More Related Content Similar to รักษาดุลม.5 (20) More from Wichai Likitponrak More from Wichai Likitponrak (20) รักษาดุลม.56. แมงมุม
ไม่มีท่อลมแทรกตามเนือเยื่อ
มีโครงสร้างที่เรียกว่า ปอดแผง (book lung)มีลักษณะ
เป็นท่อลมซ้อนเป็นพับไปมาคล้ายแผง มีหลอดเลือดนา
คาร์บอนไดออกไซด์ มาแลกเปลี่ยนที่แผงท่อลมนี แล้วรับ
ออกซิเจน
ในนามีออกซิเจนเพียงร้อยละ 0.5
สัตว์นามีเนือเยื่อของอวัยวะที่มากพอสาหรับ
การแลกเปลี่ยนแก๊ส
เหงือกปลา และกุ้งมีลักษณะเป็นซี่ๆ เรียงกัน
เป็นแผง
สัตว์น้า
12. การควบคุมการหายใจ
กลไกควบคุมการหายใจจะเกี่ยวข้องกับ
ระบบประสาทโดยมีการควบคุม 2 ส่วน คือ
1. การควบคุมแบบอัตโนมัติ
ไม่สามารถบังคับได้
สมองส่วนพอนส์ และเมดัลลาเป็นตัวสร้าง
และส่งสัญญาณประสาทไปกระตุ้นกล้ามเนื้อ
ที่เกี่ยวข้องกับการหายใจ
2.การควบคุมภายใต้อานาจจิตใจ
สามารถบังคับได้
ใช้สมองส่วนหน้าที่เรียกว่า ซีรีบรัลคอร์เทกซ์ ไฮโพทาลามัส
และสมองส่วนหลังที่เรียกว่าซีรีเบลลัม
ใช้ควบคุมการหายใจให้เหมาะสมกับพฤติกรรมต่างๆ ของร่างกาย
13. การวัดอัตราการหายใจ
ปริมาณ CO2 และ O2 สามารถบอกอัตรา metabolism ของคนได้ คนจะมี CO2 สูง และ O2 ต่า
เมื่อมี metabolism สูง ซึ่งอาจเกิดจากการออกกาลังกาย หรืออยู่นที่ที่อุณหภูมิต่า ปริมาณ CO2 ที่
สูงขึนจะไปกระตุ้นศูนย์ควบคุมให้หายใจถี่ขึนโดยอัตวัติ
14. ความผิดปกติที่เกี่ยวข้องกับปอด และโรคของระบบทางเดินหายใจ
โรคปอดบวม (pneumonia) เกิดจากการอักเสบและติดเชือแบคทีเรีย
หรือไวรัส ทาให้พืนที่ผิวในการแลกเปลี่ยนแก๊สลดลง
โรคถุงลมโป่งพอง (emphysema) เกิดจากการสูดแก๊สพิษ ทาให้ถุงลม
ขาดความยืดหยุ่น ขาดง่าย ทาให้พืนที่ผิวแลกเปลี่ยนลดลง
สะอึก เกิดจากการที่กล้ามเนือยึดซี่โครงและกล้ามเนือกระบังลมทางานไม่สัมพันธ์กัน
หาว เป็นการไล่ CO2 ที่มีมากในเลือดให้ออกไป
18. หนอนตัวแบน • พลานาเรีย มีเฟลมเซลล์ (flame cell) ช่วยกาจัดของเสีย
• ขับแอมโมเนียออกทางท่อขับถ่ายและทางผิวหนังได้
ไส้เดือนดิน
• มีอวัยวะ เรียกว่า nephridium ปล้องละ 1 คู่ มีปลายเปิดสองข้าง
• ปลายของเนฟริเดียมข้างหนึ่งอยู่ในช่องของลาตัว มีลักษณะ
เหมือนปากแตร เรียกว่า nephrostome รับของเหลวจากช่อง
ลาตัว อีกข้างเป็นช่องเปิดออกสู่ภายนอกผิวหนัง
• ขับถ่ายของเสียพวกแอมโมเนียและยูเรีย และดูดนาและแร่ธาตุบาง
ชนิดกลับสู่เลือด
19. การขับถ่ายของแมลง
• อวัยวะขับถ่ายเรียกว่า “ท่อมัลพิเกียน”
• ของเสียถูกลาเลียงเข้าสู่ท่อมัลพิเกียนไปยังทางเดินอาหาร
• ของเสียพวกสารประกอบไนโตรเจนจะเปลี่ยนเป็นผลึก
กรดยูเรีย ขับออกมาพร้อมกากอาหาร
การขับถ่ายของสัตว์มีกระดูกสันหลัง
• มีไต (kidney) เป็นอวัยวะขับถ่าย
• ไต ทาหน้าที่กาจัดของเสียและรักษาสมดุลของนาและแร่ธาตุ
โดยทางานร่วมกับระบบหมุนเวียนเลือด
• นกและสัตว์เลือยคลานขับของเสียในรูป กรดยูริก
• อุจจาระของจิงจกมีสีขาวและสีดา สีดาเป็นกากอาหาร
ที่ย่อยไม่ได้ ส่วนสีขาวเป็น กรดยูริก
• สัตว์เลียงลูกด้วยนม และสัตว์สะเทินนาสะเทินบก
ฉลาม และปลากระดูกแข็งบางชนิดขับถ่ายของเสียในรูปของ ยูเรีย
29. ความผิดปกติที่เกี่ยวเนื่องกับไตและโรคของไต
โรคนิ่ว
เกิดจากการที่ตะกอนของแร่ธาตุต่างๆ รวมตัวกันเป็นก้อนอุดตามทางเดินปัสสาวะ
หรือเกิดจากร่างกายกรองหรือกาจัดแร่ธาตุออกมามากอาจจะเกิดจากอักเสบติดเชือทาให้มีการจับ
ตัวของผลึกเป็นก้อนนิ่วได้เร็วหรือเกิดจากการบริโภคผักใบเขียวบางชนิดที่มีสารออกซาเลตสูง
ป้องกันได้โดยการรับประทานอาหารประเภทโปรตีนช่วยไม่ให้สารออกซาเลตจับตัวเป็นผลึก
กลายเป็นก้อนนิ่ว
ดื่มนาสะอาด
กระเพาะปัสสาวะอักเสบ • พบบ่อยในเพศหญิง
• เกิดจากการติดเชือแบคทีเรีย ซึ่งปนเปื้อนจากอุจจาระร่วมกับการกลัน
ปัสสาวะนานๆ
• ผู้ป่วยปัสสาวะบ่อย ปวดบริเวณหัวเหน่าขณะถ่ายหากไม่รักษา เชือจะทา
ให้ไตและกรวยไตอักเสบได้
ผักพืนบ้าน เช่น ผักชีฝรั่ง มันสาปะหลัง ใบชะพลู ผักโขม ยอดพริกขีฟ้า หัวไชเท้า ใบกระเจี๊ยบ ใบยอ
30. โรคไตวาย
ภาวะที่ไตสูญเสียหน้าที่การทางาน ทาให้มีการสะสมของเสีย
เกิดความผิดปกติในการรักษาสมดุลของนา แร่ธาตุและความเป็นกรด-เบส ของสารใน
ร่างกาย
มีสาเหตุจาก การติดเชือที่รุนแรง , การสูญเสียเลือดหรือของเหลวจานวนมาก , หรือเกิด
จากการเป็นโรคเบาหวานติดต่อกันเป็นเวลานาน หรือมีนิ่วอุดตันทางเดินปัสสาวะเป็น
เวลานาน
การรักษา - โดยการควบคุมชนิดและปริมาณอาหาร
- การใช้ยา , ฟอกเลือด , ผ่าตัดเปลี่ยนไต
โรคเก๊าท์
เกิดจากการสะสมตัวของกรดยูริกตามข้อกระดูก ทาให้เจ็บปวด
31. 3. ผิวหนังกับการรักษาดุลยภาพของร่างกาย
ผิวหนังมีหน้าที่รักษาดุลยภาพให้คงที่ เช่น
- ป้ องกันเชื้อโรค
- รักษาอุณหภูมิให้คงที่
- รับความรู้สึก
- ขับถ่ายของเสีย
โครงสร้างของผิวหนัง ดังรูป
สัตว์เลือดอุ่น เป็นสัตว์ที่มีกลไกในการรักษาอุณหภูมิ
ร่างกายได้คงที่ ไม่เปลี่ยนแปลงตามสิ่งแวดล้อม
เช่น สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม สัตว์ปีก
สัตว์เลือดเย็น เป็นสัตว์ที่ไม่มีกลไกในการรักษาอุณหภูมิ
ของร่างกายให้คงที่ จะทาให้อุณหภูมิเปลี่ยนแปลง
ตามสิ่งแวดล้อม เช่น ปลา สัตว์ครึ่งบกครึ่งน้า และ
สัตว์เลื้อยคลาน
@ การจาศีลมีความแตกต่างกัน
43. ความดันเลือด
• ผู้ใหญ่จะมีความดันเลือดประมาณ 120/80 มิลลิเมตรปรอท
• ตัวเลขแรกหมายถึงค่าความดันเลือดสูงสุดขณะหัวใจบีบตัว เรียกว่า ความดันซิสโทลิก
• ตัวเลขตัวหลัง หมายถึง ความดันเลือดขณะหัวใจคลายตัว เรียก ความดันไดแอสโทลิก
• ความดันเลือดขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆ เช่น อายุ เพศ อารมณ์
น้าหนักของร่างกาย อาหาร สภาพภูมิอากาศ และสภาพของร่างกาย
50. เซลล์เม็ดเลือดแดง
• มีหน้าที่รับส่งแก๊ส CO2 และ O2
• รูปร่างกลมแบนตรงกลางบุ๋ม ไม่มีนิวเคลียส ไม่มีไมโทคอนเดรีย
• ภายในมีฮีโมโกลบิน ซึ่งเป็นโปรตีนมีเหล็กเป็นองค์ประกอบ
• สร้างจากตับ ม้าม และไขกระดูก
• มีอายุประมาณ 100-120 วัน และถูกทาลายที่ตับและม้าม
• ชายมีเซลล์เม็ดเลือดแดง 5-5.5 ล้านเซลล์ต่อเลือด 1 ลบ.มม.
หญิงมีเซลล์เม็ดเลือดแดง 4.5–5 ล้านเซลล์ต่อเลือด 1 ลบ.มม.
เพลตเลต
• เป็นสิ่งสาคัญในกระบวนการแข็งตัวของเลือด
• บางทีเรียกว่า เศษเม็ดเลือด , เกล็ดเลือด , หรือแผ่นเลือด
• ไม่ใช่เซลล์แต่เป็นชิ้นส่วนของไซโทพลาซึมของเซลล์ชนิดหนึ่งในไขกระดูก
• มีอายุประมาณ 10 วัน
• กระบวนการแข็งตัวของเลือดสรุปได้ดังภาพต่อไปนี้
53. กลุ่มที่มีแกรนูล • เรียกว่า แกรนูโลไซต์ (granulocytes)
• มีนิวเคลียสขนาดใหญ่คอดเป็นพู สร้างจากไขกระดูก
• มีไซโทพลาสซึมค่อนข้างมาก
• มีแกรนูลกระจายอยู่ทั่วไปในไซโทพลาซึม
• มีลักษณะต่างกัน 3 ชนิด คือ
1. อีโอซิโนฟิล มีแกรนูลสีส้มแดง (ติดเชือพยาธิ)
2. เบโซฟิล มีแกรนูลสีนาเงิน (histamineกับheparin)
3. นิวโทรฟิล มีแกรนูลสีม่วงชมพู(มากสุด : phagocytosis)
กลุ่มที่ไม่มีแกรนูล • เรียกว่า อะแกรนูโลไซต์ (agranulocytes)
• มีนิวเคลียสขนาดใหญ่
• มี 2 ชนิด คือ โมโนไซต์ (monocyte) และลิมโฟไซต์ (lymphocyte)
• โมโนไซต์ - เจริญเป็นแมโครฟาจ (macrophage) ; phagocytosis
• ลิมโฟไซต์ มี 2 ชนิด - ลิมโฟไซต์ชนิดบี หรือ เซลล์บี (B-cell)
สร้างและเจริญในไขกระดูก : plasma cell และ memory cell
- ลิมโฟไซต์ชนิดที หรือเซลล์ที (T-cell)
สร้างจากไขกระดูกแล้วไปเจริญที่ต่อมไทมัส : CD4 ,CD8 ,suppressor
55. พลาสมา
หน้าที่ • มีหน้าที่ลาเลียงสารอาหารที่ย่อยแล้ว แร่ธาตุ ฮอร์โมน
แอนติบอดีไปให้เซลล์
• ช่วยรักษาสมดุลความเป็นกรด – เบส สมดุลของน้า
และรักษาระดับอุณหภูมิของร่างกาย
ลักษณะ • เป็นของเหลวใสมีสีเหลืองอ่อน
• ประกอบด้วยน้า 90 – 93 % โปรตีนที่สาคัญ
คือไฟบริโนเจน , อัลบูมิน และโกลบูลิน
• ประกอบด้วยแร่ธาตุ สารอาหาร เอนไซม์ ฮอร์โมน
และสารที่ร่างกายต้องกาจัดออก ได้แก่ ยูเรีย CO2
59. ระบบเลือด Rh
• คนไทยส่วนใหญ่มีแอนติเจน Rh อยู่ที่เยื่อหุ้มเซลล์เม็ดเลือดแดง เรียกว่า มีหมู่เลือด Rh+
• ส่วนน้อยร้อยละ 0.3 ไม่มีแอนติเจน Rh ที่เยื่อหุ้มเม็ดเลือดแดง เรียกว่ามี หมู่เลือด Rh-
• คนที่มีหมู่เลือด Rh- เมื่อได้รับเลือดหมู่ Rh+ แอนติเจนของหมู่เลือด Rh+ จะกระตุ้นให้คนที่มีหมู่เลือด
Rh- สร้างแอนติบอดีต่อแอนติเจน Rh
การเกิดอีรีโทรบลาสโทซิสฟีทาลีส
( Erythroblastosis fetalis )
62. ทอนซิล (tonsil) • เป็นต่อมน้าเหลืองบริเวณคอ
• มีลิมโฟไซต์ดักจับและทาลายจุลลินทรีย์
ไม่ให้เข้าสู่หลอดอาหารและกล่องเสียง
• ถ้าทอนซิลติดเชื้อจะมีอาการอักเสบ บวมขึ้น
• ต่อมน้าเหลืองบริเวณอื่นๆ จะทาหน้าที่คล้ายทอนซิล
เพื่อกรองแบคทีเรียและสิ่งแปลกปลอมไม่ให้เข้าสู่กระแสเลือด
ต่อมไทมัส (thymus gland)
• เป็นต่อมไร้ท่อมีตาแหน่งอยู่ตรงทรวงอกด้านหน้าหลอดเลือดใหญ่ของหัวใจ
• พัฒนาลิมโฟไซต์ชนิดเซลล์ที
ม้าม ( Spleen ) o อยู่บริเวณใต้กะบังลมด้านซ้ายติดกับด้านหลังของกระเพาะอาหาร
o ระยะเอ็มบริโอ ม้ามผลิตเซลล์เม็ดเลือดแดง
o หลังคลอดม้ามเป็นที่อยู่ของลิมโฟไซต์
o สร้างแอนติบอดีสู่กระแสเลือด
o ทาลายเซลล์เม็ดเลือดแดงและเพลตเลตที่หมดอายุแล้ว
63. กลไกการสร้างภูมิคุ้มกัน แบ่งได้ 2 แบบ ได้แก่ แบบไม่จำเพำะ (nonspecific defense)
แบบจำเพำะ (specific defense)
กลไกการต่อต้านหรือทาลายสิ่งแวดล้อมแบบไม่จาเพาะ
• ผิวหนังมีเคอราตินป้ องกันการเข้าออกของสิ่งต่างๆ ได้
• ผิวหนังมีต่อมเหงื่อ ,ต่อมไขมัน หลั่งสารบางชนิด
เช่น กรดไขมัน กรดแลกติก ป้ องกันการเติบโตของจุลินทรีย์บางชนิด
• ทางเดินอาหาร ทางเดินหายใจ ท่อปัสสาวะ ช่องคลอด
มีการสร้างเมือกและมีซิเลียดักจับสิ่งแปลกปลอม
• น้าตา น้าลาย มีไลโซไซม์ทาลายเชื้อโรคบางชนิดได้
65. การสร้างภูมิคุ้มกัน
แบ่งเป็น 2 แบบ คือ
1. ภูมิคุ้มกันก่อเอง (active immunization) เป็นการกระตุ้นให้
ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันโดยการนาสารที่เป็นแอนติเจน (วัคซีน) ซึ่ง
อาจเป็นเชือโรคที่อ่อนกาลังแล้วมาฉีด / กิน / ทาที่ผิวหนัง เพื่อ
กระตุ้นให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกัน
2. ภูมิคุ้มกันรับมา (passive immunization)เป็นวิธีให้แอนติบอดีแก่
ร่างกายโดยตรงเพื่อให้มีภูมิคุ้มกันขึนทันที เช่น ซีรัมสาหรับคอตีบ
ซีรัมแก้พิษงู ซีรัมแก้พิษสุนัขบ้า
67. ความผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกันโรค
โรคภูมิแพ้ ( allergy )
ร่างกายมีปฏิกิริยาต่อแอนติเจนบางชนิดอย่างรุนแรง และก่อให้เกิดอันตรายต่อร่างกาย เช่น แพ้
สารเคมีในบ้าน ฝุ่นละออง เกสรดอกไม้ , อาหารทะเล
โรคภูมิแพ้สารบางชนิดเกี่ยวข้องทางพันธุกรรมด้วย
โรคเอสแอลอี (Systemic Lupus Erythematiosus : SLE )
เป็นความผิดปกติที่ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันขึนมาต่อต้านเซลล์ของตนเอง
เกิดจากกลไกการควบคุมเสียไป ทาให้ร่างกายสร้างแอนติบอดีมาต่อต้านแอนติเจนของตนเอง
โรคเอดส์ (AIDS)
เป็นโรคที่มีอาการของภูมิคุ้มกันบกพร่อง เกิดจากเชือไวรัส HIV
HIV เข้าไปทาลายเซลล์ที ส่งผลให้ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายเสื่อมหรือบกพร่อง ร่างกายจึง
อ่อนแอและติดเชือโรคต่างๆ
HIV พบในสารคัดหลั่งต่างๆ ของร่างกาย เช่น เลือด อสุจิ นานม นาตา และนาลาย เป็นต้น
68. ลักษณะพิเศษของ HIV
1. เชือ HIV จะทาลายเซลล์เม็ดเลือดขาวชนิดเซลล์ทีผู้ช่วย
2. HIV เพิ่มจานวนและมีการกลายพันธุ์ได้ง่าย
3. HIV เจริญและเพิ่มจานวนอยู่ในเซลล์เม็ดเลือดขาว
เซลล์ทีผู้ช่วย ใช้องค์ประกอบต่างๆ ในเซลล์เม็ดเลือดขาว
ในการเพิ่มปริมาณชือ HIV
4. HIV มีสารพันธุกรรม เป็น RNA
เมื่อเข้าสู่เซลล์จะสร้างสารพันธุกรรมในรูป
DNA ของเซลล์