More Related Content
More from สุรพล ศรีบุญทรง (20)
02 พระบิดาแห่งการอุดมศึกษาไทย พระนามในสุพรรณบัฏ
- 1. -- พระราชประวัติสมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก หน้า ๔ --
พระนามในสุพรรณบัฎ
เมื่อมีพระชันษาครบเดือน (๒ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๔๓๕) พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
โปรดให้มีพระราชสมโภชเดือน และพระราชทานนามว่า
“สมเด็จเจ้าฟ้าชายมหิดลอดุลยเดชนเรศวร
มหาราชาธิบดินทร์ จุฬาลงกรณินทรวรางกูร
สมบูรณ์เบญจพร สิริสวัสดิ์ ขัตติยวโรภโตสุชาติ
คุณสังกาศเกียรติประกฤษฐ์ ลักษณะวิจิตรพิสิฏฐ
บุรุษย์ ชนุตมรัตนพัฒนศักดิ์ อรรควรราช”
ทรงมีพระพลานามัยไม่สมบูรณ์มาตั้งแต่
ที่ยังทรงพระเยาว์ต้องเสวยน้ํามันตับปลาเป็น
ประจํา๗
มีกรมหลวงสมรรัตน์ศิริเชษฐ์ เป็นผู้
ถวายดูแลอย่างใกล้ชิด และได้รับการถวายพระ
อักษรเบื้องต้น ณ โรงเรียนราชกุมาร ใน
พระบรมมหาราชวัง พร้อมกับพระเจ้าลูกยา
เธออีก ๓ พระองค์ คือ ทูลกระหม่อมเอียด
น้อย๘
ทูลกระหม่อมอัษฎางค์๙
และ
ทูลกระหม่อมติ๋ว๑๐
โดยมีพระยาอิศรพันธุ์โสภณ
(ม.ร.ว. หนู อิศรางกูร) เป็นพระอาจารย์ผู้ถวาย
การสอนภาษาไทยคนแรก
ต่อมาทรงย้ายไปประทับกับสมเด็จพระบรมชนกนาถที่พระราชวังดุสิต ทรงรับการศึกษาวิชา
ภาษาอังกฤษมากขึ้น และทรงรับการศึกษาเป็นนักเรียนนายร้อยพิเศษ ที่โรงเรียนนายร้อยประถมพร้อมกับ
พระเชษฐาและพระอนุชาทั้ง ๓ พระองค์ที่เริ่มทรงพระอักษรมาพร้อมๆ กันแต่ต้น มีร้อยโทหยินเป็นครูผู้
๗
นพ. สวัสดิ์ แดงสว่าง หนึ่งในผู้ได้รับทุนพระราชทานสมเด็จพระบรมราชชนก ระบุในบทความพิเศษของหนังสือคลินิก
ฉบับเดือนกันยายน ๒๕๓๑ หน้า ๖๓๐ ว่า “พระอนามัยในตอนทรงพระเยาว์อยู่ไม่สู้สมบูรณ์นัก พระวรกายค่อนข้างซูบผอม
ต้องเสวยนํ้ามันตับปลาเป็นประจํา ต่อมาพบว่าทูลกระหม่อมฯ ประชวรพยาธิ จึงถวายการรักษา โดยใช้พระโอสถประจุ
หลังจากนั้นมาจึงค่อยมีพระอนามัยสมบูรณ์ขึ้น”
๘
สมเด็จเจ้าฟ้าประชาธิปกศักดิเดชน์ ซึ่งภายหลังเสด็จถวัลยราชเป็นพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๗
๙
สมเด็จเจ้าฟ้าอัษฎางค์เดชาวุธ กรมหลวงนครราชสีมา
๑๐
สมเด็จเจ้าฟ้าจุฑาธุชธราดิลก กรมขุนเพชรบูรณ์อินทราชัย
- 2. -- พระราชประวัติสมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก หน้า ๕ --
ฝึก โดยรับการฝึกร่วมกับนักเรียนนายร้อยสามัญชนที่มีวัยไล่เรี่ยกันอีก ๘ คน จัดเป็นหน่วย ๑ หมู่ ๑๒
ในช่วงทรงพระเยาว์โปรดการฉายพระรูปเป็นอย่างมาก ทรงมีกล้องถ่ายรูปส่วนพระองค์
ทรงได้มีโอกาสตามเสด็จพระราชมารดาพระพาสหัวเมืองหลายครั้ง ตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์ เพียง ๓
พรรษา เช่น เมื่อทรงตามเสด็จปทุมธานี พระนครศรีอยุธยา ชัยนาท อุทัยธานี นครสวรรค์ และพิษณุโลก ใน
ปี พ.ศ. ๒๔๓๘ และอีกครั้งเมื่อมีพระชนมายุได้
๗ พรรษา เมื่อพระราชมารดาทรงประชวรในเดือน
กรกฎาคม ปี พ.ศ. ๒๔๔๒ ก็ได้ตามเสด็จประพาส
หัวเมืองชายฝั่งตะวันออก เพื่อไปประทับรักษา
พระองค์ ณ ศรีราชา ทรงมีน้ําพระทัยที่ทรง
เมตตากรุณาต่อบรรดาประชาราษฎร์โดยทั่วไป
และไม่ทรงถือพระองค์ ครั้งหนึ่งเคยทรงปลอม
พระองค์เป็นสามัญชนตามเสด็จบิณฑบาตสมเด็จ
เจ้าฟ้าอัษฎางค์เดชาวุธระหว่างทรงผนวช
นอกจากนั้น ยังทรงเป็นอภิชาตบุตรผู้
ทรงกตัญญูรักใคร่ในสมเด็จพระราชบิดา และ
สมเด็จพระราชมารดาอย่างลึกซึ้ง ด้วยความ
สงสารพระราชมารดาที่ต้องโศกสลดพระทัยอัน
เนื่องด้วยเหตุพระเชษฐา และพระขนิษฐาหลาย
พระองค์ล้วนสิ้นพระชนม์ลงในวัยเยาว์ ๑๒
๑๑
หนึ่งในนั้นคือ พลตรีพระศักดาพลรักษ์ ซึ่งมีโอกาสใกล้ชิดสมเด็จฯ พระบรมราชชนกมากขึ้นเมื่อติดตามไปเรียนวิชาการ
ทหารที่อังกฤษ และเยอรมันด้วยในระยะเวลาต่อมา
๑๒
ครั้งหนึ่ง สมเด็จกรมพระยาดํารงราชานุภาพ ได้เคยตรัสเล่าถึงพระราชดํารัสของสมเด็จพระมหิตลาธิเบศร
อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก ระหว่างทรงประชวรครั้งสุดท้าย ก่อนสิ้นพระชนม์ ว่าได้ตรัสตอบคําถามถึงสาเหตุที่ไม่
ทรงรับราชการเหมือนเจ้าฟ้าพระองค์อื่นๆ ดังนี้
"รู้สึกสลดใจว่าตั้งแต่หม่อมฉันเกิดมาเห็นแต่เสด็จแม่ทรงเปนทุกข์โศก ไม่มีอะไรที่จะทําให้ชื่นพระหฤทัยเสียเลย
สงสารเสด็จแม่จึงคิดว่าลูกผู้ชายของท่านก็เหลืออยู่แต่หม่อมฉันคนเดียว ควรจะสนองพระคุณด้วยทําการงานอย่างใดอย่างหนึ่ง ให้
เสด็จแม่ทรงยินดีด้วยเห็นลูกสามารถทําความดีให้เปนคุณประโยชน์แก่บ้านเมืองได้ ไม่เลี้ยงมาเสียเปล่า เมื่อคิดต่อไปว่าจะทําการ
อย่างไรดี หม่อมฉันคิดเห็นว่าในทางราชการนั้นก็มีทูลกระหม่อมพระราชโอรสในสมเด็จพระศรีพัชรินทรอยู่หลายพระองค์แล้ว ตัว
หม่อมฉันจะทําราชการหรือไม่ทําก็ไม่ผิดกันเท่าใดนัก จึงคิดว่าการช่วยชีวิตผู้คนพลเมืองเปนการสําคัญอย่างหนึ่งซึ่งหม่อมฉันอาจจะ
ทําได้โดยลําพังตัว เพราะทรัพย์สินส่วนตัวก็มีพอจะเลี้ยงชีวิตแล้ว จะสละเงินที่ได้รับพระราชทานในส่วนที่เปนเจ้าฟ้าเอามาใช้เปนทุน
ทําการตามความคิดให้เปนประโยชน์แก่บ้านเมือง ด้วยเหตุดังทูลมานี้หม่อมฉันจึงไม่ทําราชการ”
- 3. -- พระราชประวัติสมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก หน้า ๖ --
เจ้าฟ้ากรมขุนสงขลานครินทร์
เมื่อทรงเจริญพระชันษาได้ ๑๒ พรรษา ทรงเข้าพระราชพิธีมหามงคลโสกันต์ วันที่ ๒๔ – ๓๐
ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๔๖ และทรงได้รับการสถาปนาเป็นสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าต่างกรม ทรงศักดินา
๔๐,๐๐๐ ไร่ มีพระนามตามจารึกในสุพรรณบัตรว่า
สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ามหิดล
อดุลเดช นเรศวรมหาราชาธิบดินทร์ จุฬาลงกรณินท
รวรางกูร สมบูรณ์เบญจพรสิริสวัสดิ์ ขัตติยวโรภ
โตสุชาต คุณสังกาศเกียรติประกฤษฐ์ ลักษณ
วิจิตร พิสิฎฐ์บุรุษย์ชนุดมรัตน์พัฒนศักดิ์ อรรควร
ราชกุมาร กรมขุนสงขลานครินทร์ มุสิกนาม
หลังจากนั้น ๘ เดือน ได้ทรงบรรพชา
เป็นสามเณร มีฉายา “มหิตลาตุโล” เป็นเวลา ๑
พรรษา (๒๑ สิงหาคม – ๑๓ ธันวาคม ๒๔๔๗)
เนื่องในวโรกาสที่สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้า
ฟ้ามหาวชิราวุธ (พระบาทสมเด็จ พระมงกุฏ
เกล้าเจ้าอยู่หัว) ทรงผนวช ณ วัดพระศรีรัตน
ศาสดาราม โดยมีสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรม
พระวชิรญานโรรส ทรงเป็นพระอุปัชฌาย์ หม่อม
เจ้าพระสถาพรพิริยพรตเป็นพระกรรมวาจา หลัง
ทรงผนวช เจ้าฟ้าทั้ง ๒ พระองค์ได้ทรงเสด็จมา
จําพรรษาที่วัดบวรนิเวศวิหาร โดยได้ประทับที่
พระตําหนักปั้นหยา ๑ คืน ก่อนเสด็จประทับที่
พระตําหนักทรงพรต ตามราชประเพณี