More Related Content Similar to ตัวชี้วัด ม.1 (20) ตัวชี้วัด ม.11. สาระที่4 แรงและการเคลื่อนที่
มาตรฐาน ว 4.1 เข้าใจธรรมชาติของแรงแม่เหล็กไฟฟ้า แรงโน้มถ่วง และแรงนิวเคลียร์ มีกระบวนการสืบเสาะหาความรู้
สื่อสารสิ่งที่เรียนรู้และนาความรู้ไปใช้ประโยชน์อย่างถูกต้องและมีคุณธรรม
1. สืบค้นข้อมูล และอธิบายปริมาณ สเกลาร์ ปริมาณเวกเตอร์ (ว 4.1 ม. 1/1)
2. ทดลองและอธิบายระยะทาง การ กระจัด อัตราเร็ว และความเร็วในการเคลื่อนที่ของวัตถุ (ว 4.1 ม. 1/2)
สาระที่ 5 พลังงาน
มาตรฐาน 5.1 เข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างพลังงานกับการดารงชีวิต การเปลี่ยนรูปพลังงาน ระหว่างงานและพลัง
ผลของการใช้พลังงานสงิ่มีชีวิตต่อสิ่งมีชีวิตและสงิ่แวดล้อม มีกระบวนการสืบเสาะหาความรู้
สื่อสารสิ่งที่เรียนรู้และนาความรู้ไปใช้ประโยชน์
3. ทดลองและอธิบายอุณหภูมิและการวัดอุณหภูมิ (ว 5.1 ม. 1/1)
4. สังเกตและอธิบายการถ่ายโอนความร้อนและนาความรู้ไปใช้ประโยชน์ (ว 5.1 ม. 1/2)
5. อธิบายการดูดกลืน การคายความ ร้อนโดยการแผ่รังสีและนาความรู้ไปใช้ ประโยชน์ (ว 5.1 ม. 1/3)
6. อธิบายสมดุลความร้อนและผลของ ความร้อนต่อการขยายตัวของสารและนาความรู้ไปใช้ในชีวิต
ประจาวัน (ว 5.1 ม. 1/4)
2. สาระที่6 กระบวนการเปลยี่นแปลงของโลก
มาตรฐาน ว 6.1 กระบวนการเปลี่ยนแปลงต่างๆที่เกิดขึน้บนผิวโลกและภายในโลก ความสัมพันธ์ของ
กระบวนการต่างๆที่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ ภูมิประเทศ และ สัณฐานของโลก
มีกระบวนการสืบเสาะหาความรู้และจิตวิทยาศาสตร์ สื่อสารสงิ่ที่เรียนรู้และนาไปใช้ประโยชน์
7. สืบค้นและอธิบายองค์ประกอบและการแบ่งชัน้บรรยากาศที่ปกคลุมผิวโลก (ว 6.1 ม. 1/1)
8.ทดลองและอธิบายความสัมพันธ์ระหว่างอุณหภูมิ ความชืน้ และความกดอากาศที่มีผลต่อปรากฏการณ์
ทางลม ฟ้ าอากาศ (ว 6.1 ม. 1/2)
9.สังเกต วิเคราะห์ และอภิปรายการเกิดปรากฏการณ์ทางลมฟ้าอากาศที่มีผล ต่อมนุษย์ (ว 6.1 ม. 1/3)
10. สืบค้น วิเคราะห์ และแปลความหมายข้อมูลจากการพยากรณ์อากาศ (ว 6.1 ม. 1/4)
11.สืบค้น วิเคราะห์ และอธิบายผลของลมฟ้าอากาศต่อการดารงชีวิตของสงิ่มีชีวิตและสิ่งแวดล้อม
(ว 6.1 ม. 1/5)
12.สืบค้น วิเคราะห์ และอธิบายปัจจัยทางธรรมชาติและการกระทาของมนุษย์ที่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลง
อุณหภูมิของโลก รูโหว่โอโซนและฝนกรด ที่มีต่อสิ่งมีชีวิตและสิ่งแวดล้อม (ว 6.1 ม. 1/6)
3. 13. สืบค้น วิเคราะห์ และอธิบายผลของภาวะโลกร้อน รูโหว่โอโซน และฝนกรดที่ มีต่อสิ่งมีชีวิตและ
สิ่งแวดล้อม (ว 6.1 ม. 1/7)
รงและการเคลอื่นที่
หน่วยที่ 1 แรงและการเคลื่อนที่
1. เวกเตอร์ของแรง
แรง หมายถึง สิ่งที่สามารถทาให้วัตถุที่อยู่นิ่งเคลื่อนที่หรือทาให้วัตถุที่กาลังเคลื่อนที่มีความเร็วเพิ่มขึน้หรือช้าลง
หรือเปลี่ยนทิศทางการเคลื่อนที่ของวัตถุได้
ปริมาณทางฟิสิกส์ มี 2 ชนิด คือ
1. ปริมาณเวกเตอร์ หมายถึงปริมาณที่มีทัง้ขนาดและทิศทาง เช่น แรง ความเร็ว นา้หนัก
2. ปริมาณสเกลาร์ หมายถึง ปริมาณที่มีแต่ขนาดอย่างเดียว ไม่มีทิศทาง เช่น พลังงาน อุณหภูมิ เวลา พืน้ที่
ปริมาตร อัตราเร็ว
การเขียนเวกเตอร์ของแรง
ใช้ความยาวของส่วนเส้นตรงแทนขนาดของแรง และหัวลูกศรแสดงทิศทางของแรง
2. การเคลื่อนที่ในหนึ่งมิติ
2.1 การเคลื่อนที่ในแนวเส้นตรง แบ่งเป็น 2 แบบ คือ
1. การเคลื่อนที่ในแนวเส้นตรงที่ไปทิศทางเดียวกันตลอด เช่น โยนวัตถุขึน้ไปตรงๆ
รถยนต์ กาลังเคลื่อนที่ไปข้างหน้าในแนวเส้นตรง
2. การเคลื่อนที่ในแนวเส้นเส้นตรง แต่มีการเคลื่อนที่กลับทิศด้วย เช่น รถแล่นไปข้างหน้าในแนวเส้นตรง
เมื่อรถมีการเลีย้วกลับทิศทาง ทาให้ทิศทางในการเคลื่อนที่ตรงข้ามกัน
2.2 อัตราเร็ว ความเร่ง และความหน่วงในการเคลอื่นที่ของวัตถุ
4. 1. อัตราเร็วในการเคลอื่นที่ของวัตถุ คือระยะทางที่วัตถุเคลื่อนที่ใน 1 หน่วยเวลา
2. ความเร่งในการเคลื่อนที่ หมายถึง ความเร็วที่เพิ่มขึน้ใน 1 หน่วยเวลา เช่น วัตถุตกลงมาจากที่สูงในแนวดิ่ง
3. ความหน่วงในการเคลอื่นที่ของวัตถุ หมายถึง ความเร็วที่ลดลงใน 1 หน่วยเวลา เช่น โยนวัตถุขึน้ตรงๆ
ไปในท้องฟ้ า
3. การเคลื่อนที่แบบต่างๆ ในชีวิตประจาวัน
3.1 การเคลื่อนที่แบบวงกลม หมายถึง การเคลื่อนที่ของวัตถุเป็นวงกลมรอบศูนย์กลาง
เกิดขึน้เนื่องจากวัตถุที่กาลังเคลอื่นที่จะเดินทางเป็นเส้นตรงเสมอ แต่ขณะนัน้มีแรงดึงวัตถุเข้าสศูู่นย์กลางของวงกลม
เรียกว่า แรงเข้าสู่ศูนย์กลางการเคลอื่นที่ จึงทาให้วัตถุเคลื่อนที่เป็นวงกลมรอบศูนย์กลาง เช่น
การโคจรของดวงจันทร์รอบโลก
3.2 การเคลื่อนที่ของวัตถุในแนวราบ เป็นการเคลื่อนที่ของวัตถุขนานกับพืน้โลก เช่น
รถยนต์ที่กาลังแล่นอยู่บนถนน
3.3 การเคลื่อนที่แนววิถีโค้ง เป็นการเคลื่อนที่ผสมระหว่างการเคลอื่นที่ในแนวดิ่งและในแนวราบ
หน่วยที่ 2 แรงในแบบต่างๆ
1. ชนิดของแรง
1.1 แรงย่อย คือ แรงที่เป็นส่วนประกอบของแรงลัพธ์
1.2 แรงลัพธ์ คือ แรงรวมซึ่งเป็นผลรวมของแรงย่อย ซึ่งจะต้องเป็นการรวมกันแบบปริมาณเวกเตอร์
1.3 แรงขนาน คือ แรงที่ที่มีทิศทางขนานกัน ซึ่งอาจกระทาที่จุดเดียวกันหรือต่างจุดกันก็ได้ มีอยู่ 2 ชนิด
- แรงขนานพวกเดียวกัน หมายถึง แรงขนานที่มีทิศทางไปทางเดียวกัน
- แรงขนานต่างพวกกัน หมายถึง แรงขนานที่มีทิศทางตรงข้ามกัน
1.4 แรงหมุน หมายถึง แรงที่กระทาต่อวัตถุ ทาให้วัตถุเคลื่อนที่โดยหมุนรอบจุดหมุน ผลของการหมุนของ เรียกว่า
โมเมนต์ เช่น การปิด-เปิด ประตูหน้าต่าง
1.5 แรงคู่ควบ คือ แรงขนานต่างพวกกันคหู่นึ่งที่มีขนาดเท่ากัน แรงลัพธ์มีค่าเป็นศูนย์ และวัตถุที่ถูกแรงคู่ควบกระทา
1 คู่กระทา จะไม่อยู่นิ่งแต่จะเกิดแรงหมุน
5. 1.6 แรงดึง คือ แรงที่เกิดจากการเกร็งตัวเพอื่ต่อต้านแรงกระทาของวัตถุ เป็นแรงที่เกิดในวัตถุที่ลักษณะยาวๆ เช่น
เส้นเชือก เส้นลวด
1.7 แรงสู่ศูนย์กลาง หมายถึง แรงที่มีทิศเข้าสู่ศูนย์กลางของวงกลมหรือทรงกลมอันหนึ่งๆ เสมอ
1.8 แรงต้าน คือ
แรงที่มีทิศทางต่อต้านการเคลื่อนที่หรือทิศทางตรงข้ามกับแรงที่พยายามจะทาให้วัตถุเกิดการเคลอื่นที่ เช่น
แรงต้านของอากาศ แรงเสียดทาน
1.9 แรงโน้มถ่วงของโลก คือ แรงดึงดูดที่มวลของโลกกระทากับมวลของวัตถุ เพื่อดึงดูดวัตถุนัน้เข้าสศูู่นย์กลางของโลก
- นา้หนักของวัตถุ เกิดจากความเร่งเนื่องจากความโน้มถ่วงของโลกมากกระทาต่อวัตถุ
1.10 แรงกิริยาและแรงปฏิกิริยา
- แรงกิริยา คือ แรงที่กระทาต่อวัตถุที่จุดจุดหนึ่ง อาจเป็นแรงเพียงแรงเดียวหรือแรงลัพธ์ของแรงย่อยก็ได้
- แรงปฏิกิริยา คือ แรงที่กระทาตอบโต้ต่อแรงกิริยาที่จุดเดียวกัน โดยมีขนาดเท่ากับแรงกิริยา
แต่ทิศทางของแรงทัง้สองจะตรงข้ามกัน
2. แรงกิริยาและแรงปฏิกิริยากับการเคลื่อนที่ของวัตถุ
2.1 วัตถุเคลื่อนที่ด้วยแรงกิริยา เป็นการเคลอื่นที่ของวัตถุตามแรงที่กระทา เช่น การขว้างลูกหินออกไป
2.2 วัตถุเคลื่อนที่ด้วยแรงปฏิกิริยา
เป็นการเคลื่อนที่ของวัตถุเนื่องจากมีแรงขับดันวัตถุให้เคลื่อนที่ไปในทิศทางตรงกันข้าม เช่น การเคลื่อนที่ของจรวด
หน่วยที่ 3 แรงเสียดทาน
1. ความหมายของแรงเสียดทาน
แรงเสียดทาน คือ แรงที่ต้านการเคลื่อนที่ของวัตถุซึ่งเกิดขึน้ระหว่างผิวสัมผัสของวัตถุ
เกิดขึน้ทัง้วัตถุที่เคลื่อนที่และไม่เคลื่อนที่ และจะมีทิศทางตรงกันข้ามกับการเคลื่อนที่ของวัตถุ
แรงเสียดทานมี 2 ประเภท คือ
1. แรงเสียดทานสถิต คือ แรงเสียดทานที่เกิดขึน้ระหว่างผิวสัมผัสของวัตถุในสภาวะที่วัตถุได้รับแรงกระทาแล้วอยู่นิ่ง
6. 2. แรงเสียดทานจลน์ คือ
แรงเสียดทานที่เกิดขึน้ระหว่างผิวสัมผัสของวัตถุในสภาวะที่วัตถุได้รับแรงกระทาแล้วเกิดการเคลอื่นที่ด้วยความเร็วคงที่
2. การลดและเพมิ่แรงเสียดทาน
การลดแรงเสียดทาน สามารถทาได้หลายวิธี
1. การขัดถูผิววัตถุให้เรียบและลื่น
2. การใช้สารล่อลื่น เช่น นา้มัน
3. การใช้อุปกรณ์ต่างๆ เช่น ล้อ ตลับลูกปืน และบุช
4. ลดแรงกดระหว่างผิวสัมผัส เช่น ลดจานวนสิ่งที่บรรทุกให้น้อยลง
5. ออกแบบรูปร่างยานพาหนะให้อากาศไหลผ่านได้ดี
การเพิ่มแรงเสียดทาน สามารถทาได้หลายวิธี
1. การทาลวดลาย เพื่อให้ผิวขรุขระ
2. การเพิ่มผิวสัมผัส เช่น การออกแบบหน้ายางรถยนต์ให้มีหน้ากว้างพอเหมาะ
หน่วยที่ 4 โมเมนต์ของแรง
1. ความหมายของโมเมนต์
โมเมนต์ของแรง หรือ โมเมนต์ หมายถึง ผลคูณของแรงกับระยะตัง้ฉากจากแนวแรงถึงจุดหมุน
มีหน่วยเป็น นิวตัน-เมตร
โมเมนต์(นิวตัน-เมตร) = แรง(นิวตัน) X ระยะตัง้ฉากจากแนวแรงถึงจุดหมุน(เมตร)
2. ชนิดของโมเมนต์
โมเมนต์ของแรงแบ่งตามทิศการหมุนได้เป็น 2 ชนิด
7. 1. โมเมนต์ทวนเข็มนาฬิกา
2. โมเมนต์ตามเข็มนาฬิกา
3. หลักการของโมเมนต์
ถ้ามีแรงหลายแรงกระทาต่อวัตถุชิน้หนึ่ง แล้วทาให้วัตถุนัน้สมดุลจะได้ว่า
ผลรวมของโมเมนต์ทวนเข็มนาฬิกา = ผลรวมของโมเมนต์ตามเข็มนาฬิกา
ตัวอย่างที่ 1 ยาว 4 เมตร นาไปงัดก้อนหินหนัก 400 N ให้เคลื่อนที่ ถ้าต้องการออกแรงเพียง 100 N
ควรจะนาก้อนหินก้อนเล็กๆ มาหนุนไม้ที่ตาแหน่งใด
ผลรวมของโมเมนต์ทวนเข็มนาฬิกา = ผลรวมของโมเมนต์ตามเข็มนาฬิกา
(M ตาม = M ทวน)
400 (4 - X) = 100X
1600 - 400X = 100X
X = 3.2 m
ดังนัน้ จะต้องนาก้อนหินเล็กหนุนไม้ห่างจากก้อนหิน 3.2 m ตอบ
ตัวอย่าง 2 แขวนไม้กับเพดานดังรูป วัตถุ y ควรหนักเท่าใด จึงจะทาให้ไม้สมดุล
ผลรวมของโมเมนต์ทวนเข็มนาฬิกา = ผลรวมของโมเมนต์ตามเข็มนาฬิกา
(M ทวน = M ตาม)
(20 x 2.5) + (Y x 0.5) = 40 x 1.5
50 + 0.5Y = 60
Y = 20 N
8. 4. โมเมนต์ในชีวิตประจาวัน
โมเมนต์เกี่ยวข้องกับกิจกรรมต่างๆ ในชีวิตประจาวันของเราเป็นอย่างมาก
แม้แต่การเคลื่อนไหวของอวัยวะบางส่วนของร่างกาย การใช้เครื่องใช้หรืออุปกรณ์ต่างๆ หลายชนิด เช่น
5. ประโยชน์โมเมนต์
จากหลักการของโมเมนต์จะพบว่า
เมื่อมีแรงขนาดต่างกันมากระทาต่อวัตถุคนละด้านกับจุดหมุนที่ระยะห่างจากจุดหมุนต่างกัน
วัตถุนัน้ก็สามารถอยู่ในภาวะสมดุลได้ หลักการของโมเมนต์จึงช่วยให้เราออกแรงน้อยๆ แต่สามารถยกนา้หนักมากๆ ได้ง
http://www.ben.ac.th/obeclms/file/information_ben/science/wichai/w31181chapter2.pdf