SlideShare a Scribd company logo
1
ติลมุฏฐิชาดก
พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]
ขุททกนิกาย ชาดก ภาค ๑
๒. ติลมุฏฐิชาดก (จากพระไตรปิฎก ลาดับเรื่องที่ ๒๕๒)
ว่าด้วยการผูกโกรธเพราะเมล็ดงาเพียงกามือเดียว
(พรหมทัตตกุมารทรงผูกโกรธอาจารย์ไม่หาย จึงตรัสกับอาจารย์ว่า)
[๔] การที่ท่านอาจารย์จับแขนข้าพเจ้าแล้วเฆี่ยนข้าพเจ้าด้วยไม้เรียว
เพราะงากามือเดียวนั้นยังฝังใจข้าพเจ้าอยู่จนทุกวันนี้
[๕] ท่านพราหมณ์ ชะรอยท่านจะไม่ใยดีในชีวิตของตนละซิ จึงมาที่นี้
เพราะท่านเคยจับแขนข้าพเจ้าเฆี่ยนถึง ๓ ครั้ง
(อาจารย์ได้ฟังดังนั้น จึงกล่าวกราบทูลว่า)
[๖] อารยชนบางคนย่อมกีดกันคนกระทาความชั่วด้วยอาชญา
การกระทานั้นเป็นการสอนหาใช่เป็นเวรไม่ บัณฑิตทั้งหลายรู้เหตุนั้นอย่างนี้
ติลมุฏฐิชาดกที่ ๒ จบ
-------------------------------
คาอธิบายเพิ่มเติมนามาจากบางส่วนของอรรถกถา
ติลมุฏฐิชาดก
ว่าด้วย การเฆี่ยนตีเป็ นการสั่งสอน
พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน
ทรงปรารภภิกษุผู้มักโกรธรูปหนึ่ง จึงตรัสเรื่องนี้ ดังนี้.
ได้ยินว่า มีภิกษุรูปหนึ่งเป็ นผู้มักโกรธมากไปด้วยความคับแค้นใจ
ถูกใครว่าอะไรแม้เพียงนิดเดียวก็โกรธ ข้องใจ กระทาความโกรธ
ความประทุษร้ายและความน้อยใจให้ปรากฎ.
อยู่มาวันหนึ่ง ภิกษุทั้งหลายนั่งสนทนากันในโรงธรรมสภาว่า
ผู้มีอายุทั้งหลาย ภิกษุรูปโน้นเป็นคนโกรธง่าย มากไปด้วยความคับแค้นใจ
เที่ยวทาเสียงเอะอะเหมือนเกลือที่เขาใส่ในเตาไฟ
เป็นผู้บวชในศาสนาที่สอนมิให้โกรธเห็นปานนี้
แม้แต่ความโกรธเท่านั้นก็ไม่อาจข่มได้.
พระศาสดาทรงสดับถ้อยคาของภิกษุเหล่านั้น
จึงทรงสั่งภิกษุรูปหนึ่งให้ไปเรียกภิกษุรูปนั้นมา แล้วตรัสถามว่า
ข่าวว่าเธอเป็นผู้โกรธง่ายจริงหรือ? เมื่อภิกษุรูปนั้นรับเป็นสัตย์แล้ว จึงตรัสว่า
ภิกษุทั้งหลาย มิใช่บัดนี้เท่านั้น แม้ในกาลก่อน
ภิกษุนี้ก็ได้เป็ นคนมักโกรธเหมือนกัน
ภิกษุทั้งหลายทูลอาราธนา
จึงทรงนาเอาเรื่องในอดีตมาสาธกดังต่อไปนี้ :-
2
ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติอยู่ในกรุงพาราณสี
โอรสของพระเจ้าพรหมทัตนั้นได้มีนามว่า พรหมทัตตกุมาร. แท้จริง
พระราชาครั้งเก่าก่อน แม้จะมีอาจารย์ทิศาปาโมกข์ในนครของตน
ก็ย่อมส่งพระราชโอรสของตนๆ ไปเรียนศิลปะยังภายนอกรัฏฐะในที่ไกล
ด้วยหวังใจว่า เมื่อกระทาอย่างนี้ พระราชโอรสเหล่านั้น
จักเป็นผู้ขจัดความเย่อหยิ่งด้วยมานะ ๑
จักเป็นผู้อดทนต่อความหนาวและความร้อน ๑
จักได้รู้จารีตประเพณีของชาวโลก ๑
เพราะฉะนั้น พระราชาแม้พระองค์นั้น จึงมีรับสั่งให้หาพระราชโอรส
ซึ่งมีพระชนมายุ ๑๖ พรรษามาแล้ว พระราชทานฉลองพระบาทชั้นเดี่ยวคู่ ๑
ร่มใบไม้คันหนึ่งและทรัพย์ ๑,๐๐๐ กหาปณะ พลางตรัสว่า ลูกรัก
เจ้าจงไปยังเมืองตักกสิลา ร่าเรียนเอาศิลปะมา แล้วทรงส่งไป.
พระราชโอรสรับพระราชโองการ แล้วถวายบังคมพระชนกชนนี
แล้วเสด็จออกไป บรรลุถึงเมืองตักกสิลาโดยลาดับ ได้ไปถามหาบ้านอาจารย์.
ก็ในเวลานั้น อาจารย์สอนศิลปะแก่พวกมาณพ เสร็จแล้วลุกขึ้นมานั่ง
ณ ที่ข้างหนึ่งที่ประตูเรือน พระราชโอรสนั้นไปที่บ้านอาจารย์นั้น
ได้เห็นอาจารย์นั่งอยู่ในที่นั้น ครั้นแล้วจึงถอดรองเท้าตรงที่นั้นแหละ ลดร่ม
ไหว้อาจารย์แล้วยืนอยู่ อาจารย์นั้นรู้ว่า พระราชโอรสนั้นเหน็ดเหนื่อยมา
จึงให้กระทาอาคันตุกสงเคราะห์.
พระกุมารเสวยพระกระยาหารเสร็จแล้ว พักผ่อนอยู่ครู่หนึ่ง
จึงเข้าไปหาอาจารย์ไหว้แล้วยืนอยู่ เมื่ออาจารย์ทิศาปาโมกข์ถามว่า
เธอมาจากไหนน่ะพ่อ จึงกล่าวตอบว่า มาจากเมืองพาราณสี. เธอเป็นลูกใคร?
เป็นโอรสของพระเจ้าพาราณสี. พระองค์เสด็จมาด้วยประสงค์อะไร?
ท่านอาจารย์ ข้าพเจ้ามาเพื่อต้องการเรียนศิลปะ.
พระองค์นาทรัพย์อันเป็นส่วนของอาจารย์มาด้วยหรือเปล่า
หรือพระองค์จะเป็นธัมมันเตวาสิก. พระราชกุมารนั้นกล่าวว่า
ทรัพย์อันเป็นส่วนของอาจารย์ข้าพเจ้านามาด้วยแล้ว
ว่าแล้วก็วางถุงทรัพย์พันกหาปณะ ลงที่ใกล้เท้าของอาจารย์แล้วก็ไหว้.
อันศิษย์ที่เป็นธัมมันเตวาสิก เวลากลางวันต้องทาการงานให้อาจารย์
กลางคืนจึงจะได้เรียน. ศิษย์ที่ให้ทรัพย์อันเป็นส่วนของอาจารย์
เป็นเหมือนบุตรคนโตในเรือน เรียนแต่ศิลปะเท่านั้น เพราะฉะนั้น อาจารย์แม้นั้น
พอมีฤกษ์งามยามดีแล้ว จึงเริ่มสอนศิลปะแก่พระกุมารโดยพิสดาร.
ฝ่ายพระราชกุมารก็เรียนเอาศิลปะด้วยความตั้งใจ
วันหนึ่งได้ไปอาบน้าพร้อมกับอาจารย์.
ครั้งนั้น มีหญิงชราคนหนึ่งขัดสีเมล็ดงาให้หมดเปลือกแล้ว
3
เอามาแผ่ตากไว้ นั่งเฝ้ าอยู่. พระกุมารเห็นเมล็ดงาที่ตากไว้ ก็อยากจะเสวย
จึงหยิบเมล็ดงามาหนึ่งกามือแล้วเคี้ยวเสวย. หญิงชราคิดว่า มาณพนี้คงอยากกิน
จึงนิ่งเสียมิได้กล่าวประการใด. แม้ในวันรุ่งขึ้น
พระกุมารนั้นก็ได้ทาเหมือนอย่างนั้น ในเวลานั้น.
แม้หญิงชรานั้นก็ไม่กล่าวอะไรกะพระราชกุมารนั้น.
แม้ในวันที่ ๓ พระราชกุมารก็ได้ทาเหมือนอย่างนั้นนั่นแหละ.
คราวนั้น หญิงชราเห็นเข้าจึงประคองแขนทั้งสองร้องคร่าครวญว่า
อาจารย์ทิศาปาโมกข์ใช้ให้พวกศิษย์ของตนปล้นเรา. อาจารย์หันกลับมาถามว่า
นี่อะไรกันแน่. หญิงชรากล่าวว่า นาย
ศิษย์ของท่านเคี้ยวกินเมล็ดงาอ่อนที่ข้าพเจ้าทาไว้ วันนี้กามือหนึ่ง
เมื่อวานกามือหนึ่ง เมื่อวันซืนกามือหนึ่ง ก็เมื่อศิษย์ของท่านเคี้ยวกินอยู่อย่างนี้
เมล็ดงาที่มีอยู่ของดิฉันเท่าไรๆ ก็จักหมดสิ้นไปมิใช่หรือ.
อาจารย์ทิศาปาโมกข์กล่าวว่า แม่ อย่าร้องไห้ไปเลย ฉันจักให้มูลค่าแก่ท่าน.
หญิงชรากล่าวว่า ดิฉันไม่ต้องการมูลค่าดอกนาย
ดิฉันขอให้ท่านสั่งสอนโดยอย่าให้กุมารนี้กระทาอย่างนี้อีกต่อไป.
อาจารย์กล่าวว่า ถ้าอย่างนั้น จงคอยดูนะแม่ แล้วให้มาณพ ๒ คน
จับพระราชกุมารนั้นที่แขนทั้ง ๒ ข้างไว้ จึงเอาซีกไม้ไผ่มาเฆี่ยนที่กลางหลัง ๓
ครั้ง พร้อมกับสอนว่า เธออย่าได้ทาอย่างนี้อีกต่อไป. พระราชกุมารโกรธอาจารย์
ทานัยน์ตาแดงมองดูตั้งแต่หลังเท้าจนถึงปลายผม แม้อาจารย์นั้นก็รู้ว่า
พระราชกุมารนั้นมองดูเพราะโกรธเคือง.
พระราชกุมารเรียนศิลปะจบแล้วทาการฝึกซ้อม
เก็บโทษที่อาจารย์นั้นกระทาไว้ในหทัย โดยอาฆาตว่า เราต้องฆ่าอาจารย์ผู้นี้
ครั้นเวลาจะไป จึงไหว้อาจารย์ ทาทีมีความสิเนหาอย่างสุดซึ้ง รับเอาปฏิญญาว่า
ท่านอาจารย์ เมื่อใด ข้าพเจ้าได้ราชสมบัติในพระนครพาราณสี
แล้วส่งข่าวมาถึงท่าน เมื่อนั้น ขอให้ท่านพึงมาหาข้าพเจ้า กล่าวดังนี้แล้วก็จากไป.
ครั้นไปถึงพระนครพาราณสีแล้ว ถวายบังคมพระชนกชนนี
แล้วแสดงศิลปะให้ทอดพระเนตร. พระราชาตรัสว่า
เรามีชีวิตอยู่ทันเห็นบุตรเราขณะมีชีวิตอยู่นี้แหละ
จักได้เห็นความสง่าในราชสมบัติแห่งบุตรของเรา
จึงทรงสถาปนาพระราชโอรสไว้ในราชสมบัติ.
เมื่อพระราชโอรสได้ครอบครองศิริราชสมบัติ
ก็ระลึกถึงโทษที่อาจารย์ได้กระทาไว้ ก็ทรงพระพิโรธ
จึงทรงส่งทูตไปถึงอาจารย์เพื่อให้มาเฝ้ าด้วยตั้งพระทัยว่า เราจักฆ่าอาจารย์นั้น.
ท่านอาจารย์คิดว่า ในเวลาที่เขายังหนุ่มแน่น
เราจักไม่อาจให้พระราชานั้นเข้าใจได้ จึงมิได้ไป
4
ในเวลาที่พระราชานั้นล่วงเข้ามัชฌิมวัย คิดว่า
บัดนี้เราจักอาจทาให้พระราชานั้นเข้าใจได้
จึงได้เดินทางไปยืนอยู่ที่ประตูพระราชวัง ให้กราบทูลว่า
อาจารย์จากเมืองตักศิลามาแล้ว.
พระราชาทรงโสมนัสยินดีรับสั่งให้เรียกพราหมณ์มา
พอเห็นอาจารย์นั้นมาเฝ้ าพระองค์เท่านั้น
ทรงพระพิโรธจนพระเนตรทั้งสองข้างแดง ตรัสเรียกอามาตย์ทั้งหลายมาว่า
แน่ะผู้เจริญ ที่ที่อาจารย์เฆี่ยนยังเสียดแทงเราอยู่จนทุกวันนี้
อาจารย์บากหน้าพาเอาความตายมาโดยไม่รู้ว่าเราจักตายวันนี้
อาจารย์ผู้นั้นจะไม่มีชีวิตแล้ว
จึงได้ตรัสคาถา ๒ คาถา อันมีในเบื้องต้นว่า :-
การที่ท่านให้จับแขนเราไว้แล้ว เฆี่ยนตีเราด้วยซีกไม้ไผ่
เพราะเหตุเมล็ดงากามือหนึ่งนั้น ยังฝังใจเราอยู่จนทุกวันนี้.
ดูก่อนพราหมณ์ ท่านไม่ใยดีในชีวิตของท่านแล้วหรือ
จึงมาหาเราถึงที่นี่ ผลที่ท่านให้จับแขนทั้งสองของเราแล้วเฆี่ยนตีเราถึง ๓ ที่นั้น
จักสนองท่านในวันนี้.
พระราชาเอาความตายมาขู่อาจารย์ดังนี้ จึงกล่าวอย่างนั้น.
อาจารย์ได้ฟังดังนั้น จึงกล่าวคาถาที่ ๓ ว่า :-
อริยชนใดย่อมเกียดกันอนารยชน ผู้กระทาชั่วด้วยการลงโทษ
กรรมของอริยชนนั้นเป็นการสั่งสอนหาใช่เป็นเวรไม่
บัณฑิตทั้งหลายย่อมรู้ชัดข้อนั้นอย่างนี้แล.
ก็อริยชนนี้นั้นมี ๔ ประเภท คือ
อาจารอริยชน อริยชนผู้มีอาจาระ ๑
ทัสสนอริยชน อริยชนที่ควรแลดู ๑
ลิงคอริยชน อริยชนผู้ถือเพศ ๑
ปฏิเวธอริยชน อริยชนผู้รู้แจ้งแทงตลอด ๑
ในอริยชน ๔ ประเภทนั้น อริยชนผู้ตั้งอยู่ในมารยาทอันประเสริฐ
จะเป็นมนุษย์หรือสัตว์เดรัจฉานก็ตาม ชื่อว่าอาจารอริยชน.
สมจริงดังที่ท่านกล่าวไว้ว่า :-
ดูก่อนหงส์ ท่านย่อมนอบน้อมก้อนอาหาร
ชื่อว่ามีความประพฤติธรรมอันประเสริฐ ข้าพเจ้าจะปล่อยนายของท่าน
ท่านทั้งสองจงไปตามสบายเถิด.
ข้าพเจ้าขอสละภัสดาผู้ประพฤติเยี่ยง อริยชนคนโกง เชิดชูบิณฑะ
ที่พามาได้นั้นแก่ท่าน ขอท่านทั้งสองจงไปตามสบายเถิด.
ส่วนอริยชนผู้ประกอบด้วยรูปและอิริยาบถอันน่าเลื่อมใส น่าดู
5
ชื่อว่าทัสสนอริยชน.
สมจริงดังคาที่ท่านกล่าวไว้ว่า :-
ท่านผู้เจริญ ท่านมีนัยน์ตาผ่องใส มีท่าทางอันประเสริฐ
ออกบวชจากตระกูลอะไร จิตของท่านสละโภคทรัพย์ได้ละหรือ
ผู้มีปัญญาเท่านั้นจึงจะออกจากเรือนบวชได้.
อริยชนผู้เป็ นคล้ายสมณะ โดยถือเพศด้วยการนุ่งห่ม เที่ยวไปอยู่
แม้จะเป็ นผู้ทุศีล ก็ชื่อว่าลิงคอริยชน ซึ่งท่านหมายกล่าวไว้ว่า :-
บุคคลผู้ทาการนุ่งห่มเหมือนผู้มีพรตอันงามทั้งหลาย มักเอาหน้า
ประทุษร้ายตระกูล เป็นคนคะนอง เป็นคนเจ้าเล่ห์ ไม่สารวม เป็นคนพร่าเพ้อ
ประพฤติโดยอาการเทียม ชื่อว่าเป็นผู้ทาลายหนทาง.
ฝ่ายพระอริยบุคคลทั้งหลายมีพระพุทธเจ้าเป็นต้น ชื่อว่าปฏิเวธอริยชน
ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า พระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า
และพุทธสาวกทั้งหลาย เรียกว่า พระอริยะ.
บรรดาอริยชนเหล่านั้น ในที่นี้
พราหมณ์ประสงค์เอาอาจารอริยชนอย่างเดียว.
ข้าแต่มหาราช เพราะฉะนั้น แม้พระองค์ก็โปรดทรงทราบอย่างนี้
พระองค์ไม่ควรก่อเวรในฐานะเห็นปานนี้
ถ้าแม้ข้าพระองค์จักไม่ได้ให้พระองค์ทรงสาเหนียกอย่างนี้แล้ว ต่อไปภายหน้า
พระองค์ลักขนม น้าตาลกรวด แลผลไม้เป็นต้น ติดในโจรกรรมทั้งหลาย
จะทาการตัดช่องย่องเบา ฆ่าคนในหนทางและฆ่าชาวบ้านเป็นต้นโดยลาดับ
ถูกจับพร้อมทั้งของกล่าวว่า โจรผู้ผิดต่อพระราชาแล้วแสดงต่อพระราชา
จักได้รับภัยคืออาญา โดยพระดารัสว่า
พวกท่านจงไปลงอาญาอันสมควรแก่โทษของโจรนี้
สมบัติเห็นปานนี้จักได้มีแก่พระองค์มาแต่ไหน
พระองค์ได้ความเป็นใหญ่โดยเรียบร้อย เพราะอาศัยข้าพระองค์มิใช่หรือ
อาจารย์ได้ทาให้พระราชายินยอมด้วยประการดังกล่าวมานี้.
ฝ่ายอามาตย์ทั้งหลายผู้ยืนห้อมล้อมอยู่
ได้ฟังถ้อยคาของอาจารย์นั้นแล้ว จึงกราบทูลว่า ขอเดชะ
คาที่อาจารย์กล่าวนั้นเป็นความจริง
ความเป็นใหญ่นี้เป็นของท่านอาจารย์ของพระองค์.
ขณะนั้น พระราชาทรงกาหนดได้ถึงคุณของอาจารย์จึงกล่าวว่า
ท่านอาจารย์ ข้าพเจ้าให้ความเป็นใหญ่นี้แก่ท่าน ขอท่านจงรับราชสมบัติเถิด.
อาจารย์ปฏิเสธว่า ข้าพระองค์ไม่ต้องการราชสมบัติ.
พระราชาทรงส่งข่าวไปยังเมืองตักกสิลา ให้นาบุตรและภรรยาของอาจารย์มา
แล้วประทานอิสริยยศใหญ่ ทรงตั้งอาจารย์นั้นนั่นแลให้เป็นปุโรหิต
6
แล้วตั้งไว้ในฐานเป็ นบิดา ตั้งอยู่ในโอวาทของอาจารย์นั้น
บาเพ็ญบุญทั้งหลายมีทานเป็นต้น ได้มีสวรรค์เป็นที่ไปในเบื้องหน้า.
พระศาสดา ครั้นทรงนาพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ทรงประกาศอริยสัจ
๔ ทรงประชุมชาดก
ในเวลาจบอริยสัจ ภิกษุผู้มักโกรธดารงในอนาคามิผล คนอื่นๆ
ได้เป็นพระโสดาบัน และพระสกทาคามี.
พระราชาในคราวนั้น ได้เป็ นภิกษุผู้มักโกรธในบัดนี้
ส่วนอาจารย์ในคราวนั้น ได้เป็ น เราตถาคต ฉะนี้แล.
จบ อรรถกถาติลมุฏฐิชาดกที่ ๒
-----------------------------------------------------

More Related Content

More from maruay songtanin

530 สังกิจจชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
530 สังกิจจชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....530 สังกิจจชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
530 สังกิจจชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
maruay songtanin
 
529 โสณกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
529 โสณกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx529 โสณกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
529 โสณกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
maruay songtanin
 
527 อุมมาทันตีชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬา...
527 อุมมาทันตีชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬา...527 อุมมาทันตีชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬา...
527 อุมมาทันตีชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬา...
maruay songtanin
 
526 นฬินิกาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
526 นฬินิกาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....526 นฬินิกาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
526 นฬินิกาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
maruay songtanin
 
523 อลัมพุสาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
523 อลัมพุสาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...523 อลัมพุสาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
523 อลัมพุสาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
maruay songtanin
 
522 สรภังคชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
522 สรภังคชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx522 สรภังคชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
522 สรภังคชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
maruay songtanin
 
521 เตสกุณชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
521 เตสกุณชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx521 เตสกุณชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
521 เตสกุณชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
maruay songtanin
 
519 สัมพุลาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
519 สัมพุลาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....519 สัมพุลาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
519 สัมพุลาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
maruay songtanin
 
518 ปัณฑรกนาคราชชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุ...
518 ปัณฑรกนาคราชชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุ...518 ปัณฑรกนาคราชชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุ...
518 ปัณฑรกนาคราชชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุ...
maruay songtanin
 
516 มหากปิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
516 มหากปิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx516 มหากปิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
516 มหากปิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
maruay songtanin
 
515 สัมภวชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
515 สัมภวชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx515 สัมภวชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
515 สัมภวชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
maruay songtanin
 
514 ฉัททันตชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
514 ฉัททันตชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....514 ฉัททันตชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
514 ฉัททันตชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
maruay songtanin
 
512 กุมภชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
512 กุมภชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx512 กุมภชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
512 กุมภชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
maruay songtanin
 
511 กิงฉันทชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
511 กิงฉันทชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....511 กิงฉันทชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
511 กิงฉันทชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
maruay songtanin
 

More from maruay songtanin (20)

530 สังกิจจชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
530 สังกิจจชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....530 สังกิจจชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
530 สังกิจจชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
 
529 โสณกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
529 โสณกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx529 โสณกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
529 โสณกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
 
528 มหาโพธิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
528 มหาโพธิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....528 มหาโพธิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
528 มหาโพธิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
 
527 อุมมาทันตีชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬา...
527 อุมมาทันตีชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬา...527 อุมมาทันตีชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬา...
527 อุมมาทันตีชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬา...
 
526 นฬินิกาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
526 นฬินิกาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....526 นฬินิกาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
526 นฬินิกาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
 
525 จูฬสุตโสมชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
525 จูฬสุตโสมชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ...525 จูฬสุตโสมชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
525 จูฬสุตโสมชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
 
524 สังขปาลชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
524 สังขปาลชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....524 สังขปาลชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
524 สังขปาลชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
 
523 อลัมพุสาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
523 อลัมพุสาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...523 อลัมพุสาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
523 อลัมพุสาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
 
522 สรภังคชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
522 สรภังคชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx522 สรภังคชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
522 สรภังคชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
 
521 เตสกุณชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
521 เตสกุณชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx521 เตสกุณชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
521 เตสกุณชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
 
520 คันธตินทุกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬา...
520 คันธตินทุกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬา...520 คันธตินทุกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬา...
520 คันธตินทุกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬา...
 
519 สัมพุลาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
519 สัมพุลาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....519 สัมพุลาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
519 สัมพุลาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
 
518 ปัณฑรกนาคราชชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุ...
518 ปัณฑรกนาคราชชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุ...518 ปัณฑรกนาคราชชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุ...
518 ปัณฑรกนาคราชชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุ...
 
517 ทกรักขสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
517 ทกรักขสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....517 ทกรักขสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
517 ทกรักขสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
 
516 มหากปิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
516 มหากปิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx516 มหากปิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
516 มหากปิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
 
515 สัมภวชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
515 สัมภวชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx515 สัมภวชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
515 สัมภวชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
 
514 ฉัททันตชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
514 ฉัททันตชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....514 ฉัททันตชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
514 ฉัททันตชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
 
513 ชยัททิสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
513 ชยัททิสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....513 ชยัททิสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
513 ชยัททิสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
 
512 กุมภชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
512 กุมภชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx512 กุมภชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
512 กุมภชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
 
511 กิงฉันทชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
511 กิงฉันทชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....511 กิงฉันทชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
511 กิงฉันทชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
 

252 ติลมุฏฐิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx

  • 1. 1 ติลมุฏฐิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ] ขุททกนิกาย ชาดก ภาค ๑ ๒. ติลมุฏฐิชาดก (จากพระไตรปิฎก ลาดับเรื่องที่ ๒๕๒) ว่าด้วยการผูกโกรธเพราะเมล็ดงาเพียงกามือเดียว (พรหมทัตตกุมารทรงผูกโกรธอาจารย์ไม่หาย จึงตรัสกับอาจารย์ว่า) [๔] การที่ท่านอาจารย์จับแขนข้าพเจ้าแล้วเฆี่ยนข้าพเจ้าด้วยไม้เรียว เพราะงากามือเดียวนั้นยังฝังใจข้าพเจ้าอยู่จนทุกวันนี้ [๕] ท่านพราหมณ์ ชะรอยท่านจะไม่ใยดีในชีวิตของตนละซิ จึงมาที่นี้ เพราะท่านเคยจับแขนข้าพเจ้าเฆี่ยนถึง ๓ ครั้ง (อาจารย์ได้ฟังดังนั้น จึงกล่าวกราบทูลว่า) [๖] อารยชนบางคนย่อมกีดกันคนกระทาความชั่วด้วยอาชญา การกระทานั้นเป็นการสอนหาใช่เป็นเวรไม่ บัณฑิตทั้งหลายรู้เหตุนั้นอย่างนี้ ติลมุฏฐิชาดกที่ ๒ จบ ------------------------------- คาอธิบายเพิ่มเติมนามาจากบางส่วนของอรรถกถา ติลมุฏฐิชาดก ว่าด้วย การเฆี่ยนตีเป็ นการสั่งสอน พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน ทรงปรารภภิกษุผู้มักโกรธรูปหนึ่ง จึงตรัสเรื่องนี้ ดังนี้. ได้ยินว่า มีภิกษุรูปหนึ่งเป็ นผู้มักโกรธมากไปด้วยความคับแค้นใจ ถูกใครว่าอะไรแม้เพียงนิดเดียวก็โกรธ ข้องใจ กระทาความโกรธ ความประทุษร้ายและความน้อยใจให้ปรากฎ. อยู่มาวันหนึ่ง ภิกษุทั้งหลายนั่งสนทนากันในโรงธรรมสภาว่า ผู้มีอายุทั้งหลาย ภิกษุรูปโน้นเป็นคนโกรธง่าย มากไปด้วยความคับแค้นใจ เที่ยวทาเสียงเอะอะเหมือนเกลือที่เขาใส่ในเตาไฟ เป็นผู้บวชในศาสนาที่สอนมิให้โกรธเห็นปานนี้ แม้แต่ความโกรธเท่านั้นก็ไม่อาจข่มได้. พระศาสดาทรงสดับถ้อยคาของภิกษุเหล่านั้น จึงทรงสั่งภิกษุรูปหนึ่งให้ไปเรียกภิกษุรูปนั้นมา แล้วตรัสถามว่า ข่าวว่าเธอเป็นผู้โกรธง่ายจริงหรือ? เมื่อภิกษุรูปนั้นรับเป็นสัตย์แล้ว จึงตรัสว่า ภิกษุทั้งหลาย มิใช่บัดนี้เท่านั้น แม้ในกาลก่อน ภิกษุนี้ก็ได้เป็ นคนมักโกรธเหมือนกัน ภิกษุทั้งหลายทูลอาราธนา จึงทรงนาเอาเรื่องในอดีตมาสาธกดังต่อไปนี้ :-
  • 2. 2 ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติอยู่ในกรุงพาราณสี โอรสของพระเจ้าพรหมทัตนั้นได้มีนามว่า พรหมทัตตกุมาร. แท้จริง พระราชาครั้งเก่าก่อน แม้จะมีอาจารย์ทิศาปาโมกข์ในนครของตน ก็ย่อมส่งพระราชโอรสของตนๆ ไปเรียนศิลปะยังภายนอกรัฏฐะในที่ไกล ด้วยหวังใจว่า เมื่อกระทาอย่างนี้ พระราชโอรสเหล่านั้น จักเป็นผู้ขจัดความเย่อหยิ่งด้วยมานะ ๑ จักเป็นผู้อดทนต่อความหนาวและความร้อน ๑ จักได้รู้จารีตประเพณีของชาวโลก ๑ เพราะฉะนั้น พระราชาแม้พระองค์นั้น จึงมีรับสั่งให้หาพระราชโอรส ซึ่งมีพระชนมายุ ๑๖ พรรษามาแล้ว พระราชทานฉลองพระบาทชั้นเดี่ยวคู่ ๑ ร่มใบไม้คันหนึ่งและทรัพย์ ๑,๐๐๐ กหาปณะ พลางตรัสว่า ลูกรัก เจ้าจงไปยังเมืองตักกสิลา ร่าเรียนเอาศิลปะมา แล้วทรงส่งไป. พระราชโอรสรับพระราชโองการ แล้วถวายบังคมพระชนกชนนี แล้วเสด็จออกไป บรรลุถึงเมืองตักกสิลาโดยลาดับ ได้ไปถามหาบ้านอาจารย์. ก็ในเวลานั้น อาจารย์สอนศิลปะแก่พวกมาณพ เสร็จแล้วลุกขึ้นมานั่ง ณ ที่ข้างหนึ่งที่ประตูเรือน พระราชโอรสนั้นไปที่บ้านอาจารย์นั้น ได้เห็นอาจารย์นั่งอยู่ในที่นั้น ครั้นแล้วจึงถอดรองเท้าตรงที่นั้นแหละ ลดร่ม ไหว้อาจารย์แล้วยืนอยู่ อาจารย์นั้นรู้ว่า พระราชโอรสนั้นเหน็ดเหนื่อยมา จึงให้กระทาอาคันตุกสงเคราะห์. พระกุมารเสวยพระกระยาหารเสร็จแล้ว พักผ่อนอยู่ครู่หนึ่ง จึงเข้าไปหาอาจารย์ไหว้แล้วยืนอยู่ เมื่ออาจารย์ทิศาปาโมกข์ถามว่า เธอมาจากไหนน่ะพ่อ จึงกล่าวตอบว่า มาจากเมืองพาราณสี. เธอเป็นลูกใคร? เป็นโอรสของพระเจ้าพาราณสี. พระองค์เสด็จมาด้วยประสงค์อะไร? ท่านอาจารย์ ข้าพเจ้ามาเพื่อต้องการเรียนศิลปะ. พระองค์นาทรัพย์อันเป็นส่วนของอาจารย์มาด้วยหรือเปล่า หรือพระองค์จะเป็นธัมมันเตวาสิก. พระราชกุมารนั้นกล่าวว่า ทรัพย์อันเป็นส่วนของอาจารย์ข้าพเจ้านามาด้วยแล้ว ว่าแล้วก็วางถุงทรัพย์พันกหาปณะ ลงที่ใกล้เท้าของอาจารย์แล้วก็ไหว้. อันศิษย์ที่เป็นธัมมันเตวาสิก เวลากลางวันต้องทาการงานให้อาจารย์ กลางคืนจึงจะได้เรียน. ศิษย์ที่ให้ทรัพย์อันเป็นส่วนของอาจารย์ เป็นเหมือนบุตรคนโตในเรือน เรียนแต่ศิลปะเท่านั้น เพราะฉะนั้น อาจารย์แม้นั้น พอมีฤกษ์งามยามดีแล้ว จึงเริ่มสอนศิลปะแก่พระกุมารโดยพิสดาร. ฝ่ายพระราชกุมารก็เรียนเอาศิลปะด้วยความตั้งใจ วันหนึ่งได้ไปอาบน้าพร้อมกับอาจารย์. ครั้งนั้น มีหญิงชราคนหนึ่งขัดสีเมล็ดงาให้หมดเปลือกแล้ว
  • 3. 3 เอามาแผ่ตากไว้ นั่งเฝ้ าอยู่. พระกุมารเห็นเมล็ดงาที่ตากไว้ ก็อยากจะเสวย จึงหยิบเมล็ดงามาหนึ่งกามือแล้วเคี้ยวเสวย. หญิงชราคิดว่า มาณพนี้คงอยากกิน จึงนิ่งเสียมิได้กล่าวประการใด. แม้ในวันรุ่งขึ้น พระกุมารนั้นก็ได้ทาเหมือนอย่างนั้น ในเวลานั้น. แม้หญิงชรานั้นก็ไม่กล่าวอะไรกะพระราชกุมารนั้น. แม้ในวันที่ ๓ พระราชกุมารก็ได้ทาเหมือนอย่างนั้นนั่นแหละ. คราวนั้น หญิงชราเห็นเข้าจึงประคองแขนทั้งสองร้องคร่าครวญว่า อาจารย์ทิศาปาโมกข์ใช้ให้พวกศิษย์ของตนปล้นเรา. อาจารย์หันกลับมาถามว่า นี่อะไรกันแน่. หญิงชรากล่าวว่า นาย ศิษย์ของท่านเคี้ยวกินเมล็ดงาอ่อนที่ข้าพเจ้าทาไว้ วันนี้กามือหนึ่ง เมื่อวานกามือหนึ่ง เมื่อวันซืนกามือหนึ่ง ก็เมื่อศิษย์ของท่านเคี้ยวกินอยู่อย่างนี้ เมล็ดงาที่มีอยู่ของดิฉันเท่าไรๆ ก็จักหมดสิ้นไปมิใช่หรือ. อาจารย์ทิศาปาโมกข์กล่าวว่า แม่ อย่าร้องไห้ไปเลย ฉันจักให้มูลค่าแก่ท่าน. หญิงชรากล่าวว่า ดิฉันไม่ต้องการมูลค่าดอกนาย ดิฉันขอให้ท่านสั่งสอนโดยอย่าให้กุมารนี้กระทาอย่างนี้อีกต่อไป. อาจารย์กล่าวว่า ถ้าอย่างนั้น จงคอยดูนะแม่ แล้วให้มาณพ ๒ คน จับพระราชกุมารนั้นที่แขนทั้ง ๒ ข้างไว้ จึงเอาซีกไม้ไผ่มาเฆี่ยนที่กลางหลัง ๓ ครั้ง พร้อมกับสอนว่า เธออย่าได้ทาอย่างนี้อีกต่อไป. พระราชกุมารโกรธอาจารย์ ทานัยน์ตาแดงมองดูตั้งแต่หลังเท้าจนถึงปลายผม แม้อาจารย์นั้นก็รู้ว่า พระราชกุมารนั้นมองดูเพราะโกรธเคือง. พระราชกุมารเรียนศิลปะจบแล้วทาการฝึกซ้อม เก็บโทษที่อาจารย์นั้นกระทาไว้ในหทัย โดยอาฆาตว่า เราต้องฆ่าอาจารย์ผู้นี้ ครั้นเวลาจะไป จึงไหว้อาจารย์ ทาทีมีความสิเนหาอย่างสุดซึ้ง รับเอาปฏิญญาว่า ท่านอาจารย์ เมื่อใด ข้าพเจ้าได้ราชสมบัติในพระนครพาราณสี แล้วส่งข่าวมาถึงท่าน เมื่อนั้น ขอให้ท่านพึงมาหาข้าพเจ้า กล่าวดังนี้แล้วก็จากไป. ครั้นไปถึงพระนครพาราณสีแล้ว ถวายบังคมพระชนกชนนี แล้วแสดงศิลปะให้ทอดพระเนตร. พระราชาตรัสว่า เรามีชีวิตอยู่ทันเห็นบุตรเราขณะมีชีวิตอยู่นี้แหละ จักได้เห็นความสง่าในราชสมบัติแห่งบุตรของเรา จึงทรงสถาปนาพระราชโอรสไว้ในราชสมบัติ. เมื่อพระราชโอรสได้ครอบครองศิริราชสมบัติ ก็ระลึกถึงโทษที่อาจารย์ได้กระทาไว้ ก็ทรงพระพิโรธ จึงทรงส่งทูตไปถึงอาจารย์เพื่อให้มาเฝ้ าด้วยตั้งพระทัยว่า เราจักฆ่าอาจารย์นั้น. ท่านอาจารย์คิดว่า ในเวลาที่เขายังหนุ่มแน่น เราจักไม่อาจให้พระราชานั้นเข้าใจได้ จึงมิได้ไป
  • 4. 4 ในเวลาที่พระราชานั้นล่วงเข้ามัชฌิมวัย คิดว่า บัดนี้เราจักอาจทาให้พระราชานั้นเข้าใจได้ จึงได้เดินทางไปยืนอยู่ที่ประตูพระราชวัง ให้กราบทูลว่า อาจารย์จากเมืองตักศิลามาแล้ว. พระราชาทรงโสมนัสยินดีรับสั่งให้เรียกพราหมณ์มา พอเห็นอาจารย์นั้นมาเฝ้ าพระองค์เท่านั้น ทรงพระพิโรธจนพระเนตรทั้งสองข้างแดง ตรัสเรียกอามาตย์ทั้งหลายมาว่า แน่ะผู้เจริญ ที่ที่อาจารย์เฆี่ยนยังเสียดแทงเราอยู่จนทุกวันนี้ อาจารย์บากหน้าพาเอาความตายมาโดยไม่รู้ว่าเราจักตายวันนี้ อาจารย์ผู้นั้นจะไม่มีชีวิตแล้ว จึงได้ตรัสคาถา ๒ คาถา อันมีในเบื้องต้นว่า :- การที่ท่านให้จับแขนเราไว้แล้ว เฆี่ยนตีเราด้วยซีกไม้ไผ่ เพราะเหตุเมล็ดงากามือหนึ่งนั้น ยังฝังใจเราอยู่จนทุกวันนี้. ดูก่อนพราหมณ์ ท่านไม่ใยดีในชีวิตของท่านแล้วหรือ จึงมาหาเราถึงที่นี่ ผลที่ท่านให้จับแขนทั้งสองของเราแล้วเฆี่ยนตีเราถึง ๓ ที่นั้น จักสนองท่านในวันนี้. พระราชาเอาความตายมาขู่อาจารย์ดังนี้ จึงกล่าวอย่างนั้น. อาจารย์ได้ฟังดังนั้น จึงกล่าวคาถาที่ ๓ ว่า :- อริยชนใดย่อมเกียดกันอนารยชน ผู้กระทาชั่วด้วยการลงโทษ กรรมของอริยชนนั้นเป็นการสั่งสอนหาใช่เป็นเวรไม่ บัณฑิตทั้งหลายย่อมรู้ชัดข้อนั้นอย่างนี้แล. ก็อริยชนนี้นั้นมี ๔ ประเภท คือ อาจารอริยชน อริยชนผู้มีอาจาระ ๑ ทัสสนอริยชน อริยชนที่ควรแลดู ๑ ลิงคอริยชน อริยชนผู้ถือเพศ ๑ ปฏิเวธอริยชน อริยชนผู้รู้แจ้งแทงตลอด ๑ ในอริยชน ๔ ประเภทนั้น อริยชนผู้ตั้งอยู่ในมารยาทอันประเสริฐ จะเป็นมนุษย์หรือสัตว์เดรัจฉานก็ตาม ชื่อว่าอาจารอริยชน. สมจริงดังที่ท่านกล่าวไว้ว่า :- ดูก่อนหงส์ ท่านย่อมนอบน้อมก้อนอาหาร ชื่อว่ามีความประพฤติธรรมอันประเสริฐ ข้าพเจ้าจะปล่อยนายของท่าน ท่านทั้งสองจงไปตามสบายเถิด. ข้าพเจ้าขอสละภัสดาผู้ประพฤติเยี่ยง อริยชนคนโกง เชิดชูบิณฑะ ที่พามาได้นั้นแก่ท่าน ขอท่านทั้งสองจงไปตามสบายเถิด. ส่วนอริยชนผู้ประกอบด้วยรูปและอิริยาบถอันน่าเลื่อมใส น่าดู
  • 5. 5 ชื่อว่าทัสสนอริยชน. สมจริงดังคาที่ท่านกล่าวไว้ว่า :- ท่านผู้เจริญ ท่านมีนัยน์ตาผ่องใส มีท่าทางอันประเสริฐ ออกบวชจากตระกูลอะไร จิตของท่านสละโภคทรัพย์ได้ละหรือ ผู้มีปัญญาเท่านั้นจึงจะออกจากเรือนบวชได้. อริยชนผู้เป็ นคล้ายสมณะ โดยถือเพศด้วยการนุ่งห่ม เที่ยวไปอยู่ แม้จะเป็ นผู้ทุศีล ก็ชื่อว่าลิงคอริยชน ซึ่งท่านหมายกล่าวไว้ว่า :- บุคคลผู้ทาการนุ่งห่มเหมือนผู้มีพรตอันงามทั้งหลาย มักเอาหน้า ประทุษร้ายตระกูล เป็นคนคะนอง เป็นคนเจ้าเล่ห์ ไม่สารวม เป็นคนพร่าเพ้อ ประพฤติโดยอาการเทียม ชื่อว่าเป็นผู้ทาลายหนทาง. ฝ่ายพระอริยบุคคลทั้งหลายมีพระพุทธเจ้าเป็นต้น ชื่อว่าปฏิเวธอริยชน ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า พระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า และพุทธสาวกทั้งหลาย เรียกว่า พระอริยะ. บรรดาอริยชนเหล่านั้น ในที่นี้ พราหมณ์ประสงค์เอาอาจารอริยชนอย่างเดียว. ข้าแต่มหาราช เพราะฉะนั้น แม้พระองค์ก็โปรดทรงทราบอย่างนี้ พระองค์ไม่ควรก่อเวรในฐานะเห็นปานนี้ ถ้าแม้ข้าพระองค์จักไม่ได้ให้พระองค์ทรงสาเหนียกอย่างนี้แล้ว ต่อไปภายหน้า พระองค์ลักขนม น้าตาลกรวด แลผลไม้เป็นต้น ติดในโจรกรรมทั้งหลาย จะทาการตัดช่องย่องเบา ฆ่าคนในหนทางและฆ่าชาวบ้านเป็นต้นโดยลาดับ ถูกจับพร้อมทั้งของกล่าวว่า โจรผู้ผิดต่อพระราชาแล้วแสดงต่อพระราชา จักได้รับภัยคืออาญา โดยพระดารัสว่า พวกท่านจงไปลงอาญาอันสมควรแก่โทษของโจรนี้ สมบัติเห็นปานนี้จักได้มีแก่พระองค์มาแต่ไหน พระองค์ได้ความเป็นใหญ่โดยเรียบร้อย เพราะอาศัยข้าพระองค์มิใช่หรือ อาจารย์ได้ทาให้พระราชายินยอมด้วยประการดังกล่าวมานี้. ฝ่ายอามาตย์ทั้งหลายผู้ยืนห้อมล้อมอยู่ ได้ฟังถ้อยคาของอาจารย์นั้นแล้ว จึงกราบทูลว่า ขอเดชะ คาที่อาจารย์กล่าวนั้นเป็นความจริง ความเป็นใหญ่นี้เป็นของท่านอาจารย์ของพระองค์. ขณะนั้น พระราชาทรงกาหนดได้ถึงคุณของอาจารย์จึงกล่าวว่า ท่านอาจารย์ ข้าพเจ้าให้ความเป็นใหญ่นี้แก่ท่าน ขอท่านจงรับราชสมบัติเถิด. อาจารย์ปฏิเสธว่า ข้าพระองค์ไม่ต้องการราชสมบัติ. พระราชาทรงส่งข่าวไปยังเมืองตักกสิลา ให้นาบุตรและภรรยาของอาจารย์มา แล้วประทานอิสริยยศใหญ่ ทรงตั้งอาจารย์นั้นนั่นแลให้เป็นปุโรหิต
  • 6. 6 แล้วตั้งไว้ในฐานเป็ นบิดา ตั้งอยู่ในโอวาทของอาจารย์นั้น บาเพ็ญบุญทั้งหลายมีทานเป็นต้น ได้มีสวรรค์เป็นที่ไปในเบื้องหน้า. พระศาสดา ครั้นทรงนาพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ทรงประกาศอริยสัจ ๔ ทรงประชุมชาดก ในเวลาจบอริยสัจ ภิกษุผู้มักโกรธดารงในอนาคามิผล คนอื่นๆ ได้เป็นพระโสดาบัน และพระสกทาคามี. พระราชาในคราวนั้น ได้เป็ นภิกษุผู้มักโกรธในบัดนี้ ส่วนอาจารย์ในคราวนั้น ได้เป็ น เราตถาคต ฉะนี้แล. จบ อรรถกถาติลมุฏฐิชาดกที่ ๒ -----------------------------------------------------