให้เป็นเจ้าของ. พระโพธิสัตว์เกิดความสงสารกล่าวว่า มาเถิดพ่อหนุ่ม เราจักวินิจฉัยคดีของท่านเอง แล้วพามนุษย์ผู้นั้นไปยังศาล มหาชนประชุมกัน. พระโพธิสัตว์กลับตัดสินให้เจ้าของนั้นแหละเป็นเจ้าของ มหาชนต่างแซ่ซร้องสาธุการ เสียงนั้นได้อึกทึกสนั่นไป. พระราชาทรงสดับเสียงนั้นตรัสถามว่า นั่นเสียงอะไร. ราชบุรุษกราบทูลว่า ขอเดชะ ธรรมธัชบัณฑิตตัดสินคดีที่กาฬกะเสนาบดีตัดสินไว้ผิดให้ถูก นั่นเป็ นเสียงแซ่ซร้องสาธุการ ณ ที่นั้น พระพุทธเจ้าข้า. พระราชาทรงโสมนัสตรัสให้หาพระโพธิสัตว์มาตรัส ถามว่า ท่านอาจารย์ได้ยินว่า ท่านตัดสินคดีหรือ. กราบทูลว่า ข้าแต่มหาราช ถูกแล้วพระเจ้าข้า ท่านกาฬกะเสนาบดีตัดสินไว้ไม่ดี ข้าพระพุทธเจ้าจึงวินิจฉัยเสียใหม่ แล้วตรัสว่า ตั้งแต่นี้ไป ขอให้ท่านจงตัดสินคดีเถิด เราจะได้สบายหู ทั้งประชาชนจะได้มีความเจริญ แล้วทรงขอร้องว่า ท่านจงนั่งที่ตัดสินคดี เพื่ออนุเคราะห์ต่อราษฎรเถิด. แม้พระโพธิสัตว์ไม่ปรารถนาก็ได้ทาตามพระประสงค์. ตั้งแต่นั้นมา พระโพธิสัตว์ก็นั่ง ณ ที่ตัดสินคดี กระทาผู้เป็นเจ้าของให้เป็นเจ้าของ. กาฬกะเสนาบดี เมื่อไม่ได้รับสินบนตั้งแต่นั้นมาก็เสื่อมจากลาภ จึงเพ็ดทูลพระราชาให้บาดหมางพระโพธิสัตว์ว่า ข้าแต่มหาราช ธรรมธัชบัณฑิตปรารถนาราชสมบัติของพระองค์. พระราชาไม่ทรงเชื่อ ทรงห้ามว่าท่านอย่าพูดอย่างนั้น เมื่อเสนาบดีกราบทูลอีกว่า หากพระองค์ไม่ทรงเชื่อข้าพระองค์ ขอจงทรงคอยทอดพระเนตรทางพระแกลในเวลาที่ธรรมธัชบัณฑิตมาเถิด ที่นั้นพระองค์จะทรงเห็นพระนครทั้งสิ้นถูกธรรมธัชบัณฑิตกาไว้ในเงื้อมมือของต น. พระราชาทอดพระเนตรขบวนพวกลูกความของธรรมธัชบัณฑิต ทรงเข้าใจว่าเป็นพวกของธรรมธัชบัณฑิตทั้งสิ้น ทรงแหนงพระทัย ตรัสถามว่า เราจะทาอย่างไร เสนาบดี. กราบทูลว่า ขอเดชะ ควรฆ่าธรรมธัชบัณฑิตพระเจ้าข้า. ตรัสว่า เรายังไม่เห็นโทษร้ายแรงจะฆ่าเขาอย่างไรได้. กราบทูลว่า มีอุบายอย่างหนึ่งพระเจ้าข้า. ตรัสถามว่าอุบายอย่างไร. กราบทูลว่า ขอพระองค์ทรงยกกรรมอันเหลือวิสัยให้แก่ธรรมธัชบัณฑิตนั้น แล้วฆ่าเขาผู้ไม่สามารถทากรรมนั้นได้เสีย โดยความผิดนั้นเถิดพระเจ้าข้า. ตรัสถามว่า ก็กรรมอันเหลือวิสัยของธรรมธัชบัณฑิตเป็นอย่างไร.
  • 3. 3 กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ ธรรมดาอุทยานที่ปลูกสร้างในพื้นดินแข็งบารุงอยู่ จะให้ผลใน ๓-๔ ปี ขอพระองค์ตรัสเรียกธรรมธัชบัณฑิตนั้นมา แล้วตรัสว่า ดูก่อนบัณฑิต เราประพาสอุทยานเก่ามานานแล้ว บัดนี้ประสงค์จะประพาสอุทยานใหม่ พรุ่งนี้เราจะไปประพาสอุทยาน ท่านจงสร้างอุทยานให้เราเถิด ธรรมธัชบัณฑิตนั้นคงสร้างไม่ได้เป็นแน่ ทีนั้นแหละ พระองค์จักสาเร็จโทษธรรมธัชบัณฑิตเสีย. พระราชาตรัสเรียกพระโพธิสัตว์มาตรัสตามที่กาฬกะเสนาบดีทูลอุบาย ทุกประการ. พระโพธิสัตว์ทราบว่า พระราชาถูกกาฬกะเสนาบดีผู้ไม่ได้รับสินบน เพ็ดทูลยุยงแล้ว กราบทูลว่า ขอเดชะ ข้าพระองค์สามารถจักรู้เอง กลับไปเรือน บริโภคโภชนะอย่างดี นอนคิดตรองอยู่บนที่นอน พิภพของท้าวสักกะได้แสดงอาการร้อน ท้าวเธอตรวจดูก็รู้ความคิดของพระโพธิสัตว์ รีบเสด็จมาเข้าห้องอันมีสิริประทับยืนอยู่บนอากาศ ตรัสถามว่า บัณฑิตท่านคิดอะไร พระโพธิสัตว์ถามว่า ท่านเป็นใคร. ตอบว่า เราเป็นท้าวสักกะ. พระโพธิสัตว์จึงบอกว่า พระราชาให้ข้าพระองค์สร้างอุทยานใหม่ ข้าพระองค์คิดว่า จักทาอย่างไรจึงจะสร้างได้. ท้าวสักกะตรัสว่า บัณฑิตท่านอย่าคิดเลย เราจักเนรมิตอุทยานเช่นกับสวนนันทวันและจิตรลดาให้ท่าน ท่านจะให้สร้างที่ไหน. พระโพธิสัตว์ทูลว่า ขอจงสร้างที่โน้นเถิด. ท้าวสักกะเนรมิตแล้ว ก็เสด็จกลับเทพนคร. รุ่งขึ้นพระโพธิสัตว์เห็นอุทยานโดยประจักษ์แล้ว จึงไปกราบทูลพระราชาว่า ข้าแต่มหาราช อุทยานสาหรับพระองค์สาเร็จแล้ว ขอจงเสด็จประพาสเถิด. พระราชาเสด็จไปทอดพระเนตรเห็นอุทยาน แวดล้อมด้วยปราการมีสีดังมโนสิลา สูง ๑๘ ศอก มีประตูหอรบครบครัน ประดับด้วยรุกขชาตินานาพรรณ ผลิดอกออกผลสะพรั่ง จึงตรัสถามกาฬกะเสนาบดีว่า บัณฑิตได้ทาตามคาสั่งของเราแล้ว บัดนี้เราจะทาอย่างไรต่อไป. กราบทูลว่า ข้าแต่มหาราชเจ้า บัณฑิตสามารถสร้างอุทยานได้โดยคืนเดียว จะไม่สามารถชิงราชสมบัติหรือ. พระราชาตรัสถามว่า บัดนี้เราจะทาอย่างไรต่อไป. กราบทูลว่า จะให้ทากรรมที่สุดวิสัยอย่างอื่น พระเจ้าข้า. ตรัสถาม กรรมอะไร. กราบทูลว่า ขอจงโปรดให้สร้างสระโบกขรณีอันแล้วด้วยแก้ว ๗ ประการ พระราชารับว่า ดีละ จึงตรัสเรียกพระโพธิสัตว์มาแล้วตรัสว่า ดูก่อนอาจารย์ อุทยานท่านได้สร้างเสร็จแล้ว ท่านจงสร้างสระโบกขรณีอันแล้วด้วยแก้ว ๗ ประการอันสมควรแก่อุทยานนี้เถิด ถ้าไม่สามารถสร้างได้ ชีวิตท่านจะหาไม่.
  • 4. 4 พระโพธิสัตว์กราบทูลว่า ข้าแต่มหาราช ข้าพระองค์สามารถจักสร้างถวายได้ พระเจ้าข้า. ลาดับนั้น ท้าวสักกะจึงเนรมิตสระโบกขรณีอันงดงามยิ่งมีท่าสนานร้อยหนึ่ง มีเขาวงกตพันหนึ่ง ดารดาษไปด้วยดอกปทุมห้าสีเช่นกับสระโบกขรณีนันทา. รุ่งขึ้นพระโพธิสัตว์ได้ทาสระนั้นให้ประจักษ์แล้ว จึงกราบทูลพระราชาว่า ขอเดชะ ข้าพระพุทธเจ้าสร้างสระโบกขรณีเสร็จแล้วพระเจ้าข้า. พระราชาทอดพระเนตรเห็นสระโบกขรณีนั้น จึงตรัสถามกาฬกะว่า เราจะทาอย่างไรต่อไป. กราบทูลว่า ขอเดชะ พระองค์จงสั่งให้สร้างคฤหาสน์อันคู่ควรแก่อุทยานเถิด. พระราชาตรัสว่า ท่านอาจารย์ บัดนี้ท่านจงสร้างคฤหาสน์อันล้วนแล้วไปด้วยงาช้าง สมควรแก่อุทยานนี้ และสระโบกขรณีเถิด หากสร้างไม่ได้ชีวิตของท่านจะหาไม่. ครั้นแล้วท้าวสักกะก็เนรมิตคฤหาสน์ให้แก่พระโพธิสัตว์. รุ่งขึ้นพระโพธิสัตว์ทาคฤหาสน์นั้นให้ประจักษ์ แล้วกราบทูลแด่พระราชา พระราชาทอดพระเนตรเห็นคฤหาสน์นั้นแล้ว จึงตรัสถามกาฬกะว่า บัดนี้จะทาอย่างไรต่อไป กราบทูลว่า ข้าแต่มหาราช ขอพระองค์จงรับสั่งให้สร้างแก้วมณีอันสมควรแก่คฤหาสน์นั้นเถิดพระเจ้าข้า. พระราชารับสั่งให้พระโพธิสัตว์มาหาตรัสว่า บัณฑิตท่านจงสร้างแก้วมณีอันสมควรแก่คฤหาสน์ ล้วนแล้วไปด้วยงานี้เถิด เราจักเที่ยวเดินด้วยแสงสว่างแห่งแก้วมณี หากท่านสร้างไม่ได้ ชีวิตของท่านจะไม่มี. ครั้งนั้นท้าวสักกะเนรมิตแก้วมณีให้พระโพธิสัตว์. รุ่งขึ้นพระโพธิสัตว์กระทาแก้วมณีนั้นให้ประจักษ์ แล้วกราบทูลแด่พระราชา พระราชาทอดพระเนตรเห็นแก้วมณีนั้น ตรัสถามกาฬกะ บัดนี้เราจะทาอย่างไรต่อไป กาฬกะกราบทูลว่า ข้าแต่มหาราช เห็นจะมีเทวดาคอยเนรมิตให้สิ่งที่ปรารถนาแก่พราหมณ์ธรรมธัชเป็นแน่ คราวนี้ สิ่งใดแม้เทวดาก็ไม่สามารถเนรมิตได้ ขอพระองค์จงรับสั่งสิ่งนั้นเถิด แม้เทวดาก็ไม่สามารถเนรมิตมนุษย์ผู้ประกอบด้วยองค์ ๔ ได้ เพราะฉะนั้น ขอพระองค์จงรับสั่งกะธรรมธัชว่า ท่านจงสร้างคนรักษาอุทยานประกอบด้วยองค์ ๔ เถิด. พระราชาตรัสเรียกพระโพธิสัตว์มาแล้วตรัสว่า ดูก่อนอาจารย์ อุทยาน สระโบกขรณีและปราสาท อันแล้วด้วยงาและแก้วมณีสาหรับส่องแสงสว่างแก่ปราสาท ท่านสร้างให้แก่เราเสร็จแล้ว บัดนี้ ท่านจงสร้างคนรักษาอุทยานประกอบด้วยองค์ ๔ ทาหน้าที่รักษาอุทยานแก่เราเถิด หากท่านสร้างไม่ได้ชีวิตจะไม่มี. พระโพธิสัตว์กราบทูลว่า ขอจงยกไว้เป็นพนักงานเถิด เมื่อข้าพระองค์ได้จักรู้เอง จึงกลับไปบ้านบริโภคอาหารอย่างดีแล้ว
  • 5. 5 นอนตื่นขึ้นในตอนรุ่ง นั่งคิดอยู่บนหลังที่นอนว่า ท้าวสักกเทวราชสามารถเนรมิตแต่สิ่งที่ตนเนรมิตได้ แต่คงไม่สามารถเนรมิตคนเฝ้ าอุทยานประกอบด้วยองค์ ๔ ได้ เมื่อเป็นเช่นนี้ การตายอย่างอนาถาในป่านั่นแล ดีกว่าการตายในเงื้อมมือของผู้อื่น. พระโพธิสัตว์มิได้บอกเล่าแก่ใครๆ ลงจากเรือนออกจากพระนคร ทางประตูใหญ่ เข้าป่านั่งราพึงถึงธรรมของสัตบุรุษ ณ โคนต้นไม้ต้นหนึ่ง. ท้าวสักกะทราบเหตุนั้น จึงแปลงเป็นพรานไพรเข้าไปหาพระโพธิสัตว์. เมื่อจะตรัสถามความนี้ว่า ดูก่อนพราหมณ์ ท่านเป็ นผู้แบบบาง ประหนึ่งว่าจะไม่เคยเห็นทุกข์ยากมาก่อนเลย ท่านอยู่เป็นสุขแล้ว ได้ออกจากแว่นแคว้นมาสู่ป่าอันสงัดเงียบ ท่านนั้นนั่งซบเซาอยู่ที่โคนต้นไม้แต่ผู้เดียว เหมือนคนกาพร้า. ท้าวสักกะตรัสถามว่า ท่านคิดอะไรอยู่. พระโพธิสัตว์ได้สดับดังนั้น จึงกล่าวคาถาที่ ๒ ว่า :- เราอยู่เป็นสุขแล้ว ได้ออกจากแว่นแคว้นมาอยู่ป่าสงัดเงียบ ระลึกถึงธรรมของสัตบุรุษอยู่ นั่งซบเซาอยู่ที่โคนต้นไม้แต่ผู้เดียว เหมือนคนกาพร้า. ลาดับนั้น ท้าวสักกะจึงตรัสถามว่า ดูก่อนพราหมณ์ เมื่อเป็นเช่นนี้ เหตุใดท่านจึงนั่งอยู่ที่นี่เล่า. พระโพธิสัตว์ตอบว่า พระราชารับสั่งให้หาบุคคลผู้รักษาสวนประกอบด้วยองค์ ๔ แต่ข้าพเจ้าไม่อาจหาบุคคลเช่นนั้นได้ จึงคิดว่า จะมีประโยชน์อะไรด้วยความตายในเงื้อมมือของผู้อื่น เราจักเข้าป่าไปตายอย่างอนาถา จึงได้มานั่งอยู่ที่นี่. ท้าวสักกะตรัสว่า ดูก่อนพราหมณ์ เราคือท้าวสักกะ เราเนรมิตสวนให้ท่านแล้ว แต่ไม่สามารถจะเนรมิตผู้รักษาสวนซึ่งประกอบด้วยองค์ ๔ ได้. ช่างกัลบกผู้แต่งพระศกของพระราชาท่านชื่อว่า ฉัตตปาณี เป็นผู้ประกอบด้วยองค์ ๔ เมื่อมีความต้องการผู้รักษาสวน ท่านจงกราบทูลให้ทรงแต่งตั้งช่างกัลบกนั้นเป็นผู้รักษาสวนเถิด. ท้าวสักกเทวราชประทานโอวาทแก่พระโพธิสัตว์แล้ว ทรงปลอบโยนว่า อย่ากลัวเลย แล้วเสด็จคืนสู่เทพบุรีของพระองค์. พระโพธิสัตว์ไปบ้านบริโภคอาหาร แล้วไปถึงประตูพระราชวัง พบฉัตตปาณีที่ประตูพระราชวังนั้น จับมือฉัตตปาณีแล้วถามว่า สหายฉัตตปาณีได้ข่าวว่าท่านประกอบด้วยองค์ ๔ หรือ เมื่อฉัตตปาณีถามว่า ใครเป็นผู้บอกท่านว่า ข้าพเจ้าประกอบด้วยองค์ ๔. ตอบว่า ท้าวสักกเทวราช. ถามว่า เหตุใดจึงบอก. พระโพธิสัตว์จึงเล่าเรื่องทั้งหมดว่า บอกด้วยเหตุนี้.
  • 6. 6 ฉัตตปาณีกล่าวว่า ถูกแล้ว ข้าพเจ้าเป็นผู้ประกอบด้วยองค์ ๔. ลาดับนั้น พระโพธิสัตว์จึงจับมือฉัตตปาณีไปเฝ้ าพระราชา กราบทูลว่า ข้าแต่มหาราช ฉัตตปาณีนี้เป็ นผู้ประกอบด้วยองค์ ๔ เมื่อมีความต้องการผู้รักษาสวน ขอจงทรงตั้งฉัตตปาณีนี้เป็นผู้รักษาสวนเถิด พระเจ้าข้า. ลาดับนั้น พระราชาตรัสถามฉัตตปาณีว่า ได้ยินว่า ท่านเป็นผู้ประกอบด้วยองค์ ๔ หรือ กราบทูลว่าถูกแล้ว พระเจ้าข้า พระราชาตรัสถามว่า ท่านเป็นผู้ประกอบด้วยองค์ ๔ คืออะไรบ้าง. ฉัตตปาณีทูลว่า :- ขอเดชะ ข้าพระองค์เป็นผู้ไม่ริษยา เป็ นผู้ไม่ดื่มน้าเมา เป็นผู้ไม่ติดในความรัก เป็นผู้ตั้งมั่นอยู่ในความไม่โกรธ. ข้าแต่มหาราช ชื่อว่าความริษยาไม่มีแก่ข้าพระองค์ น้าเมาข้าพระองค์ไม่เคยดื่ม ความรักก็ดี ความโกรธก็ดี ไม่เคยมีในผู้อื่น ข้าพระองค์ประกอบด้วยองค์ ๔ เหล่านี้. ลาดับนั้น พระราชาตรัสถามว่า ดูก่อนฉัตตปาณี ท่านเป็นผู้ไม่ริษยาหรือ. กราบทูลว่า ขอเดชะ ถูกแล้วพระเจ้าข้า ข้าพระองค์เป็นผู้ไม่ริษยา. ท่านเห็นเหตุอะไรจึงเป็ นผู้ไม่ริษยา. ฉัตตปาณีกราบทูลว่า ขอเดชะ ขอพระองค์จงทรงโปรดสดับเถิด. เมื่อจะกล่าวถึงเหตุของการไม่ริษยา จึงกล่าวคาถานี้ว่า :- ข้าแต่ราชะ ข้าพระพุทธเจ้าได้สั่งให้จองจาปุโรหิต เพราะหญิงเป็ นเหตุ ปุโรหิตนั้นให้ข้าพระองค์ตั้งอยู่ในประโยชน์แล้ว เพราะฉะนั้น ข้าพระองค์จึงไม่ริษยา. อธิบายความแห่งคาถานั้นว่า ข้าพระองค์นี้แหละ เมื่อก่อนเป็นพระราชาในกรุงพาราณสีนี้เอง เช่นกับพระองค์ ให้จองจาปุโรหิตเพราะสตรีเป็นเหตุ คือ ครั้งหนึ่งช่างกัลบกฉัตตปาณีนี้เป็ นพระราชา ถูกพระเทวีผู้ลักลอบกับพวกข้าบาทมูล ๖๔ นาย ผู้หวังจะให้พระโพธิสัตว์ซึ่งไม่สนใจตนให้พินาศ ทูลยุยงให้จองจา ในครั้งนั้น พระโพธิสัตว์ถูกจองจานาไปเฝ้ า จึงกราบทูลโทษของพระเทวีตามเป็นจริง ได้รอดพ้นเอง ได้ทูลให้ปลดปล่อยพวกข้าบาทมูล ที่รับสั่งให้จองจานั้นทั้งหมด ถวายโอวาทว่า ข้าแต่มหาราช ขอพระองค์จงทรงนิรโทษให้แก่พวกข้าบาทมูลเหล่านั้น และพระเทวีเถิด พระเจ้าข้า. เรื่องราวทั้งหมดพึงทราบโดยพิสดารตามนัยที่กล่าวแล้วในหนหลัง. ฉัตตปาณีหมายถึงความข้อนั้น จึงกล่าวว่า :-
  • 7. 7 ข้าแต่ราชะ เพราะหญิงเป็ นเหตุ ฯลฯ เพราะฉะนั้น ข้าพเจ้าจึงไม่ริษยา. ก็ในกาลนั้น พระราชาฉัตตปาณีนั้นคิดว่า เราละเลยสนมหนึ่งหมื่นหกพัน คลอเคลียอยู่กับพระเทวีเพียงนางเดียวเท่านั้นด้วยอานาจกิเลส ยังไม่สามารถจะให้นางอิ่มหนาได้ ขึ้นชื่อว่าการโกรธต่อหญิงทั้งหลายที่ให้เต็มได้ยาก อย่างนี้ก็เช่นกับการโกรธผ้านุ่งที่เศร้าหมองว่าเหตุใดจึงเศร้าหมอง และเป็นเช่นกับการโกรธอาหารที่บริโภคแล้วกลับเป็นคูถว่าทาไมจึงก ลับเป็นคูถ. ต่อแต่นี้ไป เราขออธิษฐานว่า ยังไม่บรรลุอรหัตตราบใด ขอความริษยาจงอย่าเกิดแก่เรา เพราะอาศัยกิเลสตราบนั้น ตั้งแต่นั้นมา พระราชามิได้ทรงริษยาเลย ฉัตตปาณีกัลบกกล่าวว่า เพราะฉะนั้น ข้าพระองค์จึงไม่ริษยา หมายถึงความข้อนี้. ลาดับนั้น พระราชาตรัสถามว่า ดูก่อนท่านฉัตตปาณี ท่านเห็นอารมณ์อันใด จึงเป็ นผู้ไม่ดื่มน้าเมา. ฉัตตปาณี เมื่อจะกราบทูลถึงเหตุนั้นจึงกล่าวคาถานี้ว่า :- ข้าแต่มหาราช ข้าพระพุทธเจ้าเมาแล้วจึงได้กินเนื้อบุตร ข้าพระพุทธเจ้าถูกความโศกถึงบุตรนั้นกระทบแล้ว จึงเว้นการดื่มน้าเมา. อธิบายความในคาถานั้นว่า ข้าแต่มหาราช เมื่อครั้งก่อน ข้าพระองค์เป็นพระเจ้าพาราณสีเช่นเดียวกับพระองค์ ขาดน้าเมาเสียแล้วก็ไม่สามารถจะดาเนินชีวิตไปได้ แม้อาหารที่ไม่มีเนื้อ ก็ไม่สามารถบริโภคได้. ที่พระนครไม่มีการฆ่าสัตว์ในวันอุโบสถ พ่อครัวซื้อเนื้อมาเก็บไว้แต่วัน ๑๓ ค่าแห่งปักษ์. เนื้อนั้นเก็บไว้ไม่ดี สุนัขจึงกินเสียหมด พ่อครัวหาเนื้อในวันอุโบสถไม่ได้ จึงปรุงอาหารมีรสเลิศต่างๆ สาหรับพระราชายกขึ้นไปบนปราสาท แต่ไม่อาจนาเข้าไปได้ จึงเข้าไปเฝ้ าพระเทวีกราบทูลว่า ข้าแต่พระเทวี วันนี้ข้าพระองค์หาเนื้อไม่ได้ จึงไม่อาจนาพระกระยาหารที่ไม่มีเนื้อเข้าไปถวายได้ ข้าพระองค์จะทาอย่างไรดี. พระเทวีตรัสว่า นี่แน่ะเจ้า โอรสของเราเป็ นที่รักโปรดปรานของพระราชา พระราชาทรงเห็นโอรสของเราแล้ว ก็จะทรงจุมพิตสวมกอดโอรสนั้น เพลินจนไม่ทรงทราบว่า เนื้อมีหรือไม่มีสาหรับพระองค์ เราจะแต่งตัวโอรสแล้วให้นั่งบนพระเพลาของพระราชา เวลาที่พระองค์ทรงหยอกล้อพระโอรส ท่านจึงค่อยนาพระกระยาหารเข้าไปถวาย.
  • 8. 8 พระเทวีตรัสดังนั้นแล้ว จึงตกแต่งพระราชกุมารโอรสของพระองค์ให้นั่งบนพระเพลาของพระราชา. ในเวลาที่พระราชาทรงหยอกล้อเล่นกับพระโอรส พ่อครัวจึงนาพระกระยาหารเข้าไปถวาย. พระราชาทรงเมาสุรา ไม่ทรงเห็นเนื้อในถาด จึงตรัสถามว่า เนื้ออยู่ที่ไหน พ่อครัวกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ ข้าพระองค์หาเนื้อไม่ได้ เพราะวันนี้เป็ นวันอุโบสถ ไม่มีการฆ่าสัตว์ จึงตรัสว่า ชื่อว่าเนื้อสาหรับเราหาได้ยากนักหรือ จึงทรงหักคอพระโอรสที่นั่งอยู่บนพระเพลา จนถึงสิ้นชีพีตักษัย โยนไปข้างหน้าพ่อครัว ตรัสว่า จงไปปรุงมาโดยเร็ว. พ่อครัวได้ทาตามรับสั่ง. พระราชาได้เสวยพระกระยาหารด้วยเนื้อพระโอรสแล้ว มิได้มีผู้สามารถร่าไห้ทัดทานแม้แต่คนเดียว เพราะกลัวพระราชา. พระราชา ครั้นเสวยเสร็จแล้วเสด็จเข้าห้องบรรทม ทรงตื่นบรรทม ตอนใกล้รุ่ง ทรงสร่างเมาแล้วรับสั่งว่า จงนาโอรสของเรามา ในกาลนั้น พระเทวีหมอบกันแสงร่าไห้อยู่ ณ แทบพระบาท เมื่อพระราชาตรัสถามว่า กันแสงเรื่องอะไร กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ เมื่อวานนี้พระองค์ทรงฆ่าพระโอรสแล้วเสวยพระกระยาหารกับเนื้อพระโอรสเพค ะ. พระราชาทรงกันแสงด้วยความโศกถึงพระโอรส ทรงเห็นโทษในการดื่มน้าเมาว่า ทุกข์นี้เกิดขึ้นแก่เรา เพราะอาศัยการดื่มน้าเมา แล้วทรงกาฝุ่นขึ้นมาทาพระพักตร์ ทรงอธิษฐานว่า ตั้งแต่นี้ไป เรายังไม่บรรลุพระอรหัตตราบใด เราจักไม่ดื่มสุราอันทาความพินาศเช่นนี้ตราบนั้น. ตั้งแต่นั้นมา พระองค์มิได้ทรงดื่มน้าเมาอีกเลย. ลาดับนั้น พระราชาตรัสถามฉัตตปาณีว่า ฉัตตปาณี ท่านเห็นอารมณ์อะไรหรือ จึงไม่มีความรัก. ฉัตตปาณี เมื่อจะทูลเหตุนั้น จึงกล่าวคาถานี้ว่า :- ข้าพระองค์เป็นพระราชา พระนามว่ากิตวาส โอรสของข้าพระองค์ทาลายบาตรของพระปัจเจกพุทธเจ้า แล้วสิ้นชีวิต ข้าพระองค์ไม่มีความรักเพราะโอรสนั้นเป็นเหตุ. ความในคาถานั้นว่า ข้าแต่มหาราช เมื่อครั้งก่อน ข้าพระองค์เป็นพระราชาพระนามว่า กิตวาส ในกรุงพาราณสี โอรสของข้าพระองค์ได้ประสูติ. ครั้นประสูติแล้ว โหรเห็นลักษณะพระโอรสแล้วทานายว่า ข้าแต่มหาราช พระอาญาไม่พ้นเกล้า พระโอรสนี้จักอดน้าสิ้นพระชนม์ พระเจ้าข้า. พระชนกชนนีทรงขนานนามพระโอรสนั้นว่า ทุฏฐกุมาร.
  • 9. 9 กุมารนั้นครั้นเจริญวัยแล้วได้ดารงตาแหน่งเป็ นอุปราช พระราชาโปรดให้พระกุมารตามเสด็จข้างหน้าบ้าง ข้างหลังบ้างเสมอ และเพราะเกรงพระโอรสจะอดน้าตาย จึงรับสั่งให้ขุดสระโบกขรณีไว้ในที่นั้นๆ ภายในพระนครในประตูทั้งสี่ด้าน รับสั่งให้สร้างมณฑปไว้ ตามสี่แยกเป็นต้น แล้วให้ตั้งตุ่มน้าดื่มไว้. วันหนึ่ง พระกุมารแต่งพระองค์เสด็จประพาสอุทยานแต่เช้าตรู่ พบพระปัจเจกพุทธเจ้าในระหว่างทาง. มหาชนเห็นพระปัจเจกพุทธเจ้า แล้วต่างก็กราบไหว้ สรรเสริญ และประคองอัญชลีแด่พระปัจเจกพุทธเจ้านั้น. พระกุมารนั้นคิดว่า พวกที่ไปกับคนเช่นเรา พากันกราบไหว้สรรเสริญประคองอัญชลีแด่สมณะโล้นนี้ ทรงพิโรธ ลงจากช้างเข้าไปหาพระปัจเจกพุทธเจ้า ตรัสถามว่า สมณะ ท่านได้ภัตตาหารแล้วหรือ. พระปัจเจกพุทธเจ้าบอกว่า ได้แล้วพระกุมาร. พระกุมารจึงแย่งบาตรจากมือพระปัจเจกพุทธเจ้า ทุ่มลงบนพื้นดิน เหยียบย่ายีภัตตาหารให้แหลกไป. พระปัจเจกพุทธเจ้าแลดูหน้าพระกุมารนั้น คิดว่า สัตว์ผู้นี้ทีจะวอดวายเสียแล้วหนอ. พระกุมารตรัสว่า สมณะ เราเป็นโอรสของพระเจ้ากิตวาส มีนามว่า ทุฏฐกุมาร ท่านโกรธเรา มองดูตาเรา จะทาอะไรเรา. พระปัจเจกพุทธเจ้า บาตรแตกแล้ว จึงเหาะขึ้นสู่เวหาไปสู่เงื้อมเขานันทมูล ณ หิมวันตประเทศ เบื้องทิศอุดร. ขณะนั้นเอง กรรมชั่วของพระกุมารก็ให้ผลทันตา พระกุมารมีพระวรกายเร่าร้อน พลุ่งพล่าน ตรัสว่า ร้อนเหลือเกินล้มลง ณ ที่นั้นเอง. น้าทั้งหมดที่มีอยู่ ณ ที่นั้นๆ ก็เหือดแห้ง สระทั้งหลายก็แห้งผาก. พระกุมารสิ้นชีพิตักษัยในที่นั้นเอง ไปบังเกิดในนรกอเวจี. พระราชาทรงสดับเรื่องราวนั้นแล้ว ถูกความโศกถึงพระโอรสครอบงา ทรงดาริว่า ความโศกของเรานี้เกิดขึ้นแต่สิ่งที่เรารัก หากเราจะไม่มีความรักแล้ว ความโศกก็จะไม่เกิดขึ้น ตั้งแต่บัดนี้เป็ นต้นไป ขึ้นชื่อว่าความรักในสิ่งใดๆ ทั้งที่มีวิญญาณหรือไม่มีวิญญาณ อย่าได้เกิดขึ้นแก่เราเลย ทรงอธิษฐานดังนี้แล้ว ตั้งแต่นั้นไป ก็ไม่มีความรักเลย. ลาดับนั้น พระราชาตรัสถามฉัตตปาณีว่า ดูก่อนฉัตตปาณี ท่านเห็นอารมณ์อันใดเล่า จึงเป็ นผู้ไม่โกรธ. ฉัตตปาณี เมื่อจะกราบทูลความนั้น จึงกล่าวคาถานี้ว่า :- ข้าพระองค์เป็นดาบสชื่อว่าอรกะ เจริญเมตตาจิต เจ็ดปี อยู่ในพรหมโลก เจ็ดกัป เพราะฉะนั้นจึงเป็นผู้ไม่โกรธ. ความในคาถานั้นว่า ข้าแต่มหาราช ข้าพระองค์เป็นดาบสชื่ออรกะ เจริญเมตตาจิต เจ็ดปี
  • 10. 10 แล้วอยู่ในพรหมโลกถึงเจ็ดสังวัฏฏกัป วิวัฏฏกัป ข้าพระองค์นั้นจึงไม่เป็ นผู้โกรธ เพราะประพฤติสั่งสมเมตตาภาวนาสิ้นกาลนาน. เมื่อฉัตตปาณีกราบทูลองค์ ๔ ของตนอย่างนี้แล้ว พระราชาได้ทรงให้สัญญาที่นัดหมายไว้แก่บริษัท ทันใดนั้นเอง เหล่าอามาตย์มีพราหมณ์และคหบดีเป็ นต้น ต่างลุกฮือกันขึ้นกล่าวว่า แน่ะเจ้าคนกินสินบน โจรผู้ชั่วร้าย เจ้าไม่ได้กินสินบนแล้ว จึงคิดจะฆ่าบัณฑิต ต่างช่วยกันจับมือและเท้ากาฬกะเสนาบดี พาลงจากพระราชนิเวศน์ ทุบศีรษะด้วยก้อนหินและไม้ค้อนคนละไม้คนละมือ จนถึงแก่ความตาย จึงจับเท้าลากไปทิ้งไว้ที่กองหยากเยื่อ. ตั้งแต่นั้นมา พระราชาทรงครองราชสมบัติโดยธรรม ครั้นสวรรคตแล้ว ก็เสด็จไปตามยถากรรม. พระศาสดาทรงนาพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ทรงประชุมชาดก. กาฬกะเสนาบดีในครั้งนั้น ได้เป็น เทวทัต ในครั้งนี้. ฉัตตปาณีอุบาสกได้เป็น สารีบุตร ส่วนธัมมัทธชปุโรหิต คือ เราตถาคต นี้แล. จบ อรรถกถาธัมมัทธชชาดกที่ ๑๐ รวมชาดกที่มีในวรรคนี้ คือ -----------------------------------------------------