ล้มแล้วลุก
How To Fail แสดงให้เห็นถึงประโยชน์ของช่วงเวลาที่ยากลำบาก ผ่านประสบการณ์ของ Elizabeth Day รวมถึงความล้มเหลวในชีวิตของเธอ ที่เธอรู้สึกขอบคุณ และเป็นวิธีที่ช่วยให้เธอเติบโต โดยเผยให้เห็นว่า ทำไมเราไม่ควรกลัวความล้มเหลว แต่กล้ายอมรับมัน
เธอเปิดเผยว่า ความล้มเหลวได้สอนบทเรียนที่สำคัญที่สุดบางอย่างในชีวิตแก่เรา เช่น สิ่งที่เราเป็น สิ่งที่เราต้องการ และวิธีที่เราจะปรับปรุง ในท้ายที่สุด วิธีที่เราเรียนรู้จากประสบการณ์ที่เจ็บปวดในชีวิต สามารถเปลี่ยนความยุ่งเหยิงของเราให้กลายเป็นความสำเร็จได้
How to Fail: Everything I’ve Ever Learned From Things Gone Wrong
Elizabeth Day
Publisher : Fourth Estate (April 4, 2019)
How To Fail with stories on the topic definitely have an important place in helping us grow because they explain why we should do certain things, not just how.
ผู้นำส่วนใหญ่ถูกบังคับให้เดินบนเส้นทางที่ยากลำบากนั่นคือ สร้างนวัตกรรมอย่างล้นหลาม แต่ให้มีกำไรด้วย สร้างแรงบันดาลใจให้บุคลากรทำงานที่ดี แต่ให้พวกเขารับผิดชอบต่อผลงานของพวกเขาเอง ส่งเสริมวัฒนธรรมที่ดึงดูดคนเก่ง แต่ไม่สนใจช่วยเหลือในเรื่องการสร้างผลผลิต
แม้แต่ผู้นำที่มีเจตนาที่ดีที่สุด ก็มักจะเจอปัญหาการสร้างสมดุลระหว่างสิ่งที่ดีสำหรับธุรกิจและสิ่งที่ดีสำหรับพนักงาน การแบ่งขั้วนี้ ทำให้การเป็นทั้งผู้นำที่มีประสิทธิภาพและเป็นผู้นำที่มีความเห็นอกเห็นใจเป็นเรื่องยาก
ไม่ใช่ว่าอำนาจทำให้ความเห็นอกเห็นใจน้อยลง แต่การที่ต้องมีความรับผิดชอบและความกดดันมากขึ้น อาจทำให้สมองของเรากลับมาทำงานอีกครั้ง และบังคับให้เราเลิกใส่ใจคนอื่น แต่เหตุการณ์ไม่จำเป็นต้องเป็นเช่นนี้
เพราะผู้นำที่ทุ่มเทให้กับงาน โดยให้ความสำคัญกับความเป็นอยู่ที่ดีของทีมและด้วยความเห็นอกเห็นใจ จะได้รับรางวัลที่มีความสำคัญคือ ความพึงพอใจในงานที่ดีขึ้น ความสัมพันธ์ที่ดีขึ้นกับเพื่อนร่วมทีม และผลลัพธ์ทางธุรกิจที่ดีขึ้น
Most leaders are forced to walk a thin line: innovate abundantly, but keep us in the black. Inspire your people to do good work, but hold them accountable for their performance. Foster a culture that attracts talent, but don’t give an inch when it comes to productivity.
Even those who lead with the best of intentions often struggle to strike a balance between what’s good for the business and what’s good for their people. This dichotomy makes it difficult to be both an effective leader and a compassionate leader.
It’s not that power makes people want to be less empathetic; it’s that taking on greater responsibilities and pressure can rewire our brains and, through no fault of our own, force us to stop caring about other people as much as we used to. But it does not have to be this way.
But leaders who put in the work to prioritize the well-being of their teams and lead with compassion will be rewarded where it matters: with better job satisfaction, better relationships with their teammates, and better business outcomes.
ผู้นำส่วนใหญ่ถูกบังคับให้เดินบนเส้นทางที่ยากลำบากนั่นคือ สร้างนวัตกรรมอย่างล้นหลาม แต่ให้มีกำไรด้วย สร้างแรงบันดาลใจให้บุคลากรทำงานที่ดี แต่ให้พวกเขารับผิดชอบต่อผลงานของพวกเขาเอง ส่งเสริมวัฒนธรรมที่ดึงดูดคนเก่ง แต่ไม่สนใจช่วยเหลือในเรื่องการสร้างผลผลิต
แม้แต่ผู้นำที่มีเจตนาที่ดีที่สุด ก็มักจะเจอปัญหาการสร้างสมดุลระหว่างสิ่งที่ดีสำหรับธุรกิจและสิ่งที่ดีสำหรับพนักงาน การแบ่งขั้วนี้ ทำให้การเป็นทั้งผู้นำที่มีประสิทธิภาพและเป็นผู้นำที่มีความเห็นอกเห็นใจเป็นเรื่องยาก
ไม่ใช่ว่าอำนาจทำให้ความเห็นอกเห็นใจน้อยลง แต่การที่ต้องมีความรับผิดชอบและความกดดันมากขึ้น อาจทำให้สมองของเรากลับมาทำงานอีกครั้ง และบังคับให้เราเลิกใส่ใจคนอื่น แต่เหตุการณ์ไม่จำเป็นต้องเป็นเช่นนี้
เพราะผู้นำที่ทุ่มเทให้กับงาน โดยให้ความสำคัญกับความเป็นอยู่ที่ดีของทีมและด้วยความเห็นอกเห็นใจ จะได้รับรางวัลที่มีความสำคัญคือ ความพึงพอใจในงานที่ดีขึ้น ความสัมพันธ์ที่ดีขึ้นกับเพื่อนร่วมทีม และผลลัพธ์ทางธุรกิจที่ดีขึ้น
Most leaders are forced to walk a thin line: innovate abundantly, but keep us in the black. Inspire your people to do good work, but hold them accountable for their performance. Foster a culture that attracts talent, but don’t give an inch when it comes to productivity.
Even those who lead with the best of intentions often struggle to strike a balance between what’s good for the business and what’s good for their people. This dichotomy makes it difficult to be both an effective leader and a compassionate leader.
It’s not that power makes people want to be less empathetic; it’s that taking on greater responsibilities and pressure can rewire our brains and, through no fault of our own, force us to stop caring about other people as much as we used to. But it does not have to be this way.
But leaders who put in the work to prioritize the well-being of their teams and lead with compassion will be rewarded where it matters: with better job satisfaction, better relationships with their teammates, and better business outcomes.
2. Elizabeth Day
Publisher : Fourth Estate (April 4, 2019)
How To Fail with stories on the topic definitely have an important place in helping us grow because they
explain why we should do certain things, not just how.
3. เกี่ยวกับผู้ประพันธ์
Elizabeth Day ได้เขียนหนังสือ 3 เล่ม ได้แก่ Scissors, Paper, Stone
ที่ชนะรางวัล Betty Trask Award เล่มที่สอง Home Fires ที่เป็น
Observer book of the year และเล่มที่สาม Paradise City ได้รับรางวัล
best novels of 2015 ของ Evening Standard
เธอเป็นนักประพันธ์ประจาของ the Telegraph, The Times,
the Guardian, the Observer, the Mail on Sunday, Vogue, Harper's
Bazaar และ Elle
4. โดยย่อ
How To Fail แสดงให้เห็นถึงประโยชน์ของช่วงเวลาที่ยากลาบาก ผ่านประสบการณ์ของ
Elizabeth Day รวมถึงความล้มเหลวในชีวิตของเธอ ที่เธอรู้สึกขอบคุณ และเป็นวิธีที่ช่วย
ให้เธอเติบโต โดยเผยให้เห็นว่า ทาไมเราไม่ควรกลัวความล้มเหลว แต่กล้ายอมรับมัน
เธอเปิดเผยว่า ความล้มเหลวได้สอนบทเรียนที่สาคัญที่สุดบางอย่างในชีวิตแก่เรา เช่น
สิ่งที่เราเป็น สิ่งที่เราต้องการ และวิธีที่เราจะปรับปรุง ในท้ายที่สุด วิธีที่เราเรียนรู้จาก
ประสบการณ์ที่เจ็บปวดในชีวิต สามารถเปลี่ยนความยุ่งเหยิงของเราให้กลายเป็ น
ความสาเร็จได้
5. เกริ่นนา
มีหนังสือมากมายเกี่ยวกับวิธีการประสบความสาเร็จ แล้วหนังสือเกี่ยวกับวิธีล้มเหลว
ล่ะ? เราทุกคนเคยล้มเหลวในบางจุดของชีวิต เหตุใดจึงไม่เรียนรู้วิธีทาให้ดีที่สุด
How to Fail: Everything I’ve Ever Learned From Things Gone Wrong โดย Elizabeth
Day ให้คาแนะนาอย่างตรงไปตรงมา เกี่ยวกับวิธีการผ่านช่วงเวลาที่ยากลาบากที่สุดใน
ชีวิต
แต่นั่นไม่ใช่ทั้งหมด เธอยังสอนคุณด้วยว่า เหตุใดความล้มเหลวจึงเป็นสิ่งที่ดี
25. 3 บทเรียนจากหนังสือเล่มนี้
1. ช่วงอายุ 20 ปี เป็นช่วงเวลาที่ดีในการเรียนรู้จากความผิดพลาด (Your twenties are a
great time to mess up and learn from your mistakes)
2. ความล้มเหลวในความสัมพันธ์ สามารถสอนคุณมากมายเกี่ยวกับตัวคุณ (Failing in a
relationship can teach you a lot about yourself)
3. คุณสามารถประสบความสาเร็จและประสบความล้มเหลวในด้านอื่นๆ ของชีวิตได้
(You can be successful and also experience failure in other areas of life)