More Related Content Similar to ความหมายของระบบนิเวศ (Ecosystem) m3
Similar to ความหมายของระบบนิเวศ (Ecosystem) m3 (20) ความหมายของระบบนิเวศ (Ecosystem) m38. องค์ประกอบที่ไม่มีชีวิต (abioticcomponent)
1 สารอนินทรีย์(inorganic substances) ประกอบด้วยแร่ธาตุและ
สารอนินทรีย์ซึ่งเป็นองค์ประกอบสาคัญในเซลล์สิ่งมีชีวิต เช่น
คาร์บอน ออกซิเจน คาร์บอนไดออกไซด์และน้า
2 สารอินทรีย์(organiccompound)ได้แก่สารอินทรีย์ที่จาเป็นต่อ
ชีวิต เช่นโปรตีน คาร์โบไฮเดรต ไขมันและซากสิ่งมีชีวิตเน่าเปื่อยทับ
ถมกันในดิน (humus)
3 สภาพภูมิอากาศ (climate regime) ได้แก่ปัจจัยทางกายภาพที่มี
อิทธิพลต่อสิ่งแวดล้อม เช่น อุณหภูมิ แสง ความชื้น อากาศ และพื้นที่
อยู่อาศัย
10. องค์ประกอบที่มีชีวิต (biotic component) ได้แก่
1 ผู้ผลิต (produceror autotrophic)ได้แก่สิ่งมีชีวิตที่สร้างอาหาร
เองได้จากสารอนินทรีย์ส่วนมากจะเป็นพืชที่มีคลอโรฟิลล์
2 ผู้บริโภค(consumer)ได้แก่สิ่งมีชีวิตที่ไม่สามารถสร้างอาหารเอง
ได้ (heterotroph)ส่วนใหญ่เป็นสัตว์ที่กินสิ่งมีชีวิตอื่นเป็นอาหาร
3 ผู้ย่อยสลายซาก (decomposer,saprotroph,osmotrophหรือ
microconsumer)ได้แก่สิ่งมีชีวิตขนาดเล็กที่สร้างอาหารเองไม่ได้ เช่น
แบคทีเรีย เห็ด รา (fungi)
หน้าที่...
ทาหน้าที่ย่อยสลายซากสิ่งมีชีวิตที่ตายแล้วในรูปของสารประกอบโมเลกุล
ใหญ่ให้กลายเป็นสารประกอบโมเลกุลเล็กในรูปของสารอาหาร
(nutrients)เพื่อให้ผู้ผลิตนาไปใช้ได้ใหม่อีก
อินทรีย์สาร อนินทรียสาร (แร่ธาตุ)
13. พืชแต่ละชนิดยังมีความต้องการแสงในปริมาณแตกต่างกันบาง
พวกต้องการแสงมาก เช่น ข้าว อ้อย ข้าวโพดในขณะที่พืชบางกลุ่ม
เช่น กล้วยไม้ เจริญดีในที่ที่มีแสงราไร หรือมีแสงน้อย
สาหรับสิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่ในน้า ส่วนใหญ่จะกระจาย
อยู่บริเวณผิวน้าและในระดับที่ไม่ลึกมากมีแสงส่องถึง โดยเฉพาะ
พวกพืชน้า สาหร่ายและสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กพวกแพลงตอนพืช
แพลงตอนสัตว์ แต่ก็มีสัตว์ที่อาศัยอยู่ในบริเวณที่น้ามีความลึกมาก
ซึ่งจะมีโครงสร้างเป็นแหล่งกาเนิดแสงในตัวเอง หรือมีลวดลาย
เด่นชัดตามลาตัว
15. พืช.....แต่ละชนิดยังมีความต้องการแสงในปริมาณแตกต่างกัน บาง
พวกต้องการแสงมาก เช่น ข้าว อ้อย ข้าวโพด ในขณะที่พืชบางกลุ่ม
เช่น กล้วยไม้เจริญดีในที่ที่มีแสงราไร หรือมีแสงน้อย
สิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่ในน้า.... ส่วนใหญ่จะกระจายอยู่บริเวณผิวน้าและ
ในระดับที่ไม่ลึกมากมีแสงส่องถึง โดยเฉพาะพวกพืชน้า สาหร่ายและ
สิ่งมีชีวิตขนาดเล็กพวกแพลงตอนพืช แพลงตอนสัตว์
สัตว์...ที่อาศัยอยู่ในบริเวณที่น้ามีความลึกมากซึ่งจะมีโครงสร้างเป็น
แหล่งกาเนิดแสงในตัวเอง หรือมีลวดลายเด่นชัดตามลาตัว
16. อุณหภูมิ
สิ่งมีชีวิตแต่ละชนิดดารงชีวิตอยู่ได้ในอุณหภูมิประมาณ 10 - 30 องศา
เซลเซียส ในที่ที่มีอุณหภูมิสูงมากหรือต่ามากจะมีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่น้อย
ทั้งชนิดและจานวน หรืออาจไม่มีสิ่งมีชีวิตอยู่ได้เลย เช่น แถบขั้วโลก และ
บริเวณทะเลทราย ในแหล่งน้าอุณหภูมิไม่ค่อยเปลี่ยนแปลงมากนัก ถึงแม้
ในเขตอบอุ่นและเขตหนาวแถบอาร์กติก ที่ปกคลุมด้วยน้าแข็ง น้าก็ไม่ได้
เป็นน้าแข็งไปหมด น้าที่อยู่ด้านล่างก็ยังคงเป็นที่อยู่อาศัยของสิ่งมีชีวิตบาง
ชนิดได้
21. แร่ธาตุ
แร่ธาตุต่างๆจะมีอยู่ในอากาศที่ห่อหุ้มโลก อยู่ในดินและละลายอยู่ใน
น้า แร่ธาตุที่สาคัญ ได้แก่ ออกซิเจน คาร์บอน ไนโตรเจนฟอสฟอรัส
โพแทสเซียม และแร่ธาตุอื่นๆเป็นสิ่งจาเป็นที่สิ่งมีชีวิตทุกชนิดต้องการใน
กระบวนการดารงชีพ แต่สิ่งมีชีวิตแต่ละชนิดต้องการแร่ธาตุเหล่านี้ในปริมาณ
ที่แตกต่างกัน และระบบนิเวศแต่ละระบบจะมีแร่ธาตุต่างๆเป็นองค์ประกอบ
ในปริมาณแตกต่างกันจึงเป็นปัจจัยสาคัญในการจากัดชนิดและปริมาณของ
สิ่งมีชีวิต เช่น ระบบนิเวศป่ าชายเลน ซึ่งเป็นดินเลนน้ากร่อย ก็จะมีพืชและ
สัตว์ที่มีลักษณะเฉพาะแตกต่างจากสิ่งมีชีวิตที่พบบนบก เป็นต้น
ในระบบนิเวศแต่ละแห่งจะมีการหมุนเวียนถ่ายเทแร่ธาตุและสาร
ต่างๆ จากภายนอกเข้าสู่สิ่งมีชีวิตและจากสิ่งมีชีวิตกลับคืนสู่ธรรมชาติเป็นวัฏ
จักร
25. องค์ประกอบที่มีชีวิตในระบบนิเวศ
• ส่วนประกอบที่มีชีวิต (biotic component) ได้แก่ พืช สัตว์ รวมทั้งสิ่งมีชีวิตขนาดเล็ก และ
สิ่งมีชีวิตเซลล์เดียว ซึ่งช่วยทาให้ระบบนิเวศทางานได้อย่างเป็นปกติ โดยแบ่งออกตามหน้าที่ของสิ่งมีชีวิต ได้
เป็น 3 ประเภท คือ
ผู้ผลิต (producer) คือ สิ่งมีชีวิตที่สามารถสร้างอาหารเองได้โดยการสังเคราะห์ด้วยแสง ได้แก่พืชสี
เขียว แพลงก์ตอนพืช และแบคทีเรียบางชนิด ผู้ผลิตมีความสาคัญมากเพราะเป็นจุดเริ่มต้นที่เชื่อมต่อระหว่างสิ่งไม่มีชีวิต
และสิ่งที่มีชีวิตอื่นๆในระบบนิเวศ
ผู้บริโภค (consumer) คือ สิ่งมีชีวิตที่ไม่สามารถสร้างอาหารขึ้นเองได้ แต่ได้รับธาตุอาหารจากการกิน
สิ่งมีชีวิตอื่นอีกทอดหนึ่ง พลังงานและแร่ธาตุจากอาหารที่สิ่งมีชีวิตกิน จะถูกถ่ายทอดสู่ผู้บริโภค ซึ่งแบ่งตามลาดับของการ
กินอาหารได้ ดังนี้
ผู้ย่อยสลาย (decomposer) คือ สิ่งมีชีวิตที่ไม่สามารถสร้างอาหารเองได้ แต่อาศัยอาหารจากสิ่งมีชีวิต
ชนิดอื่นโดยการสร้างน้าย่อย ออกมาย่อยสลายแร่ธาตุต่างๆในส่วนประกอบของซากสิ่งมีชีวิตให้เป็นสารโมเลกุลเล็กๆแล้ว
จึงดูดซึมอาหารผ่านเยื่อหุ้มเซลล์เข้าไปใช้ เช่น แบคทีเรีย เห็ด รา เป็นต้น
31. ภาวะพึ่งพากัน (mutualism) +/+ทั้งสองที่มาอยู่ร่วมกันต่างให้ประโยชน์ซึ่งกันและกัน
เช่น แบคทีเรียไรโซเบียมที่รากต้นถั่วช่วยตรึงไนโตรเจนจากอากาศสะสมไว้ที่รากต้น
ถั่ว
ภาวะได้ประโยชน์ร่วมกัน (protocooperation) +/+คล้ายภาวะพึ่งพากัน แต่ทั้งคู่ไม่ได้
ดารงชีวิตร่วมกันตลอดเวลาเช่น ดอกไม้กับแมลงโดยดอกไม้ได้ประโยชน์จากแมลง
ที่มาช่วยผสมเกสรให้ และแมลงก็ได้น้าหวานจากดอกไม้เป็นอาหาร
ภาวะเกื้อกูลกันหรือภาวะอิงอาศัย+/0 (commensalism) โดยฝ่ายหนึ่งได้ประโยชน์ส่วน
อีกฝ่ายหนึ่งไม่ได้ประโยชน์แต่ก็ไม่เสียประโยชน์ เช่น กล้วยไม้เกาะบนต้นไม้จะเห็น
ได้ว่ากล้วยไม้ได้ประโยชน์จากต้นไม้แต่ต้นไม้ไม่ได้ประโยชน์แต่ก็ไม่เสียประโยชน์
37. พีระมิดการถ่ายทอดพลังงาน( food pyramid )
1. พีระมิดจานวน( pyramidof number)
แต่ละขั้นแสดงให้เห็นจานวนสิ่งมีชีวิตในแต่ละลาดับขั้นของห่วงโซ่
อาหารต่อหน่วย พื้นที่หรือปริมาตรสิ่งมีชีวิตที่อยู่บนยอดสุดของ
พีระมิดถูกรองรับโดยสิ่งมีชีวิตจานวนมาก
38. 2. พีระมิดพลังงาน( pyramid of energy )
แสดงค่าพลังงานในสิ่งมีชีวิตแต่ละหน่วยมีหน่วยเป็น
กิโลแคลอรีต่อตารางเมตรต่อปีที่ถ่ายทอดจากผู้ผลิตสู่ผู้บริโภคใน
ระดับต่างๆ
40. วัฏจักรน้า (Water cycle)
น้าจัดเป็นทรัพยากรที่สามารถสร้างทดแทนขึ้นใหม่ได้ น้า
ประมาณ 97% เป็นน้าในมหาสมุทรและอีก 3% เป็นน้าที่ขั้วโลก แม่น้า
ลาธาร น้าใต้ดิน และอื่น ๆ ในการหมุนเวียนของน้าเริ่มจากแสงแดดที่
ส่องมายังโลก โดยใช้พลังงานจากแสงแดดนี้จะมีผลต่อการระเหย
(Evaporation)
และการคายน้าของพืช (Transpiration) เมื่อไอน้าตก
กระทบความเย็นจะเกิดการควบแน่น(Condensation)
แล้วตกมาสู่แผ่นดินและมหาสมุทรหมุนเวียนเช่นนี้ไปเรื่อยไป จึงทาให้
เกิดวัฏจักรของน้า