More Related Content Similar to โครงสร้างและหน้าที่ของพืชดอก
Similar to โครงสร้างและหน้าที่ของพืชดอก (20) โครงสร้างและหน้าที่ของพืชดอก2. •เนื้อเยื่อพืช (plant tissue)
•อวัยวะและหน้าที่ของอวัยวะของพืช
•การแลกเปลี่ยนแก๊สและการคายน้าของพืช
•การลาเลียงน้าของพืช
•การลาเลียงสารอาหารของพืช
•การลาเลียงอาหารของพืช 5. ผนังเซลล์ปฐมภูมิ
(primary cell wallหรือprimary wall)
•เป็นชั้นที่เกิดขึ้นเมื่อเซลล์เริ่มเจริญเติบโต
•ประกอบด้วยสารพวกเซลลูโลส (cellulose) เป็นส่วนใหญ่
•ผนังเซลล์ยึดติดกันด้วยมิดเดิลลาเมลลา(middlelamella) ซึ่งเป็นชั้นที่อยู่ตรงกลางระหว่างเซลล์ที่อยู่ติดกัน
•(middlelamella) ประกอบด้วยเพกทิน(pectin) 6. ผนังเซลล์ทุติยภูมิ
(secondary cell wall หรือ secondary wall)
•มีการสะสมแบบแทรกอยู่ในผนังเซลล์ปฐมภูมิ และสะสมซ้อนทับเป็นแนวอยู่ระหว่างเซลล์ ปฐมภูมิและเยื่อหุ้มเซลล์
•องค์ประกอบทางเคมีที่สาคัญคือลิกนิน(lignin)
•ทาให้ผนังเซลล์มีความหนาและแข็งแรงมากขึ้น 9. •apical root meristem“เนื้อเยื่อเจริญส่วนปลาย ราก” เมื่อเจริญจะทาให้รากยาวขึ้น
•apical shoot meristem“เนื้อเยื่อเจริญส่วนปลาย ยอด” เมื่อเจริญจะทาให้ลาต้นยืดยาว สร้างใบ และกิ่งก้าน
•เนื้อเยื่อเจริญส่วนนี้จัดเป็นการเจริญเติบโตขั้นต้น (primary growth)
(apical meristem) 12. เนื้อเยื่อเจริญเหนือข้อ (intercalary meristem)
•เนื้อเยื่อเจริญที่บริเวณเหนือข้อล่างหรือโคนของปล้องบนของ ลาต้น
•พบในพืชใบเลี้ยงเดี่ยว และก้านของช่อดอกบางชนิด เช่นหญ้า ข้าว ข้าวโพด อ้อย ไผ่
•มีหน้าที่แบ่งเซลล์เพื่อให้ส่วนปล้องหรือก้านช่อดอกยืดยาวขึ้น
•จัดเป็นการเจริญเติบโตขั้นต้น (primary growth) 15. เนื้อเยื่อเจริญด้านข้าง (lateral meristem)
•เนื้อเยื่อเจริญด้านข้างหรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “แคมเบียม” (cambium) พบในรากและลาต้น
•เซลล์รูปร่างสี่เหลี่ยมผืนผ้า ผนังเซลล์บาง เรียงตัวเป็นระเบียบอยู่ใน แนวขนานกับเส้นรอบวง
•มีการแบ่งเซลล์เพิ่มจานวนออกทางด้านข้าง ทาให้รากและลาต้นขยาย ใหญ่ขึ้น เนื้อเยื่อเจริญส่วนนี้จัดเป็นการเจริญเติบโตขั้นที่2(secondary growth)
•พบในพืชใบเลี้ยงคู่ทุกชนิด และใบเลี้ยงเดี่ยวบางชนิด เช่น หมากผู้ หมากเมีย จันทน์ผา 16. เนื้อเยื่อเจริญด้านข้าง (lateral meristem)
•แบ่งเป็น 2 ชนิด 1) วาสคิวลาร์แคมเบียม (vascular cambium) : แทรกอยู่ ระหว่าง xylemและpholemเมื่อแบ่งเซลล์ทาให้เกิดเนื้อเยื่อท่อ ลาเลียง (vascular tissue) เพิ่มขึ้น 2) คอร์กแคมเบียม (cork cambium)หรือ Phellogen : อยู่ ในเนื้อชั้นผิว (epidermis) หรืออยู่ถัดเข้าไป พบในชั้น cortex เมื่อ แบ่งเซลล์จะทาให้เกิดเนื้อเยื่อcorkหรือ phellem(ด้านนอก) และ เนื้อเยื่ออื่นๆ phelloderm (ด้านใน) 22. (Permanent tissue)
•ประกอบด้วยเซลล์ที่แบ่งตัวไม่ได้ เปลี่ยนแปลงและพัฒนามาจาก Meristematictissues
•มีรูปร่างคงที่ไม่เปลี่ยนแปลง กล่าวคือ จะคงรูปร่างลักษณะเดิมไว้ตลอด แต่จะเริ่มเปลี่ยนแปลงเมื่อไปทาหน้าที่จาเพาะ
•จาแนกตามลักษณะของเซลล์ที่มาประกอบกันจาแนกได้เป็น 2 ชนิด คือ 23. (Simple Permanent tissue)
-เป็นเนื้อเยื่อถาวรที่ประกอบด้วย เซลล์ชนิดเดียวกันล้วน ๆ
(มีต้นกาเนิดจากเนื้อเยื่อเดียวกัน)
-จาแนกออกเป็นหลายชนิด คือ
-Epidermis
-Parenchyma
-Collenchyma
-Sclerenchyma
-Cork 24. Epidermis
-เป็น simple tissue ที่อยู่ผิวนอกสุดของส่วนต่าง ๆ ของพืช (ถ้าเปรียบกับตัวเรา ก็คือ หนังกาพร้านั่นเอง)
-ส่วนใหญ่ในลาต้นและใบจะมีความหนาเพียงหนึ่งชั้นเซลล์
-ประกอบด้วยเซลล์ที่มีชีวิต คือ epidermal cell และ guard cell แต่ในรากจะพบ root hair cell
-ผนังเซลล์ด้านนอกหนากว่าด้านใน
และมีสารพวก cutin มาเคลือบ
เพื่อลดการคายน้า 25. Epidermis
-ช่วยป้องกันอันตรายให้แก่เนื้อเยื่อที่อยู่ข้างใน และช่วย เสริมสร้างความแข็งแรงด้วย
-ช่วยป้องกันการระเหย (คาย) น้า (เพราะถ้าพืชเสียน้า ไปมากจะเหี่ยว) และช่วยป้องกันน้าไม่ ให้ซึมเข้าไปข้างในด้วย (เพราะถ้าได้รับน้ามากเกินไป จะเน่าได้ ) -ช่วยในการแลกเปลี่ยนแก๊สทั้งไอน้า
คาร์บอนไดออกไซด์ และออกซิเจน โดยทางปากใบ -ช่วยดูดน้าและเกลือแร่ 28. Parenchyma
-เป็น Simple tissue ที่ประกอบด้วย Parenchyma Cell
-ซึ่งเป็นเซลล์พื้นทั่ว ๆ ไป และพบมากที่สุดในพืชโดยเฉพาะ ส่วนที่อ่อนนุ่มและอมน้าได้มาก
-เช่น ในชั้น Cortex และ Pith ของรากและลาต้น
-เป็นเซลล์ที่ยังมีชีวิตอยู่
-มีรูปร่างหลายแบบ แต่ส่วนใหญ่ทรงกระบอกกลม หรือ ทรงกระบอกเหลี่ยมด้านเท่า อาจกลมรี มี cell wall บาง ๆ
-การเรียงตัวของเซลล์ทาให้เกิด intercellular space 30. Collenchyma
-เป็น Simple tissue ที่ประกอบด้วย Collenchyma cell
-พบมากในบริเวณ Cortex ใต้ epidermis ลงมา ในก้านใบ เส้นกลางใบ
-เป็นเซลล์ที่ยังมีชีวิตอยู่
-เซลล์อัดแน่น ขนาดของเซลล์ส่วนมากเล็ก หน้าตัดมักเป็นรูป สี่เหลี่ยมแต่ยาวมาตามความยาวของต้น และปลายทั้งสองเสี้ยม หรือตัดตรง
-ช่วยทาให้ส่วนต่าง ๆ ของพืชเหนียวและแข็งแรงทรงตัวอยู่ได้ -ช่วยป้องกันแรงเสียดทานด้วย 32. Sclerenchyma
-เป็น Simple tissue ที่ประกอบขึ้นด้วยเซลล์ซึ่งมีลักษณะทั่วๆ
-เป็นเซลล์ที่ตายแล้ว (ตอนเกิดใหม่ ๆ ยังมีชีวิต)
-Cell wall หนามากประกอบขึ้นด้วย cellulose และ lignin(ติด
สีได้ดี)
-เนื้อเยื่อชนิดนี้แข็งแรงมากจัดเป็นโครงกระดูกของพืช
-จาแนกออกได้เป็น 2ชนิดตามรูปร่างของเซลล์ คือ 34. Fiber
Sclerenchyma
-เรามักเรียกว่าเส้นใย
-ประกอบด้วยเซลล์ที่ตายแล้ว
-มีลักษณะเรียวและยาวมากปลายทั้งสองเสี้ยม
หรือค่อนข้างแหลม
-มีความเหนียวและยึดหยุ่นได้มาก
จะเห็นได้จากเชือกที่ทาจากลาต้น
หรือใบของพืชต่าง ๆ 35. Stone cell
-ประกอบด้วยเซลล์ที่ตายแล้ว
-มีลักษณะคล้ายกับไฟเบอร์ แต่เซลล์ไม่ยาวเหมือนไฟเบอร์ เซลล์อาจจะสั้นกว่าและป้อม ๆ อาจกลมหรือเหลี่ยมหรือเป็น ท่อนสั้น ๆ รูปร่างไม่แน่นอน
-พบอยู่มากตามส่วนแข็ง ๆ ของพืช โดยเฉพาะอย่างยิ่งตาม เปลือกของเมล็ดหรือผลไม้ เช่น กะลามะพร้าว เมล็ดพุทรา เมล็ดแตงโม หรือ ในเนื้อของผลไม้ที่เนื้อสาก ๆ เช่น เสี้ยนใน เนื้อของลูกสาลี่ เนื้อน้อยหน่า ฝรั่ง
เนื้อเยื่อเจริญ
เชิงเดี่ยว 38. เพิ่มเติม: Endodermis
-พบเฉพาะในรากนั้น
-มีลักษณะเหมือนกับ epidermis ยกเว้นตาแหน่งที่พบ
-อยู่ด้านในสุดของชั้น cortex ประกอบด้วยเซลล์เรียงตัวเป็นแถวเดียว
-มีสารพวก wax (suberinlignin pectin)มาเคลือบ
-จะเห็นแถบสีเข้มเรียกว่า casparianstrip
-casparianstrip ไม่สามารถลาเลียงน้าและแร่ธาตุได้
-แต่บริเวณที่ไม่มี waxมาเคลือบ จะมีสีจางสามารถลาเลียงน้าและ
แร่ธาตุได้เรียกว่า passage cell 39. SUMMARY
1.Epidermis + Cork = Protective tissue (เนื้อเยื่อถาวรป้องกัน)
2.Cork, Cork cambium + Phelloderm = Periderm
(Epidermis Cork(phellem) Cork cambium(phellogen) phelloderm)
3.Parenchyma + Collenchyma + Sclerenchyma + Endodermis (root) = Ground tissue (เนื้อเยื่อพื้น) อยู่รวมกันเรียกว่า Cortex 45. 2. เวสเซล เมมเบอร์ (Vesel member)
-เป็นกลุ่มเซลล์ที่มีผนังหนา มีสารพวกลิกนิน
-เซลล์มีรูปร่างยาวหรือสั้นปลาย ลักษณะเป็นทรงกระบอก
-เซลล์อาจเฉียงหรือตรงและมีช่องทะลุถึงกัน (ปลายสุดมี
ลักษณะเป็นรู)
-เมื่อโตเต็มที่เซลล์จะตาย เรียกเวสเซลเมมเบอร์
-หลายเซลล์มาเลียงต่อกันและมีช่องทะลุถึงกันว่าเวสเซล
(Vesel) มีลักษณะคล้ายกับท่อน้า
-สามารถลาเลียงน้าได้สะดวกกว่า Trachied มาก
เนื้อเยื่อลาเลียงน้าและแร่ธาตุ
(Xylem) 47. 3. ไซเล็มพาเรงคิมา (Xylem parenchyma)
-เป็นเซลล์parenchyma ที่พบในเนื้อเยื่อลาเลียงน้า และแร่ธาตุ ซึ่งยังมีชีวิตอยู่
-ช่วยลาเลียงออกทางด้านข้างเรียกว่า Xylem ray4. ไซเล็มไฟเบอร์ (Xylem fiber)
-เป็นเซลล์ไฟเบอร์ที่พบในในเนื้อเยื่อลาเลียงน้าและ แร่ธาตุ ซึ่งไม่มีชีวิต มีหน้าที่เสริมความแข็งแรง
เนื้อเยื่อลาเลียงน้าและแร่ธาตุ
(Xylem) 51. 2.คอมพาเนียนเซลล์(Companioncell)
-เป็นเซลล์ที่อยู่ติดกับSieve tube member (ด้านข้าง)
-มีต้นกาเนิดมาจากที่เดียวกับ Sieve tube member
-เซลล์มีชีวิตโดยทาหน้าที่สร้างสารที่จาเป็นส่งให้กับ
Sieve tube memberซึ่งไม่มีนิวเคลียส
-ควบคุมกระบวนการ metabolism ต่างๆของ Sieve
element
-เป็นเซลล์ที่ช่วยในการลาเลียงอาหาร และสามารถเจริญ
เป็น Sieve tube ได้
เนื้อเยื่อลาเลียงอาหาร
(Phloem) 53. 3. โฟลเอ็มพาเรงคิมา (Phloem parenchyma)
-เป็นเซลล์parenchyma
-พบอยู่ในเนื้อเยื่อphloem
-ช่วยในการลาเลียงออกด้านข้าง
-เซลล์มีชีวิต 4. โฟลเอ็มไฟเบอร์(Phloem fiber)
-เป็นเซลล์ไฟเบอร์ที่พบในเนื้อเยื่อPhloem
-เซลล์ไม่มีชีวิต
เนื้อเยื่อลาเลียงอาหาร
(Phloem) 64. Structure and function of root
-ดูดน้าและแร่ธาตุ (absorption)
-ลาเลียงสารต่างๆ (น้า/เกลือแร่) (transportation)
-สะสมอาหารบางชนิด
-ยึดพยุงลาต้น(anchorage)
-สามารถสังเคราะห์แสงได้ 65. The root of Structure
1.Monocot root (ในการทดลองใช้ต้นข้าวโพด)
-มีการงอกของรากจากจุดเดียวกันหลายราก (seminal root)
-seminal root จะพัฒนาไปเป็น fibrous root (รากฝอย)
2. Dicotroot (ในการทดลองใช้ต้นถั่วเขียว)
-มีรากเดียวงอกออกมา จะพัฒนาไปเป็น tap root
-มีรากอื่นๆงอกออกมาจากรากเดิม 66. The root of Structure
•การงอกของรากทั้งสองชนิดมีความแตกต่างกัน แต่เรียกส่วนที่งอก ออกมาเหนือเมล็ดเหมือนกันว่า redicle
•redicle จะงอกออกมาจากรอยแผลเป็นที่เรียกว่า hilum (ขั้วเมล็ด) 68. 1. บริเวณหมวกราก (Root cap)
2.บริเวณเซลล์กาลังแบ่งตัว(Region of cell division)
3. บริเวณเซลล์ขยายตัวตามยาว (Region of cell elongation)
4. บริเวณเซลล์เปลี่ยนแปลงไปทาหน้าที่เฉพาะ (Region of cell differentiation and maturation)
โครงสร้างตามยาวของราก
แบ่งได้ 4บริเวณ คือ 69. บริเวณหมวกราก
(Root cap)
•เป็นบริเวณที่อยู่ปลายสุดของราก
•ประกอบด้วยเซลล์Parenchyma เรียงตัวกันอย่างหลวมๆ ผนังค่อนข้างบาง มีแวคิวโอลขนาดใหญ่
•สามารถผลิตเมือกได้ ทาให้หมวกรากชุ่มชื้น และอ่อนตัว สะดวกต่อการชอนไช
•สามารถป้องกันอันตรายให้กับบริเวณที่อยู่เหนือขึ้นไปได้ 70. 1. บริเวณหมวกราก (Root cap)
2.บริเวณเซลล์กาลังแบ่งตัว(Region of cell division)
3. บริเวณเซลล์ขยายตัวตามยาว (Region of cell elongation)
4. บริเวณเซลล์เปลี่ยนแปลงไปทาหน้าที่เฉพาะ (Region of cell differentiation and maturation)
โครงสร้างตามยาวของราก
แบ่งได้ 4บริเวณ คือ 72. บริเวณเซลล์กาลังแบ่งตัว (Region of cell division)
•อยู่ถัดจากรากขึ้นมาประมาณ 1-2 mm
•เป็นบริเวณของเนื้อเยื่อ Apical meristem
•มีการแบ่งเซลล์แบบmitosis เพื่อเพิ่มจานวนเซลล์ (อัดแน่น) และมีขนาดเล็กกว่าบริเวณที่อยู่สูงขึ้นไป
•โดยส่วนหนึ่งเจริญเป็น root cap อีกส่วนเจริญเป็น เนื้อเยื่อที่อยู่สูงถัดขึ้นไป (กลุ่มเซลล์ที่มีความยาวมากขึ้น) 73. 1. บริเวณหมวกราก (Root cap)
2.บริเวณเซลล์กาลังแบ่งตัว(Region of cell division)
3. บริเวณเซลล์ขยายตัวตามยาว (Region of cell elongation)
4. บริเวณเซลล์เปลี่ยนแปลงไปทาหน้าที่เฉพาะ (Region of cell differentiation and maturation)
โครงสร้างตามยาวของราก
แบ่งได้ 4บริเวณ คือ 76. 1. บริเวณหมวกราก (Root cap)
2.บริเวณเซลล์กาลังแบ่งตัว(Region of cell division)
3. บริเวณเซลล์ขยายตัวตามยาว (Region of cell elongation)
4. บริเวณเซลล์เปลี่ยนแปลงไปทาหน้าที่เฉพาะ (Region of cell differentiation and maturation)
โครงสร้างตามยาวของราก
แบ่งได้ 4บริเวณ คือ 78. บริเวณเซลล์เปลี่ยนแปลงไปทาหน้าที่เฉพาะ
(Region of cell differentiation and maturation)
•ประกอบด้วยเซลล์ถาวรต่างๆ ซึ่งที่มีการ เปลี่ยนแปลงมาจากเนื้อเยื่อเจริญ
•มีการเปลี่ยนแปลงเพื่อไปทาหน้าที่เฉพาะตามรูปร่าง โครงสร้าง และตาแหน่งที่พบ
•มีการพัฒนาบางเซลล์เป็นขนราก (Root hair cell)
•จัดเป็นการเจริญเติบโตขั้นที่ 2 (secondary growth) 80. โครงสร้างของราก
ตามภาคตัดขวาง
•Epidermisเจริญมาจาก Protoderm
•Cortex เป็นเนื้อเยื่อพื้นที่เจริญมาจาก Ground meristem
•Steleประกอบด้วย Pericycle(ระหว่าง endodermis กับ
vascular tissue)และ Vascular bundle
น่ารู้ :
รากต้องมี xylem and phloem ถ้าไม่มีจะ เรียกว่า Rhizoid (รากเทียม) 81. •Vascular bundle :
•Xylemจะมีลักษณะเป็นแฉกอยู่ตรงกลาง
•Phloemจะอยู่ระหว่างแฉกของ Xylem
•การจัดเรียงมัดท่อลาเลียงใน monocot and dicot
•Dicotจะมีแฉก 2-5 แฉก ตรงกลางเป็น Xylem
•Monocotจะมีแฉกหลายแฉก ตรงกลางเป็น pith
(เนื้อเยื่อพวก perenchyma)
การจัดเรียงของ
มัดท่อลาเลียงในรากของพืช 85. •Apical meristem
•Protodermเจริญเป็น Epidermis
•Ground meristemเจริญเป็น Ground tissue
ในชั้น cortex and Endodermis
•Procambiumเจริญเป็น Primary vascular (Primary xylem and Primary Phloem)
Primary growth of root
Secondary growth of root
•มีการเจริญเติบโตของ cambium 87. เปรียบเทียบระหว่างรากของ momocotand dicot
Dicotroot
Monocot root
Xylem
จะเป็นแฉก 2-5 แฉก
มีมากกว่า 5 แฉก
vascular cambium
มี
ไม่มี
Endodermis
ไม่ชัดเจน
ชัดเจน
ตรงกลางราก
Xylem ทั้งหมด
pith
ระบบราก
tap root
fibrous root
การงอกของราก
มีรากเดียวแล้วมีราก อื่นงอกออกมา
รากงอกออกมาหลาย รากจากจุดเดียวกัน 88. SUMMARY : การเกิดเนื้อเยื่อ ที่เกิดจาก vascular cambium
Inner
Outer
Vascular cambium
Secondary xylem
Primary xylem
Secondary phloem
Primary phloem 91. หน้าที่รากพิเศษ
•1. รากค้าจุน (Prop root:support root)
•เป็นรากที่แตกออกมาจากข้อของลาต้น ที่อยู่ใต้ดิน และเหนือดินขึ้นมาเล็กน้อย
•พุ่งแทงลงไปในดิน เพื่อพยุงลาต้นเอาไว้ไม่ให้ล้มง่าย
•เช่นรากค้าจุนของต้นข้าวโพด ต้นลาเจียก
ต้นโกงกาง 93. หน้าที่รากพิเศษ
•2. รากเกาะ (Climbing root)
•เป็นรากที่แตกออกมาจากข้อของลาต้นแล้วมา เกาะตามหลักหรือเสา
•เพื่อพยุงลาต้นให้ติดแน่นและชูลาต้นขึ้นที่สูง
•เช่นรากของพลู พลูด่าง กล้วยไม้ 95. หน้าที่รากพิเศษ
•3. รากสังเคราะห์แสง (photosynthtic root)
•เป็นรากที่แตกออกมาจากข้อของลาต้น แล้วห้อยลง มาในอากาศ มีสีเขียวของคลอโรฟิลล์
•เป็นรากที่ทาหน้าที่สังเคราะห์แสง
•เช่น รากกล้วยไม้ที่มีสีเขียวเฉพาะรากอ่อน หรือปลาย รากที่แก่เท่านั้น รากของไทร โกงกาง มีสีเขียวเฉพาะ ตรงที่ห้อยอยู่ในอากาศ ส่วนที่ไซลงไปในดินแล้วไม่ มีสีเขียวเลย 97. หน้าที่รากพิเศษ
•4. รากหายใจ (Respiratory root)
•รากพวกนี้เป็นแขนงงอกออกจากรากใหญ่ที่แทง ลงไปในดินอีกทีหนึ่ง
•แต่แทนที่จะงอกลงไปในดิน กับชูปลายขึ้นมา เหนือดินหรือผิวน้า บางทีก็ลอยตามผิวน้า
•เช่นรากของแพงพวย ลาพู 100. หน้าที่รากพิเศษ
•6. รากสะสมอาหาร (storage root)
•เป็นรากที่ทาหน้าที่ในการสะสมอาหารประเภท แป้ง น้าตาลหรือ โปรตีนเอาไว้
•ทาให้มีลักษณะอวบอ้วนเรามักเรียกว่า หัว
•เช่น หัวแครอท หัวผักกาด หัวมันเทศ หัวมันแกว มันสาปะหลัง กระชาย 103. Root modification
หน้าที่
พบใน
Storage root
สะสมอาหาร
มันเทศ แครอทไชเท้า มันแกว มันสาปะหลัง
Photosynthetic
สังเคราะห์ด้วยแสง
รากกล้วยไม้
Aerial Root (Prop/Stilt root)
รากที่เจริญมาจาก ด้านบนลงด้านล่าง หรือ ที่เรียกว่า รากอากาศ
โกงกาง แสม ลาพู ข้าวโพด ไทร เตย กล้วยไม้
Buttress root
รากโคนต้น แผ่นเป็นสัน บริเวณโคนต้น
งิ้ว ตะแบก กระบาก
Pnematophore
รากหายใจ
โกงกาง แสม ลาพู
Parasitic root (Haustoria)
รากชอนไช เข้าทะลุถึง เนื้อเยื่อพืชอื่นๆ
กาฝาก ฝอยทอง 107. •เจริญมาจากต้นอ่อน(Embryo) ส่วนเอพิคอลทิล (Epicotyle) และส่วนไฮโพคอลทิล(Hypocotyl)
•ลาต้นจะแตกต่างจากรากตรงที่มีข้อ(node) ปล้อง (Internode) ตา (bud) และยอด(Apical bud)
•การเจริญเติบโตจะเป็นแบบ negative geotropism or negative gravitropism และ positive
phototropism จะเกิดขึ้นตรงข้ามกับราก
Structure and function ofstem 116. •กว้างกว่าชั้น cortex
•ประกอบด้วย -Vascular bundle ได้แก่Xylem Phloem
•การจัดเรียงตัวจะแตกต่างกันคือ
1.Monocot stem : เรียงไม่เป็นระเบียบ กระจัดกระจาย รอบๆลาต้น
2.Dicot stem : เรียงเป็นระเบียบตามแนวรัศมีของลาต้น
-Vascular ray
เป็นเนื้อเยื่อ parenchyma เห็นเป็นแนวขนานกับรัศมี
อยู่ระหว่าง cortex กับpith
(Stele) 118. เปรียบเทียบระหว่างลาต้นของ monocot and dicot
ข้อเปรียบเทียบ
monocotstem
Dicotstem
Vascular bundle
กระจัดกระจาย
เรียงเป็นระเบียบ
ใจกลางลาต้น
pith cavity
xylem
Vascular cambium
ไม่มี
มี
Secondary growth
ไม่เกิด
เกิด
การรวมตัวของ เนื้อเยื่อชั้น cortex
Cortex กับ phloem เป็นเปลือกไม้
Cortex กับ phloem เป็นเปลือกไม้ 119. •การสร้าง xylem ในรอบปี จะสร้างได้ดีไม่เท่ากันขึ้นอยู่กับฤดูกาลและน้า ที่ได้รับ
–Spring wood xylem จะมีแถบกว้างสีจาง
–Summer wood xylem จะมีแถบแคบสีเข้ม
•แถบสีเข้มจางสลับกันรียกว่า วงปี (annual ring)
หรือวงเจริญเติบโต (growth ring) ในแต่ละปี
จะได้ 1 วง
สาระน่ารู้ 120. •ลาต้นพืช (โดยเฉพาะ dicot) เมื่อเจริญเติบโตเต็มที่บริเวณที่เป็นไส้ จะมี สารอินทรีย์ และ ขี้ผึ้ง (wax) ทาให้ท่อลาเลียงอุดตันไม่สามารถลาเลียงได้ เรียกว่า แก่นไม้ (heart wood)
•ส่วนท่อลาเลียงที่อยู่รอบๆ ลาแลเยงได้เรียกว่า กระพี้ไม้(sap wood)
สาระน่ารู้
heart wood
sap wood
wood
=
+
Wood คือชั้นของเนื้อไม้ เป็น xylem ทั้งหมด 121. •หน้าที่หลัก
1. produce new living คือ เป็นแหล่งสร้างเนื้อเยื่อใหม่ เช่น กิ่ง ใบ ดอก ผล
2. support คือเป็นแกนสาหรับพยุงลาต้น และค้าจุนให้กิ่ง ก้าน ใบ แผ่ออกเพื่อรับแสง
3. transport คือ เป็นตัวกลางในการลาเลียงน้า แร่ธาตุ และ สารอาหารอื่นๆที่พืชสร้างขึ้นไปยังส่วนต่างๆของพืช
หน้าที่ของลาต้น 123. หน้าที่
พบใน
Stolon
ลาต้นที่เจริญในแนวราบ ไหลไป ขยายพันธุ์ ได้
สตรอเบอรี่ หญ้า บัวบก ผักแว่น ผักตบชวา
Thorny stem
ลาต้นที่เจริญเป็นหนาม
ส้ม เฟื่องฟ้า กุหลาบ
Cladode
ลาต้นคล้ายใบ
กระบอกเพชร แก้วมังกร สลัดได
Stem tendril
ลาต้นมือเกาะ
ตาลึง องุ่น แตงกวา พวงชมพู
Subteraneanstem
ลาต้นใต้ดิน แบ่งได้หลายชนิด
1.Tuber กลมรี มีตาโดยรอบ สะสมแป้ง จานวนมาก
2.Corm กลมสั้น อวบ มีขอปล้องชัดเจน มีตาตามข้อ
3.Rhizome เหง้า มีข้อปล้อง ใบ ข้อตา
1.Bulb โผล่พ้นดินบ้าง ปล้องสั้น มีราก ฝอยมาก
มันฝรั่ง มันมือเสือ
เผือก แห้ว ซ่อนกลิ่นฝรั่ง(ลินลี่)
ขิง ข่า พุทธรักษา ขมิ้น ไพล
หญ้าคา
หอม กระเทียม พลับพลึง 124. •แบ่งตามลักษณะของลาต้นได้ 3 ชนิด คือ
1.Tree : ไม้ยืนต้น มีเนื้อไม้
2.Shrub : ไม้พุ่ม
3.Herb : ไม้ล้มลุก
•แบ่งโดยใช้พื้นดินเป็นเกณฑ์ 2 ชนิด คือ
1.ลาต้นเหนือดิน บางส่วนไม่ใช้ลาต้นแต่เป็นใบ (sheath) เช่น กาบกล้วย
2.ลาต้นใต้ดิน เช่น แง่ง เหง้า root stook (หน่อกล้วย) tuber (มันมือเสือ)
ชนิดของลาต้น 126. ข้อเปรียบเทียบ
root
stem
การตอบสนอง
positive phototropism
negative geotropism
Pericycle
มี
ไม่มี
Epidermis
เปลี่ยนเป็น root hair
เปลี่ยนเป็นขนหรือหนาม
ข้อ ปล้อง ตา
ไม่มี
มี
การเกิดของ xylem
เกิดครั้งแรกอยู่ใจกลาง ราก
ไม่ได้อยู่ใจกลางเพราะเกิด pith ก่อน
Apical meristem
Root cap หุ้ม
bud scale leaf
หุ้มตาแรกเกิด
Endodermis
เห็นชัดเจน
เห็นไม่ชัดเจน
ชั้น Cortex
กว้างมาก
แคบกว่า
ชั้น stele
แคบ
กว้าง 137. •ส่วนที่เจริญออกจากฐานใบ อยู่ตรงโคนก้านใบ
•ถ้าเป็นหูใบของในย่อย ( leaflet ) เรียกหูใบย่อย ( stiple )
•หูใบมีลักษณะเป็นริ้ว หนามหรือต่อมเล็ก ๆ ส่วนใหญ่มีสีเขียว
•หูใบมีรูปร่างขนาดและสีต่างกัน
•ทาหน้าที่ป้องกันอันตรายให้กับตาอ่อน
•พบมีทั่วไปในพืชใบเลี้ยงคู่ แต่ไม่ค่อยพบในพืชใบเลี้ยงเดี่ยว ถ้า มีหูใบเรียกว่า สติพูเลท (stipulate leaf) ถ้าไม่มีหูใบเรียก เอกสติพูเลท (exstipulate leaf)
หูใบ ( stipule ) 138. •เรียงตัวแบบขนาน (parallel venation)ไป จนสุดความยาวของใบ
•ใบบางชนิดเส้นใบเรียงขนานแล้วยังมีใบ ย่อยตั้งฉากกับเส้นใบด้วย เช่น ใบตอง
•บางชนิดก้านใบมีลักษณะเป็นกาบ หุ้ม ต้นอ่อนไว้ เช่น ข้าวโพด อ้อย
การจัดเรียงตัวของเส้นใบ (venation) : monocot 140. •1. ใบเดี่ยว (simple leaf) -ใบที่มีตัวใบแผ่นเดียว เช่น ใบน้อยหน่า มะม่วง ชมพู่
-พืชบางชนิดตัวใบเว้าโค้งไปมาจึงทาให้ดูคล้ายมีตัวใบหลาย แผ่นแต่บางส่วนของตัวใบยังเชื่อมกันอยู่ถือว่าเป็นใบเดี่ยว เช่น ใบมะละกอ ใบฟักทอง
-ตัวใบมักติดกับก้านใบ ถ้าใบที่ไม่มีก้านใบเรียกsessile leaves เช่น บานชื่น
ชนิดของใบ 141. •2. ใบประกอบ (compound leaf)
-ใบที่มีตัวใบหลายแผ่นติดอยู่กับก้านใบเดียว เช่น ขี้เหล็ก ใบ จามจุรี ใบย่อย เรียกว่า leaflets
-แต่ละใบย่อยมีก้านใบย่อย (petiolue) แล้วรวมเป็นก้านใบ ใหญ่อีกทีหนึ่ง
ชนิดของใบ 145. •ประกอบด้วย epidermal cell อยู่ด้านนอกทั้งสองข้างของแผ่น ใบ
•มี cuticle เคลือบเพื่อลดการาคายน้า
•มี blade 2ด้านคือ
–ด้านหลังใบ dorsal side จะมี upper epidermis มองเห็น เป็นสีเขียวเข้ม เกิดกระบวนการ photosynthesis
–ด้านท้องใบ ventral side จะมี lower epidermis มี guard cell 2 เซลล์ เกิดช่องตรงกลางเรียกว่า stoma (ปากใบ) (มี chloroplast)
epidermis 147. •เป็นเนื้อเยื่อที่อยู่ระหว่าง upper and lower epidermis
•ประกอบด้วย parenchyma ที่มี chloroplast เรียกว่า chlorenchyma จะมีรูปร่างแตกต่างกันจึงแบ่งชั้น mesophyll เป็น 2ชั้น
•Palisade mesophyll
•Spongy mesophyll
mesophyll 148. •เซลล์มีรูปร่างรียาว หรือรูปตัวยูตั้งฉากกับอิพิเดอร์มิส
•อยู่ติดกับ upper epidermis
•ประกอบไปด้วย parenchyma
•เซลล์อัดตัวกันแน่น มีประมาณ 1-3ชั้น
•ภายในเซลล์มีเม็ดคลอโรพลาสต์จานวนมาก palisade
•ทาหน้าที่สังเคราะห์ด้วยแสงได้มาก พืชในต้นเดียวกัน ใบ ที่ได้รับแสงแดด (sun leave) มักจะมีพาลิเสดหลายชั้นกว่า ใบร่ม (shade leave)
Palisade mesophyll 150. •เซลล์มีรูปร่างรี กลม อยู่ติดกับ lower epidermis
•เซลล์เกาะตัวกันอย่างหลวมๆ และไม่เป็นระเบียบ มี intercellular space มาก
•ประกอบไปด้วย parenchyma
•ภายในเซลล์มีเม็ดคลอโรพลาสต์ มักจะสังเคราะห์แสง ได้น้อยกว่าชั้นพาลิเสด
•เป็นส่วนที่แก๊ส (CO2) แพร่เข้าไปภายในใบพืช
•พบ vascular bundle ทาให้มองเห็นลักษณะเส้นนูน
Spongy mesophyll 152. •ในพืชใบเลี้ยงเดี่ยว mesophyll ไม่สามารถแยกเป็น palisade หรือ spongy mesophyll ได้ เรียกโดยรวมว่า mesophyll
•ท่อลาเลียงน้าและอาหารในใบพืชใบเลี้ยงเดี่ยวจะมี bundle sheath ซึ่งเป็น parenchymacellล้อมรอบอยู่ 1ชั้น
•อยู่ถัดจาก bundle sheath ภายในเซลล์บรรจุด้วยเม็ด คลอโรพลาสต์และทาหน้าที่สังเคราะห์ด้วยแสง เช่นเดียวกับพืชใบเลี้ยงคู่
mesophyll 158. •ท่อลาเลียงน้าและอาหาร คือส่วนที่เป็นเส้นกลางใบ (midrib หรือ midvein ) และเส้นใบย่อย (vein)
•พืชใบเลี้ยงคู่เส้นใบซึ่งเป็นส่วนของท่อลาเลียงจะเรียงตัวกัน เป็นร่างแห หรือขนนก
•พืชใบเลี้ยงเดี่ยวท่อลาเลียงน้าและอาหารจะขนานกันตาม ความยาวของใบ ลักษณะคล้ายหัวกะโหลก ประกอบด้วย xylem และ phloemกระจายอยู่ในชั้น spongy mesophyll
vascular bundle 159. •ในพืชทุกชนิดจะมี vascular bundle จะมี bundle sheath มา ล้อมรอบ (ยกเว้นพืช C3bundle sheath จะไม่มี chloroplast)
•แต่พืชในที่แห้งแล้งหรือพืช C4จะมี chloroplastทาให้ สามารถตรึง CO2ได้ดี
vascular bundle 171. leaf modification
ลักษณะ
พบใน
Storage leaf
สะสมอาหาร
ว่านหางจระเข้ หอม กระเทียม
Leaf spine
เปลี่ยนเป็นหนาม
กระบองเพชร
Byoyancyleaf
เปลี่ยนเป็นทุ่นลอยน้า
ผักตบชวา
Leaf tendril
เปลี่ยนเป็นมือเกาะ
ถั่วลันเตา
Bract
เปลี่ยนคล้ายกลีบดอกไม้
หน้าวัว เฟื่องฟ้า
Carnivorous leaf
เปลี่ยนเป็นกับดักเจ็บแมลง
หม้อข้าวหม้อแกงลิง หยาดน้าค้าง
สาหร่ายข้าวเหนียว กาบหอยแครง Butterwort
Reproductive leaf
ใช้ขยายพันธุ์
ต้นคว่าตายใบเป็น