ชีววิทยา ม.5

3. ราก(Root)
 เจริญลงสู่ดินตามแรงดึงดูดของโลกค้าจุนส่วนต่างๆของพืชให้ทรงตัวอยู่ได้
 ดูดและล้าเลียงน้าหน้าที่อื่นๆเช่นสะสมอาหารยึดเกาะ การหายใจ
 การศึกษาโครงสร้างของรากมี 2 ลักษณะ คือตามยาวและภาคตัดขวาง

5. 1) หมวกราก(Rootcap)
 ประกอบด้วยเซลล์พาเรงคิมาเรียงตัวกันอย่างหลวมๆ
 ผลิตเมือกท้าให้หมวกรากชุ่มชืนและอ่อนตัว สะดวกในการชอนไช
 และป้องกันอันตรายให้กับส่วนที่อยู่เหนือขึนไป

6. โครงสร้างตามยาวของราก

7. 2) บริเวณเซลล์ก้าลังแบ่งตัว(Regionof celldivision)
 อยู่ถัดจากหมวกรากขึนไป เป็นบริเวณของเนือเยื่อเจริญ
 การแบ่งเซลล์แบบไมโทซิสเพื่อเพิ่มจ้านวน

8. โครงสร้างตามยาวของราก

9. 3) บริเวณเซลล์ขยายตัวตามยาว(Regionof cellelongation)
 อยู่ถัดจากบริเวณเซลล์มีการแบ่งตัวเป็นบริเวณที่เซลล์มีการยืดยาวขึน

10. โครงสร้างตามยาวของราก

11. 4) บริเวณเซลล์เปลี่ยนแปลงไปท้าหน้าที่เฉพาะ
 ได้แก่ เซลล์ถาวรซึ่งที่มีการเปลี่ยนแปลงเพื่อท้าหน้าที่ต่างๆเช่นขนราก

13. 1.2โครงสร้างของรากตามภาคตัดขวาง
1) เอพิเดอร์มิส(Epidermis)

14. โครงสร้างของรากตามภาคตัดขวาง
1) เอพิเดอร์มิส(Epidermis)

15. 2) คอร์เทกซ์ (cortex)
เป็นอาณาเขตระหว่างชันepidermisและstele
ชันในสุดของเรียกendodermisในรากพืชใบเลียงเดี่ยวจะเห็นชัดเจนกว่า

16. คอร์เทกซ์ (cortex)

17. คอร์เทกซ์ (cortex)

18. 3) สตีล(stele)
เป็นบริเวณที่อยู่ถัดจากชันendodermisเข้าไป
steleในรากใบเลียงคู่จะแคบกว่าใบเลียงเดี่ยว

19. ส่วนประกอบของสตีล
ก. เพอริไซเคิล(pericycle)
 เป็นเซลล์ขนาดเล็ก1-2แถวพบเฉพาะในราก
 เป็นแหล่งก้าเนิดของรากแขนง

20. สตีล (stele)
3.1 เพอริไซเคิล (pericycle)

21. ข. เนือเยื่อล้าเลียง(vascularbundle)
พืชใบเลียงคู่ xylemอยู่ตรงใจกลางเรียงเป็นแฉกไม่เกิน6 แฉก
 มี phloemอยู่ระหว่างแฉกของXylem

22. สตีล (stele)
3.2 เนื้อเยื่อลำเลียง (vascular bundle)

23. ข. เนือเยื่อล้าเลียง(vascularbundle)
รากของพืชใบเลียงเดี่ยวมักมีจ้านวนแฉกมากกว่าใบลียงคู่

24. สตีล (stele)

25. ค. พิธ(pith)
เป็นบริเวณตรงกลางราก เห็นได้ชัดเจนในรากพืชใบเลียงเดี่ยว
ส่วนรากพืชใบเลียงคู่ตรงกลางมักเป็นxylem

26. โครงสร้างภายในของราก
2) มัดท่อลาเลียง (Vascular Bundle )

27. โครงสร้างภายในของราก
2) มัดท่อลาเลียง (Vascular Bundle )

28. โครงสร้ำงของรำกพืชใบเลี้ยงคู่ตำมภำคตัดขวำง

29. โครงสร้ำงของรำกตำมภำคตัดขวำง Epidermis
Cortex
Endodermis
Pericycle
Xylem
Phloem

30. การเจริญเติบโตขันที่2 (SecondaryGrowth)
พบในรากพืชใบเลียงคู่เกิดที่บริเวณวาสคิวลาร์ แคมเบียมของราก
สร้างเพื่อให้รากเพิ่มขนาดขึนมักเกิดที่ส่วนที่อยู่ถัดจากบริเวณขนรากขึนไป

31. กำรเจริญเติบโตขั้นที่ 2 (Secondary Growth)

33. 1) รากแก้ว(Primaryroot)
 ท้าหน้าที่เป็นหลักรับส่วนอื่นๆให้ทรงตัวอยู่ได้ มีขนาดใหญ่กว่ารากอื่นๆ
 รากชนิดนีพบในพืชใบเลียงคู่ที่งอกออกจากเมล็ดโดยปกติ

34. หน้าที่และชนิดของราก
ชนิดของรากเมื่อแยกตามกาเนิด จาแนกออกเป็ น 3 ชนิดคือ
Primaryroot หรือ รากแก้ว

35. 2) รากแขนง(secondaryroot)
 เป็นรากที่มีก้าเนิดและเจริญเติบโตออกมาจากรากแก้ว
 มีก้าเนิดมาจากเนือเยื่อpericycle ในรากเดิม

36. หน้าที่และชนิดของราก
ชนิดของรากเมื่อแยกตามกาเนิด จาแนกออกเป็ น 3 ชนิดคือ
secondary root หรือ รากแขนง

38. ก. รากฝอย( fibrous root)
 เป็นรากเส้นเล็กๆมากมายขนาดสม่้าเสมองอกแทนรากแก้วที่ฝ่อไป
 พบในพืชใบเลียงเดี่ยวเป็นส่วนใหญ่เช่นข้าวข้าวโพดหญ้า

39. 3.1รากฝอย( fibrousroot)

40. ข. รากค้าจุน( proproot)
 เป็นรากที่แตกออกจากข้อของล้าต้นที่อยู่เหนือดินเล็กน้อยช่วยพยุงและค้าจุนล้าต้น
 ได้แก่ล้าเจียกข้าวโพดโกงกางและไทรย้อยเป็นต้น

41. 3.2รากค้าจุน( proproot)

42. 3.2รากค้าจุน( proproot)

43. ค. รากหายใจ( respiratoryroot)
 เป็นรากที่ชูปลายรากขึนมาเหนือพืนดินหรือผิวน้าเพื่อช่วยในการหายใจ
 ได้แก่ล้าพู แสมโกงกางแพงพวยน้าและผักกระเฉด

44. 3.3รากหายใจ( respiratoryroot)

45. 3.3รากหายใจ( respiratoryroot)

46. ง. รากสะสมอาหาร( storageroot)
 ท้าหน้าที่สะสมอาหาร
 เช่น กระชาย มันเทศมันแกว มันส้าปะหลัง หัวผักกาด แครอท

47. 3.4รากสะสมอาหาร( storageroot)

48. 3.4รากสะสมอาหาร( storageroot)

49. 3.4รากสะสมอาหาร( storageroot)