11. 17
เทคนิคช่วยจา
1. ความหมาย
Glover, Ronning and Bruning (1990 : 118) ให้ความหมายของเทคนิคช่วยจาว่า
เทคนิคช่วยจาเป็นเทคนิคที่ช่วยให้จาข้อมูลต่าง ๆ ได้ เทคนิคช่วยจามีหลักการทางานเป็นคู่ที่เชื่อมโยง
ระหว่างข้อมูลกับสิ่งที่เรียนรู้เพื่อให้ข้อมูลน่าจดจายิ่งขึ้น นอกจากนั้นเทคนิคช่วยจายังเป็นเทคนิคสาหรับ
การจัดทาระบบข้อมูลใหม่อย่างละเอียดเพื่อช่วยในการจา
Galotti (2008 : 297) ให้ความหมายของเทคนิคช่วยจาว่าเทคนิคช่วยคาหมายถึงสิ่งที่ช่วย
เพิ่มโอกาสให้ผู้เรียนสามารถจดจาคาศัพท์ได้ดีขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วยให้การเรียกคืนข้อมูลดียิ่งขึ้น
Solso (2011 : 179) ให้ความหมายของเทคนิคช่วยจาว่าเทคนิคช่วยจาหมายถึงเทคนิค
หรือเครื่องมือที่ช่วยในการจดจาข้อมูลใหม่ได้ดียิ่งขึ้น และยังสามารถช่วยในการระลึกถึงข้อมูลที่เก็บไว้ได้
ดีเช่นเดียวกัน
Bakken and Simpson (2011 : 1) ให้ความหมายของเทคนิคช่วยจาว่าเทคนิคช่วยจา
หมายถึง กระบวนการที่เป็นระบบสาหรับการเสริมสร้างการจดจาข้อมูลและทาให้ข้อมูลมีความหมาย
ยิ่งขึ้น ทาให้เข้าถึงข้อมูลให้ดียิ่งขึ้น ซึ่งหากเข้าใจข้อมูลได้ดีแล้ว จะเป็นเรื่องง่ายมากที่จะจดจาข้อมูล
หรือระลึกถึงข้อมูลในภายหลัง
Mastropieri and Scruggs (2012 : 8) ให้ความหมายของเทคนิคช่วยจาว่าเทคนิคช่วยจา
หมายถึง เทคนิคที่ช่วยในการจดจาข้อมูลโดยการใช้รูปภาพ คา จังหวะทานองในการกระตุ้นการระลึก
ข้อมูล โดยใช้รูปภาพ คา จังหวะทานองเพื่อเชื่อมโยงข้อมูล
2. ประเภทของเทคนิคช่วยจา
Glover, Ronning and Bruning (1990 : 119-126) ได้แบ่งประเภทของเทคนิคช่วยจา
ดังนี้
1. เทคนิคตะขอเกี่ยว (The Peg Method) เทคนิคนี้ผู้เรียนจดจาข้อมูลในรูปแบบของ
“ตะขอ” ตะขอที่ว่านี้คือกลุ่มของข้อมูลซึ่งได้เกี่ยวกันไว้ เทคนิคตะขอเกี่ยววิธีที่นิยมมากที่สุด คือ การใช้
คาสัมผัสง่ายๆ ให้คล้องจองกัน ดังเห็นได้จากสัมผัสดังต่อไปนี้
One is a bun.
Two is a shoe.
Three is a tree.
Four is a door.
Five is a hive.
Six is a sticks.
Seven is heaven.
Eight is a gate.
Nine is a pine.
Ten is a hen.
เมื่อเทคนิคนี้ใช้สัมผัสข้างต้น ขั้นตอนแรกคือสร้างภาพของวัตถุให้สัมพันธ์กับคา
สัมผัสในแต่ละข้อ ยกตัวอย่างเช่น
12. 18
-ใช้สัมผัสในข้อแรก One is a bun. ผู้เรียนต้องการจาคาศัพท์คาว่า pickles ผู้เรียนสามารถ
จินตนาการถึง ผักดอง (pickles) ถูกยัดไส้อยู่ในขนมปัง (bun)
-ใช้สัมผัสในข้อสอง Two is a shoe. ผู้เรียนต้องจาคาว่า loaf จึงให้ผู้เรียนจินตนาการถึง
Loaf of bread ถูกดันเข้าไปในรองเท้าราวกับว่าก้อนขนมปังนั่งอยู่ในรองเท้า (shoe)
-ใช้สัมผัสในข้อสาม Three is a tree. ผู้เรียนต้องจาคาว่า milk จึงให้ผู้เรียนจินตนาการถึงมี
ต้นไม้ (tree) ใหญ่ตนหนึ่งที่แผ่กิ่งก้านสาขาออกลูกเป็นแก้วนม (milk)
-ใช้สัมผัสในข้อสี่ Four is a door. ผู้เรียนต้องจาคาว่า oranges จึงให้ผู้เรียนจินตนาการถึงส้ม
(orange) เป็นลูกบิดประตู และเมื่อเวลาเราเปิดประตูผลส้มจะกลิ้งหล่นไปตามพื้น
-ใช้สัมผัสในข้อห้า Five is a hive. ผู้เรียนต้องจาคาว่า lightbulbs จึงให้ผู้เรียนจินตนาการถึง
ภาพของรวงผึ้ง (beehive) ที่ส่องแสงวูบวาบเหมือนหลอดไฟ
หลังจากที่ผู้เรียนได้จินตนาการรายการคาศัพท์ใหม่ซึ่งสัมพันธ์กับคาสัมผัสของเทคนิค
ตะขอเกี่ยวแล้ว ผู้เรียนจะประสบผลสาเร็จที่แท้จริงเมื่อถึงเวลาระลึกข้อมูล กล่าวคือ ผู้เรียนท่องคา
สัมผัสอย่างง่ายนั้นจากนั้นภาพแต่ละภาพที่ผู้เรียนจินตนาการไว้จะปรากฏออกมาเป็นคาศัพท์ ซึ่งเป็น
กระบวนการท่องจาสัมผัสง่ายๆที่ระลึกคาศัพท์ข้างต้นทั้งหมด
2. เทคนิคตาแหน่ง (The Method of Loci)
เทคนิคตาแหน่งเป็นเทคนิคที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในสมัยกรีกโบราณ ที่มาของเทคนิค
ตาแหน่งมาจากเรื่องราวของกวีผู้หนึ่งชื่อ Simonides เขาได้มาร่วมงานเลี้ยงแห่งหนึ่ง จากนั้นก็ถูกเรียก
ตัวไปข้างนอก ในขณะที่เขาอยู่ด้านนอกงานเลี้ยงนั้น ทันใดนั้นอาคารก็พังทลายลงมา เป็นสาเหตุให้คนที่
อยู่ในงานเลี้ยงนั้นเสียชีวิตทั้งหมด อย่างไรก็ตาม Simonides สามารถจาตาแหน่งของบุคคลที่อยู่ภายใน
งานเลี้ยงนั้นได้ ดังนั้นชื่อของเทคนิคตาแหน่ง มาจากที่ Simonides ใช้สถานที่ในการระลึกบุคคลนั้นๆ
ในการใช้เทคนิคตาแหน่งเพื่อเรียนเรื่องใหม่ ตาแหน่งที่ผู้เรียนเลือกต้องเป็นสถานที่ง่ายต่อการจิตนาการ
ถึง เช่น sofa, coffee table, window, television and armchair ตัวอย่างสถานการณ์ในการใช้
เทคนิคตาแหน่ง เช่น สมมติสถานการณ์ให้ผู้เรียนต้องจดจาชื่อคนที่เป็นที่นิยม ได้แก่ Lee, Jackson,
Stuart, Forrest and Johnston ผู้เรียนสามารถจินตนาการว่า คนที่ชื่อ Lee นั่งอยู่บนโซฟา ในขณะที
Jackson พาดขาที่ใส่รองเท้าไว้บนโต๊ะกาแฟ ส่วน Stuart กาลังมองออกไปนอกหน้าต่าง Forrest กาลัง
ปรับคลื่นโทรทัศน์ และ Johnston กาลังนั่งอยู่ที่เก้าอี้ และเมื่อถึงเวลาในการระลึกข้อมูล ให้ผู้เรียนนึก
ย้อนกลับไปยังตาแหน่งที่เราได้สร้างจุดไว้ก็จะระลึกภาพตาแหน่งของคนๆนั้น เทคนิคตาแหน่งนี้สามารถ
ใช้ตาแหน่งเดิมซ้าหลายครั้ง ซึ่งก็ยังคงมีประสิทธิภาพในการช่วยจาเสมอ
3. เทคนิคคาเชื่อมโยง (The Link Method)
เทคนิคคาเชื่อมโยงเหมาะสาหรับการเรียนรู้รายการของสิ่งต่างๆมากที่สุด เทคนิค
ดังกล่าวนี้ ผู้เรียนใช้รูปภาพในการจาสิ่งที่อยู่ในรายการ ซึ่งภาพแต่ละภาพถูกจินตนาการให้สัมพันธ์กับ
สิ่งของ ยกตัวอย่างเช่น เมื่อผู้เรียนต้องจาว่าจะนาสิ่งของดังต่อไปนี้ไปโรงเรียนในวันพรุ่งนี้เช้า ได้แก่
homework, lab notebook, chemistry text, goggles, lab apron and pencil ผู้เรียนสามารถ
จินตนาการถึงฉากหนึ่งที่มีใบงาน (Homework Paper) ถูกสอดไว้ในคอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊ก (Lab
Notebook) ซึ่งข้างๆคอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊กจะมีหนังสือเรียนวิชาเคมี (Chemistry Text) วางอยู่และมี
แว่นตา (Goggles) วางอยู่ข้างๆ ถัดจากนั้นมีวัตถุชิ้นหนึ่งที่ถูกห่อหุ้มด้วยผ้ากันเปื้อน (Lab Apron) ซึ่ง
13. 19
ผูกติดกับดินสอ (Pencil) เพื่อจะทาโบว์อย่างสวยงาม ในวันรุ่งขึ้น เมื่อผู้เรียนพยายามที่จะนึกว่าต้องนา
สิ่งใดไปโรงเรียนบ้าง ภาพที่สร้างขึ้นจะเชื่อมโยงกันทาให้ผู้เรียนระลึกถึงสิ่งของได้ทั้งหมด
4. เทคนิคการเล่าเรื่อง (Stories Method)
เทคนิคเล่าเรื่องเป็นการสร้างเรื่องราวจากสิ่งที่เรียนรู้ ในการใช้วิธีนี้ผู้เรียนนา
คาศัพท์ที่เรียนมาจัดกลุ่มเข้าด้วยกันแล้วสร้างเป็นเรื่องราว ดังตัวอย่างสถานการณ์ต่อไปนี้ สมมติว่า
ผู้เรียนต้องนาสิ่งที่จะนามาโรงเรียน อันได้แก่ กรรไกร ไม้บรรทัด เข็มทิศ ไม้โปรแทรคเตอร์ และดินสอ
ผู้เรียนสามารถแต่งเรื่องราวจากสิ่งของเหล่านี้เพื่อช่วยในการจาสิ่งของได้ทั้งหมด “The king drew a
pencil line with this ruler before he cut the line with scissors. Then he measured an
angle with a protractor and marked the point with a compass.” จากเรื่องราวดังกล่าวสร้าง
มาจากสิ่งของที่เราต้องจา การแต่งเรื่องขึ้นมาช่วยให้เราจาสิ่งที่จะเรียนรู้ได้ดี
5. เทคนิคอักษรตัวแรกมีลักษณะคล้ายคลึงกันเทคนิคเล่าเรื่อง แต่เทคนิคนี้จะใช้อักษร
ตัวแรกของคามาทาให้เป็นตัวอักษรย่อ หรือ คาๆหนึ่ง คาย่อที่มาจากตัวอักษรแรกของคาจะช่วยให้จา
คาศัพท์โดยผู้เรียนระลึกข้อมูลซึ่งสัมพันธ์กับอักษรย่อที่ได้กาหนดไว้ ยกตัวอย่างเช่น สมมติว่าผู้เรียนใน
ระดับชั้นมัธยมต้องจาคาว่า borax ซึ่งมีองค์ประกอบคือ boron, oxygen and sodium ผู้เรียน
สามารถดึงอักษรตัวแรกจากคาดังกล่าว จะได้คาว่า bos หลังจากนั้น เมื่อผู้เรียนระลึกข้อมูลใน
องค์ประกอบของคาว่า borax ผู้เรียนจะใช้เทคนิคในการจาคาว่า bos ในการนึกถึงองค์ประกอบของ
สารนั้นทั้งหมด
6. เทคนิคคาสาคัญ (The keyword Method)
ในบรรดาเทคนิคช่วยจาทั้งหมด เทคนิคคาสาคัญได้ชื่อว่าเป็นเทคนิคที่ยืดหยุ่นและมี
ประสิทธิภาพมากที่สุด เดิมทีแล้วเทคนิคนี้ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อช่วยในการเรียนรู้คาศัพท์ เนื่องจากเทคนิค
เชื่อมโยง เทคนิคตาแหน่ง เทคนิคตะขอเกี่ยว ส่งผลต่อการใช้เทคนิคคาสาคัญ เทคนิคคาสาคัญแบ่ง
ออกเป็น 2 กลุ่มดังนี้ 1.เทคนิคเกี่ยวกับเสียง (Acoustic) ในการเรียนรู้คาศัพท์ขั้นตอนแรกคือการระบุ
คาหลัก หรือคาสาคัญ จากนั้นจึงนาเอาคาสาคัญซึ่งเป็นคาศัพท์ที่ได้เรียนมาเชื่อมโยงกับเสียง ทาให้เกิด
จังหวะเพื่อช่วยในการจา 2.เทคนิคการเชื่อมโยงด้วยภาพ (Imagery Link)การเชื่อมโยงภาพให้สัมพันธ์
กับคาศัพท์ ซึ่งจินตนาการภาพให้เชื่อมโยงกับความหมายของคาศัพท์ที่เรียน ดังตัวอย่างสถานการณ์
ต่อไปนี้ สมมติว่าให้ผู้เรียนเกรด 6 เรียนคาศัพท์ในวิชาศิลปะ ผู้เรียนรู้คาศัพท์เกี่ยวกับวิชานี้มากมาย
แต่มีอยู่คาหนึ่งที่ผู้เรียนไม่รู้ สมมติเป็นคาว่า captivate ผู้เรียนจึงใช้เทคนิคคาสาคัญมาช่วยในการจา
คาศัพท์ ขั้นตอนแรกคือ ผู้เรียนหาคาสาคัญหลักของคาดังกล่าว ในที่นี้ได้คาสาคัญคือ cap จากนั้น
ผู้เรียนเชื่อมคาสาคัญนั้นกับภาพ ในกรณีนี้คือ ผู้เรียนจินตนาการถึง ลุงของตนเองชื่อ บิลล์ชอบใส่หมวก
(Cap) เมื่อไรก็ตามที่เขาไปเยี่ยมคุณลุง เมื่อเล่ามาถึงตรงนี้ให้หยุดสักพักเพื่อดึงดูดความสนใจของผู้เรียน
จากนั้นจึงกล่าวเสริมว่า เรื่องเล่าของลุงบิลล์นั้นสร้างความประทับใจให้กับเขา เวลาสอบเมื่อผู้เรียนเห็น
คาว่า captivate ผู้เรียนจะนึกถึงคาสาคัญคือคาว่า cap ก็จะสามารถจาภาพของลุงบิลล์และ
ความหมายของคานั้นได้
7. เทคนิคโยดาย (Yodai Mnemonics)
เทคนิคโยดายได้รับการพัฒนาขึ้นในปี ค.ศ. 1920 โดยนักวิชาการชาวญี่ปุ่น
ชื่อ Masachika Nakane แต่เมื่อไม่นานมานี้เพิ่งได้รับความสนใจจากนักจิตวิทยาชาวตะวันตกหลาย
ท่าน คาว่า Yodai หมายถึง สาระสาคัญของเรื่อง เทคนิคโยดายออกแบบขึ้นมาเพื่อให้เป็นสื่อกลางทาง
15. 21
แถวทางด้านซ้ายมือเป็นรายการสินค้า และแถวทางด้านขวามือเป็น
สถานที่
Hotdogs driveway
Cat food garage interior
Tomatoes front door
Banana coat closet shelf
Whiskey kitchen sink
สถานที่ได้ถูกจัดเรียงไว้แล้วและมีหน้าที่ในการจินตนาการภาพที่แปลก
ประหลาดเข้าไปในรายการสินค้าให้เกี่ยวข้องกับสถานที่ Bower ได้อธิบายกระบวนการนี้ โดยภาพแรก
จินตนาการถึง giant hot dog rolling down the driveway ภาพที่สองจินตนาการถึง a cat eating
noisily in the garage ภาพที่สามจินตนาการถึง ripe tomatoes splattering over the front door
ภาพที่สี่จินตนาการถึง bunches of bananas swinging from the closet shelf ภาพที่ห้า
จินตนาการถึง a bottle of whisky gurgling down the kitchen sink และสุดท้ายจินตนาการ
ภาพในใจที่เราคุ้นเคยให้เชื่อมโยงเข้ากับรายการสินค้าเบื้องต้น
2. เทคนิคตะขอเกี่ยว (Peg Word System)
คาตะขอเกี่ยวเป็นเทคนิคการจาที่มีหลายรูปแบบ แต่หลักพื้นฐานคือการเรียนรู้
รูปแบบของคาต่างๆในความแตกต่างของระบบพื้นฐาน หัวข้อที่จะเรียนรู้มีชุดของจังหวะในการจาเป็นคู่
เช่น
One is a bun.
Two is a shoe.
Three is a tree.
Four is a door.
Five is hive.
Six is a stick.
Seven is a heaven.
Eight is a gate.
Nine is a line.
Ten is a hen.
หลังจากได้เรียนรู้เกี่ยวกับการใช้ตะขอเกี่ยวคา สิ่งหนึ่งที่สามารถทาได้คือการ
จินตนาการความสันพันธ์ระหว่างคาที่แสดงไว้เข้ากับคาที่นึกย้อนได้ ยกตัวอย่างเช่น คาว่า elephant
เป็นคาที่นึกย้อนได้ให้สัมพันธ์กับคาว่า bun (จาว่า One is a bun.) ถ้าหากจินตนาการภาพได้แปลกยิ่ง
จะทาให้จาได้ดีกว่าภาพธรรมดา เช่น จินตนาการถึง elephant burger ในลักษณะ a great elephant
is squeezed into small hamburger bun. โดยจา One is a bun.หรือถ้าคาที่นึกย้อนได้คือคาว่า
lion สามารถจินตนาการภาพให้เกี่ยวข้องกับคาตะขอคาว่า shoe เช่น จินตนาการว่า a lion’s
wearing tennis shoes หรือคิดถึงคาตะขอเกี่ยวคาว่า shoe โดยจินตนาการถึง cat’s paws
outfitted with shoes
16. 22
3. เทคนิคคาสาคัญ (Keyword Method)
Solso (1988 : 280 - 281) กล่าวว่า เทคนิคคาสาคัญไว้ว่า การพูดคาต่างประเทศ
กับคาสาคัญนั้นมีความเกี่ยวโยงกันกับการแปลภาษาอังกฤษ ดังนั้นการนาเข้ามารวมกันจะต้อง
ประกอบด้วยคาสาคัญที่เหมือนกับคาต่างประเทศและรูปภาพที่จินตนาการขึ้นจะต้องจะต้องมี
ความสัมพันธ์กันระหว่างคาสาคัญและคาที่แท้จริงของภาษาอังกฤษ เช่นคาว่า pato ในภาษาสเปน
แปลว่า duck และ pato มีการออกเสียงเหมือนคาว่า pot-o การใช้คาว่า pot เป็นคาสาคัญสามารถ
จินตนาการได้ว่า a duck with a pot over its head หรือพิจารณาคาภาษารัสเซียคาว่า zronok
ซึ่งหมายถึง bell (Zronok เสียงเหมือน zrahn- oak โดยการเน้นพยางค์ตัวสุดท้าย การใช้คาว่า oak
เป็นคาสาคัญจินตนาการภาพถึง an oak tree with bells as acorns
4. ระบบข้อมูล (Organizational Schemes)
ทุกระบบของเทคนิคช่วยจามีพื้นฐานมาจากโครงสร้างของข้อมูลเพื่อง่ายต่อการ
จดจาและการระลึกข้อมูล เทคนิคแบบแผนระบบข้อมูลมาจากสถานที่ เวลา ความสัมพันธ์ระหว่างเสียง
และตัวอักษร เสียง ภาพ สิ่งหนึ่งที่มีผลต่อเทคนิคช่วยจาคือ การจัดข้อมูลเข้าในรูปแบบที่มีความหมายที่
สามารถนามาใช้ระลึกข้อมูลได้
เช่น การลองนึกย้อนถึงคาในหัวข้อที่กาหนดให้ 2 นาที
Bird hill web smoke
Boy home hand wool
Bread nail glass vegetable
Church nurse apple train
Tiger pepper grass star
หลังจาก 2 นาที เพิ่มรายการคาศัพท์ตามหัวข้อที่กาหนดให้ใช้เวลา 4 นาที แล้วให้
พยายามจาคา กลุ่มอื่นๆ ก็ให้คาเหมือนกัน เรียนเวลาเท่ากัน และงานเดียวกัน แต่ให้คนละเงื่อนไขโดย
กลุ่มที่ 2 ให้วาดภาพเกี่ยวกับคาศัพท์และใช้ภาพนั้นช่วยในการจดจา กลุ่มที่ 3 ให้จาคาเดียวกันโดยอ่าน
ทวนซ้าตามเรื่องราวที่ให้นาเข้าไปรวมให้เป็นเรื่องราวเดียวกัน ดังตัวอย่างเรื่องราวต่อไปนี้
The fantastic trip
Instead of being in church, where he belonged, the boy was
hiding on the hill. He had bare feet, although the nurse told him he might step on a
nail. In his hand was an apple on which, from time to time, he sprinkled black
pepper.
While a spider spun its web over his head, he dreamed of running away from
home. The thread of this thought went like this. He would hide on a train until he got
to the coast. From there he’d fly to faraway star on a magic carpet or rubbing an
enchanted glass.
Once there he would marry the queen, lie on the grass, and never comb his
hair or eat vegetable. If he got bored, he’d hunt a tiger for fun and watch the smoke
shoot from his gun.
17. 23
But before the boy could finish the daydream, he began to grow tired. As he
started to feed bread crumbs to a nearby bird, he saw a sheep with soft wool. He lay
down on it and fell asleep.
และกลุ่มที่ 4 ให้จาคาศัพท์โดยจัดกลุ่มคาตามความหมาย ซึ่งผู้สอนสามารถช่วยให้
ผู้เรียนจดจาคาศัพท์ได้ โดยใช้อักษรตัวแรกของกลุ่มดังต่อไปนี้รวมกันเป็น B. F. NAPP ดังหมวดหมู่คา
ดังนี้ Body Parts Food Nature
feet bread hill
hand pepper grass
hair apple smoke
nail vegetable star
Animal life Places Processed Things
boy church glass
nurse home wool
queen train carpet
bird
tiger
Sternberg (2006 : 200) ได้กล่าวถึงประเภทของเทคนิคช่วยจาว่ามีมากมายหลาย
ประเภทดังนี้
1. การจัดหมวดหมู่ (Clustering) คือการรวบรวมรายการสิ่งของให้เป็นหมวดหมู่
ยกตัวอย่างเช่น ผู้เรียนจัดหมวดหมู่การซื้อสินค้าตามชนิดของอาหารได้เป็น ผัก ผลไม้ และ เนื้อ เป็นต้น
2. การเชื่อมโยงรูปภาพ (Interactive Image) คือการที่ผู้เรียนจินตนาการถึงรูปภาพ
ของคาศัพท์นั้นเชื่อมโยงกับรูปภาพของคาศัพท์อีกคาหนึ่งให้มีความสัมพันธ์กัน เช่น ผู้เรียนต้องการจะ
ซื้อ ถุงเท้า แอบเปิ้ล และ กรรไกร ผู้เรียนอาจจินตนาการว่า ผู้เรียนกาลังใช้กรรไกรตัดถุงเท้า ซึ่งข้างใน
ถุงเท้ามีแอบเปิ้ลอยู่
3. เทคนิคตะขอเกี่ยว (Keyword Method) คือ การเชื่อมโยงระหว่างรูปภาพของ
คาศัพท์กับรูปภาพของกลุ่มลาดับคาให้มีความสัมพันธ์กัน โดยที่กลุ่มลาดับคาดังกล่าวคือ “One is a
bun” “Two is a shoe” “Three is a tree” เป็นต้น ยกตัวอย่างเช่น หากผู้เรียนต้องการที่จะซื้อถุง
เท้า แอปเปิ้ล และกรรไกร ผู้เรียนอาจจินตนาการถึงรูปภาพของแอปเปิ้ลอยู่ระหว่างขนมปัง 2 ชื้น ถุง
เท้าอยู่ในรองเท้า และกรรไกรกาลังถูกใช้ในการตัดต้นไม้
4. เทคนิคตาแหน่ง (Loci) คือ การที่ผู้เรียนจินตนาถึงการเดินไปในสถานที่ต่าง ๆ ซึ่ง
เป็นสถานที่ ๆ ผู้เรียนรู้จักเป็นอย่างดี จากนั้นผู้เรียนเชื่อมโยงแต่ละสถานที่กับคาศัพท์แต่ละคาที่ผู้เรียน
ต้องการจะจา ยกตัวอย่างเช่น ผู้เรียนจินตนาการถึงเส้นทางที่ผู้เรียนใช้ไปโรงเรียน ซึ่งมีสถานที่ 3 แห่ง
คือ บ้านที่มีรูปร่างแปลกประหลาด ต้นไม้ และ สนามเบสบอล เมื่อรวมเข้ากับคาศัพท์ที่ต้องการจะจา
ผู้เรียนอาจจินตนาการถึง ถุงเท้าอันใหญ่แขวนอยู่ที่บ้านรูปทรงแปลกบริเวณปล่องไฟ กรรไกรกาลังตัด
ต้นไม้ และแอปเปิ้ลวางอยู่ที่สนามเบสบอล
5. เทคนิคตัวย่อ (Acronyms) คือ การที่ผู้เรียนย่อคาศัพท์หรือประโยคเป็นตัวอักษร
โดยที่ตัวอักษรแต่ละตัวแทนคาศัพท์หรือข้อมูลอื่น ๆ ได้ เช่น UK แทน United Kingdom