1. -- พระราชประวัติสมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก หน้า ๑๐๖ --
ทรงพระประชวรครั้งสุดท้าย (งานทางโลกไม่มีเวลาสําเร็จได้..)
ในระหว่างที่ประทับที่เชียงใหม่ สุขภาพของพระองค์ก็ยังทรงทรุดหนักลงไปเรื่อยๆ ทรงมีอาการ
พระโลหิตจาง และตรวจพบโปรตีนไข่ขาว (Albumin) ในพระบังคนเบาเสมอ ต่อมา ต้องเสด็จกลับ
กรุงเทพฯ ในวันที่ ๑๘ พฤษภาคม ๒๔๗๒ เพื่อเข้าร่วมพระราชพิธีถวายพระเพลิงสมเด็จกรมพระยาภานุ
พันธ์วงศ์วรเดช แล้วทรงพระประชวรจนต้องเสด็จเข้ารับการตรวจจากศาสตราจารย์ ที พี โนเบิล ที่
โรงพยาบาลศิริราช โดยมีเรื่องเล่าว่านายแพทย์ผู้หนึ่งพบกับพระองค์ที่ท่าเรือศิริราช ทรงหิ้วขวดสิ่งส่งตรวจ
ของผู้ป่วยที่มีชิ้นลําไส้ของผู้ป่วยบิดอยู่ภายใน เมื่อทรงทักทายแล้วก็รับสั่งว่าไม่ใครสบายวานช่วยพาไปพบ
นพ. โนเบิล ด้วย
หลังจากเสด็จกลับจากโรงพยาบาลศิริราช ต้องประทับในพระตําหนักวังสระปทุมโดยไม่ได้เสด็จ
ออกจากวังอยู่นานถึง ๔ เดือน ต้องเชิญแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจากศิริราชคือ และศาสตราจารย์ดับบลิว เอช
เปอร์กินส์ หัวหน้าภาควิชาอายุรศาสตร์ และ ศาสตราจารย์ ที พี โนเบิล เข้าไปถวายการรักษาเป็นระยะๆ
แรกๆ นั้น อาการพระวักกะที่ไม่ปกติกลับดีขึ้น แล้วกลับทรุดลงด้วยพระยกนะเป็นพิษ ทรงมีพระราชหฤทัย
ห่วงงานที่คั่งค้างอยู่มาก ดังมีรับสั่งต่อพระศักดาพลรักษ์ที่มาทูลลาอุปสมบทว่า “น้อม ฉันจะตายก็ไม่เสียดาย
ชีวิต ฉันทําพินัยกรรมไว้เรียบร้อยแล้ว แต่งานฉันที่กําลังทําอยู่ยังไม่เสร็จ”
โดยพินัยกรรมที่ทรงรับสั่ง คือ ขอให้ผู้ที่รับมรดกบําเพ็ญกุศลถวายโดยบริจาคเงิน ๕๐๐,๐๐๐
บาท แด่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยภายในกําหนด ๒๕ ปี เพื่อตั้งเป็นทุนหาผลประโยชน์บํารุงการศึกษา
แพทย์ การศึกษาสุขาภิบาล การศึกษาพยาบาลและปรุงยา ส่วนทางฝั่งศิริราชพยาบาลนั้น เมื่อ ดร. เอลลิส
ได้เข้าเฝ้าเมื่อวันที่ ๑ สิงหาคม ก็รับสั่งว่าจะทรงเพิ่มเงิน และที่ดินให้อีก ทั้งที่ทรงพระวรกายทรุดโทรมลง
ไปตามลําดับ ประหนึ่งว่าจะทอดพระเนตรเห็นมรณะมาถึงยังเบื้องพระพักตร ดังจดหมายที่ ดร.เอลลิส มีไป
ยัง ดร. เพียร์ซ ในวันที่ ๔ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๗๒ ความว่า
“Prince Songkla is going along with perhaps a slight lose each
day in general condition. The liver cavity is filling again and they
expect to tap again tomorrow. The outlook is not favorable and
yet he has the power of reaching with the least let-up of the
liver.”
และในวันที่ ๒ กันยายน พ.ศ. ๒๔๗๒
“Prince Songkla is just about holding to his general
condition. He is eating fairly well and the liver abscess,
which is definitely amoebic, is not giving trouble at
present. Dr. Noble does not feel that the immediate
2. -- พระราชประวัติสมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก หน้า ๑๐๗ --
condition is alarming but he does not see how there can
be a final recovery, owing to the general condition. Some of
us will not give up hope yet.”
ทั้งยังมีโทรเลขของศาสตราจารย์ ที พี โนเบิล ที่กรมราชเลขาธิการ ได้ส่งไปถวายรายงาน
พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ในขณะที่ทรงประทับอยู่ ณ บาหลี ในวันที่ ๒๔ กันยายน พ.ศ.
๒๔๗๒ เวลา ๑๒.๑๕ น. ความว่า
“During the past 24 hours there has been a further
expansion of the inflammatory process in the liver. There is
fever and a rapid pulse . His Royal Highness’s condition is
not satisfactory.”
T.P. Noble
เล่ากันว่าเมื่อคราวที่สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (เจริญ ญาณวรเถระ) เจ้าอาวาสวัดเทพศิรินทรา
วาสได้ไปเฝ้าเยี่ยม ทรงรับสั่งกับสมเด็จฯว่า “ข้าพเจ้าจะตายก็ไม่เสียดายต่อชีวิต แต่เสียดายว่างานที่กําลังทําค้าง
อยู่นี้ ยังไม่เสร็จเรียบร้อย” สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ ทูลตอบว่า “ถวายพระพร งานทางโลกไม่มีเวลาสําเร็จได้”
ธ เสด็จด้าวแดนสวรรค์
หลังจากนั้นไม่นาน พระอาการก็ทรุดหนักลง แพทย์ประจําพระองค์คือศาสตราจารย์ ที พี โนเบิล
และศาสตราจารย์ดับบลิว เอช เปอร์กินส์ ถวายการเจาะพระยกน (ตับ) ได้หนองออกมาจํานวนมาก สุดท้าย
วันที่ ๒๔ กันยายน พ.ศ. ๒๔๗๒ เวลา ๑๖.๔๕ น. ก็เสด็จทิวงคต สิริรวมพระชนมายุได้ ๓๗ พรรษา ๘
เดือน ๒๓ วัน จากพระอาการบวมน้ําที่พระปับผาสะ (ปอด) และพระหทัย (หัวใจ) วาย ยังความโศกสลด
พระทัยอย่างยิ่งต่อพระชายาม่ายวัย ๒๙ พรรษา ที่ต้องประคับประคองเลี้ยงดูพระธิดา และพระโอรสซึ่งล้วน
ทรงพระเยาว์มีพระชนมายุเพียง ๖ พรรษา ๔ พรรษา และ ๒ พรรษา ตามลําพัง๑๑๒
ดังบันทึกของคุณหญิงพิณพากย์พิทยาเภท ระบุถึงเหตุการณ์ไว้ว่า
๑๑๒
ครอบครัวราชสกุลมหิดล ทรงประทับยู่ในกรุงเทพหลังงานพระราชทานเพลิงศพ จนกระทั่งเดือนเมษายน พ.ศ.๒๔๗๖
จึงพร้อมกันเสด็จไปอาศัยอยู่ที่เมืองโลซานน์อีกครั้ง จนกระทั่งวันที่ ๒ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๗๗ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้า
เจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๗ ทรงสละราชสมบัติ และรัฐบาลสยามในขณะนั้นได้อัญเชิญพระวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าอานันทมหิดล
เสด็จขึ้นครองราชย์สืบราชสันตติวงศ์ จึงทรงย้ายพระราชฐานไปอยู่ที่พระตําหนักวัฒนา วิลล่า (Villa Vadhana) เมืองพุยยี่
(Pully) เพื่อให้สมฐานะของพระมหากษัตริย์แห่งสยาม แต่กว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว อานันทมหิดล รัชกาลที่ ๘ จะ
เสด็จนิวัติพระนครหลังจากการขึ้นครองราชย์ ก็ล่วงเข้าวันที่ ๑๘ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๔๘๑
3. -- พระราชประวัติสมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก หน้า ๑๐๘ --
“...บายวันที่ ๒๔ กันยายน พ.ศ.๒๔๗๒ สมเด็จพระบรมราชชนนีฯ เพื่อเสด็จออกจากหองเพื่อทรง
พักผอน ทูลกระหมอมกําลังบรรทมหลับ ขาพเจาเฝาถวายพัดอยูหนาแทนบรรทม หมอมเจาหญิงจันทรนิภา เท
วกุล ประทับที่หองถัดไป ทูลกระหมอมลืมพระเนตรขึ้นและทรงเรียกขาพเจา “จํานง ฉันหายใจไมออก”
ขาพเจาจับชีพจรพระองคทาน และเดินออมเตียงไปอีกขาง คุกเขาลงกราบทูลวา หมอมฉันจะยกเตียงขึ้น
ถวายอ็อกซิยเจน ขาพเจารีบออกมาเชิญทานหญิงจันทรนิภาเขาไป ขาพเจาเปดทออ็อกซิยเจนใหทนหญิงทรง
ถือไวที่พระนาสิก แลวออกมากราบบังคมทูลสมเด็จพระราชชนนีฯ นําเสด็จเขาไปทรงถวายอ็อกซิยเจนแลวก็
รีบลงบันไดมาบอกคุณเจากรมใหเรียกหมอดวน และสงคนไปกราบบังคมทูลสมเด็จพระพันวสาฯ ซึ่งประทับอีก
วังหนึ่งถัดไป
ขาพเจากลับมาดูพระอาการและเตรียมยาฉีดไวใหหมอ ตรวจดูทออ็อกซิยเจนดูทานอนและจับชีพจร
ปรากฏวาชีพจรเร็วและเบาลง ทูลกระหมอมทรงหายพระทัยดวยความลําบาก ในขณะนั้น สมเด็จพระพันวัสสาฯ
ก็เสด็จขึ้นมา โดยมีหมอโนเบิลตามเขามาแกไขทันที สมเด็จพระพันวัสสาฯ พระพักตรสงบแมจะทรงตก
พระทัยมาก ประทับอยูใกลพระแทนทูลกระหมอม พระเนตรของทูลกระหมอมปรอยและลืมขึ้น รูสึกวาจะทรงไม
เห็นอะไรแลว ในทันทีนั้นก็เสด็จทิวงคต สมเด็จพระพันวัสสาฯ ทรงคุกพระชงคลง ยื่นพระหัตถออกไปปด
เปลือกพระเนตรทูลกระหมอม แลวซบพระพักตรลง ขาพเจาเห็นเหตุการณนี้แลวใจหาย เปนครั้งแรกที่ทําให
ขาพเจารูสึกซึ้งถึงความรักและเมตตาระหวางแมและลูก ...”
ส่วนบันทึกในจดหมายที่ ดร.เอลลิส มีไปยัง ดร. เพียร์ซ ในวันที่ ๓๐ กันยายน พ.ศ. ๒๔๗๒ ระบุ
ว่า
“H.R.H. Prince Songkla passed away rather suddenly at
4:45 p.m. September 24 , although he had been failing distinctly
for two or three days. The actual end was due to oedema of
the lungs, mainly, and cardiac failure. For a number of days
previously, his liver had been enlarging very considerably, and
with his fever and pulse rate they did not dare aspirate.
Dr. Noble was fortunately present and did everything in the
way of stimulation that could be done, but the end was so
quick that the Prince’s mother, by hurrying from her house
in the same compound, arrived only a couple of minutes
4. -- พระราชประวัติสมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก หน้า ๑๐๙ --
before the end. The body has, of course, been put in an urn
and is lying in state in one of the palace. Madam Songkla is
from their accounts almost dazed and can hardly believe that
it is true.”
การเสด็จทิวงคตของพระองค์ยังนําความเศร้าสลดมาสู่พระประยูรญาติ ข้าราชบริพาร ตลอดจน
พสกนิกรที่มีโอกาสรู้จักพระองค์ทุกคน๑๑๓
เช่น ศ.ดร.เอลลิส ได้บันทึกไว้ในตอนท้ายของบทความเรื่องพระ
กรณียกิจปฏิบัติของพระองค์ว่า
การที่ทรงอุบัติมาในโลกนี้ ทําใหโลกนี้ไดดีขึ้นเปนแนแท
พระมหาบุรุษของเรานี้ไดทรงอุบัติมา และเสด็จละโลกไปเสียแลว
And so our great man come and go.
Hail and Farewell !!
A.G. Ellis M.D.
ส่วน นพ. อี ซี คอร์ท ก็บันทึกไว้ว่า ”นอกจากทรงพระเมตตาบริจาคทรัพย์เป็นทาน
อย่างใหญ่หลวงแล้ว ยังไม่พอพระทัยยังประทานพระองค์เองเป็นสาธารณทานอีก
ด้วยจนสิ้นพระชนม์ “
ในขณะที่ หมอจันทร์แดง เมธา เล่าถึงความรู้สึกของบุคลากรในโรงพยาบาลแมคคอร์มิคว่า “,,,
ต่อมาพระองค์ท่านได้เสด็จไปประกอบพระราชกิจ ที่กรุงเทพฯ และหลังจากนั้นทางเชียงใหม่ได้ข่าวว่าพระองค์ท่านทรง
ประชวรและหมอคอร์ท รีบเดินทางไปเฝ้าต่อมาภรรยาหมอคอร์ทได้เดินร้องไห้เข้าหอผู้ป่วยยื่นโทรเลขให้และบอกว่า
พระองค์ท่านได้สวรรคตเสียแล้ว พวกเราเศร้าโศกเสียใจกันมาก ไว้ทุกข์อยู่นาน”
แต่ที่น่าประทับใจ และน่าจะแทนความอาดูรในการสิ้นไปแห่งพระองค์ท่านได้เป็นอย่างดี เห็นจะ
ได้แก่ บทพระนิพนธ์ของพระบรมวงศ์เธอ กรมพระนราธิปพงศ์ประพันธ์ เมื่อคราวทรงวางพวงมาลาที่พระศพ
เมื่อวันที่ ๔ พฤศจิกายน ๒๔๗๒ ความว่า
๑๑๓
พจน์ สารสิน อดีตนายกรัฐมนตรีคนที่ ๙ เล่าไว้ในหนังสือ “สารสินสวามิภักดิ์” ว่า “ คืนก่อนวันที่จะสวรรคต ผมไปนั่ง
คอยฟังพระอาการประชวรอยู่ตลอดทั้งคืน ผมอยู่คอยจนกระทั่งสวรรคต หลังจากที่ได้ถวายนํ้าสรงพระศพที่พระบาทแล้ว ผม
สับสนไปหมด บอกไม่ถูกว่ารู้สึกอย่างไร มันหนักหน่วงใหญ่หลวง มันเป็นความสูญเสียครั้งใหญ่อีกครั้งหนึ่งในชีวิตของผม
หลังจากที่พ่อตายไป พระองค์ท่านเป็นเจ้านายที่ผมเคารพรักและผูกพันมากที่สุด ผมไม่เคยลืมพระอัธยาศัย และพระจริยา
วัตรที่งดงามของพระองค์ท่าน ผมใช้เวลาอยู่นานกว่าจะยอมรับได้ว่าไม่มีทูลกระหม่อมแดงอีกต่อไปแล้ว”