SlideShare a Scribd company logo
1 of 10
1
ขทิรังคารชาดก
พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]
ขุททกนิกาย ชาดก ภาค ๑
๑๐. ขทิรังคารชาดก (จากพระไตรปิฎก ลาดับเรื่องที่ ๔๐)
ว่าด้วยหลุมถ่านเพลิงไม้ตะเคียน
(เศรษฐีโพธิสัตว์เมื่อจะให้มารผู้ประสงค์จะทาลายชีวิตพระปัจเจกพุทธเจ้า
และทาลายโรงทานทราบว่า ตัวท่านหรือมารมีกาลังมีอานุภาพมากกว่ากัน
จึงกล่าวคาถานี้กับพระปัจเจกพุทธเจ้าว่า)
[๔๐] ข้าพเจ้าจะตกหลุมถ่านเพลิงมีเท้าชี้ขึ้น มีศีรษะปักลงก็ตามที
ข้าพเจ้าจะไม่ทาความชั่วอันเป็นกรรมไม่ประเสริฐอีก
ขอนิมนต์พระคุณเจ้ารับบิณฑบาตนี้เถิด
ขทิรังคารชาดกที่ ๑๐ จบ
--------------------------
คาอธิบายเพิ่มเติมนามาจากบางส่วนของอรรถกถา
เอกกนิบาตชาดก กุลาวกวรรค
๑๐. ขทิรังคารชาดก ว่าด้วยมีจิตมั่นคง
พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวันวิหาร
ทรงปรารภทานของอนาถบิณฑิกเศรษฐี จึงตรัสพระธรรมเทศนานี้ ดังนี้.
ความพิศดารว่า ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐีปรารภเฉพาะวิหารเท่านั้น
เรี่ยรายทรัพย์ ๕๔โกฏิไว้ในพระพุทธศาสนา มิได้ทาความสาคัญในสิ่งอื่น
ว่าเป็นรัตนะนอกจากรัตนะทั้ง ๓ ให้เกิดเลย
เมื่อพระศาสดาประทับอยู่ในพระเชตวันวิหาร ย่อมไปยังที่บารุงใหญ่ ๓
ครั้งทุกวัน ตอนเช้าตรู่ไปครั้งหนึ่ง รับประทานอาหารเช้าแล้วไปครั้งหนึ่ง
เวลาเย็นไปครั้งหนึ่ง ที่บารุงในระหว่าง แม้แห่งอื่นก็มีเหมือนกัน.
ก็เมื่อจะไป ไม่เคยมีมือเปล่าไป ด้วยคิดว่า
สามเณรหรือภิกษุหนุ่มทั้งหลาย จะพึงแลดูแม้มือของเรา ด้วยคิดว่า
ท่านเศรษฐีถืออะไรมาหนอ เมื่อไปตอนเช้า ให้คนถือข้าวยาคูไป
รับประทานอาหารเช้า แล้วเมื่อจะไป ให้คนถือเอาเนยใส เนยข้น น้าผึ้ง
และน้าอ้อยเป็นต้นไป เมื่อจะไปเวลาเย็น ถือของหอม ดอกไม้และผ้าไป.
ก็เมื่อท่านเศรษฐีนั้นบริจาคอยู่อย่างนี้ทุกวันๆ ประมาณในการบริจาค ย่อมไม่มี.
ฝ่ายคนผู้อาศัยการค้าขายเลี้ยงชีพเป็นอันมาก
ทาหนังสือให้ไว้กับมือของท่านเศรษฐี กู้เอาทรัพย์ไปนับได้ ๑๘ โกฏิ.
ท่านเศรษฐีให้ทวงเอาทรัพย์ของคนเหล่านั้นมา อนึ่ง ทรัพย์ ๑๘
โกฏิจานวนอื่นซึ่งเป็ นของประจาตระกูลของท่านเศรษฐีนั้น ฝังไว้ที่ฝั่งแม่น้า
2
เมื่อฝั่งแม่น้าถูกน้าในแม่น้าอจิรวดีเซาะพังทลาย ก็เคลื่อนลงมหาสมุทรไป.
ตุ่มโลหะ (ที่บรรจุทรัพย์) ตามที่ปิดไว้และประทับตราไว้นั้น ก็กลิ้งไปในท้องทะเล.
ก็ในเรือนของท่านเศรษฐีนั้น ยังคงมีนิตยภัตเป็นประจาสาหรับภิกษุ
๕๐๐ รูป. จริงอยู่ เรือนของท่านเศรษฐีเป็ นเช่นกับสระโบกขรณีที่ขุดไว้ในหนทาง
๔ แพร่งสาหรับภิกษุสงฆ์ ตั้งอยู่ในฐานะบิดามารดาของภิกษุทั้งปวง ด้วยเหตุนั้น
แม้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็เสด็จไปเรือนของท่านเศรษฐีนั้น ฝ่ายพระมหาเถระทั้ง
๘๐ องค์ก็ไปเหมือนกัน. ส่วนภิกษุทั้งหลายที่เหลือ ต่างมาๆ ไปๆ
หาประมาณมิได้.
ก็เรือนนั้นมี ๗ ชั้น ประดับด้วยซุ้มประตู ๗ ซุ้ม
มีเทวดาผู้เป็ นมิจฉาทิฏฐิองค์หนึ่ง สิงอยู่ที่ซุ้มประตูที่ ๔ ของเรือนนั้น. เทวดานั้น
เมื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จเข้าเรือน และเสด็จออกไป
ไม่อาจดารงอยู่ในวิมานของตน จับเอาทารกลงมายืนอยู่เฉพาะบนภาคพื้น
แม้เมื่อพระมหาเถระทั้ง ๘๐ องค์เข้าไปและออกมา ก็กระทาเหมือนอย่างนั้น.
เทวดานั้นคิดว่า
ก็เมื่อพระสมณโคดมและเหล่าสาวกของพระสมณโคดมนั้น ยังคงเข้าเรือนนี้อยู่
ชื่อว่าความสุขของเราย่อมไม่มี เราจักไม่อาจลงมายืนอยู่บนภาคพื้น
ตลอดกาลเป็นนิตย์ได้
เรากระทาโดยประการที่พระสมณะเหล่านี้เข้ามายังเรือนนี้ไม่ได้ จึงจะควร.
อยู่มาวันหนึ่ง เทวดานั้นไปยังสานักของผู้เป็ นมหากัมมันติกะ
(ผู้อานวยการ) ผู้กาลังเข้านอนแล้วได้ยืนแผ่โอภาสสว่างไสว
และเมื่อท่านผู้เป็นมหากัมมันติกะกล่าวว่า ใครอยู่ที่นี่. จึงกล่าวว่า เราเป็ นเทวดา
ผู้บังเกิดอยู่ที่ซุ้มประตูที่ ๔. มหากัมมันติกะกล่าวว่า ท่านมาเพราะเหตุอะไร.
เทวดากล่าวว่า ท่านไม่เห็นการกระทาของท่านเศรษฐีหรือ. ท่านเศรษฐีไม่มองดู
กาลอันจะมีมาภายหลังของตน นาทรัพย์ออกถม เฉพาะพระสมณโคดมเท่านั้น
ให้เต็มบริบูรณ์ ไม่ประกอบการค้าขาย ไม่ริเริ่มการงาน ท่านจงโอวาทท่านเศรษฐี
ท่านจงกระทาโดยประการที่ท่านเศรษฐีจะทาการงานของตน
และพระสมณโคดมพร้อมทั้งสาวกจะไม่เข้ามายังเรือนนี้.
ลาดับนั้น ท่านมหากัมมันติกะนั้นได้กล่าวกะเทวดานั้นว่า
ดูก่อนเทวดาพาล ท่านเศรษฐี เมื่อสละทรัพย์ ก็สละในพระพุทธศาสนา
อันเป็นเครื่องนาออกจากทุกข์ ท่านเศรษฐีนั้น ถ้าจักจับเราที่มวยผมเอาไปขาย
เราจักไม่กล่าวอะไรๆ เลย ท่านจงไปเสียเถิด. อีกวันหนึ่ง
เทวดานั้นเข้าไปหาบุตรชายคนใหญ่ของท่านเศรษฐี
แล้วกล่าวสอนเหมือนอย่างนั้น. ฝ่ายบุตรชายท่านเศรษฐีก็คุกคามเทวดานั้น
โดยนัยอันมีในก่อนนั่นแหละ. แต่เทวดานั้นไม่อาจกล่าวกับท่านเศรษฐีได้เลย.
ฝ่ายท่านเศรษฐีให้ทานอยู่ไม่ขาดสาย ไม่กระทาการค้าขาย
3
เมื่อทรัพย์สมบัติมีน้อย ทรัพย์ก็ได้ถึงการหมดสิ้นไป.
ครั้งเมื่อท่านเศรษฐีนั้นถึงความยากจนเข้าโดยลาดับ ผ้าสาฎก ที่นอน
และภาชนะอันเป็นเครื่องบริโภคใช้สอย ไม่ได้เป็นเหมือนดังแต่ก่อน. ท่านเศรษฐี
แม้จะเป็นอย่างนี้ ก็ยังคงให้ทานแก่ภิกษุสงฆ์ แต่ไม่อาจทาให้ประณีตแล้วถวาย.
ครั้นวันหนึ่ง พระศาสดาตรัสถามเศรษฐีนั้น ผู้ถวายบังคม
แล้วนั่งอยู่ว่า ดูก่อนคฤหบดี ก็ทานในตระกูล ท่านยังให้อยู่หรือ?
เศรษฐีนั้นกราบทูลว่า ยังให้อยู่พระเจ้าข้า แต่ว่า ทานนั้นเศร้าหมอง
เป็นข้าวปลายเกรียนมีน้าผักดองเป็นที่สอง.
ลาดับนั้น พระศาสดาตรัสกะเศรษฐีนั้นว่า คฤหบดี
ท่านอย่าทาจิตให้ยุ่งยากว่า เราให้ทานเศร้าหมองเลย เพราะว่า เมื่อจิตประณีต
ทานที่ถวายให้แก่พระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า และพระสาวกทั้งหลาย
ย่อมไม่ชื่อว่า เศร้าหมอง.
เพราะเหตุไร?
เพราะมีผลมาก. ก็ข้อนี้ ควรจะทราบอย่างนี้ว่า
ก็เมื่อสามารถทาจิตให้ประณีต ทาน ชื่อว่าเศร้าหมอง ย่อมไม่มี
และว่า
เมื่อจิตผ่องใสแล้ว ทักษิณา การทาบุญในพระตถาคตสัมพุทธเจ้า
หรือในสาวกของพระสัมพุทธเจ้านั้น ชื่อว่ามีประมาณน้อย ย่อมไม่มี.
ได้ยินมาว่า การบาเรอในพระอโนมทัสสีพุทธเจ้าทั้งหลาย มีผลน้อย
ย่อมไม่มี ท่านจงเห็นผลของก้อนข้าวกุมมาส อันเศร้าหมองและไม่เค็มเถิด.
แม้อีกข้อหนึ่ง พระศาสดาตรัสว่า ดูก่อนคฤหบดี ก่อนอื่น
ท่านเมื่อให้ทานเศร้าหมอง ยังได้ให้แก่พระอริยบุคคล ๘ จาพวก
เราครั้งเป็นเวลามพราหมณ์ ให้รัตนะทั้ง ๗ กระทาชมพูทวีปทั้งสิ้น
ให้ไม่ต้องทาไร่ไถนา ยังมหาทานให้เป็นไป ดุจทาแม่น้าใหญ่ทั้ง ๕
สายให้เต็มเป็นห้วงเดียวกัน ก็ไม่ได้ใครๆ ผู้ถึงสรณะ ๓ หรือผู้รักษาศีล ๕ ชื่อว่า
บุคคลผู้ควรแก่ทักษิณา หาได้ยากอย่างนี้ เพราะฉะนั้น
ท่านอย่าได้ทาจิตให้ยุ่งยาก ว่า ทานของเราเศร้าหมอง ก็แหละ
ครั้นตรัสอย่างนี้แล้ว จึงตรัส เวลามสูตร.
ครั้งนั้นแล เทวดานั้นไม่อาจกล่าวกับเศรษฐีในกาลที่
ท่านเศรษฐียังเป็ นใหญ่ สาคัญว่า บัดนี้ เศรษฐีนี้จักเชื่อถือคาของเรา
เพราะเป็นผู้ตกยาก ในเวลาเที่ยงคืน จึงเข้าไปยังห้องอันเป็ นสิริ
ได้แผ่แสงสว่างยืนอยู่ในอากาศ. เศรษฐีเห็นดังนั้น จึงกล่าวว่า นั้นใคร.
เทวดานั้นกล่าวว่า ท่านมหาเศรษฐี ข้าพเจ้าเป็นเทวดาผู้สิงอยู่ที่ซุ้มประตูที่ ๔.
เศรษฐีกล่าวว่า ท่านมาเพื่ออะไร. เทวดากล่าวว่า
ข้าพเจ้าประสงค์จะกล่าวโอวาทท่าน จึงได้มา.
4
เศรษฐีกล่าวว่า ถ้าอย่างนั้น ท่านจงกล่าว.
เทวดากล่าวว่า มหาเศรษฐี ท่านไม่คิดถึงเวลาหลัง ไม่เห็นแก่บุตรธิดา
เรี่ยรายทรัพย์เป็นอันมากลงในศาสนาของพระสมณโคดม
ท่านนั้นเกิดเป็นคนยากไร้ เพราะอาศัยพระสมณโคดม
โดยสละทรัพย์เกินขอบเขต หรือโดยไม่ทาการค้าขายและการงาน
ท่านถึงแม้จะเป็ นอย่างนี้ก็ยังไม่ปล่อยพระสมณโคดม แม้ทุกวันนี้
สมณะเหล่านั้นก็ยังเข้าเรือนอยู่นั่นแหละ
ทรัพย์ที่พวกสมณะเหล่านั้นนาออกไปแล้ว ใครๆ ไม่อาจให้นากลับมาได้
ย่อมเป็นอันถือเอาเลย ก็ตั้งแต่นี้ไป
ตัวท่านเองก็อย่าได้ไปสานักของพระสมณโคดม
ทั้งอย่าได้ให้สาวกทั้งหลายของพระโคดมนั้น เข้ามายังเรือนนี้
ท่านแม้ให้พระสมณโคดมกลับไปแล้ว ก็อย่าได้เหลียวแล
จงกระทาคดีฟ้ องร้องและการค้าขายของตน รวบรวมทรัพย์สมบัติ.
เศรษฐีนั้นจึงกล่าวกะเทวดานั้น อย่างนี้ว่า
นี้เป็นโอวาทที่ท่านให้เราหรือ.
เทวดากล่าวว่า จ้ะ นี้เป็ นโอวาท.
ท่านเศรษฐีกล่าวว่า
เราอันพระทศพลทรงกระทาให้เป็นผู้อันพวกเทวดา เช่นท่านตั้งร้อยก็ดี พันก็ดี
แสนก็ดี ให้หวั่นไหวไม่ได้ และศรัทธาของเราไม่คลอนแคลน ตั้งมั่นดีแล้ว
ดุจภูเขาสิเนรุ เราสละทรัพย์ในรัตนศาสนา อันเป็ นเครื่องนาออกจากทุกข์
ท่านพูดคาอันไม่ควร ท่านผู้ไม่มีอาจาระ ทุศีล เป็นกาลกิณี เห็นปานนี้
ให้การประหารพระพุทธศาสนา เราไม่มีกิจ คือการอยู่ในเรือนเดียวกันกับท่าน
ท่านจงรีบออกจากเรือนของเราไปอยู่ที่อื่น.
เทวดานั้นได้ฟังคาของพระอริยสาวกผู้โสดาบัน ไม่อาจดารงอยู่ได้
จึงไปยังที่อยู่ของตน แล้วเอามือจับทารกออกไป ก็แหละครั้นออกไปแล้ว
ไม่ได้ที่อยู่ในที่อื่น คิดว่า จักให้เศรษฐีอดโทษแล้ว อยู่ที่ซุ้มประตูนั้นนั่นแหละ
จึงไปยังสานักของเทวบุตรผู้รักษาพระนคร ไหว้เทวบุตรนั้นแล้วยืนอยู่
และอันเทวบุตรผู้รักษาพระนคร กล่าวว่า ท่านมา เพราะต้องการอะไร.
จึงกล่าวว่า นาย ข้าพเจ้าไม่ได้ใคร่ครวญ พูดกับท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี
ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐีนั้นโกรธเรา ฉุดคร่าเราออกจากที่อยู่
ท่านจงนาข้าพเจ้าไปยังสานักของท่านเศรษฐี
ให้ท่านอดโทษแล้วให้ที่อยู่แก่ข้าพเจ้า.
เทวบุตรผู้รักษาพระนครถามว่า ก็ท่านพูดกะท่านเศรษฐีอย่างไร?
เทวดานั้นกล่าวว่า ข้าแต่นาย ข้าพเจ้ากล่าวกะท่านเศรษฐี อย่างนี้ว่า
นาย ตั้งแต่นี้ ท่านอย่ากระทาการอุปัฏฐากพระพุทธเจ้าและพระสงฆ์
5
ท่านอย่าให้พระสมณโคดมเข้าไปในเรือน.
เทวบุตรผู้รักษาพระนครกล่าวว่า ท่านกล่าวคาอันไม่สมควร
ท่านให้การประหารในพระศาสนา เราไม่อาจพาท่านไปยังสานักของท่านเศรษฐี.
เทวดานั้นไม่ได้การช่วยเหลือจากสานักของเทวบุตรนั้น
จึงได้ไปยังสานักของท้าวมหาราชทั้ง ๔ แม้ท้าวมหาราชทั้ง ๔
นั้นก็ปฏิเสธเหมือนอย่างนั้น จึงเข้าไปเฝ้ าท้าวสักกเทวราช กราบทูลเรื่องราวนั้น
แล้วอ้อนวอนอย่างดีว่า ข้าแต่เทวราช ข้าพระองค์ไม่ได้ที่อยู่
จูงทารกเป็ นคนอนาถาเที่ยวไป ขอพระองค์จงยังเศรษฐีให้ให้ที่อยู่แก่ข้าพระองค์
ด้วยสิริของพระองค์.
แม้ท้าวสักกะนั้นก็ตรัสกะเทวดานั้นว่า ท่านกระทากรรมอันไม่สมควร
ท่านให้การประหารในศาสนาของพระชินเจ้า แม้เราก็ไม่อาจกล่าวกับเศรษฐี
เหตุอาศัยท่าน แต่เราจะบอกอุบายให้ ท่านเศรษฐีนั้นอดโทษแก่ท่านสักอย่างหนึ่ง.
เทวดานั้นกราบทูลว่า สาธุ ข้าแต่เทวะ ขอพระองค์จงตรัสบอก.
ท้าวสักกะตรัสว่า คนทั้งหลายทาหนังสือไว้กับมือของท่านเศรษฐี
ถือเอาทรัพย์ไปนับได้ ๑๘ โกฏิ มีอยู่.
ท่านจงแปลงเพศเป็ นคนเก็บส่วยของท่านเศรษฐีนั้น อย่าให้ใครๆ รู้จัก
ถือเอาหนังสือเหล่านั้น อันพวกยักษ์หนุ่มๆ ๒-๓ คนห้อมล้อม มือหนึ่งถือหนังสือ
(สัญญา) มือหนึ่งถือเครื่องเขียน ไปเรือนของคนเหล่านั้น ยืนอยู่ในท่ามกลางเรือน
ทาคนเหล่านั้นให้สะดุ้งกลัว ด้วยอานุภาพแห่งยักษ์ของตน แล้วชาระเงิน ๑๘ โกฏิ
ทาคลังเปล่าของเศรษฐีให้เต็ม ทรัพย์ที่ฝังไว้ริมฝั่งแม่น้าอจิรวดีอีกแห่งหนึ่ง
เมื่อฝั่งแม่น้าพัง จึงเลื่อนลงสู่สมุทร มีอยู่. จงนาเอาทรัพย์แม้นั้นมา
ด้วยอานุภาพของตน แล้วทาคลังให้เต็ม ทรัพย์แม้อีกแห่งหนึ่งประมาณ ๑๘
โกฏิไม่มีเจ้าของหวงแหน มีอยู่ในที่ชื่อโน้น จงนาเอาทรัพย์แม้นั้นมา
ทาคลังเปล่าให้เต็ม ท่านจงทาคลังเปล่าอันเต็มด้วยทรัพย์ ๕๔ โกฏินี้
ให้เป็นทัณฑกรรม แล้วให้มหาเศรษฐีอดโทษ.
เทวดานั้นรับคาของท้าวสักกะนั้นว่า ดีละ ข้าแต่พระองค์ผู้ประเสริฐ
แล้วนาทรัพย์ทั้งหมดมา โดยนัยดังกล่าวแล้วนั่นแหละ. ในเวลาเที่ยงคืน
จึงเข้าไปห้องอันประกอบด้วยสิริของเศรษฐี ได้แผ่แสงสว่างยืนอยู่ในอากาศ
เมื่อเศรษฐีกล่าวว่า นั่นใคร.
จึงกล่าวว่า ท่านมหาเศรษฐี ข้าพเจ้าเป็นเทวดา
ซึ่งสิงสถิตอยู่ที่ซุ้มประตูที่ ๔ ของท่าน ข้าพเจ้าผู้หลงเพราะโมหะใหญ่
ไม่รู้จักคุณของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ได้กล่าวคาอะไรๆ กับท่านในวันก่อนๆ มีอยู่
ท่านจงอดโทษนั้นแก่ข้าพเจ้า ข้าพเจ้านาทรัพย์ ๕๔ โกฏิ
มาตามพระดารัสของท้าวสักกะเทวราช คือทรัพย์ ๑๘
โกฏิโดยชาระสะสางหนี้ของท่าน (และ) ทรัพย์ ๑๘ โกฏิของคน
6
ผู้ไม่ใช่เจ้าของทรัพย์ ในที่นั้นๆ กระทาทัณฑกรรมโดยทาคลังว่างเปล่าให้เต็ม
ทรัพย์ที่ถึงความสิ้นไป เพราะปรารภ (การสร้าง) พระวิหารเชตวัน
ข้าพเจ้าได้รวบรวมมาทั้งหมด ข้าพเจ้าเมื่อไม่ได้ที่อยู่ย่อมลาบาก
ข้าแต่ท่านมหาเศรษฐี ท่านอย่าใส่ใจคาที่ข้าพเจ้ากล่าว เพราะความไม่รู้
จงอดโทษด้วยเถิด.
ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐีได้ฟังคาของเทวดานั้น แล้วคิดว่า
เทวดานี้กล่าวว่า ก็ข้าพเจ้าได้ทาทัณฑกรรมแล้ว
และปฏิญญายอมรับรู้โทษของตน พระศาสดาจักทรงแนะนาเทวดานี้
แล้วให้รู้จักคุณของตน ก็เราจักแสดง (เทวดานี้) แด่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า.
ลาดับนั้น ท่านมหาเศรษฐีจึงกล่าวกะเทวดานั้นว่า ดูก่อนเทวดาผู้สหาย
ถึงแม้ท่านจักให้เราอดโทษ จงให้อดโทษในสานักของพระศาสดา.
เทวดานั้นกล่าวว่า ดีละ ข้าพเจ้าจักกระทาอย่างนั้น อนึ่ง
ท่านจงพาเราไปยังสานักของพระศาสดาเถิด.
มหาเศรษฐีนั้นกล่าวว่า ดีละ เมื่อราตรีสว่างแล้ว
จึงพาเทวดานั้นไปยังสานักของพระศาสดา แต่เช้าตรู่ แล้วกราบทูล
กรรมที่เทวดานั้นกระทาทั้งหมดแก่พระตถาคต.
พระศาสดาได้ทรงสดับคาของท่านมหาเศรษฐีนั้นแล้ว จึงตรัสว่า
ดูก่อนคฤหบดี แม้บุคคลผู้ลามกในโลกนี้ ย่อมเห็นกรรมอันเจริญ
ตราบเท่าที่บาปยังไม่ให้ผล ก็เมื่อใด บาปย่อมให้ผลแก่บุคคลผู้ลามกนั้น เมื่อนั้น
บุคคลผู้ลามกนั้นย่อมเห็นแต่บาปเท่านั้น. ฝ่ายบุคคลผู้เจริญย่อมเห็นบาปทั้งหลาย
ตราบเท่าที่กรรมอันเจริญยังไม่ให้ผล ก็ในกาลใด
กรรมอันเจริญย่อมให้ผลแก่บุคคลผู้เจริญนั้น ในกาลนั้น
บุคคลผู้เจริญนั้นย่อมเห็นแต่กรรมอันเจริญเท่านั้น.
แล้วได้ตรัสคาถา ๒ คาถาในพระธรรมบท ดังนี้ว่า
แม้บุคคลผู้ลามกย่อมเห็นกรรมอันเจริญ ตราบเท่าที่
กรรมอันลามกยังไม่ให้ผล ก็ในกาลใด กรรมอันลามกย่อมให้ผล ในกาลนั้น
บุคคลผู้ลามกนั้นย่อมเห็นกรรมอันลามกทั้งหลาย
ฝ่ายบุคคลผู้เจริญย่อมเห็นกรรมอันลามก ตราบเท่าที่
กรรมอันเจริญยังไม่ให้ผล ก็ในกาลใด กรรมอันเจริญย่อมให้ผล ในกาลนั้น
บุคคลผู้เจริญนั้น ย่อมเห็นกรรมอันเจริญทั้งหลาย.
ก็แหละในเวลาจบคาถาเหล่านี้ เทวดานั้นตั้งอยู่แล้วในโสดาปัตติผล.
เทวดานั้นหมอบลงที่พระบาททั้งสองของพระศาสดา อันเรี่ยรายด้วยจักร
ให้พระศาสดาทรงอดโทษว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์อันราคะย้อมแล้ว
อันโทสะประทุษร้ายแล้ว หลงแล้วด้วยโมหะ มืดมนเพราะอวิชชา
ไม่รู้คุณทั้งหลายของพระองค์ ได้กล่าวคาอันลามก
7
ขอพระองค์จงอดโทษคานั้นแก่ข้าพระองค์ แล้วยังมหาเศรษฐีให้อดโทษ.
สมัยนั้น
ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐีกล่าวคุณของตนเบื้องพระพักตร์ของพระศาสดาว่า
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เทวดานี้ แม้จะห้ามอยู่ว่า
จงอย่ากระทาการอุปัฏฐากพระพุทธเจ้าเป็ นต้น ก็ไม่อาจห้ามข้าพระองค์ได้
ข้าพระองค์ แม้ถูกเทวดานี้ห้ามอยู่ว่า ไม่ควรให้ทาน ก็ได้ให้อยู่ นั่นแหละ
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ นี้คุณของข้าพระองค์ มิใช่หรือ.
พระศาสดาตรัสว่า ดูก่อนคฤหบดี ท่านแลเป็ นพระอริยสาวกผู้โสดาบัน
มีศรัทธาไม่หวั่นไหว มีทัสสนะอันหมดจด
ความที่ท่านถูกเทวดาผู้มีศักดิ์น้อยนี้ห้ามอยู่ ก็ห้ามไม่ได้ ไม่น่าอัศจรรย์
ก็ข้อที่บัณฑิตทั้งหลายในปางก่อน เมื่อพระพุทธเจ้ายังไม่อุบัติขึ้น
ดารงอยู่ในญาณอันยังไม่แก่กล้า
ถูกมารผู้เป็นใหญ่ในกามาวจรภพยืนอยู่ในอากาศ แสดงหลุมถ่านเพลิงลึก ๘๐
ศอก โดยกล่าวว่า ถ้าท่านจักให้ทานไซร้ ท่านจักไหม้ในนรกนี้ แล้วห้ามว่า
ท่านอย่าได้ให้ทาน ก็ได้ยืนอยู่ ในท่ามกลางฝักดอกปทุม ให้ทาน นี้น่าอัศจรรย์.
อันท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐีทูลอ้อนวอน จึงทรงนาอดีตนิทานมา
ดังต่อไป.
ในอดีตกาล
เมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติอยู่ในพระนครพาราณสี
พระโพธิสัตว์บังเกิดในตระกูลเศรษฐีในนครพาราณสี อันญาติทั้งหลายให้เจริญ
พร้อมด้วยเครื่องอุปกรณ์ทั้งปวงมีประการต่างๆ ดุจเทพกุมาร
ถึงความเป็นผู้รู้เดียงสาโดยลาดับ ในเวลามีอายุ ๑๖ ปีเท่านั้น
ก็ถึงความสาเร็จในศิลปะทั้งปวง เมื่อบิดาล่วงไป
พระโพธิสัตว์นั้นดารงอยู่ในตาแหน่งเศรษฐี ให้สร้างโรงทาน ๖ แห่ง
คือที่ประตูเมืองทั้ง ๔ ประตู ๔ โรงทาน ท่ามกลางพระนคร ๑ โรงทาน
ที่ประตูนิเวศน์ของตน ๑ โรงทาน แล้วให้มหาทาน รักษาศีล รักษาอุโบสถกรรม
อยู่มาวันหนึ่ง ในเวลาอาหารเช้า เมื่อคนใช้นาเอาโภชนะ
อันเป็นที่ชอบใจมีรสเลิศต่างๆ เข้าไปให้พระโพธิสัตว์.
พระปัจเจกพุทธเจ้าองค์หนึ่ง เมื่อล่วงไป ๗ วัน ได้ออกจากนิโรธสมาบัติ
กาหนดเวลาภิกขาจารแล้ว คิดว่า วันนี้ เราไปยังประตูเรือนของพาราณสีเศรษฐี
จึงควร. จึงเคี้ยวไม้ชาระฟันชื่อนี้นาคลดา ล้างหน้าที่สระอโนดาต
ยืนที่พื้นมโนศิลา นุ่งแล้วผูกรัดประคด ห่มจีวร
ถือบาตรดินอันสาเร็จด้วยฤทธิ์มาทางอากาศ
พอคนใช้นาภัตเข้าไปให้พระโพธิสัตว์ ก็ได้ยืนอยู่ที่ประตูเรือน
พระโพธิสัตว์พอเห็นดังนั้น ก็ลุกจากอาสนะ แสดงอาการนอบน้อม
8
แล้วแลดูบุรุษผู้ทาการงาน เมื่อบุรุษผู้ทาการงาน กล่าวว่า กระผมจะทาอะไร
ขอรับนาย. จึงกล่าวว่า ท่านจงนาบาตรของพระผู้เป็ นเจ้ามา.
ทันใดนั้น มารผู้มีบาปสั่นสะท้านลุกขึ้นแล้ว
คิดว่าพระปัจเจกพุทธเจ้านี้ไม่ได้อาหารมา ๗ วันแล้วจากวันนี้ไป
วันนี้เมื่อไม่ได้จักฉิบหาย
เราจักทาพระปัจเจกพุทธเจ้านี้ให้พินาศและจักทาอันตรายแก่ทานของเศรษฐีจึงมา
ในขณะนั้นทันที แล้วเนรมิตหลุมถ่านเพลิงไม้ตะเคียน ๘๐ ศอก
ในระหว่างวัตถุสถานที่ตั้งหลุมถ่านเพลิงนั้นเต็มด้วยถ่านเพลิงไม้ตะเคียน
ไฟลุกโพลงมีแสงโชติช่วง ปรากฏเหมือนอเวจีมหานรก.
ก็ครั้นเนรมิตหลุมถ่านเพลิงนั้นแล้ว ตนเองได้ยืนอยู่ในอากาศ
บุรุษผู้มาเพื่อจะรับบาตรเห็นดังนั้น ได้รับความกลัวอย่างใหญ่หลวง จึงกลับไป.
พระโพธิสัตว์ถามว่า พ่อ เธอกลับมาแล้วหรือ?
บุรุษนั้นกล่าวว่า นาย หลุมถ่านเพลิงใหญ่นี้ไฟติดโพลง มีแสงโชติช่วง
มีอยู่ในระหว่างสถานที่ตั้ง เมื่อเป็นเช่นนั้นคนอื่นๆ ไปบ้าง รวมความว่า
คนผู้มาแล้วๆ แม้ทั้งหมด ก็ถึงซึ่งความกลัว รีบหนีไปโดยเร็ว.
พระโพธิสัตว์คิดว่า วันนี้
วสวัตดีมารผู้ประสงค์จะทาอันตรายแก่ทานของเรา จักเป็ นผู้ประกอบขึ้น
แต่วสวัตดีมารนั้นย่อมไม่รู้ว่า เราเป็ นผู้อันร้อยมาร พันมาร
แม้แสนมารให้หวั่นไหวไม่ได้ วันนี้ เราจักรู้ว่า เราหรือมาร มีกาลังมาก
มีอานุภาพมาก.
ครั้นคิดแล้ว
ตนเองจึงถือเอาถาดภัตตามที่เขาตระเตรียมไว้นั้นนั่นแหละ ออกไปจากเรือน
ยืนอยู่ฝั่งของหลุมถ่านเพลิง แล้วแลดูอากาศเห็นมาร จึงกล่าวว่า ท่านเป็นใคร.
มารกล่าวว่า เราเป็นมาร.
พระโพธิสัตว์ถามว่า หลุมถ่านเพลิงนี้ ท่านเนรมิตไว้หรือ?
มารกล่าวว่า เออ เราเนรมิต.
พระโพธิสัตว์ถามว่า เพื่อต้องการอะไร?
มารกล่าวว่า เพื่อต้องการทาอันตรายแก่ทานของท่าน
และเพื่อต้องการให้ชีวิตของพระปัจเจกพุทธเจ้าพินาศ.
พระโพธิสัตว์กล่าวว่า เราจักไม่ให้ท่านทาอันตรายทานของตน
และจักไม่ให้ท่านทาอันตรายแก่ชีวิตของพระปัจเจกพุทธเจ้า วันนี้ เราจักรู้ว่า
เราหรือท่าน มีกาลังมาก มีอานุภาพมาก จึงยืนที่ฝั่งหลุมถ่านเพลิง แล้วกล่าวว่า
ข้าแต่พระปัจเจกพุทธเจ้าผู้เจริญ ข้าพเจ้า แม้จะมีหัวลง
ตกไปในหลุมถ่านเพลิงแม้นี้ ก็จักไม่หวนกลับหลัง
ขอท่านจงรับโภชนะที่ข้าพเจ้าถวายอย่างเดียว แล้วกล่าวคาถานี้ว่า
9
ข้าพเจ้าจะตกนรก มีเท้าขึ้นเบื้องบน มีศีรษะลงเบื้องล่างก็ตาม
ข้าพเจ้าจักไม่ทากรรมอันไม่ประเสริฐ ขอนิมนต์ท่านรับก้อนข้าวเถิด.
ในคาถานั้น มีประมวลความดังต่อไปนี้ว่า
ท่านผู้เจริญ ถ้าข้าพเจ้า เมื่อจะถวายบิณฑบาตแก่ท่าน
จะเป็ นผู้มีศีรษะลงเบื้องล่าง มีเท้าขึ้นเบื้องบน ตกลงไปยังนรกนี้โดยแน่แท้
แม้ถึงอย่างนั้น ข้าพเจ้าจักไม่กระทาการไม่ให้ทาน และการไม่รักษาศีลซึ่งเรียกว่า
อนริยะ ไม่ประเสริฐ เพราะท่านผู้ประเสริฐไม่กระทา แต่ผู้ไม่ประเสริฐกระทานั้น
ขอนิมนต์ท่านรับก้อนข้าวที่ข้าพเจ้าถวายอยู่นี้เถิด.
พระโพธิสัตว์ ครั้นกล่าวอย่างนี้แล้ว มีการสมาทานอย่างมั่นคง
ถือถาดภัตแล่นไปทางเบื้องบนหลุมถ่านเพลิง ทันใดนั้นเอง
มหาปทุมดอกหนึ่งบานเต็มที่เกิดขึ้นเป็ นชั้นๆ จากพื้นหลุมถ่านเพลิงอันลึก ๘๐
ศอก ผุดขึ้นรับเท้าทั้งสองของพระโพธิสัตว์ แต่นั้น เกสรมีขนาดเท่าทะนานใหญ่
ผุดขึ้นตั้งอยู่เหนือศีรษะของพระมหาสัตว์
แล้วร่วงลงมาได้กระทาร่างกายทั้งสิ้นให้เป็นเสมือนโปรยด้วยละอองทอง.
พระโพธิสัตว์นั้นยืนอยู่ที่ฝักดอกปทุม ยังโภชนะมีรสเลิศต่างๆ
ให้ประดิษฐานลงในบาตรของพระปัจเจกพุทธเจ้า
พระปัจเจกพุทธเจ้านั้นรับโภชนะนั้น แล้วกระทาอนุโมทนา
โยนบาตรขึ้นในอากาศ เมื่อมหาชนเห็นอยู่นั่นแล แม้ตนเองก็เหาะขึ้นสู่เวหาส
ตรงไปป่าหิมพานต์ เหมือนเหยียบย่ากลีบเมฆฝน มีประการต่างๆ ไปฉะนั้น.
ฝ่ายมารแพ้แล้ว ก็ถึงความโทมนัสไปยังสถานที่อยู่ของตนนั่นเอง.
ส่วนพระโพธิสัตว์ยืนอยู่บนฝักดอกปทุม แสดงธรรมแก่มหาชน
โดยพรรณนาถึงทานและศีล อันมหาชนแวดล้อมเข้าไปยังนิเวศน์ของตน
กระทาบุญทั้งหลายมีทานเป็นต้น ตลอดชีวิตแล้ว ไปตามยถากรรม.
พระศาสดาตรัสว่า ดูก่อนคฤหบดี
ข้อที่ท่านผู้สมบูรณ์ด้วยทัสสนะอย่างนี้ อันเทวดาให้หวั่นไหวไม่ได้ในบัดนี้
ไม่น่าอัศจรรย์ สิ่งที่บัณฑิตทั้งหลายได้กระทาไว้ แม้ในกาลก่อนเท่านั้น
น่าอัศจรรย์.
ครั้นทรงนาพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว จึงทรงสืบอนุสนธิ
ประชุมชาดกว่า
พระปัจเจกพุทธเจ้าในกาลนั้นได้ปรินิพพานแล้วแล้ว ณ ที่นั้นเอง
ส่วนพาราณสีเศรษฐีผู้ทามารให้พ่ายแพ้
ยืนอยู่บนฝักดอกปทุมแล้วถวายบิณฑบาตแก่พระปัจเจกพุทธเจ้า คือ เราเอง แล.
จบอรรถกถาขทิรังคารชาดกที่ ๑๐
จบ กุลาวกวรรคที่ ๔.
-----------------------------------------------------
10

More Related Content

Similar to 040 ขทิรังคารชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx

๒๐ มหาปรินิพพานสูตร มจร ตอนที่ ๓.pdf
๒๐ มหาปรินิพพานสูตร มจร ตอนที่ ๓.pdf๒๐ มหาปรินิพพานสูตร มจร ตอนที่ ๓.pdf
๒๐ มหาปรินิพพานสูตร มจร ตอนที่ ๓.pdf
maruay songtanin
 
405 พกพรหมชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
405 พกพรหมชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx405 พกพรหมชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
405 พกพรหมชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
maruay songtanin
 
006 เทวธัมมชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
006 เทวธัมมชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....006 เทวธัมมชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
006 เทวธัมมชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
maruay songtanin
 
423 อินทริยชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
423 อินทริยชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....423 อินทริยชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
423 อินทริยชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
maruay songtanin
 
477 จูฬนารทกัสสปชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุ...
477 จูฬนารทกัสสปชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุ...477 จูฬนารทกัสสปชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุ...
477 จูฬนารทกัสสปชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุ...
maruay songtanin
 
453 มหามังคลชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
453 มหามังคลชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...453 มหามังคลชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
453 มหามังคลชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
maruay songtanin
 
๐๑. เตมิยชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ])....
๐๑. เตมิยชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ])....๐๑. เตมิยชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ])....
๐๑. เตมิยชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ])....
maruay songtanin
 
422 เจติยราชชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
422 เจติยราชชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...422 เจติยราชชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
422 เจติยราชชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
maruay songtanin
 
443 จูฬโพธิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
443 จูฬโพธิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....443 จูฬโพธิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
443 จูฬโพธิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
maruay songtanin
 
483 สรภมิคชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
483 สรภมิคชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx483 สรภมิคชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
483 สรภมิคชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
maruay songtanin
 
พระไตรปิฎกเล่มที่ ๐๕ วินัยปิฎกที่ ๐๕ มหาวรรค ภาค ๒
พระไตรปิฎกเล่มที่ ๐๕ วินัยปิฎกที่ ๐๕ มหาวรรค ภาค ๒พระไตรปิฎกเล่มที่ ๐๕ วินัยปิฎกที่ ๐๕ มหาวรรค ภาค ๒
พระไตรปิฎกเล่มที่ ๐๕ วินัยปิฎกที่ ๐๕ มหาวรรค ภาค ๒
Tongsamut vorasan
 
สิ่งที่ชาวพุทธต้องรู้
สิ่งที่ชาวพุทธต้องรู้สิ่งที่ชาวพุทธต้องรู้
สิ่งที่ชาวพุทธต้องรู้
Tongsamut vorasan
 
6 คุณสมบัติโสดาบัน sotapana
6 คุณสมบัติโสดาบัน sotapana6 คุณสมบัติโสดาบัน sotapana
6 คุณสมบัติโสดาบัน sotapana
Tongsamut vorasan
 
496 ภิกขาปรัมปรชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬ...
496 ภิกขาปรัมปรชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬ...496 ภิกขาปรัมปรชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬ...
496 ภิกขาปรัมปรชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬ...
maruay songtanin
 

Similar to 040 ขทิรังคารชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx (20)

๒๐ มหาปรินิพพานสูตร มจร ตอนที่ ๓.pdf
๒๐ มหาปรินิพพานสูตร มจร ตอนที่ ๓.pdf๒๐ มหาปรินิพพานสูตร มจร ตอนที่ ๓.pdf
๒๐ มหาปรินิพพานสูตร มจร ตอนที่ ๓.pdf
 
๐๖. ภูริทัตตชาดก.pdf
๐๖. ภูริทัตตชาดก.pdf๐๖. ภูริทัตตชาดก.pdf
๐๖. ภูริทัตตชาดก.pdf
 
405 พกพรหมชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
405 พกพรหมชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx405 พกพรหมชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
405 พกพรหมชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
 
006 เทวธัมมชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
006 เทวธัมมชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....006 เทวธัมมชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
006 เทวธัมมชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
 
๐๑. เตมิยชาดก.pdf
๐๑. เตมิยชาดก.pdf๐๑. เตมิยชาดก.pdf
๐๑. เตมิยชาดก.pdf
 
423 อินทริยชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
423 อินทริยชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....423 อินทริยชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
423 อินทริยชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
 
477 จูฬนารทกัสสปชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุ...
477 จูฬนารทกัสสปชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุ...477 จูฬนารทกัสสปชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุ...
477 จูฬนารทกัสสปชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุ...
 
453 มหามังคลชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
453 มหามังคลชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...453 มหามังคลชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
453 มหามังคลชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
 
08 จันทกุมารจริยา มจร.pdf
08 จันทกุมารจริยา มจร.pdf08 จันทกุมารจริยา มจร.pdf
08 จันทกุมารจริยา มจร.pdf
 
09 สิวิราชจริยา มจร.pdf
09 สิวิราชจริยา มจร.pdf09 สิวิราชจริยา มจร.pdf
09 สิวิราชจริยา มจร.pdf
 
๐๑. เตมิยชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ])....
๐๑. เตมิยชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ])....๐๑. เตมิยชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ])....
๐๑. เตมิยชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ])....
 
422 เจติยราชชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
422 เจติยราชชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...422 เจติยราชชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
422 เจติยราชชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
 
443 จูฬโพธิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
443 จูฬโพธิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....443 จูฬโพธิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
443 จูฬโพธิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
 
20 ชยทิสจริยา มจร.pdf
20 ชยทิสจริยา มจร.pdf20 ชยทิสจริยา มจร.pdf
20 ชยทิสจริยา มจร.pdf
 
483 สรภมิคชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
483 สรภมิคชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx483 สรภมิคชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
483 สรภมิคชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
 
พระไตรปิฎกเล่มที่ ๐๕ วินัยปิฎกที่ ๐๕ มหาวรรค ภาค ๒
พระไตรปิฎกเล่มที่ ๐๕ วินัยปิฎกที่ ๐๕ มหาวรรค ภาค ๒พระไตรปิฎกเล่มที่ ๐๕ วินัยปิฎกที่ ๐๕ มหาวรรค ภาค ๒
พระไตรปิฎกเล่มที่ ๐๕ วินัยปิฎกที่ ๐๕ มหาวรรค ภาค ๒
 
สิ่งที่ชาวพุทธต้องรู้
สิ่งที่ชาวพุทธต้องรู้สิ่งที่ชาวพุทธต้องรู้
สิ่งที่ชาวพุทธต้องรู้
 
6 คุณสมบัติโสดาบัน sotapana
6 คุณสมบัติโสดาบัน sotapana6 คุณสมบัติโสดาบัน sotapana
6 คุณสมบัติโสดาบัน sotapana
 
496 ภิกขาปรัมปรชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬ...
496 ภิกขาปรัมปรชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬ...496 ภิกขาปรัมปรชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬ...
496 ภิกขาปรัมปรชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬ...
 
14 จัมเปยยจริยา มจร.pdf
14 จัมเปยยจริยา มจร.pdf14 จัมเปยยจริยา มจร.pdf
14 จัมเปยยจริยา มจร.pdf
 

More from maruay songtanin

ผู้นำที่มีความเห็นอกเห็นใจ Compassionate leadership.pdf
ผู้นำที่มีความเห็นอกเห็นใจ Compassionate leadership.pdfผู้นำที่มีความเห็นอกเห็นใจ Compassionate leadership.pdf
ผู้นำที่มีความเห็นอกเห็นใจ Compassionate leadership.pdf
maruay songtanin
 
537 มหาสุตโสมชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
537 มหาสุตโสมชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ...537 มหาสุตโสมชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
537 มหาสุตโสมชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
maruay songtanin
 
535 สุธาโภชนชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
535 สุธาโภชนชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...535 สุธาโภชนชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
535 สุธาโภชนชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
maruay songtanin
 
534 มหาหังสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
534 มหาหังสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....534 มหาหังสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
534 มหาหังสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
maruay songtanin
 
533 จูฬหังสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
533 จูฬหังสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....533 จูฬหังสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
533 จูฬหังสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
maruay songtanin
 
532 โสณนันทชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
532 โสณนันทชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....532 โสณนันทชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
532 โสณนันทชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
maruay songtanin
 
531 กุสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
531 กุสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx531 กุสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
531 กุสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
maruay songtanin
 
530 สังกิจจชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
530 สังกิจจชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....530 สังกิจจชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
530 สังกิจจชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
maruay songtanin
 
529 โสณกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
529 โสณกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx529 โสณกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
529 โสณกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
maruay songtanin
 
527 อุมมาทันตีชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬา...
527 อุมมาทันตีชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬา...527 อุมมาทันตีชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬา...
527 อุมมาทันตีชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬา...
maruay songtanin
 
526 นฬินิกาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
526 นฬินิกาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....526 นฬินิกาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
526 นฬินิกาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
maruay songtanin
 
523 อลัมพุสาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
523 อลัมพุสาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...523 อลัมพุสาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
523 อลัมพุสาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
maruay songtanin
 
522 สรภังคชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
522 สรภังคชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx522 สรภังคชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
522 สรภังคชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
maruay songtanin
 
521 เตสกุณชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
521 เตสกุณชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx521 เตสกุณชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
521 เตสกุณชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
maruay songtanin
 
519 สัมพุลาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
519 สัมพุลาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....519 สัมพุลาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
519 สัมพุลาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
maruay songtanin
 

More from maruay songtanin (20)

ผู้นำที่มีความเห็นอกเห็นใจ Compassionate leadership.pdf
ผู้นำที่มีความเห็นอกเห็นใจ Compassionate leadership.pdfผู้นำที่มีความเห็นอกเห็นใจ Compassionate leadership.pdf
ผู้นำที่มีความเห็นอกเห็นใจ Compassionate leadership.pdf
 
537 มหาสุตโสมชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
537 มหาสุตโสมชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ...537 มหาสุตโสมชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
537 มหาสุตโสมชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
 
536 กุณาลชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
536 กุณาลชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx536 กุณาลชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
536 กุณาลชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
 
535 สุธาโภชนชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
535 สุธาโภชนชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...535 สุธาโภชนชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
535 สุธาโภชนชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
 
534 มหาหังสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
534 มหาหังสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....534 มหาหังสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
534 มหาหังสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
 
533 จูฬหังสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
533 จูฬหังสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....533 จูฬหังสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
533 จูฬหังสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
 
532 โสณนันทชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
532 โสณนันทชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....532 โสณนันทชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
532 โสณนันทชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
 
531 กุสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
531 กุสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx531 กุสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
531 กุสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
 
530 สังกิจจชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
530 สังกิจจชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....530 สังกิจจชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
530 สังกิจจชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
 
529 โสณกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
529 โสณกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx529 โสณกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
529 โสณกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
 
528 มหาโพธิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
528 มหาโพธิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....528 มหาโพธิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
528 มหาโพธิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
 
527 อุมมาทันตีชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬา...
527 อุมมาทันตีชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬา...527 อุมมาทันตีชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬา...
527 อุมมาทันตีชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬา...
 
526 นฬินิกาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
526 นฬินิกาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....526 นฬินิกาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
526 นฬินิกาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
 
525 จูฬสุตโสมชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
525 จูฬสุตโสมชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ...525 จูฬสุตโสมชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
525 จูฬสุตโสมชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
 
524 สังขปาลชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
524 สังขปาลชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....524 สังขปาลชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
524 สังขปาลชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
 
523 อลัมพุสาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
523 อลัมพุสาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...523 อลัมพุสาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
523 อลัมพุสาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
 
522 สรภังคชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
522 สรภังคชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx522 สรภังคชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
522 สรภังคชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
 
521 เตสกุณชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
521 เตสกุณชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx521 เตสกุณชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
521 เตสกุณชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
 
520 คันธตินทุกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬา...
520 คันธตินทุกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬา...520 คันธตินทุกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬา...
520 คันธตินทุกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬา...
 
519 สัมพุลาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
519 สัมพุลาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....519 สัมพุลาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
519 สัมพุลาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
 

Recently uploaded

512 กุมภชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
512 กุมภชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx512 กุมภชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
512 กุมภชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
maruay songtanin
 
403 อัฏฐิเสนชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
403 อัฏฐิเสนชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...403 อัฏฐิเสนชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
403 อัฏฐิเสนชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
maruay songtanin
 
400 ทัพภปุปผชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
400 ทัพภปุปผชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...400 ทัพภปุปผชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
400 ทัพภปุปผชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
maruay songtanin
 
440 กัณหชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
440 กัณหชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx440 กัณหชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
440 กัณหชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
maruay songtanin
 
301 จูฬกาลิงคชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
301 จูฬกาลิงคชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ...301 จูฬกาลิงคชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
301 จูฬกาลิงคชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
maruay songtanin
 
344 อัมพชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
344 อัมพชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx344 อัมพชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
344 อัมพชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
maruay songtanin
 
354 อุรคชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
354 อุรคชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx354 อุรคชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
354 อุรคชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
maruay songtanin
 
431 หริตจชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
431 หริตจชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx431 หริตจชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
431 หริตจชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
maruay songtanin
 
427 คิชฌชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
427 คิชฌชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx427 คิชฌชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
427 คิชฌชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
maruay songtanin
 

Recently uploaded (12)

369 มิตตวินทุกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬา...
369 มิตตวินทุกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬา...369 มิตตวินทุกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬา...
369 มิตตวินทุกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬา...
 
512 กุมภชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
512 กุมภชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx512 กุมภชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
512 กุมภชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
 
403 อัฏฐิเสนชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
403 อัฏฐิเสนชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...403 อัฏฐิเสนชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
403 อัฏฐิเสนชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
 
400 ทัพภปุปผชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
400 ทัพภปุปผชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...400 ทัพภปุปผชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
400 ทัพภปุปผชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
 
440 กัณหชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
440 กัณหชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx440 กัณหชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
440 กัณหชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
 
301 จูฬกาลิงคชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
301 จูฬกาลิงคชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ...301 จูฬกาลิงคชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
301 จูฬกาลิงคชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
 
344 อัมพชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
344 อัมพชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx344 อัมพชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
344 อัมพชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
 
500 สิรีมันตชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
500 สิรีมันตชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...500 สิรีมันตชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
500 สิรีมันตชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
 
354 อุรคชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
354 อุรคชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx354 อุรคชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
354 อุรคชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
 
398 สุตนชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
398 สุตนชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx398 สุตนชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
398 สุตนชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
 
431 หริตจชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
431 หริตจชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx431 หริตจชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
431 หริตจชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
 
427 คิชฌชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
427 คิชฌชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx427 คิชฌชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
427 คิชฌชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
 

040 ขทิรังคารชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx

  • 1. 1 ขทิรังคารชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ] ขุททกนิกาย ชาดก ภาค ๑ ๑๐. ขทิรังคารชาดก (จากพระไตรปิฎก ลาดับเรื่องที่ ๔๐) ว่าด้วยหลุมถ่านเพลิงไม้ตะเคียน (เศรษฐีโพธิสัตว์เมื่อจะให้มารผู้ประสงค์จะทาลายชีวิตพระปัจเจกพุทธเจ้า และทาลายโรงทานทราบว่า ตัวท่านหรือมารมีกาลังมีอานุภาพมากกว่ากัน จึงกล่าวคาถานี้กับพระปัจเจกพุทธเจ้าว่า) [๔๐] ข้าพเจ้าจะตกหลุมถ่านเพลิงมีเท้าชี้ขึ้น มีศีรษะปักลงก็ตามที ข้าพเจ้าจะไม่ทาความชั่วอันเป็นกรรมไม่ประเสริฐอีก ขอนิมนต์พระคุณเจ้ารับบิณฑบาตนี้เถิด ขทิรังคารชาดกที่ ๑๐ จบ -------------------------- คาอธิบายเพิ่มเติมนามาจากบางส่วนของอรรถกถา เอกกนิบาตชาดก กุลาวกวรรค ๑๐. ขทิรังคารชาดก ว่าด้วยมีจิตมั่นคง พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวันวิหาร ทรงปรารภทานของอนาถบิณฑิกเศรษฐี จึงตรัสพระธรรมเทศนานี้ ดังนี้. ความพิศดารว่า ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐีปรารภเฉพาะวิหารเท่านั้น เรี่ยรายทรัพย์ ๕๔โกฏิไว้ในพระพุทธศาสนา มิได้ทาความสาคัญในสิ่งอื่น ว่าเป็นรัตนะนอกจากรัตนะทั้ง ๓ ให้เกิดเลย เมื่อพระศาสดาประทับอยู่ในพระเชตวันวิหาร ย่อมไปยังที่บารุงใหญ่ ๓ ครั้งทุกวัน ตอนเช้าตรู่ไปครั้งหนึ่ง รับประทานอาหารเช้าแล้วไปครั้งหนึ่ง เวลาเย็นไปครั้งหนึ่ง ที่บารุงในระหว่าง แม้แห่งอื่นก็มีเหมือนกัน. ก็เมื่อจะไป ไม่เคยมีมือเปล่าไป ด้วยคิดว่า สามเณรหรือภิกษุหนุ่มทั้งหลาย จะพึงแลดูแม้มือของเรา ด้วยคิดว่า ท่านเศรษฐีถืออะไรมาหนอ เมื่อไปตอนเช้า ให้คนถือข้าวยาคูไป รับประทานอาหารเช้า แล้วเมื่อจะไป ให้คนถือเอาเนยใส เนยข้น น้าผึ้ง และน้าอ้อยเป็นต้นไป เมื่อจะไปเวลาเย็น ถือของหอม ดอกไม้และผ้าไป. ก็เมื่อท่านเศรษฐีนั้นบริจาคอยู่อย่างนี้ทุกวันๆ ประมาณในการบริจาค ย่อมไม่มี. ฝ่ายคนผู้อาศัยการค้าขายเลี้ยงชีพเป็นอันมาก ทาหนังสือให้ไว้กับมือของท่านเศรษฐี กู้เอาทรัพย์ไปนับได้ ๑๘ โกฏิ. ท่านเศรษฐีให้ทวงเอาทรัพย์ของคนเหล่านั้นมา อนึ่ง ทรัพย์ ๑๘ โกฏิจานวนอื่นซึ่งเป็ นของประจาตระกูลของท่านเศรษฐีนั้น ฝังไว้ที่ฝั่งแม่น้า
  • 2. 2 เมื่อฝั่งแม่น้าถูกน้าในแม่น้าอจิรวดีเซาะพังทลาย ก็เคลื่อนลงมหาสมุทรไป. ตุ่มโลหะ (ที่บรรจุทรัพย์) ตามที่ปิดไว้และประทับตราไว้นั้น ก็กลิ้งไปในท้องทะเล. ก็ในเรือนของท่านเศรษฐีนั้น ยังคงมีนิตยภัตเป็นประจาสาหรับภิกษุ ๕๐๐ รูป. จริงอยู่ เรือนของท่านเศรษฐีเป็ นเช่นกับสระโบกขรณีที่ขุดไว้ในหนทาง ๔ แพร่งสาหรับภิกษุสงฆ์ ตั้งอยู่ในฐานะบิดามารดาของภิกษุทั้งปวง ด้วยเหตุนั้น แม้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็เสด็จไปเรือนของท่านเศรษฐีนั้น ฝ่ายพระมหาเถระทั้ง ๘๐ องค์ก็ไปเหมือนกัน. ส่วนภิกษุทั้งหลายที่เหลือ ต่างมาๆ ไปๆ หาประมาณมิได้. ก็เรือนนั้นมี ๗ ชั้น ประดับด้วยซุ้มประตู ๗ ซุ้ม มีเทวดาผู้เป็ นมิจฉาทิฏฐิองค์หนึ่ง สิงอยู่ที่ซุ้มประตูที่ ๔ ของเรือนนั้น. เทวดานั้น เมื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จเข้าเรือน และเสด็จออกไป ไม่อาจดารงอยู่ในวิมานของตน จับเอาทารกลงมายืนอยู่เฉพาะบนภาคพื้น แม้เมื่อพระมหาเถระทั้ง ๘๐ องค์เข้าไปและออกมา ก็กระทาเหมือนอย่างนั้น. เทวดานั้นคิดว่า ก็เมื่อพระสมณโคดมและเหล่าสาวกของพระสมณโคดมนั้น ยังคงเข้าเรือนนี้อยู่ ชื่อว่าความสุขของเราย่อมไม่มี เราจักไม่อาจลงมายืนอยู่บนภาคพื้น ตลอดกาลเป็นนิตย์ได้ เรากระทาโดยประการที่พระสมณะเหล่านี้เข้ามายังเรือนนี้ไม่ได้ จึงจะควร. อยู่มาวันหนึ่ง เทวดานั้นไปยังสานักของผู้เป็ นมหากัมมันติกะ (ผู้อานวยการ) ผู้กาลังเข้านอนแล้วได้ยืนแผ่โอภาสสว่างไสว และเมื่อท่านผู้เป็นมหากัมมันติกะกล่าวว่า ใครอยู่ที่นี่. จึงกล่าวว่า เราเป็ นเทวดา ผู้บังเกิดอยู่ที่ซุ้มประตูที่ ๔. มหากัมมันติกะกล่าวว่า ท่านมาเพราะเหตุอะไร. เทวดากล่าวว่า ท่านไม่เห็นการกระทาของท่านเศรษฐีหรือ. ท่านเศรษฐีไม่มองดู กาลอันจะมีมาภายหลังของตน นาทรัพย์ออกถม เฉพาะพระสมณโคดมเท่านั้น ให้เต็มบริบูรณ์ ไม่ประกอบการค้าขาย ไม่ริเริ่มการงาน ท่านจงโอวาทท่านเศรษฐี ท่านจงกระทาโดยประการที่ท่านเศรษฐีจะทาการงานของตน และพระสมณโคดมพร้อมทั้งสาวกจะไม่เข้ามายังเรือนนี้. ลาดับนั้น ท่านมหากัมมันติกะนั้นได้กล่าวกะเทวดานั้นว่า ดูก่อนเทวดาพาล ท่านเศรษฐี เมื่อสละทรัพย์ ก็สละในพระพุทธศาสนา อันเป็นเครื่องนาออกจากทุกข์ ท่านเศรษฐีนั้น ถ้าจักจับเราที่มวยผมเอาไปขาย เราจักไม่กล่าวอะไรๆ เลย ท่านจงไปเสียเถิด. อีกวันหนึ่ง เทวดานั้นเข้าไปหาบุตรชายคนใหญ่ของท่านเศรษฐี แล้วกล่าวสอนเหมือนอย่างนั้น. ฝ่ายบุตรชายท่านเศรษฐีก็คุกคามเทวดานั้น โดยนัยอันมีในก่อนนั่นแหละ. แต่เทวดานั้นไม่อาจกล่าวกับท่านเศรษฐีได้เลย. ฝ่ายท่านเศรษฐีให้ทานอยู่ไม่ขาดสาย ไม่กระทาการค้าขาย
  • 3. 3 เมื่อทรัพย์สมบัติมีน้อย ทรัพย์ก็ได้ถึงการหมดสิ้นไป. ครั้งเมื่อท่านเศรษฐีนั้นถึงความยากจนเข้าโดยลาดับ ผ้าสาฎก ที่นอน และภาชนะอันเป็นเครื่องบริโภคใช้สอย ไม่ได้เป็นเหมือนดังแต่ก่อน. ท่านเศรษฐี แม้จะเป็นอย่างนี้ ก็ยังคงให้ทานแก่ภิกษุสงฆ์ แต่ไม่อาจทาให้ประณีตแล้วถวาย. ครั้นวันหนึ่ง พระศาสดาตรัสถามเศรษฐีนั้น ผู้ถวายบังคม แล้วนั่งอยู่ว่า ดูก่อนคฤหบดี ก็ทานในตระกูล ท่านยังให้อยู่หรือ? เศรษฐีนั้นกราบทูลว่า ยังให้อยู่พระเจ้าข้า แต่ว่า ทานนั้นเศร้าหมอง เป็นข้าวปลายเกรียนมีน้าผักดองเป็นที่สอง. ลาดับนั้น พระศาสดาตรัสกะเศรษฐีนั้นว่า คฤหบดี ท่านอย่าทาจิตให้ยุ่งยากว่า เราให้ทานเศร้าหมองเลย เพราะว่า เมื่อจิตประณีต ทานที่ถวายให้แก่พระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า และพระสาวกทั้งหลาย ย่อมไม่ชื่อว่า เศร้าหมอง. เพราะเหตุไร? เพราะมีผลมาก. ก็ข้อนี้ ควรจะทราบอย่างนี้ว่า ก็เมื่อสามารถทาจิตให้ประณีต ทาน ชื่อว่าเศร้าหมอง ย่อมไม่มี และว่า เมื่อจิตผ่องใสแล้ว ทักษิณา การทาบุญในพระตถาคตสัมพุทธเจ้า หรือในสาวกของพระสัมพุทธเจ้านั้น ชื่อว่ามีประมาณน้อย ย่อมไม่มี. ได้ยินมาว่า การบาเรอในพระอโนมทัสสีพุทธเจ้าทั้งหลาย มีผลน้อย ย่อมไม่มี ท่านจงเห็นผลของก้อนข้าวกุมมาส อันเศร้าหมองและไม่เค็มเถิด. แม้อีกข้อหนึ่ง พระศาสดาตรัสว่า ดูก่อนคฤหบดี ก่อนอื่น ท่านเมื่อให้ทานเศร้าหมอง ยังได้ให้แก่พระอริยบุคคล ๘ จาพวก เราครั้งเป็นเวลามพราหมณ์ ให้รัตนะทั้ง ๗ กระทาชมพูทวีปทั้งสิ้น ให้ไม่ต้องทาไร่ไถนา ยังมหาทานให้เป็นไป ดุจทาแม่น้าใหญ่ทั้ง ๕ สายให้เต็มเป็นห้วงเดียวกัน ก็ไม่ได้ใครๆ ผู้ถึงสรณะ ๓ หรือผู้รักษาศีล ๕ ชื่อว่า บุคคลผู้ควรแก่ทักษิณา หาได้ยากอย่างนี้ เพราะฉะนั้น ท่านอย่าได้ทาจิตให้ยุ่งยาก ว่า ทานของเราเศร้าหมอง ก็แหละ ครั้นตรัสอย่างนี้แล้ว จึงตรัส เวลามสูตร. ครั้งนั้นแล เทวดานั้นไม่อาจกล่าวกับเศรษฐีในกาลที่ ท่านเศรษฐียังเป็ นใหญ่ สาคัญว่า บัดนี้ เศรษฐีนี้จักเชื่อถือคาของเรา เพราะเป็นผู้ตกยาก ในเวลาเที่ยงคืน จึงเข้าไปยังห้องอันเป็ นสิริ ได้แผ่แสงสว่างยืนอยู่ในอากาศ. เศรษฐีเห็นดังนั้น จึงกล่าวว่า นั้นใคร. เทวดานั้นกล่าวว่า ท่านมหาเศรษฐี ข้าพเจ้าเป็นเทวดาผู้สิงอยู่ที่ซุ้มประตูที่ ๔. เศรษฐีกล่าวว่า ท่านมาเพื่ออะไร. เทวดากล่าวว่า ข้าพเจ้าประสงค์จะกล่าวโอวาทท่าน จึงได้มา.
  • 4. 4 เศรษฐีกล่าวว่า ถ้าอย่างนั้น ท่านจงกล่าว. เทวดากล่าวว่า มหาเศรษฐี ท่านไม่คิดถึงเวลาหลัง ไม่เห็นแก่บุตรธิดา เรี่ยรายทรัพย์เป็นอันมากลงในศาสนาของพระสมณโคดม ท่านนั้นเกิดเป็นคนยากไร้ เพราะอาศัยพระสมณโคดม โดยสละทรัพย์เกินขอบเขต หรือโดยไม่ทาการค้าขายและการงาน ท่านถึงแม้จะเป็ นอย่างนี้ก็ยังไม่ปล่อยพระสมณโคดม แม้ทุกวันนี้ สมณะเหล่านั้นก็ยังเข้าเรือนอยู่นั่นแหละ ทรัพย์ที่พวกสมณะเหล่านั้นนาออกไปแล้ว ใครๆ ไม่อาจให้นากลับมาได้ ย่อมเป็นอันถือเอาเลย ก็ตั้งแต่นี้ไป ตัวท่านเองก็อย่าได้ไปสานักของพระสมณโคดม ทั้งอย่าได้ให้สาวกทั้งหลายของพระโคดมนั้น เข้ามายังเรือนนี้ ท่านแม้ให้พระสมณโคดมกลับไปแล้ว ก็อย่าได้เหลียวแล จงกระทาคดีฟ้ องร้องและการค้าขายของตน รวบรวมทรัพย์สมบัติ. เศรษฐีนั้นจึงกล่าวกะเทวดานั้น อย่างนี้ว่า นี้เป็นโอวาทที่ท่านให้เราหรือ. เทวดากล่าวว่า จ้ะ นี้เป็ นโอวาท. ท่านเศรษฐีกล่าวว่า เราอันพระทศพลทรงกระทาให้เป็นผู้อันพวกเทวดา เช่นท่านตั้งร้อยก็ดี พันก็ดี แสนก็ดี ให้หวั่นไหวไม่ได้ และศรัทธาของเราไม่คลอนแคลน ตั้งมั่นดีแล้ว ดุจภูเขาสิเนรุ เราสละทรัพย์ในรัตนศาสนา อันเป็ นเครื่องนาออกจากทุกข์ ท่านพูดคาอันไม่ควร ท่านผู้ไม่มีอาจาระ ทุศีล เป็นกาลกิณี เห็นปานนี้ ให้การประหารพระพุทธศาสนา เราไม่มีกิจ คือการอยู่ในเรือนเดียวกันกับท่าน ท่านจงรีบออกจากเรือนของเราไปอยู่ที่อื่น. เทวดานั้นได้ฟังคาของพระอริยสาวกผู้โสดาบัน ไม่อาจดารงอยู่ได้ จึงไปยังที่อยู่ของตน แล้วเอามือจับทารกออกไป ก็แหละครั้นออกไปแล้ว ไม่ได้ที่อยู่ในที่อื่น คิดว่า จักให้เศรษฐีอดโทษแล้ว อยู่ที่ซุ้มประตูนั้นนั่นแหละ จึงไปยังสานักของเทวบุตรผู้รักษาพระนคร ไหว้เทวบุตรนั้นแล้วยืนอยู่ และอันเทวบุตรผู้รักษาพระนคร กล่าวว่า ท่านมา เพราะต้องการอะไร. จึงกล่าวว่า นาย ข้าพเจ้าไม่ได้ใคร่ครวญ พูดกับท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐีนั้นโกรธเรา ฉุดคร่าเราออกจากที่อยู่ ท่านจงนาข้าพเจ้าไปยังสานักของท่านเศรษฐี ให้ท่านอดโทษแล้วให้ที่อยู่แก่ข้าพเจ้า. เทวบุตรผู้รักษาพระนครถามว่า ก็ท่านพูดกะท่านเศรษฐีอย่างไร? เทวดานั้นกล่าวว่า ข้าแต่นาย ข้าพเจ้ากล่าวกะท่านเศรษฐี อย่างนี้ว่า นาย ตั้งแต่นี้ ท่านอย่ากระทาการอุปัฏฐากพระพุทธเจ้าและพระสงฆ์
  • 5. 5 ท่านอย่าให้พระสมณโคดมเข้าไปในเรือน. เทวบุตรผู้รักษาพระนครกล่าวว่า ท่านกล่าวคาอันไม่สมควร ท่านให้การประหารในพระศาสนา เราไม่อาจพาท่านไปยังสานักของท่านเศรษฐี. เทวดานั้นไม่ได้การช่วยเหลือจากสานักของเทวบุตรนั้น จึงได้ไปยังสานักของท้าวมหาราชทั้ง ๔ แม้ท้าวมหาราชทั้ง ๔ นั้นก็ปฏิเสธเหมือนอย่างนั้น จึงเข้าไปเฝ้ าท้าวสักกเทวราช กราบทูลเรื่องราวนั้น แล้วอ้อนวอนอย่างดีว่า ข้าแต่เทวราช ข้าพระองค์ไม่ได้ที่อยู่ จูงทารกเป็ นคนอนาถาเที่ยวไป ขอพระองค์จงยังเศรษฐีให้ให้ที่อยู่แก่ข้าพระองค์ ด้วยสิริของพระองค์. แม้ท้าวสักกะนั้นก็ตรัสกะเทวดานั้นว่า ท่านกระทากรรมอันไม่สมควร ท่านให้การประหารในศาสนาของพระชินเจ้า แม้เราก็ไม่อาจกล่าวกับเศรษฐี เหตุอาศัยท่าน แต่เราจะบอกอุบายให้ ท่านเศรษฐีนั้นอดโทษแก่ท่านสักอย่างหนึ่ง. เทวดานั้นกราบทูลว่า สาธุ ข้าแต่เทวะ ขอพระองค์จงตรัสบอก. ท้าวสักกะตรัสว่า คนทั้งหลายทาหนังสือไว้กับมือของท่านเศรษฐี ถือเอาทรัพย์ไปนับได้ ๑๘ โกฏิ มีอยู่. ท่านจงแปลงเพศเป็ นคนเก็บส่วยของท่านเศรษฐีนั้น อย่าให้ใครๆ รู้จัก ถือเอาหนังสือเหล่านั้น อันพวกยักษ์หนุ่มๆ ๒-๓ คนห้อมล้อม มือหนึ่งถือหนังสือ (สัญญา) มือหนึ่งถือเครื่องเขียน ไปเรือนของคนเหล่านั้น ยืนอยู่ในท่ามกลางเรือน ทาคนเหล่านั้นให้สะดุ้งกลัว ด้วยอานุภาพแห่งยักษ์ของตน แล้วชาระเงิน ๑๘ โกฏิ ทาคลังเปล่าของเศรษฐีให้เต็ม ทรัพย์ที่ฝังไว้ริมฝั่งแม่น้าอจิรวดีอีกแห่งหนึ่ง เมื่อฝั่งแม่น้าพัง จึงเลื่อนลงสู่สมุทร มีอยู่. จงนาเอาทรัพย์แม้นั้นมา ด้วยอานุภาพของตน แล้วทาคลังให้เต็ม ทรัพย์แม้อีกแห่งหนึ่งประมาณ ๑๘ โกฏิไม่มีเจ้าของหวงแหน มีอยู่ในที่ชื่อโน้น จงนาเอาทรัพย์แม้นั้นมา ทาคลังเปล่าให้เต็ม ท่านจงทาคลังเปล่าอันเต็มด้วยทรัพย์ ๕๔ โกฏินี้ ให้เป็นทัณฑกรรม แล้วให้มหาเศรษฐีอดโทษ. เทวดานั้นรับคาของท้าวสักกะนั้นว่า ดีละ ข้าแต่พระองค์ผู้ประเสริฐ แล้วนาทรัพย์ทั้งหมดมา โดยนัยดังกล่าวแล้วนั่นแหละ. ในเวลาเที่ยงคืน จึงเข้าไปห้องอันประกอบด้วยสิริของเศรษฐี ได้แผ่แสงสว่างยืนอยู่ในอากาศ เมื่อเศรษฐีกล่าวว่า นั่นใคร. จึงกล่าวว่า ท่านมหาเศรษฐี ข้าพเจ้าเป็นเทวดา ซึ่งสิงสถิตอยู่ที่ซุ้มประตูที่ ๔ ของท่าน ข้าพเจ้าผู้หลงเพราะโมหะใหญ่ ไม่รู้จักคุณของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ได้กล่าวคาอะไรๆ กับท่านในวันก่อนๆ มีอยู่ ท่านจงอดโทษนั้นแก่ข้าพเจ้า ข้าพเจ้านาทรัพย์ ๕๔ โกฏิ มาตามพระดารัสของท้าวสักกะเทวราช คือทรัพย์ ๑๘ โกฏิโดยชาระสะสางหนี้ของท่าน (และ) ทรัพย์ ๑๘ โกฏิของคน
  • 6. 6 ผู้ไม่ใช่เจ้าของทรัพย์ ในที่นั้นๆ กระทาทัณฑกรรมโดยทาคลังว่างเปล่าให้เต็ม ทรัพย์ที่ถึงความสิ้นไป เพราะปรารภ (การสร้าง) พระวิหารเชตวัน ข้าพเจ้าได้รวบรวมมาทั้งหมด ข้าพเจ้าเมื่อไม่ได้ที่อยู่ย่อมลาบาก ข้าแต่ท่านมหาเศรษฐี ท่านอย่าใส่ใจคาที่ข้าพเจ้ากล่าว เพราะความไม่รู้ จงอดโทษด้วยเถิด. ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐีได้ฟังคาของเทวดานั้น แล้วคิดว่า เทวดานี้กล่าวว่า ก็ข้าพเจ้าได้ทาทัณฑกรรมแล้ว และปฏิญญายอมรับรู้โทษของตน พระศาสดาจักทรงแนะนาเทวดานี้ แล้วให้รู้จักคุณของตน ก็เราจักแสดง (เทวดานี้) แด่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า. ลาดับนั้น ท่านมหาเศรษฐีจึงกล่าวกะเทวดานั้นว่า ดูก่อนเทวดาผู้สหาย ถึงแม้ท่านจักให้เราอดโทษ จงให้อดโทษในสานักของพระศาสดา. เทวดานั้นกล่าวว่า ดีละ ข้าพเจ้าจักกระทาอย่างนั้น อนึ่ง ท่านจงพาเราไปยังสานักของพระศาสดาเถิด. มหาเศรษฐีนั้นกล่าวว่า ดีละ เมื่อราตรีสว่างแล้ว จึงพาเทวดานั้นไปยังสานักของพระศาสดา แต่เช้าตรู่ แล้วกราบทูล กรรมที่เทวดานั้นกระทาทั้งหมดแก่พระตถาคต. พระศาสดาได้ทรงสดับคาของท่านมหาเศรษฐีนั้นแล้ว จึงตรัสว่า ดูก่อนคฤหบดี แม้บุคคลผู้ลามกในโลกนี้ ย่อมเห็นกรรมอันเจริญ ตราบเท่าที่บาปยังไม่ให้ผล ก็เมื่อใด บาปย่อมให้ผลแก่บุคคลผู้ลามกนั้น เมื่อนั้น บุคคลผู้ลามกนั้นย่อมเห็นแต่บาปเท่านั้น. ฝ่ายบุคคลผู้เจริญย่อมเห็นบาปทั้งหลาย ตราบเท่าที่กรรมอันเจริญยังไม่ให้ผล ก็ในกาลใด กรรมอันเจริญย่อมให้ผลแก่บุคคลผู้เจริญนั้น ในกาลนั้น บุคคลผู้เจริญนั้นย่อมเห็นแต่กรรมอันเจริญเท่านั้น. แล้วได้ตรัสคาถา ๒ คาถาในพระธรรมบท ดังนี้ว่า แม้บุคคลผู้ลามกย่อมเห็นกรรมอันเจริญ ตราบเท่าที่ กรรมอันลามกยังไม่ให้ผล ก็ในกาลใด กรรมอันลามกย่อมให้ผล ในกาลนั้น บุคคลผู้ลามกนั้นย่อมเห็นกรรมอันลามกทั้งหลาย ฝ่ายบุคคลผู้เจริญย่อมเห็นกรรมอันลามก ตราบเท่าที่ กรรมอันเจริญยังไม่ให้ผล ก็ในกาลใด กรรมอันเจริญย่อมให้ผล ในกาลนั้น บุคคลผู้เจริญนั้น ย่อมเห็นกรรมอันเจริญทั้งหลาย. ก็แหละในเวลาจบคาถาเหล่านี้ เทวดานั้นตั้งอยู่แล้วในโสดาปัตติผล. เทวดานั้นหมอบลงที่พระบาททั้งสองของพระศาสดา อันเรี่ยรายด้วยจักร ให้พระศาสดาทรงอดโทษว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์อันราคะย้อมแล้ว อันโทสะประทุษร้ายแล้ว หลงแล้วด้วยโมหะ มืดมนเพราะอวิชชา ไม่รู้คุณทั้งหลายของพระองค์ ได้กล่าวคาอันลามก
  • 7. 7 ขอพระองค์จงอดโทษคานั้นแก่ข้าพระองค์ แล้วยังมหาเศรษฐีให้อดโทษ. สมัยนั้น ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐีกล่าวคุณของตนเบื้องพระพักตร์ของพระศาสดาว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เทวดานี้ แม้จะห้ามอยู่ว่า จงอย่ากระทาการอุปัฏฐากพระพุทธเจ้าเป็ นต้น ก็ไม่อาจห้ามข้าพระองค์ได้ ข้าพระองค์ แม้ถูกเทวดานี้ห้ามอยู่ว่า ไม่ควรให้ทาน ก็ได้ให้อยู่ นั่นแหละ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ นี้คุณของข้าพระองค์ มิใช่หรือ. พระศาสดาตรัสว่า ดูก่อนคฤหบดี ท่านแลเป็ นพระอริยสาวกผู้โสดาบัน มีศรัทธาไม่หวั่นไหว มีทัสสนะอันหมดจด ความที่ท่านถูกเทวดาผู้มีศักดิ์น้อยนี้ห้ามอยู่ ก็ห้ามไม่ได้ ไม่น่าอัศจรรย์ ก็ข้อที่บัณฑิตทั้งหลายในปางก่อน เมื่อพระพุทธเจ้ายังไม่อุบัติขึ้น ดารงอยู่ในญาณอันยังไม่แก่กล้า ถูกมารผู้เป็นใหญ่ในกามาวจรภพยืนอยู่ในอากาศ แสดงหลุมถ่านเพลิงลึก ๘๐ ศอก โดยกล่าวว่า ถ้าท่านจักให้ทานไซร้ ท่านจักไหม้ในนรกนี้ แล้วห้ามว่า ท่านอย่าได้ให้ทาน ก็ได้ยืนอยู่ ในท่ามกลางฝักดอกปทุม ให้ทาน นี้น่าอัศจรรย์. อันท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐีทูลอ้อนวอน จึงทรงนาอดีตนิทานมา ดังต่อไป. ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติอยู่ในพระนครพาราณสี พระโพธิสัตว์บังเกิดในตระกูลเศรษฐีในนครพาราณสี อันญาติทั้งหลายให้เจริญ พร้อมด้วยเครื่องอุปกรณ์ทั้งปวงมีประการต่างๆ ดุจเทพกุมาร ถึงความเป็นผู้รู้เดียงสาโดยลาดับ ในเวลามีอายุ ๑๖ ปีเท่านั้น ก็ถึงความสาเร็จในศิลปะทั้งปวง เมื่อบิดาล่วงไป พระโพธิสัตว์นั้นดารงอยู่ในตาแหน่งเศรษฐี ให้สร้างโรงทาน ๖ แห่ง คือที่ประตูเมืองทั้ง ๔ ประตู ๔ โรงทาน ท่ามกลางพระนคร ๑ โรงทาน ที่ประตูนิเวศน์ของตน ๑ โรงทาน แล้วให้มหาทาน รักษาศีล รักษาอุโบสถกรรม อยู่มาวันหนึ่ง ในเวลาอาหารเช้า เมื่อคนใช้นาเอาโภชนะ อันเป็นที่ชอบใจมีรสเลิศต่างๆ เข้าไปให้พระโพธิสัตว์. พระปัจเจกพุทธเจ้าองค์หนึ่ง เมื่อล่วงไป ๗ วัน ได้ออกจากนิโรธสมาบัติ กาหนดเวลาภิกขาจารแล้ว คิดว่า วันนี้ เราไปยังประตูเรือนของพาราณสีเศรษฐี จึงควร. จึงเคี้ยวไม้ชาระฟันชื่อนี้นาคลดา ล้างหน้าที่สระอโนดาต ยืนที่พื้นมโนศิลา นุ่งแล้วผูกรัดประคด ห่มจีวร ถือบาตรดินอันสาเร็จด้วยฤทธิ์มาทางอากาศ พอคนใช้นาภัตเข้าไปให้พระโพธิสัตว์ ก็ได้ยืนอยู่ที่ประตูเรือน พระโพธิสัตว์พอเห็นดังนั้น ก็ลุกจากอาสนะ แสดงอาการนอบน้อม
  • 8. 8 แล้วแลดูบุรุษผู้ทาการงาน เมื่อบุรุษผู้ทาการงาน กล่าวว่า กระผมจะทาอะไร ขอรับนาย. จึงกล่าวว่า ท่านจงนาบาตรของพระผู้เป็ นเจ้ามา. ทันใดนั้น มารผู้มีบาปสั่นสะท้านลุกขึ้นแล้ว คิดว่าพระปัจเจกพุทธเจ้านี้ไม่ได้อาหารมา ๗ วันแล้วจากวันนี้ไป วันนี้เมื่อไม่ได้จักฉิบหาย เราจักทาพระปัจเจกพุทธเจ้านี้ให้พินาศและจักทาอันตรายแก่ทานของเศรษฐีจึงมา ในขณะนั้นทันที แล้วเนรมิตหลุมถ่านเพลิงไม้ตะเคียน ๘๐ ศอก ในระหว่างวัตถุสถานที่ตั้งหลุมถ่านเพลิงนั้นเต็มด้วยถ่านเพลิงไม้ตะเคียน ไฟลุกโพลงมีแสงโชติช่วง ปรากฏเหมือนอเวจีมหานรก. ก็ครั้นเนรมิตหลุมถ่านเพลิงนั้นแล้ว ตนเองได้ยืนอยู่ในอากาศ บุรุษผู้มาเพื่อจะรับบาตรเห็นดังนั้น ได้รับความกลัวอย่างใหญ่หลวง จึงกลับไป. พระโพธิสัตว์ถามว่า พ่อ เธอกลับมาแล้วหรือ? บุรุษนั้นกล่าวว่า นาย หลุมถ่านเพลิงใหญ่นี้ไฟติดโพลง มีแสงโชติช่วง มีอยู่ในระหว่างสถานที่ตั้ง เมื่อเป็นเช่นนั้นคนอื่นๆ ไปบ้าง รวมความว่า คนผู้มาแล้วๆ แม้ทั้งหมด ก็ถึงซึ่งความกลัว รีบหนีไปโดยเร็ว. พระโพธิสัตว์คิดว่า วันนี้ วสวัตดีมารผู้ประสงค์จะทาอันตรายแก่ทานของเรา จักเป็ นผู้ประกอบขึ้น แต่วสวัตดีมารนั้นย่อมไม่รู้ว่า เราเป็ นผู้อันร้อยมาร พันมาร แม้แสนมารให้หวั่นไหวไม่ได้ วันนี้ เราจักรู้ว่า เราหรือมาร มีกาลังมาก มีอานุภาพมาก. ครั้นคิดแล้ว ตนเองจึงถือเอาถาดภัตตามที่เขาตระเตรียมไว้นั้นนั่นแหละ ออกไปจากเรือน ยืนอยู่ฝั่งของหลุมถ่านเพลิง แล้วแลดูอากาศเห็นมาร จึงกล่าวว่า ท่านเป็นใคร. มารกล่าวว่า เราเป็นมาร. พระโพธิสัตว์ถามว่า หลุมถ่านเพลิงนี้ ท่านเนรมิตไว้หรือ? มารกล่าวว่า เออ เราเนรมิต. พระโพธิสัตว์ถามว่า เพื่อต้องการอะไร? มารกล่าวว่า เพื่อต้องการทาอันตรายแก่ทานของท่าน และเพื่อต้องการให้ชีวิตของพระปัจเจกพุทธเจ้าพินาศ. พระโพธิสัตว์กล่าวว่า เราจักไม่ให้ท่านทาอันตรายทานของตน และจักไม่ให้ท่านทาอันตรายแก่ชีวิตของพระปัจเจกพุทธเจ้า วันนี้ เราจักรู้ว่า เราหรือท่าน มีกาลังมาก มีอานุภาพมาก จึงยืนที่ฝั่งหลุมถ่านเพลิง แล้วกล่าวว่า ข้าแต่พระปัจเจกพุทธเจ้าผู้เจริญ ข้าพเจ้า แม้จะมีหัวลง ตกไปในหลุมถ่านเพลิงแม้นี้ ก็จักไม่หวนกลับหลัง ขอท่านจงรับโภชนะที่ข้าพเจ้าถวายอย่างเดียว แล้วกล่าวคาถานี้ว่า
  • 9. 9 ข้าพเจ้าจะตกนรก มีเท้าขึ้นเบื้องบน มีศีรษะลงเบื้องล่างก็ตาม ข้าพเจ้าจักไม่ทากรรมอันไม่ประเสริฐ ขอนิมนต์ท่านรับก้อนข้าวเถิด. ในคาถานั้น มีประมวลความดังต่อไปนี้ว่า ท่านผู้เจริญ ถ้าข้าพเจ้า เมื่อจะถวายบิณฑบาตแก่ท่าน จะเป็ นผู้มีศีรษะลงเบื้องล่าง มีเท้าขึ้นเบื้องบน ตกลงไปยังนรกนี้โดยแน่แท้ แม้ถึงอย่างนั้น ข้าพเจ้าจักไม่กระทาการไม่ให้ทาน และการไม่รักษาศีลซึ่งเรียกว่า อนริยะ ไม่ประเสริฐ เพราะท่านผู้ประเสริฐไม่กระทา แต่ผู้ไม่ประเสริฐกระทานั้น ขอนิมนต์ท่านรับก้อนข้าวที่ข้าพเจ้าถวายอยู่นี้เถิด. พระโพธิสัตว์ ครั้นกล่าวอย่างนี้แล้ว มีการสมาทานอย่างมั่นคง ถือถาดภัตแล่นไปทางเบื้องบนหลุมถ่านเพลิง ทันใดนั้นเอง มหาปทุมดอกหนึ่งบานเต็มที่เกิดขึ้นเป็ นชั้นๆ จากพื้นหลุมถ่านเพลิงอันลึก ๘๐ ศอก ผุดขึ้นรับเท้าทั้งสองของพระโพธิสัตว์ แต่นั้น เกสรมีขนาดเท่าทะนานใหญ่ ผุดขึ้นตั้งอยู่เหนือศีรษะของพระมหาสัตว์ แล้วร่วงลงมาได้กระทาร่างกายทั้งสิ้นให้เป็นเสมือนโปรยด้วยละอองทอง. พระโพธิสัตว์นั้นยืนอยู่ที่ฝักดอกปทุม ยังโภชนะมีรสเลิศต่างๆ ให้ประดิษฐานลงในบาตรของพระปัจเจกพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้านั้นรับโภชนะนั้น แล้วกระทาอนุโมทนา โยนบาตรขึ้นในอากาศ เมื่อมหาชนเห็นอยู่นั่นแล แม้ตนเองก็เหาะขึ้นสู่เวหาส ตรงไปป่าหิมพานต์ เหมือนเหยียบย่ากลีบเมฆฝน มีประการต่างๆ ไปฉะนั้น. ฝ่ายมารแพ้แล้ว ก็ถึงความโทมนัสไปยังสถานที่อยู่ของตนนั่นเอง. ส่วนพระโพธิสัตว์ยืนอยู่บนฝักดอกปทุม แสดงธรรมแก่มหาชน โดยพรรณนาถึงทานและศีล อันมหาชนแวดล้อมเข้าไปยังนิเวศน์ของตน กระทาบุญทั้งหลายมีทานเป็นต้น ตลอดชีวิตแล้ว ไปตามยถากรรม. พระศาสดาตรัสว่า ดูก่อนคฤหบดี ข้อที่ท่านผู้สมบูรณ์ด้วยทัสสนะอย่างนี้ อันเทวดาให้หวั่นไหวไม่ได้ในบัดนี้ ไม่น่าอัศจรรย์ สิ่งที่บัณฑิตทั้งหลายได้กระทาไว้ แม้ในกาลก่อนเท่านั้น น่าอัศจรรย์. ครั้นทรงนาพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว จึงทรงสืบอนุสนธิ ประชุมชาดกว่า พระปัจเจกพุทธเจ้าในกาลนั้นได้ปรินิพพานแล้วแล้ว ณ ที่นั้นเอง ส่วนพาราณสีเศรษฐีผู้ทามารให้พ่ายแพ้ ยืนอยู่บนฝักดอกปทุมแล้วถวายบิณฑบาตแก่พระปัจเจกพุทธเจ้า คือ เราเอง แล. จบอรรถกถาขทิรังคารชาดกที่ ๑๐ จบ กุลาวกวรรคที่ ๔. -----------------------------------------------------
  • 10. 10