More Related Content
Similar to Chapter 10 (20)
More from การัน นามสมมุติ
More from การัน นามสมมุติ (15)
Chapter 10
- 3. ภารกิจที่ 1
• 1. เลือกวิธีการประเมินคุณภาพสื่อให้สอดคล้อง
กับลักษณะของสื่อของครูแต่ละคนพร้อมทั้งให้
เหตุผล
- 5. 1.1 การประเมินโดยอาศัยเกณฑ์
แนวคิดการประเมินโดยอาศัยเกณฑ์จะมีการกาหนดค่าตัวเลขขึ้นมาเพื่อเป็นสิ่งที่จะระบุถึง
ประสิทธิภาพของสื่อ ในปัจจุบันการกาหนดเกณฑ์นิยมปฏิบัติใน 2 แนวทาง คือ (1) ยึดเกณฑ์
มาตรฐาน 90/90 ของเปรื่อง กุมุท และ (2) ยึด E1/E2 ของชัยยงค์พรหมวงศ์ (มนตรี แย้มกสิกร,
2550)
(1) เกณฑ์มาตรฐาน 90/90 เป็นวิธีการที่ได้รับการพัฒนามาเพื่อประเมินประสิทธิภาพของบทเรียน
โปรแกรม มีพื้นฐานมาจากการเรียนรู้แบบรอบรู้ (Mastery learning) นิยามของเกณฑ์
มาตรฐาน 90/90 นั้นได้อธิบายไว้ว่า
90 ตัวแรกเป็นคะแนนของทั้งกลุ่ม ซึ่งหมายถึงนักเรียนทุกคน เมื่อสอนครั้งหลังเสร็จให้คะแนนเสร็จ
นาคะแนนมาหาค่าร้อยละให้หมดทุกคะแนน แล้วหาค่าร้อยละเฉลี่ยของทั้งกลุ่ม ถ้าบทเรียน
โปรแกรมถึงเกณฑ์ค่าร้อยละเฉลี่ยของกลุ่มจะต้องเป็น 90 หรือสูงกว่า (เปรื่อง กุมุท, 2519)
90 ตัวที่สองแทนคุณสมบัติที่ว่าร้อยละ 90 ของนักเรียนทั้งหมด ได้รับผลสัมฤทธิ์ตามมุ่งหมายแต่ละ
ข้อ และทุกข้อของบทเรียนโปรแกรม
- 6. วิธีการคานวณค่าประสิทธิภาพสื่อ
• 1. สร้างตารางบันทึกผลการสอบหลังเรียน โดยนาผลการทดสอบหลังเรียนของ
ผู้เรียนมาบันทึกค่าคะแนนไปในแต่ละวัตถุประสงค์การเรียนรู้ที่กาหนดไว้
• 2. ตรวจผลการสอบของผู้เรียนแต่ละคน ดาเนินการตรวจผลการสอบว่าผู้เรียนแต่
ละคนได้คะแนนจากการสอบหลังเรียนกี่คะแนน
• 3. พิจารณาผลการสอบว่าผ่านเกณฑ์ตามที่กาหนดไว้ในวัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรม
เท่าใด ดาเนินการพิจารณาผู้เรียนเป็นรายบุคคลว่ามีวัตถุประสงค์ใดบ้างที่ผ่านและ
ไม่ผ่านเกณฑ์
- 7. 4. คานวณประสิทธิภาพโดยใช้สูตรคานวณดังนี้
90 ตัวแรก ={(ΣX /N) X 100)}/R
90 ตัวแรก หมายถึง จานวนร้อยละของคะแนนเฉลี่ยของการทดสอบหลังเรียน
ΣX หมายถึง คะแนนรวมของผลการทดสอบที่ผู้เรียนแต่ละคน ทาได้ถูกต้องจากการทดสอบ
หลังเรียน
N หมายถึง จานวนผู้เรียนทั้งหมดที่ใช้เป็นกลุ่มตัวอย่างในการคานวณประสิทธิภาพครั้งนี้
R หมายถึง จานวนคะแนนเต็มของแบบทดสอบหลังเรียน
90 ตัวหลัง = (Y x 100)/ N
90 ตัวหลัง หมายถึง จานวนร้อยละของผู้เรียนที่สามารถทาแบบทดสอบผ่านทุกวัตถุประสงค์
Y หมายถึง จานวนผู้เรียนที่สามารถทาแบบทดสอบผ่านทุกวัตถุประสงค์
N หมายถึง จานวนผู้เรียนทั้งหมดที่ใช้เป็นกลุ่มตัวอย่างในการคานวณประสิทธิภาพครั้งนี้
- 8. (2) การทดสอบประสิทธิภาพตามเกณฑ์ประสิทธิภาพ E1/E2 เป็นแนวคิดการ
ประเมินที่เกิดขึ้นเพื่อประเมินประสิทธิภาพของชุดการสอนและสื่อการสอนประเภท
ต่างๆ ยกเว้น บทเรียนโปรแกรม ซึ่งตั้งอยู่บนพื้นฐานของกลุ่มพฤติกรรมนิยมที่ต้องการ
ประเมินผลพฤติกรรมของผู้เรียนใน 2 ประเภท คือ พฤติกรรมต่อเนื่อง (กระบวนการ)
และพฤติกรรมสุดท้าย (ผลลัพธ์) โดยกาหนดค่าประสิทธิภาพเป็น E1 (ประสิทธิภาพ
ของกระบวนการ) E2 (ประสิทธิภาพของผลลัพธ์) นิยามประสิทธิภาพ E1/E2
E1 หมายถึง ค่าร้อยละของคะแนนเฉลี่ยที่เกิดจากการทากิจกรรมระหว่างเรียนจากชุด
การสอนหรือสื่ออื่นๆ ของผู้เรียน (ประสิทธิภาพของกระบวนการเรียนรู้)
E2 หมายถึง ค่าร้อยละของคะแนนเฉลี่ยที่เกิดจากการทาแบบทดสอบหลังการเรียน
ของผู้เรียน (ประสิทธิภาพของผลลัพธ์การเรียนรู้)
การคานวณโดยใช้สูตร
- 9. E1 หมายถึง ค่าประสิทธิภาพของกระบวนการเรียนรู้
ΣX หมายถึง ผลรวมของคะแนนกิจกรรมระหว่างเรียนของผู้เรียนทุกคน (N คน)
N หมายถึง จานวนผู้เรียนที่ใช้ในการประเมินประสิทธิภาพสื่อการสอนครั้งนี้
A หมายถึง คะแนนเต็มของกิจกรรมระหว่างเรียน
E2 หมายถึง ค่าประสิทธิภาพของผลลัพธ์การเรียนรู้
ΣF หมายถึง ผลรวมของคะแนนกิจกรรมระหว่างเรียนของผู้เรียนทุกคน (N คน)
N หมายถึง จานวนผู้เรียนที่ใช้ในการประเมินประสิทธิภาพสื่อการสอนครั้งนี้
B หมายถึง คะแนนเต็มของแบบทดสอบหลังเรียน
- 10. 1.2 การประเมินโดยค่าดัชนีประสิทธิผล
การวิเคราะห์ค่าดัชนีประสิทธิผล (Effectiveness index: E.I.) เป็นอีกวิธีที่ใช้ในการ
ประเมินประสิทธิภาพสื่อการสอน ซึ่งนิยมใช้วิธีของ Goodman, Fletcher and
Schneider (1980) โดยดัชนีประสิทธิผลที่ใช้ได้ควรมีค่า 0.50 ขึ้นไป
สูตรการหาค่าดัชนีประสิทธิผล
จะเขียนในรูปของร้อยละ ซึ่งผลการคานวณจะได้เท่ากับผลการคานวณจากคะแนนดิบ
ดัชนีประสิทธิผล = ร้อยละของผลรวมของคะแนน – ร้อยละของผลรวมของคะแนนก่อนเรียน
100 – ร้อยละของผลรวมของคะแนนก่อนเรียน
E.I. = P2% - P1%
100 – P1%
เมื่อ P1% แทน ร้อยละของผลรวมของคะแนนทดสอบก่อนเรียน
P2% แทน ร้อยละผลรวมของคะแนนทดสอบหลังเรียน
ตัวอย่างการคานวณค่าดัชนีประสิทธิผล คน
- 15. ด้านเนื้อหา
เป็นการตรวจสอบเนื้อหา โดยผู้เชี่ยวชาญด้านเนื้อหา จะทาการตรวจสอบเนื้อหาในด้านต่างๆผู้เชี่ยวชาญอาจเป็น
ครูผู้สอน หรือผู้ที่มีความรู้ ความสามารถ หรือมีความเชี่ยวชาญเกี่ยวกับเนื้อหาเรื่องที่จะประเมิน หลักการสาคัญที่นามา
เป็นพื้นฐานในการพิจารณาเนื้อหาที่นามาใช้ในการเรียนรู้ (Khan, Badrul H,1997; Hannafin and
Other,1999) ดังรายละเอียดต่อไปนี้
• ความถูกต้อง
• ความน่าสนใจ
• ความเหมาะสมกับสาระในสาขาวิชา
• มีความทันสมัยและทันต่อเหตุการณ์ปัจจุบัน
• เนื้อหา มีความครอบคลุมเรื่องที่จะศึกษา มีความชัดเจน และเอื้อต่อการศึกษาค้นคว้าหาความรู้ หรือการสร้าง
ความรู้ของผู้เรียน
• ภาษาที่ใช้สามารถสื่อได้ตรงกับความคิดรวบยอด(Concept)ในการเรียนรู้ หรือความ
• กะทัดรัด เป็นลาดับขั้นและง่ายต่อการทาความเข้าใจ
• ความเหมาะสมกับวิธีการหรือหลักการ ทฤษฎีที่นามาใช้
• รูปแบบการนาเสนอเนื้อหา การนาเสนอเนื้อหามีรูปแบบการนาเสนอที่น่าสนใจ ประมวลสารสนเทศได้ง่าย และ
ช่วยให้เกิดการเรียนรู้ได้ดี
• ความสอดคล้องของเนื้อหาภาพประกอบและช่วยส่งเสริมสนับสนุนให้เกิดการเรียนรู้ที่ดี
- 16. (2) ด้านสื่อ
ผู้เชี่ยวชาญด้านสื่อ จะทาการตรวจสอบเกี่ยวกับคุณภาพการออกแบบสื่อ คุณลักษณะของสื่อชนิดต่างๆ ซึ่งจะแตกต่างกันไป เช่น สื่อบน
เครือข่าย มัลติมีเดีย สื่อสิ่งพิมพ์ในที่นี้ผู้เขียนนาเสนอตัวอย่างหลักการพื้นฐานที่ใช้ในการพิจารณาสื่อบนเครือข่ายของ Khan, B.H,
Vega R. (1997), Hannafin (1999) และ ชุดสร้างความรู้ ดังมีรายละเอียด ต่อไปนี้
2.1 สื่อบนเครือข่าย
2.1.1 การออกแบบเครื่องนาทาง (Navigator) ช่วยในการค้นหาหาสารสนเทศ
2.1.2 การออกแบบเครื่องนาทางมีโครงสร้างที่คล้ายคลึงกันและมีความคงที่
2.1.3 สัญลักษณ์ที่เป็นไอคอน (Icon) สามารถสื่อความหมายเกี่ยวกับแหล่งสารสนเทศต่างๆ
2.1.4 การเชื่อมโยง (Link) ช่วยให้สามารถเข้าถึงสารสนเทศต่างๆ
2.1.5 ประสิทธิภาพของ รูปแบบการสนทนา (post) ผ่านเครือข่าย (web)
2.1.6 การออกแบบองค์ประกอบทางศิลปะ (architecture) บนเครือข่ายมีความเหมาะสมสะดุดตา น่าสนใจ
2.1.7 ภาพและขนาดของตัวอักษรที่ใช้มีความสอดคล้องกับเนื้อหาและส่งเสริมการเรียนรู้
2.2 ชุดสร้างความรู้
มีหลักการสาคัญที่นามาเป็นพื้นฐานในการพิจารณาคุณลักษณะของสื่อดังนี้
2.2.1 การนาเสนอเนื้อหาที่ดึงดูดความใส่ใจของผู้เรียน ได้แก่ การใช้ตัวหนังสือที่มีการเน้นด้วยสี การนาเสนอด้วยภาพนิ่ง
2.2.2 การออกแบบองค์ประกอบทางศิลปะ มีความเหมาะสมสะดุดตา น่าสนใจ
2.2.3 ภาพประกอบมีความสอดคล้องกับเนื้อหาและส่งเสริมการเรียนรู้ขนาดของตัวอักษรที่ใช้มีความสอดคล้องกับเนื้อหา
- 17. (3) การออกแบบสิ่งแวดล้อมทางการเรียนรู้
ในการออกแบบตามแนวคอนสตรัคติวิสต์ ผู้เชี่ยวชาญด้านการออกแบบ จะทาการตรวจสอบการ
ออกแบบการสอนที่อาศัยพื้นฐานทฤษฎีคอนสตรัคติวิสต์ซึ่งนาหลักการสาคัญของ ทฤษฎีคอนสตรัค
ติวิสต์เชิงปัญญา ของ Piajet และ ทฤษฎีคอนสตรัคติวิสต์เชิงสังคมของ Vygotsky มาเป็น
พื้นฐานในการออกแบบ หรือเรียกว่า การนาทฤษฎีสู่การปฏิบัติ ที่อยู่ในลักษณะองค์ประกอบที่สาคัญ
ได้แก่ สถานการณ์ปัญหา ธนาคารความรู้ ฐานการช่วยเหลือ การร่วมมือกันแก้ปัญหา ดังรายละเอียด
ต่อไปนี้ (สุมาลี ชัยเจริญ, 2551)
3.1 การเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้แสวงหาความรู้โดยการปฏิบัติจริง
3.2 เปิดโอกาสให้ผู้เรียนควบคุมการเรียนรู้ได้ด้วยตัวเอง (Learner control)
3.3 สถานการณ์ปัญหากระตุ้นให้ผู้เรียนเกิดแรงจูงใจในการเสาะแสวงหาความรู้ หรือค้นหา ค้นพบ
คาตอบด้วยตนเอง
3.4 ระดับภารกิจการเรียนรู้กระตุ้นให้ผู้เรียนได้พัฒนาความสามารถในการคิดขั้นสูง
3.5 ภาระกิจการเรียนรู้กระตุ้นให้ผู้เรียนได้คิดวิเคราะห์ ไตร่ตรองประเด็นปัญหาที่ต้องการค้นหาคา
ตอบ
- 18. 3.5 ธนาคารความรู้ (Resource) มีการออกแบบที่สนับสนุนข้อมูลให้ผู้เรียนสามารถค้นหา
สารสนเทศจากแหล่งต่างๆอย่างหลากหลายเพื่อนามาใช้ในการแก้สถานการณ์ปัญหาที่กาหนดให้รวมทั้ง
ช่วยสนับสนุนในการสร้างความรู้ของผู้เรียน
3.6 เครื่องมือทางปัญญา (Cognitive tool) ในการเรียน กระตุ้นกระบวนการคิดของผู้เรียนและเกิด
ความเข้าใจอย่างลึกซึ้งในการเรียน
3.7 ฐานการช่วยเหลือ (scaffolding) ส่งเสริมให้ผู้เรียนใช้ความพยายามในการเรียนรู้
3.8 กรณีใกล้เคียง (Related case) ส่งเสริมให้ผู้เรียนเชื่อมโยงประสบการณ์ที่เกี่ยวข้องมาใช้ในการ
แก้ปัญหาได้
3.9 ห้องแลกเปลี่ยนเรียนรู้ มีการออกแบบที่สนับสนุนให้ทุกคนมีส่วนร่วมในการเรียนรู้ แลกเปลี่ยน
ความคิดเห็น และแก้ปัญหาร่วมกัน
3.10 การโค้ช (coaching) โดยครูผู้สอนทาการวิเคราะห์ผู้เรียนสามารถสื่อสารและสะท้อนผล
เกี่ยวกับผู้เรียนในกระบวนการเรียนรู้ และกระตุ้นให้ผู้เรียนกระทาภารกิจการเรียนรู้อย่างตื่นตัว